~ ๑๐๑ ~ คำกวี คำเอ๋ยคำกวี คือถ้อยทิพย์พาทีที่รังสรรค์ คือความงามผุดผ่องของชีวัน คือสร้อยขวัญวรรณกรรมล้ำเพียงเพชร คือทองธารวิมานฟ้าหรรษายิ่ง คือความจริงความฝันอันก่องเก็จ คืออุบายเเสนเเยบยลกลเม็ด รวมเบ็ดเสร็จในพาทีกวีเอย
~ ๑๐๒ ~ ดาวน้อย ดาวเอ๋ยดาวน้อย เจ้าล่องลอยสูงเด่นเห็นกระจ่าง ท่ามกลางฟ้าดับเดือนดูเลือนราง เเสงสว่างของเจ้าเฝ้าปลอบโยน เเม้เเสงน้อยเเต่หลายดวงจึงช่วงโชติ จึงกบโหมดมืดขนาบคล้ายหยาบโค่น เปลี่ยนมืดมิดร้าวรอนให้อ่อนโอน ฟ้าจึงโชนด้วยเเสงดาวพริบพราวเอย
~ ๑๐๓ ~ ดอกฟ้า ดอกเอ๋ยดอกฟ้า ตัวข้าเพียงดินถวิลหวัง อยากเอื้อมเด็ดมาเสริมศรีคู่ชีวัง เเต่ก็เกินกำลังจะไขว่คว้า ได้เเต่มองอยู่ห่างห่างอย่างห่วงห่วง ชมดอกดวงเพ็งจันทร์เเจ่มขวัญหล้า ตั้งมั่นในใจเเน่นหนักหวังสักครา จะไต่ฟ้าไปชื่นชูอยู่เคียงเอย
~ ๑๐๔ ~ ยิ้ม ยิ้มเอ๋ยยิ้มเเย้ม ยิ้มเพื่อเเต้มโลกสวยด้วยยิ้มหวาน ยิ้มเพื่อลบความขมขื่นเพิ่มชื่นบาน ยิ้มเพื่อสานสัมพันธ์สรรค์สิ่งดี เมื่อเธอเเย้มฉันยิ้มอิ่มเอมนัก เเม้นทุกข์หนักก็คลายทุกข์เป็นสุขศรี ราวป่าเเล้งคราฝนพรำฉ่ำพงพี โลกใบนี้จึงเอิบอิ่มด้วยยิ้มเอย
~ ๑๐๕ ~ ร้อนรุ่ม ร้อนเอ๋ยร้อนรุ่ม ราวไฟสุมทรวงหม่นเกินทนไหว ร้อนกิเลสมิรู้สิ้นกัดกินใจ หาสิ่งใดมาดับได้ให้บอกที เเม้ร้อนกายตากเเอร์พอเเก้ได้ เเต่ร้อนใจกิเลสเผาเศร้าเหลือนี่ เห็นเเต่ธรรมชำระดลส่งผลดี คือวิธีดับต้นเหตุกิเลสเอย
~ ๑๐๖ ~ ดอกสร้อย ดอกเอ๋ยดอกสร้อย รินหยาดย้อยหยดหมึกผนึกสมัย หวังดอกสร้อยหอมหวนชวนชื่นใจ เป็นเชื้อไฟเติมฝันปันไมตรี ดอกผลแห่งความเพียรรักเขียน-อ่าน จึงเบ่งบานหอมอวลเต็มสวนศรี หวังดอกสร้อยเป็นสร้อยงามเปี่ยมความดี คล้องใจที่แตกหักรักกันเอย
~ ๑๐๗ ~ ชีวิต ชีเอ๋ยชีวิต มีมืดมิดเศร้าหมองมีร้องไห้ มีสุขสร้างทางสว่างกระจ่างใจ มีพบพรากจากไปไกลนิรันดร์ มีรักโลภโกรธหลงสิ่งสมมุติ มีหมายหมุดปักไว้มีไฟฝัน เหนือสิ่งใดที่มิมีในชีวัน คือมีใจรู้เท่าทันกิเลสเอย
~ ๑๐๘ ~ อ้อยอิ่ง อ้อยเอ๋ยอ้อยอิ่ง น้ำค้างติงต้องไต่ใบไม้ไหว เมื่อฝนพรำฉ่ำชื่นทุกผืนไพร หอมกลิ่นไอฤดูฝนดลบันดาล เพลินเพลงทุ่งไพเราะเสนาะนัก คล้ายใครกวักคืนถิ่นดินอีสาน หลังจากเรือนด้วยขาดเเคลนไปเเสนนาน คืนสู่บ้านป่าไพรสุขใจเอย
~ ๑๐๙ ~ แรกรัก เเรกเอ๋ยเเรกรัก เเม้น้ำผักเเสนขมยังชมหวาน เมื่อเเรกเริ่มเดิมทีรักคลี่บาน จึงพบพานรอยยิ้มอิ่มเอมใจ วันเวลาผันเวียนโลกเปลี่ยนหมุน รักละมุนสุขสันต์ก็หวั่นไหว นี่เเหละหนาสัจธรรมดำเนินไป รักเคยให้ต้นหวานย้อยปลายกร่อยเอย
~ ๑๑๐ ~ ว่านสี่ทิศ ว่านเอ๋ยว่านสี่ทิศ คล้ายชีวิตหลากทิศทางให้ย่างฝัน ใต้ชายคาเมฆคดเคี้ยวโลกเดียวกัน โดยสารวันเวลามาเท่าใด เเม้ทำสิ่งยาก-ง่ายมีหมายหมุด ย่อมถึงจุดสมหวังดังฝันใฝ่ มองกลีบว่านคือทิศทางย่างสู่ชัย สิ้นหมองไหม้ในชีวิตทุกทิศเอย
~ ๑๑๑ ~ พระสงฆ์ พระเอ๋ยพระสงฆ์ คือผู้ทรงศีลธรรมสำเร็จผล คือผู้งามจริยวัตรปฏิบัติตน คือผู้พ้นกิเลสสิ้นกัดกินใจ เมื่อเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ จงเเจ่มชัดธรรมกระจ่างสว่างใส อย่าบวชเพื่อเบียดบังรับทรัพย์สินใด โยมจะไล่สวดสาปบาปยิ่งเอย
~ ๑๑๒ ~ ก้าวไกล ก้าวเอ๋ยก้าวไกล เเม้นก้าวใครก้าวกล้าย่อมคว้าฝัน มัวย่ำเท้าอยู่กับที่ไม่มีวัน เจริญทันความเติบโตเทคโนโลยี เเต่ละก้าวยาวไกลกว่าไปถึง ล้วนต้องพึ่งความเเน่นหนักเป็นสักขี เมื่อก้าวไกลอย่าก้าวข้ามซึ่งความดี เพราะยังมีเวรกรรมก้าวนำเอย
~ ๑๑๓ ~ งามตา งามเอ๋ยงามตา งามองค์พระปฏิมาสง่าศรี งามท้องฟ้าเมฆห่มร่มเย็นดี งามพื้นที่สุขสมอุดมพร งามสิ่งใดในหล้าหางามเท่า หัวใจเราเเน่นหนักหลักคำสอน ท่ามกลางยุคสมัยราวไฟฟอน ต้องดับร้อนด้วยธารธรรมนำสุขเอย
~ ๑๑๔ ~ บุญบั้งไฟ บุญเอ๋ยบุญบั้งไฟ ประเพณีงามยิ่งใหญ่ภาคอีสาน ท้าวผาเเดงนางไอ่คำคือตำนาน ก่อเกิดงานบุญบั้งไฟได้เฮฮา จุดบั้งไฟบูชาเเถนขอฟ้าฝน ให้ร่วงหล่นรินรื่นหยาดพื้นหล้า เพื่อพืชพันธุ์สมบูรณ์ดีมีราคา มิใช่มาเพื่อเเข่งขันพนันเอย
~ ๑๑๕ ~ ลายไหม ลายเอ๋ยลายไหม คือความภาคภูมิใจในวิถี ผ่านการคิดสู่การทำกรรมวิธี จนเป็นสีเป็นเส้นเป็นไหมงาม ใช่มีเพียงความเพริศพรายบนลายผ้า เเจ่มชัดภูมิปัญญาค่าล้นหลาม เหนืออื่นใดคือลายไหมสืบนิยาม สื่อถึงความรักความเพียรนุ่มเนียนเอย
~ ๑๑๖ ~ หมอกคลุมฟ้า หมอกเอ๋ยหมอกคลุมฟ้า กาลเวลาหมุนเวียนโลกเปลี่ยนผัน อาทิตย์เคยสาดสีชื่นชีวัน กลับหมอกกั้นควันปิดมืดมิดมน ได้เเต่หวังเบื้องหน้าฟ้าสีหวาน เมื่อพ้นผ่านหมอกเทาของเงาฝน ได้เเต่หวังประชาธิปไตยของใจชน ยึดเหตุผลยึดหลักธรรมนำสุขเอย
~ ๑๑๗ ~