The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม
วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by robotrotmilk, 2023-02-24 21:09:20

งานวิจัยในชั้นเรียน 1/2565

การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม
วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี

งานวิจ ั ยในช ั น ้ เรย ี น การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี นางสาวชาด แสงศรีเรือง โรงเรียนบ้านเด็กดี อ าเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ส ำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำเชียงใหม่เขต ๔ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน กระทรวงศึกษำธิกำร วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


0 งานวิจัยในชั้นเรียน การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ผู้วิจัย นางสาวชาด แสงศรีเรือง แผนกวิชาการโรงแรม ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว


1 กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุณคณะครู นักเรียน และนักศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ที่ให้ความร่วมมือใน การเก็บรวบรวมข้อมูลในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในครั้งนี้คุณค่าและประโยชน์ของรายงานฉบับนี้ ผู้รายงานขอมอบเป็นเครื่องแสดงความกตัญญูต่อบิดา มารดา ที่ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้มี สติปัญญาและคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นเครื่องมือน าไปสู่ความส าเร็จในชีวิตของผู้รายงาน ชาด แสงศรีเรือง ครูผู้ช่วย


2 ชื่อเรื่อง : การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ผู้วิจัย : นางสาวชาด แสงศรีเรือง ต าแหน่ง ครูพิเศษสอน ภาคการศึกษา 1 ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การศึกษา เรื่อง การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและการบริการ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี2) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในรายวิชาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและการบริการ ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจทางการเรียนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการ บริการ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีจ านวน 1 ห้องเรียน มีจ านวน 17 คน โดยวิธี วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ด้วยการสอนแบบ CIPPA MODEL 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL ตามหลักสากลสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และท าการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ Dependent Sample t-test ผลการศึกษาพบว่า 1) ประสิทธิภาพของพัฒนาการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL พบว่า มีประสิทธิภาพ 75.16/78.24 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ คือ E1/E2 เท่ากับ 75/75 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL จากการทดสอบที (T-test) แสดง ว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3) ความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนมีค่าเฉลี่ยในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านแบบทดสอบที่มี ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านเนื้อหาบทเรียน อยู่ในระดับมาก


3 สารบัญ หน้า บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหาการศึกษา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1 1.3 ค าถามของการศึกษา 1 1.4 สมมติฐานในการศึกษา 2 1.5 ขอบเขตของการศึกษา 2 1.6 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการศึกษา 2 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 2.1 มาตรฐานหลักสูตรประกาศนียบัตรชีพชั้นสูง (ปวส.) 2563 ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 5 2.2 วิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 6 2.3 การจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL 7 2.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 10 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้ 13 2.6 ความพึงพอใจ 18 2.7 วิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Design) 20 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 22 2.9 กรอบแนวคิดการศึกษา 23 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย 24 3.1 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย 24 3.2 รูปแบบการศึกษา 24 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 24 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 24 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 28 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 29 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 29 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 33 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 33 4.2 การน าเสนอข้อมูล 33 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 34


4 สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 39 5.1 สรุปผลการศึกษา 39 5.2 อภิปรายผลการศึกษา 39 5.3 ข้อเสนอแนะ 41 บรรณานุกรม 42 ภาคผนวก 44 ภาคผนวก ก ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ 45


5 สารบัญตาราง หน้า ตาราง 4.1 คะแนนทดสอบก่อนเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่เรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 34 ตาราง 4.2 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่เรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 35 ตาราง 4.3 ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 35 ตารางที่4.4 แสดงผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังใช้การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 n = 12 36 ตารางที่4.5 ความแตกต่างค่าเฉลี่ยระหว่างคะแนนทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังใช้การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 37 ตารางที่4.6 แสดงผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่มีต่อการเรียนวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยใช้การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 37


6 สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการศึกษา 23


1 บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหาการศึกษา หัวข้อในการจัดการเรียนการสอนเรื่อง “ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ถือเป็นหัวข้อส าคัญ หัวข้อหนึ่งในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ เพราะธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็น ธุรกิจที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจอาหารและ เครื่องดื่ม ธุรกิจการขนส่ง ธุรกิจร้านค้าของที่ระลึก และธุรกิจอื่น ๆ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เหล่านี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว และเป็นธุรกิจที่เป็นองค์ประกอบที่ส าคัญส าหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงได้พยายามศึกษาและส่งเสริมที่จะช่วยให้นักศึกษาได้รับการจัดการเรียนรู้ รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม ที่ดีขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน ร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาและสังคม ในช่วงการจัดการเรียนการสอนรูปแบบระบบทางไกล ด้วย ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.2.1 เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2สาขาวิชาการโรงแรม 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2สาขาวิชาการโรงแรม 1.2.3 เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2สาขาวิชาการโรงแรม


2 1.3 ค าถามของการศึกษา 1.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการ โรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีควรเป็นอย่างไร 1.3.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีเป็น อย่างไร 1.3.3 ระดับความพึงพอใจทางการเรียนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ชั้นปีที่ 1/2 แผนก วิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีอยู่ในระดับใด 1.4 สมมติฐานในการศึกษา 1.4.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัย อาชีวศึกษาชลบุรีเพิ่มขึ้น 1.4.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ชั้น ปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1.4.3 ระดับความพึงพอใจทางการเรียนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีอยู่ในระดับมากที่สุด 1.5 ขอบเขตของการศึกษา 1.5.1 ขอบเขตด้านประชากร ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีมีจ านวน 17 คน โดยวิธีวิธีการ เลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 1.5.2 ขอบเขตด้านเนื้อหา ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ คือ รายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการบริการ ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2563 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว สาขาวิชาการโรงแรม โดยมุ่งเน้นในการศึกษาเฉพาะเรื่อง “ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว”


3 เป็นเนื้อหาที่ใช้ศึกษา และใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เป็นตัวแปรต้นใน การศึกษาหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของผู้เรียน 1.5.3 ขอบเขตด้านเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองส าหรับการศึกษาในครั้งนี้ ท าการสอนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 มีเวลาสอนจ านวน 6 สัปดาห์ โดยแต่ละสัปดาห์มี ก าหนดเวลาเป็น 3 ชั่วโมง 1.6 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการศึกษา 1.6.1 นักเรียน หมายถึง นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชา การโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี 1.6.2 การจัดการเรียนรู้หมายถึง การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ 1.6.3 CIPPA MODEL หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่มุ้งเน้นให้นักเรียนเกิดพฤติกรรม 5 ลักษณะ ได้แก่ การสามารสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม รอบตัว นักเรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เกิดการเรียนรู้กระบวนการ ต่าง ๆ ของกิจกรรม (Process Learning) และน าความรู้ที่ได้มาไปประยุกต์ใช้ได้ 1.6.5 ความพึงพอใจ หมายถึง พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ 1.6.6 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียน 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษา 1.7.1 เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของนักเรียน 1.7.2 เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียน โดยผลสัมฤทธิ์ทางเรียนหลังเรียน มีระดับที่สูงกว่าก่อน เรียน 1.7.3 เกิดความพึงพอใจทางการเรียนของนักเรียนที่มีต่อรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการบริการ เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว


4 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีผู้ศึกษาได้ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 2.1 มาตรฐานหลักสูตรประกาศนียบัตรชีพชั้นสูง (ปวส.) 2563 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว 2.1.1จุดประสงค์สาขาวิชา 2.1.2 มาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ 2.2 วิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 2.2.1 จุดประสงค์รายวิชา 2.2.2 สมรรถนะรายวิชา 2.2.3 ค าอธิบายรายวิชา 2.3 การจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODE 2.3.1. แนวคิด CIPPA MODEL 2.3.2ลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา 2.3.3 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามหลักโมเดลซิปปา 2.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4.1 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4.3 ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.2 ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.3 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.4 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.5 ลักษณะที่ดีของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.6 ชนิดของการท าแผนการจัดการเรียนรู้


5 2.5.7 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.8 ส่วนประกอบมีรายละเอียดในการจัดท า 2.6 ทฤษฎีความพึงพอใจ 2.6.1 ความหมายของความพึงพอใจ 2.6.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 2.6.3 การวัดระดับความพึงพอใจ 2.7 การวิจัยกึ่งทดลอง 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.9 กรอบแนวคิดในการศึกษา 2.1 มาตรฐานหลักสูตรประกาศนียบัตรชีพชั้นสูง (ปวส.) 2563 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว 2.1.1 จุดประสงค์สาขาวิชา 1. เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะด้าน ภาษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษาสุขศึกษาและพลศึกษาในการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ 2. เพื่อให้มีความรู้และทักษะในหลักการบริหารและจัดการวิชาชีพ การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและหลักการการอาชีพที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวิชาชีพ การโรงแรมให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี 3. เพื่อให้มีความรู้และทักษะในหลักการและกระบวนการงานพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ อาชีพการโรงแรม 4. เพื่อให้มีความรู้และทักษะในการบริการทางการโรงแรมตามหลักการและ กระบวนการในลักษณะครบวงจรเชิงธุรกิจโดยค านึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การอนุรักษ์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม 5. เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานด้านการ โรงแรม ในสถานประกอบการและประกอบอาชีพ อิสระใช้ความรู้และทักษะพื้นฐานในการศึกษาต่อระดับสูงขึ้น 6. เพื่อให้สามารถเลือก/ใช้/ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในงานการโรงแรม 7. เพื่อให้มีเจตคติและกิจนิสัยที่ดีต่องานอาชีพ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทนมีวินัย มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ต่อต้านความรุนแรงและสารเสพ ติด สามารถพัฒนาตนเองและท างานร่วมกับผู้อื่น 2.1.2 มาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ คุณภาพของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับคุณวุฒิการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา


6 อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สาขาวิชาการโรงแรม ประกอบด้วย 1 ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ได้แก่ความเสียสละ ความซื่อสัตย์ สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความอดกลั้น การละเว้นสิ่งเสพติดและการพนัน การมีจิตส านึกและเจตคติ ที่ดีต่อวิชาชีพและสังคม เป็นต้น 2) พฤติกรรมลักษณะนิสัย ได้แก่ความมีวินัยความรับผิดชอบ ความมีมนุษยสัมพันธ์ ความเชื่อมั่นในตนเอง ความรักสามัคคี ความขยัน ประหยัด อดทน การพึ่งตนเอง เป็นต้น 3) ทักษะทางปัญญาได้แก่ความรู้ในหลักทฤษฎี ความสนใจใฝ่รู้ ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ความสามารถในการคิด วิเคราะห์เป็นต้น 2 ด้านสมรรถนะหลักและสมรรถนะทั่วไป 1) สื่อสารโดยใช้ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศในชีวิตประจ าวันและในงานอาชีพ 2) แก้ไขปัญหาในงานอาชีพโดยใช้หลักการและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ 3) ปฏิบัติตนตามหลักศาสนา วัฒนธรรม ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมทางสังคม และสิทธิหน้าที่พลเมือง 4) พัฒนาบุคลิกภาพและสุขอนามัยโดยใช้หลักการและกระบวนการด้านสุขศึกษา และพลศึกษา 3 ด้านสมรรถนะวิชาชีพ 1) วางแผนด าเนินงาน จัดการงานอาชีพตามหลักการและกระบวนการ โดยค านึงถึง การบริหารงานคุณภาพ การอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม หลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย 2) ใช้คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการอาชีพ 3) ปฏิบัติงานพื้นฐานอาชีพตามหลักและกระบวนการ 4) ใช้หลักการและกระบวนการของการเป็นผู้บริการในงานโรงแรม 5) ประยุกต์ความรู้ด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวใน งานโรงแรม 6) ปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานส่วนหน้าโรงแรม งานแม่บ้านโรงแรม งานครัว โรงแรม และงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม 7) ติดตามความก้าวหน้าทางวิชาชีพและเทคโนโลยีและน ามาพัฒนางานโรงแรมให้มี ประสิทธิภาพและทันสมัย 8) สื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศในการบริการงานโรงแรม


7 2.2 วิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ชื่อรายวิชา อุตสาหกรรมท่องเที่ยว รหัสวิชา 30700-1001 จุดประสงค์รายวิชา 1. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการเบื้องต้นพื้นฐานงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยว องค์ประกอบ ปัจจัยสนับสนุนและผลกระทบของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจ สังคมและ การเมือง 2. มีทักษะในการปฏิบัติงานกิจกรรมส่งเสริมการอาชีพอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 3. มีเจตคติที่ดีต่องานบริการและวิชาชีพอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ค าอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ความหมาย ความส าคัญ และผลกระทบ ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง องค์ประกอบของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริษัทน าเที่ยว ตัวแทนการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรมและที่พักอื่น ๆ ธุรกิจการขนส่ง ธุรกิจการจ าหน่าย สินค้าที่ระลึก ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร ธุรกิจสถานบันเทิงและธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทรัพยากรการท่องเที่ยวปัจจัยสนับสนุนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ฝึกปฏิบัติกิจกรรมที่ส่งเสริมด้าน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สมรรถนะของรายวิชา 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการและพื้นฐานงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และผลกระทบของ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง 2. ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับหลักการและพื้นฐานงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในการ ปฏิบัติงานการท่องเที่ยว 3. ประสานงานและปฏิบัติกิจกรรมที่ส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามลักษณะการ อาชีพ 2.3 การจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL 2.3.1. แนวคิด CIPPA MODEL หลักการจัดการเรียนรู้โมเดลซิปปา เป็นหลักที่น ามาใช้จัดการจัดการเรียนรู้แบบผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง เสนอแนวคิดโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี อาจารย์ประจ าภาควิชา ประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีจุดเน้นที่การจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ หลักการจัดของโมเดลซิปปา มีองค์ประกอบที่ส าคัญ 5 ประการ ได้แก่


8 C มาจากค าว่า Construct หมายถึง การสร้างความรู้ ตามแนวคิด การสรรค์สร้าง ความรู้ได้แก่ กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งท าให้ผู้เรียนเข้าใจและ เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเองกิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา I มาจากค าว่า Interaction หมายถึง การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ได้แก่ กิจกรรมที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล เช่น ครู เพื่อน ผู้รู้ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งความรู้ และสื่อประเภทต่าง ๆ กิจกรรมนี้ ช่วยให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมทางสังคม P มาจากค าว่า Physical Participation หมายถึง การมีส่วนร่วมทางกาย ได้แก่ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะต่าง ๆ P มาจากค าว่า Process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ที่เป็นทักษะ ที่จ าเป็นต่อการด ารงชีวิต ได้แก่ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนท าเป็นขั้นตอนจนเกิดการเรียนรู้ ทั้งเนื้อหาและ กระบวนการ กระบวนการที่น ามาจัดกิจกรรม เช่น กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทาง สติปัญญา A มาจากค าว่า Application หมายถึง การน าความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ ได้แก่ กิจกรรมที่ให้โอกาสผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติที่เป็น ประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้หลายอย่างแล้วแต่ ลักษณะของกิจกรรม 2.3.2 ลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา การจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา มีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้ เกิดผลกับผู้เรียนดังนี้ 1) เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางร่างกายและอารมณ์ จิตใจ กิจกรรมการเรียนรู้ ควรมีความหลากหลาย ให้โอกาสผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหว (physical movement) เป็นระยะ ตามความเหมาะสมกับวัย และความสนใจของผู้เรียน การเคลื่อนไหวอวัยวะหรือกล้ามเนื้อ ได้แก่ 1.1) การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดย่อย (fine motor movement) กิจกรรม การเขียน การฟัง การวาดภาพ การพับกระดาษ การร้อยมาลัย การร้องเพลง เป็นต้น 1.2) การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (gross motor movement) กิจกรรม การลุกนั่ง การกระโดด การวิ่ง การเล่นเกมต่าง ๆ เป็นต้น การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเคลื่อนไหวร่างกาย ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการเรียนรู้ มีความกระฉับกระเฉงตื่นตัว ไวต่อความรู้สึก กิจกรรม ที่จัดควรค านึงถึงการมีส่วนร่วมทางด้านอารมณ์ของผู้เรียนด้วย


9 2) เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสติปัญญา และอารมณ์ กิจกรรมการเรียนรู้ ต้องมีลักษณะกระตุ้น และท้าทายความคิด ท าให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อผูกพันกับสิ่งที่คิด ส่งผลให้ ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี การเรียนรู้ทางสติปัญญา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 2.1) ก า รเ รียน รู้ท างด้ านเนื้อห าคว ามรู้ (content or knowledge) ได้แก่ การเรียนรู้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้ต่าง ๆ 2.2) การเรียนรู้ทักษะกระบวนการ (process skills) ได้แก่ การเรียนรู้ทักษะ ต่าง ๆ ที่จ าเป็นในการเรียนรู้ เช่น ทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการท างานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น การเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาความรู้ (content or knowledge) จากการเรียนรู้แบบ ท่องจ า ผู้เรียนไม่เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง วิเคราะห์และสังเคราะห์ และน าไปใช้ไม่ได้ตามที่ คาดหวังจากปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้แสวงหาแนวทางใหม่ ที่น ามาอธิบายและแก้ปัญหา แนวคิดทางการสรรค์สร้างความรู้ (Constructivism) ซึ่งเชื่อว่าความรู้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาด้วย ตนเอง สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นมาได้เรื่อย ๆ โดยอาศัยกระบวนการพัฒนาโครงสร้าง ความรู้ภายในตัวบุคคล ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่าโครงสร้างสติปัญญาของผู้เรียน ประกอบด้วยโครงสร้าง ความรู้ที่สามารถปรับเปลี่ยน และขยายออกได้ โดยอาศัยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1) ความรู้เดิม หรือโครงสร้างความรู้เดิมที่มีอยู่ 2) ความรู้ใหม่ ได้แก่ ประสบการณ์ที่ได้รับ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ ความรู้สึก 3) กระบวนการทางสติปัญญา ได้แก่ กระบวนการทางสมอง ที่ใช้ในการท า ความเข้าใจความรู้ใหม่ที่ได้รับมา และใช้เชื่อมโยงและปรับความรู้เดิมและความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน การเรียนรู้ทักษะกระบวนการ หรือทักษะทางสติปัญญา จากการเรียนรู้เพียงเนื้อหา ไม่เพียงพอ ควรจะต้องมีการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ (learning process) ดังนั้นจ าเป็นต้อง ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีทักษะทางสติปัญญา ทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จ าเป็นต่อ การ ด ารงชีวิต เช่น ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการศึกษาด้วยตนเอง ทักษะการคิดและกระบวนการ คิดต่าง ๆ ทักษะการจัดการ และทักษะการท างานกลุ่ม หรือการท างานร่วมกันเป็นทีม 3) เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมาส่วนร่วมทางสังคม และอารมณ์ กิจกรรมการเรียนรู้จึงควร เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดังนี้ 3.1) บุคคลแวดล้อมได้แก่ ครู เพื่อนในห้อง ผู้ปกครอง บุคลากรในสถานศึกษา คนในชุมชน เป็นต้น 3.2) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพได้แก่ สถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงเรียนและชุมชน 3.3) สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ได้แก่ สวนสาธารณะ ป่าไม้ แม่น้ า สัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น


10 3.4) สิ่งแวดล้อมทางด้านสื่อ ได้แก่ โสตวัสดุและเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น หนังสือ ต ารา วารสาร เกมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้ง 4 ด้าน สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตา รมวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เนื่องจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผ่านกระบวนการคิดกลั่นกรองโดยผู้เรียนเอง ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและจ าในสิ่งที่ตนเรียนได้เป็นอย่างดี และถ้าหากมีการฝึกฝน น าความรู้ได้ไป ประยุกต์ใช้ท าให้ผู้เรียนสามารรถถ่ายโอนการเรียนรู้ (transfer of learning) ทั้งนี้จ าเป็นต้องอาศัย การฝึกฝนการน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ (application) 2.3.3 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามหลักโมเดลซิปปา โมเดลซิปปามีองค์ประกอบส าหรับการจัดการเรียนรู้ที่ส าคัญ 5 ประการ ครูสามารถเลือก รูปแบบ วิธีสอน กิจกรรมใดก็ได้ที่สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามองค์ประกอบทั้ง 5 อีกทั้ง การจัดกิจกรรมก็สามารถจัดล าดับองค์ประกอบใดก่อนหลังได้เช่นกัน และเพื่อให้ครูที่ต้องการน า หลักการของโมเดลซิปปาไปใช้ได้สะดวกขึ้น รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี จึงจัดขั้นตอน การสอนเป็น 7 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นทบทวนความรู้เดิม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับ ความรู้เดิมของตนกิจกรรมในขั้นนี้ ได้แก่ การสนทนาซักถามให้ผู้เรียนบอกสิ่งที่เคยเรียนรู้ การให้ ผู้เรียนเล่าประสบการณ์เดิม หรือการให้ผู้เรียนแสดงโครงสร้างความรู้ ( Graphic Organizer ) เดิมของตน 2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ 3. ขั้นศึกษาท าความเข้าใจความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม เพื่อให้ ผู้เรียนสร้างความหมายของข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ สรุปความเข้าใจแล้วเชื่อมโยงกับความรู้เดิม กิจกรรมในขั้นนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่มหรือกระบวนการแก้ปัญหา สร้างความรู้ขึ้นมา 4. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เพื่ออาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการ ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ และขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น กิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ ผู้เรียนแต่ละคนแบ่งปันความรู้ความเข้าใจให้ผู้อื่นรับรู้และให้กลุ่มช่วยกันตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน 5. ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนจดจ าสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่ายกิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนสรุปประเด็นส าคัญ ประกอบด้วย มโนทัศน์หลักและมโนทัศน์ย่อย ของความรู้ทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่แล้วน ามารวบรวมเรียบเรียงให้ได้ใจความสาระส าคัญครบถ้วน สะดวก แก่การจดจ า ครูอาจให้ผู้เรียนจัดเป็นโครงสร้างความรู้ ( Graphic Organizer ) ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยใน การจดจ าข้อมูลได้ง่าย


11 6. ขั้นแสดงผลงาน เพื่อให้โอกาสผู้เรียนได้ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนด้วย การได้รับข้อมูลย้อนกลับจากผู้อื่นกิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตน ด้วยวิธีการ ต่าง ๆ เช่น จัดนิทรรศการ จัดการอภิปราย แสดงบทบาทสมมติ เขียนเรียงความ วาดภาพ แต่งค าประพันธ์ เป็นต้น และอาจมีการจัดประเมินผลงานโดยใช้เกณฑ์ที่เหมาะสม 7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนน าความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจ และความช านาญ กิจกรรมนี้ ได้แก่ การที่ครูให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงวิธีใช้ความรู้ให้ เป็นประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเท่ากับส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ ในระยะแรกครูอาจตั้ง โจทย์สถานการณ์ต่าง ๆ แล้วให้ผู้เรียนน าความรู้ที่มีมาใช้ในสถานการณ์นั้น 2.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4.1 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ชุดค าถามที่มุ่ง วัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่าง ๆ ในเรื่อง ที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด เสาวลักษณ์ หล้าสิงห์ (2558 ) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความส าเร็จหรือความสามารถในการท ากิจกรรมการเรียนรู้ ของนักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด 2.4.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2550) สรุปได้ว่าดังนี้ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน เฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันโดยทั่วไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็น แบบทดสอบข้อเขียน ซึ่งแบ่งได้อีก 2 ชนิด 1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่ก าหนดค าถามหรือปัญหาให้ แล้วให้ผู้ตอบเขียน โดยแสดงความรู้ ความคิด เจตคติได้อย่างเต็มที่ 1.2 แบบทดสอบปรนัยหรือแบบให้ตอบสั้น ๆ เป็นแบบทดสอบที่ก าหนดให้ผู้ตอบเขียน ค าตอบสั้น ๆ หรือมีค าตอบให้เลือกแบบจ ากัดค าตอบ ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคิดได้ อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้ แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบเติมค า แบบทดสอบจับคู่ แบบทดสอบเลือกตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่ว ๆ ไปซึ่ง สร้างโดยผู้เชี่ยว มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างดี จนมีคุณภาพมาตรฐาน


12 ล้วน สายยศ และอัคณา สายยศ (2553) ได้แบ่งเครื่องมือใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อค าถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งหากพบว่า มีข้อบกพร่องตรงไหนจะได้ซ่อมแซม หรือวัดดูความพร้อมก่อนที่จะสอนเรื่องใหม่ 2. แบบมาตรฐาน สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาหรือจากครูที่สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้ง จนกระทั้งมีคุณภาพดีพอ จึงสร้างเกณฑ์ปกติ (Nom) ของแบบทดสอบนั้น ซึ่งสามารถใช้เป็นหลัก และเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการจัดการ เรียนรู้ในเรื่องใด ๆ ก็ได้ จะใช้วัดอัตราการพัฒนาของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มภาคก็ได้ จะใช้ส าหรับ ให้ครูวินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างวิชาต่าง ๆ ในเด็กแต่ละคนก็ได้ ข้อสอบมาตรฐานนั้น นอกจากจะมีคุณภาพของแบบทดสอบสูงแล้ว ยังมีมาตรฐานในด้านวิธีด าเนินการสอน ก็คือ ไม่ว่าจะ มีคุณภาพของแบบทดสอบสูงแล้ว ยังมีมาตรฐานในด้านวิธีด าเนินการสอบ ก็คือ ไม่ว่าโรงเรียนใดหรือ ส่วนราชการใดจะน าไปใช้ ต้องด าเนินการสอบแบบเดียวกัน แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือ ด าเนินการสอบบอกถึงวิธีการสอบว่าท าอย่างไร และยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนอีกด้วย ทั้งแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นและแบบทดสอบมาตรฐาน มีวิธีสร้างข้อค าถามที่เหมือนกันคือจะเป็น ค าถามที่วัดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ได้สอนนักเรียนไปแล้ว ส าหรับที่ใช้วัดพฤติกรรมที่สามารถตั้ง ค าถามวัดได้ ซึ่งสรุปได้ว่า การวัดผลด้านสติปัญญาควรวัดพฤติกรรมออกเป็น 6 ระดับดังนี้ - วัดด้านความรู้ความความ (knowledge) - วัดด้านความเข้าใจ (comprehension) - วัดด้านการน าไปใช้ (Application) - วัดด้านการวิเคราะห์ (Analysis) - วัดด้านการสังเคราะห์ (synthesis) - วัดด้านการประเมินค่า (Evaluation) การวัดพฤติกรรมทั้ง 6 ด้านนี้ จะใช้แบบทดสอบประเภทอัตนัยหรือปรนัยก็ได้ ข้อส าคัญ อยู่ค าถาม ซึ่งต่อไปนี้เป็นตัวอย่างข้อค าถามของแบบทดสอบประเภทปรนัย ดังนี้ 1. ข้อค าถามวัดความรู้-ความจ า เป็นข้อค าถามที่วัดความสามารถที่ระลึกออกมาได้หรือ จ าได้ เช่น ถามค าศัพท์ นิยาม สถานที่ เวลา ขนาด ปริมาณ บุคคล เข้าใจ ระเบียบ ล าดับขั้น ของการท าอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ถ้าสอนมาแล้วจึงน ามาถาม และถือว่าเป็นการวัดความจ า เท่านั้น 2. ข้อค าถามวัดความ เป็นข้อค าถามที่วัดความสามารถในการจับใจความส าคัญจาก เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการจับใจความ การแปลความหมาย การตีความหมาย และการขยายความของข้อความ ค า เรื่องราว เหตุการณ์ ภาพ ฯ


13 3. ข้อค าถามวัดการน าไปใช้เป็นข้อค าถามที่วัดความสามารถในการน าความรู้ที่เรียนมา ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ 4. ข้อค าถามวัดการวิเคราะห์ เป็นข้อค าถามที่วัดความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อย ๆ ของเหตุการณ์ เรื่องราว เนื้อหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีจุดมุ่งหมายหรือความประสงค์สิ่ง ใด นอกจากนั้นยังบอกถึงว่า ส่วนย่อย ๆ ที่ส าคัญนั้น แต่ละเหตุการณ์เกี่ยวพันกันโดยอาศัยหลักการ ใดจะเห็นได้ว่า ความสามารถในด้านการวิเคราะห์จะมากไปด้วยการหาเหตุผลมาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ และพยายามมองให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของเนื้อหาและเหตุการณ์นั้น ๆ การวิเคราะห์จึงต้องอาศัย พฤติกรรด้านความจ า ความเข้าใจ และการน าไปใช้มาประกอบการพิจารณา 5. ข้อค าถามวัดการสังเคราะห์ เป็นข้อค าถามที่วัดความสามารถในการผสมส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน เป็นการวัดว่านักเรียนจะสามารถน าเอาความรู้แต่ละหน่วย มารวมกัน จัดเป็นหน่วยใหม่หรือโครงสร้างใหม่ที่ต่างจากเดิมได้หรือไม่ ลักษณะค าถามประเภทนี้จะถามเกี่ยวกับ การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นค าถามที่จะดึงดูดว่าใครมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มากเพียงใด 6. ข้อค าถามวัดการประเมินค่า เป็นข้อค าถามที่วัดความสามารถในการวินิจฉัย ตีราคา โดยสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ สิ่งที่มีค่าอาจเป็นวัตถุ สิ่งของ ผลงานต่าง ๆ หรือเป็นความคิดเห็นก็ได้ การประเมินค่านั้น อาศัยเกณฑ์และมาตรฐานไปประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดเสมอว่า สิ่งนั้นดี หรือ ไม่ ดี และเพราะเหตุใดจึงดี หรือไม่ดี ข้อค าถามอาจจะอยู่ในรูปของการประเมิน โดยอาศัยเกณฑ์ ภายในหรือการประเมินค่าที่อาศัยเกณฑ์ภายนอกตัดสินก็ได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความรู้ความสามารถของนักเรียน อันเกิดมาจากการจัดการ เรียนรู้ สามารถวัดได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียนที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น โดยวัดพฤติกรรม ด้านสติปัญญาตามแนวคิดของใน 6 ระดับ คือ ความรู้ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การ วิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดระดับ ความรู้ ความสามารถ และทักษะทางวิชาการของนักเรียนจากการเรียนรู้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ต้องการทราบว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เมื่อผ่านการเรียนไปแล้ว 2.4.3 ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2550) สรุปได้ดังนี้ 1. ความเที่ยงตรง เป็นแบบทดสอบที่สามารถน าไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้อย่าง ถูกต้อง ครบถ้วน ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการวัด 2. ความเชื่อมั่น แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่น คือ สามารถวัดได้คงที่ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งก็ ตาม เช่น ถ้าน าแบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิมคะแนนจากการสอบทั้งสองครั้งควรมี ความสัมพันธ์กันดี เมื่อสอบได้คะแนนสูงในครั้งแรกก็ควรได้คะแนนสูงในการสอบครั้งที่สอง


14 3. ความเป็นปรนัย เป็นแบบทดสอบที่มีค าถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ความถูกต้องตาม หลักวิชา และเข้าใจตรงกัน เมื่อนักเรียนอ่านค าถามจะเข้าใจตรงกัน ข้อค าถามต้องชัดเจนอ่านแล้ว เข้าใจตรงกัน 4. การถามลึก หมายถึง ไม่ถามเพียงพฤติกรรมขั้นความรู้ความจ า โดยถามตามต ารา หรือถามตามที่ครูสอน แต่พยายามถามพฤติกรรมขั้นสูงกว่าขั้นความรู้ความจ าได้แก่ ความเข้าใจการ น าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า 5. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนั้นมีคนตอบ ถูกมากหรือตอบถูกน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบข้อนั้นก็ง่ายและถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบข้อ นั้นก็ยาก ข้อสอบที่ยากเกินความสามารถของนักเรียนจะตอบได้นั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่ สามารถจ าแนกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ในทางตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไปนักเรียนตอบได้ หมด ก็ไม่สามารถจ าแนกได้เช่นกัน ฉะนั้นข้อสอบที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากเกินไปไม่ ง่ายเกินไป 6. อ านาจจ าแนก หมายถึง แบบทดสอบนี้สามารถแยกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อนโดย สามารถจ าแนกนักเรียนออกเป็นประเภทๆ ได้ทุกระดับอย่างละเอียดตั่งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด 7. ความยุติธรรม ค าถามของแบบทดสอบต้องไม่มีช่องทางชี้แนะให้นักเรียนที่ฉลาดใช้ ไหวพริบในการเดาได้ถูกต้องและไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เกียจคร้านซึ่งดูต าราอย่างคร่าวๆตอบได้ และต้องเป็นแบบทดสอบที่ไม่ล าเอียงต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงความ เชื่อมั่น ความเป็นปรนัย ถามลึก มีความยากง่ายพอเหมาะ มีค่าอ านาจจ าแนก และมีความยุติธรรม 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้เดิมเรียกว่า “แผนการสอน” เป็นเอกสารที่ครูจัดเตรียมไว้เพื่อใช้ เป็นเครื่องมือส าหรับ “การสอน” เป็นเครื่องมือส าคัญของครูส าหรับพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อท า ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองเพราะแก่นแท้ของการสอนคือการเรียนรู้ ของผู้เรียน ครูผู้สอนจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ดีจึงควรสร้างแผนการเรียนรู้แก่ผู้เรียนให้ดีที่สุด และมี แผนการเรียนรู้เป็นของตนเอง 2.5.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการสอน คือ การน าวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่ต้องท าการสอน ตลอดภาคเรียนมา สร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้การใช้สื่อ อุปกรณ์การสอน การวัดและการ ประเมินผล ส าหรับเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ย่อยๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หรือจุดเน้นของหลักสูตร สภาพผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุอุปกรณ์ และตรงกับชีวิต


15 จริงในท้องถิ่น ซึ่งถ้ากล่าวอีกนัยหนึ่ง แผนการสอนคือ การเตรียมการสอนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ล่วงหน้า หรือ คือการบันทึกการสอนตามปกตินั่นเอง สุวิทย์ มูลค า และอรทัย มูลค า (2553) ให้ความหมายของแผนการสอนว่า แผนการ สอน หมายถึง แผนการหรือโครงการที่จัดท าเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนใน รายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็นเครื่องมือช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการ เรียนรู้ไปสู่จุดประสงค์และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภพ เลาหไพฑูรย์ (2552) ให้ความหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอน หมายถึง ล าดับขั้นตอนและกิจกรรมทั้งหมดของผู้สอนและผู้เรียน ที่ผู้สอนก าหนดไว้เป็นแนวทางในการจัด สถานการณ์ให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ วัฒนาพร ระงับทุกข์(2550) ให้ความหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอน หมายถึง แผนการหรือโครงการที่จัดท าเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนรู้ไปสู่ จุดประสงค์การเรียนรู้ และจุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัทรพล ทองโนนสูง (2550) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงการวางแผนการ จัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อใช้จัดวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นรายคาบหรือชั่วโมง มีการวางแผนที่เป็นลาย ลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียดชัดเจน ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เพื่อให้นักเรียนบรรลุตาม จุดมุ่งหมายตามที่หลักสูตรก าหนดและคนอื่นสามารถน าไปใช้สอนได้ ส าลี รักสุทธี (2553) ได้กล่าวไว้วา ่แผนการจัดการเรียนรู้เป็นการน ารายวิชา หรือกลุ่ม ประสบการณ์ที่จะต้องท าการสอนตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่ออุปกรณ์การสอนและการวัดผลประเมินผลเพื่อใช้สอนในช่วงเวลา หนึ่งๆ โดยก าหนดเนื้อหา สาระและจุดประสงค์ของการเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์หรือจุดหมายของหลักสูตร สภาพของผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุอุปกรณ์และตรงกบชีวิตจริงในท้องถิ่น สรุปว่า แผนการสอน คือ การวางแผนการจัดกิจกรรมเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้าอย่าง ละเอียด เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ซึ่งมีเนื้อหา กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอน และวิธีวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน 2.5.2 ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ส าลี รักสุทธี(2553) ได้กล่าวถึงความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ว่ามีความส าคัญดังนี้ 1. ช่วยให้ครูได้มีโอกาสศึกษาหลักสูตรแนวการสอน วิธีวัดผลประเมินผลศึกษาเอกสารที่ เกี่ยวข้องและการบูรณาการกับวิชาอื่น 2. ทั้งในเรื่องทรัพยากรของโรงเรียนทรัพยากรของท้องถิ่น ค่านิยม ความเชื่อและสภาพที่ เป็นจริงของท้องถิ่นตลอดจนการเชื่อมโยงสัมพันธ์กบวิชาอื่นด้วย


16 3. เป็นเครื่องมือของครูในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพมีความมั่นใจในการสอนมาก ขึ้นท่านจะเหมือนนักรบที่เดินลงสนามอย่างองอาจกล้าหาญ 4. ผู้สอนสามารถใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง เสนอแนะแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเพื่อนครูที่สอนวิชาอื่น 5. ใช้เป็นคู่มือส าหรับครูที่สอนแทนได้ 6. เป็นการพัฒนาวิชาชีพและมาตรฐานวิชาชีพครูที่แสดงวางานสอนต้องได้รับการฝึกฝน โดยเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสารที่จ าเป็นส าหรับการประกอบวิชาชีพด้วย สรุปได้วาความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นการวางแผนในการจัดการเรียนรู้ที่ได้ ครบถ้วนตรงตามหลักสูตรและเตรียมสื่ออุปกรณ์ไว้ล่วงหน้า ซึ่งท าให้ครูได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ หลักสูตร เทคนิคการจัดการเรียนรู้การวัดผลประเมินผลและเป็นคู่มือส าหรับครูผู้สอนและครูที่สอน แทนน าไปใช้ปฏิบัติการสอนอย่างมั่นใจ 2.5.3 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ กฤษดา บุญหมื่น (2555) ถ้าครูได้ท าแผนการสอนและใช้แผนการสอนที่จัดท าขึ้น เพื่อ น าไปใช้สอนในคราวต่อไป แผนการสอนดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ดังนี้ 1. ครูรู้วัตถุประสงค์ของการสอน 2. ครูจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยความมั่นใจ 3. ครูจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 4. ครูจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ 5. ถ้าครูประจ าชั้นไม่ได้สอน ครูที่มาท าการสอนแทนสามารถสอนแทนได้ตาม จุดประสงค์ที่ก าหนด 2.5.4 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ ส าลี รักสุทธี (2553) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ ถือเป็นเอกสาร เป็นต าราการสอนเป็น ผลงานทางวิชาการที่ครูผู้สอนผลิตขึ้นเอง นักวิชาการต่างลงความเห็นตรงกันว่า ผลงานทางวิชาการ ส าหรับครูผู้สอนที่ดีที่สุด คือ “แผนการจัดการเรียนรู้” ทั้งนี้ เพราะลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ นั้นจะประกอบไปด้วยกระบวนการ การจัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ กล่าวคือ ในแต่ละแผนจะ ประกอบเนื้อหา จุดประสงค์ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้สื่อ อุปกรณ์ การวัดผลประเมินผล ดังนั้น แผนการจัดการเรียนรู้จึงเหมือนพิมพ์เขียว มีความส าคัญและจ าเป็นส าหรับการก่อสร้าง ซึ่งลักษณะ ของแผนการจัดการเรียนรู้นั้นผู้รู้ได้สรุปตรงกัน ดังนี้ 1. เป็นคู่มือการสอนที่ครูพัฒนาขึ้นจากวิชาที่ตนเองสอน ใช้สอนเป็นประจ าและผู้อื่น สามารถใช้สอนแทนได้เมื่อตนเองไม่อยู่ 2. เป็นเอกสารการสอนที่มีลักษณะสมบูรณ์ เพราะในแต่ละแผนจะประกอบไปด้วยส่วนต่าง


17 ๆ ที่จะน าพาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา 3. มีลักษณะเหมือนชุดการสอน เพราะในแต่ละแผนมีความสมบูรณ์ในตัว 4. แต่ละแผนเมื่อสอนจบจะสามารถวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หรือผลสะท้อนกลับได้ ทันที ท าให้ครูเข้าใจนักเรียน และนักเรียนรู้ตนเองได้ดี 5. การอธิบาย สาธิต บรรยายเป็นขั้นตอนการจัดกิจกรรมชัดเจน ง่าย เน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง จากที่กล่าวมาแล้วพอสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นคู่มือการสอนที่ครูพัฒนาขึ้นจากวิชาที่ ตนเองสอน โดยเป็นเอกสารการสอนที่สมบูรณ์ ในส่วนประกอบไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา จุดประสงค์ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้สื่อ อุปกรณ์ รวมทั้งการวัดและประเมินผล 2.5.5 ลักษณะที่ดีของแผนการจัดการเรียนรู้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) กล่าวว่าลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีมีลักษณะดังนี้ 1. สอดคล้องกับหลักสูตร และแนวการสอนของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2. น าไปใช้สอนจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่ก าหนด 4. มีความกระจ่างชัดเจน ท าให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจได้ตรงกัน 5. มีรายละเอียดมากพอที่ท าให้ผู้อ่านสามารถน าไปใช้สอนได้ 6. ทุกหัวข้อในแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน ระเบียบ อนันตพงศ์. (2550) ยังได้กล่าวถึงแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีว่า ควรประกอบด้วย กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ให้โอกาสผู้เรียนค้นพบค าตอบหรือท าส าเร็จด้วยตนเอง เน้น กระบวนการ มุ่งให้ผู้เรียนรับรู้ด้วยตนเอง น ากระบวนการไปใช้จริง และส่งเสริมการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ สามารถหาได้ในท้องถิ่น บูรชัย ศิริมหาสาคร (2550) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องมีส่วนประกอบอย่าง น้อย 3 ส่วน คือ จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน (Objective) การจัดการเรียนรู้ ที่จะท าให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ (Learning) และการวัดและประเมินผล เพื่อตรวจสอบ ว่า ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้หรือไม่ (Evaluation) ในส่วนของสื่อการสอนจะต้อง สัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายและเรื่องที่จะสอน เหมาะสมกับความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน เหมาะสม กับวัย และระดับชั้นของผู้เรียน เนื้อหาและวิธีใช้ไม่ยุ่งยากซับซ้อน น่าสนใจ และทันสมัย เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการใช้ และสามารถน ามาใช้ใน 2.5.6 ชนิดของการท าแผนการจัดการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช (2553 ) ได้แบ่งชนิดของการท าแผนการจัดการเรียนรู้ เป็น 3 ชนิด ดังนี้


18 1. การท าแผนการจัดการเรียนรู้ระยะยาว ต้องการให้ครูมองเห็นการไกลอาจจะเป็น การท าแผนการจัดการเรียนรู้ส าหรับหนึ่งภาคเรียน หรือหนึ่งปี เป็นการเตรียมท าแผนการจัดการ เรียนรู้เพื่อจะก าหนดสอนอะไรบ้าง เริ่มต้นจากไหนจะสิ้นสุดตรงไหน จะท าการทดสอบเมื่อใดกี่ครั้ง การท าแผนการจัดการเรียนรู้ระยะยาวโดยเฉพาะในภาคเรียนหนึ่งๆ ต้องใช้เวลามาก ดังนั้นจึงมักจะมี การเตรียมท าแผนการจัดการเรียนรู้ไว้แต่เนิ่นๆ ก่อนเปิดเทอม โดยผู้สอนในระดับชั้นเดียวกันมา ร่วมกันพิจารณา เพื่อจะได้ข้อคิดที่กว้างขวางขึ้น แต่แผนการจัดการเรียนรู้ระยะยาวนี้เป็นการก าหนด ระยะเวลาในเนื้อหาที่ส าคัญเท่านั้นไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสอน เพราะครูไม่สามารถทราบ ลักษณะและประสบการณ์เดิมของผู้เรียน แต่อย่างไรก็ตามผู้สอนก็ใช้การคาดคะเนในการท าแผนการ จัดการเรียนรู้ระยะยาวไว้ก่อนโดยอาศัยแผนการจัดการเรียนรู้ระยะยาวจากภาคเรียนก่อน 2. การท าแผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วย หลังจากที่ผู้สอนได้รู้จักผู้เรียนมากขึ้นแล้ว เมื่อเปิดภาคเรียน ครูควรจะท าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ละเอียดขึ้นกว่าแผนการจัดการเรียนรู้ระยะ ยาวโดยครูจะมุ่งความสนใจเตรียมการสอนเฉพาะเจาะจงในหน่วยเนื้อหาวิชา ว่าหน่วยการสอนนั้น ๆ จะสอนอย่างไร สอนชั้นใด ใช้เวลาสอนกี่คาบเรียน มีจุดประสงค์ใดในการสอนหน่วยนั้น ใช้กิจกรรมใด เป็นหลัก และสื่อการสอนที่ใช้มีอะไรบ้างเพื่อให้ครูได้เตรียมท าแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับ หน่วยการเรียนนั้น 3. การท าแผนการจัดการเรียนรู้ระดับบทเรียน เป็นการท าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ละเอียดที่สุด โดยการเตรียมเนื้อหาแต่ละบทเรียนที่จะสอนในคาบเรียนหนึ่ง ๆ ผู้สอนแต่ละคนจะท า แผนการจัดการเรียนรู้ระดับบทเรียนของตนเองเพื่อให้เหมาะกับผู้เรียนที่จะต้องสอน เนื้อหากิจกรรม การเรียน สื่อ การสอน การประเมินผล การเตรียมการสอนระดับนี้ควรจะเตรียมล่วงหน้าก่อนสอนจริง ประมาณ 2-3 วันจากชนิดของการท าแผนการจัดการเรียนรู้ สรุปได้ว่า ชนิดของการท าแผนการ จัดการเรียนรู้แบ่งออกเป็น3 ชนิด คือ การท าแผนการจัดการเรียนรู้ระยะยาว เป็นการท าแผนการ จัดการเรียนรู้ส าหรับภาคเรียนหรือปีการศึกษา จะก าหนดระยะเวลาในเนื้อหาที่ส าคัญเท่านั้น การท า แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วย จะละเอียดกว่าแผนการจัดการเรียนรู้ระยะยาวเป็นการเตรียมการ สอนเฉพาะเจาะจงในหน่วยการสอนแต่ละหน่วย โดยก าหนดเวลาที่จะสอน จุดประสงค์การสอนใน หน่วยนั้น กิจกรรมการเรียนและการสื่อการสอน ให้เหมาะสมกับหน่วยนั้น ๆ และการท าแผนการ จัดการเรียนรู้ระดับบทเรียนเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ละเอียดที่สุดเป็นการเตรียมเนื้อหาแต่ละบทที่ จะสอนในคาบหนึ่งๆ ผู้สอนจะเป็นผู้ท าแผนการจัดการเรียนรู้ระดับบทเรียนของตนเอง


19 2.5.7 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ ส าลี รักสุทธี (2553) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่ผู้เชี่ยวชาญ เสนอแนะตรงกันมีรูปแบบ ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชา……………………………………ชั้น……………………. ประจ าภาคเรียนที่………………………..ปีการศึกษา…………………… บทที่……………..เรื่อง…………………………………………………………. แผนการจัดการเรียนรู้ที่………………….เรื่อง………………………………………. เวลา…………………………….คาบ สาระส าคัญ (ความคิดรวบยอด, หลักการ)………………………………………………………….. จุดประสงค์……………………………………………………………………………………….……………. เนื้อหา…………………………………………………………………………………………………………… กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 1. ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน………………………………………………………………….…………………. 2. ขั้นสอน……………………………………………………………………………………..……………… 3. ขั้นสรุป…………………………………………………………………………………….….…………… สื่อการจัดการเรียนรู้………………………………………………………………………….…………… การวัดผลประเมินผล……………………………………………………………………….…………… ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรม………………………………………………………….…………….. ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษา………………………………………………….…………….. บันทึกผลหลังการสอน……………………………………………………………………..…………….. ปัญหาอุปสรรค……………………………………………………………………………….……………… ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข……………………………………………………………………………. ภาคผนวกท้ายแผน………………………………………………………………………………………… 2.5.8 ส่วนประกอบมีรายละเอียดในการจัดท า ประกอบด้วย สาระส าคัญ/ ความคิดรวบยอด/ หลักการ หมายถึง หลักวิชา หรือความรู้ หรือความคิด ส าคัญ ซึ่งจะน าไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ได้ประการหนึ่ง


20 จุดประสงค์ หมายถึง จุดประสงค์การเรียนรู้ เฉพาะของแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ก าหนดขึ้นตามนัยของจุดประสงค์ทั่วไปนั้นเอง โดยก าหนดไว้เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สามารถวัดผลได้ เนื้อหา เป็นหัวข้อ หรือเค้าโครงของเรื่องที่จะนักเรียนได้เรียนรู้การให้รายละเอียดของ เนื้อหาในการสอนควรค านึงถึงจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้นั้น ๆ ครู จ าเป็นต้องให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งวิชาการต่างๆ เช่น ผู้รู้ เอกสาร หนังสืออ่าน ประกอบ หรือหนังสืออ้างอิงที่เสนอแนะไว้ท้ายแผนแต่ละแผน (ไม่ควรยึดเนื้อหาในหนังสือเอกสารเล่ม ใดเล่มหนึ่ง เพียงเล่มเดียว) กิจกรรมในแผนการจัดการเรียนรู้ได้เสนอกิจกรรมไว้ 3 ลักษณะ คือ 1. กิจกรรมน าเข้าสู่บทเรียน เป็นกิจกรรมทบทวนความรู้เดิม เร้าความสนใจสู่ การเรียนรู้บทเรียนใหม่ 2. กิจกรรมหลัก เป็นกิจกรรมที่จัดไว้เพื่อสนองจุดประสงค์ของแผนแต่ละแผนโดยตรง 3. กิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์ เป็นการสรุปบทเรียนและฝึกฝนเพิ่มพูนทักษะ ประสบการณ์ ทั้งนี้รวมถึงกิจกรรม การรวบรวมกลุ่มประสบการณ์อื่นที่น ามาบูรณาการไว้ด้วย ทั้งนี้ ผู้สอนอาจปรับปรุงหรือเพิ่มเติมกิจกรรมให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนในแต่ละท้องถิ่นได้ กิจกรรมบางกิจกรรมต้องใช้ระยะเวลาต่อเนื่องจึงจะบรรลุจุดประสงค์ ผู้สอนจึงต้องเตรียมตัวล่วงหน้า สื่อการเรียน หมายถึง เครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนให้การจัดการเรียนรู้บรรลุ จุดประสงค์ เป็นสิ่งเร้าความสนใจของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจรวดเร็วยิ่งขึ้น ได้แก่ ของจริงวัสดุอุป การณ์ แผนภาพ แผนภูมิ ภาพ บัตรค า หนังสือเรียน วิทยาการ หนังสือค้นคว้า ฯลฯ วิธีวัดผล การวัดผลเป็นการหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนว่าบรรลุจุดประสงค์ หรือไม่ แผนการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มประสบการณ์ เสนอแนะวิธีวัดผลไว้หลายวิธี ซึ่งสอดคล้องกับ พฤติกรรมที่ต้องการวัดในแต่ละแผน เพื่อเป็นแนวทางให้ครูเลือกวิธีการ และใช้เครื่องมือวัดผลได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม หนังสืออ้างอิง เป็นหนังสือที่เสนอแนะเพื่อจะได้น าไปใช้ในกิจกรรมที่เสนอแนะไว้ ครูผู้สอน อาจใช้หนังสืออื่นๆ ที่ไม่ได้เสนอแนะไว้ก็ย่อมท าได้ ภาคผนวก เป็นส่วนที่เพิ่มเติมให้แผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผนมีความสมบูรณ์และช่วย อ านวยความสะดวกแก่ผู้สอน ส่วนที่เพิ่มเติมนั้น ได้แก่ รายละเอียด เนื้อหา และวิธีด าเนินกิจกรรมต่าง ๆ 2.6 ความพึงพอใจ 2.6.1 ความหมายของความพึงพอใจ


21 สรวรรณ บัวจันทร์ (2555) กล่าว่าความพึงพอใจ หมายถึง สภาพของอารมณ์ บุคคลที่มี ต่อองค์ประกอบของงานและสภาพแวดล้อมในการท างานที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของ บุคคลนั้น ๆ ศิริพงษ์ จรัสโรจนกุล (2555) กล่าวว่า ความรู้สึกหรือความต้องการในการได้รับการ ตอบสนองของตนเองตามระดับขันความรู้สึกหรือความพอใจ ของตนเองหรือผู้รับการบริการตาม ความต้องการนั้นๆ วรุฬ พรรณเทวี(2552) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ที่ไม่ เหมือนกัน ซึ่งเป็นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะคาดหมายกับสิ่งหนึ่ง สิ่งใดอย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความ ตั้งใจมากและได้รับการตอบสนองด้วยดี จะมีความพึงพอใจมากแต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวัง หรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนตั้งใจไว้ ว่าจะมีมากหรือน้อย เทพพนม และสวิง (2546, อ้างถึงใน สรวรรณ บัวจันทร์,2555) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็น ภาวะของความพึงใจหรือภาวะที่มีอารมณ์ในทางบวกที่เกิดขึ้น เนื่องจากการประเมินประสบการณ์ ของคนๆหนึ่ง สิ่งที่ขาดหายไประหว่างการเสนอให้กับสิ่งที่ได้รับจะเป็นรากฐานของการพอใจและไม่ พอใจได้ เกวลี ผังดี และพิมพ์รดา ครองยุติ(2563) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกที่ เกิดขึ้นเมื่อได้รับผลส าเร็จตามความมุ่งหมายหรือเป็นความรู้สึกขั้นสุดท้ายที่ได้รับผลส าเร็จตาม วัตถุประสงค์ จากการตรวจเอกสารข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดีหรือทัศนคติที่ดี ของบุคคล ซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามที่ตนต้องการ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งนั้น ตรงกันข้ามหากความต้องการของตนไม่ได้รับการตอบสนองความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น 2.6.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ กลุ่มทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s of Needs) เป็นทฤษฎีด้านความต้องการที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งได้ สรุปไว้ว่า มนุษย์ถูกกระตุ้นจากความปรารถนาที่จะได้ครอบครอง ความต้องการเฉพาะอย่าง ซึ่ง ความ ต้องการนี้เขาได้11 ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับความต้องการของบุคคลไว้ว่า บุคคลย่อมมีความต้องการอยู่ เสมอและไม่มีสิ้นสุดขณะที่ความต้องการใดได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการอย่างอื่นก็จะ เกิดขึ้นอีกและไม่ มีวันจบสิ้น ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นสิ่งจูงใจพฤติกรรมของ พฤติกรรม อื่นๆ ต่อไป ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองจึงเป็นสิ่งจูงใจพฤติกรรมนั้น ความ ต้องการ ของบุคคลเรียงลบขั้น ตอนความส าคัญ เมื่อความต้องการระดับ ต่ า ได้รับ การตอบสนอง แล้วบุคคลก็จะให้ความสนใจกับความต้องการระดับสูงต่อไป ล าดับความต้องการของบุคคลมี 5 ขั้น ตอน ตามล าดับขั้น ต่อไปนี้


22 1) ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการเบื้องต้น เพื่อ ความอยู่ รอดของชีวิต เช่น ความต้องการในเรื่องอาหาร น้ า อากาศเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่ อาศัยความ ต้องการทางเพศความต้องการทางร่างกายจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน ก็ต่อเมื่อคน ยังไม่ได้รับ การตอบสนอง 2) ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง (Security or Safety Needs) ถ้าหากความ ต้องการ ทางด้านร่างกายได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะให้ความสนใจกับ ความต้องการระดับ สูงต่อไป คือ เป็นความรู้สึกที่ต้องการความปลอดภัยหรือมั่นคง ในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งรวมถึง ความก้าวหน้าและความอบอุ่นใจ 3) ความต้องการทางด้านสังคม (Social or Belonging Needs) ภายหลังจากที่คนได้รับ การ ตอบสนองในขั้นดังกล่าวข้างต้น ก็จะมีความต้องการที่สูงขึ้นคือความต้องการทางสังคม เป็น ความต้องการที่จะเข้าร่วมและได้รับการยอมรับในสังคม ความเป็นมิตรแลละความรักจากเพื่อน 4) ความต้องการที่จะได้รับการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) เป็น ความต้องการให้คน อื่นยกย่อง ให้เกียรติ และเห็นความส าคัญของตน อยากเด่นในสังคม รวมถึงความส าเร็จความรู้ ความสามารถ ความเป็นอิสระและเสรีภาพ 5) ความต้องการความส าเร็จในชีวิต (Self Actualization) เป็นความต้องการระดับสูงสุด ของ มนุษย์ อยากจะเป็นอยากจะได้ ตามความคิดของตน สาระส าคัญ ของทฤษฎีความต้องการตามล าดับขั้นของมาสโลว์สรุปได้ว่า ความต้องการทั้ง 5 ขั้นของมนุษย์มีความส าคัญ ไม่เท่ากันบุคคลแต่ละคน จะปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับการบ าบัด ความ ต้องการในแต่ละขั้น ที่เกิดขึ้น การจูงใจตามทฤษฎีนี้จะต้องพยายามตอบสนองความต้องการ ของ มนุษย์ซึ่งมีความต้องการตามล าดับขั้น ที่แตกต่างกันออกไปและความต้องการในแต่ละขั้นจะมี ความส าคัญ กับ บุคคลมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจที่ได้รับการตอบสนองความ ต้องการในลับ นั้นๆ สรุปได้ว่า ทฤษฎีความต้องการของ Maslow นี้ผู้บังคับบัญชาจะต้องพยายามศึกษาความ ต้องการของ ผู้ร่วมงาน อยู่เสมอว่า แต่ละคนมีความต้องการสิ่งใด เพื่อว่า จะสามารถสนองความ ต้องการของ เขาได้ในระดับที่พึงพอใจ 2.6.3 การวัดระดับความพึงพอใจ ภณิดา ชัยปัญญา (2551) ได้กล่าวว่าการวัดความพึงพอใจนั้น สามารถท าได้หลายวิธี ดังต่อไปนี้ 1.การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถกระท าได้ใน ลักษณะก าหนดค าตอบให้เลือก หรือตอบค าถามอิสระ ค าถามดังกล่าว อาจถามความพอใจในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมาก ๆ วิธีนี้


23 นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใช้มาตรวัดทัศนคติ ซึ่ง ที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท Likert Scale) ประกอบด้วยข้อความที่แสดง ถึงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีค าตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 ค าตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้ศึกษาจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการเตรียม แผนงานล่วงหน้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด 3. การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ แสดงออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระท าอย่างจริงจัง และสังเกตอย่างมี ระเบียบแบบแผน วิธีนี้เป็นวิธีการศึกษาที่เก่าแก่ และยังเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจ สรุปได้ว่าการวัดความพึงพอใจเป็นการบอกถึงความชอบของ บุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งสามารถวัดได้หลายวิธี การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถามความคิดเห็น การใช้แบบส ารวจความรู้สึก 2.7 การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Design) คารมณ์ (2552) ได้กล่าวว่า การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi - experimental research design) มีแบบแผนคล้ายการ วิจัยแบบทดลอง คือมีการจัดกระท าแต่ควบคุมได้หรือการสุ่ม อาจไม่ ต้องมีกลุ่มเปรียบเทียบ หรือการสุ่มไม่ต้องครบทุกขั้นตอน เป็นการวิจัยที่กระท ากับคน และท าให้ สภาพแวดล้อมจริงตามธรรมชาติ ท าให้มีข้อจ ากัดบางครั้ง ไม่สามารถสุ่มกลุ่มตัวอย่างได้ หรือไม่ได้จัด กลุ่มควบคุม แต่อย่างไรก็ดีต้องมีการจัดกระท า และติดตามศึกษาผลจากการจัดกระท านั้น ๆ ในที่นี้จะ น าเสนอแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลองที่มีนักวิจัยนิยมใช้เพียง 3 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 non - randomized control group pretest - posttest design เป็นการวิจัย แบบกลุ่มควบคุมไม่ได้สุ่ม แต่มีการทดสอบก่อนหลังการทดลอง แต่ไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยา ร่วม ระหว่างการทดสอบก่อนทดสอบ กับการจัดกระท าที่ให้ในกลุ่มควบคุมได้ วิธีการ 1. เลือกกลุ่มตัวอย่าง 2กลุ่ม จัดให้เป็นกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม กลุ่มควบคุม 1 กลุ่ม 2. ทดสอบก่อนทดลอง (Pretest) แก่ทั้ง 2 กลุ่ม 3. ให้ Treatment / จัดกระท ากับกลุ่มทดลอง 4. ทดสอบหลังการทดลอง (Posttest) กับกลุ่มทดลองและทดสอบ Posttest กับกลุ่ม ควบคุม 5. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Posttest - Pretest ของทั้ง 2 กลุ่ม สถิติที่ใช้เปรียบเทียบ Independent t-test , dependent t-test , ANCOVA แบบที่ 2 Time series design การวิจัยแบบอนุกรมเวลา ใช้ส าหรับการศึกษาระยะยาวท า ให้ เห็นล าดับขั้นตอนการพัฒนาของตัวแปร ต้องใช้เวลาในการติดตามนานไม่ต้องมีกลุ่ม เปรียบเทียบ


24 ไม่มีการควบคุม วิธีการ 1. เลือกกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม 2. ทดสอบติดต่อกันหลายครั้งก่อนให้ Treatment (การจัดกระท า) เว้นระยะเวลา ในการทดสอบพอสมควร 3. จัดกระท า 4. ทดสอบหลังการจัดกระท าหลายครั้งให้แต่ละครั้งห่างกันพอสมควร 5. สังเกตผลการเปลี่ยนแปลงของการทดสอบ ก่อนการจัดกระท าครั้งสุดท้ายหลัง การ จัดกระท าครั้งแรก ว่าแตกต่างจากครั้งที่ 1 ไปครั้งที่ 5 มากน้อยเพียงใด 6. พิจารณาค่าความแตกต่างของการทดสอบก่อนการจัดกระท า ครั้งที่ 1 - 2 - 3 กับ การทดสอบหลังกระท าครั้งที่ 2 - 3 - 4 ถ้าเกิดความต่างกันมากกว่าปกติน่าจะเป็น ผลจากการจัด กระท า สถิติที่ใช้ ANOVA แบบวัดซ้ า แบบที่ 3 Control group time series design ใช้กรณีติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นเวลานาน ตามธรรมชาติ อาจได้ล าดับขั้นตอนของการ พัฒนาการเปลี่ยนแปลงหรือแนวโน้มได้ชัดเจน แต่จะเสีย เวลานานและไม่สามารถ ควบคุมปฏิกิริยาร่วมระหว่างการเลือกกับการจัดกระท าและการทดสอบก่อน การ ทดลองกับการจัดกระท าได้ วิธีการ 1. เลือกกลุ่มตัวอย่างจากประชากรให้เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2. ทดสอบก่อนการจัดกระท าทั้งสองกลุ่ม ติดต่อกันหลายครั้งโดยการทดสอบแต่ละ ครั้งเว้นระยะห่างกันพอสมควร 3. จัดกระท ากับกลุ่มทดลอง ส่วนกลุ่มควบคุม จัดสภาพทุกอย่างให้เหมือนกลุ่ม ทดลอง 4. ทดสอบหลังการจัดกระท า ให้แต่ครั้งต่างกันพอสมควร 5. สังเกตการเปลี่ยนแปลงจาก Posttest ครั้งที่ 1 กับ Pretest ครั้งที่ 4 ทั้งสอง กลุ่ม สถิติที่ใช้ t-test 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กัลยา พันปี(2551) วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และ ทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างกลุ่มที่จัดการเรียนรู้ รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) และรูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ (4 MAT) ผลการวิจัยพบว่า 1)


25 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มทดลองจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปากับกลุ่มที่ จัดการเรียนรู้รูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มที่ จัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปามีคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้ รูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 2) ทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของกลุ่มทดลองจัดการเรียนรู้ รูปแบบซิปปา กับกลุ่มที่จัดการเรียนรู้รูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยกลุ่มที่จัดการเรียนรู้รูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้สูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา พิกุล ตระกูลสม (2552) วิจัยเรื่อง การวิจัยปฏิบัติการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นส าคัญวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องโลกและการเปลี่ยนแปลงโดย รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL ) ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2โรงเรียน ที โอ เอ วิทยา(เทศบาล 1 วัดค าสายทอง) อ าเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ผลการวิจัยพบว่า 1. กิจกรรมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบซิปปา ประกอบด้วย กระบวนการเรียนรู้ 7 ขั้น คือ (1) ขั้นการทบทวนความรู้เดิม (2) ขั้นการแสวงหาความรู้ใหม่ (3) ขั้น การศึกษาท าความเข้าใจข้อมูล / ความรู้ใหม่ (4) ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ (5) ขั้นการสรุปและจัด ระเบียบความรู้ (6) ขั้นการแสดงผลงาน (7) ขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบซิปปา ในวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง มีคะแนน สัมฤทธิ์คิดเป็นร้อยละ 82.84 สูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ ร้อยละ 75 และจ านวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 95.83 สูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ ร้อยละ 75 ประทีป สุภพิมล (2554) วิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ CIPPA และรูปแบบวัฏ จักรการเรียนรู้ 4 MAT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้ตาม รูปแบบ CIPPA และกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้ตามรูปแบบ CIPPA และกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ไม่แตกต่างกัน รัถยา ศรีอิ่นแก้ว (2554) วิจัยเรื่อง การจัดกิจรรมการเรียนรู้แบบซิปปาในกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองก่อนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. เจตคติทางการเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


26 จันทิมา เย็นทรัพย์วิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ด้วยกระบวนการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ผลวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของ ชุดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ด้วยกระบวนการเรียนรู้รูปแบบซิปปา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่ากับ 84.76/81.10 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ คือ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ด้วย กระบวนการเรียนรู้รูปแบบซิปปา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่รพดับ .05 3. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มี ต่อชุดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ด้วยกระบวนการเรียนรู้ รูปแบบซิปปา โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 2.9 กรอบแนวคิดในการศึกษา ในการศึกษาในครั้งนี้ผู้ศึกษาได้ก าหนดแนวคิดในการศึกษาไว้ดังนี้ ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการศึกษา วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ CIPPA MODEL 1. ขั้นทบทวนความรู้เดิม 2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่ 3. ขั้นศึกษาท าความเข้าใจความรู้ใหม่ 4. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม 5. ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ 7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.ความพึงพอใจของนักเรียน


27 บทที่ 3 วิธีด าเนินการศึกษา 3.1 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 แผนกวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีจ านวน 1 ห้องเรียน มีจ านวน 17 คน โดยวิธีวิธีการ เลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 3.2 รูปแบบการศึกษา วิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลอง (Quasi- experimental research) ด าเนินแผนการ ทดลองตามแบบแผนการศึกษา One Group Pretest-Posttest Design โดยมีกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลังการทดลอง ซึ่งมีรูปแบบการศึกษาดังนี้ (เผชิญ กิจระการ, 2544) ตารางที่ 3.1 แผนการ ทดลองตามแบบแผนการศึกษา One Group Pretest-Posttest Design O1 (Pretest) X (Treatment) O2 (Posttest) ทดสอบก่อนเรียน การจัดการเรียนรู้ ทดสอบหลังเรียน เมื่อ O1 แทน การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน X แทน รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ O2 แทน การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน และความพึงพอใจ 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย 3.3.1. เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้คือ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ CIPPA MODEL จ านวน 1 แผน เป็นเวลา 9 ชั่วโมง 3.3.2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบที่ผู้ศึกษาน ามาจาก หนังสือเรียน มีลักษณะเป็นปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 3.3.3 แบบประเมินความพึงพอใจ เป็นแบบสอบถามที่ผู้ศึกษาวิจัยสร้างขึ้น 15 ข้อ 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ


28 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือสามารถจ าแนกออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 3.4.1 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือประเภทแผนการจัดการเรียนรู้ มีขั้นตอนดังนี้ 1) ศึกษามาตรฐานหลักสูตรประกาศนียบัตรชีพชั้นสูง (ปวส.) 2563 ประเภทวิชา อุตสาหกรรมท่องเที่ยว วิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รหัสวิชา 30700-1001 2) การศึกษาวิธีการสอนด้วย CIPPA MODEL เพื่อน ามาจัดการเรียนรู้เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เหมาะสม 3) ก าหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล โดยพิจารณาให้ สอดคล้องกับเนื้อหา จุดประสงค์และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอนของรูปแบบการจัดการ การเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL 4) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีครอบคลุม เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ านวน 1 แผน เป็นเวลา 9 ชั่วโมง ในแต่ละแผนประกอบด้วย สาระส าคัญ ผลการการเรียนรู้ที่ คาดหวัง จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนตามขั้นตอนของรูปแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL และการวัดผลประเมินผล ซึ่งขั้นตอนของการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL มี 7 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม เป็นขั้นในการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่ จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจ ใช้วิธีการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ เป็นขั้นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียน จากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้ค าแนะน าเกี่ยวกับ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหา ขั้นที่ 3 การศึกษาท าความเข้าใจข้อมูลหรือความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับ ความเดิม เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและท าความเข้าใจกับข้อมูลหรือความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียน จะต้องสร้างความหมายของข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่ม เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้ กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จาก ความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจ าสิ่งที่เรียนรู้ได้ ง่าย


29 ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และหรือการแสดงผลงาน เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาส แสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ าหรือตรวจสอบ ความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตาม ข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติและมีการแสดงผลงาน ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการน า ความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความช านาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจ าในเรื่องนั้น ๆ 5) น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ตรวจสอบ ความถูกต้องของเนื้อหา พิจารณาให้ข้อคิดเห็นให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย CIPPA MODEL 6) น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ได้แก่ เพื่อตรวจสอบหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แล้วพิจารณาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของ เนื้อหา (Index of consistency : IOC ) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านจะให้คะแนนตามเกณฑ์ดังนี้ ให้คะแนน -1 สอดคล้อง ให้คะแนน 0 ไม่แน่ใจ ให้คะแนน -1 ไม่สอดคล้อง จากนั้นน ามาแทนค่าในสูตรดัชนีหาความสอดคล้อง เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง โดย ก าหนดค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้นี้มีค่าดัชนีความ สอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.66-1.00 7) ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 8) น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการตรวจพิจารณาแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนซึ่ง มีขั้นตอน ดังนี้ 8.1) กลุ่มทดลองที่ใช้ในการทดลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One to One Testing) ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษา ชลบุรีที่เคยเรียนวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รหัสวิชา 30700-1001 ผ่านมาแล้วในปีการศึกษา 2563 จ านวน 3 คน ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วยนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับ เก่ง ปานกลาง และอ่อน ประเภทละ 1 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เพื่อตรวจ ส านวนภาษาและล าดับของเนื้อหาให้เหมาะสม 8.2) กลุ่มทดลองที่ใช้ในการทดลองแบบกลุ่มเล็ก (Small Group Testing) ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีที่ เคยเรียนวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รหัสวิชา 30700-1001 ผ่านมาแล้วในปีการศึกษา 2563 จ านวน


30 6 คน ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย และไม่ซ้ ากับกลุ่มทดลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ประกอบด้วยนักเรียนที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับ เก่ง ปานกลาง และอ่อน ประเภทละ 2 คน โดยการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เพื่อตรวจสอบในด้านระยะเวลา เช่น เวลาในการเรียนนานกินไป และเวลาในการท าแบบฝึกน้อยเกินไป แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข 8.3) กลุ่มทดลองที่ใช้ในการทดลองแบบภาคสนาม (Field Testing) ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีที่ เคยเรียนวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รหัสวิชา 30700-1001 ผ่านมาแล้วในปีการศึกษา 2563 ซึ่งไม่ใช่ กลุ่มเป้าหมาย จ านวน 12 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยการน าผล คะแนนที่ได้จากการท าแบบฝึกหัด และคะแนนทดสอบย่อย รวมทั้งคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนมา ตรวจสอบหาประสิทธิภาพของ ตามเกณฑ์ 80/80 (E1/E2) 3.4.2 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือประเภทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ก าหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและสร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบ โดยยึดตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อก าหนดข้อสอบ และก าหนดขั้นตอนในการวัดผล สร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วยข้อค าถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง ชั้นปีที่ 1/2 เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก รวม จ านวน 30 ข้อ 3) ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบชนิดเลือกตอบจากเอกสาร ต ารา หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4) สร้างแบบทดสอบตามที่ก าหนดไว้ในตารางวิเคราะห์ข้อสอบโดยให้สอดคล้องกับ เนื้อหาย่อยและจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละหน่วย สร้างข้อสอบเป็นแบบชนิดเลือกตอบ จ านวน 4 ตัวเลือก จ านวนทั้งหมด 50 ข้อ และต้องการใช้จริง 30 ข้อ โดยในการคัดเลือกแบบทดสอบ เพื่อ น ามาใช้ในการทดสอบผลการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ตามความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Index Item Object Congruence : I.O.C.) โดยความคิดเห็นจาก ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านจะให้คะแนนตามเกณฑ์ดังนี้ +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทสอบตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบทสอบตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทสอบไม่ตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ จากนั้นน ามาแทนในสูตรดัชนีหาความสอดคล้อง เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยค่า ดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.05 ขึ้นไป ซึ่งแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.66-1.00


31 5) น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน าของ ผู้เชี่ยวชาญ 6) น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีที่เคยเรียน วิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รหัสวิชา 30700-1001 ผ่านมาแล้วในปีการศึกษา 2560 จ านวน 12 คน ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อน าผลการทดลองมาหาคุณภาพของแบบทดสอบน าแบบทดสอบ มาท าการ วิเคราะห์รายข้อ เพื่อหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบ ท าการ วิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมการวิเคราะห์ข้อสอบ IAP (Item Analysis Program) แล้วท าการคัดเลือก ข้อสอบที่มีค่าความยากง่าย ระหว่าง 0.20-0.80 และค่าอ านาจจ าแนก 0.20 ขึ้นไป โดยเฉลี่ยให้ ครอบคลุมจุดประสงค์และเนื้อหาในแต่ละตอน มาใช้เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จ านวน 30 ข้อ 7) หาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ตามวิธี ของครอนบาค (Cronbach) 8) พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง เพื่อน าไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 3.4.3 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือประเภทแบบวัดความพึงพอใจในการจัดการ เรียนรู้แบบ CIPPA MODEL มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 1) ศึกษาเอกสาร ต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึง พอใจ เพื่อหากรอบแนวคิด และขอบข่ายในการวัดความพึงพอใจให้ครอบคลุมด้านกระบวนการ จัดการเรียนรู้ 2) ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของผู้เรียน 3) สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการ CIPPA MODEL ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี จ านวน 1 ชุด ซึ่งเป็นการ สอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) วิธีของลิเคอร์ท (Likert Scale) ซึ่งมีจ านวน 15 ข้อ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนน 5 ระดับ ดังนี้ พึงพอใจระดับมากที่สุด ให้คะแนน 5 พึงพอใจระดับมาก ให้คะแนน 4 พึงพอใจระดับปานกลาง ให้คะแนน 3 พึงพอใจระดับน้อย ให้คะแนน 2 พึงพอใจระดับน้อยที่สุด ให้คะแนน 1 4) น าแบบวัดความพึงพอใจไปเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องแล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข


32 5) น าแบบวัดความพึงพอใจไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความ ถูกต้อง ตรวจสอบความ ตรงเชิงเนื้อหา โดยน าแบบวัดความพึงพอใจให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน เพื่อพิจารณาผลตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แล้วน ามาพิจารณามาค านวณหาค่า ดัชนีความสอดคล้อง (IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 แสดงว่าข้อความนั้นมีความเที่ยงตรงตามประเด็น ที่ต้องการวัด หากผลค่าของ IOC: Index of objective congruence) ซึ่งจะเลือกเฉพาะข้อค าถาม ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 6) จัดท าแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนและน าแบบวัดความพึงพอใจที่สมบูรณ์แล้วไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ต่อไป 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษามีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังนี้ 3.5.1 ให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนได้รับ การจัดการ เรียนรู้ด้วยกระบวนการ CIPPA MODEL น าแบบทดสอบมาตรวจให้คะแนนข้อละ 1 คะแนนแล้วน าคะแนนสอบที่นักเรียนแต่ละคนท าได้เก็บไว้รวม 30 คะแนน 3.5.2 วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากคะแนนการท าแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนส าหรับนักเรียน ก่อนการจัดการเรียนรู้ 3.5.3 ด าเนินการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้จ านวน 6 แผน เวลา 12 ชั่วโมง 3.5.4 ให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง ด าเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยแผน ซึ่งมีข้อค าถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก รวมจ านวน ทั้งหมด 30 ข้อ (เป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับก่อน การทดลองแต่เรียงข้อสลับกัน) 3.5.5 วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากคะแนนการท าแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 3.6.1. หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนจากการทดสอบ ก่อนเรียน และหลังเรียน รวมทั้งการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียน เกิดจากผลการจัดการ เรียนรู้CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว


33 3.6.2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนรู้ที่เกิดจากผลการจัดการเรียนรู้CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยการทดสอบค่าสถิติ t (Dependent sample ttest) ก าหนดค่าสถิติที่ระดับนัยส าคัญ .05 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถจ าแนก เป็น ส่วน ได้แก่ สถิติพื้นฐาน สถิติที่ใช้หา คุณภาพของเครื่องมือ สถิติที่ใช้หาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน และสถิติที่ใช้ทดสอบ สมมติฐาน 3.7.1. สถิติพื้นฐาน 1) ค่าร้อยละ ค่าร้อยละ = จ านวนที่ต้องการหา X 100 จ านวนทั้งหมด 2) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (mean) โดยค านวณจากสูตร ของ (สมโภชน์ อเนกสุข,2553) X = N X เมื่อ ̅ แทน คะแนนเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มตัวอย่าง 3) การหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยค านวณจากสูตร (ศิริชัย กาญจนวาสี,2555) S.D. = √ ∑(−) ̅̅̅2 −1 เมื่อ S.D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนแต่ละข้อ X แทน ค่าเฉลี่ยของนักเรียนจากกลุ่มเป้าหมาย N แทน จ านวนนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในการประเมินผล จะใช้วิธีการแปลผลแบบสอบถามโดยใช้ค่าเฉลี่ยตามหลักการแบ่ง อันตรภาคชั้น (Class Interval) โดยใช้สูตรค านวณช่วงกว้างของชั้น (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังต่อไปนี้ อันตรภาคชั้น = จ านวนชั้น – 1 จ านวนชั้น = 5-1 4


34 = 0.8 จากนั้นหาค่าเฉลี่ยของค าตอบแบบสอบถาม โดยพิจารณาตามเกณฑ์ในการประเมินผล ดังนี้ ค่าเฉลี่ยช่วง 4.21-5.00 หมายถึงมากที่สุด ค่าเฉลี่ยช่วง 3.42-4.20 หมายถึงมาก ค่าเฉลี่ยช่วง 2.61-3.41 หมายถึงปานกลาง ค่าเฉลี่ยช่วง 1.81-2.60 หมายถึงน้อย ค่าเฉลี่ยช่วง 1.00-1.80 หมายถึงน้อยที่สุด 3.7.2. สถิติที่ใช้หาคุณภาพของเครื่องมือ 1) การหาค่าดัชนีความเที่ยงตรงของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ค่าดัชนี ความสอดคล้องระหว่างของเนื้อหากับจุดประสงค์แบบทดสอบ ค านวณสูตร (ส าลี รักสุทธี, 2553) IOC = ∑ เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างค าถามกับลักษณะพฤติกรรม ΣR แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็น N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด หากมีผลตั้งแต่ 0.05 ขึ้นไป สอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.66-1.00 2) การหาค่าอ านาจจ าแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ข้อสอบรายข้อ ใช้วิธีวิเคราะห์แบบอิงเกณฑ์ของเบรนแนน (Bernnan) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังนี้ 1 2 N L N U B= − เมื่อ B แทน ค่าอ านาจจ าแนก U แทน จ านวนผู้รอบรู้หรือผู้สอบผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก L แทน จ านวนผู้ไม่รอบรู้หรือผู้สอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก N1 แทน จ านวนผู้รอบรู้ที่สอบผ่านเกณฑ์ N2 แทน จ านวนผู้ไม่รอบรู้หรือผู้สอบไม่ผ่านเกณฑ์ 3) การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้วิธีการของ โลเวท (Lovett) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังนี้ ( )( ) − − − = − 2 i 2 i i cc k 1 x C K x x r 1 เมื่อ cc r แทน ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ


35 K แทน จ านวนข้อสอบ Xi แทน คะแนนของแต่ละข้อ C แทน คะแนนเกณฑ์หรือจุดตัดของแบบทดสอบ 4) หาค่าอ านาจจ าแนกของแบบประเมินความพึงพอใจเป็นรายข้อ โดยใช้วิธี Item – total Correlation ใช้สูตรสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังนี้ ( )( ) ( ) ( ) − − − = 2 2 2 2 xy N X X N Y Y N XY X Y r เมื่อ xy r แทน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร X กับ Y X แทน ผลรวมของค่าตัวแปร X Y แทน ผลรวมของค่าตัวแปร Y XY แทน ผลรวมของผลคูณระหว่างค่าตัวแปร X และ Y 2 X แทน ผลรวมของก าลังสองของค่าตัวแปร X 2 Y แทน ผลรวมของก าลังสองของค่าตัวแปร Y N แทน จ านวนคู่ของค่าตัวแปรหรือจ านวนสมาชิกใน กลุ่ม 3.7.3 สถิติที่ใช้หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 1) หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ 100 A N X E1 = 100 B N Y E2 = เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ E2 แทน ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ จากการท าแบบทดสอบหลังเรียน เนื้อหาครบถ้วนแล้ว


36 − − = 2 i 2 i S S 1 K 1 K α X แทน คะแนนรวมของผู้เรียนหลังท าแบบทดสอบท้าย หน่วยการเรียน Y แทน ผลรวมของคะแนนจากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน N แทน จ านวนกลุ่มทดลอง A แทน จ านวนคะแนนเต็มของแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) การหาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ ใช้สูตรดังนี้ ผลรวมคะแนนทดสอบหลังเรียน – ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จ านวนนักเรียนคะแนนเต็ม) – ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน 3.7.4 สถิติที่ใช้หาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน หาค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินความพึงพอใจทั้งฉบับ โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) เมื่อ แทน สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น K แทน จ านวนข้อของเครื่องมือวัด 2 Si แทน ผลรวมของความแปรปรวนของแต่ละข้อ 2 Si แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม 3.7.5 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ค านวณจากสูตร t-test แบบ Dependent sample ตามสูตรของ สมโภชน์ อเนกสุข (2553) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน t = ∑ √ ∑ 2 − (∑ ) − 1 E.I =


37 df = n -1 เมื่อ t แทน ค่าที่ใช้พิจารณาแจกแจงแบบที D แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ ΣD แทน ผลรวมของความแตกต่างระหว่างคะแนนการสอบก่อนหลังเรียน Σ 2 แทน ผลรวมยกก าลังสองความแตกต่างระหว่างคะแนน การสอบก่อนเรียน และหลังเรียน N แทน จ านวนนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย


38 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งการทดลอง เรื่อง การจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการ บริการ ผู้ศึกษาได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับ ดังนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการิเคราะห์ข้อมูล X̅แทน ค่าเฉลี่ย (Mean) ของคะแนน N แทน จ านวนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย S.D. แทน ค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์หลังการเรียน T แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบค่าวิกฤตในการแจกแจงแบบที (t-test) D แทน ผลต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน D 2 แทน ก าลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน * แทน มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4.2 การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 3 ตอน ตามล าดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการ โรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ตอนที่ 2 วิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังใช้การจัดการเรียน การสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2


39 ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่มีต่อการเรียนวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยใช้การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลวิเคราะห์ข้อมูลของการศึกษาในครั้งนี้ ประกอบด้วย ตอนที่ 1 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาการ โรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ ประสิทธิภาพด้านกระบวนการและผลลัพธ์การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ซึ่งปรากฏผล ดังตาราง 4.1 – 4.3 ตาราง 4.1 คะแนนทดสอบก่อนเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่เรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คะแนนทดสอบก่อนเรียน จ านวนนักเรียน คะแนนรวม 13 2 26 15 7 30 17 5 51 18 1 18 21 2 42 เต็ม 30 คะแนน 17 167 คะแนนเฉลี่ย ( X ) 16.70 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 2.50 ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย 55.66 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ( 1 E ) 75.16


40 จากตาราง 4.1 พบว่า คะแนนก่อนเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่เรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.70 (S.D. = 2.50) จากคะแนนเต็ม 30 คิดเป็นร้อยละ 55.66 แสดงว่า ประสิทธิภาพกระบวนการ (E1 ) เท่ากับ 75.16


41 ตาราง 4.2 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่เรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว คะแนนทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวนนักเรียน คะแนนรวม 29 2 58 28 1 28 27 5 108 26 2 26 25 7 50 เต็ม 30 คะแนน 17 270 คะแนนเฉลี่ย ( X ) 27.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.50 ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย 90.00 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ( 2 E ) 78.24 จากตาราง 4.2 พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่เรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 27.00 (S.D. = 1.50) จากคะแนนเต็ม 30 คิดเป็นร้อย ละ 90.00 แสดงว่า ประสิทธิภาพกระบวนการ (E2 ) เท่ากับ 78.24 ตาราง 4.3 ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ผลการเรียน คะแนนเต็ม X S.D. ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ระหว่างเรียน/กระบวนการ ( 1 E ) 30 16.70 2.50 55.66 หลังเรียน/ผลลัพธ์( 2 E ) 30 27.00 1.50 90.00 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ( 1 E / 2 E ) เท่ากับ 75.16/78.24


42 จากตาราง 4.3 พบว่า ประสิทธิภาพของกระบวนการ ( 1 E ) เท่ากับ 75.16 และประสิทธิภาพ ของผลลัพธ์ ( 2 E ) เท่ากับ 78.24 ดังนั้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 (E1/E2) เท่ากับ 75.16/78.24 ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์ที่ก าหนด 75/75 ตอนที่ 2 วิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังใช้การจัดการเรียน การสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ตารางที่4.4 แสดงผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังใช้ การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL เรื่อง ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 n = 12 เลขที่ คะแนนทดสอบ D 2 ก่อนเรียน หลังเรียน 1 13 29 17 1 2 17 27 13 3 3 15 27 15 3 4 13 26 17 4 5 18 28 12 2 6 15 27 15 3 7 21 29 9 1 8 21 25 9 5 9 17 27 13 3 10 17 25 13 5 11 15 25 15 3 12 15 25 15 3 13 15 26 16 4 14 17 25 13 2 15 17 25 13 2


Click to View FlipBook Version