1
2
คมู อื การจดั การเรยี นรู
หลกั สูตรทองถ่นิ ปกธงชัย
หลักสูตร วถิ ีชีวิตลุมนาํ้ ลําพระเพลงิ
ศนู ยก ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาํ เภอปก ธงชัย
สาํ นกั งานสง เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจังหวัดนครราชสมี า
สํานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศกึ ษาธิการ
3
คํานาํ
หลักสูตรทองถนิ่ ปกธงชยั โดยการมสี วนรว มของประชารัฐนําสูผูเรียนสรา งคน ชมุ ชน
เขมแขง็ ศูนยก ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอําเภอ ปก ธงชยั (กศน.อําเภอปก ธงชยั )
จังหวัดนครราชสีมา ไดพฒั นาขน้ึ จากการสาํ รวจชมุ ชนทอ งถน่ิ ปก ธงชัยและการจัดเวทชี าวบานไดข อสรปุ วา
คนในชุมชนมคี วามตองการทจ่ี ะสบื ทอดสิง่ ดี ๆ ซง่ึ เปนอัตลักษณเ ฉพาะถนิ่ ของอาํ เภอปก ธงชยั ใหคงไวส คู น
รุน หลงั ใหไดเรียนรแู ละสรางอาชีพใหเกิดข้ึนกบั คนในชมุ ชนปกธงชัยอยา งมน่ั คงและย่งั ยืน ซง่ึ เปน เรอ่ื งท่ี
เก่ียวกับคําขวัญของอําเภอปกธงชยั ทไ่ี ดผ า นการยอมรบั จากประชาชนในอําเภอปก ธงชัยแลว น่นั คอื “ลุม
พระเพลงิ นา้ํ ใส ผาไหมเนอื้ งาม ขา วหลามนกออก ถว่ั งอกวังหมี หมต่ี ะค”ุ จากคําขวญั ดังกลาว กศน.
อําเภอปก ธงชยั โดยการมสี วนรวมของประชารฐั ภมู ิปญญาและปราชญช าวบา นไดรว มกันพฒั นาหลกั สตู ร
เพอ่ื การนขี้ ้ึน จาํ นวน 5 หลักสูตร คอื 1) ตามรอยพอ วิถีชวี ิตลุมนาํ้ ลําพระเพลิง 2) การประดษิ ฐข องที่ระลกึ
จากผา ไหมปกธงชัย 3) การทาํ ขา วหลามนกออก 4) การเพาะและดองถวั่ งอกวงั หมี 5) การทําหมีต่ ะคปุ ก
ธงชยั เพื่อสืบทอดภมู ปิ ญ ญาของบรรพบุรษุ อําเภอปก ธงชยั ใหค งอยสู ืบไปรวมทงั้ ใช เปน กรอบและแนวทางใน
การจัดการเรียนรูใหป ระชาชนท่ีมีความสนใจไดเรียนรเู ห็นชองทางในการประกอบอาชพี และ มีสวนรว มใน
การพฒั นาสังคมและชุมชนสบื ไปครู กศน. อาํ เภอปกธงชยั ไดนาํ หลกั สตู รดังกลา วไปใชใ นการจดั การเรยี นรู
ใหก ับประชาชนในชมุ ชนทองถิ่นอําเภอปก ธงชยั จากการนิเทศ ติดตามการจัดการเรียนรูพ บวา วิทยากร
สอนเนอื้ หาดว ยการบอก อธิบาย และใหทําตาม โดยไมม ีใบความรู ใบงาน และสือ่ ประกอบการเรียนรู ครู
กศน. อาํ เภอปกธงชยั ท่ีเปน ผชู ว ยวิทยากรขาดความมน่ั ใจในการจดั การเรยี นรู และตอ งการคมู อื เพอ่ื ใชเปน
แนวทางในการจัดการเรียนรูผบู รหิ ารจึงไดจ ดั ทําคูมือการจัดการเรียนรหู ลกั สตู รทองถน่ิ ปก ธงชัยข้นึ
ศนู ยการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาํ เภอปก ธงชัย ขอขอบคณุ ผมู สี ว น
เกย่ี วขอ งทุกทานในการจดั ทาํ หลกั สูตรทองถิน่ ปก ธงชยั จนสาํ เรจ็ ลลุ ว งไปดว ยดี
(นายบุญยง ครศู รี)
ผูอํานวยการศูนยก ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อําเภอปกธงชัย
สารบัญ 4
คาํ นาํ หนา
คาํ ชแ้ี จงแนวทางการใชค ูม อื การจดั การเรียนรหู ลกั สูตรทอ งถ่ินปก ธงชยั
ตอนท่ี 1 : แนวคิด ความเชอ่ื พ้นื ฐาน และหลักการศกึ ษานอกระบบ ก
1
คิดเปน (KIDPEN) ปรัชญาพื้นฐานของ กศน. 2
หลักการศึกษานอกระบบ 4
หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง 4
จิตวทิ ยาการเรยี นรู 6
ตอนท่ี 2 : หลกั สูตรทองถนิ่ ปก ธงชัย 10
วิถชี วี ติ ลุม นํา้ ลําพระเพลิง 11
ตอนที่ 3 : แผนการจดั การเรยี นรหู ลกั สตู รทองถนิ่ ปกธงชัย 16
วถิ ชี ีวิตลุม นํ้าลําพระเพลิง 17
ตอนท่ี 4 : การนิเทศ ตดิ ตาม และรายงานผล 66
การนิเทศ ตดิ ตามและรายงานผล 67
บรรณานกุ รม 71
ภาคผนวก : แบบทดสอบกอ นเรียนและหลงั เรยี น 73
74
วิถชี ีวิตลุมน้ําลําพระเพลิง 77
ภาคผนวก : แบบเฉลยแบบทดสอบกอ นเรียนและหลังเรยี น 78
วิถีชวี ติ ลุม นาํ้ ลําพระเพลิง
5
คาํ แนะนําการใชคูมือการจดั การเรียนรูหลกั สตู รทองถนิ่
1. เอกสาร “คูมือการจดั การเรยี นรูหลกั สูตรทอ งถ่นิ ปกธงชยั ” จัดทาํ ขน้ึ สําหรบั ครู กศน.
อาํ เภอปกธงชยั และวทิ ยากร นําไปใชใ นการจัดการเรียนรูใหกับประชาชนทีม่ คี วามสนใจไดเ รียนรูเ อกสารน้ี
ประกอบดวยหลกั สตู รทอ งถิ่นปกธงชยั จํานวน 5 หลกั สตู ร ซ่งึ กศน.อาํ เภอปกธงชยั ไดร ว มกนั พัฒนาขึ้น
จากคาํ ขวญั ของอําเภอปกธงชยั โดยการมีสว นรวมของประชารัฐ (ภมู ิปญ ญาและปราชญช าวบา น)
จาํ นวน 5 หลักสูตร คอื
1. วิถชี วี ิตลมุ นํ้าลาํ พระเพลิง
2. การประดิษฐของท่ีระลกึ จากผาไหมปก ธงชัย
3. การทําขา วหลามนกออก
4. การเพาะและดองถัว่ งอกวังหมี่
5. การทาํ หม่ีตะคุปกธงชยั
2. เนอื้ หาของคมู ือการจดั การเรียนรูหลกั สูตรทอ งถิน่ ปก ธงชัย แบง เปน 4 ตอน คือ
- ตอนที่ 1 แนวคดิ ความเชื่อพ้ืนฐาน และหลักสูตรการศึกษานอกระบบ
- ตอนท่ี 2 หลกั สูตรทอ งถิน่ ปก ธงชยั
- ตอนที่ 3 แผนการจัดการเรียนรูหลักสตู รทอ งถิ่นปกธงชยั
- ตอนท่ี 4 การนิเทศ ติดตาม และรายงานผล
3. เนอ้ื หาตอนที่ 3 คือ แผนการจัดการเรยี นรหู ลักสูตรทองถ่ินปก ธงชัยแตละหลกั สูตร
ประกอบดว ย จดุ ประสงคก ารเรียนรู กิจกรรมการเรยี นรใู บความรู ใบงาน แบบทดสอบกอ นและหลังเรยี น
ถอื เปน สื่อประกอบการเรยี นรูของครู กศน.อาํ เภอปกธงชัยและวิทยากรสอนหลักสตู รทองถ่นิ ปก ธงชัย
การนําคูมือนีไ้ ปใช ครู กศน. และวทิ ยากรควรมกี ารจดบันทกึ ขอ มูลการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดการ
เรยี นรู เพอ่ื นํามาเปนขอ มูลในการปรับปรุง พัฒนาคูมือในสว นท่เี ก่ียวของตอ ไป
4. กอ นจดั การเรยี นรูตามคมู ือนี้ ครู กศน. และวทิ ยากร ควรศึกษาจุดประสงคการเรียนรแู ละ
รายละเอียดการจดั การกจิ กรรมใหเขาใจ เพื่อไดเ ตรียมสือ่ ตางๆใหพรอม เชน ใบความรู ใบงาน วสั ดุ
อปุ กรณใ นการฝก ปฏบิ ัติ รวมทั้งแหลง เรียนรทู ีจ่ ะใหผ ูเรยี นศึกษาหาความรเู พ่ิมเตมิ จากภูมิปญญา
5. กอ นจัดการเรียนรแู ตล ะหลกั สตู ร ครคู วรจัดใหผ ูเ รยี นไดทําแบบทดสอบกอ นเรยี นและเมื่อ
เรยี นจบหลกั สูตรแลวใหผูเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน เพือ่ เปนการประเมินความรูพ นื้ ฐานและ
ความกาวหนาของผูเรยี น
1
ตอนท่ี 1
แนวคิด ความเช่ือพ้นื ฐาน และหลกั การศึกษานอกระบบ
• “คดิ เปน” (KIDPEN) ปรชั ญาพ้ืนฐานของ กศน.
• หลักการศึกษานอกระบบ
• หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
• จติ วทิ ยาการเรยี นรู
• จติ วิทยาการเรียนรวู ัยรนุ
• วธิ กี ารสอนผใู หญ
2
ตอนที่ 1 แนวคดิ ความเชือ่ พ้นื ฐาน และหลักการศึกษานอกระบบ
1. “คดิ เปน ” (KIDPEN) ปรชั ญาพืน้ ฐานของ กศน.
คดิ เปน เปนกระบวนการคิดท่เี กดิ ขึน้ จากหลกั การและแนวคดิ ของ ดร.โกวิท วรพิพัฒน นกั การศึกษา
ไทยทีก่ ลา วไวว า “การจดั การศึกษาตองการสอนคน ใหคิดเปน ทําเปน แกปญ หาเปน”
คดิ เปน หมายถึง กระบวนการท่คี นเรานาํ มาใชในการตัดสนิ ใจ โดยตองแสวงหาขอ มูลของตนเอง
ขอ มลู ของสภาพแวดลอมในชมุ ชน และขอ มลู ทางวิชาการ แลว นํามาวเิ คราะหห าทางเลอื กในการตดั สินใจท่ี
เหมาะสม มคี วามพอดีระหวางตนเองและสังคม
คดิ เปน มีความเชอื่ วา มนุษยท ุกคนตอ งการความสุข แตค วามสุขของแตละคนแตกตางกันเน่อื งจาก
มนุษยมีความแตกตางกันในดานตา ง ๆ เชน เพศ วยั สภาพสงั คมสง่ิ แวดลอม วถิ ีชวี ิต ซ่ึงทาํ ใหค วามตองการ
และความสุขของแตละคนไมเหมอื นกัน ดังนัน้ การท่บี คุ คลจะอยไู ดอ ยางเปนสุขในสังคม จะตอ งเปน ผคู ดิ เปน
ทําเปน แกป ญหาเปน และกระบวนการคิดเปน ทําเปน แกป ญหาเปนนนั้ จะตอ งนําขอ มลู อยางนอ ย 3 ประการ
มาประกอบในการคดิ คอื ขอมลู ดา นตนเอง ขอมลู ดา นสังคม ส่งิ แวดลอม ขอมูลดานวิชาการ โดยเราจะตอ ง
ชั่งนา้ํ หนักดวู า ขอมลู ใดนาเชื่อถือมากกวา หรือมผี ลดีมากกวานาํ มาตดั สินใจโดยอาศยั การพจิ ารณาอยา ง
รอบคอบ
1.1 หลกั การของการคิดเปน
1) คิดเปน เช่อื วา สังคมเปลยี่ นแปลงอยตู ลอดเวลา อาจกอใหเ กดิ ปญ หาซ่ึงปญ หาน้ันสามารถแกไขได
2) คนเราจะแกไขปญหาตาง ๆ ไดอยา งเหมาะสมท่สี ุด โดยใชขอ มูลมาประกอบการตดั สินใจอย3างนอย
ประการ คือ ขอมลู เกย่ี วกบั ตนเอง สังคม และวิชาการ
3) เม่ือไดตัดสินใจแกไขปญหาดวยการไตรต รองอยางรอบคอบท้ัง 3 ดา นแลว ยอ มกอ ใหเ กิดความ
พอใจในการตัดสนิ ใจในการตัดสินใจน้ันและควรรับผดิ ชอบตอ การตัดสินใจนัน้
4) เนื่องจากสังคมเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา การคดิ ตัดสินใจจงึ อาจจะตองเปล่ียนแปลง ปรบั ปรงุ
ใหมใ หเ หมาะสมกับสภาพและสถานการณท ่เี ปลยี่ นไป
1.2 ลกั ษณะของคนคิดเปน มี 8 ประการ
1) มีความเชอ่ื วาปญหาท่ีเกดิ ขึน้ เปนส่ิงธรรมดา สามารถแกไขได
2) การคดิ ทด่ี ีตอ งใชขอ มูลหลาย ๆ ดา น (ตนเอง สังคม วชิ าการ)
3) รวู า ขอ มูลเปลี่ยนแปลงอยเู สมอ
4) สนใจท่ีจะวิเคราะหข อ มูลอยูเ สมอ
5) รวู าการกระทําของตนมผี ลตอสงั คม
6) ทาํ แลว ตดั สนิ ใจแลว สบายใจ และเต็มใจรบั ผิดชอบ
7) แกป ญหาชวี ิตประจําวันอยา งมรี ะบบ
3
8) รูจักชง่ั นํ้าหนกั คุณคา และตดั สินใจหาทางเลอื กใหส อดคลอ งกับคา นิยมความสามารถ
สถานการณ หรอื เงื่อนไขสว นตัว และระดับความเปนไปไดของทางเลอื กตา ง ๆ
5. จดั ทํา
หาสาเหตขุ องปญหา ความสขุ
ตนเอง สังคม วชิ าการ
ไมพอใจ แกปญหา พอใจ
ปฏบิ ตั ิ
ประเมนิ ผล
แผนภมู ิ แสดงกระบวนการคิดเปน
1.3 กระบวนการเรียนรูเพอื่ นําไปสูก ารคดิ เปน มีดังนี้
1) ขั้นสํารวจปญหา เมอื่ เกดิ ปญ หา ยอมตอ งเกิดกระบวนการคดิ แกปญหา
2) ขน้ั หาสาเหตุของปญ หา เปนการรวบรวมขอ มูลเกีย่ วกบั ปญ หาที่เกดิ ขนึ้ เพ่อื ทําความเขา ใจ
ในปญ หานนั้ และนาํ มาวเิ คราะหวาปญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ น้ัน เกดิ ขนึ้ ไดอ ยา งไร มีอะไรเปนองคประกอบของปญหาบาง
โดยสาเหตขุ องปญ หาทีเ่ กดิ ข้ึน อาจมาจากสาเหตุ 3 ดา น คือ
- สาเหตุจากตนเอง เชน พนื้ ฐานชวี ิต ครอบครวั อาชีพ การปฏบิ ัติตน ฯลฯ
- สาเหตุจากสังคม เชน บุคคลท่อี ยแู วดลอม ความเชื่อ ประเพณี ฯลฯ
- สาเหตุจากการขาดวิชาการ ความรตู าง ๆ ท่เี กย่ี วของกับปญ หา
3) ขนั้ วเิ คราะห หาทางแกปญหาเปนการวเิ คราะหหาทางเลือกในการแกป ญ หา โดยใชข อมูล
ดา นตนเอง สงั คม วิชาการ มาประกอบในการวเิ คราะห
4) ขั้นตดั สินใจ เมือ่ ไดท างเลอื กแลว จงึ ตัดสินใจเลอื กแกป ญ หาในทางทมี่ ีขอมูลตาง ๆ
พรอ มสมบรู ณท ี่สดุ
5) ข้นั ตัดสินใจไปสกู ารปฏบิ ัติ เม่อื ตดั สนิ ใจเลือกทางใดแลว ตองยอมรับวา เปนทางเลอื กทดี่ ี
ทสี่ ดุ ในขอ มลู เทา ที่มีขณะนัน้
4
6) ขัน้ ปฏิบัติในการแกปญหา ในขั้นน้ีเปนการประเมนิ ผลพรอมกันไปดว ย ถาผลเปน ท่ี พอใจก็
จะถอื วา พบความสขุ เรียกวา คิดเปน แตถ า ไมพ อใจ หรือผลออกมาไมไ ดเ ปน ไปตามทคี่ ิดไวห รอื ขอมูล
เปลย่ี น ตองเรมิ่ ตน กระบวนการคิดแกปญหาใหม (กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น,2546.)
2. หลกั การศกึ ษานอกระบบ
การศึกษานอกระบบเปน กระบวนการของการศกึ ษาตลอดชวี ติ มีภารกจิ สาํ คญั ที่มงุ ใหประชาชน
ไดร ับการศกึ ษาอยา งท่ัวถึง โดยเฉพาะการศึกษาขน้ั พนื้ ฐานที่จําเปนตอ การดาํ รงชีวติ ตามมาตรฐานของ
สงั คมซงึ่ เปนสทิ ธิท่ีคนทกุ คนพงึ ไดร บั นอกจากนน้ั ยงั จะไดรบั การศกึ ษาทีต่ อเน่อื งจากการศกึ ษาพน้ื ฐานเพ่อื
นําความรไู ปพฒั นาอาชีพ พฒั นาคุณภาพชวี ิต พัฒนาชมุ ชนและสังคมในทสี่ ุด การจดั กระบวนการเรยี นรู
การศกึ ษานอกระบบจึงยึดหลักการสําคัญ 5 ประการ คือ (กรมการศกึ ษานอกระบบ2546 : 3-4)
2.1 หลกั ความเสมอภาคทางการศกึ ษา กลมุ เปาหมายของการศึกษานอกระบบสว นมาก
เปน ผูพ ลาดโอกาส และผดู อยโอกาสทางการศึกษา ซง่ึ อาจมคี วามแตกตางทางดา นสถานภาพในสงั คม
อาชีพเศรษฐกิจ และขอจํากัดตาง ๆ ในการจดั การศกึ ษาและกระบวนการเรยี นรูการศึกษานอกระบบตองไม
มกี ารเลอื กปฏบิ ตั ิ หากแตสรา งความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาและการเรยี นรอู ยางเทา เทยี มกนั
2.2 หลกั การพฒั นาตนเองและการพ่งึ พาตนเอง การจดั การศึกษานอกระบบจะตอง
จดั การเรียนการสอน และกระบวนการเรียนรเู พอื่ ใหผเู รียนไดพ ฒั นาศกั ยภาพของตน สามารถเรยี นรแู ละ
เกิดความรสู กึ ทีต่ องการจะพัฒนาตนเอง เปน คนคดิ เปน สามารถปรับตวั ใหท นั กบั กระแสการเปลย่ี นแปลง
ของสังคม
2.3 หลกั การบรู ณาการการเรยี นรูกบั วถิ ีชีวติ หลักการน้อี ยบู นพืน้ ฐานของการจัดการ
เรียนรูที่สัมพันธกับสภาพปญ หา วิถชี ีวิต สภาพแวดลอมและชุมชนทองถนิ่ ของผเู รียน ซ่ึงเปน หลกั การท่ี
สําคญั ในการจัดการทาํ หลกั สูตรสถานศกึ ษา สง ผลโดยตรงตอ การจัดกระบวนการเรยี นรู การจดั การเรียนรู
เปนลักษณะของการบรู ณาการ โดยบูรณาการสาระตา ง ๆ เพื่อการเรียนรู และบรู ณาการวธิ ีการจดั การเรยี น
การสอนเพื่อนาํ ไปสกู ารพัฒนาการคณุ ภาพชวี ิตของผูเรียน
2.4 หลักความสอดคลองกบั ปญ หาความตอ งการและความถนดั ของผูเรียน หลกั การนี้
เปนการสง เสริมใหผ เู รียนรจู ักความตอ งการของตนเอง สามารถจดั การศกึ ษาใหกบั ตนเองไดอ ยา งเหมาะสม
วทิ ยากรมบี ทบาทในการสงเสริมกระบวนการเรียนรูดว ยตนเองของผูเรียน โดยผูเรียนรว มกาํ หนด
วตั ถุประสงค สาระการเรยี นรู วิธกี ารเรยี น และการประเมนิ ผลการเรยี นรขู องตนเอง ซ่งึ เปน กระบวนการที่
ผูเ รยี นเปนสําคัญ
2.5 หลกั การเรียนรูรวมกันและการมีสว นรวมของชมุ ชน การมีสว นรว มของชมุ ชนนบั วา
เปน หลักการสําคญั ในการจัดการศึกษานอกระบบ ชมุ ชน สามารถเขามารวมในการจัดทําหลกั สตู ร
สถานศกึ ษา การจัดสรรทรพั ยากรเปน แหลง เรยี นรู และสนบั สนุนในเรือ่ งอน่ื ๆ เพื่อผลติ ผเู รยี นใหเ ปน
สมาชิกทด่ี ีของชมุ ชนตอ ไป
5
3. หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
แนวพระราชดาํ รทิ ส่ี าํ คญั เรอื่ งหน่ึงทเ่ี หมาะสมกับการนาํ มา ประยุกตแ ละบรู ณาการเขาสูการ
จัดการเรยี นการสอนใหก ับผูเรียนทกุ ระดับ คือ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ซ่ึงเปน หลกั การปรัชญา
ของการพัฒนาทตี่ ้ังอยบู นพนื้ ฐานของทางสายกลางและความไมประมาทโดยคาํ นึงถึงความพอประมาณ
ความมเี หตุผล การสรา งภูมิคุมกนั ทดี่ ใี นตัว ตลอดจนใชค วามรู ความรอบคอบและคณุ ธรรมประกอบการ
วางแผน การตดั สินใจ และการกระทาํ
3.1 กรอบแนวคดิ เปน ปรชั ญาที่ช้แี นะแนวทางการดํารงอยแู ละปฏิบตั ติ นในทางท่คี วรจะ
เปน โดยมพี ้ืนฐานมาจากวถิ ีชวี ิตดั้งเดมิ ของสงั คมไทย สามารถนาํ มาประยกุ ตใชไดต ลอดเวลาและเปนการ
มองโลกเชงิ ระบบทมี่ ีการเปลยี่ นแปลงอยูต ลอดเวลา มุงเนน การรอดพนจากภยั และวกิ ฤติเพ่ือความมนั่ คง
และความยงั่ ยนื ของการพฒั นา
3.2 คุณลักษณะ เศรษฐกจิ พอเพยี งสามารถนํามาประยกุ ตใ ชกบั การปฏิบตั ิตนไดใ นทกุ
ระดบั โดยเนนการปฏิบัติบนทางสายกลางและการพัฒนาอยางเปน ข้ันตอน
3.3 คํานยิ าม ความพอเพียงจะตอ งประกอบดวย 3 คุณลกั ษณะ พรอ ม ๆ กนั ดงั น้ี
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ่ไี มนอยเกินไปและไมม ากเกนิ ไป โดยไม
เบียดเบียนตนเองและผอู นื่ เชน การผลิตและการบรโิ ภคท่ีอยูในระดบั พอประมาณ
ความมเี หตุผล หมายถึง การตดั สนิ ใจเกี่ยวกับระดบั ของความพอเพียงนั้นจะตอ ง
เปน ไปอยางมเี หตุผล โดยพจิ ารณาจากเหตปุ จ จยั ท่เี ก่ียวขอ งตลอดจนคาํ นึงถึงผลทีค่ าดวา จะเกดิ ข้นึ จากการกระทําน้นั
ๆ อยา งรอบคอบ
การมีภมู ิคมุ กนั ทดี่ ใี นตวั เอง หมายถึง การเตรียมตวั ใหพรอ มรับผลกระทบและ
การเปลยี่ นแปลงดานตาง ๆ ทีค่ าดวา จะเกดิ ขึ้นในอนาคตท้ังใกลและไกล
3.4 เงือ่ นไขการตัดสนิ ใจและการดาํ เนินกจิ กรรมตาง ๆ ใหอยใู นระดับพอเพียงนน้ั ตอง
อาศัยท้งั ความรูและคุณธรรมเปน พ้ืนฐาน กลาวคือ
เง่อื นไขความรู ประกอบดว ย ความรอบรเู ก่ยี วกบั วิชาการตา ง ๆ ท่ีเก่ยี วของ
อยางรอบคอบดานความรอบคอบทจี่ ะนําความรเู หลาน้นั มาพิจารณาใหเ ช่อื มโยงกันเพือ่ ประกอบการ
วางแผนและความระมดั ระวงั ในขนั้ ปฏบิ ตั ิ
เงือ่ นไขคุณธรรม ทจี่ ะตอ งเสรมิ สรางประกอบดวย การมีความตระหนกั ใน
คณุ ธรรม มคี วามซอ่ื สตั ยส จุ รติ มีความอดทน มคี วามเพียร ใชสติปญญาในการดําเนินชีวติ ไมโลภ ไม
ตระหน่ี
3.5 แนวทางปฏิบัต/ิ ผลทีค่ าดวา จะไดร บั จากการนาํ หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมา
ประยกุ ตใช คอื การพฒั นาท่สี มดลุ และยัง่ ยืน พรอมรับตอ การเปล่ียนแปลงในทุกดา น ท้งั ดานเศรษฐกจิ
สังคม สิ่งแวดลอม ความรแู ละเทคโนโลยี
6
4. จิตวทิ ยาการเรียนรู
4.1 จติ วทิ ยาการเรียนรผู ใู หญ
การจดั การเรยี นรูการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั เปน การจัดการเรยี นรสู ําหรับ
กลมุ เปา หมายผูใ หญที่มวี ฒุ ภิ าวะ ความรู และประสบการณทีแ่ ตกตางจากเด็ก ดังนัน้ การจัดการเรยี นรู
สําหรบั ผูใหญจ ะตองคํานึงถงึ ศาสตรวา ดวยการเรียนรูผูใหญ วิธีการสอน และหลักการจัดการเรียนรูใหก ับ
ผใู หญ ดงั นี้
โนลล ( Malcolm S. Knowles) ไดสรปุ พ้ืนฐานของทฤษฎีการเรียนรูสาํ หรับผูใ หญส มยั ใหม
(Modern Adult Learning Theory) ซงึ่ มีสาระสาํ คญั ดังตอ ไปนี(้ Knowles.1978.p31 อางอิงจาก สวุ ัฒน
วฒั นวงศ. 2547:248-249)
1) ความตอ งการและความสนใจ ( Needs and Interests) ผใู หญจะถูกชกั จงู ใหเกดิ
การเรียนรูไดดี ถาตรงกับความตอ งการและความสนใจในประสบการณท ่ีผา นมาจะเกิดความพงึ พอใจ
เพราะฉะน้นั ควรจะมกี ารเร่ิมตนในสงิ่ เหลาน้อี ยา งเหมาะสม โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมท่หี ลากหลายเพอื่ ให
ผูใหญเ กิดการเรียนรู จึงตอ งคาํ นงึ ถึงสิ่งน้ีดว ยเสมอ
2) สถานการณทเ่ี ก่ียวของกับชีวติ ผูใหญ ( Life Situation) การเรียนรขู องผใู หญจ ะ
ไดผ ลดถี าหากถอื เอาตัวผูใหญเปนศูนยกลางในการสอน ( Life-Centered) ดังนัน้ การจดั หนวยการเรยี นรทู ี่
เหมาะสมเพือ่ การเรียนรูของผใู หญ ควรยึดถอื เอาสถานการณทเ่ี กย่ี วขอ งกบั ชวี ิตผใู หญเปน หลักสาํ คญั มใิ ช
ยึดทตี่ ัวเนื้อหาวชิ า
3) การวิเคราะหประสบการณ ( Analysis of Experience) เนอ่ื งจากประสบการณ
เปน แหลง การเรียนรูทมี่ ีคณุ คา มากทีส่ ดุ สําหรับผูใ หญ ดังนัน้ หลักสาํ คัญของการศึกษาผใู หญกค็ อื การ
วิเคราะหถงึ ประสบการณข องผใู หญแตละคนอยางละเอียด วา มีสว นไหนของประสบการณทจ่ี ะนํามาใชใน
การเรียนการสอนไดบา ง แลวจงึ หาทางนํามาใชใ หเกิดประโยชนตอไป
4) ผูใ หญต อ งการเปน ผูน าํ ตนเอง ( Self-Directing) ความตองการท่ีอยใู นสว นลึกของ
ผูใ หญก ็คือ ความรูส ึกที่ตอ งการจะนําตนเองได ดังนั้นบทบาทหนาท่ีของครจู งึ อยใู นกระบวนการสืบหาหรือ
คน หาคาํ ตอบรว มกันกบั ผเู รยี น ( Mutual Inquiry) มากกวา การทาํ หนาทีเ่ ปน ผสู ง ผา นความรู หรอื เปนสือ่
สาํ หรบั ความรู และหนาทีป่ ระเมนิ ผลวา เขาคลอ ยตามหรอื ไมเ พียงเทา นนั้
5) ความแตกตางระหวา งบุคคล ( Individual Difference) ความแตกตางระหวาง
บุคคลจะเพิ่มมากขนึ้ เรื่อยๆ ในแตละบุคคลเมื่อมอี ายุเพม่ิ มากขนึ้ การสอนผเู รยี นผใู หญจงึ ตอ งจัดเตรยี มการ
ในดานนีอ้ ยางดีพอ เชน รูปแบบของการเรียนการสอน ( Style) เวลาทไี่ ดท าํ การสอน สถานทส่ี อน และ
ประการสําคัญ คือ ความสามารถในการเรยี นรูในแตละขน้ั ของผูใหญย อ มเปนไปตามความสามารถของ
ผูใหญแ ตละคน
7
4.2 หลักการจดั การเรยี นรูใหก บั ผใู หญ
ลักษณะการเรยี นรขู องผูใ หญ ท่รี วบรวมไว มีดังนี้ (จงกลนี ชตุ มิ าเทวินทร. 2542)
1) ผูใหญไ มต องถูกปฏิบัตเิ หมือนกบั ตนเองเปนเดก็ เพราะผใู หญส ามารถท่ีจะรบั ผิดชอบ
เคารพตนเอง และกาํ หนดวถิ ขี องตนเองได
2) ผใู หญมปี ระสบการณม ากมายหลายอยา งท่ีสามารถนาํ ออกมาใชไ ดในการจดั การเรียน
ของตนเองได
3) ผูใ หญมกั จะไมส นใจเรยี นรูเ กี่ยวกับเรอ่ื งที่มเี นื้อหามากๆหรือการทีจ่ ะตองจดจํา
ขอ เท็จจริง หรือตวั เลขทม่ี ากมาย หรอื การพูดถงึ ทฤษฎีเพียงอยา งเดียว แตผ ใู หญจะตอ งแสวงหาสิ่งท่ีแทจ รงิ
และคณุ คา ในดานอืน่ ๆ ดวย
4) ผูใหญจะเรียนรไู ดดที ่สี ดุ ในสถานการณผ อนคลาย สนุกสนาน และมีความสนใจ
5) ผูใ หญจ ะเรยี นรูไดเร็วกวา หากไดมสี ว นรวมในกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยการปฏบิ ตั ิ
จรงิ มสี วนรว มในการแลกเปล่ียนความคิดเหน็ ประสบการณ มากกวาการนัง่ ฟงการบรรยายเพียงอยางเดียว
6) ผูใหญจะเรียนรูไดดี เม่อื อยใู นสภาพท่พี รอ มและพอใจทจ่ี ะเรยี น
7) ผูใหญจ ะเรยี นรไู ดเ ร็วท่สี ุดโดยหลัก “ความเก่ยี วพันกนั ” ซงึ่ หมายถงึ ทุกขอเท็จจรงิ ทกุ
แนวคดิ และความคดิ รวบยอดทัง้ หลายนัน้ จะสามารถเรยี นรไู ดด ีทีส่ ุดเมื่อสิง่ เหลา น้เี กย่ี วโยงกับส่งิ ท่ีเคยรู
หรอื มปี ระสบการณม าแลว
8) การเปด โอกาสใหผใู หญไดค น พบตัวเอง เรยี นรดู วยตนเอง จะเปน กจิ กรรมทแี่ ตละคน
สามารถรับผดิ ชอบดวยตนเอง ในสดั สดั สว นเวลาของตนเอง โดยมผี ูเชี่ยวชาญหรอื ผูรคู อยแนะนาํ ซ่ึงการ
เรยี นโดยวิธีน้ผี ใู หญจะเรียนไดดี
9) ผใู หญแ ตล ะคนเรยี นรไู ดเรว็ หรอื ชา ในอตั รากา วกระโดดท่ีแตกตางกัน และใน
สถานการณท แ่ี ตกตางกัน ซ่ึงมปี จจัยทางดา นจติ วทิ ยาและดานรางกาย เปนตวั กาํ หนดขีดความสามารถ
ทางดา นการเรยี นรู
10) สาํ หรบั ผูใหญแ ลว การเรยี นรูคือกระบวนการเรียนรตู ลอดชวี ิต คือสามารถเรียนรไู ด
โดยไมมีท่ีสน้ิ สดุ ผูใหญจ ึงมีความรูมาก ซึง่ บางคนอาจมีความรู ประสบการณม ากกวา วิทยากร ครู และ
ผูเรียนในกลมุ เดยี วกัน
11) ผูใหญชอบเรยี นรใู นประสบการณตรง ขณะทก่ี ารใชภ าษาทาทาง และสื่อทัศนปู กรณ
ท่ีหลากหลายจะมีผลตอการเรียนรมู ากกวา สอื่ ทเี่ ปน ภาษาเขยี น
12) ถึงแมว าผใู หญจ ะมคี วามรสู ึกทางดานเกียรตภิ มู แิ ละศักดิศ์ รคี อ นขางมาก แตผ ูใ หญก ็
ยงั มคี วามพอใจและความอบอุน ใจท่ีไดร ับการยกยองเชนเดียวกับเด็ก ๆ
13) การจัดกระบวนการเรียนรูข องผใู หญจะไดผลดีมากท่ีสุด เม่อื การเรยี นรนู ั้นๆสามารถ
นําไปประยกุ ตใชใ นงานปจ จบุ ันได
14) การจัดกระบวนการเรียนรขู องผใู หญ ควรเริ่มตน จากภาพรวมกอ น ตอจากนนั้ จงึ ระบุ
ทลี ะสวนทลี ะข้ันตอน และตามดวยการแสดงใหเ ห็นภาพรวมอกี ครง้ั
8
15) นอกจากความสามารถของผูใหญแ ตละคนจะแตกตางกนั แลว ความตอ งการทีแ่ ทจ ริง
ของแตล ะคนกจ็ ะแตกตางกันดวย ท้ังในเรอ่ื งของทักษะเฉพาะ ความรู เทคนคิ ทัศนคติ และประสบการณ
16) อตั ราการหลงลืมของผูใ หญ อาจเกดิ ข้นึ อยา งรวดเร็วและทนั ทีหลังการเรียนการสอน
ได
17) ทกุ สิง่ ทกุ อยางอาจงา ยตอการเรยี นรูแ ละการยอมรบั ของผูใ หญ ถา หากการกระทํานน้ั
หรอื สิ่งนั้นไมขัดกับสิ่งที่ไดเ คยเรยี นรู หรือเคยมปี ระสบการณม ากอน
4.3 จติ วิทยาการเรียนรวู ัยรนุ
นอกเหนือจากกลุมเปาหมายท่ีเปน ผใู หญแลว ยังมกี ลุมเปา หมายท่เี ปน “วยั รนุ ” ท่ีเขา มา
เรียน กศน. ดังน้นั ในการจัดกระบวนการเรียนรู ครู ตองเขาใจถงึ ศาสตรทีเ่ กีย่ วกับการเรยี นรขู อง
กลมุ เปาหมายน้วี า “วยั รุน ” เปนวัยทกี่ ําลงั พัฒนาตนเองไปสูค วามเปน ผูใหญเพ่ือเปนกําลงั และเปนอนาคต
ของชาติครจู งึ จําเปนตองหาแนวทางและกิจกรรมตา ง ๆ เพ่ือพฒั นากลุมเปา หมายน้ี ใหมีคณุ ภาพ การจดั
กิจกรรมสาํ หรับวยั รนุ นอกจากเน้อื หาทีด่ แี ลว ครูควรคาํ นงึ ถึงประเดน็ สาํ คญั ดงั ตอไปนี้
1) ความตองการและความสนใจ ( Needs and Interests) เปนกิจกรรมทีจ่ ัดใหว ัยรุน
ควรเปนกิจกรรมทวี่ ัยรนุ สนใจ มีความตอ งการทีจ่ ะเรยี นรู เปด โอกาสใหว ัยรนุ ไดม ีสว นรว มในการคดิ หรอื
เสนอกจิ กรรมและความตอ งการในเรือ่ งทอ่ี ยากเรียนรู เน่อื งจากเปน วัยทมี่ คี วามเพอ ฝน ความคดิ อา น
กวา งขวาง ลึกซ้งึ ข้ึน อยากรู อยากเหน็ ตองการทดลอง และแสวงหาคําตอบ เริ่มคิดถงึ ชวี ิต อดตี ปจจบุ นั
และอนาคต เกิดความกระตอื รอื รน ที่จะเรยี นรหู รอื ฝก วชิ าชพี เพ่ือความกา วหนา มีความเปน อสิ ระ ตองการ
ใหผ ูใ หญ รบั ฟงความคิดเหน็ ของตน อดุ มคติสงู หวั รนุ แรง ตอ งการใหส งั คมมีความยุตธิ รรม เสมอภาค
2) ไดความสนกุ (Enjoyment) กจิ กรรมท่จี ัดใหวัยรนุ ควรเปนกจิ กรรมท่สี นกุ มิใชเพียง
การน่งั ฟง น่งั เรียนแบบในชนั้ เรยี น แตควรเปน กจิ กรรมที่ใหว ัยรุนไดคดิ ไดเคลื่อนไหว ไดใชพ ลังงาน
ประกอบกิจกรรมที่ไดเ รียนรู ท่สี รางจนิ ตนาการกวางไกล หรือการผจญภัย ทดลอง ชอบเสีย่ ง (ในขอบเขต
ทีส่ ามารถควบคมุ ได) เพราะกิจกรรมทมี่ ีความสนกุ ชว ยใหว ัยรนุ ไมรสู กึ เบือ่ หนาย หรือไมส นใจในสิง่ ทต่ี อง
เรียนรู
3) ไดมติ รภาพ ( Friendship) ตองการเปนทยี่ อมรับของเพื่อน วยั รุน เปนวัยท่ีชอบเขา
สังคม ชอบการแสวงหาเพื่อนและมติ รภาพ กิจกรรมสําหรับวยั รุนจึงควรเปนกจิ กรรมทช่ี ว ยใหวยั รนุ ไดสราง
มิตรภาพ ไดมสี วน รวมกบั เพ่อื น ๆ ดว ยกันเอง วยั รุนจะเชอ่ื ถอื และรับฟง เพอื่ นมากกวา พอ แม ชอบ
เปรียบเทียบตนเองกบั เพือ่ นฝูง ดังน้ันการจดั กิจกรรมตอ งระวังและตองไมส รางใหเกดิ ความรสู กึ มีปมดอ ย
เพราะวัยรนุ จะรูส กึ ทอแทใจไดงา ย
4) ไดความภาคภมู ิใจ (Pride) ความภาคภมู ิใจในตนเองเปน สวนหนึง่ ท่ชี วยใหวยั รนุ รสู กึ
วา ตนเองมีคณุ คา เปนท่ยี อมรับและตองการของสังคม หากกิจกรรมที่จัดชว ยใหว ัยรนุ เกดิ ความภาคภูมิใจ
เขากจ็ ะรูสึกดีกับความรู และทักษะทเ่ี ขาไดร บั พรอ มจะนําส่ิงทไี่ ดไปปฏบิ ัตอิ ยางตอเน่อื ง เปนวัยทตี่ อ งการ
แสวงหาใหรจู กั สงั คมและโลกภายนอก และรับผิดชอบตอ การงานท่ที ํา
9
5) ไดรบั การใหคําปรึกษาแนะแนว ( Take advice) วยั รุนตองการคําแนะนําตาม
ลกั ษณะปญ หาซ่ึงประกอบดว ยการแนะแนวอาชีพ การแนะแนวปญ หาสวนตวั อน่ื ๆ และการแนะแนว
เก่ียวกับการมีครอบครัว เปน ตน
4.4 วิธีการสอนผูใหญ (Teaching Methods)
จารวิส (Jarvis) ไดจ าํ แนกวธิ กี ารสอนผใู หญออกเปน 3 ประเภทดวยกนั คอื วิธีการสอน
โดยใชครูเปนศูนยก ลาง วิธีการสอนโดยใชผ ูเรียนเปนศนู ยกลาง และวิธกี ารสอนโดยใชผูเรยี นเปน ศูนยก ลาง
รายบุคคล (Jarvis. 1983. pp 130-156 อา งอิงจาก สุวฒั น วฒั นวงศ. 2547)
1) วธิ ีการสอนโดยใชครเู ปนศนู ยก ลาง (Teacher-Centered Methods) เปน วิธีการ
ที่มีครหู รือวิทยากรทําหนาที่เปน ผูน าํ และผดู ําเนินการ จดั เปนวธิ ีการสอนท่ีจะพยายามใหความรู ขอ มลู และ
ขอเท็จจริงแกผ เู รยี นหรือผเู ขาอบรมเปนสําคญั โดยอาจมกี ารใชศิลปะในการต้ังคาํ ถามของครูหรอื วิทยากร
เปนการกระตนุ ใหผ ูเรียนเกิดการสนองตอบในการเรยี น อยางไรกต็ ามครบู างคนหรอื ในการสอนบางครง้ั ก็ไม
สามารถใชเทคนคิ ในการต้ังคําถามได ทั้งนอี้ าจเปนเพราะวาไมม ีเวลา หรือเปน เพราะวา ผูเ รียนมจี ํานวนมาก
จนไมสามารถทจ่ี ะถามไดอยางท่วั ถงึ ทกุ คน
2) วธิ กี ารสอนโดยใชผ เู รียนเปนศนู ยก ลาง (Student-entered) เปน วิธกี ารสอนท่มี ี
ลักษณะทผี่ เู รยี นสามารถเรียนรรู ว มกันในระหวางพวกเขากนั เองเปนสวนใหญ ทงั้ นี้ก็จะเปนการนาํ เอา
ความรูจ ากประสบการณของผเู รยี นมาสูสถานการณการเรยี นการสอนดว ยเพอ่ื น (Peer Teaching)แตกม็ ี
บางคนกลา วแยง วาวธิ กี ารสอนแบบนม้ี ีลักษณะคลา ยกับ “คนตาบอดจูงนําทางคนตาบอดดว ยกัน” อยา งไร
ก็ตาม ความจริงแลวก็มีความรหู ลายสิง่ หลายอยา งท่ีผูเ รียนเองสามารถจะเปน แหลง ความรไู ดอ ยา งดี ซ่ึง
กรณีน้คี รูกจ็ ะทาํ หนาทีเ่ ปน “ผอู ํานวยความสะดวกในการเรียนรู” (Facilitator)
3) วิธกี ารสอนโดยใชผ เู รียนเปน ศูนยกลางรายบคุ คล (Individual Student-
Centered Methods) เปนวิธกี ารท่ีมที ้งั สวนคลา ยและแตกตา งจากแบบท่ี 2 ทงั้ นเี้ ปน วิธกี ารสอนซ่งึ เนน
เฉพาะผเู รยี นแตล ะบุคคลเทา น้ัน เพอื่ ผเู รียนจะสามารถนาํ ไปใชใ หเกิดการเรยี นรูไ ดอยางเหมาะสมกับตนเอง
โดยมีลกั ษณะทีห่ ลากหลายในวิธีการเรียน จากการเลือกเรยี นดวยตนเอง (Self-selected Learning) หรือ
การใหครูกําหนดกจิ กรรมได
จากหลกั การและแนวคดิ ตา งๆทไ่ี ดกลาวมา ลวนมคี วามสําคญั ตอ การจดั กระบวนการ
เรียนรู ทีผ่ บู รหิ าร ครแู ละผเู กีย่ วขอ งควรตระหนกั และทําความเขาใจ เพ่ือนาํ มาปรับใชเปนแนวทางใน
การกําหนดและออกแบบการจดั การเรยี นรูใหส อดคลอ งกับหลักการ จุดมงุ หมาย และการจดั การเรียนรูตาม
หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
10
ตอนท่ี 2
หลักสูตรทอ งถนิ่ ปกธงชัย
• วถิ ีชวี ติ ลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลิง
11
หลักสูตรทอ งถน่ิ ปกธงชยั : วถิ ชี วี ิตลุมนา้ํ ลาํ พระเพลงิ
ความเปน มา
“ลาํ พระเพลิงนาํ้ ใส ผา ไหมเน้ืองาม ขา วหลามนกออก ถว่ั งอกวงั หมี หมต่ี ะคุ” เปน คําขวัญของ
อําเภอปก ธงชัย จากคาํ ขวัญดังกลา วแสดงใหเหน็ วา ลาํ พระเพลงิ เปน ลาํ นํ้าที่มคี วามสําคัญตอความเปน อยู
ของคนในชมุ ชนแถบลุม น้าํ ลําพระเพลงิ ลมุ นํ้าลาํ พระเพลิงมีตน นาํ้ จากเทอื กเขาสนั กําแพงทางตอนใตสดุ
ของ อําเภอวงั นาํ้ เขยี ว มกี ลมุ ชนชาตพิ นั ธุตาง ๆ ต้งั บานอาศัยบรเิ วณลมุ น้ําลําพระเพลงิ ประกอบดวย
ชาวไทโคราช ไทอสี าน ไทมอญ และชาวบน กลมุ ชาตพิ นั ธเุ หลา น้มี ีความเปน อยู มวี ัฒนธรรม ประเพณี
ภาษาพูดทีเ่ ปน เอกลักษณเ ฉพาะกลุม แตก ม็ กี ารผสมผสานทางวัฒนธรรมและอยูรวมกนั ไดอ ยา งมคี วามสุข
ในบรเิ วณ ลุมนํ้าลาํ พระเพลิง กลมุ ชาติพันธุดงั กลาวไดอาศัยลมุ นํ้าลาํ พระเพลงิ เปนท่ที าํ มา
หากนิ ทํานา ทาํ สวน ทาํ ไร ทําการประมง ชาวบา นในแถบลมุ น้ําลาํ พระเพลิงสวนใหญมวี ิถีชีวิต
ความเปน อยูอาศยั ทาํ มาหากินแบบพอเพียง ตามรอยพอ หลวง สภาพทางภมู ิศาสตรลมุ นาํ้ ลําพระเพลงิ
มีลาํ นา้ํ ใส ตนไมเ ขียวขจี มีเขอ่ื นกักเกบ็ นาํ้ ไวอ ุปโภคบรโิ ภค มีน้ําตกที่ข้ึนช่ืออยางเชน นาํ้ ตกคลองกี่ นา้ํ ตก
ขนุ โจน นา้ํ ตกละอองชมพู ทําใหมบี ุคคลภายนอกเขามาเที่ยวชม เกดิ เปน แหลง ทอ งเท่ียวทางธรรมชาติในลุม
นาํ้ ลําพระเพลิงเปนทรี่ จู กั ของนกั ทอ งธรรมชาตใิ นระดบั อําเภอ ระดับจงั หวัด และระดบั ประเทศ
ศูนยก ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อําเภอปก ธงชัย ไดทาํ การสํารวจชุมชน
และจดั เวทีชาวบาน ไดขอ สรุปวาคนในชมุ ชนมีความตอ งการทจี่ ะคงเรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ลุมนํา้ ลําพระเพลงิ ไว
ใหค นรุน หลังไดเรียนรสู มกบั ที่เปน สวนหนง่ึ ของคําขวัญอาํ เภอปกธงชัย ท่ีไดผ านการยอมรับจากประชาชน
ในอาํ เภอปก ธงชยั จงึ ไดจ ดั ทาํ หลักสตู ร วถิ ีชวี ติ ลุม นํ้าลําพระเพลิง เพื่อใหประชาชนทวั่ ไปไดเรียนรู และ
เขา ใจถึงวถิ ีชวี ติ ชุมชนลมุ ลาํ นํา้ พระเพลิง ซ่ึงเปนการถายทอดความเปน อยูของคนในชมุ ชน ความเปน
ธรรมชาติและผลท่ีเกิดจากการมสี ว นรวมในการปกปอ ง การดูแลรักษาลมุ นํา้ ลําพระเพลิงใหเ ปนลํานาํ้ หลอ
เล้ยี งชีวติ คนในชมุ ชน เกดิ การพึ่งพาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ระหวางคนกบั ธรรมชาตเิ พอื่ ใหเ กิดความยงั่ ยนื ตอ ไป
จุดมงุ หมาย
เปนหลักสูตรทมี่ งุ เนน ใหผ ูเรยี น ไดเ รยี นรูเ รอ่ื ง วิถชี ีวิตลมุ น้ําลาํ พระเพลิง ซ่งึ เปน วถิ ีชวี ิตที่ดําเนิน
ตามหลกั ปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช ดว ยการใช
กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู และสรปุ องคความรูเพ่อื การพัฒนาสังคมและชมุ ชน โดยบรู ณาการหลัก
ปรัชญาคิดเปนและหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งเปน แนวปฏิบตั ิ ตลอดจนเรียนรูการใชเ ทคโนโลยที ่ี
เหมาะสม ท่ีสอดคลอ งกบั ความตองการและความจําเปนของผูเรยี น เปนไปตามสภาพบรบิ ทชุมชนและ
สงั คม รวมถงึ นโยบายของทางราชการ และสงเสริมการมสี ว นรว มของภาคีเครอื ขา ยและภูมิปญ ญาในการ
จดั การเรยี นรู
12
วตั ถปุ ระสงค
1. ผเู รียนมคี วามรู ความเขา ใจ และแลกเปลยี่ นเรียนรูการดําเนินชีวิตตามวถิ ีชวี ติ ลุมน้ําลําพระ
เพลิง
2. ผเู รยี นเกิดความตระหนกั ในการอยรู ว มกนั ในสงั คม ชุมชน ไดอ ยางยง่ั ยนื และมคี วามสขุ รวมทั้ง
มสี วนรว มในการสงเสริม พฒั นาสงั คม ชุมชนใหเ ขม แข็งตอไป โดยการมสี ว นรว มในการอนุรกั ษส่ิงแวดลอม
ชุมชนลมุ นา้ํ ลําพระเพลงิ
3. ผูเรียนมคี วามรู ความเขาใจ สามารถนาํ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปใชในการดาํ เนนิ
ชีวิตประจําวนั ทเี่ หมาะกับบรบิ ทของตนเอง ครอบครวั ชมุ ชนและสงั คม
กลมุ เปาหมาย
ประชาชนทวั่ ไป
ระยะเวลาเรยี น
ระยะเวลาเรยี นทง้ั หมด จาํ นวน 60 ช่ัวโมง
- ภาคทฤษฎี จาํ นวน 20 ชวั่ โมง
- ภาคปฏบิ ตั ิ จาํ นวน 40 ช่ัวโมง
โครงสรางเนือ้ หาของหลกั สูตร ประกอบดว ยเนอื้ หา 4 เรอ่ื ง ดังนี้
บทที่ 1 วิถีชีวติ ชมุ ชนลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลงิ (จํานวน 8 ช่ัวโมง)
เร่ืองท่ี 1 ความเปนมาของลุมนาํ้ ลาํ พระเพลงิ โครงการสงน้ําและบาํ รุงรักษาลาํ พระเพลงิ
เรือ่ งที่ 2 การดาํ เนนิ ชีวติ ของชุมชนลมุ น้ําลาํ พระเพลิง
บทที่ 2 ทํากนิ ทาํ ใช เหลอื ขาย สรางรายไดใ หค รอบครัวและชมุ ชน (จํานวน 20 ชั่วโมง)
เรือ่ งที่ 1 การทําประมงลมุ นํา้ ลาํ พระเพลิง
เรอ่ื งท่ี 2 การทาํ นาขา วลุม น้าํ ลําพระเพลิง
เรือ่ งที่ 3 การปลูกผักและผลไมช ุมชนลุม นํา้ ลาํ พระเพลิง
บทที่ 3 ศลิ ปะวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชวี ติ ลมุ น้ําลําพระเพลงิ (จํานวน 20 ชั่วโมง)
เรอ่ื งท่ี 1 กลุม ชาตพิ นั ธุล ุมนาํ้ ลําพระเพลงิ
เรอื่ งที่ 2 ศาสนสถานลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลงิ
เร่อื งที่ 3 ประเพณีลมุ น้าํ ลาํ พระเพลงิ
บทท่ี 4 ภยั ธรรมชาตแิ ละการอนรุ ักษส งิ่ แวดลอ มชมุ ชนลมุ น้ําลาํ พระเพลงิ (จาํ นวน 12 ช่ัวโมง)
เร่ืองที่ 1 ภยั ธรรมชาติแถบลุมนํา้ ลาํ พระเพลงิ
1.1 ภยั จากนํา้ ทวม
1.2 ภัยแลง
13
1.3 การปอ งกันภยั ธรรมชาติ
เรอื่ งที่ 2 การอนุรกั ษส ิ่งแวดลอ มชุมชนลุมนาํ้ ลําพระเพลิงตามรอยพอ
2.1 การจดั การน้ํา
2.2 การจดั การปา
2.3 การมสี วนรว มอนุรักษส ง่ิ แวดลอมชมุ ชนลุมนา้ํ ลาํ พระเพลงิ
รายละเอยี ดโครงสรางเน้อื หาของหลักสูตร
ท่ี เรอ่ื ง จุดประสงค เน้ือหา การจดั กระบวน จํานวนช่ัวโมง
1 วถิ ีชวี ิตชมุ ชน การเรยี นรู ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ
การเรยี นรู
ลมุ นํ้า 1. บรรยาย 35
ลําพระเพลิง 1.บอกความเปนมา 1.ความเปนมาของ 2. ศกึ ษาใบความรู
3. ทาํ ใบงาน
2 ทาํ กิน ทําใช ของลมุ นํ้าลําพระ ลุมน้าํ ลาํ พระเพลิง 4. แลกเปล่ยี น
เหลอื ขาย เพลงิ โครงการสง โครงการสงนา้ํ เรยี นรู
สรา งรายได และบํารุงรกั ษา ภูมปิ ญ ญาทองถนิ่ /
ใหครอบครัว นา้ํ ลาํ พระเพลิง ปราชญช าวบาน
และชุมชน และบาํ รงุ รกั ษา 5. ศกึ ษาจากสื่อ
อิเล็กทรอนิกส
ลาํ พระเพลิงได
2. นาํ เสนอ 2. การดําเนินชีวิต
การดาํ เนินชวี ติ ของชมุ ชนลุม นาํ้
ของชุมชนลมุ นาํ้ ลําพระเพลิง
ลําพระเพลิงได
1. อธบิ ายการทาํ 1. การทําประมง 1. บรรยาย 5 15
ประมงลุมน้าํ ลํา ลมุ นํา้ ลําพระเพลิง 2. ศึกษาใบความรู
พระเพลงิ ได 3. ทําใบงาน
2. อธิบายการทาํ 2. การทํานาขา ว 4. แลกเปล่ียน
นาขา วลมุ นา้ํ ลมุ น้ําลาํ พระเพลงิ เรยี นรู
ลําพระเพลงิ ได ภูมปิ ญ ญาทองถิน่ /
3. อธิบายการ 3. การปลูกผกั และ ปราชญช าวบาน
ปลูกผกั และผลไม ผลไมชุมชนลุม นา้ํ 5. ศกึ ษาจากสือ่
ชุมชนลุม นํ้า ลาํ พระเพลงิ อิเลก็ ทรอนิกส
ลาํ พระเพลิงได และแหลงเรยี นรู
14
ที่ เรอ่ื ง จดุ ประสงค เนื้อหา การจัดกระบวน จํานวนช่ัวโมง
ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ
การเรยี นรู การเรยี นรู
5 15
3 ศลิ ปะวฒั นธรรม 1. เปรียบเทยี บ 1. กลมุ ชาตพิ นั ธุ 1. บรรยาย
75
ประเพณี ความแตกตา ง ลุมนํา้ ลาํ พระเพลิง 2. ศึกษาใบความรู
วิถชี ีวติ ลุมนํา้ ระหวางกลุมชาติ 3. ทําใบงาน
ลําพระเพลงิ พันธลุ ุมนาํ้ 4. แลกเปลย่ี น
ลาํ พระเพลิงได เรียนรูภูมิปญญา
2. บอกความ 2. ศาสนสถานและ ทอ งถน่ิ /ปราชญ
สาํ คัญของ สถานท่ีทอ งเที่ยว ชาวบาน
ศาสนสถานและ ทีส่ ําคัญลุมนาํ้ 5. ศกึ ษาจากส่อื
สถานท่ที องเท่ียว ลําพระเพลิง อเิ ลก็ ทรอนิกส
ทส่ี ําคัญลมุ นา้ํ 6. ศกึ ษาจากแหลง
ลําพระเพลิงได เรยี นรู
3. บอกแนวทาง 3. ประเพณี
การสืบทอด ลมุ น้าํ ลาํ พระเพลิง
ประเพณีลุมนํา้
ลาํ พระเพลงิ ได
4 ภัยธรรมชาติ 1. อธบิ ายวิธกี าร 1. ภัยธรรมชาติแถบ 1. บรรยาย
และการอนุรกั ษ ปองกันภัย ลุมนา้ํ ลาํ พระเพลงิ 2. ศึกษาใบความรู
ส่ิงแวดลอ ม ธรรมชาติ 1.1 ภยั จากนํ้าทวม 3. ทําใบงาน
ชมุ ชนลมุ นาํ้ แถบลมุ นํ้า 1.2 ภัยแลง 4. แลกเปลี่ยน
ลาํ พระเพลงิ ลาํ พระเพลิงได 1.3 การปอ งกัน เรยี นรู
ภยั ธรรมชาติ ภมู ปิ ญ ญาทองถิ่น /
2. อธบิ ายการมี 2. การอนุรกั ษ ปราชญช าวบา น
สว นรว มในการ
อนุรักษ สงิ่ แวดลอ มชมุ ชน 5. ศึกษาจากสือ่
สิ่งแวดลอ ม
ชมุ ชนลมุ นา้ํ ลมุ น้าํ ลาํ พระเพลงิ อิเล็กทรอนกิ ส
ลําพระเพลิงได
ตามรอยพอ และแหลง เรียนรู
2.1 การจัดการนาํ้
2.2 การจดั การปา
2.3 การมสี วนรวมใน
การอนรุ กั ษสิ่งแวดลอม
ชมุ ชนลุมนาํ้
ลําพระเพลงิ
15
สื่อการเรยี นรู
1. ใบความรู
2. ใบงาน
3. ส่อื อเิ ล็กทรอนิกส
4. แหลง เรยี นรู
5. ภมู ปิ ญ ญาทองถ่ิน /ปราชญช าวบา นแถบลมุ นํ้าลําพระเพลงิ
การวัดและประเมินผล
1. ประเมินความรู ความสามารถ ดว ยการซักถาม สังเกตทดสอบกอ นเรยี นและหลงั เรยี น
2. ประเมินจากแบบฝกปฏบิ ัติ ใบงาน และแบบสังเกตพฤตกิ รรม
การจบหลกั สูตร
1. มีเวลาเรียนและฝกปฏบิ ัติตามหลักสตู ร ไมนอ ยกวารอ ยละ 80
2. มผี ลการประเมนิ ผา นตลอดหลกั สตู ร ไมน อ ยกวารอยละ 60
เอกสารหลกั ฐานการศึกษา
1. หลกั ฐานการประเมินผล
2. ทะเบยี นคุมวฒุ บิ ตั ร
3. วฒุ ิบตั ร ออกโดยสถานศกึ ษา
การเทยี บโอน
ผเู รยี นที่เรียนจบหลกั สูตรนี้แลว สามารถนําผลการเรยี นไปเทยี บโอนกบั หลกั สูตรการศึกษานอก
ระบบระดับการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ในสาระการพัฒนาสงั คม วชิ าเลือกเสรีทีส่ ถานศึกษาได
จัดทาํ ขึ้นในระดับใดระดบั หนึง่ ได 1 หนว ยกติ (1 หนวยกติ = 40 ชั่วโมง)
16
ตอนที่ 3
แผนการจัดการเรียนรูหลักสูตรทองถ่นิ ปก ธงชัย
• หลักสูตรวิถชี ีวติ ลุมนํา้ ลําพระเพลิง
17
แผนการจดั การเรยี นรูหลักสตู รทองถน่ิ ปกธงชยั
“วิถีชวี ติ ลุมนาํ้ ลาํ พระเพลิง”
บทท่ี 1 วิถชี ีวิตชมุ ชนลมุ นํา้ ลําพระเพลงิ (จาํ นวน 8 ชัว่ โมง)
จดุ ประสงคการเรยี นรู
1 . บอกความเปน มาของลุมนํ้าลําพระเพลงิ โครงการสงนํา้ และบํารุงรักษาลาํ พระเพลิงได
2 . นาํ เสนอการดําเนนิ ชีวิตของชมุ ชนลุม น้าํ ลาํ พระเพลงิ ได
เนื้อหา
1 . ความเปน มาของลมุ น้าํ ลําพระเพลิงโครงการสงนํา้ และบํารงุ รกั ษาลําพระเพลิง
2 . การดาํ เนนิ ชีวิตของชุมชนลมุ น้าํ ลําพระเพลิง
เวลา 8 ช่ัวโมง
กิจกรรมการเรียนรู
1. ผสู อนสนทนากบั ผเู รยี นเก่ียวกับเรอ่ื งตอไปนี้
1.1 เข่อื นลาํ พระเพลิง
1.2 ชุมชนทอ่ี าศัยอยูตามลมุ นํา้ ลําพระเพลงิ
2. ผูเรยี นศกึ ษาใบความรูท่ี 1.1 เรื่องความเปนมาของลุมนํา้ ลําพระเพลงิ โครงการสง นํา้
และบํารุงรักษาลาํ พระเพลิง
3. ผเู รยี นทาํ ใบงานท่ี 1.1 เร่ือง ความเปน มาของลมุ น้ําลําพระเพลิง โครงการสง น้ําและ
บาํ รงุ รักษาลาํ พระเพลงิ
4. ผูเ รยี นศกึ ษาใบความรูท่ี 1.2 เรอื่ งการดาํ เนินชวี ติ ของชุมชนลมุ น้ําลําพระเพลงิ
5 . ผเู รยี นศึกษาแลกเปลย่ี นเรียนรูก บั ผนู าํ และคนในชมุ ชนเรอ่ื ง การดาํ เนนิ ชวี ติ ชุมชนลมุ
นํ้า
ลําพระเพลงิ บา นชมุ ชนพฒั นา หมูท ี่ 15 ตําบลตะขบ อําเภอปก ธงชยั จังหวดั นครราชสีมา
6. ผเู รยี นทําใบงานที่ 1.2 เรอื่ ง การดําเนินชวี ิตของชุมชนลุมน้ําลําพระเพลงิ
7. ผูส อนตรวจใบงานที่ 1.1 และ 1.2 และสงคนื ผูเรยี น
18
ส่อื การเรยี นรู
1. ใบความรทู ี่ 1.1 เรอื่ ง ความเปน มาของลมุ นํา้ ลําพระเพลิง โครงการสง นํ้าและ
บาํ รงุ รักษาลําพระเพลิง
2. ใบงานที่ 1.1 เรอ่ื ง ความเปนมาของลุมนํ้าลาํ พระเพลิง โครงการสง น้าํ และ
บํารุงรักษาลาํ พระเพลิง
3. ใบความรทู ่ี 1.2 เรือ่ ง การดําเนนิ ชีวิตของชุมชนลุมนํา้ ลาํ พระเพลงิ
4. ใบงานท่ี 1.2 เรื่อง การดาํ เนนิ ชวี ิตของชุมชนลุม นํ้าลาํ พระเพลิง
5. ภาพเขื่อนลําพระเพลิงและชมุ ชนท่อี าศยั อยตู ามลมุ นํ้าลาํ พระเพลิง
การประเมนิ ผล
1. ประเมนิ จากการทาํ ใบงานที่ 1.1 และ 1.2
2. สังเกตพฤติกรรมผเู รียนขณะทีเ่ ขาไปแลกเปลี่ยนเรยี นรูก ับผูนําและคนในชมุ ชน
19
ใบความรทู ี่ 1.1
เรื่องความเปนมาของลมุ นาํ้ ลําพระเพลงิ
โครงการสงนํา้ และบาํ รงุ รักษาลําพระเพลงิ
ความเปนมาของลมุ น้าํ ลําพระเพลิงโครงการสง นํา้ และบาํ รงุ รกั ษาลําพระเพลงิ
1. ความเปนมาของลมุ นํา้ ลาํ พระเพลิง
ลําพระเพลงิ เปนลาํ นา้ํ สาขาทสี่ าํ คัญทางฝงซา ยของแมน ํ้ามลู สายแรก อยูใ นเขตจังหวดั
นครราชสีมาตลอดสายโดยมีตน นํา้ จากเทอื กเขาสนั กาํ แพง จากตน นํ้าถงึ บา นบุหัวชางเปน ตอนท่ีลํานาํ้ ไหล
ผา นภูมิประเทศ ทเ่ี ปนปาเขามคี วามลาดชนั มากตอจากนนั้ จงึ เรมิ่ ออกที่ราบแคบ ๆ ซงึ่ ตามรมิ ลํานํ้าเปน
ทร่ี าบทางฝงซายติดตอ กันไปถึงแมน ้าํ มูลในเขตอําเภอโชคชยั สวนทางขวามีเนินเขาเปน บางตอนลําพระเพลิง
มีความยาวประมาณ 120 กิโลเมตร เน่อื งจากฝนในลุมนํ้าน้ีมนี อย การเพาะปลกู โดยทวั่ ไปจึงขาดแคลนนํา้
แตในเวลาน้าํ นองก็ทว มตนขาวท่ียังเล็กอยเู สยี หายประชาชนไดรบั ความเดอื ดรอ นเรอ่ื งน้าํ เปนอยางยง่ิ เพ่ือ
แกไขปญหาเรือ่ งน้าํ ในลุม นาํ้ น้ี กรมชลประทานจงึ ไดก อ สรา งเขอื่ นลําพระเพลงิ และระบบสงนํ้า เมื่อ
พ.ศ. 2506 กอ สรางแลวเสรจ็ ในป พ.ศ. 2510 สงนา้ํ เพือ่ การประปาอาํ เภอปก ธงชัยและอําเภอโชคชยั
20
2. ความเปนมาของโครงการสง นํา้ และบํารุงรักษาลําพระเพลงิ
โครงการสง น้ําและบํารุงรักษาลําพระเพลิงเปน โครงการชลประทานขนาดใหญ ประเภทเกบ็ กกั นํ้า
การสงนํ้าสพู ้ืนที่เพาะปลูกดา นทา ยน้ําโดยปลอ ยใหน ํา้ ไหลโดยแรงดึงดดู ของโลก ( GRAVITY) มีระบบเปน
คลองสงน้ําสายใหญ, สายซอยและคนู ํา้
2.1 ทต่ี ั้งและอาณาเขต
โครงการสง นา้ํ และบํารงุ รักษาลาํ พระเพลิ ง ตัง้ อยูเ ลขที่ 159 หมูท ่ี 9 บา นบุหวั ชา ง ตําบลตะขบ
อาํ เภอปก ธงชยั จงั หวดั นครราชสีมา อยูหางจากอําเภอปกธงชยั ประมาณ 30 กโิ ลเมตร หา งจาก
อาํ เภอเมืองนครราชสมี า ประมาณ 65 กโิ ลเมตร หางจากกรงุ เทพมหานครประมาณ 320 กิโลเมตร พืน้ ท่ี
ชลประทานอยใู นอําเภอปกธงชยั อาํ เภอโชคชยั และอาํ เภอเมอื ง จงั หวัดนครราชสมี า มีอาณาเขตตดิ ตอ
กับอาํ เภอใกลเ คียง ดงั น้ี
ทศิ เหนือ ตดิ ตอ กับอาํ เภอสงู เนนิ และอาํ เภอเมอื งนครราชสมี า
ทิศใต ติดตอกับลําพระเพลิงเขตอาํ เภอปกธงชัยและอาํ เภอโชคชัย
ทศิ ตะวันออก ตดิ ตอกับแมน ้ํามลู เขตอําเภอโชคชัย
ทิศตะวนั ตก ตดิ ตอ กบั อําเภอปากชองและอาํ เภอสูงเนนิ
พื้นท่ที ง้ั หมดของโครงการอยูในเขตจังหวดั นครราชสมี า
21
2.2 ขอมูลอางเก็บนํ้าของลาํ พระเพลงิ
โครงการสงนํ้าและบาํ รงุ รักษาลาํ พระเพลิง รบั ผดิ ชอบในการบริหารจัดการนาํ้ เพอื่ การ
อปุ โภคบริโภคการประปาน้ําเพอ่ื การเกษตร การรักษาระบบนเิ วศลําน้าํ การปองกันนํ้าทว มและการรักษา
คุณภาพนํา้ โดยการผลักดันนํา้ เสีย มีพื้นทโี่ ครงการฯ 91,916 ไร ครอบคลุมพื้นที่ 3 อาํ เภอ 18 ตาํ บล 88
หมบู า น 7,466ครวั เรือน ดแู ลรบั ผดิ ชอบอางเกบ็ นาํ้ รวม 4 แหง 1 ฝาย ไดแ ก
1 . อางเก็บนาํ้ ลาํ พระเพลงิ
2. อางเก็บนา้ํ ลําสาํ ลาย
3. อางเก็บนํ้าบานสันกําแพง
4. อางเกบ็ นาํ้ ลาํ เชยี งสา
5 . ฝายยางลําเชียงสา
2.3 สภาพการเพาะปลูก
การใชป ระโยชนทีด่ ิน สภาพพ้นื ทโ่ี ดยทวั่ ไปเปนที่ราบเชิงเขาในระยะ 30 กโิ ลเมตรหางจาก
ตวั เขอื่ น จากนั้นจะเปนท่ีราบจนถงึ ปลายคลองสง นํ้า พื้นทกี่ ารเกษตรในฤดูฝนจะปลกู ขาวเต็มพนื้ ท่ี ในฤดู
แลง จะเพาะปลูกขา วนาปรังและพืชไรประมาณ 60 % ของพ้ืนทช่ี ลประทาน (สถติ ิป 51 ) พชื ไรที่ทาํ การ
เพาะปลกู สว นใหญเ ปน ถั่วเขยี วและขาวโพดเลยี้ งสัตว
พ้นื ท่กี ารเกษตรในเขตโครงการฯ ลาํ พระเพลงิ จะทําการเพาะปลกู ปละ 2 ครงั้ ดงั น้ี
ฤดนู าป จะเริม่ จากเดอื นกรกฎาคมถึงกลางเดอื นธนั วาคม เกษตรกรจะปลกู ขา วเปน สวน
ใหญพ ันธุขาวทใี่ ชปลกู ขา วเบาไดแ กพ ันธุ กข. 23 และขาวดอกมะลิ 105 ขา วกลาง ไดแก พนั ธขุ าวกระโทก
เหลืองประทวิ เหลืองกระโทก ชัยนาท 60 สุพรรณบุรี 60 และขา วหนัก ไดแ ก พนั ธเุ จ็ดรวง เกา รวง
ขาวพวง ขาวใหญ และ เหลืองใหญ
ฤดแู ลง จะเรม่ิ จากเดอื นกุมภาพันธถงึ เดือนมถิ นุ ายน เกษตรกรจะเพาะปลกู ขาวนาปรังใน
ปท่ีน้าํ เหลือมากพอ และพืชไร-พชื ผัก เชน ถัว่ เขยี ว พันธกุ ําแพงแสน 2 ขาวโพดเล้ยี งสตั ว พนั ธุลูกผสม No
328 และไฮบรดิ
2.4 ลกั ษณะดนิ
ลักษณะดินในเขตโครงการ สว นมากเปนดนิ รวนปนทราย บางแหง เปนดินเหนียว ซง่ึ เปนลักษณะ
ดนิ โดยทัว่ ไปของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
22
2.5 ลกั ษณะลาํ น้ํา
ลาํ พระเพลิงเปนลําน้ําสาขาสาํ คัญสาขาหนงึ่ ของแมน าํ้ มูล มตี นกาํ เนิดจากเทือกเขาสัน
กําแพง ซ่งึ อยตู อนใตส ดุ ของอําเภอปกธงชัยจากตนนา้ํ ถึงบานบหุ ัวชางเปน ชว งที่ลาํ นาํ้ ไหลผา นภูมิประเทศ
เปนปาเขามีความลาดชันมาก ลํานา้ํ ชวงนม้ี ีความยาวประมาณ 60 กโิ ลเมตรและมีความลาดเทประมาณ
1:300 จากบา นบุหวั ชา งจนถึงแมน ํ้ามลู ลํานํา้ จะเริ่มไหลผา นท่รี าบแคบบรเิ วณฝง ซายของลํานาํ้ จะมพี น้ื ที่
ราบมากกวาฝงขวา ลาํ นาํ้ ชวงน้มี คี วามยาวประมาณ 60 กโิ ลเมตรและมีความลาดเทนอ ยกวาชว งแรกคอื
ประมาณ 1:2,500 รวมความยาวของลาํ พระเพลงิ 120 กโิ ลเมตรและอยใู นจงั หวัดนครราชสมี าทัง้ หมด
โดยเริ่มจากเขตอําเภอปกธงชยั ไหลลงแมนํ้ามูลในเขตอาํ เภอโชคชัย
2.6 ลกั ษณะทางอทุ กวทิ ยา
สภาพฝน ฝนท่ีตกในเขตโครงการ เปน ฝนจากอทิ ธพิ ลของลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต โดย
จะเร่มิ ตกจากปลายเดอื นเมษายน มฝี นท้ิงชว งในเดือนมิถนุ ายน หรือเดือนกรกฎาคม และจะมีฝนชุกมาก
ในเดือนกนั ยายนและตลุ าคม เนอื่ งจากระยะนมี้ ักจะมพี ายดุ เี ปรสชัน่ ผา นเขามา
2.7 ลกั ษณะภูมิอากาศ
สภาพภมู ิอากาศของลุมนํา้ ลาํ พระเพลิง ไดรับอทิ ธพิ ลจากลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต และ
ลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซงึ่ เปนสาเหตสุ าํ คัญทีท่ าํ ใหเกิดการเปลย่ี นแปลงฤดูกาลตาง ๆ ดังน้ี
ฤดฝู น เรม่ิ ต้ังแตกลางเดอื นพฤษภาคมถงึ เดือนตลุ าคม
ฤดูหนาว เรมิ่ ตัง้ แตกลางเดือนตลุ าคมถงึ เดอื นกมุ ภาพนั ธ
ฤดรู อ น เรมิ่ จากกลางเดือนกมุ ภาพันธจนถงึ กลางเดอื นพฤษภาคม
2.8 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ
ลักษณะภมู ปิ ระเทศบรเิ วณอางเกบ็ นํ้าและตอนบนของอางเปน เขาสูง ซ่งึ ประกอบดว ยเขา
โซ เขาชลองตอง เขาใหญ เขาโปง ฉนวน เขาจนั ทร เขาสนั กาํ แพง เทอื กเขาเหลา นี้เปนตน กาํ เนิดของลําพระ
เพลงิ และลําตะคอง ลักษณะภมู ปิ ระเทศดานทา ยเขอ่ื น พนื้ ทเ่ี ริ่มมีท่ีราบแคบ ๆ บริเวณริมนาํ้ หางจากตัว
เข่อื นประมาณ 12 กโิ ลเมตร พนื้ ที่ราบจะมีบริเวณกวางขึน้
2.9 เขอื่ นลําพระเพลงิ
เขื่อนลําพระเพลงิ ต้งั อยูในอาํ เภอปก ธงชัย จังหวดั นครราชสีมา มชี ื่อเสียงเรอื่ งความ
สวยงามทางธรรมชาตทิ ี่โดดเดน เข่อื นลาํ พระเพลิง เปนอางเก็บน้ําขนาดใหญท่ีเงยี บสงบ อากาศดีเหมาะ
สําหรับการพกั ผอน รับประทานอาหาร และเชาเรอื ชมอา งเกบ็ นํ้า และพนื้ ที่ปาเหนือเข่อื นกเ็ หมาะแกก าร
ทองเท่ียวเชิงอนรุ ักษ ประชาชนทองถนิ่ ละแวกน้ใี ชป ระโยชนเ พื่อการอปุ โภค บริโภค ระหวา งเสน ทางไป
เข่ือนยังมชี ุมชน
23
เกา แก เชน ตาํ บลงิว้ ซ่งึ เปนชมุ ชนมอญท่ีมาต้ังรกรากตัง้ แตส มัยรัชกาลที่ 1 เราสามารถแวะดูวิถีชวี ิตแบบ
ธรรมชาติกับบานคลองขุด สวนละมดุ และวดั ลาํ พระเพลงิ ซึ่งหาชมไดย าก เขื่อนแหงนี้สรางขึ้นมาตงั้ แต
ป พ.ศ. 2505 โดยการกน้ั น้ําทีภ่ เู ขาโซ และภูเขาหลวงที่ประชิดกันบรเิ วณบานบหุ ัวชา ง ตําบลตะขบ
อําเภอปก ธงชยั จงั หวัดนครราชสมี า เพ่ือกกั เกบ็ น้ําไวใ ชป ระโยชนในการเกษตรกรรม และปองกนั อทุ กภัย
โดยเขื่อนไดเปด ใชเมือ่ ป พ.ศ. 2510 และอยูใ นความดแู ลของกรมชลประทานซึ่งปจจุบนั ไดก ลายเปน แหลง
ทอ งเทย่ี วท่ีสาํ คัญ
ลักษณะของเข่อื นจะเปนทะเลสาบยาวไปตามลาํ นํ้า จากหนา เขอื่ นประมาณ 21 กโิ ลเมตร
สามารถกักเก็บนํ้าไดถ ึง 320 ลานลูกบาศกเมตร และเหนอื เขื่อนมีอาณาเขตรบั นํา้ กวางถึง 807 ตาราง
กโิ ลเมตร บริเวณเขอื่ นลําพระเพลิงแหง นเี้ ปน สถานทีท่ า นสมเด็จพระศรนี ครินทราบรมราชชนนโี ปรดปราน
มาก ครงั้ ใดที่พระองคเ สดจ็ ประพาสอสี านจะเสด็จมาประทบั ณ บานพักรบั รองของกรมชลประทานเขือ่ น
ลาํ พระเพลิงเสมอ
สายน้าํ ลาํ พระเพลงิ ไหลผานตําบลตาง ๆ ในอําเภอปกธงชัย ดังนี้
1. ตาํ บลลาํ นางแกวไหลผา นบานวงั ตะเคียน
2. ตาํ บลตะขบ ไหลผา นบา นตะขบ บา นเขาพญาปราบ บา นชุมชนพัฒนาประชากร และ
ทบ่ี า นชมุ ชนพฒั นาประชากรน้มี ีอาชพี ประมง ทาํ การจบั ปลามาทําปลารา ปลายา ง สง ขายตามจังหวดั ตา ง
ๆ มากมาย
3. ตาํ บลบอ ปลาทอง ไหลผานบา นดอนใหญ บานทา เยี่ยม บานกลาง บา นเพลิงหลง
บา นพระบงึ และบา นกระเซาะราก
4. ตําบลสขุ เกษม ไหลผานบานหนองโดน บา นพุปลาไหล (ซึ่งประชากรมีอาชีพทาํ
ขา วเมา ท่ีแตกตางจากท่อี น่ื สามารถทําขายไดตลอดท้งั ป) บานโรงงานนาํ้ ตาล บา นวังวารวี น และบา น
หนองจอก
5. ตาํ บลตูม ไหลผานบา นบุเจก บา นตมู และบานสวนหมาก
6. ตําบลงวิ้ ไหลผานบา นเพลิงหลง บานตะกดุ และบา นงวิ้
7. ตําบลนกออก ไหลผานบา นสระนอย (ซ่ึงประชากรในบา นสระนอ ยนีม้ ีอาชพี ทาํ ขา ว
หลามเปน ทขี่ น้ึ ชอ่ื จนไดเปนคาํ ขวัญของอําเภอปกธงชยั ) บา นพระเพลิง และบานทาเย่ียม
8. ตาํ บลดอน ไหลผา นบา นพราว และบา นสอง
สายนํา้ ลาํ พระเพลงิ ไหลผานหมบู านตาง ๆ ดังกลา วขางตน ประชากรสว นใหญมีอาชีพในการ
เพาะปลกู เชน ทาํ นาขา ว ทําสวนผลไม และปลูกพชื ผกั ตามฤดกู าลสงขายตามตลาดและชมุ ชนตา ง ๆ
24
คําชแี้ จง : ผเู รยี นสรปุ เรอื่ งตอ ไปนี้
1. ความเปน มาของลุมน้ําลาํ พระเพลิง
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
2. ความเปนมาโครงการสง น้าํ และบาํ รงุ รักษาลําพระเพลิง
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
25
ใบความรทู ี่ 1.2
เรื่อง การดาํ เนินชีวติ ของชุมชนลมุ นา้ํ ลาํ พระเพลงิ
การดําเนนิ ชีวิตแบบพอเพียงของชุมชนลมุ นาํ้ ลําพระเพลิงเม่อื มองยอ นกลับไปดูอดีตเมือ่ 40-50 ป
ท่ีผานมา ขอ มลู ในปจจุบันทําใหท ราบวา ปู ยา ตา ยาย ของพวกเราอยกู นั อยา งไร มีความเปนมาอยางไร
ทาํ ไมทา นเหลาน้นั ถึงอยกู ันไดมที ง้ั ความสุขและความพอเพียงมีลูกหลานเตม็ บานเตม็ เมอื งมาจนถงึ ปจ จุบนั
50กวาปผ านมา ยอนกลบั ไปหมบู านเลก็ ๆ ชนกลุมนอยนัน่ แหละคอื บรรพบรุ ษุ ของพวกเรารก-ราก-เหงา
ของเรา การศกึ ษานอ ยแตม ากดว ยประสบการณ เกงกาจทางยทุ ธวธิ ี มพี ระเปน ศูนยร วมจติ ใจ พ่งึ พาอาศยั
กันและอยูรว มกนั อยางพีน่ องขอใหพวกเราตระหนักกนั ไวเ ถอะวาบรรพบรุ ุษของเราคือ “สุดยอดคน ”การ
สรา งบานแปลงเมอื งของชุมชนในอดตี จากขอมลู ทาํ ใหเ รารูวา เมอื่ มกี ารสรา งหมบู านทไ่ี หน ก็จะสรา งวดั ไป
พรอม ๆ กัน เพราะถือไดว า “วดั กบั พระ” “คนกับวดั ” เปนศนู ยร วมจติ ใจ พรอม ๆ กับมปี ระเพณีตา ง ๆ
เกดิ ขึ้นมากมาย ปฏิบตั กิ นั สืบมาและสืบทอดเปน วฒั นธรรมมาจนถึงปจจุบัน
ปจ จุบนั รายไดห ลกั ของชมุ ชนลมุ นํา้ ลาํ พระเพลงิ ไดมาจากการทําประมง ทาํ เกษตรแบบผสมผสาน
เชน ปลูกพชื เล้ยี งสัตว ผลติ ปยุ อินทรียห รอื ปุยหมักทัง้ ชนิดน้าํ และแหง สมนุ ไพรไลแมลงทกุ ชนิด มรี ายได
ประมาณเดือนละ 20,000.- บาท ในพน้ื ที่ 5-7 ไรบคุ คลตัวอยา งท่ีดําเนนิ ชวี ิตแบบพอเพยี งของชมุ ชนลมุ น้ํา
ลําพระเพลิง
ดานการเพาะปลกู
นางธดิ ารตั น พายสาํ โรง อยูบานเลขที่ 148 หมูท่ี 3 บานกดุ คลา ตําบลตะขบ ปลกู พชื ผกั
สวนครัวตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงขององค พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช
มหิตลาธเิ บศรรามาธบิ ดี จกั รนี ฤบดนิ ทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพติ ร เชน ตะไคร มะกรูด โหระพา
ตัดสง ขายทตี่ ลาดสุรนคร ตลาดกบินทรบุรี จงั หวดั ปราจนี บุรี และตลาดอาํ เภอปากชอง ทาํ ใหม รี ายไดเ ฉลี่ย
วันละ 800 บาท
นางฉัตรกมล เทียมสาํ โรง อยูบา นเลขท่ี 172 หมทู ี่ 3 บา นกดุ คลา ตําบลตะขบ มอี าชพี
ปลกู ออ ยและทาํ นา ซ่งึ ใชน าํ้ จากลาํ นํา้ ลําพระเพลงิ สามารถทาํ นาไดทง้ั นาปแ ละนาปรัง มีรายไดเฉล่ยี
70,000บาท / 10 ไร
นายประสิทธ์ิ ศริ ิสระนอย อยูบา นเลขท่ี 297 หมูท ่ี 3 บา นกุดคลา ตําบลตะขบ มีอาชีพ
ปลกู ออย มีรายไดเ ฉล่ีย 29,400 บาท / ไร
ดานการเลย้ี งสตั ว
นางปาลติ า ช่ืนตะขบ อยบู านเลขท่ี 71 หมูท ่ี 15 บานเขาพญาปราบ ตําบลตะขบ
มอี าชพี เลีย้ งววั นม มรี ายไดเ ฉลยี่ 24,000บาท / เดือน
นางสมจติ ร แสนสระนอย อยูบานเลขที่ 122 หมทู ่ี 15 บา นเขาพญาปราบ ตาํ บลตะขบ
มอี าชีพเล้ียงวัวนม มีรายไดเฉลี่ย 25,000บาท / เดอื น
26
ใบความรูท่ี 1.2
เรื่อง การดาํ เนนิ ชีวติ ของชุมชนลุมนาํ้ ลําพระเพลิง
1. ผเู รียนสรุปองคค วามรูทีไ่ ดจ ากการดําเนนิ ชวี ิตของชมุ ชนลมุ นา้ํ ลาํ พระเพลิง
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
2. แนวคิดท่ีไดจากการศกึ ษาความเปนอยูของคนท่อี าศัยอยแู ถบลุม น้ําลาํ พระเพลงิ
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
27
บทท่ี 2 ทาํ กนิ ทําใช เหลอื ขาย สรางรายไดใหครอบครวั และชุมชน
(จาํ นวน 20 ชวั่ โมง)
จุดประสงคก ารเรยี นรู
1. อธิบายการทาํ ประมงลมุ นา้ํ ลาํ พระเพลงิ ได
2. อธิบายการทาํ นาขา วลมุ น้ําลาํ พระเพลิงได
3. อธิบายการปลูกผักและผลไมชมุ ชนลุมน้าํ ลําพระเพลิงได
เนื้อหา
1 . การทาํ ประมงลุมนาํ้ ลําพระเพลิง
2 . การทํานาขาวลุมน้าํ ลําพระเพลิง
3. การปลูกผกั และผลไมช ุมชนลมุ นาํ้ ลําพระเพลิง
เวลา 20 ช่วั โมง
กจิ กรรมการเรยี นรู
1. ผูส อนสนทนาแลกเปลยี่ นความรกู บั ผเู รยี นในประเดน็ เกยี่ วกบั กจิ กรรมทีส่ ามารถทํากนิ
ทําใช เหลอื ขายสรา งรายไดใหครอบครวั และชมุ ชนโดยเฉพาะทีล่ ุมนาํ้ ลาํ พระเพลงิ มกี ิจกรรมอะไรบาง
2. แบง ผเู รียนออกเปน 3 กลมุ ตามความสนใจ ดงั น้ี
กลมุ ที่ 1 การทําประมงลุมนา้ํ ลําพระเพลิง
กลมุ ที่ 2 การทํานาขา วลุมน้าํ ลาํ พระเพลงิ
กลุมท่ี 3 การปลูกผักและผลไมชุมชนลุม น้าํ ลําพระเพลิง
3. ผูเรียนแตละกลุมศึกษา แลกเปลยี่ นเรยี นรูในเร่อื งท่ตี นเองสนใจจากภูมปิ ญญา ปราชญ
ชาวบาน ผนู ําคนในชมุ ชน และแหลง เรยี นรู
4. ตวั แทนผูเรียนแตละกลมุ นาํ เสนอสง่ิ ทไี่ ดเ รยี นรูจากการไปศึกษา แลกเปลยี่ นเรียนรจู าก
ภมู ิปญญา ปราชญช าวบาน ผูนําคนในชุมชน และแหลง เรียนรู
5. ผเู รยี นศึกษาใบความรูตอไปนี้
- ใบความรทู ่ี 2.1 เร่อื งการทําประมงลุมน้าํ ลําพระเพลงิ
- ใบความรูท ี่ 2.2 เร่อื งการทาํ นาขา วลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลงิ
- ใบความรทู ี่ 2.3 เรอ่ื ง การปลูกผักและผลไมชมุ ชนลมุ น้าํ ลําพระเพลงิ
6. ผูเรยี นทาํ ใบงานที่ 2.1 , 2.2 และ 2.3
7. ผูส อนตรวจใบงานท่ี 2.1,2.2 และ 2.3 แลวสง คืนผเู รยี น
28
สือ่ การเรยี นรู
1. ใบความรูต อไปน้ี
- ใบความรูท ี่ 2.1 เร่อื งการทาํ ประมงลมุ น้ําลําพระเพลงิ
- ใบความรทู ี่ 2.2 เร่อื งการทาํ นาขาวลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลงิ
- ใบความรทู ่ี 2.3 เรอื่ ง การปลกู ผกั และผลไมชมุ ชนลมุ นา้ํ ลําพระเพลิง
2. ใบงานตอไปน้ี
- ใบงานที่ 2.1 เรอื่ งการทําประมงลุมนา้ํ ลําพระเพลิง
- ใบงานท่ี 2.2 เร่อื งการทํานาขาวลุมนํ้าลาํ พระเพลิง
- ใบงานท่ี 2.3 เร่ืองการปลูกผกั และผลไมช มุ ชนลมุ นํา้ ลําพระเพลงิ
3. ภูมปิ ญญา ปราชญช าวบา น ผูนําคนในชมุ ชนลุมนา้ํ ลําพระเพลิง
4. แหลงเรียนรชู ุมชนลมุ นาํ้ ลําพระเพลิง
การประเมนิ ผล
1. ประเมินจากการทําใบงานท่ี 2.1,2.2 และ 2.3
2. สงั เกตพฤติกรรมผูเรียนแตล ะกลมุ ขณะทเี่ ขาไปศึกษา แลกเปลย่ี นเรียนรูกบั ภูมิปญ ญา
ปราชญชาวบา น ผูนํา คนในชุมชน และแหลง เรียนรู
29
ใบความรทู ่ี 2.1
เรอ่ื งการทาํ ประมงลมุ น้ําลาํ พระเพลิง
การทําประมงลุม น้ําลําพระเพลิง
อางเกบ็ นํ้าเขือ่ นลําพระเพลิงมรี ะดับนาํ้ ในเขื่อนข้นึ ลง ตามสภาพอากาศและชว งฤดกู าล การทําการ
ประมง และการใชเคร่ืองมอื จบั สตั วน าํ้ แตละชนิดขึ้นอยูกับสภาพพื้นท่รี ะดบั นา้ํ และฤดูกาล แตกตา งกันไป
โดย ชวงนํา้ ขึน้ จะมีการลกั ลอบทาํ การประมง เครอ่ื งมือขา ยกางกน้ั ทางเดินสัตวน ํ้า แพสะดงุ ประกอบอวน
กางก้นั บริเวณลาํ หวย ตนนาํ้ และลาํ หวยสาขาตางๆ ชว งนํ้าทรง มกี ารทําการประมงดว ยอวนทับตล่งิ แพ
สะดุงประกอบอวนกางกนั้ ทางเดินสตั วน าํ้ ขายลอย เบด็ ราว ในเขตรกั ษาพชื พันธุ ชวงนํา้ ลง มกี ารลักลอบ
ทําการประมง โพงพาง อวน – เฝอกประกอบลอบนอน กางกนั้ ทางเดินสัตวนาํ้ ตามลาํ หวยสาขาตา งๆ ใน
แมนา้ํ ลาํ พระเพลงิ ชวงน้ํานอ ย นาํ้ แหง มีการทาํ การประมง อวนทับตล่ิง อวนลอ มกลํ่า การทําประมงโดย
วธิ ีการสูบนํ้า ซึง่ เปนการทาํ การประมง โดยวธิ ีการเปล่ยี นแปลงทจ่ี บั สตั วน ้ํา การใชย าเบื่อเมา ตามลําหวย
สาขาตา งๆ และในอางเกบ็ นํ้า การใชเ ครื่องมือประมง และการทาํ การประมง ดวยวิธีดังกลาวขางตน ผิด
กฎหมายประมงก็จะทําการรอ้ื ถอนจับกุม เพือ่ ใหสัตวน้ําไดม ีโอกาสแพรข ยายพนั ธุ เตบิ โตเปนพอ-แมพันธใุ น
ปต อไป
สภาวะการประมง
ชาวประมงลมุ นา้ํ ลาํ พระเพลิงใช เครื่องมือทําการประมง มี 11 ชนิด โดยขา ย เปน เครอ่ื งมอื หลกั
ท่ีใชก ันมากทส่ี ุด รองลงมา คือ แห ตุม เบด็ ราว ลอบ ฉมวก เบ็ดธง แพสะดุง ชะนาง ตามลาํ ดบั ชาวประมง
จบั สตั วนาํ้ ไดเฉลีย่ วนั ละ 5 กก./วนั /ราย เกบ็ ไวบริโภคในครัวเรือน เฉลย่ี 1.2 กก./ครอบครวั /วัน
ปรมิ าณผล ของการจบั สัตวนาํ้ ชวงเวลาทม่ี ีผลจับเฉลย่ี สูงสุด คือ ชว งเดอื น สงิ หาคมถึงกนั ยายน
เดอื นมกราคมถงึ กุมภาพนั ธ กลุมปลาทถ่ี กู จบั ไดมากท่สี ดุ คอื กลุมปลาเกรด็ สว นชนิดปลาท่ีจบั ไดมาก 5
อนั ดับแรก ไดแกป ลาสรอย ซวิ แกว ปลากระสบู ปลาขาวหลงั เกาะ ปลาชอน
ปลาและผลติ ภัณฑปลาแปรรูป
พื้นทตี่ ําบลตะขบซึง่ เปนทีต่ ง้ั ของเข่อื นลาํ พระเพลิงและลาํ สาํ ลาย ประชาชนจะใชเ วลาวา ง
ประกอบอาชีพทสี่ ามารถสรางรายไดเปน อยา งดี คอื การทาํ ประมง ซง่ึ ในเข่อื นและแหลง นํา้ จะมปี ลาชกุ
ชมุ ตลอดท้งั ปโ ดยเฉพาะในฤดูนํา้ หลาก ชาวบานในเขตลุมนา้ํ จะทาํ อาชีพจับปลาขายไดจ ํานวนมากทเี่ หลอื
จากการบรโิ ภค ก็จะจาํ หนา ยปลาสดแตเ นื่องจากปลาสดมีปริมาณทม่ี ากจงึ นํามาแปรรปู เปนปลาราไว
กินและจาํ หนา ย ทําใหเกดิ ชมุ ชนหมบู านทาํ ปลาราขนึ้ หลายแหง เชน บานชุมชนพัฒนา ตาํ บลตะขบซ่ึง
ปลาแหง น้มี ีรสชาติอรอ ย การทําปลาราจะผลติ จากปลาทส่ี ดใหม ทําใหเนือ้ ปลากรอบรสชาติดี อรอยเปน
ท่ีถกู ใจของผบู รโิ ภค จึงมีพอ คามารับซอื้ ถึงบา นและนาํ สง ขายภายในอาํ เภอตาง ๆ ในจังหวดั
นครราชสีมาและพ้ืนทใ่ี กลเคยี ง เปน การสรา งรายไดใหกับชาวบานลุมน้ําลาํ พระเพลงิ ไดเปนอยา งดี
30
ใบงานท่ี 2.1
เร่อื งการทาํ ประมงลุม น้าํ ลําพระเพลงิ
ผูเรียนสรุปองคค วามรูทไี่ ดเ รยี นรจู ากการทําประมงลุมน้าํ ลําพระเพลิง
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
31
ใบความรทู ่ี 2.2
เร่อื งการทํานาขาวลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลิง
หลกั สาํ คัญในการทาํ นาขา วลมุ นา้ํ ลาํ พระเพลิง
การเตรยี มดิน กอนการทาํ นาจะมีการเตรยี มดนิ อยู 3 ข้ันตอน
1. การไถดะ เปนการไถครงั้ แรกตามแนวยาวของพ้ืนทก่ี ระทงนา (กรณที แ่ี ปลงนาเปน
กระทงยอ ยๆ หลายกระทงในหนงึ่ แปลงนา) เมื่อไถดะจะชวยพลกิ ดินเพอื่ ใหด ินชั้นลา งไดข ้ึนมาสัมผัสอากาศ
ออกซเิ จน และเปน การตากดินเพือ่ ทําลายวชั พชื โรคพืชบางชนิด การไถดะจะเริม่ ทําเมือ่ ฝนตกครงั้ แรกในป
ฤดกู าลใหม หลงั จากไถดะจะตากดินเอาไวป ระมาณ 1–2 สัปดาห
2. การไถแปร หลังจากที่ตากดนิ เอาไวพอสมควรแลว การไถแปรจะชวยพลกิ ดินทกี่ ลบ
เอาขน้ึ ตากอีกครงั้ เพ่ือทาํ ลายวัชพืชทีข่ นึ้ ใหม และเปนการยอ ยดินใหมีขนาดเล็กลง จาํ นวนครัง้ ของการไถ
แปร จงึ ขนึ้ อยูกับชนดิ และปรมิ าณของวชั พชื ลกั ษณะดนิ และระดับนา้ํ ในพ้ืนที่ขน้ึ อยูกบั ปริมาณนํา้ ฝน
ดว ย แตโดยท่วั ไปแลวจะไถแปรเพียงคร้ังเดยี ว
3. การคราด เพื่อเอาเศษวชั พืชออกจากกระทงนาและยอยดนิ ใหม ขี นาดเลก็ ลงอีกจน
เหมาะแกการเจริญของขา ว ทงั้ ยงั เปนการปรบั ระดับพนื้ ทใ่ี หมคี วามสมา่ํ เสมอเพ่อื สะดวกในการควบคมุ ดูแล
การใหนา้ํ
การปลกู
การปลูกขาวสามารถแบงไดเปน 2 วธิ ี คือ การปลกู ดว ยเมลด็ โดยตรง ไดแ ก การทาํ นา
หยอดและนาหวาน และ การเพาะเมลด็ ในทีห่ นง่ึ กอ น แลว นาํ ตนออ นไปปลกู ในทอ่ี นื่ ๆ ไดแก การทํานาดํา
การทํานาหยอด
การทาํ นาหยอด เปน วธิ กี ารปลูกขา วท่อี าศัยน้าํ ฝนหยอดเมล็ดขาวแหง ลงไปในดินเปน
หลุมๆ หรือโรยเปน แถวแลวกลบฝงเมล็ดขาว เมื่อฝนตกลงมาดนิ มีความช้ืนพอเหมาะ เมลด็ กจ็ ะงอกเปนตน
นิยมทาํ ในพ้นื ท่ีขาวไร หรอื นาในเขตท่ีการกระจายของฝนไมแนนอน แบงเปน 2 สภาพ ไดแก
- นาหยอดในสภาพขาวไร พืน้ ที่สว นใหญม กั เปน ท่ลี าดชัน เชน ท่ีเชิงเขาเปนตน ปริมาณ
นํ้าฝนไมแ นนอน สภาพพน้ื ทีส่ ว นใหญไ มสามารถเตรยี มดินได จึงจาํ เปนตอ งหยอดขา วเปน หลุม
- นาหยอดในสภาพทรี่ าบสูง เชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนอื สว นใหญเ ปนที่
ราบเชิงเขาหรอื หุบเขา การหยอดอาจหยอดเปนหลุมหรอื ใชเ ครือ่ งมือหยอด หรอื โรยเปนแถวแลวคราดกลบ
นาหยอดในสภาพนใ้ี หผ ลผลิตสูงกวา นาหยอดในสภาพไรมาก
การหวานขาวแหง แบงตามชว งระยะเวลาของการหวานได 3 วธิ ี คอื
การหวา นหลังขีไ้ ถ ใชใ นกรณีท่ีฝนมาลา ชาและตกชกุ มีเวลาเตรยี มดินนอย จงึ มกี ารไถดะ
เพียงครัง้ เดียวและไถแปรอกี คร้ังหนึง่ แลว หวา นเมลด็ ขา วลงหลงั ขไี้ ถ เมล็ดพันธอุ าจเสยี หายเพราะหนู และ
อาจมีวชั พชื ในแปลงนามาก
32
การหวานคราดกลบ เปน วธิ ที ี่นยิ มมากที่สุดจะทาํ หลงั จากทไี่ ถแปรครัง้ สดุ ทายแลวคราด
กลบ จะไดต นขา วท่ีงอกสม่ําเสมอ
การหวานไถกลบ มักทําเม่ือถึงระยะเวลาท่ตี อ งหวาน แตฝนยังไมตกและดนิ มคี วามชืน้
พอควร หวานเมล็ดขาวหลังขี้ไถแลวไถแปรอีกครง้ั เมล็ดขาวทีห่ วานจะอยลู กึ และเริ่มงอกโดยอาศยั ความชน้ื
ในดนิ
การหวานขา วงอก (หวานนา้ํ ตม)
เปนการหวา นเมล็ดขาวทถี่ กู เพาะใหรากงอกกอนทจี่ ะนาํ ไปหวา นในที่ทมี่ นี ้ําทว มขัง เพราะ
หากไมเพาะเมลด็ เสยี กอน เม่ือหวา นแลว เมล็ดขา วอาจเนาเสยี ได การเพาะขาวทอดกลา ทาํ โดยการเอา
เมล็ดขา วใสกระบุง ไปแชน ํา้ เพ่อื ใหเมล็ดที่มีน้ําหนักเบาหรอื ลบี ลอยขึ้นมาแลวคดั ทงิ้ แลวนําเมลด็ ถา ยลงใน
กระบุงท่มี หี ญาแหงกรไุ ว หมั่นรดนาํ้ เรื่อยไป อยา ใหขาวแตกหนอ แลว นําไปหวา นในที่นาท่ีเตรยี มดินไวแ ลว
วิธกี ารปลกู ขา วโดยการหวา นขา วแหงหรือหวานสํารวย
การใสปยุ
ขา วทปี่ ลูกในชวงฝนแลง เปน การปลกู ขา วลาชา กวาฤดูกาลมาก จึงมคี วามจําเปนท่จี ะตอ ง
ใสป ุยชวยเรง ใหตน ขาวมีการเจริญเตบิ โตไดเต็มท่ี จงึ จะทําใหไ ดผลผลติ สงู ใกลเ คยี งกับการทํานาดําตาม
ฤดกู าลปกติ
- การใสป ยุ คร้งั ท่ี 1
ในพื้นทดี่ ินเหนียวใหใ สป ุย สตู ร 16-20-0, 18-22-0 หรอื 20-20-0 สูตรใดสตู ร
หนึง่ ในอตั ราไรละ 25 กก. ในดนิ ทรายใหใสปุยสูตร 16-16-8 ในอัตราไรละ 25 กก. โดยใสปุยหลงั จากขา ว
งอกแลว 5-6 วัน
- การใสป ยุ คร้งั ท่ี 2
ใหใสปุย หลงั จากขาวงอกแลว 40-45 วัน โดยใชป ยุ แอมโมเนยี มซลั เฟต
หรือแอมโมเนียมคลอไรด ไรล ะ 25-30 กก. หรือปยุ ยูเรยี ไรล ะ 10-15 กก. ในการใสป ยุ ควรจะคํานงึ ถึงวา
ดินจะตอ งเปยกแฉะหรอื มีนาํ้ ขงั ไมควรเกิน 20 เซนติเมตร ถา หากดินแหง หรอื ระดับน้าํ มากกวาน้ี ใหเล่ือน
การใสปุย ออกไปมฉิ ะนนั้ จะทําใหการใ สปยุ ไมม ปี ระสิทธภิ าพ เกดิ การสูญเสยี ปุย ทาํ ใหตน ขาวไดร ับปุย ไม
พอเพียง ผลผลติ จะตาํ่
การทํานาดํา
เปน การปลูกขาวโดยเพาะเมลด็ ใหงอกและเจริญเติบโตในระยะหน่งึ แลวยายไปปลูกในท่ี
หนง่ึ สามารถควบคมุ ระดับนํา้ วชั พืชได การทาํ นาดําแบงไดเ ปน 2 ข้ันตอน คือ
- การตกกลา เพาะเมลด็ ขา วเปลอื กใหมีรากงอกยาว 3–5 มิลลิเมตร นําไปหวา นใน
แปลงกลา ชว งระยะ 7 วันแรก ตองควบคุมนาํ้ ไมใ หทว มแปลงกลา และจะสามารถถอนกลาไปปกดําไดเมื่อมี
อายปุ ระมาณ 20–30 วนั
33
- การปกดํา ชาวนาจะนํากลาท่ีถอนแลว ไปปกดําในแปลงปก ดํา ระยะหา งระหวางกลา
แตละหลมุ จะมคี วามแตกตา งกันข้นึ กับลักษณะของดนิ คือ ถาเปน นาลมุ ปก ดําระยะหา ง เพราะขา วจะแตก
กอใหญ แตถาเปนนาดอนปก ดาํ คอนขางถี่ เพราะขา วจะไมคอยแตกกอ
การเกบ็ เกีย่ ว
หลงั จากทขี่ า วออกดอกหรอื ออกรวงประมาณ 20 วัน ชาวนาจะเรง ระบายนํา้ ออก เพอ่ื
เปน การเรงใหขาวสุกพรอมๆ กนั และทําใหเมล็ดมคี วามชน้ื ไมส ูงเกินไป จะสามารถเก็บเก่ียวไดห ลังจาก
ระบายนาํ้ ออกประมาณ 10 วัน ระยะเวลาทเี่ หมาะสมสําหรับการเก็บเกยี่ ว เรียกวา ระยะพลบั พลึง คือ
สงั เกตท่ปี ลายรวงจะมสี เี หลอื ง กลางรวงเปน สตี องออน การเก็บเกี่ยวในระยะน้จี ะไดเ มลด็ ขา วท่มี คี วาม
แขง็ แกรง มีนํ้าหนกั และมคี ณุ ภาพในการสี
การนวดขา ว
หลงั จากตากขาว ชาวนาจะขนเขา มาในลานนวด จากนน้ั ก็นวดเอาเมล็ดขาวออกจากรวง
บางแหง ใชแรงงานคน บางแหงใชค วายหรือววั ยาํ่ แตป จ จบุ นั มีการใชเ ครอ่ื งนวดขา วมาชวยในการนวด
การเก็บรกั ษ า
1. เมลด็ ขาวท่นี วดฝด ทาํ ความสะอาดแลว ควรตากใหม คี วามชืน้ ประมาณ 14% จึงนาํ เขา
เก็บในยงุ ฉาง ยุง ฉางทด่ี คี วรมลี กั ษณะดังตอไปน้ี
- อยใู นสภาพที่มอี ากาศถา ยเทไดสะดวก การใชล วดตาขา ยกนั้ ใหม รี องระบายอากาศ
กลางยงุ ฉางจะชวยใหการถา ยเทอากาศดยี ิง่ ขึน้ คุณภาพเมลด็ ขาวจะคงสภาพดอี ยู
นาน
- อยูใ กลบริเวณบา นและติดถนน สามารถขนสงไดส ะดวก
2. เมล็ดขาวท่ีจะเกบ็ ไวทําพันธุ ตอ งแยกจากเมล็ดขา วบรโิ ภค โดยอาจบรรจกุ ระสอบ มี
ปา ยบอกวนั บรรจุ และช่อื พนั ธแุ ยกไวส ว นใดสวนหนง่ึ ในยงุ ฉาง เพอ่ื สะดวกในการขนยา ยไปปลกู กอนนําขาว
เขา เกบ็ รกั ษา ควรตรวจสภาพยงุ ฉางทุกคร้งั ทัง้ เรือ่ งความสะอาดและสภาพของยุง ฉาง ซ่งึ อาจมีรองรอยของ
หนูกัดแทะจนทาํ ใหน กสามารถรอดเขา ไปจิกกนิ ขาวได รหู รือรอ งตา ง ๆ ที่ปดไมสนทิ เหลา น้ตี องไดรับการ
ซอมแซมใหเรียบรอยกอน
ระบบสงนาํ้
ระบบสง นาํ้ ของอางเก็บน้ําลําพระเพลิง ประกอบดว ยคลองสงนํ้าสายใหญฝง ซา ย 1 สาย
ยาว 74.520 กโิ ลเมตร คลองซอยและคลองแยกซอยรวม 9 สาย รวมความยาว 39.649 กโิ ลเมตร รวม
ความยาวของคลองสง นํ้าทง้ั สิน้ 114.169 กิโลเมตร มีอาคารประกอบในคลองสงนํ้าประมาณ 390 แหง
สามารถ สง น้ําชว ยเหลอื พนื้ ทเี่ พาะปลกู ดังนี้
ฤดนู าป พ้ืนทสี่ งน้ํา 75,524 ไร
ฤดูแลง พืน้ ทีส่ งน้าํ 40,000 ไร
34
ใบงานที่ 2.2
เร่ือง การทํานาขา วลุม นํ้าลาํ พระเพลิง
ผูเรียนสรปุ หลักสาํ คญั ในการทํานาขา วลุมนํา้ ลาํ พระเพลิง
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
35
ใบความรูที่ 2.3
เร่ือง การปลูกผักและผลไมของชุมชนลุม นา้ํ ลําพระเพลิง
การปลกู ผักและผลไมของชุมชนลุม นาํ้ ลาํ พระเพลงิ
ลกั ษณะภูมิประเทศทั่วไปของชมุ ชนลมุ นํ้าลาํ พระเพลิง เปน ท่ีราบสูงสลบั ภูเขา ลกั ษณะพ้นื ดินเปน
ดนิ รว นปนทราย ภูมิอากาศเปนแบบรอ นช้ืน มีฝนตกชกุ ในชวงฤดฝู น (เดือนพฤษภาคม –เดอื น
ตุลาคม) พน้ื ดินสาํ หรบั ทาํ เกษตรกรรมยังมีความสมบรู ณท างธรรมชาติ บางแหง ใชปลูกพืชผักและผลไมแ บบ
ผสมผสาน ปลกู ผักสวนครัวแบบระบบธรรมชาติ โดยใชป ยุ ท่ผี ลติ ไดเอง เชน ปุยหมกั ท้ังชนิดน้าํ และชนิด
แหง จากมูลสัตว และเศษวชั พชื นาํ มาผลติ ปยุ น้าํ (จลุ ินทรยี )
ชมุ ชนลมุ นํา้ ลาํ พระเพลงิ เปนชมุ ชนทดี่ าํ เนินชวี ิตตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งทาํ กินเอง
ใชเองในครอบครวั ที่เหลอื จึงขาย เนือ่ งจากลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลงิ สามารถสงน้าํ ใหก ับประชาชนไดใชเ ปน
จํานวนมาก และพ้ืนที่แหงนี้เปนพืน้ ท่อี ุดมสมบรู ณซึง่ เกดิ จาก การทับถมของดนิ ตะกอน นอกเหนือจากการ
ทาํ นาเปนอาชพี หลักแลว เมอ่ื เกบ็ เกย่ี วขา วแลว ชาวบา นจะปลกู พืชผักขายในฤดแู ลงเชน ผักชี ตน หอม
แตงกวา ผกั กาด และอื่น ๆ การปลกู พชื ผกั นชี้ าวบา นจะดูที่ตลาดมคี วามตอ งการเปน ชว ง ๆ ซ่งึ ในเขตลมุ น้าํ
ลาํ พระเพลิงนี้ ผักทีป่ ลูกและสรา งรายไดข ้นึ ชอ่ื คอื ผักชี เน่ืองจากปลกู ในฤดูแลงทจ่ี ะเขาฤดฝู น ซ่ึงในพน้ื ท่ี
อ่นื ๆ จะขาดแหลง น้ําไมส ามารถปลูกพืชผกั ได ซง่ึ ในชวงนตี้ ลาดมีความตองการมาก ทาํ ให
ประชาชนมรี ายไดต ลอดฤดแู ลง ตลาดจําหนายสวนใหญอยูท ต่ี ลาดสรุ นคร อําเภอเมือง จงั หวัดนครราชสมี า
ซึ่งเปน ตลาดใหญข อง ภาคอีสาน และกระจายสจู งั หวัดตา ง ๆ จนสามารถสรา งรายไดเ ปนอยางดี
นอกเหนือจากการทาํ นา ตลาดการซอ้ื ขายจึงเขา มาถึงในพ้ืนทม่ี ีพอคาแมคาสง พชื ผกั ไมผลออกสง ตลาดทกุ
วนั เปนประจําจนเกิดเปนอาชีพทสี่ รางรายไดอ ีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้พ้ืนทอ่ี าํ เภอปกธงชัยในเขตลมุ น้าํ ลําพระเพลงิ มีไมผ ลหลายชนิด เชน ละมดุ ฝร่งั กลวย
หอมทอง มะพรา วนา้ํ หอมและ อื่น ๆ แตที่ขึน้ ชื่อทาํ รายไดอ ยา งดี คือ ละมุดพันธมุ ะกอก ซ่งึ มีรสชาติหวาน
เปน ท่ีถูกใจของผบู รโิ ภค กรอบ สขุ แลว แขง็ ไมเ ละใหลูกดก มี ผลขนาดกลาง เกษตรกรเกบ็ เกี่ยว ผลผลิตสง
ขายไดตลอดปเ ปน ทีน่ ยิ มของตลาดและผูบริโภค ซ่งึ ปจจุบนั สรางรายไดใหกบั ประชาชนที่อยูในลุมน้าํ ลาํ พระ
เพลิง ไดอ ยางมากมาย สงออกจําหนา ยไปท่วั ภาคอสี าน ตลาดใหญอยูใ นเมืองคือตลาดสุรนคร จังหวัด
นครราชสมี า แหลงผลติ ละมุดพันธุน้ีโดยเฉพาะ ตําบลบอปลาทอง อําเภอปก ธงชัย จงั หวดั นครราชสมี า
ชาวบา นจะปลกู กนั ทกุ หลังคาเรอื น เพราะสวนใหญจ ะอยูใ นเขตคลองลําพระเพลิง ในแตละปจ ะนาํ ไปขาย
ในตัวอําเภอ ตัวจงั หวัด และตางจงั หวดั เชน จังหวัดสุรินทร บรุ รี ัมย ขอนแกน และ จงั หวัดใกลเ คียง ซง่ึ ใน
แตล ะวันจะมรี ถพอคา แมค ามาซอื้ เพือ่ นาํ ไปจําหนา ยตอ นาํ รายไดเขา มาใน พนื้ ที่ตําบลบอ ปลาทอง อําเภอ
ปก ธงชัย และในพื้นทล่ี ุม น้ําลาํ พระเพลิง ทําใหช าวบานมี รายไดและความเปน อยู ท่ีดี สามารถเปน
ฐานเศรษฐกจิ ของอําเภอปกธงชัยได
36
ใบงานที่ 2.3
เรื่อง การปลูกผักและผลไมของชุมชนลมุ นา้ํ ลาํ พระเพลิง
การปลกู ผกั และผลไมข องชุมชนลุม นํ้าลําพระเพลิง มีความ สอดคลองกบั หลกั ปรชั ญา ของเศรษฐกิจ
พอเพยี งอยางไร
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
37
บทท่ี 3 ศลิ ปะวฒั นธรรม ประเพณีวิถชี วี ิตลุม นํา้ ลําพระเพลงิ
(จํานวน 20 ช่ัวโมง)
จุดประสงคก ารเรียนรู
1 . เปรียบเทียบความแตกตา งระหวา งกลุม ชาติพันธลุ ุมนํา้ ลาํ พระเพลิงได
2 . บอกความสําคัญของศาสนสถานลุม นํ้าลาํ พระเพลิงได
3. บอกแนวทางการสืบทอดประเพณีลุมนา้ํ ลาํ พระเพลงิ ได
เนอ้ื หา
1 . กลมุ ชาติพันธลุ มุ น้ําลําพระเพลิง
2. ความสําคญั ของศาสนสถานลมุ น้าํ ลําพระเพลงิ
3. แนวทางการสืบทอดประเพณลี มุ นํา้ ลาํ พระเพลงิ
เวลา 20 ชั่วโมง
กิจกรรมการเรียนรู
1. ผสู อนเกริ่นนาํ เรอื่ งศิลป ะวฒั นธรรม ประเพณี วิถชี ีวติ ลมุ นํา้ ลําพระเพลงิ และ
แลกเปล่ียนเรียนรูกบั ผเู รยี น
2. ผูเรียนศกึ ษา และ แลกเปลยี่ นเรยี นรูกับภูมิปญ ญา ผูน าํ และชมุ ชน เรื่อง
ศิลปะวฒั นธรรม ประเพณี วถิ ีชวี ติ ลุมนํา้ ลาํ พระเพลงิ
3. ผูเรียนฟง บรรยายเร่อื งศิลป ะวฒั นธรรม ประเพณี วิถีชวี ติ ลมุ น้ําลาํ พระเพลงิ จาก
ผสู อนเพ่ิมเตมิ ศึกษาใบความรูตอไปน้แี ลว จดบนั ทกึ
- ใบความรูท่ี 3.1 เรอ่ื ง กลุมชาตพิ ันธุในชุมชนลุมนํา้ ลาํ พระเพลงิ
- ใบความรูท่ี 3.2 เร่อื ง ศาสนสถานและสถานท่ที องเท่ยี วทส่ี าํ คญั ลมุ น้ําลําพระ
เพลงิ
- ใบความรูที่ 3.3 เร่ือง ประเพณีลมุ นํ้าลาํ พระเพลิง
4 . ผเู รียนศึกษาแหลงเรียนรูเรอื่ ง ศลิ ปะวฒั นธรรม ประเพณี วถิ ีชีวติ ลุมนํา้ ลาํ พระเพลงิ
5. ผเู รยี นแลกเปลยี่ นเรยี นรู ทาํ งานงานตอ ไปน้ี และชว ยกนั สรปุ เรือ่ ง ศิลปะวัฒนธรรม
ประเพณี วถิ ีชวี ิตลุมนา้ํ ลําพระเพลิง จากการทไี่ ดศึกษาเรยี นรู
- ใบงานที่ 3.1 เร่ือง กลมุ ชาติพันธุในชมุ ชนลมุ น้ําลําพระเพลงิ
- ใบงานที่ 3.2 เรือ่ ง ศาสนสถานและสถานทีท่ อ งเท่ียวท่ีสําคญั ลมุ นํ้าลาํ พระเพลิง
- ใบงานท่ี 3.3 เรือ่ ง ประเพณลี มุ นาํ้ ลําพระเพลิง
38
6. ผเู รียนทําใบงานท่ี 3 เรือ่ ง ศิลปะวฒั นธรรม ประเพณี วถิ ีชวี ติ ชมุ ชนลมุ นํ้าลําพระเพลงิ
7. ผูสอนตรวจใบงานที่ 3 แลวสงคืนผูเ รยี น
สื่อการเรียนรู
1. ใบความรตู อ ไปน้ี
- ใบความรูท่ี 3.1 เร่ือง กลุมชาติพันธุใ นชมุ ชนลุมนํา้ ลําพระเพลงิ
- ใบความรูท ี่ 3.2 เรือ่ ง ศาสนสถานและสถานทีท่ องเทย่ี วทีส่ าํ คัญลมุ น้ํา
ลาํ พระเพลิง
- ใบความรูท่ี 3.3 เรื่อง ประเพณลี ุมนา้ํ ลาํ พระเพลงิ
2. ใบงานตอไปน้ี
- ใบงานที่ 3.1 เรื่อง กลุมชาตพิ นั ธุในชมุ ชนลมุ นาํ้ ลําพระเพลงิ
- ใบงานที่ 3.2 เรือ่ ง ศาสนสถานและสถานทท่ี องเทยี่ วทสี่ ําคัญลมุ นาํ้ ลาํ พระเพลงิ
- ใบงานท่ี 3.3 เรอ่ื ง ประเพณลี มุ นา้ํ ลาํ พระเพลงิ
3. ภมู ปิ ญญา ผูนาํ และชมุ ชนลุม นํา้ ลําพระเพลงิ
การประเมนิ ผล
1. ประเมินจากการทาํ ใบงานท่ี 3.1-3.3
2. สงั เกตพฤติกรรมผเู รยี นขณะท่เี ขา ไปแลกเปลีย่ นเรยี นรกู บั ภูมปิ ญ ญา ปราชญชาวบาน
ผูนาํ และคนในชุมชน
39
ใบความรทู ่ี 3.1
เรอ่ื ง กลมุ ชาตพิ ันธใุ นชมุ ชนลุม นํา้ ลําพระเพลิง
กลุม ชาตพิ ันธุใ นชุมชนลุมน้ําลําพระเพลิง
คาํ วา ชาติพันธุ หมายถึง กลุมชนทม่ี ีวฒั นธรรม ธรรมเนยี มประเพณตี ลอดจนภาษาพูดเดยี วกนั
และเชื่อวาสบื เชือ้ สายมาจากบรรพบรุ ุษเดยี วกนั
ชมุ ชนลุมนาํ้ ลําพระเพลิง มีสภาพทางภูมศิ าสตรและธรรมชาตทิ ่เี ออื้ ตอการต้ังหลกั แหลง ของมนุษย
มาตง้ั แตสมัยกอ นประวตั ศิ าสตร จงึ ทําใหมีกลุมชาตพิ นั ธทุ อ่ี ยูอ าศยั มาแตเ ดิม และผูทอ่ี พยพเขา มาอยูใหม
ดว ยเง่อื นไขทางประวัติศาสตร การสงคราม การแสวงหาแหลงทํากิน ฯลฯ จงึ ทําใหชุมชนลมุ นา้ํ ลําพระเพลงิ
มีกลมุ ชาติพันธหุ ลากหลาย ทําใหเ กิดการประสมประสานทางวัฒนธรรม
1. ไทโคราช เปน ชาติพนั ธกุ ลุม ใหญของจงั หวัดนครราชสีมากระจายอยูทัว่ ไปทั้ง 32 อาํ เภอ
แตห นาแนนทส่ี ดุ ทอ่ี ําเภอเมอื ง โนนไทย โนนสงู พมิ าย จักราช ชุมพวง โนนแดง คง ขามสะแกแสง
ขามทะเลสอ ดา นขนุ ทด สงู เนนิ โชคชยั ครบรุ ี เสงิ สาง หนองบญุ มาก บานเหลื่อม เฉลิมพระเกยี รติ
พระทองคํา สีดา บัวใหญ เทพารกั ษ ปก ธงชยั
ไทโคราช ซ่งึ มอี ตั ลักษณทางวฒั นธรรมของตนเองในดานตาง ๆ ทั้งเสื้อผา เคร่อื งแตง กาย อาหาร
การกิน บานเรือนทีอ่ ยอู าศัย ยารักษาโรค ประเพณพี ธิ ีกรรม ความเชื่อ ดนตรี เพลง นามสกุลคนโคราช
และท่สี าํ คัญคือ ภาษาโคราช
การแตง กายของไทโคราช
40
2. ไทอสี าน เปน กลมุ ชาตพิ นั ธกุ ลมุ ใหญก ลุมหนึ่งรองจากไทโคราช ซ่งึ สวนใหญอพยพมาจาก ฝง
ซา ยแมน ้ําโขงต้ังแตส มัยอยุธยาตอนปลายจนถึงกรงุ รตั นโกสนิ ทรตอนตน ตงั้ หลักแหลง อยทู ่วั ไปใน
จงั หวดั นครราชสมี า ทห่ี นาแนนมากคอื อําเภอแกง สนามนาง บวั ลาย เมอื งยาง ลาํ ทะเมนชยั และบางสวน
ของอําเภอบวั ใหญ ประทาย ชมุ พวง ปกธงชยั สคี ้ิว สงู เนนิ หวยแถลง บา นเหลื่อม ไทอสี านรักษาวิถชี ีวิต
ความคิดความเชื่อประเพณี พธิ ีกรรม และภาษาอีสาน อันเปน อัตลกั ษณข องคนอีสาน
3. ไทมอญ กลุม ชาติพนั ธมุ อญ สันนษิ ฐานวาอพยพเขามาครั้งแรกในสมัยพระเจา กรุงธนบุรี
ทีพ่ ระราชทานครัวมอญเปน รางวลั แกพระยานครราชสมี า เมอื่ คราวศกึ อะแซหวนุ กี้ โดยใหพ ระศรีราช า
รามญั เปนหวั หนา ควบคมุ ครวั มอญเดินทางมานครราชสมี าโดยใชเ สน ทางปราจนี บรุ ี ครัวมอญสว นหนึ่งต้งั
บานเรอื น ท่ีบานพลับพลา อาํ เภอโชคชัย สว นพระศรีราชารามัญและเครือญาตมิ าตัง้ ถ่ินฐานใน
เมืองนครราชสีมา บริเวณหลกั เมอื ง เรยี กตรอกมอญ (บา นมอญ) การอพยพครง้ั ที่ 2 สมัยพระบาทสมเด็จ
พระน่ังเกลา เจาอยหู ัวโปรดฯใหพระยามหาโยธา (ทอเรยี ะ) คุมกองมอญมาสมทบกบั กองทัพของกรม
พระราชวงั บวรศกั ดพิ ลเสพย ท่เี มืองนครราชสมี า ในปพ.ศ. 2336 เพ่อื ปราบขบถเจา อนุวงศแหง
เวียงจันทน เมอ่ื เสร็จศกึ แลวเดินทางกลับทาง ปกธงชัย ดา นสะแกราช เห็นทําเลดมี ีความอดุ มสมบูรณ จึง
ปก หลกั ตั้งบานเรือนสมทบกบั ชาวมอญทอ่ี ยูเดมิ ปจจุบนั ชาวมอญทีบ่ านพลับพลา อําเภอโชคชยั บานพระ
เพลิง บา นนกออก บา นทาโพธ์ิ อําเภอปกธงชัยยงั รกั ษาประเพณแี บบมอญบางสวนไว เชน การไหวผ มี อญ
การเลนสะบา ประเพณที างพุทธศาสนา และภาษา
การแตงกายของไทมอญ
41
4. ชาวบน กลมุ ชาตพิ ันธนุ ี้เรยี กตัวเองวา ญฮั กุร หรอื เนยี ะกุล ซ่งึ แปลวา คนภเู ขา ในขณะท่ีคน
ไทยเรยี กเขาวาชาวบนคนกลุมน้อี ยูดา นในของขอบทร่ี าบสูงโคราชไดแก เพชรบรู ณ ชัยภูมิ นครราชสีมา คน
กลมุ นพ้ี ดู ภาษาในตระกลู มอญ - เขมร สาขามอญโบราณ เปน กลมุ ชนดัง้ เดมิ ท่ไี มมตี ัวอกั ษรใช มีแตภาษาพดู
ชอบอยูบ นภเู ขาเต้ยี ๆ ปลูกขา วไร ขาวโพด พรกิ มะเขอื ในพ้ืนทเี่ ล็กๆ หญิงสวมเส้อื เกาะ ผา มชี ายพกใหญ
เจาะหกู วาง
เพอ่ื ใสก ะจอน ไวผมยาวเกลามวย การละเลน คือ ปะเรเร หรอื กระแจะ และเปาใบไม
ชาวบนในลมุ นํ้าลําพระเพลงิ อยูที่บา นพระบงึ บานวังตะเคียน บานกลาง บานตะขบ
การแตง กายของชาวบน อาํ เภอปก ธงชัย
42
ใบงานที่ 3.1
เรื่อง กลมุ ชาตพิ นั ธุในชุมชนลมุ น้าํ ลาํ พระเพลิง
คาํ ชี้แจง : ผูเรียนตอบประเด็นตอไปน้ี
1. อธบิ ายถงึ กลมุ ชาตพิ นั ธุใ นชุมชนลุมน้าํ ลาํ พระเพลงิ มาพอสงั เขป
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
2. เปรียบเทียบความแตกตางของแตละชาติพันธทุ ่อี าศัยอยใู นชมุ ชนลุมน้ําลําพระเพลิง
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
43
ใบความรูที่ 3.2
เรือ่ ง ศาสนสถานและสถานท่ที อ งเทีย่ วท่ีสําคญั ลุมนํา้ ลําพระเพลิง
ศาสนสถานทีส่ ําคัญของลมุ นํ้าลาํ พระเพลงิ
1. เขื่อนลาํ พระเพลงิ
เมือ่ ป พ.ศ. 2505 กรมชลประทานสรางก้นั นา้ํ ที่ภูเขาโซและภเู ขาหลวงประชดิ กันบริเวณ
บานบุหวั ชา ง ตําบลตะขบ อําเภอปก ธงชยั โดยมีวัตถปุ ระสงคเกบ็ กักนา้ํ ไวใชป ระโยชนทางดาน การเกษตร
กรรมและปองกันอทุ กภยั และเปดใชไ ดเ มอื่ ป พ.ศ. 2510เหนอื เขือ่ นมอี าณาเขตรบั นํ้ากวางใหญถึง 807
ตารางกโิ ลเมตร มลี กั ษณะเปน ทะเลสาบยาวไปตามลาํ นํา้ เดินจากหนา เขอื่ นถึง 21 กิโลเมตร ทะเลสาบนี้
สามารถเก็บกักนาํ้ ไดสงู สุดถงึ 320 ลา นลกู บาศกเ มตร
ทะเลสาบเหนือเขอื่ นประกอบดว ยภูมิประเทศทสี่ วยงาม สองฟากฝง มีปาไมเขยี วขจรี ม รืน่
ตอนตน แมน้ํามนี ้ําตกคลองกี่ นํ้าตกขุนโจร น้าํ ตกละอองชมพู ทําใหเข่ือนลาํ พระเพลงิ เปน สถานทที่ อ งเท่ียว
และสถานท่ีพกั ผอ นหยอนใจท่ีสาํ คัญแหงหน่ึงของอาํ เภอปกธงชยั และจงั หวัดนครราชสีมา
บริเวณเข่อื นลาํ พระเพลงิ เปนสถานทที่ านสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีโปรด
ปรานมาก ครง้ั ใดที่พระองคเ สด็จประพาสอีสานจะเสด็จมาประทบั ณ บา นพกั รับรองของกรมชลประทาน
เข่อื นลําพระเพลงิ เสมอ การเดนิ ทางไปเขอื่ นลาํ พระเพลงิ สามารถทาํ ไดส ะดวกสบายและเดนิ ทางไดตาม
ฤดกู าล โดยใชท างหลวงแผน ดินหมายเลข 304 (กบนิ ทรบ รุ ี - นครราชสมี า) จากจังหวดั นครราชสีมาและ
อําเภอกบนิ ทรบุรีเขา เขตอาํ เภอปกธงชยั จะพบสี่แยก เม่อื เล้ียวเขาถนนลาดยางเปนระยะทาง 28 กโิ ลเมตร
จะถงึ ท่ที าํ การเขอ่ื นลําพระเพลิงปจ จุบนั เขือ่ นลาํ พระเพลงิ ไดจัดบรกิ ารที่พัก หอ งประชมุ และสงิ่ อํานวย
ความสะดวกท่จี าํ เปนใหแกผ ูม าพักและนักทองเท่ยี วไวอยางดี
2 . โบราณสถาน โบราณวตั ถุ
2.1 กูส ระพงั อยบู านขอนขวาง ตาํ บลเมอื งปก อําเภอปก ธงชัย เปนศาสนสถานขอมที่
เหลอื เพียงเนินดนิ มอี ฐิ และศิลาแลงกระจัดกระจายประติมากรรมหินทรายและมีรอ งรอยวามสี ระน้าํ รูปยาว
รอบ ศาสนสถานน้ี หางออกไปมีสระนา้ํ ขนาดใหญ 1 สระ ศาสนสถานนมี้ อี ายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 16
2.2 กูเ กษม หรอื ปราสาทบึงคาํ อยบู าน คลองเตย ตําบลสะแกราช อําเภอปกธงชยั
จงั หวัดนครราชสมี าความสาํ คัญกเู กษมหรอื ปราสาทบึงคาํ มลี กั ษณะเปน ปรางคข อมสรา งดวยหินทราย
แผนผังเปน รปู ส่ีเหลย่ี มจัตรุ ัสยอมุมไมย ีส่ ิบ ขนาดประมาณ 12 x 12 เมตร ดานทิศเหนือ - ใต และ
ตะวนั ตกเปน ประตหู ลอก สว นดานหนาหรอื ดานทิศตะวนั ออก ทําเปน คหู ายน่ื ยาวออกไปโดยมคี วามยาว
ประมาณ 5.80 เมตร ที่ผนังสองขางของคูหานี้ เจาะเปน ชอ งหนาตางประดับลูกกรงลกู มะหวดขางละ 5
ชอ ง สุดคูหาเปนซุมประตูทางเขา ท้งั สองขา งของผนังซุมประตูดานเหนอื และใตเ จาะชอ งหนา ตางขา งละ 1
ชองปจ จุบันศาสนสถานขอมแหงนอ้ี ยูในสภาพพงั ทลายและไมปรากฏลวดลายแกะสลักใด ใหเ หน็ เลยแมแ ต
สวนที่สาํ คัญ เชน ทับหลัง แตก ็สามารถกลาวไดวาศาสนสถานขอมแหง นี้ สรางเสร็จตามเจตนาของผสู รา ง
44
นอกจากนมี้ ีการพบแทน ฐานศวิ ะลงึ ค ในบรเิ วณปราสาทดว ยอายสุ มยั พจิ ารณาจากการทําเสาประดับ
กรอบประตเู ปน ทรงแปดเหล่ียมเกล้ยี ง ๆ รวมทัง้ การเขากรอบประตหู นิ และแทนศิวลึงค ศาสน าสถานขอม
แหงนคี้ วรมอี ายุอยูในราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 16
2.3 โนนหิน ตัง้ อยูบานเกา นางเหริญ ตาํ บลสําโรง อาํ เภอปก ธงชัย มลี กั ษณะเปน เนนิ ดนิ
2 เนิน มลี าํ รางสงน้าํ ขนาดเล็กตัดผาน บนเนนิ ดินมแี ทง หนิ ทรายปก อยู ชาวบานเรียก “หินตัง้ ” เปน ดินทศิ
เหนอื มแี ทง หนิ ทรายอยู 2-3 ชิ้น ดานทิศใตม แี ทง หนิ ทราย จํานวนมาก
2.4 วดั พระเจาคอหกั (ปรางคศิลาแลงวัดหนองชมุ แสง) ตําบลตมู อาํ เภอปก ธงชัย
ลักษณะเปนฐานศิลาแลงของปรางคขอม 3 องค ซ่งึ ถกู รอ้ื ยา ยเอาวัสดุกอ สรางทเ่ี ปน องคป รางคเพื่อสราง
สงิ่ กอ สรา งใหมในทองถ่นิ อืน่ สันนษิ ฐานวา มีอายุในชว งพทุ ธศตวรรษท่ี 16-17
2.5 ปราสาทหนิ นาแค อยบู า นนาแค ตาํ บลเมืองปก อาํ เภอปกธงชยั ปราสาทหนิ นาแคไป
ทางทิศตะวนั ออกประมาณ 1 กโิ ลเมตร เปนโบราณสถานขอมทีส่ ภาพพังทลายมาก แตก ็พอจะเห็น
ปรางคก อ ดว ยหินทราย 3 องค ตงั้ เรียงกนั ในแนวเหนอื - ใต โดยมปี ระตทู างเขาอยูทางดานทศิ ตะวันออก
สวนอกี 3 ดา นเปน ประตูปลอม ดา นหลังของปรางค ท้ัง 3 พังลงหมด มบี รรณาลัยเปนรปู สเี่ หล่ียมผนื ผา
ตงั้ อยทู างดา นทศิ ตะวนั ออกเฉียงใตกอ ดวยหนิ ทรายและศลิ าแลงมีประตทู างเขา อยูทางทศิ ตะวันตก กาํ แพง
แกว ลอ มรอบ ศาสนสถานแหง นก้ี อดว ยหนิ ทราย ยังมีใหเ หน็ เปนแนวเพียงบางสวน โดยมซี ุมประตหู รือโค
ปุระอยูทางดา นหนา หรอื ทศิ ตะวันออก ซงึ่ กอดวยหินทรายมปี กประตทู ง้ั 2 ขา ง ปกดานทศิ ใตย งั มีหนา ตา ง
อยูแตป ก ดา นขวาพังหมดแลว เนอื่ งจากปราสาทแหงนีม้ ีสภาพชํารดุ พังทลายมาก ไมอาจเหน็ รายละเอยี ด
ชัดเจนไดแ ตเมอื่ พจิ ารณาจากแผนผงั ทีย่ ังเหลือรองรอยอยูบ างนน้ั มลี ักษณะคลา ยศลิ ปะขอมแบบบันทายศรี
3 ดังนนั้ ศาสนาสถานแหง นีน้ าจะไดรบั การกอสรา งเม่อื ประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ 16
องคประกอบ
1. ปรางค จากการสํารวจของกรมศลิ ปากร เมอ่ื พ.ศ. 2502 พบปรางค 2 องค คือ
- ปรางคเล็ก ตง้ั อยทู างดา นทิศตะวนั ออกของปรางคป ระธานสรา งดวย
หนิ ทรายสีแดง ฐานเปนรูปส่เี หลย่ี มจัตุรัสขนาด 3.10 x 3.10 เมตร ที่องคปรางคดา นทิศเหนอื ทําเปนมขุ ยืน่
ออกไปเปน ประตูยาวประมาณ 2.40 เมตร อีกสามดานเปนชองประตเู ขาออก ภายในองคป รางคเ ปน คหู า
- ปรางคประธาน ต้งั อยูท างดานทศิ ตะวันตกของปรางคเล็กเปน ปรางค
รูปส่เี หลี่ยม สรางดว ยหินทรายมขี นาด 6.50 x 8.50 เมตร อยใู นสภาพพงั ทลาย ทางดา นทศิ เหนอื และใต
ทําเปนมุขยน่ื ออกไปเปนประตูยาวประมาณ 2.80 เมตร สว นทางดานทิศตะวันออกและตะวันตก เปน ชอ ง
ประตูเขาออกพบช้ินสว นหนา บันหินทรายจาํ หลักลวดลายคลา ยกบั ทีพ่ บทป่ี ราสาทหินบานบุใหญ อําเภอสงู
เนนิ จงั หวดั นครราชสีมา และปราสาทหนิ บานตาล อําเภอบาํ เหนจ็ ณรงค จังหวดั ชยั ภูมิ
2. บรรณาลัย ตั้งอยูทางดา นทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใตข องปรางคป ระธาน สรางดวยหินทราย
แดงและศลิ าแลงในสภาพพงั ทลาย มีแผนผงั เปน รูปสี่เหลย่ี มผืนผา มปี ระตอู ยูทางดา นทศิ ตะวันตก
(หนั หนา เขา หาปรางคป ระธาน) ดา นทศิ ตะวนั ออกหรอื ดานหลงั ของบรรณาลัยทาํ เปนประตหู ลอก
45
3. กําแพงแกวและซมุ ประตู จากการสาํ รวจโดยโครงการสาํ รวจและขน้ึ ทะเบยี นโบราณสถาน
เรงดวนกองโบราณคดี เม่อื พ.ศ. 2528 พบวา กาํ แพงแกว สรา งดวยหินทรายเหลือใหเห็นเพียงบางสว น
เทา นนั้ ซุมประตูอยูทางดา นทศิ ตะวันออก ทาํ เปนปก ออกไปทง้ั สองขาง ทางดานเหนือและใตอยูในสภาพ
พงั ทลาย ใหเ ห็นเพียงซมุ ประตทู างดา นทศิ เหนอื ซึ่งมีการเจาะชองหนา ตา งท่ปี ก ดวย
4 . สระนาํ้ มรี อ งรอยของสระนาํ้ รปู ยาวลอมรอบศาสนสถานไวภ ายใน ปจ จบุ ันบางสว นถกู
เปล่ียนสภาพเปนทน่ี า
2.6 ปราสาทสระหนิ บานตะคุ ตาํ บลตะคุ อาํ เภอปก ธงชัย ลักษณะเปนปรางคเดยี่ วสรา ง
ดวยอฐิ ฐานเปน ศิลาแลง กรอบประตเู ปนหินทราย มีสระยาว 2 สระขนาบขาง สรา งประมาณพุทธศตวรรษ
ที่ 17 ปจ จบุ ันอยใู นสภาพทีพ่ งั ทลาย
2.7 ปรางคบ านปรางค (ปราสาทสระนอย)บา นปรางค ตําบลนกออก อาํ เภอปกธงชยั
มลี ักษณะเปน ปรางคขอมองคเ ดยี วโดด ๆ สรา งดวยหินทรายภายในกรุดวยศิลาแลง หนั หนา ไปทางทิศ
ตะวันออก ปจ จบุ ันอยูในสภาพทพ่ี งั ทลาย ในบรเิ วณรอบๆ ซากปรางคน ี้เคยพบชน้ิ สว นของนาคและ
ชน้ิ สว นลวดลายประดังโบราณสถาน พจิ ารณาจากการเขากรอบประตูหนิ ลวดลายเทาทีป่ รากฏ จะมีอายุ
ใกลเ คยี งกับปราสาทหนิ พนมวนั องคใ หญ คือ ประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ 16
2.8 วดั หนาพระธาตุ ตําบลตะคุ อําเภอปกธงชัย ในเรือ่ งราวเหลานย้ี ังมีสภาพทแี่ สดงถึง
การดํารงชีวิตประจําวนั ของชาวบา นในสมัยนั้นแทรกอยูด วย เชน การทํานา การหาปลา และยังปรากฏภาพ
การจองจาํ นกั โทษอยูดวย บนผนังทางทิศตะวนั ตกซึ่งอยเู บอื้ งหลังพระประธานเปนภาพสกั การะพระพุทธ
บาท เม่ือประมวลประวัติทางดานทอ งถ่นิ ลักษณะทางสถาปต ยกรรม และจิตรกรรมฝาผนงั พระอุโบสถ
หลงั นนี้ าจะสรางขึน้ ในสมัยรตั นโกสินทรตอนตน ในราวสมยั พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา เจาอยหู ัว วัดหนา
พระธาตเุ ปนวดั ทีต่ งั้ อยใู นบรเิ วณหมบู านตะคุ ตามประวตั ิทอ งถิ่นท่ไี ดเลาสูกันมาไดความวา วดั แหงน้เี คยมี
สภาพเปนวัดรา งมากอนเพราะมีซากเจดยี เ กา อยู ภายในวัดมโี บราณสถานท่นี าสนใจ เชน พระอุโบสถหลัง
เกา ท่ีกอ ดว ยอฐิ ถอื ปนู รูป สีเ่ หล่ยี มผนื ผา โดยหันหนา ไปทางทศิ ตะวนั ออก มีประตูทางเขา เพียงประตูเดยี ว
หนาตา งดานละ3 ชอง
บริเวณผนงั โบสถด านหนา ขางนอกและผนังโบสถภ ายในมีจติ รกรรมฝาผนังสีปูนแหงโดย
ตลอด โดยเฉพาะดานในเขยี นเปน เร่อื งราวเกี่ยวกับทศชาตชิ าดก เชน มหาชนก พระเตมีย พระมโหสถ
เปน ตน ในเรื่องราวเหลาน้ียงั มีภาพทีแ่ สดงถงึ การดาํ รงชีวิตประจาํ วนั ของชาวบา นในสมยั นนั้ สอดแทรก
เบอ้ื งหลงั พระประธานเปน ภาพสักการะพระพทุ ธบาท เมอื่ ประมวลเร่ืองราวเก่ียวกับประวตั ทิ องถ่ินลักษณะ
ทางสถาปต ยกรรมและจติ รกรรมฝาผนังพระอุโบสถหลังน้ีนา จะสรางขึน้ ในสมัยรัตนโกสนิ ทรต อนตนในราว
รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา เจา อยูหัว
2.9 วัดโคกศรีษะเกษ (โคกสระนอ ย) อยูทีบ่ า นโคกสระนอ ย ตําบลนกออก หางจากทีว่ าการ
อาํ เภอปก ธงชยั ประมาณ 7 กิโลเมตร ภายในบริเวณวัดมีโรงธรรมเกา แกท่สี รางดว ยไม ซ่ึงมีภาพเขยี นสีท่ี
เขยี นบนแผน ไมท ี่เพดาน ภาพเขียนยังสมบรู ณ แตต ัวอาคารถกู บดบังดว ยศาลาหลงั ใหมมใี บเสมาศลิ ปะแบบ