ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเรม่ิ
สาหรับนักเรียนท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ
ของศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดอดุ รธานี
โดย
นางสาวอารีย์ สุวรรณพรหม
ว่าท่ี ร.ต.รัฐวิชญ์ ทักขนนท์
นางสาวปิยฉัตร ประทุมรัตน์
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี
สังกัด สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
2564
ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่มิ
สาหรับนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
ของศูนย์การศึกษาพิเศษ
โดย
นางสาวอารีย์ สุวรรณพรหม
ว่าที่ ร.ต.รัฐวิชญ์ ทักขนนท์
นางสาวปิยฉัตร ประทุมรัตน์
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวดั อุดรธานี
สังกัด สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
2564
ค
ชื่อเร่อื ง ความพงึ พอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิมสาหรับ
นักเรยี น ทมี่ ีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษของศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ
ชอื่ ผู้วิจยั ประจาจงั หวัดอดุ รธานี
ที่ปรกึ ษางานวิจัย นางสาวอารีย์ สวุ รรณพรหม, วา่ ท่ี ร.ต.รฐั วิชญ์ ทักขนนท์,
นางสาวปิยฉตั ร ประทุมรัตน์
นายพิชติ สน่ันเอ้อื ผ้อู านวยการศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษประจาจังหวดั อดุ รธานี
บทคดั ย่อ
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการ
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและการเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของ
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองของเด็กที่มีความต้องการ
จาเป็นพิเศษ ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี แบบไป-กลับ ปีการศึกษา
2564 จานวน 114 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
คือ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและการ
เตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัด
อุดรธานี มีลักษณะเป็นมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ โดยมีค่าอานาจจาแนกรายข้อ
ตั้งแต่ .28 ถึง .86 และมีค่าความเช่ือม่ันท้ังฉบับเท่ากับ .87 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ
ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
ผู้ปกครองมีความพึงพอใจต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรียมความพร้อม
ของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ใน
ระดับมาก ในด้านกระบวนการ/ข้ันตอนการให้บริการ เกี่ยวกับการให้บริการนักเรียนตามขั้นตอนและ
กระบวนการทางการศึกษา ผ้ปู กครองมีความพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก ดา้ นผูใ้ ห้บริการ เกย่ี วกับครูผสู้ อนที่
ให้บริการนักเรียนและผู้ปกครอง ผู้ปกครองมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านส่ือ สิ่งอานวยความ
สะดวก เก่ียวกับสื่อ สิ่งอานวยความสะดวกและแหล่งเรียนรู้ในการให้บริการผู้ปกครองและนักเรียน
ผู้ปกครองมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด และด้านคุณภาพการให้บริการ เกี่ยวกับคุณภาพของ
การให้บริการตามกระบวนการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม เช่น ผลการพัฒนาผู้เรียน การรายงานผลการ
พัฒนาผู้เรียน ผ้ปู กครองมีความพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก
ง
กติ ติกรรมประกาศ
งานวจิ ัยฉบบั นี้ สาเร็จสมบรู ณ์ไดด้ ้วยความกรุณาและความช่วยเหลอื อย่างดจี าก ผอ.พชิ ิต
สนั่นเอื้อ ผู้อานวยการศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษประจาจังหวดั อุดรธานี ท่ีได้กรุณาให้คาแนะนา เสนอและ
ตรวจสอบข้อบกพร่อง งานวจิ ัยนี้สาเรจ็ ลลุ ว่ งตามความมุง่ หมาย คณะผู้วจิ ยั ขอกราบขอบพระคุณ
เป็นอยา่ งสงู
ขอขอบพระคุณ อาจารยช์ าครยิ า พันธท์ อง อาจารย์ประจาสาขาวิชาการศึกษาพิเศษ คณะ
ครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอุดรธานี และรอง ผ.อ.สบุ ิน ประสพบัว ทเ่ี ปน็ ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบคา่
ดชั นคี วามสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คาถามกับวัตถปุ ระสงค์ ให้คาแนะนา เสนอแนะ ตรวจสอบข้อบกพร่อง
ขอขอบพระคณุ ท่านผู้อานวยการศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 9 จงั หวัดขอนแกน่
ที่ให้ความกรุณาในการทดลองใช้เคร่ืองมอื การวจิ ยั ในครัง้ น้ี
ขอขอบพระคณุ ผูป้ กครองนักเรียนศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดอดุ รธานีทุกท่านทใี่ หค้ วาม
รว่ มมือในการตอบแบบสอบถาม จนทาใหง้ านวิจยั ฉบับนส้ี าเรจ็ ลลุ ่วงตามความมงุ่ หมาย คณะผ้วู จิ ยั
ขอกราบขอบพระคุณ เป็นอย่างสูง
อารีย์ สวุ รรณพรหม และคณะ
สารบัญ จ
บทคดั ย่อ หน้า
กติ ตกิ รรมประกาศ ค
สารบัญ ง
สารบัญตาราง จ
บทที่ 1 บทนา ฉ
1
1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา 1
1.2 คาถามการวิจัย 2
1.3 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 2
1.4 ขอบเขตของการวจิ ัย 2
1.5 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 3
1.6 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ 4
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง 5
2.1 การใหบ้ ริการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่มิ 5
2.2 แนวความคิด ทฤษฎเี ก่ยี วกับความพึงพอใจ 17
2.3 บรบิ ทผปู้ กครอง 20
2.4 นกั เรียนทีม่ ีความต้องการจาเปน็ พิเศษ 21
2.5 บรบิ ทศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ 24
2.6 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง 27
บทท่ี 3 วิธีดาเนินงานวิจัย 29
1. กลมุ่ เปา้ หมาย 29
2. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย 29
3. การสรา้ งและหาคุณภาพของเคร่ืองมือ 30
4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 31
5. การวเิ คราะห์ข้อมลู 32
6. สถิติท่ีใช้ในการวิจัย 32
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 34
บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 40
1. สรปุ ผลการวิจยั 40
2. อภปิ รายผล 41
3. ขอ้ เสนอแนะ 42
บรรณานกุ รม 43
ภาคผนวก 45
ภาคผนวก ก รายช่อื ผเู้ ช่ยี วชาญ 46
ภาคผนวก ข ตัวอยา่ งเครื่องมือการวิจยั 48
ภาคผนวก ค การหาคุณภาพของเครอ่ื งมอื การวจิ ัย 51
สารบัญ (ต่อ) ฉ
ภาคผนวก ง เอกสารในการประสานงาน. หน้า
ประวตั ผิ ้วู จิ ัย 55
60
ช
สารบัญตาราง หน้า
34
ตารางท่ี 35
1 รอ้ ยละของข้อมูลด้านสถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถาม
2 ความพงึ พอใจของผ้ปู กครองทมี่ ีต่อการให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ และ 35
การเตรยี มความพร้อมของนักเรียนที่มคี วามต้องการจาเปน็ พิเศษของ 36
ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดอุดรธานี โดยรวมและรายด้าน 37
3 ความพงึ พอใจของผูป้ กครองทม่ี ตี ่อการให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ และ 38
การเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มคี วามต้องการจาเป็นพิเศษของ
ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดอดุ รธานี ดา้ นกระบวนการ/ขน้ั ตอน 52
การให้บริการ
4 ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มตี อ่ การให้บริการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิมและ 54
การเตรยี มความพร้อมของนักเรยี นทม่ี ีความต้องการจาเป็นพเิ ศษของ
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี ด้านผู้ให้บรกิ าร
5 ความพงึ พอใจของผูป้ กครองทม่ี ตี อ่ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและ
การเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มคี วามต้องการจาเป็นพเิ ศษของ
ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดอดุ รธานี ดา้ นส่ือ ส่งิ อานวยความสะดวก
6 ความพงึ พอใจของผู้ปกครองที่มตี อ่ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่มิ และ
การเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มคี วามต้องการจาเปน็ พิเศษของ
ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี ดา้ นคุณภาพการให้บรกิ าร
7 คา่ คะแนนเฉลยี่ ดชั นีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกบั วตั ถปุ ระสงค์ (IOC)
ความพึงพอใจของผปู้ กครองท่มี ีตอ่ การให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริ่มและ
การเตรียมความพร้อมของนักเรยี นทม่ี ีความต้องการจาเปน็ พิเศษของ
ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดอดุ รธานี
8 คา่ อานาจจาแนกของแบบสอบถาม และคา่ ความเชอ่ื มั่นของแบบสอบถามเกี่ยวกบั
ความพึงพอใจของผู้ปกครองทม่ี ตี ่อการใหบ้ ริการชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่มและ
การเตรยี มความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพเิ ศษของ
ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดอุดรธานี
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
เครื่องมือสำคัญในกำรสร้ำงคน สร้ำงสังคมและสร้ำงชำติ ซึ่งเป็นกลไกหลักในกำรพัฒนำ
กำลังคน ให้สำมำรถดำรงชีวติ อยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสงั คมได้อย่ำงเป็นสุข ทั่วโลก จึงให้ควำมสำคัญ
กับกำรพัฒนำกำรศึกษำ กำรศึกษำพิเศษเป็นกำรจัดกำรศึกษำแก่ผู้เรียนตำมควำมต้องกำรจำเปน็
พิเศษ ทั้งโดยวิธีกำรสอน และกำรให้บริกำร กระทรวงศึกษำธิกำรจึงได้ตรำพระรำชบัญญัติกำรจัด
กำรศึกษำสำหรับคนพิกำร พ.ศ. 2551 และได้กล่ำวถึงสิทธิและหน้ำท่ีทำงกำรศึกษำสำหรับคนพิกำร
ไว้ว่ำ คนพิกำรมีสิทธิได้รับกำรศึกษำโดยไม่เสียค่ำใช้จ่ำยตั้งแต่แรกเกิดหรือพบควำมพิกำรจนตลอด
ชีวิต พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอำนวยควำมสะดวก สื่อ บริกำรและควำมช่วยเหลืออื่นใดทำง
กำรศึกษำ และมีสิทธิเลือกบริกำรทำงกำรศึกษำ สถำนศึกษำ ระบบและรูปแบบกำรศึกษำ โดย
คำนึงถึงควำมสำมำรถ ควำมสนใจควำมถนัด และควำมต้องกำรจำเป็นของบุคคลนั้น รวมถึงได้รับ
กำรศึกษำที่มีมำตรฐำนและประกันคุณภำพกำรศึกษำ รวมทั้งกำรจัดหลักสูตร กระบวนกำรเรียนรู้
กำรทดสอบทำงกำรศึกษำ ที่เหมำะสมสอดคล้องกับควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษของคนพิกำรแต่ละ
ประเภทและบุคคล ดังนั้น รัฐจึงต้องจัดกำรศึกษำให้กับคนพิกำร เพื่อให้คนพิกำรสำมำรถดำรงชีวิต
อยู่ในสังคมที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอยำ่ งรวดเร็วได้อย่ำงมีควำมสขุ (สำนักบริหำรงำนกำรศึกษำพิเศษ
2551) สอดคล้องกับแผนปฏิบัติกำรระดับโลกดำ้ นคนพิกำร มีวำระเพื่อกำรปฏบิ ัติและกฎมำตรฐำน
เกี่ยวกับคนพิกำรซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนำคนพิกำรโดยส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดมำตรกำรอันจะ
เป็นผลดีแก่กำรป้องกันควำมพิกำร กำรรักษำพยำบำลและกำรฟื้นฟูสมรรถภำพคนพิกำรด้วยกำร
ตระหนักถึงเป้ำหมำยของกำรมีโอกำสและกำรมีส่วนร่วมอย่ำงเต็มที่ของคนพิกำรในกำรดำรงชีวิตใน
สังคม (กระทรวงศึกษำธิกำร2560)
กำรจัดกำรศึกษำพิเศษสำหรับคนพิกำรในระดับกำรศกึ ษำขั้นพื้นฐำน และจัดบริกำรพัฒนำ
สมรรถภำพคนพิกำรในระบบกำรให้บริกำรชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) ตำม
แผนกำรจัดกำรศึกษำเฉพำะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) และตำมแผนกำร
สอนรำยบุคคล (Individual Implementation Plan : IIP)และให้มีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยควำม
สะดวก สื่อ บริกำร และควำมช่วยเหลืออื่นใดทำงกำรศึกษำ สำหรับกำรบริกำรให้ควำมชว่ ยเหลือ
ระยะแรกเริ่ม มีกำรจัดกระบวนกำรฟื้นฟูสมรรถภำพและเตรียมควำมพร้อมให้กับเด็กที่มีควำม
บกพร่องประเภทต่ำง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดหรือตั้งแต่เมื่อทรำบว่ำมีควำมบกพร่องโดยมีจุดประสงค์เพื่อ
ช่วยเหลือเด็กให้ได้รับกำรฟื้นฟูสมรรถภำพที่มีอยู่โดยเร็วท่ีสุดเท่ำท่ีจะทำได้ ซึ่งต้องมีกำรประเมิน
ศักยภำพเบื้องต้น สภำพควำมบกพร่องท่ีอำจเกิดต่อไป กำรรวบรวมข้อมูลพื้นฐำนต่ำง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
นำมำวิเครำะห์และวำงแผนร่วมกันกับผู้ปกครอง ครูผู้สอน ตลอดจนกำรประเมินผลทั้งระหว่ำง
กำรให้บริกำรและหลังกำรให้บริกำรช่วยเหลือ ทั้งน้ี โปรแกรมที่จัดขึ้นต้องเป็นไปตำม ควำมต้องกำร
จำเป็น ของเด็กแต่ละบุคคลกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention: EI) จึงเป็น
กำรให้บริกำรช่วยเหลือหรือฟื้นฟูสมรรถภำพตั้งแต่แรกเกิดหรือพบควำมพิกำร เพื่อพัฒนำทักษะที่
สำคัญต่อกำรดำรงชีวิตหมำยถึง กระบวนกำรพัฒนำศักยภำพเด็กพิกำรในวัยเด็กหรือก่อนเรียนอย่ำง
2
มีเป้ำหมำยตำมควำมต้องกำรจำเป็นของเด็ก โดยควำมร่วมมือระหว่ำงผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชำญ
ที่ให้บริกำร ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้รับกำรพัฒนำอย่ำงเต็มศักยภำพ เป็นกำรลดผลกระทบควำม
พิกำรและป้องกันควำมพิกำรหรือปัญหำอ่ืน ๆ ที่จะเกิดข้ึนตำมมำอันเนื่องมำจำกควำมพิกำร (สมพร
หวำนเสร็จ 2547)
ด้วยควำมสำคัญดังกล่ำว ศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนี มีหน้ำที่โดยตรง
ในกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสำหรับเด็กพิกำรและครอบครัวให้มีประสิทธภิ ำพโดยตรง
และในกำรให้ควำมช่วยเหลือจะต้องได้รับควำมร่วมมือและกำรยอมรับควำมคิดเหน็ รวมไปถึงควำม
พึงพอใจกับกำรรับบริกำรช่วยเหลือระยะแรกเหลือด้วย ทั้งนี้ ผู้ปกครองจึงมีควำมสำคัญกับกำรฟื้นฟู
สมรรถภำพเด็กพิกำรด้ำนต่ำง ๆ เป็นอย่ำงมำก ซึ่งกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early
Intervention: EI) คณะผู้วิจัยจึงได้ศึกษำเกี่ยวกับควำมพึงพอใจต่อกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มของผู้ปกครองนักเรียนที่มำรับบริกำรแบบไป-กลับ เพื่อนำผลกำรศึกษำมำปรับปรุงและ
พัฒนำกระบวนกำรให้บริกำรชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่ม ของศูนย์กำรศึกษำพิเศษ ประจำจังหวัด
อุดรธำนี ให้เกิดประสิทธิภำพสูงสุดต่อผู้รับบริกำรให้ได้รับกำรพัฒนำศักยภำพ เตรียมควำมพร้อม
ในระยะแรกเริ่มหรือแรกพบควำมพิกำรอย่ำงเต็มศักยภำพต่อไป
1.2 คำถำมกำรวิจัย
ผู้ปกครองมีควำมพึงพอใจต่อกำรให้บริกำรกำรให้ควำมช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของ
นักเรียนท่ีมีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษของศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนีอยู่ในระดับใด
1.3 วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย
เพื่อศึกษำควำมพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริม่ และ
กำรเตรียมควำมพร้อมของนักเรียนที่มีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษของศูนย์กำรศึกษำพิเศษ
ประจำจังหวัดอุดรธำนี
1.4 ขอบเขตของกำรวิจัย
1.4.1. กลุ่มเป้ำหมำย
กลุ่มเป้ำหมำย คือ ผู้ปกครองของเด็กที่มีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษ ที่มำรับบริกำร
ศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนีแบบไป-กลับ ปีกำรศึกษำ 2564 จำนวน 114 คน โดย
กำรเลือกแบบเจำะจง (Purposive Sampling) (บุญชุม ศรีสะอำด, 2543 น.44)
1.4.2. ตัวแปรที่ศึกษำ
ควำมพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแบบไป-กลับ
ของศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนี
1.4.3. ขอบเขตด้ำนเน้ือหำ
กำรวิจัยครั้งนี้เป็นกำรวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เป็นกำรศึกษำควำมพึงพอใจ
ของผู้ปกครองที่มีต่อกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแบบไป-กลบั ของศูนย์กำรศึกษำพิเศษ
ประจำจังหวัดอุดรธำนีโดยประเมินควำมพึงพอใจครอบคลุมกระบวนกำรกำรให้บริกำรช่วยเหลือ
ระยะแรกเร่ิม 7 ข้ันตอนโดยสังเครำะห์ออกมำเป็น 4 ด้ำน
3
ประกอบด้วย
1) ด้ำนกระบวนกำรและขั้นตอนกำรให้บริกำร
2) ด้ำนผู้ให้บริกำร
3) ด้ำนส่ือ ส่ิงอำนวยควำมสะดวก
4) ด้ำนคุณภำพกำรให้บริกำร
1.5 นิยำมศัพท์เฉพำะ
1.5.1. กำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม หมำยถึง กระบวนกำรฟื้นฟูสมรรถภำพและ
เตรียมควำมพร้อมให้เด็กที่มีควำมบกพร่องประเภทต่ำงๆ ตั้งแต่แรกเกิดหรือตั้งแต่เมื่อทรำบควำม
บกพร่องของศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กให้
ได้รับกำรฟื้นฟูสมรรถภำพที่มีอยู่โดยเร็วท่ีสุดเท่ำที่จะทำโดยมีท้ังหมด 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย
1) กำรเก็บรวบรวมข้อมูล
2) กำรคัดกรองประเภทควำมพิกำร
3) กำรประเมินควำมสำมำรถพื้นฐำน
4) กำรจัดทำแผนกำรสอน
5) กำรให้บริกำรด้วยกิจกรรมท่ีเหมำะสม
6) กำรประเมินควำมก้ำวหน้ำ
7) กำรนิเทศ ติดตำม ประเมินผลส่งต่อ
1.5.2. ควำมพึงพอใจ หมำยถึง ควำมรู้สึกของผูป้ กครองเดก็ ที่มีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษ
ของศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนีที่มำรับบริกำรแบบไป-กลับ ปีกำรศึกษำ 2563 ที่มี
ต่อกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมของศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนี ซึ่งมีกำรวัด
ระดับควำมพึงพอใจแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ 5 ระดับ (Rating Scale) ดังน้ี
5 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจระดับมำกท่ีสุด
4 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจมำก
3 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจปำนกลำง
2 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจน้อย
1 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจน้อยท่ีสุด
1.5.3. นักเรียนที่มีควำมตอ้ งกำรจำเป็นพิเศษ หมำยถึง นักเรียนที่มีควำมบกพร่องทั้ง 9
ประเภทควำมพิกำรตำมประกำศกระทรวงศึกษำธิกำร ที่รับบริกำรที่ศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำ
จังหวัดอุดรธำนีแบบไป-กลับ
1.5.4. ผู้ปกครอง หมำยถึง ผู้ที่เป็นบิดำ มำรดำ หรือบุคคลอื่นซึ่งทำหน้ำที่ในกำรอบรม
เลี้ยงดูเพื่อให้ เด็กมีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งทำงด้ำนร่ำง อำรมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญำ โดยเป็น
ผู้ปกครองนักเรียนที่มำรับบริกำรแบบไป-กลับ และสำมำรถตอบแบบสอบถำมควำมพึงใจในกำร
ให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนี
4
1.5.5. ศูนย์กำรศึกษำพิเศษ หมำยถึง ศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนี ซึ่งเป็น
หน่วยงำนของรัฐที่มีบทบำทหน้ำที่ในกำรพัฒนำศักยภำพและเตรียมควำมพร้อมทำงกำรศึกษำทั้ง
แบบในระบบและตำมอัธยำศัยแก่ผู้เรียนท่ีมีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษทำงกำรศึกษำ ท้ัง 9 ประเภท
รับผิดชอบพื้นที่ให้บริกำรครอบคลุมในเขตจังหวัดอุดรธำนี
1.6 ประโยชน์ท่ีคำดว่ำจะไดร้ ับ
ได้รับข้อมูลควำมพึงพอใจของผู้ปกครองในกำรรับบริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของ
ศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนี เพื่อใช้เป็นแนวทำงในกำรปรับปรุงและพัฒนำระบบกำร
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของศูนย์กำรศึกษำพิเศษประจำจังหวัดอุดรธำนีให้สอดคล้องกับควำม
ต้องกำรของผู้ปกครองให้ดียิ่งข้ึน
5
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง
การศึกษาวิจัยเรื่อง ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการช่วยเหลอื ระยะแรกเริ่ม
สา ห รับ นักเ รีย น ที่มีคว า มต้อง กา ร จา เ ป็น พิเ ศษ ของ ศูน ย์กา ร ศึกษา พิเ ศษ ป ร ะจา จัง ห วัด อุด ร ธานี
ซ่ึงคณะผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยและเอกสารท่ีเก่ียวข้องตามลาดับต่อไปนี้
2.1 การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
2.1.1 ความหมายของการให้บริการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิม
2.1.2 ความสาคัญของการให้บริการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิม
2.1.3 กระบวนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม
2.1.4 แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
2.1.5 การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized Education
Program : IEP)
2.2 แนวความคิด ทฤษฎีเก่ียวกับความพึงพอใจ
2.2.1 ความหมายความพึงพอใจ
2.2.2 ความสาคัญความพึงพอใจ
2.2.3 องค์ประกอบความพึงพอใจ
2.2.4 การวัดความพึงพอใจ
2.3 บริบทผู้ปกครอง
2.3.1 ความหมายของผู้ปกครอง
2.3.2 บทบาทสาคัญของผู้ปกครอง
2.4 นักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ
2.4.1 ความหมายของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
2.4.2 ประเภทของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
2.5 บริบทของศูนย์การศึกษาพิเศษ
2.5.1 ข้อมูลบริบททั่วไป
2.5.2 บทบาทหน้าท่ี
2.6 งานวิจัยที่เก่ียวข้อง
2.1 การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
2.1.1 ความหมายของการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2555) กล่าวว่า การให้บริการ
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม หมายถึง กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพและเตรียมความพร้อมให้กับเด็กท่ีมี
ความบกพร่องประเภทต่าง ๆ ต้ังแต่แรกเกิดหรือต้ังแต่เม่ือทราบว่ามีความบกพร่องโดยมีจุดประสงค์
เพ่ือช่วยเหลือเด็กให้ได้รับการฟ้ืนฟูสมรรถภาพท่ีมีอยู่โดยเร็วท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ซึ่งต้องมีการประเมิน
ศักยภาพเบ้ืองต้น สภาพความบกพร่องที่อาจเกิดต่อไป การรวบรวมข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง
นามาวิเคราะห์และวางแผนร่วมกันกับผูป้ กครอง ครูผู้สอน ตลอดจนการประเมินผลทั้งระหวา่ งการ
6
ให้บริการและหลังการให้บริการช่วยเหลือ ทั้งนี้ โปรแกรม ที่จัดขึ้นต้องเป็นไปตามความต้องการ
จาเป็นของเด็กแต่ละบุคคล
พวงมณี ชัยเสรี (2557) กล่าวว่า การได้รับบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม(Early
Intervention: EI) เป็นการให้การช่วยเหลือหรือฟื้นฟูสมรรถภาพตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ
เพื่อพัฒนาทักษะที่สาคัญต่อการดารงชีวิต ซึ่งหมายถึง กระบวนการพัฒนาศักยภาพเด็กพิการในวัย
เด็กหรือก่อนเรียนอย่างมีเป้าหมายตามความต้องการจาเป็นของเด็กโดยความร่วมมือระหว่าง
ผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
เป็นการลดผลกระทบความพิการและป้องกันความพิการหรือปัญหาอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา
อันเนื่องมาจากความพิการด้วย นอกจากนี้ ยังมีความสาคัญหลายอย่างที่ส่งผลต่อการพัฒนาการ
ทุกด้านของเด็กหากได้รับการบริการที่ครอบคลมุ ทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ พยาบาล
นักจิตวิทยา นักกายภาพบาบัด นักอรรถบาบัดนักสังคมสงเคราะห์ ครูการศึกษาพิเศษการช่วยเหลือ
ระยะแรกเริ่ม หมายถึง กระบวนการจัดทาแผนการช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในวัยก่อนวัยเรยี นที่มีความ
พิการ โดยการลดข้อจากัดของเด็กเพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างปกติ (Hallahan D. P. and
Kaufman J. M., 1999) Heward William L. (2000) กล่าวว่า การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม
หมายถึง กิจกรรมการช่วยเหลือเด็กในช่วงอายุ 8 เดือนถึง 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงสาคัญในการพัฒนาเด็ก
ทั้งด้านความคิดและสังคม โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา ด้านโภชนาการ ด้านการดูแลเด็ก รวมทั้ง
การสนับสนุนครอบครัว เพื่อลดผลกระทบจากความพิการของเด็กและป้องกันความพิการหรอื
ปัญหาอ่ืน ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาเน่ืองจากความพิการ โดยสรุป การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม หมายถึง
กระบวนการพัฒนาศักยภาพเด็กพิการในวัยเด็กหรือก่อนเรียนอย่างมีเป้าหมาย ตามความต้องการ
จาเป็นพิเศษของเดก็ โดยเร็วที่สุดจากความร่วมมือระหว่างผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญที่ให้บรกิ าร
ลักษณะเป็นทีมสหวิชาชีพ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ เป็นการ ลด
ผลกระทบจากความพิการและป้องกันความพิการหรือปัญหาอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาอันเนื่องจาก
ความพิการด้วย
2.1.2 ความสาคัญของการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม
การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมมีความสาคัญมาก เนื่องจากมีงานวิจัยสนับสนุนว่าสามขวบแรก
ของเด็ก
เป็นวัยแห่งการเรียนรู้ และมีผลต่อพัฒนาการเป็นอย่างมากซ่ึงส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ใน
อนาคต (สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ.2551)
2.1.2.1 เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษได้รับการพัฒนา
อย่างเหมาะสมและเต็มศักยภาพ
2.1.2.2 เป็นการเตรียมครอบครัวเพื่อให้การสนับสนุนและช่วยเหลือเด็กที่มีความ
ต้องการจาเป็นพิเศษอยา่ งเหมาะสม โดยการพัฒนาเจตคติของคนในครอบครัวให้ถูกต้อง ให้ความรู้
ความเข้าใจและทักษะในการดูแลเด็ก ตลอดจนการรู้จักแบ่งเวลาสาหรับพักผ่อนให้เหมาะสมด้วย
2.1.2.3 เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษจะได้รับการดูแลจากสังคมเท่าเทียมกับ
เด็กทั่วไปครอบครัวจะได้รับสิทธิประโยชนแ์ ละเงินสนบั สนุนจากรัฐ เพื่อให้สามารถดาเนินชีวิตใน
สังคมได้อย่างอิสระ
7
พวงมณี ชัยเสรี (2557) กล่าวว่า การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มมี
ความสาคัญต่อทั้งตัวเด็กเอง ครอบครัว และสังคม ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสความเท่าเทียมกันในการ
ได้รับบริการที่เหมาะสมจากภาครัฐ และที่สาคัญคือสิทธิความเท่าเทียมกัน ความเสมอภาคและ
โอกาสทางการศึกษา ที่สมควรได้รับการบริการท่ีดีมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความช่วยเหลือด้านการ
เตรียมความพร้อม ส่ือ วัสดุอุปกรณ์ การบริการ รวมท้ังโอกาสในการเข้ารับการศึกษาที่เหมาะสมกับ
พัฒนาการของเด็กพิการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม มีความสาคัญต่อตัวเด็กโดยตรง
ที่สุด เพราะเด็กจะได้บริการที่คลอบคลุมจากทีมสหวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสขุ ภาพอนามัย
การบริการทางจิตวิทยาและบริการทางการศึกษา เพื่อพัฒนาความสามารถและส่งเสริมพัฒนาการ
ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา โดยได้รับการดูแล
สนับสนุนจากครอบครัว ซึ่งจะมีผลต่อโอกาสในการพัฒนาของเด็ก ครอบครัวและชุมชนจึงมีส่วน
ร่วมในการช่วยกันดูแลและส่งเสริมให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
2.1.3 กระบวนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม
กระบวนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริม่ กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนา
กระบวนการมาอย่างต่อเน่ือง โดยมีกระบวนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมเป็น 3 ระยะ ดังนี้
(สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ, 2562) ระยะท่ี 1 ก่อนเข้าสู่โปรแกรม คือ ระยะที่เด็กก่อนเข้ารับ
บริการ ได้แก่ การส่งต่อการค้นหาและการคัดแยก ระยะที่ 2 การรับบริการ คือ ระยะที่เด็กเริ่มเข้า
รับบริการ ได้แก่ การตรวจสอบการพัฒนาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือแผนบริการ
ครอบครัวการปฏิบัติการสอนและการประเมินผลระยะที่ 3 การสิ้นสุดการรับบริการ ได้แก่ การส่ง
ต่อไปสู่โปรแกรมใหม่และการจัดที่เรียนที่เหมาะสมให้เด็กได้เรียนร่วมในโรงเรียนปกติทั่วไป หรือ
เรียนในโรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะความพิการการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมเป็นระบบใน
การให้บริการด้านต่าง ๆ โดยเรว็ ที่สุดแก่เด็กที่มีความเสี่ยงทุกระดบั ทันทีตัง้ แต่แรกเกิดหรือทันทีท่ี
ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความพิการโดยการให้การศึกษากับพ่อแม่และครอบครัว เพื่อพัฒนาเด็กพิการ
ให้ได้รับบริการจากนักวิชาชีพที่หลากหลาย ทั้งด้านการศึกษา ด้านสุขภาพอนามัย และการ
บาบัดรักษา ตลอดจนป้องกันความพิการที่จะเกิดขึ้น ให้เด็กมีพัฒนาการไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกับ
เด็กทั่วไปหรือใกล้เคียงเด็กทั่วไปมากที่สุด ให้บริการโดยศูนย์การศึกษาพิเศษและมีระบบการ
ให้บริการ 6 ขั้นตอน ดังน้ี (สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2562)
1. การเก็บรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
การเก็บรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ
เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการให้บริการ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ และตัดสินใจใน
การวางแผนการให้บริการ ซึ่งมีวิธีการเก็บรวบรวมหลายวิธี ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์
การซักประวัติสังคมมิติ และการเยี่ยมบ้าน
2. การประเมินความสามารถพื้นฐาน การประเมินความสามารถพื้นฐาน
เป็นการประเมินให้ทราบถึงพัฒนาการด้านต่าง ๆของเด็กเพื่อค้นหาจุดเด่น จุดด้อย โดยเปรียบเทียบ
กับพัฒนาการตามวัยของเด็กทั่วไปซึ่งจะเป็นข้อมูลในการวางแผนการให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษและพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ทั้งทาง
8
พัฒนาการด้านร่างกายด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา ซึ่งมีหลักการและ
กระบวนการประเมินความสามารถพื้นฐานที่สาคัญ 7 ประการ (สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ,
2562)
3. การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education
Program : IEP) กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง หลักเกณฑ์และ
วิธีการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ.2552โดยได้กาหนด
องค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ให้ผู้เกี่ยวข้องได้นาไปใช้วางแผนในการ
จัดบริการตามองค์ประกอบ ซึ่งประกอบด้วย 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ข้อมูลทางด้านการแพทย์หรือด้าน
สุขภาพ 3) ข้อมูลด้านการศึกษา 4) ข้อมูลอ่ืน ๆ ท่ีจาเป็น 5) การกาหนดแนวทางการศึกษาและการ
วางแผนการจัดการศึกษาพิเศษ 6) ความต้องการสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความ
ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา 7) คณะกรรมการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล และ 8)
ความเห็นของบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้เรียนการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลต้อง
มีความละเอียดรอบคอบ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ
4. การให้บริการด้วยกิจกรรมที่เหมาะสม เมื่อกาหนดเป้าหมายและ
จุดประสงค์ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลแล้วเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษแต่ละบุคคล
จะได้รับการจัดการเรียนการสอนและบริการอื่น ๆ ตามที่กาหนด โดยครูและนักวิชาชีพจะจัด
กิจกรรมที่ครอบคลุมทักษะการเรียนรู้ สาหรับกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นใหจ้ ัดตามความต้องการจาเป็น
ของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษและบริบทของศูนย์การศึกษาพิเศษ ซึ่งในการจัดกิจกรรมท่ี
เหมาะสม ควรคานึงถึงอายุจริงของเด็กสภาพแวดล้อมของครอบครัว ชุมชน และเป้าหมายของ
ช่วงเชื่อมต่อท่ีศูนย์การศึกษาพิเศษและพ่อแม่ได้ร่วมกันกาหนด
5. การประเมินความก้าวหน้า ในระหว่างการจดั การเรียนการสอนหรอื
ให้บริการ ต้องมีการประเมินผลการจัดกิจกรรม โดยใช้เกณฑ์ที่กาหนดสาหรับเด็กที่มีความต้องการ
จาเป็นพิเศษแต่ละคน วิธีการประเมินขึ้นอยู่กับข้อกาหนดของกิจกรรม เช่น หากกิจกรรมกาหนดให้
เด็กปฏิบัติ แสดงว่าการประเมินจะเน้นการปฏิบัติของเด็กซึ่งผู้สอนจะใช้การสังเกตหรือการทดสอบก็
ได้ ในการประเมินแต่ละครั้งจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อนามาสรุปความก้าวหน้าของเด็ก
และการใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ตลอดจนมีการรายงานความก้าวหน้าโดยมีพ่อแม่หรือ
ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินผล และร่วมตัดสินใจในการทบทวนและปรบั แผนให้มี
ความเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษเป็น
เฉพาะบุคคล ซึ่งควรประเมินเพ่ือทบทวนและปรับแผนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
6. การนิเทศ ติดตาม ประเมินผลและการส่งต่อการนิเทศ เป็นการให้ความ
ช่วยเหลือ แนะนาครู นักวิชาชีพ ในการจัดการเรียนการสอนและให้บริการ เพื่อให้เด็กที่มีความ
ต้องการจาเป็นพิเศษได้รับการพัฒนาและบรรลุตามวัตถุประสงค์ ส่วนการกากับติดตาม เป็นการ
ตรวจสอบการจัดบริการให้เป็นไปตามระยะเวลาเปา้ หมายที่กาหนดไว้ เช่น การจัดโปรแกรม การ
ได้รับและใช้สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา รวมทั้ง
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอ่ืน ๆ เป็นต้น
9
2.1.4 แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานีได้ใช้แนวทางการให้บริการช่วยเหลอื
ระยะแรกเริ่มในระดับเตรียมความพร้อมพัฒนาการของนักเรียนที่รับบริการการช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่ม ตามศักยภาพของนักเรียนแต่ละบุคคลของการพัฒนาตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ
บุคคลของศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี ดังต่อไปน้ี
2.1.4.1 แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริม่ สาหรับบุคคลออทิสติก
หมายถึง บุคคลที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการด้านสังคม ภาษาและการสื่อ ความหมาย พฤติกรรม
อารมณ์ และจินตนาการ ซ่ึงมีสาเหตุเนื่องมาจากการทางานในหน้าที่บางส่วนของ สมองที่ผิดปกติไป
และความผิดปกตินั้นพบได้ก่อนวัย 30 เดือน บุคคลดังกล่าวมีสิทธิที่จะได้รับบริการทางการศึกษา
ตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ โดยการส่งเสริมพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพ การอบรม เล้ียงดูและ
เตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม การพัฒนาเน้นการมีส่วนร่วมของครอบครัว ด้วยความ เข้าใจ การ
ยอมรับ และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลออทิสติกกับพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู บุคลากรที่มี ความรู้
ความสามารถทางด้านการศึกษาพิเศษ หรือนักวิชาชีพท่ีเกี่ยวข้องจะทาให้บุคคลออทิสติก ได้รับการ
พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล โดยยึด
หลักการการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม และเตรียมความพร้อม ฟื้นฟูสมรรถภาพ ตั้งแต่แรก เกิดหรือ
พบความพิการ ทั้งนี้ให้คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน
สังคม และวัฒนธรรมไทย ซึ่งการพัฒนาบุคคลออทิสติกโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรม
ที่เหมาะสมกับวัย โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้บุคคลออทิสติกสามารถดารงชีวิตประจาวัน
ได้เต็มศักยภาพอย่างมีความสุข อีกทั้งประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน สถานศึกษา
และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาบุคคลออทิสติก แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
สาหรับบุคคลออทิสติก ตั้งแต่แรกเกิด ถึง 3 ปี มุ่งให้การช่วยเหลือ ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ได้เต็มศักยภาพตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล
จึงกาหนดจุดหมายซึ่งมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ดังน้ี
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรง และใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน
4. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
5. สนใจต่อการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว
6. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข
7. ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
แนวทางการพัฒนาศักยภาพของบุคคลออทิสติก อายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป
เป็นการ ให้บริการช่วยเหลือทันทีที่พบความพิการ ซึ่งบางคนอาจพิการตั้งแต่กาเนิดหรือพิการ
ภายหลัง โดย ส่งเสริมพัฒนาการ ฟื้นฟูสมรรถภาพ และเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม เพื่อให้
บุคคลเหล่านั้นมี พัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ได้เต็มศักยภาพ
10
ตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล เพื่อให้มีความพร้อมในการศึกษาหรือเข้าสู่สังคมได้
ต่อไป จึงกาหนดจุดหมายซึ่งมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนี้
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเน้ือมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรง และใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน
4. มีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัยในตนเองและมีความรับผิดชอบ
5. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
6. สนใจต่อการเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว
7. เล่นและท ากิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข
8. ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
9. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
10. มีความสามารถในการดeรงชีวิตประจาวันได้อย่างมีความสุขและเป็น
ภาระต่อคนรอบข้างน้อยที่สุด
2.1.4.2 แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับบุคคลที่มี
ความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กบกพร่องทางสติปญั ญา หมายถึงเด็กที่มีภาวะพัฒนาการทั้ง
ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาต่ากว่าเด็กปกติทั่วไป ความสามารถในการเรียนรู้
น้อย มีความจากัดในการปรับตวั ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ทาให้เด็กไม่สามารถปรับตัวได้เหมือนกับ
เด็กปกติทั่วไป กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสตปิ ัญญา เป็นเด็กพิการ
ทาง การศึกษา 1 ใน 9 ประเภท ความพิการทางการศึกษาจึงมีสิทธิที่จะได้รับบริการทางการศึกษา
ต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ โดยการส่งเสริมพัฒนาการ ฟื้นฟูสมรรถภาพ การอบรมเลี้ยงดูและ
เตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม โดยสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้มอบหมายให้ ศูนย์
การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางในการให้บริการทางการศึกษาระยะแรกเริ่ม
ดาเนินการในหลักการที่เน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กของครอบครัว ด้วยความเข้าใจ การ
ยอมรับและการมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ
ทางด้านการศึกษาพิเศษ หรือนักวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทาให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
และสอดคล้องกับ ความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล โดยมีหลักการ เพื่อส่งเสริม
กระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ยึดหลักการการ
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม และเตรียมความพร้อม ฟ้ืนฟูสมรรถภาพ ต้ังแต่แรก เกิดหรือพบความพิการ
ทั้งนี้ให้คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และ
วัฒนธรรมไทย พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยอีกทั้งจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กสามารถดารงชีวิตประจาวันได้เต็มศักยภาพอย่างมีความสุข และ
ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน สถานศึกษา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ใน การพัฒนา
เด็ก แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม สาหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
ต้ังแต่แรกเกิด ถึง 3 ปี มุ่งให้การช่วยเหลือ ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
11
และสติปัญญา ได้เต็มศักยภาพตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล จึงกาหนดจุดหมาย
ซ่ึงมี คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อให้ช่วยเหลือตนเองได้
2. เพ่ือรักษาสุขภาพอนามัยส่วนบุคคลได้
3. เพ่ือการอยู่ร่วมกับบุคคลอ่ืนในสังคม และเล่นกับเพ่ือนๆ ในวัย
เดียวกันได้
4. เพื่อการอ่าน เขียน คิดเลข ง่ายๆ ได้ และใช้ส่ือสารในชีวิตประจาวัน
5. กล้ามเน้ือมัดใหญ่และกล้ามเน้ือมัดเล็กแข็งแรง และใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
สาหรับแนวทางการพัฒนาศักยภาพของบุคคลทีม่ ีความบกพร่องทาง
สติปัญญาของบุคคลอายุ ตั้งแต่ 4 ปี ขึ้นไป เป็นการให้บริการช่วยเหลือทันทีที่พบความพิการ ซึ่งบาง
คนอาจพิการตั้งแต่กาเนิด หรือพิการภายหลัง โดยส่งเสริมพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพ และเตรียม
ความพร้อมอย่างเหมาะสมเพ่ือให้บุคคลเหล่านั้น มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
และสติปัญญา ได้เต็ม ศักยภาพตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล เพื่อให้มีความพร้อม
ในการศึกษาหรือเข้าสู่ สังคมได้ต่อไป จึงกาหนดจุดหมายซ่ึง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังน้ี
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยท่ีดี
2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงและใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อื่น
4. มีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัยในตนเองและมีความรับผิดชอบ
5. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
6. สนใจต่อการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว
7. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
8. ใช้ภาษาส่ือสารได้อย่างเหมาะสม
9. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
10. มีความสามารถในการดารงชีวิตประจาวันได้อย่างมีความสุข และเป็น
ภาระต่อคนรอบข้าง น้อยท่ีสุด
2.1.4.3 แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม สาหรับบุคคลที่มีความ
บกพร่องทางการได้ยินบุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการไดย้ ินเป็น
เหตุให้การรับรู้เสียงต่าง ๆ ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ บุคคลหูหนวกและบุคคลหูตึงโดยบุคคลหู
หนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยิน 90 เดซิเบล ขึ้นไป วดด้วยเสียงบริสุทธิ์ ณ ความถี่ 100
,1000 และ 2000 เฮอร์ซท์ ในหูข้างดีกว่า ไม่สามารถใช้การได้ยินให้เป็นประโยชน์เต็ม
ประสิทธิภาพในการฟังอาจเป็นผู้สูญเสียการได้ยิน มาแต่กาเนิดหรือเป็นการสูญเสียการได้ยินใน
ภายหลังก็ตาม ส่วนบุคคลหูตึง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินระหว่าง 26 – 89 เดซิเบล ในหู
ข้างดีกว่า วัดโดยใช้เสียงบริสุทธิ์ ความถี่ 500 , 1000 และ 2000 เฮอร์ซท์ เป็นบุคคลที่สูญเสียการ
ได้ยินเล็กน้อยไปจนถึงการได้ยิน ขั้นรุนแรง บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมีสิทธิที่จะได้รับ
12
บริการทางการศึกษาตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยการส่งเสริมพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพ
การอบรมเลี้ยงดูและเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสมเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาของ
ครอบครัว ด้วยความเข้าใจการยอมรับ และการมีปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างพ่อ แม่ ผู้เลี้ยงดูบุคลากรที่มี
ความรู้ความสามารถทางด้านการศึกษาพิเศษ หรือ นักวิชาชีพที่เกี่ยวข้องทาใหบ้ ุคคลที่มีความ
บกพร่องทางการได้ยินได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และสอดคล้องกับความต้องการจาเป็น
พิเศษของแต่ละบุคคลโดยมีหลักการในการส่งเสริมกระบวนการเรยี นรู้ และพัฒนาการที่ครอบคลุม
บุคคลที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ โดยยึดหลักการการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม และเตรียมความ
พร้อมฟื้นฟูสมรรถภาพ ตั้งแต่ แรกเกิดหรือพบความพิการทั้งนี้ให้คานึงถึงความแตกต่างระหว่าง
บุคคลวิถีชีวิตตามบริบทของชุมชนสังคมและวัฒนธรรมไทย พัฒนาบุคคลที่มีความบกพร่องโดยองค์
รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้บุคคลที่มีความ
บกพร่องสามารถดารงชีวิตประจาวันได้เต็มศักยภาพอย่างมีความสุข และประสานความร่วมมือใน
การพัฒนาบุคคลที่มีความบกพร่องระหว่างครอบครัว ชุมชน สถานศึกษา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม สาหรับบุคคลที่มีความ บกพร่องทาง การได้ยิน ต้ังแต่
แรกเกิด ถึง 3 ปี มุ่งให้การช่วยเหลือ ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและ
สติปัญญาได้เต็มศักยภาพตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคลจึงกาหนด จุดหมายซึ่งมี
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนี้
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงและใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน
4. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
5. สนใจต่อการเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว
6. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข
7. ใช้ภาษาส่ือสารได้อย่างเหมาะสม
สาหรับแนวทางการพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่มคี วามบกพร่องทางการได้ยินของบุคคลอายุ ตั้งแต่
4 ปี ขึ้นไป เป็นการให้บริการช่วยเหลือทันทีที่พบความพิการซึ่งบางคนอาจพิการตั้งแต่กาเนิด หรือ
พิการภายหลังโดยส่งเสริมพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพและเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสมเพื่อให้
บุคคลเหล่านั้นมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ได้เต็มศักยภาพ
ตามความ ต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคลเพื่อให้มีความพร้อมในการศึกษาหรือเข้าสู่สังคมได้
ต่อไปจึงกาหนดจุดหมายซ่ึงมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนี้
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยท่ีดี
2. กล้ามเน้ือมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรง และใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อ่ืน
4. มีคุณธรรมจริยธรรมมีวินัยในตนเองและมีความรับผิดชอบ
5. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
13
6. สนใจต่อการเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว
7. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
8. ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
9. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
10. มีความสามารถในการดารงชีวิตประจาวันได้อย่างมีความสุขและเป็น
ภาระต่อคนรอบข้างน้อยที่สุด
2.1.4.4 แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม สาหรับบุคคลที่มี
ความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ หมายถึง บุคคลท่ีมีอวัยวะไม่สมส่วนหรือ อวัยวะส่วนใดส่วน
หนึ่ง หรือ หลายส่วนขาดหายไป กระดูกและกล้ามเนื้อพิการเจ็บป่วยเร้ือรังรุนแรงมีความพิการของ
ระบบประสาทมีความลาบากในการเคลื่อนไหวอันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาในสภาพป กติและเป็น
ประเภทหนึ่งของเด็กที่มีความบกพร่องทางการศึกษาซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับบรกิ ารทางการศึกษาตั้งแต่
แรกเกิดหรือพบความพิการโดยการส่งเสริมพัฒนาการฟ้ืนฟูสมรรถภาพ การอบรมเล้ียง ดูและเตรียม
ความพร้อมอย่างเหมาะสมเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กของครอบครัวด้วยความเข้าใจ การ
ยอมรับ และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ
ทางด้านการศึกษาพิเศษ หรือนักวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทาให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
และสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคลโดยมีหลักการ ในการส่งเสริม
กระบวนการเรียนรูแ้ ละพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ โดยยึดหลักการ
ช่วยเหลือระยะแรกเริม่ และเตรยี มความพร้อมฟื้นฟูสมรรถภาพตั้งแต่แรก เกิดหรือพบความพิการ
ทั้งนี้ให้คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และ
วัฒนธรรมไทย พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย อีกทั้งจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กสามารถดารงชีวิตประจาวันได้เต็มศักยภาพอย่างมี ความสุข และ
ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน สถานศึกษา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน การพัฒนา
เด็ก โดยแนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
หรือ สุขภาพ ตั้งแต่แรกเกิด ถึงอายุ 3 ปี มุ่งให้การช่วยเหลือส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาได้เต็มศักยภาพตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล
จึง กาหนดจุดหมายซึ่งมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังน้ี
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยท่ีดี
2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงและใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน
4. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
5. สนใจต่อการเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว
6. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
7. ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
สาหรับแนวทางการพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ
ของ บุคคลอายุตั้งแต่ 4 ปี ขึ้นไป เป็นการให้บริการช่วยเหลือทันทีที่พบความพิการซึ่งบางคนอาจ
14
พิการต้ังแต่กาเนิดหรือพิการภายหลัง โดยส่งเสริมพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพและเตรียมความพร้อม
อย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ
สติปัญญาได้เต็มศักยภาพตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคลเพื่อให้มีความพร้อมใน
การศึกษาหรือเข้าสู่สังคมได้ต่อไปจึงกาหนดจุดหมายซ่ึงมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังน้ี
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงและใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน
4. มีคุณธรรมจริยธรรม มีวินัยในตนเองและมีความรับผิดชอบ
5. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
6. สนใจต่อการเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว
7. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข
8. ใช้ภาษาส่ือสารได้อย่างเหมาะสม
9. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
10. มีความสามารถในการดารงชีวิตประจาวันได้อย่างมีความสุขและเป็น
ภาระต่อคนรอบข้างน้อยที่สุด
2.1.4.5 แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม สาหรับบุคคลที่มี
ความบกพร่องทางการเห็นบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็น
ต้ังแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงตาบอดสนิทซ่ึงมีสิทธิที่จะได้รับบริการทางการศึกษาตั้งแต่แรกเกิดหรือพบ
ความพิการโดยการส่งเสริมพัฒนาการฟื้นนฟูสมรรถภาพการอบรมเลี้ยงดูและเตรียมความพร้อม
อย่างเหมาะสมเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กของครอบครัวด้วยความเข้าใจการยอมรับ และ
การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง เด็กกับพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู บุคลากรที่มีความรูค้ วามสามารถทางด้าน
การศึกษาพิเศษหรือนักวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทาให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพและ
สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคลโดยมีหลักการ โดยส่งเสริมกระบวนการ
เรียนรู้และพัฒนาการบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ซึ่งยึดหลักการการช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มและเตรียมความพร้อมฟื้นฟูสมรรถภาพ ตั้งแต่แรก เกิดหรือพบความพิการทั้งนี้ให้คานึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของ ชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย
พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย โดยจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้
เด็กสามารถดารงชีวิตปราวันได้เต็มศักยภาพอย่างมีความสุข และประสานความร่วมมือระหว่าง
ครอบครัว ชุมชน สถานศึกษา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กโดยแนวทางการใหบ้ รกิ าร
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม สาหรับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็นต้ังแต่แรกเกิด ถึงอายุ 3 ปี มุ่งให้
การช่วยเหลือส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ได้เต็ม
ศักยภาพตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล จึงกาหนดจุดหมายซึง่ มีคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ ดังน้ี
15
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงและใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อื่น
4. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
5. สนใจต่อการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว
6. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
7. ใช้ภาษาส่ือสารได้อย่างเหมาะสม
สาหรับแนวทางการพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น อายุตั้งแต่ 4
ปีขึ้นไปเป็นการให้บริการช่วยเหลือทันทีท่ีพบความพิการ ซึ่งบางคนอาจพิการต้ังแต่กาเนิดหรือพิการ
ภายหลังโดยส่งเสริมพัฒนาการฟ้ืนฟูสมรรถภาพและเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคคล
เหล่านั้นมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาได้เต็มศักยภาพตามความ
ต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคลเพื่อให้มีความพร้อมในการศึกษาหรือเข้าสู่สังคมได้ต่อไปจึง
กาหนดจุดหมายซ่ึงมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ดังนี้
1. ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงและใช้ได้อย่างประสาน
สัมพันธ์กัน
3. ร่าเริง แจ่มใส มีความสุขและมีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อื่น
4. มีคุณธรรมจริยธรรมมีวินัยในตนเองและมีความรับผิดชอบ
5. ช่วยเหลือตนเองได้เต็มศักยภาพ
6. สนใจต่อการเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว
7. เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
8. ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
9. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
10. มีความสามารถในการดารงชีวิตประจาวันได้อย่างมีความสุขและเป็น
ภาระต่อคนรอบข้างน้อยที่สุด
2.1.5 การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized Education
Program : IEP)
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized Education Program : IEP)
เป็นแผน ซึ่งกาหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษคนพิการ
ตลอดจนกาหนดสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาเฉพาะ
บุคคล ซ่ึงมี ข้ันตอนในการจัดทาดังนี้
2.1.5.1 การรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กพิการ - การสัมภาษณ์ - การสังเกต -
การรวบรวมเอกสาร ประวัติทั่วไป
2.1.5.2. การประเมินคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา โดยกระบวนการ
ประเมินคัดกรอง สามารถใช้แบบทดสอบทางการศึกษา เช่น แบบทดสอบทาง จิตวิทยาการศึกษา
16
แบบคัดกรองของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2558 หรือแบบประเมิน คัดกรอง ของหน่วยงานอื่น ๆ
เพื่อประมวลข้อมูล การประเมินความสามารถพื้นฐาน ( Based Assessment ) การตรวจสอบและ
ประเมินเด็ก เพ่ือค้นหาศักยภาพหรือความสามารถที่เป็นข้อเด่นของเด็ก และทักษะท่ีเด็กสามารถใช้
ในชีวิตประจาวัน (Functional skill) รวมท้ังค้นหาข้อด้อย ข้อบกพร่อง หรือปัญหาของเด็กทั้งนี้ควร
ประเมินในหลายสถานการณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดในการนาไปจัดทา แผนการจัดการศึกษา
เฉพาะบุคคล (IEP) หรือแผนการให้บริการเฉพาะครอบครัว (IFSP) (สาหรับเด็กที่มี การประเมิน
ความสามารถพื้นฐานและมีความพร้อมให้พิจารณาเข้าสู่กระบวนการส่งต่อได้) องค์ประกอบของ
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized Education Program : IEP) ประกอบด้วย 1)
ข้อมูลทั่วไป 2) ข้อมูลทางการศึกษา 3) การวางแผนการจัดการศึกษา 4) ความต้องการสิ่งอานวย
ความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา 5) คณะกรรมการจัดทาแผนการ
จัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 6) ความเห็นชอบของบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้เรียน
2.1.5. 3. การให้บริการด้วยการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม ( Appropriate
Intervention Activities) การจัดกิจกรรมให้เด็กพิการทุกประเภทจะต้องคานึงถงึ กิจกรรม
เช่นเดียวกับเด็กทั่วไปในระดับ อายุ 4 ปีขึ้นไปตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual
Implementation Plan : IIP) ซึ่ง ประกอบด้วยทักษะสาคัญ 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) ทักษะ
กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (Gross Motor Skill) 2) ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก(Fine Motor Skill) 3) ทักษะ
ทางด้านภาษาและการสื่อสาร (Language/Communication Skill) 4) ทักษะทางสังคม (Social
Skill) 5) ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (Self - Help Skill) 6) ทักษะวิชาการ/สติปัญญา (Pre-
academic Skill) สาหรับการให้บริการด้วยการจัดกิจกรรมท่ีเหมาะสมให้ดาเนินการจัดกิจกรรมตาม
โครงสร้างหลกั สูตรและผลการพัฒนาทีค่ าดหวังของทักษะทั้ง 6 ด้าน และทักษะที่จาเป็นสาหรับ
บุคคลท่ีมีความบกพร่องบางประเภท
2.1.5.4 การประเมินความก้าวหน้า (Re-Assessment) ในการให้บริการจะต้องมี
การจดบันทึกและรวบรวมขอ้ มูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาจมีการประชุมเพื่อสรุปความก้าวหน้าของ
เด็กแต่ละคน ตลอดจนมีการรายงานความก้าวหน้าใหพ้ ่อแม่ ผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีการตัดสินใจ
ปรับปรุงการให้บริการหรือปรับเปล่ียนกิจกรรม โดยมีการประเมินอย่าง น้อยปีละ 2 คร้ัง
2.1.5.5 การส่งต่อและการนิเทศ ติดตาม ประเมินผล ดาเนินการส่งต่อเด็กพิการไป
ยังหน่วยงานทางการศึกษาหรือหน่วยงานที่เก่ียวข้องและนิเทศติดตาม
2.1.5.6 การประเมินผลพัฒนาการหรือศักยภาพ การประเมินผลพัฒนาการหรือ
ศักยภาพผู้เรียนใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การให้ ปฏิบัติจริง เป็นต้น การประเมินผล
พัฒนาการหรือศักยภาพผู้เรียน สาหรับเด็กที่มีความบกพร่องทาง การเห็น แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
คือ
1. การประเมินผลก่อนการฝึกพัฒนาการให้ดาเนินการรวบรวมข้อมูล
พื้นฐานด้าน ต่าง ๆ ของเด็กและดาเนินการประเมิน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทาแผนการจัด
การศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) หรือ แผนบริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว (IFSP)
17
2. การประเมินผลระหว่างการฝึกพัฒนาการ เป็นการประเมินผลเพื่อ
ติดตามความ ก้าวหน้าและนาข้อมูลมาพิจารณาปรับปรุงแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) หรือ
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) หรือแผนบริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว (IFSP)
3. การประเมินผลหลังการฝึกพัฒนาการเป็นการประเมินทักษะเพื่อดู
ความก้าวหน้าของพัฒนาการในลักษณะสรุปรวมเมื่อสิ้นปีการศึกษาเพื่อพิจารณาส่งต่อเพื่อพัฒนา
หรือเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษา
จาการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized
Education Program : IEP) ทาใหค้ ณะผ้วู ิจัยรู้ว่าแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized
Education Program : IEP) เป็นแผน ซึ่งกาหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความ
ต้องการจาเป็นพิเศษคนพิการ ตลอดจนกาหนดสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความ
ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาเฉพาะบุคคลการตรวจสอบและประเมินเด็ก เพื่อค้นหาศักยภาพหรือ
ความสามารถท่ีเป็นข้อเด่นของเด็ก และทักษะท่ีเด็กสามารถใช้ในชีวิตประจาวัน (Functional skill)
รวมท้ังค้นหาข้อด้อย ข้อบกพร่อง หรือปัญหาของเด็กทั้งนี้ควรประเมินในหลายสถานการณ์เพื่อให้ได้
ข้อมูลที่ละเอียดในการนาไปจัดทา แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) หรือแผนการให้บริการ
เฉพาะครอบครัว (IFSP) สาหรับเด็กที่มี การประเมินความสามารถพื้นฐานและมีความพร้อมให้
พิจารณาเข้าสู่กระบวนการส่งต่อได้
2.2 แนวความคิด ทฤษฎีเกย่ี วกับความพึงพอใจ
2.2.1 ความหมายความพึงพอใจ
กชกร เป้าสุวรรณ และคณะ (2550) ได้กล่าวถึง ความหมายของความพึงพอใจว่า
ส่งท่ีควรจะเป็นไปตามความต้องการ ความพึงพอใจเป็นผลของการแสดงออกของทัศนคติของบุคคล
อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความรู้สึกเอนเอียงของจิตใจที่มีประสบการณ์ที่มนุษย์เราได้รับอาจจะมาก
หรือน้อยก็ได้และเป็นความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ แต่ก็เมื่อได้
สิ่งนั้น สามารถตอบสนองความต้องการ หรือทาให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้ ก็จะเกิดความรู้สึกบวก
เป็นความรู้สึกที่พึงพอใจ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสิ่งนั้นสร้างความรู้สึกผิดหวงั ก็จะทาให้เกิด
ความรู้สึกทางลบ เป็นความรู้สึกไม่พึงพอใจ
วิมลสิทธิ์ หรยางกรู (2551) กล่าวว่าความพึงพอใจเป็นการให้ค่าความรู้สึกของเรา
และมีควาสัมพันธ์กับโลกทัศน์เกี่ยวกบความหมายของสภาพแวดล้อม ค่าความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อ
สภาพแวดลอมจะแตกต่างกันเช่น ความรู้สึกเลว-ดี พอใจ-ไม่พอใจ สนใจ-ไม่สนใจ เป็นต้น
จรัส โพธิ์จันทร์ (2553) ได้กล่าวถึงความพึงพอใจว่าเป็นความรู้สึกของบุคคลต่อ
หน่วยงาน ซึ่งอาจเป็นความรู้สึกในทางบวก ทางเป็นกลาง หรือทางลบ ความรู้สึกเหล่านี้มีผลต่อ
ประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลากร กล่าวคือ หากความรู้สกึ โน้มเอียงไปในทางบวกการ
ปฏิบัติหน้าที่จะมีประสทิ ธิภาพสูงแต่หากความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางลบการปฏิบัติหน้าที่จะมี
ประสิทธิภาพต่า
พัฒนา พรหมณ์ (2562) ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะทางอารมณ์ของบุคคล
เมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการตามความคาดหวัง ความพึงพอใจในงานเป็นทัศนคติ
18
ของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่องานที่เขากระทาซึ่งแสดงออกมาเป็นความชอบหรือความไม่ชอบคุณลักษณะ
ของงานในรางวัลที่ได้รับจากการทางาน และในสภาพแวดล้อมของการทางานซึ่งช่วยสง่ เสรมิ ให้เกิด
การปฏิบัติงานที่มีคุณภาพและความรว่ มมือร่วมใจ ระบบงานดาเนินไปด้วยความราบรื่นเรียบร้อย
มีบรรยากาศในการทางานที่ดี และภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับบริการเกิด
ความพึงพอใจ องค์ประกอบของการเกิดความพึงพอใจในงาน ประกอบด้วย ความพึงพอใจที่เกิด
จากการตอบสนองความต้องการของร่างกาย จิตใจ และการเรียนรู้การประเมินความพึงพอใจในงาน
เป็นการประเมนิ ความรูส้ ึก ความคิดและพฤติกรรม สามารถประเมินได้ด้วยวิธีการสังเกต การ
สัมภาษณ์ และการสอบถาม ที่นิยมคือใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นอย่างรอบคอบและอย่างถูกต้อง
เหมาะสมตามทฤษฎีของการวัดและประเมินผล และแปลผลเพื่อการนาไปใช้ประโยชน์ในการ
ดาเนินงานตามความต้องการต่อไป
จากความหมายของความพึงพอใจในการปฏิบัติงานดังกล่าวมาทั้งหมด สรุปได้ว่า
ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานหมายถึง ความรู้สึกที่ดีเจตคติที่ดีและมีความสุขต่อการปฏิบัติงานที่มี
ต่อสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรโดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงในอาชีพ ขนาดของ
หน่วยงานลักษณะของงาน ความก้าวหน้าในงานและอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลให้การทางานนั้นประสบ
ผลสาเร็จสนองนโยบายแลบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ก่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นในองค์กรอย่าง
ต่อเนื่อง
ทฤษฎีแรงจูงใจของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( S. M. Freud) ตั้งสมมุติฐานว่าบุคคลมักไม่
รู้ตัวมากนักว่าพลังทางจิตวิทยามีส่วนช่วยสร้างให้เกิดพฤติกรรม พบว่าบุคคลเพิ่มและ ควบคุมส่ิงเร้า
หลายอย่าง สิ่งเร้าเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมอย่างสิ้นเชิง บุคคลจึงมีความฝัน พูดคาที่ไม่ตั้งใจ
พูด มีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและมีพฤติกรรมหลอกหลอนหรือเกิดอาการวิตกจริตอย่างมาก ขณะที่
ชาริณี (2535) ได้เสนอทฤษฎีการแสวงหาความพึงพอใจไว้ว่า บุคคลพอใจจะกระทาสิ่งใดๆที่ให้มี
ความสุขและจะหลีกเล่ียงไม่กระทา ในสิ่งที่เขาจะได้รับความทุกข์หรือความยากลาบาก โดยอาจแบ่ง
ประเภทความพอใจกรณีนี้ได้ 3 ประเภท คือ ความพอใจด้านจิตวิทยา (psychological hedonism)
เป็นทรรศนะของความพึงพอใจว่ามนุษย์โดยธรรมชาติจะมีความแสวงหา ความสุขส่วนตัวหรือ
หลีกเลี่ยงจากความทุกข์ใดๆความพอใจเกี่ยวกับตนเอง (egoistic hedonism) เป็นทรรศนะของ
ความพอใจว่ามนุษย์จะพยายามแสวงหาความสุขส่วนตัว แต่ไม่จาเป็นวา่ การแสวงหาความสุขต้อง
เป็นธรรมชาติของมนุษย์เสมอไปความพอใจเกี่ยวกับจริยธรรม (ethical hedonism) ทรรศนะนี้ถือ
ว่ามนุษย์แสวงหาความสุขเพื่อผลประโยชน์ของมวลมนุษย์หรือ สังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่และเป็นผู้
ได้รับผลประโยชน์ผู้หน่ึงด้วย
2.2.2 ความสาคัญความพึงพอใจ
ความพึงพอใจในการให้บริการนับว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดและสาคัญที่สุดของงาน
ด้านการบริการ การสร้างความพึงพอใจให้ผู้รับบริการจนเกิดความรู้สึกดี มีประทับใจบรรลุความ
คาดหวังของตัวผู้รับบริการถือว่าเป็นอีกหน่ึงความสาเร็วของงานอย่างแท้จริง ดังนั้นการศึกษาความ
พึงพอใจที่มีต่อการรับบริการผู้ให้บริการต้องให้ความสาคัญ (จิตตินันท์ เดชะคุปต์ 2551)
ประกอบด้วย 1) ความพึงพอใจของผู้รับบริการเป็นตัวกาหนดคุณลักษณะของการบริการผู้บริหาร
องค์กรและผู้ปฏิบัติงานบริการจาเป็นต้องสารวจความพึงพอใจของผู้รับบริการเกี่ยวกับการให้บริการ
19
และลักษณะของการให้บริการที่ผู้รับบริการชื่นชอบ เพราะข้อมูลดังกล่าวจะบ่งบอกถึงการประเมิน
ความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้รับบริการต่อคุณสมบัติของบริการที่ผู้รับบริการต้องการ และวิธีการ
ตอบสนองความต้องการแต่ละอย่างในลักษณะท่ีผู้ใช้บริการปรารถนาซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริการในการที่
ตระหนักถึงความคาดหวังของผู้รับบริการและสามารถตอบสนองบริการที่ตรงกับลักษณะและ
รูปแบบที่ผู้รับบริการคาดหวังไว้ได้จริง 2) ความพึงพอใจของผู้รับบริการเป็นตัวแปรสาคัญในการ
ประเมินคุณภาพบริการการนาเสนอบริการที่ดีมีคุณภาพตรงกับความต้องการ ความคาดหวังของ
ผู้รับบริการมีผลให้ผูร้ ับบริการเกิดความพึงพอใจต่อการบริการน้ัน และมีแนวโน้มจะใช้บริการช้าอีก
ต่อๆ ไป ได้แก่สถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ บุคลิกลักษณะของผู้ให้บริการ ความน่าเชื่อถือไว้วางใจของ
การบริการความเต็มใจที่จะใช้บริการ ตลอดจนความรู้ ความสามารถในการให้บริการด้วยความ
เช่ือม่ันและความเข้าใจต่อผู้อื่น
2.2.3 องค์ประกอบความพึงพอใจ
องค์ประกอบของความพึงพอใจในการบริการแนวคิดเกี่ยวกับองค์ประก อบที่มี
อิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการ ตามทัศนะของ จิตดีนันท์ เดชะคุปต์ (2551) ประกอบด้วย
1) ผลิตภัณฑ์ของบริการ ความพึงพอใจของผู้รับบริการจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับบริการที่มีลักษณะ
คุณภาพและระดับการให้บริการตรงกับความต้องการ ความเอาใจใส่ของผู้ให้บริการและคุณภาพ
บริการ 2) ราคาค่าบริการค่าใช้จ่าย ความพึ่งพอใจของผู้รับบริการขึ้นอยู่กับราคาคาบริกา รที่
ผู้รับบริการยอมรับหรือพิจารณาว่าเหมาะสมกับคุณภาพของการบริการตามความเต็มไจที่จะจ่าย
ของผู้รับบริการทั้งนี้เจตคติของผู้รับบริการที่มีต่อราคาค่าบริการกับคุณภาพการบริการ ของแต่ละ
บุคคลจะแตกต่างกันออกไป 3) สถานที่ในการบริการ หากผู้รับบริการสามารถเข้าถึงการให้บริการ
ได้โดยสะดวกย่อมก่อให้เกิดความพึงพอใจต่อผู้รับบริการ ซึ่งด้านสถานที่นี้รวมทั้งทาเล ที่ตั้ง และ
การกระจายสถานที่ให้บริการให้ทั่วถึง เพื่ออานวยความสะดวกแก่ผู้รบั บริการข่าวสารหรือบคุ คลอื่น
กล่าวถึงคุณภาพการบริการในทางบวกซึ่งหากตรงกับความเช่ือถือที่มีอยู่ก็จะทาให้เกิดความพึงพอใจ
มากย่ิงข้ึน 4) การส่งเสริมแนะนาบริการ ความพึงพอใจของผู้รับบริการเกิดข้ึนได้จากการได้ยินข้อมูล
รู้สึกดีกับบริการดงั กล่าว อันเป็นแรงจูงใจผลักดันให้มีความต้องการบริการตามมาได้ 5) ผู้ให้บริการ
เป็นบุคคลที่มีบทบาทสาคัญต่อการปฏิบัติงานบริการให้ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจ การบริการท่ี
วางนโยบายการบริการโดยคานึงถึงความสาคญั ของผู้รับบรกิ ารเป็นหลักย่อมสามารถตอบสนอง
ความต้องการของผู้รับบริการให้เกิดความพึงพอใจได้ง่าย 6) สภาพแวดล้อมของการบริการ
สภาพแวดล้อมและบรรยากาศของการบริการมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการ 7)
กระบวนการบริการ วิธีการนาเสนอบริการเป็นส่วนสาคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับ
ผู้รับบริการ ประสิทธิภาพของการจัดระบบบริการส่งผลให้การปฏิบัติงานบริการแก่ผู้รับบริการมี
ความคล่องตัวและสนองตอบต่อความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างถูกต้อง
2.2.4 การวัดความพึงพอใจ
ความพึงพอใจเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกระบวนการจัดการเรียนรู้ประกอบกับ
ระดับ ความรู้สึกของนักเรยี นดงั น้ันในการวัด ความพึงพอใจในการเรียนรู้กระทาได้หลายวิธี ต่อไปน้ี
สาโรจน์ ไสยสมบัติ (2534)
1. การใช้แบบสอบถามซ่ึงเป็นวิธีท่ีนิยมใช้มากอย่างแพร่หลายวิธีหนึ่ง
20
2. การสัมภาษณ์ซ่ึงเป็นวิธีที่ต้องอาศัย เทคนิคและความชานาญพิเศษของ
ผู้สัมภาษณ์ท่ีจะจูงใจให้ผู้ตอบคาถามตามข้อเท็จจริง
3. การสังเกต เป็นการสังเกตพฤติกรรมทั้ง ก่อนการปฏิบัติกิจกรรม ขณะ
ปฏิบัติกิจกรรมและ หลังการปฏิบัติกิจกรรมจะเห็นได้ว่าการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้สามารถที่
จะวัดได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยูก่ ับความ สะดวกความเหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมาย
ของการวัดด้วยจึงจะส่งผลให้การวัดน้ัน มีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือ
จากการศึกษา คณะผู้วิจัย สรุปได้ว่า ความพึงพอใจในการเรียนและผลการเรียนจะ
มีความสัมพันธ์กันในทางบวก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ปฏิบัตินั้น ทาให้ผู้เรียนได้รับการ
ตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นส่วนสาคัญท่ีจะทาให้เกิดความสมบูรณ์ของ
ชีวิตมากน้อยเพียงใดนั่นคือสิ่งที่ครูผู้สอนจะคานึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ในการเสริมสร้างความพึง
พอใจในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
2.3 บริบทผู้ปกครอง
2.3.1 ความหมายของผู้ปกครอง
ผู้ปกครอง หมายถึง ผู้ที่เป็นบิดา มารดา หรือบุคคลอื่นซึ่งทาหน้าที่ในการอบรม
เลี้ยงดูเพื่อให้เด็กมีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา สามารถ
เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างมีความสุข บทบาทและหน้าที่ของผู้ที่เป็นผู้ปกครองเด็ก
ปฐมวัยถือเป็นผู้ท่ีมีความสาคัญยิ่งต่อการสร้างรากฐานของชีวิตในอนาคตกับเด็ก ดังนั้นผู้ปกครองจึง
ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กได้แก่ การอบรมเลี้ยงดูการส่งเสริมพัฒนาการ
และการเรียนรู้ และการส่งเสริมการศึกษา การที่ผู้ปกครองตระหนักถึงความสาคัญของบทบาทและ
หน้าที่ของตนเองในการพัฒนาเด็ก ย่อมเป็นการทาให้ผู้ปกครองจาเป็นต้องแสวงหาองค์ความรู้ที่
จาเปน็ เพอ่ื นามาปฏบิ ตั ิใช้ในการอบรมเล้ียงดูเด็กในด้านต่าง ๆ กรมวิชาการ (2545)
ผู้ปกครองจึงมีความสาคัญซ่ึงมีความใกล้ชิดกับเด็ก เป็นผู้ท่ีมีความหมายต่อชีวิตเด็ก
ทั้งการเจริญเติบโตทางร่างกายและจิตใจเป็นผู้ที่เดก็ มอบความรักด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผู้ปกครองจึง
เป็นผู้นาที่จะช่วยให้เด็กเจริญเติบโต มีพัฒนาการที่เหมาะสุม เพื่อการก้าวสู่โลกกว้างได้อย่างมั่นคง
และมีความพร้อมในทุกด้าน จึงถือว่าผู้ปกครองเป็นผู้เสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ด้วยความ
รัก ความเข้าใจให้แก่เด็กตั้งแต่เยาว์วัยเป็นรากฐานอนาคตของสังคมให้มีความสมบูรณ์และแข็งแรง
2.3.2 บทบาทสาคัญของผู้ปกครอง
พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่มีความใกล้ชิดกับเด็ก เป็นผู้สนับสนุนและ
วางรากฐานอันสาคัญยิ่งต่อการเจริญเติบโตของชีวิตมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ภาวะแห่งความ
รับผิดชอบในการอบรมเลี้ยงดูและสายใยแห่งความผูกพันระหว่างพ่อแม่ ลูก เป็นพันธะที่จะต้องมี
การดาเนินอย่างต่อเนื่อง เพื่อจุดมุ่งหมายที่สาคัญคือ การให้เด็กได้เจริญเตบิ โดสมบูรณ์ทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจให้เขาสามารถช่วยเหลือตนเอง สามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่าง มีความสุข
กรมวิชาการ (2545) ได้กล่าวถึงบทบาทและหน้าท่ี ของผู้ปกครองไว้ดังนี้
1. เป็นแบบอย่างท่ีดีของลูก
21
2. ให้ความรักและความเข้าใจ
3. เรียนรู้ร่วมกับเด็ก
4. ยอมรับอารมณ์และความรู้สึกของลูก
5. ไม่ปิดก้ันความรู้สึกของลูก
6. ฝึกให้ลูกรู้จักการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี
7. ลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
จากการที่คณะผู้วิจัยได้ศึกษาความพึงพอใจ ได้ทราบถึงสภาวะทางอารมณ์ของบุคคลเมือ่
ได้รับการตอบสนองความต้องการตามความคาดหวัง ความพึงพอใจในงานเป็นทัศนคติของ
ผู้ปฏิบัติงานที่มีต่องานที่เขากระทาซึ่งแสดงออกมาเป็นความชอบหรือความไม่ชอบคุณลักษณะของ
งานในรางวัลที่ได้รับจากการทางาน และในสภาพแวดล้อมของการทางานซึ่งช่วยส่งเสริมให้เกิดการ
ปฏิบัติงานที่มีคุณภาพและความร่วมมือร่วมใจ ระบบงานดาเนินไปด้วยความราบรื่นเรียบร้อย
มีบรรยากาศในการทางานที่ดี และภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับบริการเกิด
ความพึงพอใจ องค์ประกอบของการเกิดความพึงพอใจในงาน ประกอบด้วย ความพึงพอใจที่เกิด
จากการตอบสนองความต้องการของร่างกาย จิตใจ และการเรียนรู้การประเมินความพึงพอใจในงาน
เป็นการประเมินความรู้สึก ความคิดและพฤติกรรม สามารถประเมินได้ด้วยวิธีการสังเกต การ
สัมภาษณ์ และการสอบถาม ที่นิยมคือใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นอย่างรอบคอบและอย่างถูกต้อง
เหมาะสม
2.4 นักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
2.4.1 ความหมายของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
พระราชบัญญัติส่งเสริมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 มาตรา 4
ให้ความหมาย ของคาว่า “คนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจากัดในการปฏิบัติกิจกรรมใน
ชีวิตประจาวันหรือเขาไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การ
เคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่องอื่นใด
ประกอบกับมีอุปสรรคในด้าน ต่าง ๆ และมีต้องการความจาเป็นพิเศษท่ีจะต้องได้รับความช่วยเหลือ
ด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถปฏิบัติ กิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคมได้
อย่างบุคคลท่ัวไป
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Convention on the Rights of People with Disabilities
– CRPD) (สานักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแห่งชาติ 2552) กล่าวว่า คนพิการหมายความ
รวมถึงบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาหรือประสาทสัมผัสในระยะยาว ซึ่งเมื่อ
มีปฏิสัมพันธ์กับอปุ สรรคนานปั การจะกีดขวางการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเต็มที่และมีประสทิ ธิผล
บนพื้นฐานท่ีเท่าเทียมกับบุคคลอื่น
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO) (2538) ได้พยายาม
ที่จะจากัดความหรอื ให้ความหมายของคาว่า “เด็กที่มีความต้องการพิเศษ” เพื่อให้เป็นแนวทาง
สาหรับการทาความเข้าใจว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะต้องอยู่ในขอบเขต 3 ประการ คือ
22
1. ความบกพร่อง (Impairment) หมายถึง มีการสูญเสียหรือมีความ
ผิดปกติของจิตใจและสรีระหรือโครงสร้างและหน้าท่ีของร่างกาย
2. ไร้สมรรถภาพ (Disability) หมายถึง การมีข้อจากัดใด ๆ หรือการขาด
ความสามารถ อันเป็นผลมาจากความบกพร่องจนไม่สามารถกระทากิจกรรมในลักษณะหรือภายใน
ขอบเขตที่ถือว่าปกติสาหรับมนุษย์ได้
3. ความเสียเปรียบ (Handicap) หมายถึง การมีความจากัดหรืออุปสรรค
กีดกั้นอัน เนื่องมาจากความบกพร่อง และการไร้สมรรถภาพที่จากัดหรือขัดขวางจนทาให้บุคคลไม่
สามารถบรรลุการกระทาตามบทบาทปกติของเขาได้สาเร็จ
รจเรข พยอมแย้ม (2553 ) กล่าวว่า เด็กพิเศษ หรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กพิการ เด็กท่ีมีความบกพร่อง เป็นคาท่ีใช้ในลักษณะเดียวกัน ซ่ึงหมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
ทางร่างกายสติปัญญา อารมณ์ และสังคม ซึ่งกระทบกระเทือนต่อพัฒนาการของเด็ก ดังนั้น
จึงจาเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือและจัดสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพื่อให้เด็กเกิดการ
เรียนรู้โดยการจัดเน้ือหาวิธีการเรียนรู้ และการประเมินผลที่แตกต่างไปจากเด็กปกติทั่วไป
กมล นัยจิต (2555) สรุปไว้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีสภาพ
ความบกพร่องในลักษณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะทางด้านพัฒนาการของร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษาหรือ
สติปัญญา ในทางด้านการศึกษานั้น จะต้องพิจารณาความจากัดของสภาพร่างกาย และความจากัด
ทางสติปัญญา เพื่อจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งโรงเรียนอาจต้องการครู
อุปกรณ์ และอ่ืน ๆ เพ่ิมเติมจากการจัดการเรียนการสอนเด็กปกติ เพ่ือให้เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ
สามารถเรียนรู้ตามความสามารถของ เพ่ือท่ีจะพ่ึงตนเองได้และอยู่ในสังคมต่อไปได้อย่างปกติสุข
สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2563 ) กลุ่มเด็กที่มีความ
บกพร่องด้านต่าง ๆ ในร่างกาย กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งลักษณะของเด็กพิเศษ ออกเป็น 9 กลุ่ม
ได้แก่ 1) เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น 2) เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 3) เด็กที่มี
ความบกพร่องทางการสื่อสาร 4) เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว 5) เด็กที่มี
ความบกพร่องทางอารมณ์และพฤติกรรม 6) เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 7) เด็กที่มีความ
บกพร่องทางการ เรียนรู้ 8) เด็กออทิสติก และ 9) เด็กที่มีความพิการซ้อน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จาเป็นที่
จะต้องได้รับการเรียนรู้ การอบรมสั่งสอนจากสถานศึกษา บุคลากรผู้ให้ความรู้ที่เหมาะสมกับเด็ก
แต่ละกลุ่ม
2.4.2 ประเภทของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ
ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคน
พิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 อาศัยอานาจตามความในมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่ง
พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
จึงออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทาง
การศึกษา พ.ศ. 2552 โดยการพิจารณาบุคคลทีม่ ีความบกพร่องเพื่อจัดประเภทของคนพิการแบ่ง
ออกเป็น 9 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็น
ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจบถึงตาบอดสนิท ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทดังน้ี
23
1.1 คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมากจนต้องใช้
สื่อสัมผัสและสื่อเสยี งหากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดเี มื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับ 6 ส่วน 60
(6/60) หรือ 20 ส่วน 200 (20/200) จนถึงไม่สามารถรับรูเรื่องแสง
1.2 คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นแต่ยัง
สามารถอ่านอักษร ตัวพิมพ์ขยายใหญด่ ้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการหรือเทคโนโลยีสิ่งอานวย
ความสะดวก หากวัดความชัดเจนของสายตาข้างดี เมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ 6 ส่วน 18 (6/18)
หรือ 20 ส่วน 70 (20/70)
2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยิน
ต้ังแต่ระดับหูตึงน้อยจนถึงหูหนวก ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเกท ดังนี้
2.1 คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่
สามารถเข้าใจการพูดผ่านทางการได้ยินไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟัง ซึงโดยทั่วไปหากตรวจ
การได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยิน 90 เดซิเบลขึ้นไป
2.2 คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้
ยินการพูดผ่านทางการไดย้ ิน โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการ ได้ยินจะมีการ
สูญเสียการ ได้ยินน้อยกว่า 90 เดซิเบลลงมาถึง 26 เดซิเบล
3. บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ บุคคลที่มีความจากัด
อย่างชัดเจน ในการปฏิบัติตน (Functioning) ในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ ความสามารถ
ทางสติปัญญาต่ากว่าเกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสาคัญรวมกับความจากัดของทักษะการปรับตัวอีกอย่าง
น้อย 2 ทักษะจาก 10 ทักษะ ได้แก่ การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง การดารงชีวติ ภายในบา้ น
ทักษะทางสังคม/การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง
การนาความรู้มาใช้ในชีวิตประจาวัน การทางาน การใช้เวลาว่าง การรักษาสุขภาพอนามัยและความ
ปลอดภัย ทั้งน้ี ได้แสดงอาการดังกล่าวก่อนอายุ 18 ปี
4. บุคคลที่มีความบกพร่องทางรางกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ
ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
4.1 บุคคลที่มีความบกพร่องทางรางกาย หรือการเคลื่อนไหว
ได้แก่ บุคคล ที่มีอวัยวะไม่สมสว่ นหรือขาดหายไป กระดูกหรือกล้ามเน้ือผิดปกติ มีอุปสรรคในการ
เคลื่อนไหว ความบกพร่องดังกล่าวอาจเกิดจากโรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเนื้อและ
กระดูก การไม่สมประกอบมาแต่กาเนิด อุบัติเหตุและโรคติดต่อ
4.2 บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้แก่ บุคคลที่มีความ
เจ็บป่วยเรื้อรังหรือ มีโรคประจาตัวซึ่งจาเปน็ ต้องได้รับการรักยาอย่างต่อเนื่อง แลเป็นอุปสรรคตอ่
การศึกษา ซึ่งมีผลทาให้เกิดความจาเป็นต้องได้รับการศึกษาพิเศษ
5. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติ
ในการทางานของสมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะ
ความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคานวณ ซึ่งไม่สามารถ
เรียนรู้ในด้านท่ีบกพร่องได้ทั้งท่ีมีระดับสติปัญญาปกติ
24
6. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลที่มีความ
บกพร่องในการเปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือ
บุคคลที่มีความบกพร่องในเร่ืองความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นท่ี
ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจเก่ียวกับรูปแบบ เนื้อหาและหน้าที่ของภาษา
7. บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มี
พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องซึ่ง
เป็นผลจาความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์หรือ
ความคิด เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเส่ือม เป็นตน
8. บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทางานของ
สมองบางส่วน ซึ่งส่งผลตอความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์
ทางสังคมและมีข้อจากัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจจากัด เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความ
ผิดปกติน้ันคนพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน
9. บุคคลพิการซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการ
มากกว่าหน่ึงประเภทในบุคคลเดียวกัน
จากการที่คณะผู้วิจัยได้ศึกษาความหมายของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็น
พิเศษ สรุปได้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด็กพิการ หรือนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ
นั้น หมายถึง นักเรียนที่มีความบกพร่องทางด้านต่าง ๆ ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ และ
สติปัญญา ซึ่งกลุ่มนักเรียนเหล่านี้จะต้องได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูให้ตรงตามความต้องการ
จาเป็นพิเศษเพื่อให้สามารถเรียนรู้และช่วยเหลือตนเองได้ให้ได้มากที่สุดสามารถดารงชีวิตในสังคม
ได้
2.5.บริบทศูนย์การศึกษาพิเศษ
2.5.1 ข้อมูลบริบทท่ัวไป
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ การศึกษา
ปฐมวัยสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ เป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์
อย่างเป็นองค์รวมบนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองตอ่
ธรรมชาติและพัฒนาการตามสภาพความพิการของเด็กแต่ละบุคคลให้เต็มศักยภาพ ภายใต้บริบท
สังคมและวัฒนธรรมที่เดก็ อาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคน เพื่อ
สร้างรากฐาน คุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง
ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
วิสัยทัศน์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ มุ่ง
พัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา และทักษะท่ี
จาเป็นสาหรับเด็กพิการแต่ละประเภท อย่างมีคุณภาพและต่อเน่ือง ได้รับการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้อย่างมีความสุขและเหมาะสมตามศักยภาพ มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัยและสานึกความเป็นไทย โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา
พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก
25
หลักการเด็กทุกคนมีสิทธิท่ีจะได้รับการอบรมเล้ียงดูและการส่งเสริมพัฒนาการตาม
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสมด้วย
ปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้สอน เด็กกับผู้เล้ียงดู หรือผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการอบรม
เลี้ยงดู การพัฒนา และให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย เพ่ือให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลาดับข้ัน
ของพัฒนาการทุกด้าน อย่างเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็มตามศักยภาพ โดยกาหนดหลักการ
ดังนี้
1. ส่งเสริมกระบวนการเรยี นรูแ้ ละพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยที่มี
ความต้องการจาเป็นพิเศษทุกคน
2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสาคัญ โดย
คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรม
ไทย
3. ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมี
ความหมาย มีกิจกรรมที่หลากหลาย ได้รับเทคโนโลยี สื่อ สิ่งอานวยความสะดวก บริการและความ
ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ได้ลงมือกระทาในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับ
สภาพความพิการ และมีการพักผ่อนเพียงพอ
4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตน
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และมีความสุข
5. สร้างความรู้ ความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก
ระหว่างสถานศึกษากับพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มี
ความต้องการจาเป็นพิเศษ
2.5.2 บทบาทหน้าที่
บทบาทหน้าที่หลักตามพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ.
2551 (ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 125 ตอนที่ 28 ก วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551 หน้าที่ 2) กาหนดให้
ศูนย์การศึกษาพิเศษจัดการศึกษานอกระบบหรือตามอัธยาศัยแก่คนพิการต้ังแต่แรกเกิดหรือแรกพบ
ความพิการจนตลอดชีวิตและจัดการศึกษาอบรมแก่ผู้ดูแลคนพิการครูบุคลากรและชุมชน รวมทั้ง
การจัดสื่อเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวกบริการและความช่วยเหลืออื่นใดตลอดจนปฏิบัติหน้าที่
อื่นตามที่กาหนดในประกาศกระทรวงซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษ
จานวน 5 แห่ง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 และในปี พ.ศ. 2542 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้
กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษระดับเขตการศึกษา จานวน 8 แห่งโดยให้ปฏิบัติ
หน้าที่ในลักษณะเป็นศูนย์ให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและเตรียมความพร้อมของคนพิการ
รวมทั้งสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน จัดสื่อ จัดสิ่งอานวยความสะดวก ให้บริการและความ
ช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องทาการวิจัยและอบรมบุคลากร รวมถึงการจัดการครูเดินสอนแก่คนพิการและ
สถานศึกษา ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอีกจานวน 63 แพ่ง โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะเป็นศูนย์ให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มและจัดเตรียมความพร้อมของคนพิการ รวมทั้งสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน จัดสื่อ
จัดสิ่งอานวยความสะดวก ให้บริการ และความช่วยเหลือที่เก่ียวข้อง รวมถึงการจัดการครูเดินสอน
26
แก่คนพิการและสถานศึกษา ทาให้มีศูนย์การศึกษาครบท้ัง 76 จังหวัด จากการดาเนินการของศูนย์
การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา/จังหวัดในรอบทศวรรษที่ผา่ นมา มีข้อจากัดหลายประการ ทั้งด้าน
งบประมาณ ด้านบุคลากร ด้านอาคารสถานที่ และการบริการจัดการ รวมทั้งความชดั เจนเรื่อง
ภาระงานและบทบาทหน้าที่ของศูนย์การศึกษาพิเศษเสมอมา ส่งผลให้การดาเนินงานของศูนย์
การศึกษาพิเศษตอบสนองวัตถปุ ระสงค์ของกระทรวงศึกษาธิการได้ในระดับหนึ่ง ประกอบกับมี
พระราชบัญญัติการจดั การศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่องการปฏิบัติหน้าที่อื่นของศูนย์การศึกษาพิเศษ พ.ศ. 2553 จึงจาเป็นต้องมีการปรับปรุงบทบาท
หน้าท่ีให้สอดคล้องกับกฎหมายและภาระงานท่ีสามารถดาเนินการได้อย่างแท้จริง ดังน้ี
บทบาทที่ 1 จัดและส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาในลักษณะศูนย์บริการช่วยเหลือ
ระยะแรกเริ่ม และเตรียมความพร้อมของคนพิการเพื่อเข้าสู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนอนุบาล
โรงเรียนเรียนร่วม โรงเรียนเฉพาะความพิการ ศูนย์เรียนเฉพาะความพิการ และหน่วยงานที่
เก่ียวข้องเป็นต้น
บทบาทที่ 2 พัฒนาและฝึกอบรมผู้ดูแลคนพิการ บุคลากรที่จัดการศึกษาสาหรับคน
พิการ
บทบาทที่ 3 จัดระบบและส่งเสริมสนับสนุนการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ
บุคคล สิ่งอานวยความสะดวกสื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาสาหรับคนพิการ
บทบาทท่ี 4 จัดระบบบริการช่วงเช่ือมต่อสาหรับคนพิการ
บทบาทที่ 5 ให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยครอบครัวและชมุ ชนด้วย
กระบวนการ
ทางการศึกษา
บทบาทที่ 6 เป็นศูนย์ข้อมูลรวมท้ังจัดระบบข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาสาหรับ
คนพิการ
บทบาทที่ 7 จัดระบบสนับสนุนการจัดการเรียนร่วม และประสานงานการจัด
การศึกษา
สาหรับคนพิการในจังหวัด
บทบาทที่ 8 ภาระหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกาหนดหรือตามที่ได้รับมอบหมาย
ปฏิบัติหน้าท่ี
อื่นตามที่กฎหมายกาหนดหรือตามท่ีได้รับมอบหมาย เก่ียวกับการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ
บทบาทที่ 9 จัดและส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาในลักษณะศูนย์บริการช่วยเหลอื
ระยะแรกเริ่ม
(Early Intervention :EI) และเตรียมความพร้อมของคนพิการ เพื่อเข้าสู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
โรงเรียนอนบุ าล โรงเรียนเรียนรว่ ม โรงเรียนเฉพาะความพิการ ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดาเนินการโดยจัดและส่งเสริม สนับสนุน การให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มสาหรับเด็กพิการ โดยจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized
Education Program : IEP) แผนการสอนเฉพาะบุคคล(Individual Implementation Plan :
IIP) หรือแผนบริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว (Individualized Family Service Plan : IFSP)
27
และให้บริการตามแผน จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการผูเ้ กี่ยวข้องเรื่องการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
( Individualized Education Program : IEP) แ ผ น ก า ร ส อ น เ ฉ พ า ะ บ ุค ค ล ( Individual
Implementation Plan :IIP)หรือแผนให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว( Individualized
Family Service Plan : IFSP) ให้คาปรึกษา แนะนาและบริการพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆแต่ละ
ประเภท ด้วยการรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลทั่วไป(จากการสัมภาษณ์ สังเกตและสืบค้นจากแฟ้ม
ประวัติของคนพิการ)การคัดกรองคนพิการทางการศึกษาตามแบบคัดกรองของกระทรวงศึกษาธิการ
และประเมินศักยภาพพื้นฐานของเด็กพิการ จัดหาสื่อ อุปกรณ์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความ
ต้องการจาเป็นทางการศึกษา การประเมินความก้าวหน้าการสรุปพัฒนาการตามแผนการจัด
การศึกษาเฉพาะบุคคลและปรับปรุงแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การนิเทศ ติดตาม
ประเมินผลและส่งต่อเด็กพิการไปรับบริการที่เหมาะสม เช่นบริการทางการแพทย์ โรงเรียนจัดการ
เรียนร่วม โรงเรียนเฉพาะความพิการ และศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ เป็นต้น
2.6. งานวิจัยที่เก่ียวข้อง
ยิ่งพร เจียตระกูล (2556) ได้วิจัยเรื่องความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการ
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเด็กพิการศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดกระบี่ มีวัตถุประสงค์เพื่อ
ศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการ ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเด็กพิการ
ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดกระบี่ และเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อ
การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริม่ เด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดกระบี่ตาม
ลักษณะการรับบริการของเด็กพิการในปกครองกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ได้แก่ ผู้ปกครอง
ของเด็กพิการที่นาบุตรหลานมารับบริการแบบไป-กลับ หมุนเวียน ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจา
จังหวัดกระบ่ี ผู้ปกครองของเด็กพิการท่ีรับบริการตามโครงการปรับบ้านเป็น ห้องเรียนเปลี่ยนพ่อแม่
เป็นครูและผู้ปกครองของเด็กพิการที่รับบริการตามบ้าน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ปกครองเด็กพิการที่
นาบุตรหลานมารับบริการ มีความพึงพอใจต่อการให้บรกิ าร ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเด็กพิการ ศูนย์
การศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดกระบี่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า
ผู้ปกครองเด็กพิการที่นาบุตรหลานมารับบริการ มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากทกุ ด้าน ด้านที่มี
ค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กพิการ รองลงมา คือ การคัดกรองประเภทความ
พิการทางการศึกษา การประเมินความสามารถพ้ืนฐาน การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
การให้บริการด้วยการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม การประเมินความก้าวหน้า ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่า
ที่สุด คือ การส่งต่อและการนิเทศ ติดตาม ประเมินผล 2) การเปรียบเทียบความพึงพอใจของ
ผู้ปกครองต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม เด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัด
กระบี่ ตามลักษณะการรับบริการของเด็กพิการ ในปกครอง พบว่า ผู้ปกครองที่นาบุตรหลานมารับ
บริการลักษณะต่างกัน มีระดับความพึงพอใจตอ่ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเด็กพิการ
แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
สายพิณ มัตตะนามะ (2559) ได้วิจัยเรื่อง การตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่ง บุตรหลาน
เข้าศึกษาในโรงเรียนบ้านลุงพลู อาเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและ
เปรียบเทียบการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลาน เข้าศึกษาในโรงเรียนบ้านลุงพลูอาเภอ
28
เมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ผลการวิจัยพบว่า การตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้า
ศึกษาในโรงเรียนบ้านลุงพลู อาเภอเมือง สระแก้ว จังหวัดสระแก้ว โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับ
มากทุกด้าน จาแนกตามอายุ โดยรวม และรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ ยกเว้น
ด้านบริหารงานท่ัวไป แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จาแนกตามระดับการศึกษา
โดยรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ และการตัดสินใจของผู้ปกครองในการ
ส่งบุตรหลาน เข้าศึกษาในโรงเรียนบ้านลุงพลูอาเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว จาแนกตาม
อาชีพ โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิต
บุรินทร์ สารีคา (2560) ได้วิจัยเร่ือง ระบบการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็ก
พิการวัยเรียนตามบ้าน การวิจัยครั้งนี้มีจดุ มุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการช่วยเหลอื
ระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กพิการวัยเรียนตามบ้าน 2) เพื่อศึกษาผลการน าระบบการให้บรกิ าร
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กพิการวัยเรียนตามบ้าน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบการให้บริการ
ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กพิการวัยเรียนตามบ้าน โดยรวมมีความเหมาะสมในระดับมาก
ความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด และความเป็นประโยชน์ในระดับมาก สาหรับผลการประเมินคู่มือ
การใช้ระบบ พบว่า มีความเหมาะสมในระดับมาก 2) ผลการนาระบบการให้บรกิ ารช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มสาหรับเด็กพิการวัยเรียนตามบา้ น ไปใช้ พบว่า ครู บุคลากร ผู้ปกครองมีคะแนนผลการ
ทดสอบความรู้ เก่ียวความเข้าใจสูงข้ึนและผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ผลการพัฒนาศักยภาพเด็กพิการวัย
เรียนตามบ้าน สูงขึ้นทุก ทักษะ และความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่มีต่อระบบ โดยรวมอยู่ใน
ระดับมาก
29
บทที่ 3
วิธีดำเนินงำนวิจัย
การศึกษาวิจัยเรื่อง ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับ
นักเรียน ที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ เป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey
Research) มุ่งศึกษาความพึงพอใจของผูป้ กครองทีม่ ีความกระบวนการรับบริการช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มทั้ง 7 ข้ันตอน มีวิธีดาเนินการวิจัย ดังนี้
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง /กลุ่มเป้าหมาย
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
3.6 สถิติท่ีใช้ในการวิจัย
3.1 กลุ่มเป้ำหมำย
กลุ่มเป้ำหมำย คือ ผู้ปกครองของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานี ที่มารับบริการแบบไป-กลับ ในปีการศึกษา 2564 จานวน 114 คน โดยการเลือก
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) (บุญชุม ศรีสะอาด, 2543 น.44)
3.2 เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการ
ให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับนักเรียนที่มีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานีท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนประกอบไปด้วย 3 ตอน ดังน้ี
ตอนท่ี 1 สอบถามเกี่ยวกบั ข้อมูลทัว่ ไปของข้อคาถามประกอบด้วย เพศ ระดบั การศึกษา
และอายุ เป็นคาถามแบบหลายตัวเลือก (Multiple choices question) โดยระดับการวัดข้อมูลเป็น
ประเภทเรยี งลาดบั (Ordinal Scale)
ตอนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีความต้องการ
จาเป็นพิเศษที่มีต่อการรับบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมของศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี
โดยการสังเคราะหข์ ั้นตอนการใหบ้ รกิ ารทั้ง 7 ขั้นตอนออกมาเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้าน
กระบวนการและขั้นตอนการให้บริการ 2) ด้านผู้ให้บริการ 3) ด้านสื่อ สิ่งอานวยความสะดวก 4) ด้าน
คุณภาพการให้บริการเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยกาหนดตัวเลือกไว้ 5 ระดับ
(บุญชม ศรีสะอาด 2543 น.66 -71 ) ดังนี้
30
5 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับมากท่ีสุด
4 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก
3 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง
2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย
1 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยท่ีสุด
ตอนที่ 3 ให้ผู้ปกครองเสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเก่ียวกับการให้บริการ
ชว่ ยเหลือระยะแรกเร่มิ ของศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี
3.3 กำรสร้ำงและหำคุณภำพของเครื่องมือ
ผู้วิจัยสร้างเคร่ืองมือและหาคุณภาพเคร่ืองมือเพื่อใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูล โดยมี
ข้ันตอนดาเนินการ ดังนี้
3.3.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของ
ผู้ปกครองการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม 7 ขั้นตอนและรวบรวมข้อมูลที่ได้มาใช้เป็นกรอบแนวคิด
ในการสร้างแบบสอบถามเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย
3.3.1.1 ด้านกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการ
3.3.1.2 ด้านผู้ให้บริการ
3.3.1.3 ด้านสื่อ ส่ิงอานวยความสะดวก
3.3.1.4 ด้านคุณภาพการให้บริการ
3.3.2 สร้างแบบสอบถามให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการวิจัย และตัวแปรทุกตัว
ตามกรอบแนวคิดของการวิจัย ดังน้ี
3.3.2.1 นาจุดประสงค์ของการศึกษามาเป็นประเด็นข้อคาถามที่จะวัดอย่างชัดเจน
3.3.2.2 แจกแจงรายการสิ่งท่ีจะสอบถามในแต่ละประเด็นให้ครอบคลุมและชัดเจน
3.3.2.3 คาถามแต่ละข้อความมีประเด็นเดียว
3.3.2.4 คาถามสั้นกระทัดรัดได้ใจความเข้าใจง่ายตรงไปตรงมาและมีการเป็น
ปรนัย
3.3.2.5 เรียงคาถามในแต่ละข้อให้สัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน
3.3.2.6 หลีกเล่ียงคาถามที่ทาให้ผู้ตอบไม่พอใจท่ีจะตอบ
3.3.3 เสนอแบบสอบถามฉบับร่างนาไปให้ผเู้ ชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพอ่ื ตรวจสอบความ
สอดคล้องเชิงเนอื้ หา (Content Validity) ด้วยการหาค่า IOC (Index of Item-Objective
congruence) ได้แก่
31
1) นายพิชิต สน่ันเอื้อ ผอู้ านวยการศูนย์การศึกษาพเิ ศษ
2) นายสุบนิ ประสพบัว ประจาจงั หวัดอดุ รธานี
3) นางสาวชาครยิ า พันธ์ทอง รองผอู้ านวยการศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ
เขตการศกึ ษา 9 จงั หวัดขอนแก่น
โดยการกาหนดคะแนนดังนี้ อาจารย์ประจาสาขาวชิ าการศึกษาพเิ ศษ
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ
อุดรธานี
+1 ผู้เชี่ยวชาญแน่ใจว่าข้อคาถามมีความสอดคล้อง
0 ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่าข้อคาถามมีความสอดคล้อง
-1 ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าข้อคาถามไม่มีความสอดคล้อง
3.3.4 นาแบบสอบถามที่ได้รับการเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงและพิจารณา
อีกคร้ัง เพ่ือทาการปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น
3.3.5 นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้ปกครองที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน
38 คน และนามาวิเคราะห์หาค่าความเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบถามโดยหาค่าความเช่ือมั่นของ
แบบสอบถามใช้สูตรของโลเวท (Lovett) (ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลยั มหาสารคาม,
2553 น. 97)
3.3.6 นาแบบสอบถามที่ได้ทดลองใช้มาพิจารณาปรับปรุง ก่อนนาไปใช้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมูลจริงกับกลุ่มตัวอย่าง และจัดพิมพ์เป็นแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ สาหรับใช้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยต่อไป โดยการวิจัยครั้งน้ีแจกเอกสารผ่านระบบออนไลน์ (Google From)
3.4 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินการ ดังน้ี
3.4.1 ขอหนังสือจากศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดอุดรธานี เพื่อขอความ
อนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ถึงผู้ปกครองนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ของศูนย์
การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี
3.4.2 ส่งแบบสอบถามถึงผู้ปกครองเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษผ่านระบบออนไลน์
(Google From) แล้วมีกาหนดให้ผู้ปกครองกรอกข้อมูลแบบสอบถามความพึงใจภายในระยะเวลา 7
วัน กรณีที่ผู้ปกครองไม่สามารถกรอกแบบสอบถามด้วยตนเองได้เนื่องจากขอ้ จากัดด้าน
เทคโนโลยีผูว้ ิจัยจึงมคี วามจาเป็นที่จะต้องใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในการติดต่อสื่อสารสอบถามผู้ปกครอง
แล้วกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์แทน จานวน 114 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100
3.4.3 นาข้อมูลแบบสอบถามที่ได้รับคืนผ่านระบบออนไลน์ (Google From)มา
ตรวจสอบความสมบูรณ์แล้วดาเนินการวิเคราะห์เพ่ือสรุปผลตามกระบวนการวิจัยต่อไป
32
3.5 กำรวิเครำะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยวิเคราะหข์ ้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป และได้ดาเนินการตามขั้นตอนดังน้ี
3.5.1 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ปกครอง ได้แก่ อายุ เพศ ระดับการศึกษา โดยใช้การ
แจกแจงค่าความถี่ (Frequency) และร้อยละ (Percentage)
3.5.2 วิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้ปกครองของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ
ต่อการรับบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มในศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดอุดรธานี โดยการหา
ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้เกณฑ์ของ บุญชุม ศรีสะอาด (บุญชม ศรีสะอาด. 2545, น.
102-103) ดังน้ี
4.50 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด
3.50 – 4.49 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับมาก
2.50 – 3.49 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับระดับปานกลาง
1.50 – 2.49 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับระดับน้อย
1.00 – 1.49 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับระดับน้อยที่สุด
3.6 สถิติท่ีใช้ในกำรวิจัย
3.6.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเคร่ืองมือ ได้แก่
3.6.1.1 ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยการหาค่า
IOC R
N
เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดมุ่งหมายกับเนื้อหาหรือ
ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์
R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
N แทน จานวนผู้เช่ียวชาญ
3.6.1.2 หาค่าความเช่ือมั่นของแบบสอบถามใช้สูตรของโลเวท (Lovett) (ภาควิชาวจิ ัย
และพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2553 น. 97)
rcc X 2
1 K Xi (X i i
(K 1)
C)2
33
เมื่อ rcc แทน ความเช่ือมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ
K แทน จานวนข้อของแบบทดสอบท้ังฉบับ
Xi แทน คะแนนสอบของนักเรียนแต่ละคน
C แทน คะแนนจุดตัด
3.6.2 สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.)
3.6.2.1 ค่าร้อยละ โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 น. 104)
ร้อยละ f x100
n
เมื่อ f แทน ค่าความถ่ี
n แทน จานวนท้ังหมด
3.6.2.2 วิเคราะหห์ าคา่ เฉลีย่ (Arithmetic Mean) ใช้สูตร(สุรวาท ทองบุ, 2550 น.123)
X X
n
เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย
X แทน ผลรวมของคะแนนทุกตัวในกลุ่ม
n แทน จานวนสมาชิกในกลุ่ม
3.6.2.3 วิเคราะห์หาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation) โดยใช้สูตร
(สุรวาท ทองบุ 2550, 124)
S.D. X X 2
(N 1)
เม่ือ S.D. แทน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
X แทน ค่าเฉลี่ย
X แทน คะแนนแต่ละตัว
N แทน จานวนสมาชิกในกลุ่มน้ัน
34
บทท่ี 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
การวิจัย เรื่อง ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและ
การเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานี มีผลการวิเคราะห์ข้อมูลนาเสนอตามลาดับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้
เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและ
การเตรียมความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจงั หวัดอุดรธานี
มีผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ดงั นี้
ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ของผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้ปกครองของเด็กท่ีมีความตอ้ งการ
จาเป็นพิเศษ ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวดั อดุ รธานี
ตารางที่ 1 ร้อยละของข้อมลู ดา้ นสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม
สถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถาม ครผู ้สู อน รอ้ ยละ
จานวน (คน)
33.33
1. เพศ 66.67
100.00
1.1 ชาย 38
75.44
1.2 หญงิ 76 14.03
10.53
รวม 114 100.00
2. ระดับการศึกษา 14.91
20.18
2.1 ตา่ กว่าปริญญาตรี 86 28.95
35.96
2.2 ปริญญาตรี 16 100.00
2.3 สูงกว่าปริญญาตรี 12
รวม 114
3 อายุ
3.1 ตา่ กวา่ 20 ปี 17
3.2 ต้ังแต่ 20 – 29 ปี 23
1.1 ต้ังแต่ 30 – 39 ปี 33
1.2 มากกว่า 40 ปี 41
รวม 114
จากตารางที่ 1 พบว่า จานวนผู้ตอบแบบสอบถาม ท้ังหมด 114 คน โดยแบ่งตามเพศ คือ
เพศชาย จานวน 38 คน คดิ เป็นร้อยละ 33.33 เพศหญิง จานวน 76 คน คดิ เป็นร้อยละ 66.67
แบ่งตามระดับการศึกษา คือ ต่ากว่าปริญญาตรี จานวน 86 คน คิดเป็นร้อยละ 75.44 ปริญญาตรี
จานวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 14.03 และสูงกว่าปริญญาตรี จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 10.53
35
แบง่ ตามอายุ คอื ตา่ กว่า 20 ปี จานวน 17 คน คิดเปน็ ร้อยละ 14.91 ตง้ั แต่ 20 - 29 ปี จานวน
23 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 20.18 ตง้ั แต่ 30 – 39 ปี จานวน 33 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 28.95 มากกว่า
40 ปี จานวน 41 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 35.96
ตอนท่ี 2 ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและ
การเตรียมความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวดั อดุ รธานี โดยรวมและรายด้าน
ตารางที่ 2 ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและการเตรียม
ความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจา
จงั หวัดอดุ รธานี โดยรวมและรายด้าน
ขอ้ รายการ N=114 ระดับ
x̅ SD ความคิดเห็น
1 ด้านกระบวนการ/ขนั้ ตอนการใหบ้ ริการ 4.35 .32
2 ดา้ นผู้ใหบ้ ริการ 4.48 .23 มาก
3 ดา้ นสื่อ ส่ิงอานวยความสะดวก 4.53 .26 มาก
4 ด้านคุณภาพการใหบ้ ริการ 4.39 .29 มากท่สี ุด
4.44 .16 มาก
รวม มาก
จากตารางที่ 2 พบวา่ ความพงึ พอใจของผู้ปกครองทม่ี ีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
และการเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความพึงพอใจโดย
รวมอยู่ในระดับมาก ยกเว้นด้านส่ือ ส่ิงอานวยความสะดวก มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด
ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากท่ีสุด ได้แก่ ด้านสื่อ ส่ิงอานวยความสะดวก (x̅ =4.53) รองลงมา ได้แก่
ด้านผู้ให้บริการ (x̅ =4.48) และด้านที่มีค่าเฉล่ียต่าที่สุด ได้แก่ ด้านกระบวนการ/ขั้นตอนการ
ใหบ้ ริการ (x̅ =4.35)
ตารางที่ 3 ความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและการเตรียม
ความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจา
จงั หวดั อดุ รธานี ด้านกระบวนการ/ขน้ั ตอนการใหบ้ รกิ าร
ข้อ รายการ N=114 ระดับ
x̅ SD ความคิดเห็น
1 มีความชดั เจนในการอธบิ าย ช้ีแจง และแนะนา 4.28 .71
ข้นั ตอนการให้บริการ มาก
4.30 .66
2 ขนั้ ตอนการให้บรกิ ารมีความคล่องตัวและไมย่ ุ่งยาก มาก
36
ตารางท่ี 3 ความพึงพอใจของผู้ปกครองทีม่ ีต่อการให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ และการเตรียม
ความพรอ้ มของนกั เรยี นที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจา
จังหวดั อดุ รธานี ด้านกระบวนการ/ขน้ั ตอนการให้บริการ (ตอ่ )
ขอ้ รายการ N=114 ระดบั
x̅ SD ความคดิ เหน็
3 มคี วามสะดวก รวดเร็วในการให้บรกิ าร 4.35 .62
4 มกี ารดาเนินการตามข้อตกลง แผนงาน ขัน้ ตอนที่ 4.46 .63 มาก
มาก
กาหนดไว้ให้ผปู้ กครองทราบ 4.38 .67
5 มกี ารพัฒนานักเรยี นโดยทีมสหวิชาชพี เชน่ ครู มาก
4.35 .32
ครูฝกึ พูด นักกิจกรรมบาบดั นกั กายภาพบาบดั มาก
รวม
จากตารางท่ี 3 พบว่า ความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเรมิ่ และการเตรยี มความพร้อมของนักเรียนท่มี ีความต้องการจาเปน็ พิเศษของศูนย์การศกึ ษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า มีความพึงพอใจอยู่ใน
ระดับมากทุกข้อ ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดไดแ้ ก่ ข้อ 4 มีการดาเนินการตามข้อตกลง แผนงาน ข้ันตอน
ท่กี าหนดไว้ให้ผู้ปกครองทราบ(x̅ =4.46) รองลงมาได้แก่ ขอ้ มกี ารพฒั นานกั เรียนโดยทีมสหวิชาชีพ
เช่น ครู ครูฝึกพดู นกั กจิ กรรมบาบดั นกั กายภาพบาบัด (x̅ =4.38) และขอ้ ท่ีมีค่าเฉลี่ยตา่ ทส่ี ดุ ไดแ้ ก่
ข้อ 1 มคี วามชดั เจนในการอธบิ าย ชแี้ จง และแนะนาข้นั ตอนการให้บริการ (x̅ =4.28)
ตารางท่ี 4 ความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรียม
ความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจา
จังหวดั อุดรธานี ด้านผใู้ ห้บรกิ าร
ขอ้ รายการ N=114 ระดบั
x̅ SD ความคิดเห็น
1 ให้บรกิ ารด้วยความสภุ าพ และเปน็ กันเอง 4.45 .58
2 แต่งกายเหมาะสม มีบุคลิกและลกั ษณะท่าทาง 4.54 .52 มาก
มากที่สดุ
ทส่ี ุภาพ 4.51 .50
3 มีความเอาใจใส่ กระตือรือรน้ และพร้อม มากท่สี ุด
4.49 .52
ทีจ่ ะใหบ้ ริการ มาก
4 มคี วามรู้ ความสามารถในการให้บรกิ าร เช่น ตอบข้อ
ซักถามได้ตรงประเด็น ให้คาแนะนา คาปรึกษาและ
ช่วยแกป้ ัญหาไดเ้ หมาะสม
37
ตารางท่ี 4 ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรียม
ความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจา
จังหวดั อดุ รธานี ด้านผู้ใหบ้ รกิ าร (ตอ่ )
ข้อ รายการ N=114 ระดับ
x̅ SD ความคิดเห็น
5 มีความซื่อสัตยส์ จุ รติ ในการปฏบิ ัติงาน เช่น ไมเ่ รยี ก 4.40 .66
รบั ผลประโยชน์ มาก
รวม 4.48 .23
มาก
จากตารางที่ 4 พบว่า ความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเริม่ และการเตรยี มความพร้อมของนักเรยี นทม่ี ีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า มีความพึงพอใจ
โดยรวมอยู่ในระดับมาก ยกเว้น ข้อ 2 แต่งกายเหมาะสม มีบุคลิกและลักษณะท่าทางท่ีสุภาพ และ
ข้อ 3 มีความเอาใจใส่ กระตือรือร้น และพร้อมที่จะให้บริการ มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากท่ีสุด
ข้อที่มีค่าเฉล่ียมากท่ีสุดได้แก่ ข้อ 2 แต่งกายเหมาะสม มีบุคลิกและลักษณะท่าทางที่สุภาพ
(x̅ =4.54) รองลงมา ได้แก่ ข้อ 3 มีความเอาใจใส่ กระตือรือร้น และพร้อมท่ีจะให้บริการ
(x̅ =4.51) และข้อที่มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด ได้แก่ ข้อ 5 มีความซ่ือสัตย์สุจริตในการปฏิบัติงาน เช่น
ไมเ่ รียกรับผลประโยชน์ (x̅ =4.40)
ตารางท่ี 5 ความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรียม
ความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจา
จังหวดั อดุ รธานี ดา้ นสอ่ื สิ่งอานวยความสะดวก
ขอ้ รายการ N=114 ระดับ
x̅ SD ความคิดเหน็
1 สถานทใ่ี ห้บรกิ ารมคี วามเหมาะสม สามารถเดินทาง 4.63 .52
มารับบรกิ ารไดส้ ะดวก มากทสี่ ุด
4.47 .61
2 ส่อื ส่งิ อานวยความสะดวกมีเพียงพอต่อผู้รับบรกิ าร มาก
ตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแตล่ ะบุคคล 4.48 .54
มาก
3 สื่อ สง่ิ อานวยความสะดวกมีคุณภาพและความ 4.49 .50
ทันสมัย มาก
4.57 .51
4 ป้ายขอ้ ความบอกจดุ บริการ/ปา้ ยประชาสมั พนั ธ์ มี มากท่สี ุด
ความชัดเจนและเขา้ ใจงา่ ย 4.53 .26
มากท่สี ดุ
5 สถานทใ่ี ห้บรกิ ารมีความสะอาด ความปลอดภยั เอื้อ
ตอ่ การรับบริการ
รวม
38
จากตารางที่ 5 พบว่า ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการใหบ้ ริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
และการเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความพึงพอใจ
โดยรวมอยใู่ นระดับมาก ยกเวน้ ขอ้ 1 สถานทใี่ หบ้ ริการมีความเหมาะสม สามารถเดินทางมารบั บริการ
ได้สะดวก และข้อ 5 สถานที่ให้บริการมีความสะอาด ความปลอดภัยเอ้ือต่อการรับบริการ มีความ
พึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียมากท่ีสุดได้แก่ ข้อ 1 สถานท่ีให้บริการมีความเหมาะสม
สามารถเดินทางมารับบริการได้สะดวก (x̅ =4.63) รองลงมา ได้แก่ ข้อ 5 สถานที่ให้บริการมีความ
สะอาด ความปลอดภัยเอื้อต่อการรับบริการ (x̅ =4.57) และข้อท่ีมีค่าเฉล่ียต่าที่สุด ได้แก่ ข้อ 2 สื่อ
สิ่งอานวยความสะดวกมีเพียงพอต่อผู้รับบริการตามความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล
(x̅ =4.47)
ตารางที่ 6 ความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและการเตรียม
ความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจา
จงั หวัดอดุ รธานี ดา้ นคณุ ภาพการให้บริการ
ขอ้ รายการ N=114 ระดบั
x̅ SD ความคิดเหน็
1 ไดร้ ับบริการตรงตามความต้องการจาเปน็ พเิ ศษของ 4.41 .63
ผ้รู บั บรกิ าร 4.45 .58 มาก
มาก
2 ได้รับการในการสง่ ต่อในการไปรบั บริการทัง้ ภายใน 4.39 .57
และภายนอก ตามความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษของ 4.37 .66 มาก
ผู้รับบรกิ าร 4.36 .60 มาก
4.39 .29 มาก
3 ไดร้ บั ข้อมลู ขา่ วสาร สารสนเทศของผรู้ ับบรกิ ารเปน็ มาก
ประจา
4 มกี ารแจ้งผลการพฒั นาและแนวทางแก้ไข พร้อม
แนวทางในการพัฒนาผู้รบั บริการเป็นประจา
5 มกี ารสรปุ และรายงานผลการพัฒนาของผรู้ บั บริการ
ที่เป็นระบบ ครอบคลุม ชัดเจน
รวม
จากตารางท่ี 6 พบว่า ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเริม่ และการเตรยี มความพร้อมของนักเรยี นท่มี ีความต้องการจาเปน็ พิเศษของศนู ย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า มีความพึงพอใจอยู่ใน
ระดับมากทุกข้อ ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดได้แก่ ข้อ 2 ได้รับการในการส่งต่อในการไปรับบริการ
ท้ังภายในและภายนอก ตามความต้องการจาเป็นพิเศษของผู้รับบริการ (x̅ =4.45) รองลงมา ได้แก่
ขอ้ 1 ได้รับบริการตรงตามความต้องการจาเป็นพิเศษของผูร้ ับบริการ (x̅ =4.41) และข้อทีม่ คี า่ เฉลี่ย
39
ต่าท่ีสุด ได้แก่ ข้อ 5 มีการสรุปและรายงานผลการพัฒนาของผู้รับบริการท่ีเป็นระบบ ครอบคลุม
ชัดเจน (x̅ =4.36)
ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะของผู้ปกครองมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการ
เตรียมความพร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัด
อดุ รธานี
1. อยากให้ศูนย์การศกึ ษาพิเศษประจาจังหวัดอดุ รธานีมีห้องสาหรับประเมินพัฒนาการหรือ
ประเมินความสามารถพน้ื ฐานนักเรียน
2. อยากใหท้ างศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวดั อดุ รธานี เพิ่มเติมแหล่งเรียนรู้ภายนอก
หอ้ งเรยี นเพ่มิ เตมิ
3. อยากใหม้ กี ารเรยี นรู้วถิ ีชวี ติ และวัฒนธรรมของชุมชนเพม่ิ ขนึ้
4. อยากให้การรายงานผลพัฒนาการของผเู้ รยี นอย่างต่อเน่ือง
5. อยากให้มีโรงเรยี นท่ีรองรบั เดก็ พิการท่จี บการศกึ ษาทศี่ ูนย์ ฯ เพ่ิมข้นึ
40
บทท่ี 5
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยในคร้ังนี้เป็นการวิจัย ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือ
ระยะแรกเริ่มและการเตรียมความพรอ้ มของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเปน็ พิเศษของศนู ย์การศึกษา
พิเศษประจาจังหวดั อุดรธานี ผวู้ จิ ยั ได้นาเสนอผลการวจิ ยั อภิปรายผลและข้อเสนอแนะดงั นี้
5.1 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและ
การเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจงั หวดั อุดรธานี
5.2 สรปุ ผลการวจิ ัย
จากการวิเคราะห์ผลการวิจัย จากการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อ
การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็น
พเิ ศษของศูนย์การศกึ ษาพิเศษประจาจงั หวัดอดุ รธานี สามารถสรุปผลด้านตา่ ง ๆ ไดด้ งั นี้
5.2.1. ดา้ นกระบวนการ/ข้นั ตอนการใหบ้ ริการ
เกี่ยวกับการให้บริการนักเรียนตามข้ันตอนและกระบวนการทางการศึกษา
ผู้ปกครองมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก มีรูปแบบการให้บริการที่ชัดเจน มีทีมสหวิชีพในการ
ใหบ้ ริการ รวมทง้ั สะดวก รวดเรว็ ในการให้บรกิ าร
5.2.2. ดา้ นผ้ใู หบ้ รกิ าร
เกี่ยวกับครูผู้สอนที่ให้บริการนักเรียนและผู้ปกครอง ผู้ปกครองมีความ
พึงพอใจ อยู่ในระดับมาก เนื่องจากครูผู้สอนแต่งกายเหมาะสม มีบุคลิกและลักษณะท่าทางที่สุภาพ
มีความเอาใจใส่ กระตือรือร้น และพร้อมท่ีจะให้บริการ มีความรู้ ความสามารถในการให้บริการ
มีความซ่ือสตั ย์ในการปฏบิ ตั ิงาน รวมทง้ั ให้บริการด้วยความสภุ าพ และเป็นกนั เอง
5.2.3. ดา้ นสื่อ สิ่งอานวยความสะดวก
เก่ียวกับส่ือ ส่ิงอานวยความสะดวกและแหล่งเรียนรู้ในการให้บริการ
ผู้ปกครองและนักเรียน ผู้ปกครองมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด เนื่องจากสถานที่ให้บริการ
มีความเหมาะสม สามารถเดินทางมารับบริการได้สะดวก สะอาด ปลอดภัยเอ้ือต่อการรับบริการ ส่ือ
สง่ิ อานวยความสะดวกมีคุณภาพ ทนั สมยั และมีเพยี งพอต่อผูร้ ับบริการ ตรงตามความต้องการจาเป็น
พเิ ศษของแต่ละบุคคล
5.2.4. ดา้ นคุณภาพการให้บริการ
เกี่ยวกับคุณภาพของการให้บริการตามกระบวนการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม
เช่น ผลการพัฒนาผู้เรียน การรายงานผลการพัฒนาผู้เรียน ผู้ปกครองมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับ
มาก เนื่องจากได้รับบริการตรงตามความต้องการจาเป็นพิเศษของผู้รับบริการ มีการสรุปและรายงาน
41
ผลการพัฒนาของผู้รับบริการท่ีเป็นระบบ ครอบคลุม ชัดเจน รวมท้ังได้รับการในการส่งต่อในการไป
รับบริการทง้ั ภายในและภายนอก ตามความต้องการจาเป็นพเิ ศษของผ้รู ับบรกิ าร
5.3 อภิปรายผล
ความพงึ พอใจของผปู้ กครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรียมความ
พร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี
สามารถอภปิ รายผลไดด้ ังนี้
ความพงึ พอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรียมความ
พร้อมของนักเรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอุดรธานี
โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมีกระบวนการ/ข้ันตอนการให้บริการท่ี
ชัดเจน ไม่ซับซ้อน สะดวกรวดเร็วในการให้บริการ ครูผู้สอนเอาใจใส่ในการให้บริการ สถานที่
ให้บรกิ ารสะอาด ปลอดภยั สะดวกในการเดินทาง สอ่ื สิง่ อานวยความสะดวกมีคุณภาพ ทนั สมยั และ
มเี พียงพอตอ่ ผ้รู บั บรกิ าร ตรงตามความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษของแตล่ ะบุคคล ซง่ึ สอดคล้องกับงานวิจัย
ของยิ่งพร เจียตระกูล (2556) ได้วิจัยเร่ืองความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการช่วยเหลือ
ระยะแรกเริ่มเด็กพิการศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดกระบ่ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความ
พึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการ ช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมเด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจาจังหวัดกระบ่ี และเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บริการช่วยเหลือ
ระยะแรกเร่ิมเด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดกระบี่ตามลักษณะการรับบริการของเด็ก
พิการในปกครองกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คร้ังนี้ได้แก่ ผู้ปกครองของเด็กพิการท่ีนาบุตรหลานมา
รับบริการแบบไป-กลับ หมุนเวียน ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัดกระบ่ี ผู้ปกครองของเด็ก
พิการท่ีรับบริการตามโครงการปรับบ้านเป็น ห้องเรียนเปลี่ยนพ่อแม่เป็นครูและผู้ปกครองของเด็ก
พิการท่ีรับบริการตามบ้าน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ปกครองเด็กพิการท่ีนาบุตรหลานมารับบริการ
มีความพึงพอใจตอ่ การใหบ้ รกิ าร ชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิมเดก็ พิการ ศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษประจาจังหวัด
กระบี่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ผู้ปกครองเด็กพิการท่ีนาบุตร
หลานมารับบริการ มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านท่ีมีค่าเฉล่ยี สงู ท่ีสดุ คือ การรวบรวม
ข้อมูลท่ัวไปของเด็กพิการ รองลงมา คือ การคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา การประเมิน
ความสามารถพ้ืนฐาน การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การให้บริการดว้ ยการจัดกจิ กรรม
ท่ีเหมาะสม การประเมินความก้าวหน้า ส่วนด้านท่ีมีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุด คือ การส่งต่อและการนิเทศ
ติดตาม ประเมินผล 2) การเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการให้บรกิ ารชว่ ยเหลือระยะ
แรกเรม่ิ เด็กพกิ าร ศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ ประจาจงั หวัดกระบี่ ตามลักษณะการรบั บรกิ ารของเดก็ พิการ
ในปกครอง พบว่า ผู้ปกครองท่ีนาบุตรหลานมารับบริการลักษณะต่างกัน มีระดับความพึงพอใจ
ตอ่ การใหบ้ รกิ ารช่วยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ เด็กพิการ แตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05
42
5.4 ขอ้ เสนอแนะ
5.4.1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวจิ ยั ไปใช้
ควรนาผลการวิจัย ความพึงพอใจของผู้ปกครองท่ีมีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเริ่มและการเตรียมความพร้อมของนักเรยี นท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษของศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอดุ รธานี เป็นขอ้ มลู ในการวางแผนพัฒนากระบวนการใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม
ของสถานศึกษา ใหม้ ปี ระสิทธิภาพยง่ิ ขึ้น
5.4.2. ข้อเสนอแนะในการทาการวจิ ยั คร้งั ตอ่ ไป
2.1 ควรมีการสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการให้บริการช่วยเหลือระยะ
แรกเร่มิ และการเตรยี มความพร้อมของนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ
ประจาจังหวัดอุดรธานีในกลุ่มเป้าหมายอ่ืน ๆ เช่น กลุ่มผู้ปกครองท่ีรับบริการหน่วยบริการ
กลุ่มผูป้ กครองที่รบั บรกิ ารท่ีบ้าน
43
บรรณานุกรม
กชกร เป้าสุวรรณ และคณะ. (2550). รายงานการวิจัยเร่ือง ความคาดหวังและความพึงพอใจ
ต่อการมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์พิษณุโลก. กรุงเทพมหานคร:
สถาบันวจิ ยั และพัฒนา มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดุสิต
กมล นัยจิต. (2555).สภาพปัญหาการจัดการศึกษาสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษในโรงเรียน
แกนนาจัดการเรียนร่วม สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจันทบุรี เขต 1 และเขต 2.
กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดสุ ิต
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). แนวทางการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2550). การจดั การเรียนร่วม. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรสุ ภา.
จรัส โพธิ์จันทร์. (2553). ความพงึ พอใจในการท างานของอาจารยว์ ทิ ยาลัยพยาบาล ในภาคเหนือ.
ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร.
บญุ ชม ศรีสะอาด. (2543). การวจิ ัยเบือ้ งตน้ . กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยาสาส์น.
______ (2545). การวิจัยเบอื้ งต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น
บุรินทร์ สารีคา. (2560). ระบบการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กพิการวัยเรียน
ตามบ้าน.วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, สาขาการบริหารและการพัฒนาการศึกษา,
คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
พวงมณี ชัยเสรี. (2557). การวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาด้านวิชาชีพแก่นักเรียน
ด้อย โอกาสทางการศึกษาในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์.
กรุงเทพฯ : สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.
รจเรข พะยอมแย้ม. (2553). การบริหารโรงเรียนแกนนาจัดการเรียนร่วมสาหรับเด็กพิการใน
โรงเรียนปกติ. การค้นคว้าแบบอิสระศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา
มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
วิมลสิทธ์ิ หรยางกูร. (2549). พฤติกรรมมนุษย์กับสภาพแวดล้อม : มูลฐานทางพฤติกรรมเพื่อการ
ออกแบบและวางแผน (ครั้งท่ี 6). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
สาโรช ไสยสมบัติ. (2534). ความพึงพอใจในการทางานของครูอาจารย์โรงเรียนมัธยมศึกษา
สังกดั กรมสามญั ศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาการบริหาร
การศกึ ษา, บัณฑติ วิทยาลยั , มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ มหาสารคาม.
สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ. (2551). คู่มือการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention
: EI) เด็กพิการสาหรับโรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนย์การศึกษาพิเศษ.กรุงเทพฯ :
โรงพมิ พ์สานักงานพทุ ธศาสนาแห่งชาต.ิ