The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Lerwborrisud, 2023-08-29 02:43:30

การพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม

-

Keywords: -

44 อาจารย์ผู้สอนในทุกรายวิชามอบหมายงานให้นักศึกษาค้นหาบทความภาษาอังกฤษ เพื่อกระตุ้นให้ นักศึกษาได้มีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะการสืบค้นฐานข้อมูลภาษาต่างประเทศ ควรพัฒนารายวิชาทักษะการรู้สารสนเทศให้มีเนื้อหาที่เข้าใจง่าย เน้นการฝึกปฏิบัติการ ท ารายงานและการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ควรจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการก าหนดค าค้น และวิธีการสืบค้นฐานข้อมูลอย่าง ต่อเนื่อง อย่างน้อยภาคการศึกษาละครั้ง และประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักศึกษาทราบอย่างทั่วถึง ห้องสมุดควรจัดท าบทเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการสืบค้นสารสนเทศจากฐานข้อมูล ต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของห้องสมุด เพื่อให้นักศึกษาสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง คว รจัดให้มีก า รอบ รมให้คว ามรู้เกี่ยวกับกฎหม ายลิขสิทธิ์ เนื่องจ ากนักศึกษ า เกิดข้อสงสัย เช่น การดาวน์โหลดเพลง ภาพยนตร์ เพื่อการดู การฟัง การส่งรูปภาพต่าง ๆ ผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์จัดว่าผิดกฎหมายลิขสิทธิ์หรือไม่ ควรจัดท าแบบทดสอบทักษะการรู้สารสนเทศแบบออนไลน์ เพื่อให้นักศึกษาสามารถประเมิน ทักษะการรู้สารสนเทศของตนเองได้ เนื่องจากท าให้เกิดความรู้สึกท้าทายที่จะต้องพัฒนาทักษะการรู้ สารสนเทศของตนเองให้เพิ่มสูงขึ้น 4.3.5 ผลงานที่ 5 เทคโนโลยี Big data กับงานห้องสมุดในยุคดิจิทัล จากการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ การวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยี Big data กับงานห้องสมุดในประเทศไทย งานวิจัยค้านเทคโนโลยี Big data ที่น ามาวิเคราะห์นี้สืบค้นได้จากฐานข้อมูลเอกสารฉบับเต็ม Thai Digital Collection ในโครงการเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย (Thalis) และฐานข้อมูลคลัง ปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย (Chulalongkorn University Intellectual Repository หรือ CUR) โดยใช้ค าค้น ได้แก่ Big data บิ๊กดาต้า ข้อมูลขนาดใหญ่ และการพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ ปรากฏผล การสืบค้นดังตารางที่ 1 ต่อมาได้ ศึกษาเอกสารที่รวบรวม โดยพิจารณาจากชื่อเรื่อง ปีที่พิมพ์ บทคัดย่อ ค า ส าคัญและเนื้อหา ตัดรายการที่ซ้ ากันออกไป อย่างไรก็ตาม พบว่า ไม่มีงานวิจัยในประเทศไ ทย ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Big data ในห้องสมุด หลังจากนั้น คัดเลือกเอกสารเพื่อน ามาวิเคราะห์


45 เนื้อหา ซึ่งช่วยท าให้เห็นลักษณะ รูปแบบ กระบวนการวิจัย และประเด็นที่ศึกษา โดยมีเกณฑ์ในการ คัดเลือก คือ เป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ. 2550-2562 ไม่นับรวมบทความทางวิชาการ ท าให้ ได้งานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์ จ านวน 69 รายการ จากงานวิจัยที่น ามาวิเคราะห์จ านวน 69 รายการ ปรากฏว่า เป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ใน วารสาร จ านวน 6 รายการ รายงานการประชุมวิชาการระดับชาติ จ านวน 3 รายการ และวิทยานิพนธ์/การศึกษาค้นคว้าอิสระ/ปัญหาพิเศษ จ านวน 60 รายการ ส าหรับงานวิจัยที่เป็น วิทยานิพนธ์/การศึกษาค้นคว้าอิสระ/ปัญหาพิเศษ จ านวน 60 รายการนั้น เมื่อน ามาพิจารณาระดับ ของปริญญานิพนธ์ พบว่างานวิจัยจ านวนมากที่สุด คือ จ านวน 29 รายการ อยู่ในหลักสูตรวิทยา ศาสตรมหาบัณฑิต (วท.ม.) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ big data มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือ Data Science ซึ่งเป็นศาสตร์ที่รวมวิชาและเทคโนโลยีทางค้าน Cloud computing, Big data, Machine learning, Data mining, Statistics และ Internet of things เข้าไว้ด้วยกัน มีจุดประสงค์ เพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และสกัดความรู้จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Kullimratchai, 2018, หน้า 123) รองลงมาจ านวน 21 รายการ อยู่ในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (วศ.ม.) และ จ านวน 3 รายการ อยู่ในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ค .) ดังรายละเอียดในภาพที่ 3 เมื่อพิจารณาจ านวนผู้วิจัย พบว่า งานวิจัยที่ท าโดยผู้วิจัย 1 คน มีจ านวนมากที่สุด คือ 60 รายการ ซึ่งมีจ านวนเท่ากับงานวิจัยที่เป็นวิทยานิพนธ์/การศึกษาค้นคว้าอิสระ/ปัญหาพิเศษ เนื่องจาก การส าเร็จการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาทั้งปริญญาโทและปริญญาเอก ต้องเป็นไปตามข้อก าหนด ของหลักสูตรที่ผู้ศึกษาต้องท าวิทยานิพนธ์ หรือการศึกษาค้นคว้าอิสระ หรือปัญหาพิเศษ รองลงมามี ผู้วิจัย 2 คน จ านวน 7 รายการ ผู้วิจัย 3 คน และผู้วิจัย 4 คน จ านวน 1 รายการ เท่ากัน ปรากฏ ดังภาพ ที่ 4


46 ในการพิจารณาหน่วยงานที่ผู้วิจัยสังกัด จากจ านวนผู้วิจัยรวมทั้งหมด 81 คน ปรากฏว่าผู้วิจัย จ านวนมากที่สุด 30 คน สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองลงมา จ านวน 21 คน สังกัดมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และจ านวน 5 คน สังกัดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ปรากฏ รายละเอียดตามภาพที่ 5 ส าหรับปีที่พิมพ์ของงานวิจัย พบว่า งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2559 มีจ านวนมากที่สุด คือ 9 รายการ รองลงมา ได้แก่ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2556 พ.ศ. 2558 และ พ.ศ. 2560 มีจ านวน 8 รายการ ดังรายละเอียดในภาพที่ 6


47 เมื่อท าการพิจารณาระเบียบวิธีวิจัย พบว่า งานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมีจ านวน 60 ราชการ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นวิทยานิพนธ์ทางค้านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งทั้งสองศาสตร์นี้ส่วนใหญ่ใช้การวิจัยเชิงทดลอง เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ เชิงเหตุและผลของตัวแปรภายใต้การควบคุมสถานการณ์ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ รองลงมา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ จ านวน 5 รายการ และการวิจัยผสานวิธีทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จ านวน 2 รายการ ส าหรับรายละเอียดปรากฏในภาพที่ 7 ส าหรับประเด็นที่ศึกษาในงานวิจัยทั้งหมด 69 รายการนั้น พบว่า งานวิจัยจ านวนมากที่สุด คือ 19 รายการ ศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ อาจเป็นเพราะการวิเคราะห์ข้อมูลท าให้ Big data เกิดมูลค่า เป็นการเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กร และเป็นข้อมูลประกอบ การตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ รองลงมา ได้แก่ ศึกษาเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูล ขนาด ใหญ่ มีจ านวน10 รายการ และการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ มีจ านวน 8 รายการ ซึ่งปรากฏ รายละเอียดในตารางที่ 2 ประเด็นศึกษา จ้านวน การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ 19 การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ 10 การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 8 ระบบสารสนเทศ 6 การค้นคืนข้อมูลขนาดใหญ่ 3 การจ าแนกข้อมูลขนาดใหญ่ 3 เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ 2 เหมืองข้อมูล 2 การวิเคราะห์และน าเสนอข้อมูลขนาดใหญ่ 1 บริการข้อมูลขนาดใหญ่ 1 ความสัมพันธ์ของข้อมูลขนาดใหญ่และการจัดการข้อมูล 1


48 ประเด็นศึกษา จ้านวน ปัญหาที่ส่งผลต่อความล้มเหลวในการพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ 1 ความเข้าใจ การใช้งาน และการยอมรับ ข้อมูลขนาดใหญ่ 1 ห้องเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 1 การเข้ารหัสลับข้อมูล 1 การเข้ารหัสสัญญาณภาพ 1 การสร้างภาพเคลื่อนไหว 1 คลังข้อมูล 1 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 1 ระบบผู้เชี่ยวชาญ 1 การพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐมิติ 1 ภาษาศาสตร์ 1 ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีดิจิทัล 1 กฎหมายลิขสิทธิ์ 1 รวม 69 เนื่องมาจากผลการสืบค้นงานวิจัยในประเทศไทยจากฐานข้อมูลเอกสารฉบับเต็ม Thai Digital Collection ในโครงการเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย (thalis) และฐานข้อมูลคลังปัญญา จุฬาฯ เพื่อประเทศไทย (Chulalongkorn University Intellectual Repository หรือ CUTR) พบว่า ยังไม่ปรากฏงานวิจัยด้านเทคโนโลยีBig data กับงานห้องสมุด ดังนั้น หน่วยงาน ที่ เกี่ยวข้องควรกระตุ้นและสนับสนุนให้นักวิชาการและนักวิชาชีพสารสนเทศในประเทศไทย ทั้งอาจารย์ ผู้ปฏิบัติในหน่วยงานสารสนเทศต่าง ๆ นิสิตนักศึกษาทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญา เอกท าการวิจัยด้านเทคโนโลยีBig data กับงานห้องสมุด เพื่อเป็นข้อมูลในการน าเทคโนโลยี Big data มาใช้ในงานห้องสมุด เช่น การศึกษาความรู้ความเข้าใจของบรรณารักษ์เกี่ยวกับ Big data ทัศนคติของผู้บริหารห้องสมุดที่มีต่อเทคโนโลยี Big data การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) ในก า รน าเทคโนโลยี Big data ม าใช้ในห้องสมุด ก า รศึกษ าเกี่ยวกับก า รจัดเก็บ การประมวลผล การวิเคราะห์ และการน าเสนอข้อมูลขนาดใหญ่ในห้องสมุด เป็นต้น รวมทั้งควร พิจารณาประเด็นเกี่ยวกับทุนสนับสนุนการวิจัยและการตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิจัยด้วย ปัจจัยสู่ความส้าเร็จในการน้าเทคโนโลยี Big data มาใช้ในงานห้องสมุด ในการน าเทคโนโลยี Big data มาใช้ในงานห้องสมุดให้ประสบความส าเร็จนั้น จาก การศึกษาและวิเคราะห์วรรณกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความวารสาร และงานวิจัย ต่าง ๆ พบว่า มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง 5 ประการ (Tansiri, 2013 : 15-21; Kuchaiyasit, 2013: 22-28;


49 Yimpaiboon, 2015: 48-51; Jharotia, 2016; Sujima, 2016 : 22; Wang, Chen, Xu and Chen, 2016; Ball, 2019 : 1 -9) ได้แก่ นโยบายของห้องสมุค (Policy) ห้องสมุดควรก าหนดนโยบายไว้อย่าง ชัดเจน โดยก าหนดเป็นพันธกิจและในแผนกลยุทธ์ระยะยาวในการน าเทคโนโลยี Big data มาใช้ใน งานห้องสมุดผู้บริหาร (Administrator) ผู้บริหารห้องสมุดต้องมีความรู้ความเข้าใจ มีวิสัยทัศน์ และ เห็นประโยชน์ในการน าเทคโนโลยี Big data มาใช้ในห้องสมุด และ ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมใน ช่วงเวลาที่เหมาะสมบุคลากร (People) จัดการอบรมให้บุคลากรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ Big data นอกจากนี้ ควรมีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data scientist) หรือนักวิเคราะห์ ข้อมูล (Data analyst) ปฏิบัติงานประจ าในห้องสมุด โดยบุคคลเหล่านี้ต้องมีทักษะทางด้านสถิติ และมีความสามารถในการท าความเข้าใจโมเดลและอัลกอริทึมที่ใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อน าข้อมูลที่มี คุณค่าออกมาจากข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาล และสามารถน าเสนอข้อมูลเหล่านั้นต่อผู้อื่นให้เข้าใจได้ ซึ่งจะท าให้เกิดการน า Big data ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามเป้าหมายที่ห้องสมุดก าหนดไว้ เครื่องมือ (Tool) การประยุกต์ใช้เครื่องมือทางค้านเทคโนโลยี Big data ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่ห้องสมุดควรให้ความส าคัญ ซึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล เช่น Cambridge Semantics, Splice Machine, Mark Logic, Google Charts, SAP in Memory, MongoDB, Pentaho, Talend, Tableau, Splunk, Hadoop งบประมาณ (Budget) ควรจัดให้มีงบประมาณส าหรับจัดเตรียมอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูล การจัดหาเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการท ารายงานสรุป รวมถึงการดูแลบ ารุงรักษาเครื่องมือต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ 4.3.6 ผลงานที่ 6 การพัฒนาชุมชนตามแนวคิดทางสายกลางของขงจื๊อ จากการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ การพัฒนาชุมชนตามแนวคิดทางสายกลางของขงจื๊อ ขงจื๊อเป็นนักปรัชญาจีนคนส าคัญที่เชื่อว่า สังคมและชุมชนที่สามารถพัฒนาได้เพื่อน ามา ตามแนวคิดของขงจื๊อ ดังนี้ 1. ทางสายกลางของขงจื๊อนั้นเป็นอย่างไร ค าว่า "ทางสายกลาง" ขงจื๊อมาจากค าว่า"จุงหยุง" (Chung Yung) ถ้าแยกออกเป็น 2 ค าคือ ค าว่า "จุง" และ "หยุง" (Confucius, 1951) เมื่อรวมค าแล้วแปลว่า "ทางสายกลาง" ตามทัศนะ ของขงจื๊อ โดยมีผู้ดีความไว้หลากหลาย โดยมุ่งเน้นไปที่การมองที่สภาวะจิตใจที่ไม่ก าเริบเมื่ออารมณ์ และความรู้สึกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความยินดี ความยินร้าย ความโศกเศร้า ความเสียใจ ความร่าเริง ยินดี เป็นต้น ดังที่ ซุนจื่อ (Archie, 1969) อธิบายความหมายของค าว่า "ทางสายกลาง" ไว้แบบ


50 เดียวกับค าว่า "จารีต เป็นการปฏิบัติตามหลักทางสายกลาง ซึ่งเป็นกฎแห่งความประพฤติและความ ยุติธรรม ซึ่งขงซื้อให้ความส าคัญกับทางสายกลางที่มีลักษณะความเป็นไปของชีวิตที่มีกับความสมดุล ระหว่างความเป็นสังคมกับความเป็นปัจเจกชน ความมีระเบียบวินัยกับเสรีภาพ หมายถึง ความกลมกลืนสอดคล้องพอเหมาะพอดี เป็นกลางไม่เข้าข้างเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งไม่มีอคติ ไม่ขาดไม่เกิน เป็นไปตามหลักเหตุผล เป็นภาวะที่เกิดดุลยภาพด ารงอยู่ในภาวะแห่งความเป็นกลาง ดังที่ขงจื๊อได้กล่าวไว้ว่า... "โลกที่ท่านได้เผชิญนั้นมิได้เป็นโลกที่สดใสเลย ประเทศจีนได้แบ่งแยกออกเป็น รัฐเข้าครอบครองแคว้นเล็กแคว้นน้อยมากมาย ซึ่งแต่ละแคว้นมักจะทะเลาะวิวาท และ ท าสงครามกันอยู่เสมอ หรือไม่ก็ทะเลาะวิวาทและท าสงครามกับพวกป่าเถื่อนที่คอยยกมารุกราน เบียดเบียนอยู่รอบทิศ บรรดากษัตริย์ที่ประทับอยู่ ณ ราชส านักกลางของราชวงศ์โจว ซึ่งครั้งหนึ่ง ได้เคยประทานความร่มเย็นเป็นสุขและเสถียรภาพให้แก่ชาติ ก็อ่อนแอลง และไม่มีสมรรถภาพพอที่จะ สู้กับความเกรียงไกรของบรรดาเจ้าครองนคร ผู้มีอ านาจมากกว่าทั้งหลายได้ กษัตริย์ทั้งหลายถูกพวก เสนาบดีปลดออกจากต าแหน่ง หรือไม่ก็ถูกปลงพระชนม์เสีย โอรสก็ปลงพระชนม์พระราชบิดาได้ ทั้งหมดนั้นเป็นความทารุณโหดร้าย และเป็นการขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในหมู่ชนชั้นปกครอง และดูเหมือนจะไม่มีอ านาจอะไรที่สูงไปกว่านั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอ านาจชั่วคราวหรืออ านาจ ทางวิญญาณใด ๆ ที่ประชาชนจะร้องเรียนเอาได้" (Thongprasert, 1994) จากค าที่ขงจื๊อกล่าวนี้ ขงจื๊อสะท้อนให้เห็นสภาพบริบททางสังคม การเมืองในยุค สมัยของขงจื๊อได้กล่าวไว้ชัดเจน เพราะขงจื๊อมองว่า ความระส่ าระสาย ความไร้ระเบียบ ความทุกข์ของสังคมที่เผชิญอยู่ในขณะนั้น ซึ่งแน่นอนสภาพสังคมดังกล่าว ย่อมท าให้มองลึกไปถึง สภาวะจิตใจของผู้คนในบ้านเมือง เพราะในยุคสมัยของขงจื๊อนั้น ซึ่งเป็น "ยุควิกฤติทางศีลธรรม" (a time of moral chaos) ผู้คนละทิ้งและไม่ใส่ใจเรื่องคุณธรรม อาชญากรรมก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในชนบท ที่ ห่างไกล มักถูกปล้นสะดม และภายในเมืองหลวงหรือในราชส านักเองก็มีปัญหาเรื่องแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ซึ่งส่งผลกระทบไปถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน คนมีอ านาจกับคนไร้อ านาจ ซึ่งเป็นแนวความคิดทางการเมือง และแนวความคิดทางปรัชญาในยุคสมัย ของขงจื๊อ ที่"สุดโต่ง" 2 ทาง (JingPan, 1993) ได้แก่ (1) ความคิดเห็นที่ว่า รัฐบาลควรมีอ านาจ เด็ดขาด ในการควบคุมหรือแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน แนวความคิดในลักษณะเช่นนี้ได้รับ การเผยแพร่โดย กวนจุง (Kuan Chung), จื๊อซาน (Tzu Ch'an) ซึ่งต่อมาแนวความคิดดังกล่าวนี้ก็ ได้รับการพัฒนาไปสู่ความสุดโต่งอีกส านักหนึ่งคือ ส านักนิติธรรมนิยม (Legalist School) เป็นกลุ่ม ขวาจัดและ (2) ความคิดเห็นที่เรียกกันว่า "นโยบายไม่แยแส" (laissez-faire Policy) คือ ปล่อยไป ตาม ยถากรรม ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่น าพาสังคม ผู้ที่มีแนวความคิดในลักษณะเช่นนี้ คือ เล่าจื๊อ (Lao-tzu),


51 เจียหยู (Chieh Yu), จางชู(Chang Chu), เจียหนี (Chieh Ni) เป็นต้น ซึ่งต่อมาแนวความคิดดังกล่าว ได้รับการพัฒนาไปสู่ความสุดโต่งอีกส านักหนึ่ง คือ ส านักเต๋า (Taoist School) ซึ่งเป็นที่สุดโต่งข้างต้น นั้น ข้อแรกเน้นเรื่องการจัดระเบียบสังคมและเป็นการเน้นควบคุมสังคม ส่วนข้อที่สองเน้น เรื่อง เสรีภาพส่วนบุคคล ท าให้มองเห็นว่า เกิดความขัดแย้งทางความคิด และการปฏิบัติ ซึ่งไม่มีทาง ที่จะเข้ากันได้ ขงจื๊อมองว่า ความสุดโต่งดังกล่าวเป็นแนวความคิดทางปรัชญาขงจื๊อจึงไม่มีบุคคล ลักษณะสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือ ขงจื๊อไม่ทิ้งสังคม ขณะเดียวกันก็ให้ความส าคัญเรื่องเสรีภาพ ส่วนบุคคลด้วย ด้านสังคมขงจื๊อก็เน้นเรื่องจารีตทางสังคม (หลี่) ในขณะที่ส่วนปัจเจก กล่าวสรุปได้ว่า ค าสอนเรื่องทางสายกลางจึงถือเป็นแนวค าสอนส าคัญที่สะท้อนให้เห็นความพยายามในการประสาน ความสุดโต่งดังกล่าว เพราะขงจื๊อเน้นเรื่องการขัดเกลาคุณธรรมภายในให้มีลักษณะที่พึงประสงค์ เช่น เรื่องความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความเคารพ สติปัญญา เป็นต้น 2. หลักการของทางสายกลาง ขงจื๊อเห็นว่า จักรวาลมีการด าเนินไปด้วยดีตามระเบียบกฎเกณฑ์ ตาม ธรรมชาติที่เรียกว่า"ความเป็นกลาง" หมายถึง สรรพสิ่งใต้ฟ้านี้มีรากฐานที่ด าเนินไปตามระเบียบ กฎเกณฑ์ที่เรียกว่า ความเป็นกลางหากสรรพสิ่งไม่ด าเนินไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า "ความเป็นกลาง" นี้ ก็จะท าให้จักรวาลเกิดความโกลาหล ความเป็นกลางจึงเปรียบเสมือนระเบียบ ของจักรวาลดังข้อความในคัมภีร์ทางสายกลางที่ว่า เมื่อสภาวะแห่งความเป็นกลางและความประสาน สอดคล้องบรรลุถึงความว่าสมบูรณ์ ความสงบเรียบร้อยก็จะแผ่ขยายไปทั่วสวรรค์และพื้นพิภพ ทั้งสรรพสิ่งก็จะได้รับการหล่อเลี้ยงและเจริญงอกงาม การที่จะเข้าใจเรื่องทางสายกลางของขงจื๊อนั้นจ าเป็นจะต้องมีความเข้าใจเรื่อง ธรรมชาติของจิตและธรรมชาติของการกระท า ทั้ง 2 นี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ธรรมชาติ ของจิตนั้น ขงจื๊อเชื่อว่า จิตมีสภาพความเป็นกลาง จิตเป็นส่วนส าคัญที่จะวัดความเป็นกลาง ดังข้อความในคัมภีร์ทางสายกลางที่ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกไม่ได้เป็นอะไรมากกว่า สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจหรือสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกทั้งหมด เปิดเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ขงจื๊อมองว่าจิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้นมาจากสวรรค์ซึ่งมีลักษณะที่มีธรรมชาติของความเป็นกลาง มีศักยภาพในการแสดงออกที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมอื่น ๆ โดยปริยาย เพราะธรรมชาติเดิมแท้ ของจิตนั้นมีความเป็นกลางอยู่แล้ว จิตสูญเสียความเป็นกลางเพราะอารมณ์และกิเลสต่าง ๆ เช่น ความยินดี ความโกรธ ความเศร้าโศก ความเพลิดเพลิน เป็นต้น เมื่อจิตถูกอารมณ์เหล่านี้มากระตุ้น อาจท าให้สูญเสียความเป็นกลางได้ ดังนั้นในคัมภีร์ทางสายกลางจึงเห็นว่าจิตที่ด ารงอยู่ในทางสาย กลางนั้นเป็นสภาวะจิตที่รับรู้อารมณ์ตามปกติโดยไม่มีการปรุงแต่ง เป็นจิตที่บริสุทธิ์ไม่ถูกรบกวน ด้วยกิเลสไม่มีดีหรือชั่วถูกหรือผิดเพราะผลจากทวิภาวะคือด้านบวกและด้านลบ ขงจื๊อเน้นความส าคัญ ของจิตโดยสอนให้มนุษย์พัฒนาจิต ขัดเกลาจิตใจไม่ให้อารมณ์ต่าง ๆ มารบกวนครอบง าจนสูญเสีย


52 ความเป็นกลางหรือขาดดุลยภาพ ดังที่ในคัมภีร์ลุ้นยี่ ขงจื๊อได้กล่าวไว้ว่าอย่าปล่อยให้ความเห็นผิด เกิดขึ้นและในคัมภีร์เม่งจื๊อก็ได้กล่าวไว้ว่าผู้ที่พัฒนาจิตของตนจนบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดแล้วจะรู้ ธรรมชาติที่แท้จริงของตนและเมื่อเขารู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของตนแล้วย่อมเป็นอันรู้ธรรมชาติของ สวรรค์ด้วย (Promta, 1997) ส่วนธรรมชาติของการกระท านั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากจิตที่อยู่ส่วนลึก เมื่อ จิตถูกน้อมน าไปสู่อารมณ์บวกและอารมณ์ลบย่อมส่งผลต่อการกระท าให้ไม่เป็นกลาง ดังที่ขงซื้อกล่าว ไว้ว่า (1) มนุษย์จะมีความล าเอียงเมื่อใดก็ตามที่เขาเกิดมีความรู้สึกรักใคร่ขึ้นมาในใจ (2) มนุษย์จะมีความล าเอียงเมื่อใดก็ตามที่เขาเกิดมีความรู้สึกไม่ชอบหรือรังเกียจขึ้นมา (3) มนุษย์จะมี ความล าเอียงเมื่อใดก็ตามที่เขาเกิดความรู้สึกหวั่นกลัว (1) พรั่นพรึง หรือมีความรู้สึกเกรงกลัวรวมทั้ง เมื่อเกิดความรู้สึกเคารพนับถือด้วย (5) มนุษย์จะมีความล าเอียงเมื่อใดก็ตามที่เขาเกิดมีความรู้สึกเศร้า โศกและสงสาร และ (6) มนุษย์จะมีความล าเอียงเมื่อใดก็ตามที่เขาเกิดมีความรู้สึกหยิ่งจองหอง และหยาบคาย (Fine Littlestone, 1992) ดังนั้นมนุษย์จะสูญเสียความเป็นกลางเมื่อถูกอารมณ์ ครอบง าท าให้เสียสภาวะจิตเดิมแท้จึงแสดงออกมาสู่พฤติกรรมภายนอกที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุนี้ สภาวะจิตที่มีความเป็นกลางนั้นจะต้องอยู่ในความเป็นกลางเช่นไม่สนิทสนมเกินไปและไม่ เคร่งขรึมมากเกินไปในระยะของทางสายกลางจึงอยู่ที่ความพอดี ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง โดย แสดงออกมาใน 4 ลักษณะคือ (1) สุดต่งไปด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือในแง่ลบก็ตาม (2) กระท า การโดยมีอารมณ์หรือความรู้สึกเป็นตัวชักน าหรือชักจูงไม่ได้เกิดจากเหตุผลหรือสติปัญญา (3) เป็นไป โดยมิชอบหรือขาดความเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และ (4) ขาดความเป็นอิสระ และถูกก าหนดด้วยเงื่อนไขและปัจจัยภายนอก กล่าวสรุปได้ว่า ทางสายกลางของขงจื๊อจึงเป็นความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันระหว่าง ธรรมชาติของจิตกับธรรมชาติของการกระท า คือ การกระท าที่ถูกต้องต้องเกิดจากจิตที่เป็นกลางและ บริสุทธิ์อันเป็นลักษณะเดิมแท้ของจิตที่ติดตัวมากับมนุษย์ตั้งแต่เกิด 3. หลักปฏิบัติตามทางสายกลาง การปฏิบัติตามทางสายกลางของขงจื๊อนั้น ขงจื๊อได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ทางสายกลางว่า เป็นวิถีแห่งฟ้า และวิถีแห่งมนุษย์มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ มนุษย์จะต้องฝึกฝนพัฒนา จิต วิญญาณให้มีสภาวะความเป็นกลางดังที่คุณสมบัติของจิตที่ติดตัวมาจากสวรรค์โดยจะต้องปฏิบัติตน ฝึกฝนอบรมตามหลักคุณธรรม 3 ประการ คือ (1 ปัญญา (2) ความรักหรือเจตนารมณ์ที่ดีงาม และ (3) พลังหรือความเข้มแข็ง (Leonard Shihlien Hsu, 1975 ขงจื๊อได้ยกย่องบุคคลตัวอย่ าง ผู้ปฏิบัติตนตามทางสายกลาง คือ กษัตริย์ชุนซึ่งเป็นบุคคลอุดมคติเพราะมีภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ รักการ ไต่สวนทวนถาม และทรงศึกษาทัศนะต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงจากอารมณ์ทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบ มุ่งมั่น ประพฤติแต่ความดี ละเว้นทางสุดโต่ง ด าเนินชีวิตอยู่ในทางสายกลาง และน าหลักทางสายกลางมา


53 ปกครองไพร่ฟ้าประชาชน พระองค์จึงเป็นกษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุทางสาย กลางของขงจื๊อโดยสรุปมีดังนี้ 1) ปัญญา (จื๊อ) กล่าวคือ การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงทางสายกลางตามทัศนะ ของขงจื๊อนั้นปัญญาเป็นเครื่องมือที่ส าคัญที่สุดขงจื๊อสนับสนุนให้มนุษย์แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา ปัญญาและขงจื๊อเชื่อว่า มนุษย์มีศักยภาพและมีปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องมือส าคัญที่ท าให้มนุษย์ มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สังคม และธรรมชาติได้อย่างถูกต้องสมดุลและเป็นกลาง ดังนั้นการพัฒนา มนุษย์จึงต้องพัฒนาปัญญาเป็นอันดับแรก ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่าสัตบุรุษต้องศึกษาเรียนรู้อย่างกว้างขวาง แล้วใช้จริยธรรมมาควบคุมตนเองจึงหลีกเลี่ยงการกระท าความผิดที่นอกลู่นอกทางได้ มีปณิธาน อันแรงกล้าในการท าความเข้าใจต่อสรรพสิ่ง ยึดมั่นในคุณธรรมปฏิบัติตามเมตตาธรรม ศึกษาและ ฝึกฝนศิลปะวิชาการทั้ง 6 ปัญญาชนย่อมสนใจค้นคว้าระบบความคิดมากกว่าสนใจคิดค้นเรื่องอาหาร การกิน คนท านามักจะอดอยากยากจนแต่การศึกษาจะท าให้ได้มาซึ่งลาภยศ ดังนั้นสิ่งที่ปัญญาชน กังวลก็คือกลัวว่าจะไม่มีความรู้ไม่ใช่กังวลว่าจะยากจน ในการพัฒนาปัญญาเพื่อให้เข้าถึงทางสายกลางนั้นขงจื๊อได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ ทางสายกลางว่ามีองค์ประกอบส าคัญ 4 ประการ คือ (1) ความเข้าใจ หมายถึงความเข้าใจว่าการ กระท าที่เป็นธรรมชาติโดยปราศจากการปรุงแต่งใดๆเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการท าสิ่งต่าง ๆ (2) การมี เจตนารมณ์ที่ดีงาม เต็มไปด้วยความจริงใจไม่สแสร้ง (3) การรู้และปฏิบัติอย่างมีสติเช่นการกระท าที่มี ลักษณะเป็นการแสดงออกถึงทัศนคติภายในที่มีความเหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งและ (4) การสร้างเจตนารมณ์ที่สมบูรณ์ให้ปรากฏในทัศนคติภายในและการกระท าจนเป็นอุปนิสัย โดยมีความรู้ความเข้าใจเจตนารมณ์ที่ดีงามมีความเหมาะสมกับสถานการณ์เป็นพื้นฐานส าคัญ ดังนั้น หากกล่าวโดยสรุปขงจื๊อส่งเสริมให้มนุษย์แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาปัญญา ปัญญาจะท าให้มนุษย์ ด าเนินชีวิตอยู่ในทางสายกลาง ซึ่งบ่อเกิดของปัญญานั้นขงจื๊อกล่าวว่ามี 2 ประการคือ (1) การศึกษา กล่าวคือรักเรียนย่อมได้ชื่อว่าเข้าใกล้ต่อปัญญา และ (2) ความจริงใจกล่าวคือการหยั่งรู้ก าเนิดมาจาก ความจริงใจ ความจริงใจที่มาจากการหยั่งรู้เรียกว่าการศึกษา ถ้ามีความจริงใจก็จะหยั่งรู้ ถ้าหยั่งรู้ก็ แสดงว่ามีความจริงใจเฉพาะผู้มีความจริงใจอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถพัฒนาศักยภาพ ของตนเองได้ ความจริงใจเป็นวิถีแห่งฟ้า การท าให้ตนเองมีความจริงใจเป็นวิถีแห่งมนุษย์ มนุษย์ จะเข้าถึงปัญญาได้จึงต้องมีความจริงใจคือการหยั่งรู้ 2) ความรักหรือเจตนารมณ์ที่ดีงาม (เหริน) กล่าวคือ การปฏิบัติตามหลัก ทางสายกลางต้องมีเหรินหรือความรักเป็นบทบาทส าคัญ เพราะถือเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่อยู่ในจิตใจ ของมนุษย์ทุกคนซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด ดังค ากล่าวของขงจื๊อในคัมภีร์ทางสายกลางว่า เหริน เป็นคุณธรรมที่อยู่ภายในจิตใจของแต่ละคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่แรกเกิด เหรินเกิดขึ้น ภายในรูปแบบของภาวะความสัมพันธ์ระหว่างบุตรธิดากับบิดามารดาและหลังจากนั้น


54 ถูกพัฒนาเรื่อย ๆ ด้วยกระบวนการนี้คุณธรรมอื่นก็จะถูกพัฒนาตามไปด้วย ดังนั้นความรักหรือ เจตนารมณ์ที่ดีงามจึงเป็นคุณสมบัติส าคัญของมนุษย์ที่มนุษย์จะต้องรักษาไว้ให้ติดตัวเพราะการปฏิบัติ ตามหลักสายกลางต้องมีความรักเป็นพลังกระตุ้นและผลักดันให้ปฏิบัติตนไปสู่ทางสายกลางและการ ปฏิบัติตนให้สมบูรณ์นั้นจะต้องอาศัยเหริน ค าว่าเหรินหรือความรักหรือเจตนารมณ์ที่ดีงามจึงเป็น คุณธรรมส าคัญที่ผลักดันมนุษย์ให้ด าเนินชีวิตอยู่ในทางสายกลางได้เพราะเป็นพลังแห่งความบริสุทธิ์ ที่ติดตัวมาจากสวรรค์ เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความรักก็จะท าให้เกิดความสมดุลและความสุขดุจ ดังอยู่บนสรวงสวรรค์ 3) พลังหรือความเข้มแข็ง (จง) กล่าวคือ ค าว่า พลังหรือความเข้มแข็ง เป็นคุณธรรมส าคัญประการที่ 3 ที่จะน ามนุษย์ให้ด าเนินชีวิตอยู่ในทางสายกลาง ค าว่า พลังหรือความ เข้มแข็งนี้หมายถึงศักยภาพในการยืนหยัดอยู่บนหลักการโดยไม่ให้จิตใจนั้นตกอยู่ในสภาพเอนเอียงไป ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง แต่มีความสามารถให้ด ารงอยู่ในภาวะของทางสายกลาง อันเป็นรากฐาน ที่แท้จริงของมนุษย์ดังนั้นความเข้มแข็งหรือพลังในการยึดมั่นอยู่ในหลักการไม่หวั่นไหวไปตามอคติ อันเป็นปัจจัยส าคัญที่จะท าให้มนุษย์ยึดมั่นอยู่ในทางสายกลางได้ ความเข้มแข็งจะเกิดขึ้นได้นั้น มนุษย์จะต้องรู้จักละอาย ความรู้จักละอายเป็นเหตุให้เข้าถึงพลัง ในการปฏิบัติตามหลักทางสายกลาง นั้นความละอายจะช่วยให้มนุษย์ระมัดระวังในการกระท าสิ่งที่ไม่ถูกต้องซึ่งถือเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ที่จะท าให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติและพัฒนาตน ดังที่ขงจื๊อกล่าวไว้ในคัมภีร์ทางสายกลางว่า อริยปราชญ์แม้อยู่คนเดียวก็ย่อมระมัดระวังตัวเสมอ ดังนั้นพลังหรือความเข้มแข็งภายในจิตใจ ของมนุษย์ที่จะไม่เอนเอียงไปในอคติหรืออารมณ์ทางฝ่ายบวกและฝ่ายลบ ยึดมั่นหนักแน่นอยู่ใน หลักการและมีความละอายชั่วกลัวบาปท าให้มนุษย์มีความระมัดระวัง ความระมัดระวังท าให้มนุษย์ มีความเข้มแข็งที่จะด าเนินชีวิตอยู่ในวิถีแห่งทางสายกลางทั้งทางด้านบุคคลและสังคม กล่าวสรุปได้ว่า ทางสายกลางของขงจื๊อเป็นธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์ มาตั้งแต่เกิด ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสวรรค์เพราะจักรวาลด าเนินไปได้อย่างมีระเบียบเพราะมีทางสาย กลาง ในสังคมมนุษย์ทางสายกลางจะช่วยให้สังคมมีระเบียบไม่สับสน และมนุษย์สามารถด ารงอยู่ ร่วมกันได้อย่างสมดุลสอดคล้อง มีความเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนมนุษย์ ที่เห็นคุณค่าของกันและกัน ทางสายกลางเป็นวิถีแห่งมนุษย์และวิถีแห่งสวรรค์ที่สอดคล้องสมดุลกันการปฏิบัติตามทางสายกลาง ของขงจื๊อต้องยึดคุณธรรม 3 ประการคือ ปัญญา เมตตา และความเข้มแข็ง คุณธรรมทั้งสามประการ นี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในเชิงปฏิบัติการ คือมนุษย์จะต้องพัฒนาปัญญาของตน ปัญญา เป็นศักยภาพของมนุษย์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ที่จะเข้าถึงความ จริงของธรรมชาติและสังคมในการอยู่ร่วมกัน ก็จะต้องมีพลังแห่งความรักความเมตตาหรือเจตนารมณ์ ที่ดีงาม พร้อมทั้งการยึดมั่นอยู่ในเจตนารมณ์ที่ดีงามและมั่นคงอยู่ในทางสายกลางนั้นจะต้องมีพลัง คือ ความเข้มแข็งมั่นคงระมัดระวังและมีความละอายเมื่อมีความละอายก็จะยึดมั่นอยู่ในปัญญา เมตตา


55 และความเข้มแข็งไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่งเพราะอารมณ์ท าให้ด ารงวิถีแห่งทางสายกลางอยู่ได้อย่าง สมดุล 4.3.7 ผลงานที่ 7 มุมมองทางภูมิศาสตร์ ผ่านค้าขวัญประจ้าจังหวัด จากการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ 1.มุมมองทางภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์ คือ การศึกษาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนพื้นโลก หรือ ปรากฏการณ์ที่เกิดบนพื้นที่ ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง เช่นการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตบนโลก รูปแบบการด าเนินชีวิตของมนุษย์ในพื้นที่ต่าง ๆ ปรากฏการณ์ทงธรรมชาติ เป็นต้น โดยการศึกษา ทางภูมิศาสตร์จะเป็นการศึกษาที่วิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ อย่างเป็นเหตุเป็นผล เพื่ออธิบาย สาเหตุของปรากฏการณ์เชิงพื้นที่ รวมทั้งการวิเคราะห์คาดการณ์เกี่ยวกับปรากฏการณ์เชิงพื้นที่ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ปัจจุบันการศึกษาทางภูมิศาสตร์สมัยใหม่ได้ให้ความส าคัญกับการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล ในประเด็นหลัก 5 ประเด็น (พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 1-2) 1.1 ท าเลที่ตั้ง (Location) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับต าแหน่งของเหตุการณ์หรือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาต่าง ๆ โดยทั่วไปมักจะน าเสนอท าเลที่ตั้งในรูปแบบของ 1) ที่ตั้งสัมบูรณ์ (Absolute Location) หรือการระบุที่ตั้งอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น ระบบพิกัด ระบบไปรษณีย์ เป็นต้น 2) ที่ตั้งสัมพันธ์(Relative Location) หรือ การระบุที่ตั้งอย่างคร่าว ๆ อาศัย การอ้างอิงอาณาเขตติดต่อ 1.2 สถานที่ (Place) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะเด่นของพื้นที่ หรือ อัตลักษณ์ ของพื้นที่หนึ่ง ทั้งที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมหรือมีลักษณะเป็นนามธรรม โดยสามารถศึกษา ได้ในหลากหลายมิติ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะวัฒนธรรม รวมทั้ง ประวัติศาสตร์ของสถานที่ เป็นต้น 1.3 การเคลื่อนที่ (Movement เนื่องด้วยความเป็นพลวัตของสังคม และธรรมชาติ ดังนั้นปรากฏการณ์เชิงพื้นที่ลักษณะต่าง " จึงเกิดการหมุนเวียน เคลื่อนย้าย เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ท าให้นักภูมิศาสตร์มีความตระหนักในประเด็นเกี่ยวกับ สาเหตุและรูปแบบของการเคลื่อนที่ของ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งปรากฏการณ์ที่มีลักษณะเป็นพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น การเดินทาง ของมนุษย์ การอพยพของฝูงนก หรือแม้กระทั่งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนตัว ของแผ่นเปลือกโลก การเคลื่อนที่ของแนวพายุโซนร้อน เป็นต้น 1.4 ภูมิภาค (Region) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับภาพรวมของพื้นที่ โดยค าว่า ภูมิภาค หมายถึง ความคล้ายคลึงของสภาพพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นความคล้ายคลึงทางกายภาพของพื้นที่ หรือ


56 ความคล้ายคลึงทางด้านวัฒนธรรมภายในพื้นที่ ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับภูมิภาคจึงท าให้มองเห็น ภาพรวมของสถานการณ์ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ศึกษาได้เป็นอย่างดี 1.5 ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และโลก (Human-Earth Relationships) เป็นประเด็นการศึกษาที่นักภูมิศาสตร์ให้ความส าคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นประเด็นที่ใกล้ตัวมนุษย์ มากที่สุด ลักษณะการศึกษาจะมุ่งหาความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุ-ผล ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ (ซึ่งนักภูมิศาสตร์ได้พัฒนาแนวความคิด หรือมุมมองในการศึกษาระหว่างมนุษย์และโลกมาโดยตลอด เช่น แนวคิดนิยัตินิยมสิ่งแวดล้อม ( Environmental Determinism) แนวคิดภาวะแวดล้อม อาจเป็นไปได้ (Environmental Possibilism) เป็นต้น เพื่อค้นหาแนวทางในการป้องกันและ แก้ปัญหาหรือผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ จากประเด็นความหมายของภูมิศาสตร์ที่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น บนพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เราจะพบว่าในแต่ละบริบทนั้น ปรากฏการณ์ต่าง 1 ที่เกิดขึ้นล้วน มี ความซับซ้อนในหลากหลายมิติท าให้การศึกษาทางภูมิศาสตร์จ าเป็นต้องมีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์ อื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์มหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 ที่เกิดเหตุการณ์ น้ าท่วมใหญ่ในประเทศไทย สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างหากท าการวิเคราะห์เหตุการณ์ครั้งนั้น จะพบว่า สาเหตุของปัญหาน้ าท่วมนั้นเกี่ยวข้องกับหลากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณน้ าฝนสะสม อิทธิพลของพายุ การบริหารจัดการน้ า สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่การที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจาก พายุโซนร้อนจ านวน 3 ลูก ได้แก่ นกเตน (Nock-Ten) ไห่ถาง (Haitang) และ เนสาด (Nesat) ในช่วงระหว่าง ปลายเดือน กรกฎาคมถึงปลายเดือนกันยายน 2554 ท าให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ (ศูนย์ภูมิอากาศ ส านักพัฒนาอุตุนิยมวิทยา, 2554: 1-4) เป็นเหตุให้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยมีปริมาณน้ าฝนสะสมค่อนข้างมาก ประกอบกับ การบริหารจัดการน้ าและการระบายน้ าในลักษณะที่ฝืนสภาพทางภูมิศาสตร์คือ การพยายามผันน้ า ออกสู่ทะเลโดยไม่ให้ผ่านพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครเนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจส าคัญ ของประเทศ ท าให้การระบายน้ าต้องใช้เวลาค่อนข้างนานและไม่สัมพันธ์กับปริมาณน้ าส่วนเกินภายใน พื้นแผ่นดิน อีกทั้งสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศไทยในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงสภาพ พื้นที่รับน้ าให้กลายเป็น เขตที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม เมื่อมีปริมาณน้ าส่วนเกินในพื้นที่จึงท าให้ ไม่มีพื้นที่รองรับน้ าส่งผลให้ปริมาณน้ าส่วนเกินเหล่านั้นกลายเป็นปัญหาอุทกภัยในเขตเมืองในที่สุด จากตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าการศึกษาทางภูมิศาสตร์ที่มุ่งหาค าตอบให้กับปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ล้วนแล้วแต่มีความคาบเกี่ยวกับศาสตร์อื่น ๆ ทั้งสิ้น โดยนักภูมิศาสตร์ ได้นิยามความสัมพันธ์หรือความคาบเกี่ยวระหว่างภูมิศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ ไว้ดังนี้ คือ


57 มีความสัมพันธ์กับชีววิทยาอุตุนิยมวิทยา ธรณีวิทยา สังคมวิทยา ประวัติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ (Holt-Jensen, A., 1999: 3) 3. ค้าขวัญประจ้าจังหวัดกับอัตลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ ปัจจุบันจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย จ านวนทั้งสิ้น 77 จังหวัด ต่างได้น าเสนอ อัต ลักษณ์ทางพื้นที่ของจังหวัดผ่านการใช้ค าขวัญประจ าจังหวัด เป็นการสร้างความรับรู้ (Perception) ให้กับผู้คนทั่วไปในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับคนในพื้นที่และเป็น การสร้างส านึกรักท้องถิ่นเมื่อท าการพิจารณาลักษณะและรูปแบบการน าเสนอค าขวัญประจ าจังหวัด ของแต่ละจังหวัด (รวบรวมค าขวัญประจ าจังหวัดจากเว็บไซต์ส านักงานจังหวัด เปรียบเทียบกับข้อมูล จากส านักงานราชบัณฑิตยสภา) ผ่านอัตลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ของแต่ละพื้นที่ โดยมีการแบ่งหมวดหมู่ ของลักษณะเด่นทางพื้นที่ตามลักษณะความคาบเกี่ยวระหว่างภูมิศาสตร์ กับศาสตร์ อื่น ๆ ตามแนวทางของ Holt-Jensen, A ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อน าค าขวัญประจ าจังหวัดของแต่ละ จังหวัดมาท าการจ าแนกข้อมูลอัตลักษณ์ทางพื้นที่ที่ได้น าเสนอ พบว่าค าขวัญประจ าจังหวัดส่วนใหญ่ ได้น าเสนอข้อมูลอัตลักษณ์ทางพื้นที่ ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น 7 กลุ่ม ได้แก่ 1) ท าเลที่ตั้งของ จังหวัด 2) หน้าที่หรือความส าคัญของจังหวัด 3) ลักษณะภูมิลักษณ์ของจังหวัดสิ่งปลูกสร้าง หรือ โบราณสถานของจังหวัด 5 วัฒนธรรมของจังหวัด 6) สินค้าขึ้นชื่อของจังหวัด 7) ประวัติศาสตร์ของ จังหวัด โดยเมื่อพิจารณาตามหมวดหมู่อัตลักษณ์ทางพื้นที่ที่ปรากฏอยู่ในค าขวัญของแต่ละจังหวัด พบว่ามีรูปแบบการน าเสนอดังนี้ 3.1 ท าเลที่ตั้งของจังหวัด ด้วยลักษณะการน าเสนอข้อมูลผ่านค าขวัญ ที่ มีข้อจ ากัดด้านความกระชับของค า ท าให้การน าเสนอข้อมูลท าเลที่ตั้งของจังหวัด จะเป็นไปในลักษณะ ของการบอกที่ตั้งสัมพันธ์ของจังหวัดว่าอยู่บริเวณใดของประเทศ โดยอาจจะอ้างอิงจากเรื่องของ ทิศทาง หรือความใกล้กับสถานที่ส าคัญของประเทศ โดยเมื่อท าการจัดกลุ่มจังหวัดที่การน าเสนอค า ขวัญในลักษณะนี้พบว่า มีจ านวนทั้งสิ้น 10 จังหวัด ตัวอย่างเช่น นครนายก: เมืองในฝันที่ใกล้กรุง ภูเขางาม น้ าตกสวย... ตราด: ...ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา เชียงราย: เหนือสุดยอดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน... บึงกาฬ: ...ประเพณีแข่งเรือ เหนือสุดแดนอีสาน... 3.2 หน้าที่หรือความส าคัญของจังหวัด ในกลุ่มของจังหวัดที่มีลักษณะเด่นหรือมี ความส าคัญต่อการบริหารประเทศ เศรษฐกิจของประเทศ มักจะมีการน าเสนอความส าคัญหรือหน้าที่ ของจังหวัดผ่านทางค าขวัญด้วยเช่นกัน โดยจังหวัดที่มีการน าเสนอค าขวัญในลักษณะนี้มีด้วยกันทั้งสิ้น 10 จังหวัด


58 ตัวอย่างเช่น สมุทรปราการ: ...ปลาสลิด แห้งรสดี ประเพณีรับบัว ครบถ้วนทั่วอุตสาหกรรม สมุทรสาคร: เมืองประมง ดงโรงงาน... นนทบุรี: ...นามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ ปัตตานี: เมืองงามสามวัฒนธรรม ศูนย์ฮาลาลเลิศล้ า... 3.3 ลักษณะภูมิลักษณ์ของจังหวัด เป็นการน าเสนอลักษณะเด่นทางพื้นที่ ในเชิงกายภาพหรือสภาพแวดล้อมของจังหวัดนั้น ๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่มีความส าคัญมากแต่ละจังหวัด จะพยายามหยิบยกอัตลักษณ์ของสภาพพื้นที่มาใส่ไว้ในค าขวัญประจ าจังหวัด เนื่องด้วยมีความ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัด โดยภาพรวมพบว่า การน าเสนอ ลักษณะภูมิลักษณ์ในค าขวัญนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดโดยมีจ านวนจังหวัดทั้งสิ้น 56 จังหวัดที่มีการน าเสนอข้อมูลในส่วนนี้ เมื่อพิจารณาลักษณะภูมิลักษณ์ที่แตกต่างกันตามแต่ละสถานที่ จะสามารถจัดกลุ่มลักษณะภูมิลักษณ์ที่ถูกน าเสนอในค าขวัญได้ ดังนี้ 1) ป่าไม้ ภูเขา ถ้ า 2) ทะเล 3) น้ าตก 4) แหล่งน้ า ได้แก่ แม่น้ า ทะเลสาบ บึง คลอง และ 5) แหล่งแร่ธรรมชาติ 3.4 สิ่งปลูกสร้าง หรือโบราณสถานของจังหวัด เป็นเครื่องหมายทางวัตถุ ที่เกิดจากการสรรค์สร้างของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง ในด้านต่าง ๆ ของแต่ละจังหวัด เช่น ศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ เป็นต้น โดยสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นสถานที่ส าคัญประจ าจังหวัดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบรรจุไว้ในค าขวัญของแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่ จะมีความส าคัญในฐานะเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจ าจังหวัด สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยม ชมและเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของสิ่งปลูกสร้างที่ส าคัญเหล่านี้ด้วย เมื่อพิจารณาจากค าขวัญ ประจ าจังหวัดทั้งหมดพบว่า กลุ่มจังหวัดที่หยิบยกสิ่งปลูกสร้างส าคัญขึ้นมาน าเสนอในค าขวัญประจ า จังหวัดมีทั้งสิ้น 33 จังหวัด ตัวอย่างเช่น กาญจนบุรี: มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ าแคว แหล่งแร่น้ าตก... ชัยนาท: หลวงปู่สุขลือชา เขื่อนเจ้าพระยาลือชื่อ... แม่ฮ่องสอน: หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี... สกลนคร: พระธาตุเชิงชุมคู่บ้าน พระต าหนักภูพานคู่เมือง 3.5 วัฒนธรรมของจังหวัด นอกจากประเด็นด้านลักษณะกายภาพแล ะ สิ่งปลูกสร้างประจ าจังหวัดที่แตกต่างกันออกไปจนถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นจุดเด่นประจ าจังหวัดแล้ว ประเด็นด้านวัฒนธรรมประจ าจังหวัดก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สามารถสร้างอัตลักษณ์ประจ าจังหวัดได้


59 เป็นสิ่งแวดล้อมประจ าถิ่นที่คนในพื้นที่สร้างขึ้น (ลักษณะเป็นนามธรรม) โดยถูกน าเสนอออกมาในรูป ของ วัฒนธรรม ประเพณี เทศกาล และความศรัทธาในศาสนา เป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่ดึงดูดให้เกิดการ ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขึ้นภายในจังหวัด ซึ่งกลุ่มจังหวัดที่มีการน าเสนอวัฒนธรรมประจ าจังหวัดไว้ใน ค าขวัญประจ าจังหวัดมีจ านวนทั้งสิ้น 49 จังหวัด ตัวอย่างเช่น นครสวรรค์: เมืองสี่แคว แห่มังกร พักผ่อนบึงบอระเพ็ด... ปัตตานี: เมืองงามสามวัฒนธรรม ศูนย์ฮาลาลเลิศล้ า ชนน้อมน าศรัทธา... พิจิตร: แข่งเรือยาวประเพณี พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ... สมุทรปราการ: สงกรานต์พระประแดง ปลาสลิด แห้งรสดี ประเพณีรับบัว.. 3 .6 สินค้ าขึ้นชื่อของจังหวัด เป็นก า รน าเสนอสินค้ าที่เป็นภาพตัวแทน ของจังหวัด ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นเป็นสินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและมักจะถูกนิยามให้เป็น สินค้าของฝากประจ าจังหวัดด้วย โดยลักษณะของสินค้าขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด สามารถแบ่งประเภท ได้เป็น สินค้าเกษตร สินค้าแปรรูปที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนในพื้นที่ เมื่อพิจารณาจากค าขวัญประจ า จังหวัดพบว่า กลุ่มจังหวัดที่มีการน าเสนอสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดลงไปในค าขวัญประจ าจังหวัดมี จ านวนทั้งสิ้น 51 จังหวัดซึ่งมากเป็นล าดับที่สอง รองจากการน าเสนอลักษณะภูมิลักษณ์ของจังหวัด ตัวอย่างเช่น ขอนแก่น: ...ศูนย์รามผ้าไหม ร่วมใจผูกเสี่ยว เที่ยวขอนแก่นนครใหญ่... ตรัง: ...หมูย่างเลิศรส ถิ่นก าเนิดยางพารา เด่นสง่าดอกสีตรัง... เพชรบุรี:เขาวังคู่บ้าน ขนมหวาน เมืองพระ เลิศล้ าศิลปะ... ราชบุรี:เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่ ตื่นใจถ้ างาม... 3.7 ประวัติศาสตร์ของจังหวัด นอกจากปัจจัยที่สามารถสัมผัสได้ในความเป็น ปัจจุบัน เมื่อมองในมิติของเวลา เช่น ลักษณะภูมิลักษณ์ วัฒนธรรม สินค้า แต่ในขณะเดียวกันพื้นที่ ของแต่ละจังหวัดนั้น ต่างก็มีการทับซ้อนมิติเวลาอยู่ด้วยเช่นกัน คือ กรณีการเกิดเหตุการณ์ส าคัญ 1 ของประเทศขึ้นในอดีต ดังนั้นประเด็นทางด้านประวัติศาสตร์จึงถูกหยิบขึ้นมาน าเสนอให้ผู้คนได้รับรู้ เป็นวงกว้าง โดยจังหวัดที่มีเหตุการณ์ส าคัญทางประวัติศาสตร์มักจะหยิบยกเหตุการณ์ สถานการณ์ นั้น ๆ ขึ้นมาน าเสนอไว้ในค าขวัญประจ าจังหวัดด้วย นับเป็นการสร้างความส าคัญให้กับจังหวัดอีก วิธีการหนึ่ง เมื่อพิจารณาจากค าขวัญประจ าจังหวัด พบว่ามีจังหวัดที่น าเสนอเรื่องประวัติศาสตร์ ของจังหวัดทั้งสิ้น 31 จังหวัด ตัวอย่างเช่น สุพรรณบุรี: เมืองยุทธหัตถี วรรณคดีขึ้นชื่อ เลื่องลือพระเครื่อง... ตราด: ...ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา


60 พิษณุโลกะ พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นก าเนิดพระนเรศวร... พระนครศรีอยุธยา: ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ า เลิศล้ ากานกวี คนดีศรีอยุธยา... 4. ค้าขวัญประจ้าจังหวัดกับมุมมองทางภูมิศาสตร์ เมื่อท าการพิจารณากลุ่มของค าขวัญประจ าจังหวัดข้างต้น โดยใช้มุมมองทางภูมิศาสตร์ ในบริบทการศึกษาภูมิศาสตร์สมัยใหม่ จะเห็นได้ว่าการน าเสนอข้อมูลอัตลักษณ์ของจังหวัดต่าง ๆ นั้น มีความสอดคล้องกับมุมมองทางภูมิศาสตร์ใน ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ท าเลที่ตั้ง (Location) 2) สถานที่ (Place) 3) ภูมิภาค (Region) และ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และโลก (HumanEarth Relationships) โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้ 4.1 ท าเลที่ตั้ง เป็นการน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของจังหวัด โดยใช้วิธีการน าเสนอ ในลักษณะที่ตั้งสัมพันธ์ (Relative Location) ซึ่งมีการใช้ "กรุงเทพมหานคร" เป็นจุดอ้างอิงทิศทาง และที่ตั้ง เนื่องจากเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจุดศูนย์กลางของบริหาร การ ปกครอง เป็นที่รับรู้โดยสากลของคนทั้งประเทศรวมทั้งคนจากต่างประเทศด้วย 4.2 สถานที่ เป็นการน าเสนออัตลักษณ์ของพื้นที่ เช่น ลักษณะเด่นทางภูมิศาสตร์ (ภูเขา แม่น้ า ป่าไม้แร่ธาตุ ทรัพยากร เป็นต้น) บริบทหรือหน้าที่ของจังหวัด (การเป็นเมือง อุตสาหกรรม การเป็นศูนย์ราชการการเป็นแหล่งวัฒนธรรม เป็นต้น) นอกจากนี้ประเด็นด้านสิ่งปลูก สร้างที่ส าคัญในจังหวัด (พระราชวังแหล่งโบราณสถาน วัด อาคารบ้านเรือน เป็นต้น) ก็มักจะถูก น าเสนอออกมาในมิติด้านสถานที่ เนื่องจากเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นบนพื้นที่จังหวัดนั้น ๆ อย่าง ถาวร (เป็นปรากฏการณ์เชิงพื้นที่ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่นได้ ซึ่งลักษณะอัตลักษณ์ที่ กล่าวมาข้างต้น เป็นลักษณะเด่นทางพื้นที่ ที่จังหวัดอื่นไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้ 4.3 ภูมิภาค เป็นการวิเคราะห์หรือจัดกลุ่มสมาชิกที่มีความคล้ายคลึงกันในด้าน ต่าง ๆ ในการศึกษาทางภูมิศาสตร์นั้นมีการศึกษาเชิงภูมิภาคมาอย่างยาวนาน เช่น การศึกษาภูมิภาค ทางกายภาพ การศึกษาภูมิภาคทางเศรษฐกิจ การศึกษาภูมิภาคทางวัฒนธรรม เป็นต้น โดยทั่วไป การก าหนดขอบเขตภูมิภาคนั้น จะแบ่งเขตภูมิภาคโดยเส้นสมมติ โดยจัดกลุ่มของความเหมือน ความคล้ายคลึงทางพื้นที่ เช่น ภูมิภาคที่มีสภาพอากาศอบอุ่นภูมิภาคที่มีลักษณะทางกายภาพ เป็นชายหาด ภูมิภาคที่มีชาวพุทธอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เป็นต้น ในการพิจารณาความเป็นภูมิภาค จากค าขวัญประจ าจังหวัด พบว่า ขอบเขตของจังหวัดเป็นขอบเขตการปกครองที่มีการขีดแบ่ง โดยไม่ได้ค านึงถึงความเหมือนหรือความคล้ายคลึงเชิงพื้นที่ ดังนั้นเมื่อท าการแบ่งขอบเขตของจังหวัด ออกจากกันแล้ว ลักษณะทางกายภาพ ชีวภาพ และวัฒนธรรมของพื้นที่จึงถูกขีดแบ่งส่วนไปด้วย โดยปริยาย ต่อมาเมื่อแต่ละจังหวัดได้น าสนออัตลักษณ์หรือลักษณะเด่นประเภทต่าง ๆ (ของจังหวัด ตนเองผ่านค าขวัญประจ าจังหวัดเราจะพบว่ามีหลากหลายจังหวัดที่ได้น าสนอสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ที่มี


61 ลักษณะเหมือน ๆ กัน ซึ่งหากเราท าการขีดเส้นรวบรวมพื้นที่จังหวัดที่มีการน าเสนอสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ก็จะเป็นการสร้างขอบเขตทางด้านภูมิภาคขึ้นมาใหม่นั่นเอง 4.4 ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และโลก เป็นประเด็นส าคัญที่สามารถเชื่อมโยง ให้เห็นถึงลักษณะของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และทรัพยากรในพื้นที่ โดยทั่วไปแต่ละจังหวัดจะน าเสนอสินค้าประจ าจังหวัดของตนเองให้เป็นที่รู้จัก ของสังคมเป็นวงกว้าง ทั้งสินค้าประเภทอาหารผลไม้ หรือสินค้าประเภทเครื่องใช้ เช่น ผ้าไหม ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องประดับ สินค้าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกผลิตขึ้นมาโดยอาศัยวัตถุดิบจากภายในพื้นที่ ผ่านกระบวนการคิด ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ทั้งสิ้นดังนั้นสินค้าประจ าจังหวัดที่ถูก หยิบยกขึ้นมาน าเสนอผ่านทางค าขวัญประจ าจังหวัดจึงเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์และโลกได้เป็นอย่างดี 4.3.8 ผลงานที่ 8 แนวปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารจัดการสวนส้มโอจากเกษตรกรผู้ปลูกส้ม โอตัวอย่าง จากการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ คุณทิม ไทยทวี เกิดเมื่อ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 เป็นชาวต าบลทรงคนอง อ าเภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม บรรพบุรุษเป็นชาวจีนมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยคุณพ่อเป็นลูกจีนและ คุณแม่เป็นคนไทย คุณทิม ไทยทวีจึงสืบเชื้อสายไทยจีน โดยพื้นฐานครอบครัวประกอบอาชีพท านา เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นได้ท านาตามบรรพบุรุษแต่เห็นว่าอาชีพท านามีความยากล าบากและไม่ร่ ารวย คุณทิม ไทยทวี จึงขอครอบครัวไปแสวงโชคท าเหมืองแร่ดีบุกที่จังหวัดพังงา ต่อมาพบว่าตนเอง ไม่เหมาะกับการท าเหมืองแร่เนื่องจากไม่มีความรู้ในการท าเหมืองประกอบกับขณะนั้นเป็นช่วงที่แร่ ราคาตกลง คุณทิม ไทยทวี จึงกลับมายังบ้านเกิดที่นครปฐมและมองเห็นว่าคนในลุ่มแม่น้ านครชัยศรี นิยมท าสวนเนื่องจากสภาพพื้นที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะการปลูกส้มโอ ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงอย่าง ยาวนานคู่กับพื้นที่นครชัยศรี และมองว่าคนท าสวนสามารถท าได้ทุกวันจะต่างจากคนท านา จึงตัดสินใจมาท าสวนส้มโอโดยนับเป็นจุดเปลี่ยนที่ส าคัญของชีวิตคุณทิม ไทยทวีการเริ่มท าสวนส้มโอ นั้นเริ่มจากคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานใด ๆ เกี่ยวกับส้มโอ เนื่องจากเป็นลูกชาวนามิใช่ลูกชาวสวน จึงตั้งใจเรียนรู้หาประสบการณ์จากผู้รู้ แต่ชาวสวนส่วนใหญ่ยังคงปกปิดภูมิปัญญาในการเพาะ ปลูกส้มโอ แต่คุณทิม ไทยทวี ก็ได้ใช้ความพยายามและการตั้งใจเรียนรู้ ทั้งมีการลองผิดลองถูกจน เข้าใจศาสตร์ของการปลูกส้มโอ ในที่สุดคุณทิม ไทยทวี ได้ประสบความส าเร็จในการปลูกส้มโอ เป็นอย่างมาก โดยในปี พ.ศ. 2524-2525 คุณทิม ไทยทวีได้ส่งส้มโอไปประกวดที่งานเกษตรแฟร์ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตบางเขน ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 คุณทิม ไทยทวี ได้จัดตั้งกลุ่ม รับซื้อส้มโอ เพื่อแก้ไขปัญหาที่พ่อค้าคนกลางที่เอาเปรียบชาวสวนในการซื้อขายและสามารถแก้ไข ปัญหาความไม่เป็นธรรมดังกล่าวให้หมดไปได้ในปี พ.ศ. 2530และยังริเริ่มการจ าหน่ายส้มโอ


62 ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยภายในประเทศคุณทิม ไทยทวี ได้วางขายสินค้า ในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดอีกทางหนึ่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ได้เกิดมหาอุทกภัย พื้นที่นครชัยศรีเป็นพื้นที่รับน้ าขนาดใหญ่ส่งผลต่อ ความเสียหายของสวนส้มโอเป็นอย่างมาก คุณทิม ไทยทวี เป็นผู้มีบทบาทส าคัญในการผลักดันการ เรียกร้องเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลให้กับเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอที่ได้รับความเสียหายจากน้ าท่วม จนประสบผลส าเร็จ ต่อมาได้คุณทิม ไทยทวี ได้ผลักดันส้มโอนครชัยศรีให้ได้รับการจดทะเบียน เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของส้มโอ และได้ผลักดันให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกส้ม โอเพื่อจัดตั้งเป็นสมาคมส้มโอไทย และได้รับต าแหน่งนายกสมาคมส้มโอไทยเป็นคนแรก อีกด้วย จากความส าเร็จในการปลูกส้มโอส่งผลให้คุณทิม ไทยทวีได้รับปริญญามหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพืชศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2533 และในปี พ.ศ. 2542 ได้รับรางวัลคนดีศรีนครปฐม ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกในจังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ได้มอบปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเทคโนโลยีการผลิต พืชให้แก่คุณทิม ไทยทวี ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในการผลิตส้มโอ ซึ่งเกิดจากการผสมผสานเทคโนโลยีด้านการเกษตรสมัยใหม่ ปัจจุบันสวนส้มโอไทยหวีของคุณทิม ไทยทวี เป็นแหล่งการเรียนรู้ทางการเกษตรให้แก่ นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา และเกษตรทั่วประเทศซึ่งให้ข้อมูลทักษะภูมิปัญญาการปลูก ส้มโอ และการใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์ในการเพาะปลูกส้มโออีกด้วย ส าหรับทักษะภูมิปัญญาการปลูกส้มโอนั้น สืบเนื่องจากการไม่มีความรู้พื้นฐานในการท าสวนส้มโอท าให้คุณทิม ไทยทวี แสวงวิธีการต่าง ๆ เพื่อน ามาเป็นเทคนิคในการปลูกส้มโอ แต่เดิมความรู้เทคนิควิธีการต่าง ๆ ในการปลูกส้มโอ ของชาวสวนยังมีค่อนข้างน้อย และส่วนใหญ่จะสืบทอดกันภายในครอบครัว แต่ปัญหาหลักที่ชาวสวน ส้มโอต้องประสบกันอยู่เสมอคือเรื่องโรคแมลง คุณทิม ไทยทวี จึงมองว่าต้นไม้เหมือนกับคน หากต้นไม้เป็นโรคไม่แข็งแรงเมื่อใส่ปุ๋ยลงไปต้นไม้ก็ไม่สามารถดูดไปใช้ได้ จึงต้องรักษาโรคของต้นไม้ ให้หายเสียก่อน เมื่อต้นส้มโอแข็งแรงดีก็จะให้ผลผลิตที่ดีสมบูรณ์ จากการแก้ไขปัญหาเรื่องโรคแมลง ส าเร็จท าให้สวนไทยทวีได้ผลผลิตที่ดีและเป็นที่ยอมรับทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ คุณทิม ไทยทวี ได้ศึกษาด้านจุลินทรีย์เพื่อน ามาใช้ท าปุ๋ยจุลินทรีย์ในการปลูก ส้มโอ สืบเนื่องจากราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของปุ๋ยเคมีที่เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยหลักในการท าสวนส้ม โอ ท าให้ชาวสวนประสบปัญหาภาวะการขาดทุน คุณมไทยทวีจึงหาทางแก้ไขปัญหาโดยขอความ ร่วมมือจากนักวิชาการปุ๋ยอินทรีย์ และได้เริ่มซื้อจุลินทรีย์มาใช้ในการศึกษา ทั้งนี้จุลินทรีย์ที่ศึกษามี 4 กลุ่ม คือ ยีสต์ ไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา ได้น ามาผลิตเป็นปุ๋ยจุลินทรีย์และทดลองใช้กับส้มโอ ในสวนไทยทวี ผลปรากฏว่าใบของส้มโอใหญ่ผลสวย สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง และการใช้ปุ๋ย อินทรีย์ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน


63 จากความส าเร็จครั้งนี้ท าให้คุณทิม ไทยทวี ได้รับเลือกเป็นที่ปรึกษากรรมการกิตติมศักดิ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเกษตรเรื่องปุ๋ยอินทรีย์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม คุณทิม ไทยทวี ได้กล่าวว่าสภาพดิน ของนครชัยศรีถือเป็นปัจจัยหลักที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ส้มโอนครชัยศรี และท าให้ส้มโอนครชัยศรี เป็นเอกลักษณ์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย เนื่องจากสภาพดินที่เกิดจากการสะสมของอินทรียวัตถุ อย่างยาวนาน ท าให้ดินมีธาตุอาหารต่าง ๆ จ านวนมาก และจากสภาพอากาศที่ร้อนชื้น ท าให้รสชาติ ของส้มออกมาดีแตกต่างจากที่อื่นส าหรับอนาคตของส้มโอนครชัยศรีนั้น คุณทิม ไทยทวี กล่าวว่าเรื่อง ของตลาดจะมีปัญหาการส่งออกลดลง และจะมีการพยายามหาเทคโนโลยีสมัยใหม่ผสานกับภูมิปัญญา ดั้งเดิมในการค้นคว้าเรื่องส้มโอต่อไป ทั้งนี้การปลูกส้มโอในบริเวณนครชัยศรีจะน้อยลง เนื่องจาก สภาพเศรษฐกิจต่าง ๆ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอได้มีการประชุมกันถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยมีความเห็นว่าจะขอบริเวณพื้นที่สวนส้มโอจากทางรัฐบาลต่อไป 4.3.9 ผลงานที่ 9 การส่งเสริมการรู้ดิจิทัลส้าหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม: ถอดบทเรียนจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยเว็บโอเมทริกซ์ จากการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ แนวทางการส่งเสริมการรู้ติจิทัลส้าหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมได้รับการจัดอันดับจากเว็บโอเมทริกซ์เป็นล าดับที่ 3,335 โดยมีอันดับการแสดงตนเป็นล าดับที่ 1,742 อันดับผลกระทบเป็นล าดับที่ 4,788 อันดับ การเปิดกว้างเป็นล าดับที่ 3,480 และอันดับความเป็นเลิศเป็นล าดับที่ 3,994 (Webometrics, 2019 c) เมื่อเปรียบเทียบการจัดอันดับเว็บโอเมทริกซ์กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมได้ก าหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า "มุ่งผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติรองรับการ พัฒนาประเทศและเป็นพลังปัญญาของท้องถิ่น" และก าหนดยุทธศาสตร์ (มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม, 2562 ก, หน้า 35-45) ไว้ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติที่มีศักยภาพรองรับการพัฒนาประเทศ เป้าประสงค์ คือ บัณฑิตมีทักษะ สมรรถนะวิชาชีพและความคิดสร้างสรรค์ เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยกระดับคุณภาพการศึกษาและเป็นศูนย์กลางการพัฒนาการศึกษาของ ท้องถิ่น เป้าประสงค์ คือ สถานศึกษาได้รับการยกระดับคุณภาพการศึกษาและบัณฑิตครู เป็นที่ยอมรับในภูมิภาคตะวันตก ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนท้องถิ่น เป้าประสงค์ คือ ประชาชน ใน พื้นที่เป้าหมายมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้วัฒนธรรม ความเป็นไทย และสามารถปรับตัวเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ยุทธศาสตร์ที่ 4 มหาวิทยาลัยแห่งความสุข มีเสถียรภาพ และบริหารจัดการ ด้วย หลักธรรมาภิบาล เป้าประสงค์ คือ บุคลากรมีทักษะและสมรรถนะจิตบริการ รักองค์กร มี


64 ความสุขในการท างาน ด าเนินตามค่านิยมหลัก NPRU และได้รับสวัสดิการที่ดี (มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม, 2562 ก, หน้า 35-45) เว็บไซต์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (URL: https://www.npru.ac.th/index.php) น าเสนอ รายละเอียดตามตารางที่ 8 (มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2562) เว็บไซต์ส านักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (URL : http://arit.npru.ac.th) น าเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติห้องสมุด ปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ โครงสร้างการบริหารงาน โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ คณะผู้บริหาร บุคลากร แผนผังห้องสมุด ระเบียบการใช้ห้องสมุด บริการยืมคืนหนังสือ บริการวารสารและหนังสือพิมพ์ บริการโสตทัศนวัสดุ บริการส่งสริมการอ่านและการเรียนรู้ บริการจองใช้ห้องปฏิบัติการ บริการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ บริการฐานข้อมูลออนไลน์ที่ห้องสมุดบอกรับเป็นสมาชิก ฐานข้อมูลท้องถิ่น คู่มือการใช้ห้องสมุด วิธีการยืมต่อด้วยตนเอง วิธีการจองหนังสือด้วยตนเอง ปฏิทินกิจกรรม และข่าวประชาสัมพันธ์ (มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2562 ข) จากการศึกษาสถานการณ์กรส่งเสริมการรู้ดิจิทัล พบว่า แต่ละประเทศได้ให้ความส าคัญกับ การส่งเสริมการรู้ดิจิทัล เนื่องจากเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้กลายเป็นสิ่งจ าเป็นทั้งในทางเศรษฐกิจและ สังคม ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า การรู้ดิจิทัลเป็นทักษะและความสามารถที่จะท า ให้ประชากรในประเทศมีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น ให้เกิดประโยชน์ ได้อย่างสูงสุด การด าเนินการของประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการรู้ดิจิทัล เมื่อท าการเปรียบเทียบแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยพบว่า มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ได้ก าหนดเป็นแนวทางหรือเป้าหมายหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเพื่อส่งเสริมการรู้ดิจิทัล ให้กับนักศึกษา โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงขึ้น ฝึกอบรมบุคลากรและนักศึกษาให้สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนการเรียน การสอนและการวิจัยของมหาวิทยาลัย ซึ่งจากการศึกษาแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัย พบว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ให้ความส าคัญกับการส่งเสริมการรู้ดิจิทัลมากที่สุด โดยได้จัดท าแผน กลยุทธ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ในขณะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐมยังไม่มีการก าหนดกลยุทธ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการรู้ดิจิทัล ดังนั้น จึงควรจัดท า แผนส่งเสริมการรู้ดิจิทัล หรือก าหนดเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งเพิ่มเติมในแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ส าหรับเว็บไซต์มหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏครปฐมได้จัดท า เว็บไซต์เพื่อให้สารสนเทศที่คล้ายคลึงกัน เช่น ประวัติมหาวิทยาลัย โครสร้างองค์กร การสมัครเข้า ศึกษาต่อ หลักสูตรที่เปิดรับ ข้อมูลที่ส าคัญและจ าเป็นส าหรับบุคลากรในมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็น นักศึกษา อาจารย์ เจ้าหน้าที่สายสนับสนุน รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองของนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นต้น


65 ส าหรับเว็บไซต์มหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ได้จัดท าเว็บไซต์เพื่อให้สารสนเทศที่คล้ายคลึงกัน เช่น ประวัติมหาวิทยาลัย โครสร้างองค์กร การสมัครเข้าศึกษาต่อ หลักสูตรที่เปิดรับ ข้อมูลที่ส าคัญและจ าเป็นส าหรับบุคลากรในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา อาจารย์ เจ้าหน้าที่สายสนับสนุน รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองของนักศึกษา มหาวิทยาลัย เป็นต้น ส่วนเว็บไซต์ของห้องสมุดมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ให้สารสนเทศที่มีความคล้ายคลึงกันเช่นเดียวกัน เช่น ประวัติห้องสมุด โครงสร้างองค์กร คู่มือการใช้ ห้องสมุด บริการต่าง ๆ ของห้องสมุดบริการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศซึ่งมีลักษณะ การสืบค้น แบบ one search ซึ่งเป็นการสืบค้นฐานข้อมูลหลาย ๆ ฐานพร้อมกัน ด้วยการใช้ค าค้นเพียงครั้งเดียว ท าให้ประหยัดเวลาในการสืบค้น มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และ มหาวิทยาลัยเคปทาวน์ ได้จัดท าระบบการค้นหาข้อสอบย้อนหลัง โดยให้บริการอยู่บนเว็บไซต์ ของห้องสมุด นักศึกษาสามารถค้นคว้าข้อสอบต่าง ๆ ส าหรับการเตรียมตัวสอบวัดผล ของมหาวิทยาลัยอย่างไรก็ตาม จากการศึกษา พบว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัย อ๊อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มหาวิทยาลัยเคปทาว์น มหาวิทยาลัยชิงหัว และจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยได้จัดท าคลังสารสนเทศสถาบันเพื่อจัดเก็บผลิตผล ทางภูมิปัญญาของบุคลากร ในมหาวิทยาลัย และสามารถเข้าถึงออนไลน์ได้อย่างเสรี (open access) ในขณะที่เว็บไซต์ของส านัก วิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ยังไม่ปรากฏคลังสารสนเทศ สถาบัน ดังนั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมควรจัดท าคลังสารสนเทศสถาบัน โดยจัดท า เป็นฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อจัดเก็บผลงานต่าง ๆ ของอาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรสายสนับสนุน ฐานข้อมูลนี้จะเป็นแหล่งสารสนเทศดิจิทัลที่นักศึกษาใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ ผลที่ตามมานั้น นอกจากนักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นในเนื้อหาที่เรียนแล้วยังช่วยให้นักศึกษามีทักษะการรู้ ดิจิทัลสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ จากการศึกษางานวิจัย เรื่อง การรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (วลัยลักษณ์ อมรสิริพงศ์, 2561, หน้า 46) ผลการวิจัย สรุปได้ว่า นักศึกษามีค่าเฉลี่ยด้านการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมาก x̄= 3.81, SD = 0.83) เมื่อพิจารณา ตามมาตรฐาน พบว่า นักศึกษามีค่าเฉลี่ยด้านการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมากทั้ง 5 มาตรฐาน เรียงตามล าดับได้ดังนี้ มาตรฐานที่ 1 ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการสารสนทศ และสามารถ อธิบายสารสนเทศที่ต้องการได้(x̄= 3.88, SD = 0.81) มาตรฐานที่ 4 วิเคราะห์และสังเคราะห์ สารสนเทศที่มีอยู่สู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ (x̄= 3.84, SD = 0.82) มาตรฐานที่ 3 ประเมิน สารสนเทศและแหล่งสารสนเทศได้ (x̄= 3.79, SD = 0.80) มาตรฐานที่ 5 เข้าใจบริบทด้านจริยธรรม


66 กฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการใช้สารสนเทศได้(x̄= 3.77 SD = 0.86) และมาตรฐานที่ 2 เข้าถึง/ค้นหา สารสนเทศที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (x̄= 3.75, SD = 0.86) ตามล าดับ (วลัยลักษณ์ อมรสิริพงศ์, 256 1, หน้า 53) มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมได้ส่งเสริมการรู้สารสนเทศส าหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การปฐมนิเทศการใช้ห้องสมุดการสอนในรายวิชา 2500118 สารสนเทศ เพื่อการศึกษาค้นคว้า การสอนโดยมีเนื้อหาเพียงบางส่วนในรายวิชาต่าง ๆ เช่น รายวิชาระเบียบวิธี วิจัย รายวิชา การศึกษาค้นคว้าอิสระ การจัดท าคู่มือการใช้ห้องสมุด การอบรมการสืบคันฐานข้อมูล การให้ข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์ห้องสมุด และจากการศึกษาการรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม พบว่านักศึกษามีค่าเฉลี่ยการรู้สารสนทศในมาตรฐานที่ 2 (เข้าถึง/ ค้นหา สารสนเทศที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล) ต่ าที่สุด ดังนั้น ประเด็นที่ควรให้ ความส าคัญในการพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศ คือ การสืบค้นสารสนเทศ โดยจัดท าเป็นบทเรียน ออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศแล้ว ยังช่วยในการส่งเสริมการรู้ดิจิทัลให้กับ นักศึกษาได้อีกด้วย เนื่องจากการรู้สารสนเทศและการรู้ดิจิทัลเป็นแนวคิดที่มีความสัมพันธ์และ ใกล้เคียงกัน ทั้งสองแนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับทักษะและความสามารถที่เหมือนกัน คือ เป็นทักษะและ ความสามารถในการระบุแหล่งสารสนเทศ วิเคราะห์ประเมินใช้ และสื่อสารสารสนเทศได้ แต่แตกต่างกันในประเด็นที่การรู้ดิจิทัลเป็นทักษะและความสามารถที่ต้องใช้ทคโนโลยีสารสนเทศ ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลได้ (พรชนิตว์ ลีนาราช, 2560, หน้า 82) หากเมื่อพิจารณามาตรฐานด้านการรู้ สารสนเทศ จ าแนกตามชั้นปี เรียงตามล าดับค่าเฉลี่ยได้ดังนี้ คือ ชั้นปีที่ 1 ชั้นปีที่ 4 ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 ที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 เพิ่งผ่านการปฐมนิเทศการใช้ห้องสมุด และนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามบางส่วนได้ผ่านการเรียนรายวิชา 2500118 สารสนเทศ เพื่อการศึกษาค้นคว้า ซึ่งก าหนดเป็นรายวิชาเลือกในหมวดวิชาศึกษาทั่วไปท าให้นักศึกษามีความรู้สึก ว่าตนเองคุ้นเคยกับทักษะการรู้สารสนเทศแต่หลังจากเข้าสู่ชั้นปี ที่ 2-3 ทักษะการรู้สารสนเทศไม่ได้ น ามาฝึกฝน อย่างต่อเนื่องและใช้อย่างสม่ าเสมอในการเรียนรายวิชาต่าง ๆ เมื่อเข้าสู่ชั้นปีที่ 4 หลาย หลักสูตรได้ก าหนดให้นักศึกษาเรียนรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย จึงท าให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกฝน ทักษะการรู้สารสนเทศอีกครั้ง ดังนั้น ผู้สอนรายวิชาต่าง ๆ ควรมอบหมายงานที่จะช่วยพัฒนาทักษะ การรู้สารสนเทศแก่นักศึกษาทุกชั้นปีอย่างต่อเนื่อง เช่น ทักษะการวางแผนท ารายง าน การก าหนดหัวข้อรายงาน การจ ากัดหัวข้อรายงานให้แคบลง การเรียบเรียงรายงาน การสืบค้นข้อมูล เพื่อใช้ในการท ารายงาน เป็นต้น (วลัยลักษณ์อมรสิริพงศ์, 2561, หน้า 61-62) และส่งเสริมสนับสนุน ให้นักศึกษาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียน รวมทั้งให้ความส าคัญกับการท างานเป็นทีม


67 การมีจริยธรรมในการใช้สารสนเทศ และการให้ความรู้ด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ เพื่อเป็นการส่งเสริม นักศึกษาให้มีทักษะและความสามารถครบตามองค์ประกอบของการรู้ดิจิทัลที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ส าหรับรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการรู้ดิจิทัลนั้น ธิดา แช่ชั้น และทัศนีย์ หมอสอน (2559, หน้า 137-139) ได้เสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่จะพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการรู้ ดิจิทัล ได้แก่ 1) ก า รปฏิบัติต ามหลักฐานเชิงป ระจักษ์ (Evidence Based Practice: EBP) เป็นกระบวนการสืบค้นหาหลักฐานความรู้จากงานวิจัยสู่การปฏิบัติ 2) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem Based Learning: PBL) เป็นการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนสร้าง องค์ความรู้ใหม่ 3) การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning) เป็นการเรียนการ สอนที่น้นการลงมือปฏิบัติเหมือนกับการท างานในชีวิตจริง และ 4) การเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษา (Case Based Learning) มุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ อภิปราย และสรุปผลจากเรื่องราว รูปแบบการเรียน การสอนดังกล่าว ยึดหลักการที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้ฝึกคิด ฝึกปฏิบัติผู้สอนสามารถน าไป ประยุกต์ใช้กับรายวิชาที่สอนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของรายวิชาโดยอิงหลักการกระบวนการ เรียนรู้ทางพุทธิพิสัย อันได้แก่ ผู้เรียนมีความสามารถในการจ า ( remember) ความเข้าใจ (understanding) ประยุกต์(applying) วิเคราะห์ (analyzing) ประเมิน (evaluating) และการสร้าง (creating) ทางทักษะพิสัย และทางจิตพิสัย โดยมีเป้าหมายมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาด้านการรู้ ดิจิทัล นอกเหนือจากแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ควร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ เพิ่มขึ้น เพื่อให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้ง จัดเตรียมทรัพยากรเพื่อการสอน และการเรียนรู้ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล และสามารถข้าถึงได้ทาง ออนไลน์ส าหรับแนวทางการส่งเสริมการรู้ดิจิทัลส าหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สามารถสรุปได้ดังแผนภาพที่ 2


68 4.3.10 ผลงานที่ 10 การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของพื้นที่ สวนส้มโอพันธุ์ นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จากการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ จากการแปลความหมายการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณพื้นที่ศึกษาทั้ง 3 อ าเภอ ได้แก่ อ าเภอ นครชัยศรี อ าเภอสามพราน และอ าเภอพุทธมณฑลในช่วง พ.ศ. 2559 ด้วยข้อมูล ภาพ ดาวเทียม Landsat 8 ที่บันทึกข้อมูลเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559 และวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 พบว่า ในบริเวณพื้นที่ศึกษานั้นมีการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินประเภทพื้นที่ สวนมากที่สุด จ านวน 151,714.69 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 43.18 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือบริเวณ พื้นที่สิ่งปลูกสร้างมีจ านวนทั้งสิ้น 80,676.56 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 22.96 ของพื้นที่ทั้งหมด ล าดับที่สาม คือการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่นามีจ านวนทั้งสิ้น 65,286.56 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 18.58 ของพื้นที่ ทั้งหมด โดยเมื่อพิจารณารูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นรายอ าเภอนั้น พบว่า อ าเภอ สามพรานมีขนาดพื้นที่สวนมากที่สุด จ านวน 69,334.88 ไร่*คิดเป็นร้อยละ 48.59 ของพื้นที่อ าเภอ รองลงมาคือ อ าเภอนครชัยศรีมีพื้นที่สวนจ านวน 65,598.19 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 39.37 ของพื้นที่ อ าเภอ ในขณะที่การใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินประเภทสิ่งปลูกสร้างนั้นพบว่า อ าเภอ สามพรานมีขนาดพื้นที่มากที่สุด จ านวน 38,585.81 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 27.04 ของพื้นที่อ าเภอ รองลงมาคือ พื้นที่อ าเภอนครชัยศรี มีพื้นที่สิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้น31,669.31 ไร่ แต่คิดเป็นเพียงร้อยละ 19.01 ของพื้นที่อ าเภอ ล าดับถัดมาคือ การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่นา พบว่า อ าเภอนครชัยศรี มีพื้นที่ที่นาทั้งสิ้น 36.376.31 ไร่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 21.83 ของพื้นที่อ าเภอ รองลงมาคือพื้นที่ อ าเภอ สามพรานมีที่นาทั้งสิ้น 17,584.88 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.32 ของพื้นที่อ าเภอ ดังตารางที่ 1


69 ในขณะที่จ านวนเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอพันธุ์นครชัยศรี ภายในพื้นที่ศึกษาที่สามารถเก็บข้อมูล ได้นั้น มีจ านวนทั้งสิ้น 88 ราย โดยพื้นที่เพาะปลูกส้มโอนั้นมีขนาดลดลงจากเดิมเคยมีพื้นที่เพาะปลูก ทั้งสิ้น 1,069.25 ไร่ ก่อนเกิดเหตุการณ์อุทกภัย พ.ศ. 2554 ปัจจุบันขนาดพื้นที่สวนส้มโอลดลงเหลือ 1,013.75 ไร่ ลดลงทั้งสิ้น 55.50 ไร่ โดยเมื่อท าการค านวณพื้นที่สวนส้มโอของเกษตรกรเฉลี่ยต่อราย พบว่าก่อนเกิดเหตุการณ์อุทกภัย พ.ศ. 2554 นั้น เกษตรกรจะใช้พื้นที่เพาะปลูกส้มโอเฉลี่ยรายละ 12.15 ไร่ ในขณะที่ พ.ศ. 2560 เกษตรกรใช้พื้นที่เพาะปลูกส้มโอลดลง เหลือเฉลี่ยรายละ 11.52 ไร่ อย่างไร ก็ตามถึงแม้ว่าขนาดพื้นที่ในการเพาะปลูกส้มโอจะมีจ านวนที่ลดลง แต่จ านวน ส้มโอ รวมทุกสายพันธุ์ที่เพาะปลูกในพื้นที่นั้น มีจ านวนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 43,369 ต้น ก่อนเกิดเหตุการณ์ อุทกภัย พ.ศ. 2554 เป็น 43,660 ต้น ในพ.ศ. 2560 ดังนั้น เมื่อท าการค านวณจ านวนต้นส้มโอเฉลี่ย ต่อพื้นที่สวน 1 ไร่ จะพบว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์อุทกภัย พ.ศ. 2554 จ านวน ต้นส้มโอเฉลี่ยต่อไร่ ที่เกษตรกรปลูกนั้นอยู่ที่ 40.55 ต้นต่อพื้นที่ 1 ไร่ แต่ใน พ.ศ. 2560 จ านวนต้น ส้มโอเฉลี่ยต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็น 43.07 ต้นต่อพื้นที่ 1 ไร่ ดังภาพที่ 3 และตารางที่ 2


70 โดยเมื่อท าการพิจารณาขนาดพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรแต่ละรายภายในพื้นที่ศึกษาพบว่า จ านวนเกษตรกรมากกว่าร้อยละ 50 มีขนาดพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่าพื้นที่เพาะปลูกเฉลี่ยทั้งก่อน และหลังเกิดอุทกภัย พ.ศ. 2554 ที่มีพื้นที่เฉลี่ย 12.15 ไร่ต่อราย และ 1 1. 52 ต่อรายตามล าดับ โดยช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์อุทกภัย พ.ศ. 2554 นั้น เกษตรกรส่วนใหญ่มีพื้นที่เพาะปลูก 6-10 ไร่ มากที่สุด จ านวน 26 ราย คิดเป็นร้อยละ 29.55 ของจ านวนเกษตรกรทั้งหมดรองลงมาคือ กลุ่มเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูก 0-5 ไร่ มีจ านวนทั้งสิ้น 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 27.27 ของจ านวน เกษตรกรทั้งหมด ในขณะที่ พ.ศ. 2560 นั้น จ านวนของเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูก 0-10 ไร่นั้นมีการ เปลี่ยนแปลงไปเพียง 1 รายเท่านั้น คือ กลุ่มเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูก 0-5 ไร่มีจ านวนเพิ่มขึ้นเป็น 25 ราย คิดเป็นร้อยละ 28.41 ของจ านวนเกษตรกรทั้งหมด ในขณะที่เกษตรกรที่ท าการเพาะปลูกส้มโอในพื้นที่มากกว่า 30 ไร่เพียง 1 รายเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่มีส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดพื้นที่สวนส้มโอมากที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกรที่เคยท าการ เพาะปลูก ส้มโอในพื้นที่ระหว่าง 26-30 ไร่ ในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์อุทกภัย พ.ศ. 2554 มีจ านวนทั้งสิ้น 9 ราย คิดเป็น ร้อยละ 10.23 ได้มีจ านวนลดลงในช่วง พ.ศ. 2560 เหลือเพียง 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 5.68 ของจ านวนเกษตรกรทั้งหมด ดังตารางที่ 3


71 ภายหลังจากเกิดปัญหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 ซึ่งท าให้สวนส้มโอภายในพื้นที่ได้รับความ เสียหาย ท าให้เกษตรกรผู้ปลูกส้มโอต้องเริ่มท าการเพาะปลูกส้มโอกันใหม่ โดยเกษตรกรบางรายได้ลง มือเพาะปลูกส้มโอครั้งใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2555 ในขณะที่เกษตรกรบางรายยังชะลอการเริ่มเพาะปลูกส้ม โอออกไปก่อนเนื่องด้วยความไม่มั่นใจในการจัดการปัญหาอุทกภัยในปีต่อไป รวมทั้งเรื่องของต้นทุน ที่ต้องใช้ในการเพาะปลูก แต่เมื่อเกษตรกร ในพื้นที่ท าการเพาะปลูกส้มโอครั้งใหม่จะพบว่าใน พ.ศ. 2560 นั้นเกษตรกรยังคงนิยมปลูกส้มโอพันธุ์ทองดีมากที่สุด จ านวนทั้งสิ้น 24,360 ต้น โดยมีเกษตรกรที่ปลูกส้มโอสายพันธุ์นี้ทั้งสิ้น 84 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม 1 ราย แต่ในภาพรวมกับพบว่า จ านวนต้นส้มโอสายพันธุ์ทองดีนั้นมีจ านวนที่ลดลง จากช่วงก่อนเกิดอุทกภัย พ.ศ. 2554 เคยมีการเพาะปลูกมากถึง 26,685 ต้น ท าให้ในภาพรวมนั้นจ านวนส้มโอพันธุ์ทองดีจ านวน ลดน้อยลงถึง 2,325 ต้น ในขณะที่ส้มโอสายพันธุ์ขาวน้ าผึ้งนั้นมีเกษตรกรเพาะปลูกมากขึ้นเป็น 80 ราย จากเดิม 78 ราย โดยใน พ.ศ. 2560 นั้นมีการปลูกส้มโอสายพันธุ์นี้ทั้งสิ้น 18,020 ต้น จากเดิมที่เคยมีการ เพาะปลูกอยู่ที่ 16,025 ต้นในช่วงก่อนเกิดอุทกภัย พ.ศ. 2554 ในขณะเดียวกันส้มโอสายพันธุ์ทับทิม สยามนั้น แม้ว่าจะเป็นสายพันธุ์ส้มโอที่กษตรกรมีสัดส่วนการเพาะปลูกน้อยที่สุด แต่พบว่าใน พ.ศ. 2560 นั้น มีจ านวนการเพาะปลูกที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ มีเกษตรกรที่หันมาปลูกส้มโอสายพันธุ์ นี้จ านวนทั้งสิ้น 7 รายมีการเพาะปลูกทั้งสิ้น 1,110 ต้น จากเดิมที่เคยมีเกษตรกรเพาะปลูกอยู่เพียง 4 รายและมีการเพาะปลูกอยู่เพียง 250 ต้นเท่านั้น ท าให้มีจ านวนต้นส้มโอ สายพันธุ์ทับทิมสยาม เพิ่มขึ้นถึง 860 ต้น ในขณะที่ส้มโอพันธุ์ขาวแป้นนั้นไม่ค่อยได้รับความนิยมจากเกษตรกร ในพื้นที่เท่าใดนัก คือ ใน พ.ศ. 2560 พบว่ามีเกษตรกรที่ปลูกส้มโอสายพันธุ์นี้เพียง 4 ราย จ านวน ทั้งสิ้นเพียง 170 ต้น จากเดิมที่เคยมีเกษตรกรปลูกอยู่จ านวน 7 ราย 400 ต้น ซึ่งมีจ านวนลดลงทั้งสิ้น 230 ต้น ทั้งนี้เมื่อท าการพิจารณาสัดส่วนของสายพันธุ์ส้มโอที่เกษตรกรตัดสินใจท าการเพาะปลูก จะพบว่าส้มโอพันธุ์ทองดีและส้มโอพันธุ์ขาวน้ าผึ้งนั้นมีสัดส่วนที่สูงมาก คิดเป็นร้อยละ 55.79 และ 41.27 ตามล าดับ เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ส้มโอที่ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับทาง กรมทรัพย์สินทางปัญญาและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ดังตารางที่ 4


บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัย เรื่อง การรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม และเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม โดยจ าแนกตามคณะ ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานของการวิจัยไว้ว่า นักศึกษาที ่ศึกษาในคณะ ต่างกัน มีการรู้สารสนเทศต่างกัน 5.1 สรุปผล จากการพัฒนาการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนาผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ในคณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พบว่าการศึกษาปัจจุบันมีความจ าเป็นต้องพัฒนาการเรียนการสอน ควบคู่กันระหว่างผู้เรียน และผู้สอน โดยเฉพาะอาจารย์หรือบุคลากรทางการศึกษาจ าเป็นต้องได้รับ การพัฒนา โดยเฉพาะด้านน าองค์ความรู้ในศาสตร์ของตนเพื่อการผลิต หรือเผยแพร่ให้เกิดเป็นผลงาน ทางวิชาการเชิงประจักษ์ คณะฯ ได้ด าเนินการพัฒนาการผลิตผลงานทางวิชาการของบุคลากรในคณะฯ ผ่านกระบวนการและแม้จะสามารถผลิตผลงานทางวิชาการได้บางส่วน ตามศาสตร์ของตน ด้วยปัจจัย ต่าง ๆ ได้แก่ 1) ความถนัด หรือลึกซึ้งในศาสตร์ตนเอง 2) ความสามารถในการถ่ายทอดผลงานทางวิชาการ ผ่านการเขียนเชิงวิชาการ 3) ประสบการณ์ในการผลิตผลงานทางวิชาการ เช่น จัดท าวิจัยในศาสตร์ตนเอง 4) ความสม่ าเสมอในการด าเนินการพัฒนาผลงานวิจัยตามแผน กรอบ หรือ ก าหนดการที่วางไว้ ปัจจัยในด้านภาระงานที่ปฏิบัติ อันส่งผลต่อการด าเนินการจัดท าผลงานทางวิชาการ ทั้งนี้ การผลิตผลงานทางวิชาการในระดับคณะฯ ยังคงมีความส าคัญกับตัวบุคลากรเอง รวมถึงเป็นการพัฒนาศักยภาพในระดับสาขา คณะฯ และมาหวิทยาลัย หากบุคลากรสามารถ ผลิตผลงานทางวิชาการได้ สามารถบ่งบอกชี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ศักยภาพบุคลากรได้ แต่ทั้งนี้จ าเป็นต้อง เอื้ออ านวยด้านเวลา การลดภาระงานบางรายการที่เป็นอุปสรรคต่อการผลิตผลงาน และการสร้าง แรงจูงใจแก่บุคลากรจะสามารถช่วยส่งเสริมได้อีกทาง


73 5.2 อภิปรายผล ผลงานที่ 1 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึก ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษาสายวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 1. ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม ได้ผลดังนี้บทเรียนที่สร้างขึ้นมี 8 บท จากผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานโดยศึกษาเอกสาร งานวิจัยโดยใช้แบบสอบถามนักศึกษา เพื่อน าข้อมูลมาสร้างบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ชื่อบทเรียน รายละเอียดของเนื้อหาในบทเรียน แบบฝึกหัดระหว่างเรียนและกิจกรรมฝึกปฏิบัติการเรียงล าดับ เนื้อหาจากเรื่องที่ง่ายไปสู่เรื่องที่ยากค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการศึกษาเนื้อหาและ วิเคราะห์เนื้อหาเพื่อน ามาสร้างบทเรียนที่น่าสนใจ ซึ่งออกแบบการเรียนรู้โดยใช้เพลง ภาพยนตร์เพื่อ เพิ ่มความน ่าสนใจในบทเรียนและเกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้โดยค านึงถึงพื้นฐานของ หลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาการเรียนรู้ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ (ถะพอ หล้าเจ, 2552, หน้า 2) ผลการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึก ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษแบบภาคสนาม จ านวน 30 คน มีค่าประสิทธิภาพสูงกว่า เกณฑ์ที่ก าหนดไว้ คือ 76.30 / 78.02 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้จึงกล่าวได้ว่า บทเรียนที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพในระดับที่ดีมาก ซึ่งสอดคล้องกับค ากล่าวของเสาวนีย์สิกขาบัณฑิต (2548, หน้า 12) ที่ กล่าวถึงการก าหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพของบทเรียนหรือแบบฝึก โดยค่าความคลาดเคลื่อนของ ประสิทธิภาพของบทเรียนหรือแบบฝึกอยู่ระหว่าง 2.5-5 เมื่อประสิทธิภาพของบทเรียนหรือแบบฝึก สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือร้อยละ 2.5 ขึ้นไป ถือว่าบทเรียนหรือแบบฝึกมีประสิทธิภาพดีมาก ซึ่งอาจเป็น เพราะเหตุผล ดังนี้ 1.1 บทเรียนคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ เนื่องจากบทเรียนมีการพัฒนาและออกแบบอย่างเป็นระบบ กล่าวคือ มีการศึกษาเนื้อหาและวิเคราะห์ เนื้อหามีการสร้างบทเรียนที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นบทเรียนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมถึง การออกแบบการเรียนรู้โดยใช้เพลง ภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการใช้มัลติมิเดียในลักษณะการมีปฏิสัมพันธ์ เช่นนี้จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ (รุจโรจน์ แก้วอุไร, 2559, หน้า 2) 1.2 บทเรียนนี้เป็นการเรียนที่สอดคล้องกับทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล (Hoven, 2014; ปทุมารียา ธัมมราชิกา, 2552, หน้า 2) ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนด้วยตนเอง จากความสามารถในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียด้วยวิธีการ อ่าน การฟัง โดยมีการโต้ตอบ หรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนโดยได้รับความรู้โดยผ่านสื่อ บทเรียนนี้


74 จะช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกพอใจและไม่เกิดความกดดันขณะเรียนเมื่อเรียนไม่ทันผู้อื่น ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ได้ทุกที่ (any where) ทุกเวลา (any time) สอดคล้องกับแนวคิดของอรธิชา สว่างศรี(2552, หน้า 3) ที่กล่าวถึงการเรียนการสอนโดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตว่าผู้เรียนสามารถเรียนโดยได้รับความรู้ที่ หลากหลายจึงส่งผลให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้สูงขึ้น 1.3 การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตช่วยให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้น มีแรงจูงใจที่ดีในการเรียน มีความใฝ่เรียนใฝ่รู้ เนื่องจากสื่อต่าง ๆ ที่น ามารวมไว้ในบทเรียนคอมพิวเตอร์มีกิจกรรมที่หลากหลาย เพิ่มความ สนุกสนานในการเรียนรู้ เป็นการสร้างแรงจูงใจภายในตนเอง เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ส ารวจ ค้นหาความรู้และมีความอยากรู้อยากเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวด้วยตนเอง โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ทุกขั้นตอนจนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง 1.4 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือเป็น ทางเลือก หนึ่งในการศึกษาในยุคของ e-learning ซึ่งเป็นการน าเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาระบบ การศึกษา โดยการน าเอาระบบบริหารจัดการรายวิชามาใช้เพื่อจัดการเรียนการสอนในการศึกษา ค้นคว้าครั้งนี้พบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ก าหนด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ รุ่งทิพย์ วัฒนา (2550, หน้า 56) ซึ่งท าการพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องโปรแกรมส าหรับงานกราฟิก กลุ่มสาระการ งานอาชีพและเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนผ่าน เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 76.30 / 78.02 มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้คือ 75/75 2.ผลการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถ ในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จ านวน 30 คน โดยทดลองใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ได้ผลดังนี้ 2.1 ผลการประเมินความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของ นักศึกษามหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม หลังการใช้บทเรียนสูงกว่าก่อนการใช้บทเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการสร้างบทเรียนผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ และจัดท า อย่างมีขั้นตอนตามหลักการสร้างบทเรียนหรือแบบฝึก ได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจาก ผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการทดลองใช้กับนักศึกษารายบุคคล จากนักศึกษากลุ ่มเล็ก แบบภาคสนาม ซึ่งในแต่ละขั้นตอนได้ผ่านการปรับปรุงจนได้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีประสิทธิภาพที่ดีเป็นผลให้บทเรียนที่สร้างมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนด จึงท าให้ ความสามารถในการฟัง - พูดภาษาอังกฤษหลังเรียนด้วยบทเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยบทเรียน นอกจากนี้ อาจเนื่องมาจากกิจกรรมและกลวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษาบทเรียนที่ผู้วิจัยให้ฝึกออกเสียง


75 ค าศัพท์ ส านวนที่ใช้ในแต่ละสถานการณ์และบทสนทนาที่ใช้เสียงเจ้าของภาษา มีทั้งการฝึกฟัง-พูด จากเพลงและการดูภาพยนตร์ประกอบการฝึก (Hyland, 1993, pp.3-5) การใช้กิจกรรมที่เหมาะสม ในการฝึกทักษะการฟัง-พูดมีผลต่อการพัฒนาความสามารถในการพัฒนาทักษะการฟัง-พูด การที่เลือกใช้กิจกรรมสถานการณ์จ าลองช่วยพัฒนาความคล่องแคล่วเพราะผู้เรียนได้ใช้ภาษา ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เหมือนกับสถานการณ์จริง และผู้วิจัยได้จัดการประเมินตามเนื้อหาของ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฝึกทักษะการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารเป็นการประเมินรายบุคคล (monologue) และกิจกรรมคู่ (dialogue) และทั้งนี้เป็นเพราะการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ โดยได้ฝึกปฏิบัติจริง 2.2 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง - พูดของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตกับนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ได้รับการสอนแบบปกติ พบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูดสูงกว่าความสามารถ ในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ได้รับการสอนแบบ ปกติ หลังการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งนี้เนื่องจากการสอนโดยใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นการสอนในลักษณะที่ใช้สื่อการสอนที่เป็นสภาพ จริง (authentic materials) เป็นการจัดการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมีสื่อชนิดต่าง ๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน คือมีตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและวิดีโอ ดังที่ นูแนน (Nunan, 2003, p.54) และ ทิคคู (Tickoo, 2005, 21-22) ได้ให้ความเห็นว่า สื่อการสอนที่เหมาะสมจะท าให้ ผู้เรียนเกิดความรู้สึกสบายใจและรู้สึกคุ้นเคย ด้วยเหตุนี้สื่อคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียจึงสามารถเร้าความ สนใจ ท าให้ผู้เรียนสนใจและตั้งใจเรียนมากขึ้น จึงส่งผลให้การเรียนดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ บทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมิเดียที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นบนพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีทางจิตวิทยาการเรียนรู้กับ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย ทฤษฎีแรกก็คือ ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Theory) มีแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง มนุษย์จะเกิดการเรียนรู้ได้จากการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า และพฤติกรรมการตอบสนองจะเพิ่มขึ้น หากได้รับการเสริมแรงที่เหมาะสม ซึ่งมี ความสัมพันธ์กับเนื้อหาในบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตรงที่ในบทเรียน จะมีค าถามในระหว่างการเรียนเนื้อหาในแต่ละตอนอย่างสม่ าเสมอ เพื่อให้ผู้เรียนตอบและเมื่อผู้เรียน ตอบค าถามแล้ว ผู้เรียนก็จะทราบคะแนนของตนเองได้ในทันทีซึ่งธรรมชาติของมนุษย์ต้องการทราบ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติของตน สิ่งนี้ท าให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนและตั้งใจเรียนมาก ขึ้น จึงส่งผลให้การเรียนดีขึ้นด้วย และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลองที่ได้รับการสอน


76 โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการสอนแบบ ปกติ ผู้วิจัยพบว่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลอง สูงกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบทเรียนส่งผลให้ ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูดของนักศึกษาสูงขึ้นเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้ง ไว้ 2.3 ผลการประเมินความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนทั้ง 8 บทที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นแสดงให้เห็นว่า 2.3.1 นักศึกษามีความคิดเห็นทางบวกต่อบทเรียนทั้ง 8 บท โดยมีค่าเฉลี่ย รวม 4.29 ( x = 4.45, S.D. = 0.58) จึงสรุปได้ว่า นักศึกษามีความคิดเห็นต่อบทเรียนโดยเฉลี่ยอยู่ ในระดับมากทุกบทเรียน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากบทเรียนสร้างขึ้นสอดคล้องกับจุดประสงค์รายวิชา มีความยากง่ายของภาษา ค าศัพท์ ส านวนเหมาะสมกับระดับชั้นของนักศึกษา และความจ าเป็นในการ น าไปใช้ได้ในสถานการณ์จริง ซึ่งตรงกับข้อเสนอแนะของกริฟฟิทส์ (Griffits, 1995, 50-51) ที่ กล่าวถึงสื่อการสอนว่า สื่อการสอนที่ดีควรมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการเรียน มีเนื้อหาน่าสนใจ ทันสมัย ประกอบด้วยค าศัพท์และข้อมูลทางภาษาที่เหมาะสมกับระดับชั้นและอายุ ของผู้เรียน นอกจากนี้ ในระหว่างที่ท าการทดลองเพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย ผู้วิจัยได้ปรับปรุงแก้ไขจุดที่ควรปรับปรุงของบทเรียน และได้น าไป เผยแพร่หลายวิธีเช่น การน าเสนอผลงานวิชาการโดยการเสนอรายงานเกี่ยวกับผลการวิจัยในที่ ประชุมสัมมนาทางวิชาการ การเผยแพร่ให้องค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ห้องสมุด ส่งไปลง เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ ดังที่ วิเวก สุขสวัสดิ์ (2554, หน้า 6)ที่กล่าวว่า การเผยแพร่นวัตกรรม ควรเผยแพร่ผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนอย่างกว้างขวางเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ พัฒนาการจัดการศึกษา การพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้เกิดการสร้างความก้าวหน้าให้เกิดขึ้นในวงวิชาการ ต่อไป หลังจากพิสูจน์ผลชัดเจนว่านวัตกรรมการเรียนการสอนที่คิดค้นและพัฒนา นั้น สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างแท้จริงและได้น าเสนอผลการทดลองใช้ ออกมาเป็นรายงานที่ถูกต้องแล้ว ในขั้นตอนของการเผยแพร่ (dissemination) ผู้วิจัยได้ท าการ เผยแพร่ผลการพัฒนาบทเรียนโดยได้น าไปเผยแพร่หลายวิธี เช่น การน าเสนอผลงานวิชาการโดยการ เสนอรายงานเกี่ยวกับผลการวิจัยในที่ประชุมสัมมนาทางวิชาการ การเผยแพร่ให้องค์กร หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ห้องสมุด ส่งไปลงเผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ ดังที่ วิเวก สุขสวัสดิ์ (2554, หน้า 6) กล่าวว่า การเผยแพร่นวัตกรรม ควรเผยแพร่ผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการ สอนอย่างกว้างขวางเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการศึกษา การพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้เกิด การสร้างความก้าวหน้าให้เกิดขึ้นในวงวิชาการต่อไป


77 ผลงานที่ 2 รูปแบบการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาจุดหมายปลายทางการ ท่องเที่ยวซ้ าในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่เชื่อมโยง จากการศึกษาศักยภาพตามปัจจัยทางการท่องเที่ยวสามารถอธิบายได้ตามปัจจัยทางการ ท่องเที่ยว 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว ความสามารถในการเข้าถึง สิ่งอ านวยความสะดวก ที่พัก และกิจกรรมในภาพรวมมีความพร้อมในการรองรับการท่องเที่ยว สอดคล้องกับ Payupwichien (2003) และ Kasikorn Research Center (2012) ที่กล่าวถึงการ เดินทางท่องเที่ยวว่าจ าเป็นต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวสู่จุดหมายปลายทาง ท่องเที่ยว โดยเฉพาะปัจจัยด้านสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งส าคัญในการดึงความ สนใจนักท่องเที่ยวให้เดินทางการท่องเที่ยว แต่ยังขาดการน าไปสู่กิจกรรมในเชิงการปฏิบัติให้เกิดความ แตกต่างและหลากหลายในแหล่งท่องเที่ยวเกิดขึ้น ประกอบกับด้วยปัจจัยด้านการเดินทางที่สะดวกแก่ การเข้าถึง เพราะจังหวัดนครปฐมอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ท าให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาจากเมืองหลวง เดินทางไปและกลับได้สะดวกสบาย นอกจากนี้ความต้องการการท่องเที่ยวรูปแบบแบบเที่ยวซ้ าใน แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดนครปฐม พบว่ารูปแบบการท่องเที่ยวที่เหมาะสมของจังหวัดนครปฐมคือการ ท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน โดยกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมมาเที่ยวซ้ า คือ การไหว้พระ ท าบุญ ในขณะที่กิจกรรมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวซ้ า คือ การเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้นการมี กิจกรรมที่หลากหลายและการมีส่วนร่วมในการท ากิจกรรมระหว่างนักท่องเที่ยวและชุมชนในท้องถิ่น สามารถ จะกระตุ้นให้เกิดการมาเที่ยวซ้ าได้ สัมพันธ์กับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะนิยมเที่ยวซ้ า ต่อเมื่อมีความพร้อมของชุมชนและแหล่งท่องเที่ยว (Tourism Authority of Thailand, 1996) และ เน้นการสร้างอัตลักษณ์และภาพลักษณ์ที่น่าจดจ าในแหล่งท่องเที่ยว ดังที่ Dachum (2013: online) ได้เสนอแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์: กรอบแนวคิดสู่แนวทางปฏิบัติ 5 แนวทาง คือ 1) การค้นหาอัตลักษณ์และท าความเข้าใจคุณค่าของวัฒนธรรม 2) การสร้างความโดดเด่นและ ความแตกต่าง 3) การหยั่งรู้ความต้องการของตลาดในเชิงลึก 4) การเสริมสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ การท่องเที่ยว และ 5) การปรับเปลี่ยนกลวิธีในการพัฒนาตลาด เมื่อน าวิธีการนี้มาพัฒนาการ ท่องเที่ยวจะดึงความโดดเด่นของทรัพยากรการท่องเที่ยวในพื้นที่มาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรม ที่หลากหลายและสามารถก่อให้เกิดการเที่ยวซ้ าในแหล่งท่องเที่ยวได้ ผลงานที่ 3 การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ าเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ผลการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ าเภอเมืองนครปฐม พ.ศ. 2547-2557 พบว่า การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ศึกษามีพื้นที่เมืองเพิ่มขึ้น โดยบริเวณพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นที่เมืองนั้น จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากแนวของบริเวณพื้นที่ที่มีสิ่ง


78 ปลูกสร้างเดิมหรือมีความเป็นเมืองอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวตามแนวถนน เนื่องจาก ปัจจัยเรื่องความสะดวกในการเข้าถึงพื้นที่ อีกทั้งขนาดพื้นที่เกษตรที่ลดลงเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทพื้นที่เกษตรไปเป็นพื้นที่เมือง เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่ว่า พื้นที่เกษตรกรรมน่าจะมีสัดส่วนของขนาดพื้นที่ลดลง ส่วนพื้นที่สิ่งปลูกสร้างหรือพื้นที่เมืองน่าจะมี การเพิ่มพื้นที่มากขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของ ปนัดดา พาณิชยพันธุ์ (2555) เรื่องพัฒนาการของ โครงข่ายการขนส่งและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินในเขตชานเมือง: กรณีศึกษาชานเมืองเชียงใหม่ แม่โจ้ที่พบว่ารูปแบบการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินนั้นมีการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เมือง หรือสิ่ง ปลูกสร้าง ได้แก่ บ้านจัดสรร พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม ส่วนพื้นที่รกร้างว่างเปล่า และพื้นที่ เกษตรกรรมมีแนวโน้มที่จะลดลง ในขณะเดียวกัน การศึกษาของ วิทยา เต่าสา (2552) เรื่องการ เปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินทางการเกษตรและการปรับตัวของเกษตรกร: กรณีศึกษาบ้านทรายมูล ต าบล หนองปรือ อ าเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ก็พบว่า การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในช่วง พ.ศ. 2535-2540 นั้นมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงจากพื้นที่เกษตรไปเป็นพื้นที่นอกการเกษตร โดยมี ปัจจัยมาจากการที่เกษตรกรขายที่ดินให้กับนายทุน และการศึกษาของ ปวีณา เปรมเจริญ (2555) เรื่องการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ศึกษาการใช้ที่ดิน ในเขตเทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัด ชลบุรี ที่พบว่าพื้นที่ชุมชนและพื้นที่สิ่งปลูกสร้างจะกระจุกตัวอยู่ตามแนวเส้นทางคมนาคมสายหลัก อย่างหนาแน่น และยังสอดคล้องกับการศึกษาของ วสันต์ ออวัฒนา (2555) เรื่องการคาดการณ์ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการใช้ประโยชน์ที่ดินในจังหวัดภูเก็ต พบว่า พื้นที่ชุมชนมีพื้นที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมมีขนาดลดลง ผลงานที่ 4 การรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จากการศึกษา เรื่อง การรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาทั้ง 5 คณะ มีการรู้สารสนเทศโดยรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งสอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ Sookmark (2004) ที่พบว่า นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1 มีระดับการรู้ สารนิเทศโดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยของ Pawinun (2008) ที่พบว่า นักศึกษาระดับปริญญา ตรีของมหาวิทยาลัยรามค าแหง ส่วนกลาง ที่ศึกษาในภาคปกติ มีความเข้าใจการรู้สารสนเทศโดยรวม ในระดับมาก ผลการวิจัยKeawmanee (2009) ที่พบว่า นิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัย มหาสารคามมีการรู้สารนิเทศโดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยของ Japageya, Kumkeaw & Maso (2014) ที่พบว่า นักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่มีการรู้ สารสนเทศโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยของ Mahmood (2013, pp. 234-238) ที่พบว่า นักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยปัญจาบ เมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน มีระดับการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับดี และผลการวิจัยของ Emmanuel & Fyneman (2009, pp.


79 667-672) ที่พบว่า นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยไนเจอร์ เดลต้า ประเทศไนจีเรีย มีการรู้ทางดิจิทัลในระดับดี มีการใช้อินเทอร์เน็ตโดยใช้เครื่องมือค้นหาและเว็บไซต์ที่ แตกต่างกันในการค้นหาสารสนเทศ และสามารถใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เป็นเครื่องมือใน การติดต่อสื่อสารได้ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มีการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมาก ในมาตรฐานที่ 1 ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการสารสนเทศ และสามารถอธิบายสารสนเทศ ที่ต้องการได้ มาตรฐานที่ 3 ประเมินสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศได้ และมาตรฐานที่ 4 วิเคราะห์ และสังเคราะห์สารสนเทศที่มีอยู่สู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัย ของ Sookmark (2004) ที่พบว่า นิสิตมีระดับการรู้สารนิเทศในระดับมาก 4 ด้าน คือ ด้านการ ตระหนักถึงความต้องการสารนิเทศ ด้านการก าหนดแหล่งสารนิเทศ ด้านการประเมินสารนิเทศ และด้านการใช้สารนิเทศ ส าหรับมาตรฐานที่ 2 เข้าถึง/ค้นหา สารสนเทศที่ต้องการได้อย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล พบว่า นักศึกษามีการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมาก ซึ่งสอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ Baykaykom (2007) ที่พบว่า นักศึกษาประเมินตนเองว่ามีความสามารถในการเข้าถึง สารสนเทศในระดับดี ส่วนมาตรฐานที่ 5 เข้าใจบริบทด้านจริยธรรม กฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการใช้สารสนเทศได้ พบว่า นักศึกษามีการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ Jiaokok (2004) ที่พบว่า นิสิตมีความสามารถในระดับมากเกี่ยวกับกฎหมายและ จริยธรรมในการใช้สารสนเทศ ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการขโมย หรือคัดลอกผลงานผู้อื่น ทรัพย์สินทาง ปัญญา ลิขสิทธิ์ และการใช้งานโดยธรรม และยังสอดคล้องกับการวิจัยของ Baykaykom (2007) ซึ่งพบว่า นิสิตมีความสามารถในระดับมากในการใช้สารสนเทศด้วยความเข้าใจและยอมรับประเด็น ทางด้านวัฒนธรรม จริยธรรม เศรษฐกิจ กฎหมาย และสังคมที่แวดล้อมการใช้สารสนเทศ ได้แก่ มีความรู้เกี่ยวกับระเบียบ จรรยาบรรณ ในการเข้าถึงและใช้สารสนเทศ เช่น การแสดงแหล่งที่มาของ ข้อมูล การบันทึกหรือท าส าเนาสื่อทุกรูปแบบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การไม่แอบอ้างผลงานของ ผู้อื่น และมีความคิดเห็นว่ากฎหมายลิขสิทธิ์มีความส าคัญ ควรปฏิบัติตาม เมื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามเพศ พบว่า นักศึกษาเพศต่างกัน มีการรู้ สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งไม่สอดคล้องกับผลการวิจัยของ Sookmark (2004) ที่พบว่า นิสิตที่มีเพศต่างกัน มีการรู้สารสนเทศโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน และผลการวิจัยของ Mahmood (2013, pp. 234-238) ที่พบว่า นักศึกษาที่มีเพศต่างกัน มีระดับการ รู้สารสนเทศไม่แตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามคณะ พบว่า นักศึกษาที่ศึกษาในคณะต่างกัน มีการรู้สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ Baykaykom (2007) ที่พบว่า ผลการเปรียบเทียบนิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


80 วิทยาเขตศรีราชา ทั้ง 3 คณะ พบว่า นิสิตที่ศึกษาในคณะต่างกัน มีความสามารถด้านการรู้สารสนเทศ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยของ Wesoho & Kiatwanit (2010) ที่พบว่า นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครที่ศึกษาในคณะ ต่างกัน มีการรู้สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และผลการวิจัยของ Mahmood (2013, pp. 234-238) ที่พบว่า นักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยปัญจาบ เมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน ที่ศึกษาในสาขาวิชาต่างกัน มีระดับการรู้ สารสนเทศแตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามชั้นปี พบว่า นักศึกษาชั้นปีต่างกัน มีการรู้ สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัย ของ Pawinun (2008) ที่พบว่า นักศึกษาที่ศึกษาในชั้นปีต่างกัน มีการรู้สารสนเทศโดยรวมแตกต่าง กันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ไม่สอดคล้องกับผลการวิจัยของ Sookmark (2004) ที่พบว่า นิสิตที่ศึกษาในชั้นปีที่ต่างกัน มีการรู้สารสนเทศโดยรวมไม่แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมได้ส่งเสริมการรู้สารสนเทศส าหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การปฐมนิเทศการใช้ห้องสมุดส าหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 การจัดการเรียนสอน ในรายวิชา 2500118 สารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนส าหรับ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จ านวน 3 หน่วยกิต หมวดวิชาศึกษาทั่วไป เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความหมาย ความส าคัญของสารสนเทศและการรู้สารสนเทศ แหล่งสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ ตลอดชีวิต และการให้บริการยุคใหม่ การจัดระบบทรัพยากรสารสนเทศ กลยุทธ์และทักษะการสืบค้น ทรัพยากรสารสนเทศแบบออนไลน์ การสืบค้นฐานข้อมูลออนไลน์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วารสารอิเล็กทรอนิกส์ และกฤตภาคออนไลน์ แหล่งสารสนเทศอ้างอิงประเภทสิ่งพิมพ์และ อิเล็กทรอนิกส์ การรวบรวมและประเมินค่าสารสนเทศ การวิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศ เพื่อการน าไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ การน าเสนอผลการรู้สารสนเทศด้วยการเขียนรายงานทาง วิชาการที่มีคุณภาพ การเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรมตามหลักสากลและมีจริยธรรมในการใช้ สารสนเทศ การสอนโดยมีเนื้อหาเพียงบางส่วนในรายวิชาต่าง ๆ เช่น รายวิชา 1500125 ภาษาไทย เพื่อการสื่อสาร กลุ่มวิชาภาษา หลักสูตรหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ส าหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ซึ่งมีวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถน าเสนอผลการสืบค้นโดยเน้นกระบวนการทักษะ สัมพันธ์ทางภาษา รายวิชาระเบียบวิธีวิจัย หรือรายวิชาการศึกษาค้นคว้าอิสระ ส าหรับนักศึกษาชั้นปี ที่ 4 ซึ่งก าหนดให้นักศึกษาใช้กระบวนการทางการวิจัยเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และ ถ่ายทอดผลการศึกษาเป็นรายงานการวิจัย การจัดท าคู่มือการใช้ห้องสมุด การอบรมการสืบค้น ฐานข้อมูล การให้ข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของส านักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ และจาก ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษามีค่าเฉลี่ยการรู้สารสนเทศในมาตรฐานที่ 2 (เข้าถึง/ค้นหา สารสนเทศที่


81 ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล) ต่ าที่สุด ดังนั้น ประเด็นที่ควรให้ความส าคัญในการ พัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศ คือ การสืบค้นสารสนเทศ โดยจัดท าเป็นบทเรียนออนไลน์ ซึ่งนอกจาก จะพัฒนาทักษะการสืบค้นสารสนเทศแล้ว ยังช่วยในการพัฒนาทักษะการรู้ดิจิทัลได้อีกด้วย หากเมื่อ พิจารณามาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามชั้นปี เรียงตามล าดับค่าเฉลี่ยได้ดังนี้ คือ ชั้นปีที่ 1 ชั้นปีที่ 4 ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 ที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เพิ่งผ่านการปฐมนิเทศ การใช้ห้องสมุด และนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามได้ผ่านการเรียนรายวิชา 2500118 สารสนเทศเพื่อ การศึกษาค้นคว้า หรือรายวิชา 1500125 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร จึงท าให้นักศึกษามีความรู้สึกว่า ตนเองคุ้นเคยกับทักษะการรู้สารสนเทศ แต่หลังจากเข้าสู่ชั้นปีที่ 2-3 ทักษะการรู้สารสนเทศไม่ได้ น ามาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและใช้อย่างสม่ าเสมอในการเรียนรายวิชาต่าง ๆ เมื่อเข้าสู่ชั้นปีที่ 4 หลาย หลักสูตรได้ก าหนดให้นักศึกษาเรียนรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย จึงท าให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกฝน ทักษะการรู้สารสนเทศอีกครั้ง ดังนั้น ผู้สอนรายวิชาต่าง ๆ ควรมอบหมายงานที่จะช่วยพัฒนาทักษะ การรู้สารสนเทศแก่นักศึกษาทุกชั้นปีอย่างต่อเนื่อง เช่น ทักษะการวางแผนการท ารายงาน การก าหนดหัวข้อรายงาน การจ ากัดหัวข้อรายงานให้แคบลง การเรียบเรียงรายงาน การสืบค้นข้อมูล เพื่อใช้ในการท ารายงาน เป็นต้น และส่งเสริมสนับสนุนให้นักศึกษาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ เรียน รวมทั้งให้ความส าคัญกับการท างานเป็นทีม การมีจริยธรรมในการใช้สารสนเทศ และการให้ ความรู้ด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ เพื่อพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศและเตรียมความพร้อมให้นักศึกษามี ทักษะการรู้ดิจิทัลต่อไป ผลงานที่ 6 การพัฒนาชุมชนตามแนวคิดทางสายกลางของขงจื๊อ จากการศึกษาเรื่อง เทคโนโลยี Big data กับงานห้องสมุดในยุคดิจิทัล ผลการวิจัยพบว่า ห้องสมุดได้ก้าวเข้าสู่ยุคข้อมูลขนาดใหญ่หรือ Big data อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากห้องสมุด ได้จัดหาและประยุกต์ใช้อุปกรณ์ทางดิจิทัลเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวก ทรัพยากรทางดิจิทัลในห้องสมุดเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากมาย และจ าเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ส าหรับการรวบรวม การบันทึก การวิเคราะห์ และการสรุปประมวลผล โดยห้องสมุดมีความเกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยี Big data ใน 3 ประเด็น คือ 1) บรรณมิติ (Bibliometrics) 2) การแบ่งปันข้อมูล (Data sharing) และ 3) การจัดการข้อมูล (Data curation) ดังนั้น บรรณารักษ์ในยุคนี้จึงมีบทบาทส าคัญ 3 บทบาท ได้แก่ 1) ผู้ดูแลข้อมูล (Data Curator) 2) ผู้ท าความสะอาด/ล้างข้อมูล (Datacleansex) และ 3) ผู้จัดการคลังข้อมูล (Data archive manager) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ของห้องสมุดจะ ช่วยให้ใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงผู้บริหารสามารถน าผลจากการ วิเคราะห์ข้อมูลขนาคใหญ่มาใช้ในการตัดสินใจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเก็บรวบรวม ข้อมูลการใช้บริการต่าง ๆ ของผู้ใช้จะท าให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประสบการณ์การใช้ห้องสมุด


82 ของผู้ใช้และมีความพึงพอใจในการใช้บริการห้องสมุดเพิ่มขึ้น ซึ่งระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS) แบบดั้งเดิมไม่สามารถท าได้ดีเท่าเทคโนโลยี Big data นอกจากนี้ ผลการสืบค้นงานวิจัยในประเทศไทยจากฐานข้อมูลเอกสารฉบับเต็ม Thai Digital Collection ในโครงการเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย (Thail is) และฐานข้อมูลคลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อป ร ะเทศไทย ( Chulalongkorn University Intellectual Repository ห รือ CUIR) พบ ว่ า ยังไม่ปรากฏงานวิจัยด้านเทคโน โลยี Big data กับงานห้องสมุด ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรกระตุ้นและสนับสนุนให้นักวิชาการและนักวิชาชีพสารสนเทศในประเทศไทยท าการวิจัยเพื่อ เป็นข้อมูลในการน าเทคโนโลยี Big data มาใช้งานห้องสมุด และส่งผลให้การใช้เทคโนโลยี Big data ในห้องสมุดเกิดประโยชน์สูงสุด ผลงานที่ 7 มุมมองทางภูมิศาสตร์ ผ่านค าขวัญประจ าจังหวัด จากการศึกษาเรื่อง การพัฒนาชุมชนตามแนวคิดทางสายกลางของขงจื๊อ ผลการวิจัยพบว่า หลักทางสายกลางของขงจื๊อนั้น ไม่มีลักษณะสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง ก็คือ ขงจื๊อไม่ทิ้งสังคม ขณะเดียวกันก็ให้ความส าคัญเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลด้วย ในด้านสังคมขงจื๊อก็เน้นเรื่องจารีตทาง สังคม (หลี่) แต่ส่วนปัจเจกบุคคลขงจื๊อก็เน้นเรื่องการขัดเกลาคุณธรรมภายในให้มีลักษณะ ที่พึงประสงค์ เช่น เรื่องความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความเคารพ สติปัญญา เป็นต้น แนวการสอนเรื่อง ทางสายกลางในคัมภีร์ทงสายกลางจึงถือแนวค าสอนส าคัญที่สะท้อนให้เห็นความพยายามในการ ประสานความสุดโต่ง โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงเนื้อหาในหลักค าสอนทั้งหมด แต่เป็นหลักทางสายกลาง ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือทางสายกลางระหว่างสังคมในสังคม เพราะเหตุนี้ ขงจื๊อจึงน าแนวคิดทาง สายกลางมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาชุมชนนั้นสามารถน ามาใช้ได้ตั้งแต่การตระหนักถึงความเป็น พหลักษณ์ของชุมชนที่มีความแตกต่างหลากหลาย แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล การพัฒนา ชุมชนจึงต้องเน้นความสมดุลไม่แยกส่วนโดยให้ความส าคัญกับทุกหน่วยในชุมชน พร้อมทั้งยอมรับ ความแตกต่างหลากหลายว่ามีคุณค่า การพัฒนาชุมชนโดยการใช้หลักทางสายกลางนั้นเพื่อสร้างความ สมดุลในทุกมิติที่เรียกว่าความเป็นกลาง ความเป็นกลางตามแนวคิดของขงจื๊อนั้นมีอยู่ในธรรมชาติ จิตของมนุษย์และสรรพสิ่ง การพัฒนาชุมชนตามหลักทางสายกลางของขงจื๊อจึงต้องให้ความส าคัญกับ ความสมดุลสอดคล้องทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนา จิตใจและปัญญาของคนให้เกิดความสมดุลโดยยึดหลักปัญญา (จี๊อ) ความรักหรือเจตนารมณ์ที่ดีงาม (เหริน) พลังหรือความเข้มแข็ง (จง) ผลที่เกิดขึ้นจากการน าหลักทางสายกลางของขงจื๊อมาพัฒนา ชุมชน คือ มนุษย์ทุกคนได้รับการพัฒนาศักยภาพเพราะเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ธรรมชาติและมนุษย์ด ารงอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ชุมชนและสังคมสิ่งแวดล้อมได้รับการพัฒนาอย่าง สมดุล ความแตกต่างหลากหลายในชุมชนมีคุณค่าได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมสังคมไทยเป็นสังคม


83 ที่มีชุมชนเป็นฐานรองรับความสัมพันธ์ของคนในสังคม ท าให้ชุมชนทุกชุมชนท าหน้าที่เป็นฐานรองรับ กิจกรรมทุกด้านของชีวิตอย่างสมดุลกัน ผลงานที่ 8 แนวปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารจัดการสวนส้มโอจากเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอตัวอย่าง จากผลการวิจัย สามารถสรุปแนวปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารจัดการสวนส้มโอของคุณทิม ไทยทวี ได้ดังนี้ 1. คุณทิม ไทยทวี เป็นผู้ที่มีความขยันขันแข็ง มุมานะ มีความเพียรพยายาม ไม่ย่อท้อ ต่ออุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต และอดทนต่อปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ ค้นคว้าหาข้อมูล ต่าง ๆ จนรู้แจ้งเห็นจริง จึงสามารถท าให้ประสบความส าเร็จในการประกอบอาชีพท าสวนส้มโอ และสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้อย่างมั่นคง 2. ผลงานด้านการเกษตร คุณทิม ไทยทวี ได้มีการถ่ายทอดให้เกษตรกรท่านอื่น ๆ เพื่อน าไป เป็นแบบอย่าง ท าให้มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยยึดหลักลงทุนน้อย ได้ผลผลิตมาก และใช้พื้นที่เพาะปลูกอย่างคุ้มค่า รวมถึงการได้รับรางวัลต่าง ๆ จากการประกวดผลผลิตส้มโอ จึงถือได้ว่าคุณทิม ไทยทวี เป็นแบบอย่างในการประกอบอาชีพการท าสวนส้มโอได้เป็นอย่างดี 3. การจัดการสวนส้มโอ คุณทิม ไทยทวี มีแนวคิดในการจัดการแบบระบบครอบครัวที่ทุกคน มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เริ่มตั้งกระบวนการผลิตการดูแลบ ารุงรักษาต้นโอ การเก็บเกี่ยวผลผลิต การจ าหน่าย การส่งออก และการตลาด โดยใช้ความเป็นกันเอง ความซื่อตรง ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แบบชาวบ้านในชนบท นอกจากนี้ คุณทิม ไทยทวี สามารถถือเป็นแบบอย่างของบุคคลที่มีภาวะผู้น า ที่ดี เนื่องจากมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ที่ปฏิบัติสืบต่อกัน ดังจะเห็นได้จากการยกเลิก การขายส้มโอ 100 ลูก แถม 6 ลูก ให้กับพ่อค้าคนกลาง คุณทิมได้ตัดสินใจปฏิวัติด้วยการรับซื้อส้มโอ แข่งกับพ่อค้า โดยรับซื้อในราคาที่เท่ากันหรือมากกว่า แต่ไม่มีการแถม 6 ผล ถึงแม้ว่าจะขาดทุน ไปบ้าง แต่คุณทิมมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะให้เลิกวัฒนธรรมการขายลักษณะนี้ เวลาผ่านไป ประมาณ 3 ปี การขายส้มโอ 100 แถม 6 ก็ถูกยกเลิกไป ผลงานที่ 9 การส่งเสริมการรู้ดิจิทัลส าหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม: ถอดบทเรียน จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยเว็บโอเมทริกซ์ การส่งเสริมการรู้ดิจิทัลมีความส าคัญอย่างยิ่งยวดในการฝึกฝนและพัฒนาผู้เรียน ระดับอุดมศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะ ความรู้ ความเข้าใจสามารถประเมิน วิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดการ ใช้ สื่อสาร และสร้างสารสนเทศ ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม โดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ได้ฝึกคิดและฝึกปฏิบัติ ซึ่งเป็นการเตรียมผู้เรียนให้มี ความพร้อมกับการท างาน และอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลของโลกในยุคปัจจุบัน ข้อเสนอ ดังกล่าวข้างต้นน่าจะเป็นประโยชน์ในการก าหนดแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมการรู้ดิจิทัล


84 แก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมและเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย ในการพัฒนาก าลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ที่ได้ก าหนด ไว้ในนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2562-2580) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป ผลงานที่ 10 การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของพื้นที่ สวนส้มโอพันธุ์นครชัยศรี จังหวัด นครปฐม ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินภายในบริเวณพื้นที่ศึกษา พ.ศ. 2559 นั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาคพื้นที่เกษตรกรรมทั้งพื้นที่สวนและนาข้าว แต่บริเวณพื้นที่ สิ่งปลูกสร้างนั้นก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ที่มีอาณาเขตติดต่อกับบริเวณพื้นที่ศึกษา โดยในช่วงหลังจากที่เกษตรกรชาวสวนส้มโอประสบปัญหา อุทกภัย พ.ศ. 2554 ทางกลุ่มเกษตรกรยังคงเลือกที่จะฟื้นฟูสวนส้มโอของตนขึ้นมาใหม่ เนื่องจาก เป็นพืชประจ าถิ่นและเกษตรกรมีประสบการณ์ในการปลูก ส้มโอมาอย่างยาวนาน โดยเกษตรกร บางรายได้ตัดสินใจเริ่มปลูกส้มโอขึ้นใหม่ทันที เนื่องจากมองว่าภาครัฐน่าจะจัดการปัญหาน้ าท่วม มิให้เกิดซ้ าขึ้นอีก แต่เกษตรกรบางส่วนยังมิได้ปลูกส้มโอขึ้นมาทดแทนทันที เนื่องจากความกังวล ในปัญหาอุทกภัยประกอบกับการฟื้นฟูสวนส้มโอขึ้นมาใหม่จ าเป็นต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างมาก แต่เมื่อท าการพิจารณาถึงกลุ่มของสายพันธุ์ส้มโอที่เกษตรกรได้ตัดสินใจเพาะปลูกขึ้นมาใหม่ภายหลัง ประสบปัญหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 พบว่าเกษตรกรในพื้นที่ยังคงตัดสินใจเลือกเพาะปลูกส้มโอ นครชัยศรี สายพันธุ์ขาวน้ าผึ้งและสายพันธุ์ทองดี ในสัดส่วนที่มากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เนื่องจากเป็น พันธุ์ส้มโอที่ได้รับความนิยมและได้ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ในขณะที่ส้มโอสายพันธุ์ ทับทิมสยามที่มีกลุ่มเกษตรกรปลูกมากขึ้นกว่าเดิมถึง 860 ต้น เนื่องจากมีราคาผลผลิตต่อลูก ที่ค่อนข้างสูงจึงเป็นปัจจัยดึงดูดให้เกษตรกรบางรายหันมาปลูกส้มโอสายพันธุ์นี้ควบคู่กับส้มโอพันธุ์ นครชัยศรีด้วยแต่เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนจ านวนต้นส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามกับจ านวนต้นส้มโอ ทุกสายพันธุ์กับพบว่ามีสัดส่วนไม่มากนัก คิดเป็นร้อยละ 2.5 ของจ านวนส้มโอทั้งหมดที่ปลูก ภายในพื้นที่ ในช่วงระหว่างการฟื้นตัวของเกษตรกร พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จะท าการปลูกพืชผัก ผลไม้ ชนิดอื่น ควบคู่ไปในสวนด้วย โดยเฉพาะกล้วยหอม เนื่องจากสามารถให้ผลผลิตได้รวดเร็วเป็นรายได้ ให้กับเกษตรกรระหว่างรอผลผลิตจากส้มโอที่ต้องใช้เวลานานหลายปี นอกจากนี้ เกษตรกรหลายราย ยังท าการปลูกต้นหมาก มะพร้าว มะม่วง รวมทั้งพริก ควบคู่ไว้ภายในสวนของตนด้วย ถึงแม้ว่า ขนาดพื้นที่สวนส้มโอโดยรวมจะมีขนาดพื้นที่ลดลงแต่จ านวนต้นส้มโอที่เกษตรกรปลูกโดยเฉลี่ย ต่อพื้น 1 ไร่ นั้นมีขนาดที่เพิ่มขึ้นด้วย สอดคล้อง กับการศึกษาของ วรวิทย์ ศุภวิมุต (2554) เรื่อง


85 "รูปแบบการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินภายหลังพายุต้ฝุ่นเกย์: กรณีศึกษาต าบลทะเลทรัพย์ อ าเภอประทิว จังหวัดชุมพร" ว่าในการตัดสินใจฟื้นฟูสวนภายหลังเกิดภัยพิบัตินั้น ปัจจัยทางด้าน พฤติกรรมมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรค่อนข้างมาก เช่น การเลือกปลูกพืชตามความถนัด ความสะดวกในการดูแลรักษา นอกจากนี้เกษตรกรยังตัดสินใจเลือกปลูกพืชหลากหลายชนิดมากกว่า ปลูกพืชชนิดเดียวรวมทั้งการปลูกพืชอายุสั้นเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วขึ้น และยังสอดคล้อง กับการศึกษาของ สุมาลินี สาดส่าง (2556) เรื่อง "การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินทางการเกษตร ในเขตชานเมือง: กรณีศึกษาอ าเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี" ที่พบว่าการปรับตัวของเกษตรกรนั้น มีการใช้ยุทธศาสตร์หลายด้านด้วยกัน เช่น การเพิ่มความเข้มในการผลิต 5.3 ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย มีข้อเสนอแนะดังนี้ 5.3.1) การพัฒนาผลงานวิจัยเป็นสิ่งจ าเป็นในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ดังนั้น หากมีการ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง หรือแบ่งระดับกลุ่มผู้ผลิตผลงานทางวิชาการ จะสามารถช่วยให้เกิดการผลิตผล งานทางวิชาการได้มากขึ้น 5.3.2) ควรมีการให้เวลา หรือจัดแบ่งเวลา หรือการเอื้อต่อการก าหนดเวลาในการผลิตผลงาน ทางวิชาการ เนื่องจากผู้สอนส่วนหนึ่งมีภาระการสอน และภาระงานที่นอกเหนือจากการสอน อันเป็น อุปสรรคต่อการผลิตผลงานทางวิชาการ 5.3.3) ควรมีการก าหนด หรือสร้าง หรือเพิ่มแรงจูงใจในการผลิตผลงานทางวิชาการ เช่น ค่าตอบแทน เป็นต้อน


บรรณานุกรม กรมการท่องเที่ยว (2554). สรุปรายได้และค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดิน ทางเข้าประเทศไทย ปี 2558. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2561 จาก สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2561, จากhttp://www.tourism.go.th/home/details/11/221/25306 กรมการท่องเที่ยว (2559). สรุปรายได้และค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดิน ทางเข้าประเทศไทย ปี 2558. สืบค้นเมื่อ 29 มกราคม 2559 จาก สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2561, จาก http://www.tourism.go.th/home/details/11/221/25306 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2554). ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทยปี 2555 – 2559. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2561, จาก http://www.tourism.go.th/home/details/11/221/25306 __________. (2554). แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ปี 2555-2559. กรุงเทพฯ: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. กระทรวงศึกษาธิการ. (2549). คู่มือการจัดการเรียนรู้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2549. กรุงเทพฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์. กฤตวิชญ์ สุขอึ้ง. (2560). “การผลิตแผนที่ความเสี่ยงการเกิดดินถล่มโดยใช้ระบบสารสนเทศทาง ภูมิศาสตร์ และแบบจ าลองการถดถอยโลจิสติกร่วมกับปัจจัยสิ่งแวดล้อม กรณีศึกษาของ บ้านนางแลใน อ.เมือง จ.เชียงราย.” Veridian E-Journal, Science and Technology Silpakorn University Silpakorn University. 4(6) (พฤศจิกายน – ธันวาคม): 1-10 กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร. (2558) บรรยายสรุปจังหวัดนครปฐม ปี 2558. ส านักงานจังหวัดนครปฐม. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2558). การศึกษาแนวโน้มและทิศทางการท่องเที่ยวไทยในปี 2563 Thai Tourism Scenario 2020. TAT REVIEW. Vol1.No.2 Apr – Jun 2015. กรุงเทพฯ: กองวิจัยการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย


87 __________. (2559).ท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2561, จาก http://thai.tourismthailand.org/home, 2558 จิตรภณ สุนทร.(2561). มุมมองทางภูมิศาสตร์ ผ่านค าขวัญประจ าจังหวัด. Veridian E-Journal. 11(1): 213-225. __________. (2561) การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของพื้นที่สวนส้มโอพันธุ์นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม. วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ. 5(2): 206-224. ชูเดช โลศิริ. (2557) ภูมิศาสตร์เทคนิค. โครงการต าราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มูลนิธิ สอวน. กรุงเทพมหานคร. ถะพอ หล้าเจ. (2554). งานวิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกทักษะการ ฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศศึกษา. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยปทุมธานี, 3(1): 2-3. นิพล เชื้อเมืองพาน. (2562). งานวิจัยเรื่องการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทางการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบางหลวง อ าเภอบางเลน จังหวัด นครปฐม. นครปฐม: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. ปทุมารียา ธัมมราชิกา. (2552). งานวิจัยเรื่องการพัฒนาบทเรียนการสอนผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ตวิชาการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์. ชุมพร: สถาบันการพลศึกษา. ปนัดดา พาณิชยพันธุ์. (2555) พัฒนาการของโครงข่างการขนส่งและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ในเขตชานเมือง: กรณีศึกษาชานเมืองเชียงใหม่-แม่โจ้. วิทยานิพนธ์ ปริญญาวิทยา ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ปวีณา เปรมเจริญ. (2555) การประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ศึกษาการใช้ที่ดิน ในเขต เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต.


88 ภราเดช พยัฆวิเชียร. (2539 เมษายน - มิถุนายน). พัฒนาทองเที่ยวไทยในทิศทางที่ยั่งยืน.จุลสาร การทองเที่ยว. 15(2): 4 – 7 (2546). สรุปการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการท่องเที่ยว เชิงนิเวศ. ในสรุปกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศนานาชาติ (หน้า 20). 7-9 มีนาคม 2545. กรุงเทพฯ ภูริวัจน์ เดชอุ่ม (2556). การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์: กรอบแนวคิดสู่แนวทางปฏิบัติ ส าหรับประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2560, จาก https://tcithaijo.org/index.php/sujthai/article/view/15130 มหาวิทยาลัยสุโททัยธรรมธิราช (2552) เอกสารการสอนชุดวิชาทรัพยากรท่องเที่ยวของไทยหน่วย ที่1-8. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รุ่งทิพย์ วัฒนา. (2550). งานวิจัยการพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง โปรแกรม ส าหรับงานกราฟิกกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3. ลพบุรี: ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1. รุจจิพร บัวแก้ว. (2549). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรม ส าหรับนักศึกษาสาขาวิชาการโรงแรมระดับปริญญาตรีชั้นปีที่2 มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. รุจโรจน์ แก้วอุไร. (2545). การออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามแนวคิดของกาเย่. Retrieved February 2, 2016, from http://www.thaicai.com/articles/cai. html. วรรณา วงษ์วานิช. (2546). ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วรากรณ์ พูลสวัสดิ์และคณะ. (2562). การพัฒนาชุมชนตามแนวคิดทางสายกลางของขงจื้อ. วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์. 4(3): 489-504. วลัยลักษณ์ อมรสิริพงศ์. (2562). เทคโนโลยี Big data กับงานห้องสมุดในยุคดิจิทัล. วารสาร ห้องสมุด. 63(2) (กรกฎาคม – ธันวาคม): 1-23.


89 __________. (2562). การส่งเสริมการรู้ดิจิทัลส าหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม: ถอดบทเรียนจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยเว็บโอเมทริกซ์. วารสารสังคมศาสตร์ บูรณาการ. 6(2) (กรกฎาคม – ธันวาคม): 438-478. __________.และคณะ. (2561). แนวปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารจัดการสวนส้มโอ จากเกษตรกร ผู้ปลูกส้มโอตัวอย่าง. วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ. 5(2) (กรกฎาคม – ธันวาคม): 29-54. วสันต์ ออวัฒนา (2555). การคาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการใช้ประโยชน์ที่ดินใน จังหวัดภูเก็ต. ปริญญานิพนธ์ วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ. วิทยา เต่าสา. (2552) การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินทางการเกษตรและการปรับตัวของเกษตรกร : กรณีศึกษาบ้านทรายมูล ต าบลหนองปรือ อ าเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี. วิทยานิพนธ์ ปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. วิเวก สุขสวัสดิ์. (2554). การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน. Retrieved June 16, 2015, from http://netra.lpru.ac.th ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. (2555). ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย. สืบค้นในแหล่งท่องเที่ยว ข้อมูล http://www.ksmecare.com/Article/82/28465 เข้าถึงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 สมาคมส ารวจข้อมูลระยะไกลและสารสนเทศภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย. (2552) ต าราเทคโนโลยี อวกาศและ ภูมิสารสนเทศศาสตร์. ส านักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิ สารสนเทศ (องค์การมหาชน). กรุงเทพมหานคร. ส านักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2550). รูปแบบการบริหารจัดการสถาบันอุดมศึกษาแนว ใหม่. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์. ส านักงานจังหวัดนครปฐม. (2557). จังหวัดนครปฐม. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2561 จาก http://www.nakhonpathom.go.th/npt/phocadownload/Document/ Recapitulate/Recapitulate2558.pdf


90 สุธาพร ฉายะรถี. (2558). งานวิจัยเรื่องปัญหาและความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. นครปฐม : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. สุภางค์จันทวนิช. (13 กันยายน 2526). บรรยาย คณบดี. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสาน มิตร. เสาวนีย์ สิกขาบัณฑิต. (2548). เทคโนโลยีการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาควิชาครุศาสตร์เทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. อรธิชา สว่างศรี. (2552).การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษแบบบูรณาการ เพื่อการเรียนรู้ค าศัพท์ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทัพหลวง. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.


91 ภาษาอังกฤษ Anafo, P. & Filson, C. K. (2014). Promoting information literacy among undergraduate students of Ashesi University College, Ghana. Library Philosophy and Practice, p. 1032. Retrieved 20 June 2016, from http://digitalcommons.unl.edu/libphilprac/1032 Baykaykom, S. (2007). Information literacy of undergraduate students at Kasetsart University Si Racha Campus. (in Thai). M.A. Thesis, Graduate School, Burapha University. Berpan, C. (2012). Information literacy of Chulalongkorn University Undergraduate Students. (in Thai). Library Science Journal, 32 (2), 25-37. Burch, J. & Grudnitski, G. (1989). Information system: Theory and practice (5th ed.). New York: John Wiley & Sons. Emmanuel, B. E. & Fyneman, B. (2009). Information literacy among undergraduate students in Niger Delta University. The Electronic Library, 27 (4), 659-675. Griffits, D. W. (1995). Evaluating materials for teaching English to adults speakers of their languages. English Teaching Forum, 33(3), 50-51. Holden, A. (2008) Environment and Tourism. New York: Routledge. Hoven, D. (2014). A model for listening and view comprehension in multimedia environments. Retrieved February 2, 2012, from http://llt.msu.edu/ vol 3 num1/hoven http://www.ifla.org/files/assets/information-literacy/publications/iflaguidelines-en.pdf Hyland, T. (1993). Competence, knowledge and education. Journal of Philosophy of Education, 57(27), 3-5.


92 Igwa, K.N. & Issa, A.O. (2017, October). Accessibility of resource and delivery methods as correlates of information literacy competence of undergraduates in southern Nigerian universities. African Journal of Library, Archives and Information Science, 27(2), 159-174. Japageya, N., Kumkeaw, C. & Maso, S. (2014). Development of information literacy skills of students in higher education institutions in the three southern border provinces. (in Thai). Yala: Yala Rajabhat University. Jiaokok, P. (2004). Information literacy of undergraduate students at Srinakharinwirot University. (in Thai). M.A. Thesis, Graduate School, Srinakharinwirot University. Keawmanee, P. (2009). Information literacy of Mahasarakham University’s first year students. (in Thai). M.A. Thesis, Department of Library Science, Faculty of Arts, Chulalongkorn University. Kerr, Clark. (1964). The use of the university. Cambridge, MA: Harvard University Lau, J. (2006). Guidelines on information literacy for lifelong learning. Retrieved 20 June 2016, from Loipha, S. (2001, October-December). Information literacy: Essential skill for information society. (in Thai). Journal of Library and Information Science, Khon Kaen University, 19 (1), 1-6. Mahmood, K. (2013, September). Relationship of students’ perceived information literacy skills with personal and academic variables. Libri: International Journal of Libraries and Information Studies, 63 (3), 232-239. Nierenberg, E. & Fjeldbu, O. G. (2015). How much do first-year undergraduate students in Norway know about information literacy? Journal of Information Literacy, 9 (1), 15-33.


93 Nunan, D. (2003). Practical English language teaching. New York: McGraw-Hill. Partnership for 21st Century Learning. (2016). Framework for 21st Century Learning. Retrieved 12 July 2016, from http://www.p21.org/our-work/p21- framework Pawinun, P. (2008). The information literacy of students of Ramkhamhaeng University. (in Thai). Bangkok: Ramkhamhaeng University. Press. Schweitzer, J. A. (1990). Managing information security: Administrative, electronic and legal measures to protect business information (2nd ed.). Boston: Butterworths. Sookmark, K. (2004). Information literacy of Chulalongkorn University’s first year students. (in Thai). M.A. Thesis, Department of Library Science, Faculty of Arts, Chulalongkorn University. Stark, W. (2011, May Thursday). Dialectics provide a breakthrough. Bangkok Post, 24, p.11. Techataweewan, W. (2008). Integration of information literacy into studentcentered learning management system. (in Thai). Ph.D. Dissertation, Computer Education, King Mongkut’s University of Technology North Bangkok. The Office of Academic Promotion and Registration, Nakhon Pathom Rajabhat University. (2016). Student information. (in Thai). Retrieved 1 January 2016, from http://ac.npru.ac.th/index1.php Tourism Authority of Thailand. (2001) National Ecotourism Action Plan. Bangkok Conservation Division, Tourism Authority of Thailand (TAT). http://tourism.go.th (เข้าถึงเมื่อ 16/08/2561)


Click to View FlipBook Version