เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 1 àÂ×͹àÁ×ͧã¹ËÁÍ¡...´Í¡äÁŒ§ÒÁ... ãµŒÊØ´ÊÂÒÁ·Õè
เยือนเมืองในหมอก..... ดอกไม้งาม... ใต้สุดสยามที่เบตง
ค�ำน�ำจากใจคนเบตง ครอบครัวผมเป็นชาวจีน อพยพมาจากมณฑลกวางสี(กวางไส) มาลงหลักปักฐานอยู่ที่อ�ำเภอเบตง จังหวัดยะลา ผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ ถึง แม้ว่าจะไปท�ำธุรกิจอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ผมก็คิดถึงเบตงเสมอ เพราะเป็น บ้านเกิดเมืองนอนของผม สมัยก่อนครอบครัวผมไม่ได้มีฐานะดีนัก ผมจึงต้องดิ้นรนและ มุมานะ เพื่อให้ชีวิตของตัวเองและครอบครัวดีขึ้น จนกระทั่งวันนี้ผม ภาคภูมิใจในระดับหนึ่งแล้ว กับความส�ำเร็จในหน้าที่การงาน และชีวิตครอบครัว ผมจึงอยากท�ำ อะไรเพื่อตอบแทนสังคมและบ้านเกิดของผมบ้าง ผมจึงริเริ่มความคิดที่จะจัดท�ำหนังสือ “เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง” เพื่อให้ประชาชนชาวไทยและคนเบตงรุ่นหลัง ได้รับรู้ถึงประวัติความเป็นมาของเมืองเบตง รวมไป ถึงวัฒนธรรมประเพณีสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน ซึ่งเบตงมีของดีหลากหลายที่พร้อมรอ ต้อนรับผู้มาเยือนทุกท่าน แม้เบตงจะอยู่ในเขตความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่ผมอยากสร้างความ มั่นใจให้กับผู้มาเยือนให้ได้รับรู้อีกแง ่มุมหนึ่งว ่า เมืองเบตงแห ่งนี้ มีความสุขสงบ อากาศดี อาหารอร่อย มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย และเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจ ที่มีอนาคตที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ ผมคิดอยู่เสมอว่า เราเป็นคนเบตง ถ้าเราไม่กล้ากลับไปเบตง แล้วใครจะไป... เราเป็นคน เบตง ถ้าไม่คิดท�ำอะไรเพื่อเบตง แล้วใครจะท�ำ... ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ จะน�ำพาท่านผู้อ่านไปท�ำความรู้จักกับเมืองเบตงมากขึ้น และสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่อยากจะมาเยือนเบตง ผมอยากเห็นบ้านเกิดของผมเป็น เมืองที่คึกคัก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว นักธุรกิจอยากเข้ามาลงทุน ยิ่งถ้าหากว่าสนามบินเบตง สร้างเสร็จเมื่อไหร่ เบตงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวและการลงทุน ที่ทุกคนไม่ควรพลาดเลยทีเดียว… ด้วยจิตคารวะและส�ำนึกรักบ้านเกิดของคนเบตง เจริญชัย แซ่ชั้น
จังหวัดยะลาเป็นพื้นที่ชายแดนใต้สุดของประเทศไทย ที่มีอาณาเขต ติดแนวชายแดนประเทศมาเลเซีย 5 อ�ำเภอ คือ อ�ำเภอกาบัง อ�ำเภอยะหา อ�ำเภอธารโต อ�ำเภอบันนังสตา และอ�ำเภอเบตง ประชาชนในพื้นที่มีวัฒนธรรมและนับถือศาสนาที่หลากหลาย ทั้งอิสลาม พุทธ คริสต์และชาวไทยเชื้อสายจีน ที่อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข รวมทั้ง ได้ร่วมกันพัฒนาจังหวัดยะลาให้เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าและเมืองท่อง เที่ยวชายแดนที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน อ�ำเภอเบตงมีชัยภูมิที่ตั้งที่ดีคือ เป็น “อ�ำเภอใต้สุดสยาม” ได้ถูกพัฒนา เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศให้ปรารถนามาเยือน อ�ำเภอเบตง ด้วยความหลงใหลเสน ่ห์ของเมืองท ่องเที่ยวที่ตั้งอยู ่บนที่สูง ล้อมรอบด้วยหุบเขา ท�ำให้มีอากาศเย็นสบายแวดล้อมด้วยดอกไม้งามนานาพรรณ รวมทั้งมีหมอกบางยามเช้าปกคลุมเมืองเบตงตลอดทั้งปีท�ำให้เมืองเบตงได้ รับสมญานามว ่า “เมืองในหมอก...ดอกไม้งาม” เป็นเอกลักษณ์ส�ำคัญและ เป็นต้นเหตุที่มาของค�ำขวัญประจ�ำจังหวัด คือ “ใต้สุดสยาม...เมืองงาม ชายแดน” กระผมขอแสดงความชื่นชมยินดีในความริเริ่มของ คุณเจริญชัย แซ่ชั้น ลูกหลานชาวอ�ำเภอเบตง ที่ต้องการทดแทนบุญคุณแผ่นดินเกิดด้วยการจัด พิมพ์หนังสือ “เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง” เพื่อ รวบรวมประวัติความเป็นมาของเมืองเบตงทั้งประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์วัฒนธรรม ประเพณีของดีและแหล่งท่องเที่ยวเพื่อประชาสัมพันธ์อ�ำเภอเบตงให้มีชื่อเสียง กว้างไกล ด้วยเสน่ห์ของเมืองเศรษฐกิจการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน ใต้สุดสยาม กระผมขออ�ำนวยพรให้การด�ำเนินงานจัดพิมพ์ครั้งนี้จงประสบความ ส�ำเร็จและสัมฤทธิ์ผลตามเจตนารมณ์ของคณะผู้จัดท�ำทุกประการ นายสามารถ วราดิศัย ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา สารจากผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา
สารจากนายอ�าเภอเบตง “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม” “ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน” “เมืองสวรรค์แดนใต้ หลากหลายวัฒนธรรม งามล�้ำอเมซอนอาเซียน” เหล่านี้ คือ ชื่อของเบตงที่ได้รับการกล่าวขาน ทราบหรือไม่ว่า เบตง มีดีอะไร 1. เบตงมีธรรมชาติอันบริสุทธิ์มีป่าบาลา-ฮาลา ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง อากาศเย็นสบายตลอดปี 2. เบตงมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ทั้งภูเขา น�้ำตก ทะเลสาบ บางลาง บ่อน�้ำร้อน อุโมงค์ปิยะมิตร สวนหมื่นบุปผา ไม้ดอกเมืองหนาว 3. เบตงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์พี่น้อง ไทย จีน มุสลิม คริสต์อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน 4. เบตงมีอาหารอร่อยขึ้นชื่อ ไก่สับเบตง กบภูเขา เคาหยก ปลาจีนนึ่ง บ๊วย ผัดหมี่เบตง ผักน�้ำ วุ้นด�ำ (เฉาก๊วยเบตง) ส้มโชกุน แต่จะมีคนไทยจากต่างจังหวัดสักกี่คน ที่รู้จักและเคยมาเยือน สัมผัสถึง เสน่ห์ของเบตงอย่างแท้จริง ชาวสิงคโปร์มาเลเซีย จะรู้จักเบตงเสียมากกว่า ต้องขอบคุณ คุณเจริญชัย แซ่ชั้น หนึ่งในเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวเบตง ที่ไปเติบโตจนประสบความส�ำเร็จในอาชีพธุรกิจที่กรุงเทพ และมีความตั้งใจ จริง จัดท�ำหนังสือภายใต้ชื่อ “เยือนเมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยามที่ เบตง” ที่จะเผยแพร่เสน่ห์ของเบตงให้เป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศ OK BETONG ครับ นายนิพนธ์ อินทรสกุล นายอ�ำเภอเบตง
อ�ำเภอเบตงเป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน ไทย-มาเลเซียที่มีชื่อเสียงของจังหวัดยะลา เป็นมาตุภูมิที่ชาวเบตงทุกคน ภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นเจ้าของเมืองสวยที่มีชื่อเสียงขจรไกลในนาม “เมืองใน หมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยาม...เมืองงามชายแดน” ส่งผลให้อ�ำเภอเบตง เป็นจุดหมายปลายทางของนักท ่องเที่ยว ที่ชาวไทยและชาวต ่างประเทศ ต่างปรารถนามาเยือนอ�ำเภอเบตงให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต คณะผู้บริหารเทศมนตรีเมืองเบตงได้ด�ำเนินนโยบายบริหารอ�ำเภอเบตง ให้เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน เพื่อพัฒนาอ�ำเภอ เบตงให้เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของจังหวัด ยะลา รวมทั้งเตรียมความความพร้อมต้อนรับนโยบายเปิดประตูต้อนรับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี2559 ความส�ำเร็จของนโยบายพัฒนาเมืองเบตงในวันนี้ เกิดขึ้นได้ด้วย ความร่วมมือของชาวเบตงที่ได้ร่วมกันสนับสนุนนโยบายของคณะเทศมนตรี เมืองเบตง ให้ประสบความส�ำเร็จเป็นอย่างดีสืบมาจนถึงปัจจุบัน ในฐานะนายกเทศมนตรีเมืองเบตง ผมขอขอบคุณ คุณเจริญชัย แซ่ชั้น ที่ได้ประพฤติตนเป็น “ชาวเบตงที่ดี” ด้วยการริเริ่มจัดพิมพ์หนังสือ “เยือน เมืองในหมอก...ดอกไม้งาม....ใต้สุดสยามที่เบตง” เพื่อสนับสนุนนโยบายพัฒนา อ�ำเภอเบตงให้เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดนใต้สุด ของประเทศไทย ให้มีชื่อเสียงขจรไกลในระดับนานาชาติ “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม อากาศดี อาหารอร่อย ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน” นายสมยศ เลิศล�ำยอง นายกเทศมนตรีเมืองเบตง สารจากนายกเทศมนตรีเมืองเบตง
สารจากอดีตนายกเทศมนตรีเมืองเบตง อ�ำเภอเบตงเป็นชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยมีตัวเมืองเบตงเป็น ศูนย์กลางความเจริญด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีจุดเด่นด้าน ที่ตั้งในฐานะเป็น “เมืองใต้สุดแผ่นดินสยาม” มีเอกลักษณ์เป็น “เมืองขนาด เล็กที่มีความสวยงาม” ตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษ คือ “Small is Beautiful” และด้วยความสามารถในด้านการบริหารของนายกเทศมนตรี ในชุดที่ผ่านมา ท�ำให้เมืองเบตงเป็นตัวอย่างการพัฒนาเมืองที่ประสบความ ส�ำเร็จ ที่หน่วยงานต่างๆ นิยมส่งเจ้าหน้าที่มาดูงานการจัดการบริหารเมือง และวิสัยทัศน์การพัฒนาเมืองของฝ่ายบริหาร เพื่อน�ำกลับไปพัฒนาชุมชน ของตัวเองให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับเมืองเบตง คุณเจริญชัย แซ่ชั้น เป็นลูกหลานชาวเบตงที่เกิดและเติบโตในอ�ำเภอ เบตง สืบต่อจากบรรพบุรุษของท่านที่เป็นชาวจีนอพยพเข้ามาพึ่งพระบรม โพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสามารถสร้างครอบครัวให้ ประสบความส�ำเร็จได้จากนั้นด้วย “ความส�ำนึกรักบ้านเกิด”ของท่าน ท�ำให้ ท่านอุทิศตัวสร้างประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเบตงท่านจึงได้มีแนวคิดริเริ่ม จัดพิมพ์หนังสือ “เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง” เพื่อ มีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์เมืองเบตงทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ให้เจริญยิ่งขึ้นไปในอนาคต ในโอกาสนี้กระผมขอขอบคุณในความปรารถนาดีของคุณเจริญชัย แซ่ชั้น แทนชาวเบตงทั้งมวลในกุศลเจตนาที่ได้จัดพิมพ์หนังสือ “เยือนเมืองใน หมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง” รวมทั้งขอเชิญชวนลูกหลานชาว เบตงทั้งปวง เมื่อได้สร้างครอบครัวมั่นคงดีแล้ว ขอให้กลับมาช่วยพัฒนา เมืองเบตงบ้านเกิดเมืองนอนของเราให้เจริญยิ่งขึ้นในอนาคต ดาโต๊ะ ดร.คุณวุฒิมงคลประจักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเบตง
เยือนเมืองในหมอก.... ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง เบตง ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองในม่านหมอก” เพราะมีหมอกปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี และถึงแม้จะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก อีกทั้งมีสถานะเพียงแค่เป็นหนึ่งในอ�ำเภอของจังหวัดยะลา แต่ด้วยความเป็นมาที่น่าสนใจ และประวัติศาสตร์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ท�ำให้เมือง ในม่านหมอกแห่งนี้ มีอะไรหลายอย่างให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่หลงใหลในอดีตแห่งวันวานได้มาสัมผัส สักครั้งในชีวิต
อาณาเขตชายแดนใต้สุดของประเทศไทย มีพื้นที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ประกอบ ด้วยจังหวัดส�ำคัญ 4 จังหวัด คือ สตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาส ทั้ง 4 จังหวัดนี้มี อ�ำเภอที่เป็นที่ตั้งของด่านศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมือง 4 อ�ำเภอตามแนวชายแดน คือ ท่าเรือต�ำมะลัง อ�ำเภอเมือง จังหวัดสตูล อ�ำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา อ�ำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอ�ำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ทั้ง 4 อ�ำเภอนี้ได้ถูกพัฒนาและ แสดงบทบาทเป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าชายแดนและเมืองท่องเที่ยว เชื่อมต่อกับประเทศ มาเลเซียที่มีความเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ส�ำหรับอ�ำเภอเบตงนั้นตั้งอยู่ในต�ำแหน่ง “ใต้สุดของประเทศไทย” เป็น รอยต่อทางชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย อยู่ห่างจากตัว จังหวัดยะลาเพียง 140 กิโลเมตร ชื่อเดิมของอ�ำเภอเบตงคือ ยะรม เป็นภาษา มลายูมีความหมายว่า “เข็มเย็บผ้า” ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2473 อ�ำเภอ ยะรมได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นอ�ำเภอเบตงในปัจจุบัน ซึ่งค�ำว่า เบตง มาจากภาษา มลายูว่า “BuluhBetong” หมายถึง “ไม้ไผ่ขนาดใหญ่” คือ ไผ่ตง ซึ่งมีอยู่ มากในท้องถิ่น ต้นไผ่ตงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอ�ำเภอเบตง นอกจากนี้ อ�ำเภอเบตงยังได้รับความยอมรับให้เป็นเมืองที่สวยที่สุดในอ�ำเภอชายแดนของ 4 จังหวัดและมีค�ำขวัญประจ�ำเมือเบตง คือ “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยามเมืองงามชายแดน” “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยามเมืองงามชายแดน”
á¼¹·Õ跋ͧà·ÕèÂÇີ§
สารบัญ บทที่ 1 ย้อนรอยประวัติศาสตร์อ�ำเภอเบตง จากอาณาจักรลังกาสุกะถึงกรุงรัตนโกสินทร์ 12 บทที่ 2 บรรพบุรุษและชาติพันธ์ในอดีตของอ�ำเภอเบตง 20 บทที่ 3 ความลงตัวบนความหลากหลายด้านศาสนาและ ภาษาพูดสร้างเอกลักษณ์วัฒนธรรมเบตง 28 บทที่ 4 ของดีเมืองเบตง จากภูมิปัญญาบรรพบุรุษ 42 บทที่ 5 แนะน�าสถานที่ท่องเที่ยวอ�าเภอเบตง 56 บทที่ 6 บุคคลท้ายเล่ม 78 คุณเจริญชัย แซ่ชั้น ประธานบริษัท ช.เจริญกรุ๊ป(2005) จ�ำกัด และประธานห้าง หุ้นส่วนจ�ำกัด ช.เจริญค้าของเก่า ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมกวางสี (ประเทศไทย) รองนายกสมาคมศิษย์เก่าจงฝา เบตง-กรุงเทพ รองประธานจัดงานโรงเรียนเบตงวีระราษฎร์ประสาน
บทที่ 1
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 13 ต่อมาต้นพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรศรีวิชัยที่ เจริญรุ่งเรืองในบริเวณแหลมมลายูได้เสื่อมอ�ำนาจลง และเกิดอาณาจักรใหม่ คือ อาณาจักรมัชฌาปาหิต (ชวา) ซึ่งมีอ�ำนาจอยู่ในเกาะชวา หรืออินโดนีเซียนั้น ได้ขยาย อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเข้ามาครอบครองดินแดน สุมาตรา และบางส่วนของคาบสมุทรมลายูไป และท�ำให้ ศรีวิชัยล่มสลายไปในที่สุด ประจวบกับในขณะนั้นอาณาจักร สุโขทัยได้ขยายอ�ำนาจลงมายังเมืองไชยา เมืองตามพรลิงก์ และหัวเมืองมลายูและได้ผูกสัมพันธ์กับพระเจ้าศรีธรรม โศกราชโดยได้แต่งตั้งให้ดูแลหัวเมืองแหลมมลายู เมื่ออาณาจักรสุโขทัยได้เสื่อมลง หัวเมืองมลายู ได้แก่ เมืองปัตตานีเมืองไทรบุรีเมืองกลันตัน และ เมืองตรังกานูจึงเป็นประเทศราชต่ออาณาจักรอยุธยา โดยพื้นที่อ�ำเภอเบตงเป็นส่วนหนึ่งของหัวเมืองปัตตานี ต่อมาเมื่ออาณาจักรอยุธยาอ่อนแอลง หัวเมืองมลายู บทที่ 1 ย้อนรอยประวัติศาสตร์อ�ำเภอเบตง จากอาณาจักรลังกาสุกะถึงกรุงรัตนโกสินทร์ จากประวัติศาสตร์เดิมราวพุทธศตวรรษที่ 7 พื้นที่ของอ�ำเภอเบตง เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลังกาสุกะ โดยมีอาณาเขตปกครอง กว้างขวางครอบคลุมคาบสมุทรมลายูตอนล่างทั้งหมดโดยพัฒนามาจาก เมืองท่าเล็กๆ ของชาวพื้นเมืองจนเติบโตเป็นรัฐและมีฐานะเป็น อาณาจักร จนกระทั่งสมัยพุทธศตวรรษที่ 14-15 อาณาจักรลังกาสุกะ ได้ตกอยู่ใต้อ�ำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย โดยเชื่อว่าอาณาจักรศรีวิชัย น่าจะมีอ�ำนาจที่แผ่กว้างไพศาลมากในสมัยนั้น มีอาณาเขตครอบคลุม ไปถึงช่องแคบมะละกา ชวา สุมาตรา แหลมมลายู และหัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ภาคใต้ของประเทศไทยในปัจจุบัน เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 13
ทั้ง 4 จึงได้แข็งข้อ ตั้งตนเป็นรัฐอิสระตลอดมาจนกระทั่งในสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ตอนต้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่1) ทรงรวบรวมหัวเมืองมลายูกลับมาเป็นเมืองประเทศราช จนในรัชสมัย สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ได้เกิดความไม่สงบขึ้น บ่อยครั้ง จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาอภัยสงคราม และพระยาสงขลา ผู้ก�ำกับดูแลหัวเมืองมลายูแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง และ แต่งตั้งให้พระยาเมืองเป็นผู้ปกครองตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2359 เป็นต้นมา ได้แก่ เมืองปัตตานีเมืองยะหริ่ง เมืองสายบุรีเมืองหนองจิก เมือง ระแงะ เมืองยะลา และเมืองรามัน ซึ่งพื้นที่ของอ�ำเภอเบตงเดิมได้ขึ้น อยู่กับเมืองรามัน ตามหลักฐานทางโบราณคดีได้ระบุว่าแหลมมลายูเป็นศูนย์กลาง การค้าขายมานาน และมีเมืองที่เจริญรุ่งเรืองหลายแห่ง เช่น ตักโกละ ลังกาสุกะ พานพาน ตามพรลิงค์ และศรีวิชัย อาณาจักรศรี วิชัย มีราชธานีอยู่ในเกาะสุมาตรา (ในปัจจุบัน) เป็นอาณาจักร แรกที่มีเรื่องราวเกี่ยวพันกับดินแดนในแหลมมลายูโดยมีประเทศ ราชบนแหลมลายูหลายประเทศ คือ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน ตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช) ครหิ(ไชยา) ลังกาสุกะ (อยู่ในประเทศมาเลเซีย) เกตะ (ไทรบุรี) กรา ตักโกลา (ตะกั่วป่า) และปันพาลา (อยู่ในประเทศพม่า) พลเมืองนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งได้ เผยแผ่มาในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 ภายหลังที่อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอ�ำนาจลง เมืองตามพรลิงค์ (เมืองโบราณแห่งอาณาจักรศรีวิชัย) ได้แยกตนเป็นอิสระโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่แคว้นนครศรีธรรมราช มีอ�ำนาจปกครองเมืองต่างๆ ได้แก่ สายบุรี ปัตตานีกลันตัน ปาหัง ไทรบุรีพัทลุง ตรัง ชุมพร บันไทสมอ สงขลา ตะกั่วป่า ถลาง และกระบุรี ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ไทยอ้างสิทธิคุ้มครองเหนือรัฐมลายูทั้ง 4 คือ ไทรบุรีกลันตัน ตรังกานู และ ปะลิส โดยใช้วิธีปกครองแบบเมืองประเทศราช ให้สุลต่าน ของแต่ละรัฐ ปกครองกันเอง แต่จะต้องส่ง 14 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
บรรณาการ มาถวายพระมหากษัตริย์ไทย ตามก�ำหนดเวลา 3 ปีต่อ ครั้ง ฝ่ายไทย มีอ�ำนาจ ควบคุมต่างประเทศ และได้ให้ความช่วยเหลือ แก่รัฐเหล่านี้ในกรณีที่ถูกรุกรานจากชาติอื่น รัฐบาลไทยใช้นโยบาย ออมชอม ปกครองรัฐมลายูและพยายาม กระชับการปกครอง เมื่อ มีโอกาส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเอง ได้เสด็จเยือน มลายูหลายครั้งและพยายาม ยกฐานะหัวเมืองเหล ่านั้น เช่น ทรงยก ฐานันดร ผู้ครองรัฐไทรบุรีเป็นเจ้าพระยา จัดให้เมืองไทรบุรีขึ้นตรง ต่อกรุงเทพฯ แทนที่จะขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช นอกจากนี้เมื่อทรง ปรับปรุงการปกครอง หัวเมืองจัดตั้ง มณฑลต่างๆ ก็โปรดฯ ให้ยก ไทรบุรีขึ้นเป็นมณฑล เมื่อ พ.ศ.2440 โดยรวมสตูลและปะลิส เข้าไว้ ด้วย มีสุลต่าน เป็นข้าหลวงปกครองเอง และทรงใช้หลักจิตวิทยา พยายามให้เจ้าเมืองเหล่านั้น สวามิภักดิ์ต่อไทยมากขึ้น แม้จะปกครอง กันเอง ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกการปกครองแบบ จตุสดมภ์โดยทรงปรับปรุงเปลี่ยนระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินใหม่ เรียกว่า “พระราชบัญญัติลักษณะ ปกครองท้องถิ่น ร.ศ. 116” โดยได้น�ำมาใช้กับ 7 หัวเมืองภาคใต้โดยเรียกว่า “ข้อบังคับส�ำหรับ ปกครอง 7 หัวเมือง ร.ศ. 120” มีการแบ่งการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล มีต�ำแหน่งพระยาเมือง (เจ้าเมือง) ปลัดเมือง, ยก กระบัตรเมือง, โดยทั้งหมดขึ้นตรงต่อข้าหลวง ซึ่งในภาคใต้แบ่งออกเป็น 4 มณฑล โดยเมืองปัตตานีขึ้นอยู่ใน มณฑลนครศรีธรรมราช มีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ดูแล อยู่ในปกครองของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑล ต่อ มาเมื่อปีพุทธศักราช 2449 ได้โปรดเกล้าฯ ให้แยกหัวเมืองที่ขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราชทั้ง 7 หัวเมือง มาตั้ง เป็นมณฑลปัตตานี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้มีการ ตราพระราชบัญญัติการบริหารราชการส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2476 ขึ้น จึงได้ยุบเลิกมณฑลปัตตานีและ ได้แบ่งออกเป็นจังหวัดปัตตานีจังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาสในปัจจุบัน เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 15
ก่อก�ำเนิดอ�ำเภอเบตงบนแผ่นดิน สุวรรณภูมิ ในส่วนของอ�ำเภอเบตงนั้นแรกเริ่มได้ตั้งขึ้นเป็นอ�ำเภอ ชื่อว่า อ�ำเภอยะรม (ตั้งอยู่ที่บ้านฮางุด หมูที่ 1 ต�ำบลเบตง) แบ่ง การปกครองออกเป็น 6 ต�ำบล คือ ต�ำบลเบตง ต�ำบลยะรม ต�ำบล อิต�ำ ต�ำบลโกรเน ต�ำบลบาโลน และต�ำบลเซะ หรือโกร๊ะ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2442 จากผลการปักปันแดนระหว่าง ไทยกับสหพันธรัฐมลายู (อาณานิคมของอังกฤษ) เป็นเหตุ ให้ต�ำบลอิต�ำ ต�ำบลโกรเน ต�ำบลบาโลน และต�ำบลเซะ หรือ โกร๊ะ รวม 4 ต�ำบล ถูกตัดออกจากอ�ำเภอยะรมไปรวมอยู่กับ รัฐเประในสหพันธรัฐมลายูอ�ำเภอยะรมจึงเหลือการปกครองอยู่ เพียง 2 ต�ำบล คือ ต�ำบลเบตงและต�ำบลยะรม ต่อมาได้มีการจัดตั้ง ต�ำบลอัยเยอร์เวง และต�ำบลฮาลา ซึ่งจากหลักฐานปรากฏว่า มี ต�ำบลอัยเยอร์เวงในปีพุทธศักราช 2462 และมีต�ำบลฮาลาในปี พุทธศักราช 2486 ต่อมาอีกในปีพุทธศักราช2473สมัยที่พระพิชิตบัญชาการ เป็นนายอ�ำเภอ ได้ย้ายที่ตั้งที่ว่าการอ�ำเภอจากบ้านฮางุส หมู่ที่ 1 ต�ำบลเบตง มาตั้งอยู่ที่บ้านก�ำปงมัสยิด หมู่ที่ 6 ต�ำบลเบตง พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจาก “อ�ำเภอยะรม” เป็น อ�ำเภอเบตง (ที่ว ่าการอ�ำเภอหลังเก ่าตั้งอยู ่ใกล้กับสถานีต�ำรวจภูธรเบตง ปัจจุบัน) 16 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
และในช่วงปีพ.ศ.2483 ก็ได้เกิดเหตุการณ์ความ ไม่สงบที่บริเวณปลายด้ามขวานของไทยอีกครั้ง เมื่อกลุ่ม กบฎของมาเลเซียเชื้อสายจีนที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่ม ติดอาวุธพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา” หรือที่คนในพื้นที่ เรียกกันติดปากว ่า กองโจรจีนเบตง ที่ลักลอบซ่องซุม ก�ำลังกันบริเวณป่าชายแดนไทย- มาเลเซีย ซึ่งก็คืออ�ำเภอ เบตงในปัจจุบันท�ำการจับอาวุธมาต่อสู้กับรัฐบาลมาเลเซีย ที่เพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษได้ไม่นาน ปัจจัยส�ำคัญที่ท�ำให้กลุ่มกองโจรกลุ่มนี้ต้องลุกขึ้น มาต่อสู้กับอ�ำนาจรัฐก็เนื่องมาจากคนเชื้อสายจีนเป็น พวกที่ด้อยสิทธิ์ด้อยเสียง ท�ำให้คนหนุ ่มสาวชาวจีน จ�ำนวนไม ่น้อยหันหน้าเข้าหาลัทธิคอมมิวนิสต์นิยม เพื่อเป็นตัวแทนความยุติธรรมทางสังคม โดยกลุ่มชาวจีน ในมาลายากลุ่มแรกที่เริ่มสนใจและตื่นตัวในลักธิมาร์ก ซิสต์ และตั้งพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาในระยะแรกๆ ยังคงเป็นการต่อต้านญี่ปุ่นและช่วยหนุนพรรคคอมมิวนิสต์ ในจีนแผ่นดินใหญ่อีกด้วย ส�ำหรับกองก�ำลังพรรคคอมมิวนิสต์มาลายามีผู้น�ำ คือ นาย อ๋อง บุน หัว หรือคนไทยรู้จักในชื่อ จีนเป็ง เป็น ชาวฮกเกี้ยน เกิดในปีพ.ศ.2467 ที่รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย เดิมครอบครัวประกอบอาชีพช ่างซ ่อมจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์ ซึ่งนายอ๋อง บุน หัว ได้เข้าร่วมกิจกรรม กับพรรคฯ มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนเพื่อร่วมต่อสู้กับ การรุกรานของทหารญี่ปุ่นในรัฐเปรักบ้านเกิด อีกทั้งยัง รับต�ำแหน่งเป็นผู้ประสานงานกับอังกฤษ กระทั่งสงครามโลกยุติลง อังกฤษกลับมาปกครอง มาลายาอีกครั้ง ระหว่างนี้นายอ๋อง บุน หัว หรือจีนเป็ง ได้รับเลือกให้ขึ้นด�ำรงต�ำแหน่งเลขาธิการพรรคคนใหม่ เมื่อ พ.ศ.2490 และกลายเป็นหัวหน้าผู้น�ำกองก�ำลัง คอมมิวนิสต์ต่อต้านอังกฤษในการประกาศเอกราชให้ กับมาลายา ถึงขนาดที่ทางรัฐบาลอังกฤษตั้งค่า หัวจีนเป็ง เป็นเงิน 250,000 เหรียญ และด้วยการ ปราบปรามที่เข้มข้น และดุดัน พรรคคอมมิวนิสต์ มาลายาจึงต้องถอยร่นขึ้นเหนือมาตั้งกองบัญชา การอยู่ที่ อ�ำเภอเบตง จังหวัดยะลา และต่อมา ทางการไทยได้ขึ้นบัญชีด�ำกองก�ำลังเหล่านี้ด้วย เช่นกัน พร้อมทั้งเรียกกองโจรกลุ่มนี้ว่า “กองโจรจีน คอมมิวนิสต์” หรือ จคม. โดยจีนเป็ง ได้เขียนบอกเล่าความหลังไว้ ในหนังสือของเขาเมื่อผ่านเข้าสู่วัยชราว่า “ส่วนใหญ่ ของพลเมืองอังกฤษในอาณานิคม ที่กลับมาเชิด หน้าชูตาหลังจากการยอมแพ้ของญี่ปุ ่นไม ่ได้ เพียงแค่เป็นพวกฉวยโอกาสและคดในข้อ งอใน กระดูกเท่านั้น แต่พวกเขายังแสดงการหยามเยียด อย่างที่สุดต่อต่อประชาชนที่พวกเขาก�ำลังขูดรีด อีกด้วย” และในราวปีพ.ศ.2491 พรรคคอมมิวนิสต์ มาลายาตัดสินใจด�ำเนินการด้านอาวุธอย่างเต็ม รูปแบบเพื่อน�ำเอาระบบมาร์กซิสต์ที่เท่าเทียมเข้า มาทดแทนระบบเก่าที่เหม็นโฉ่เช่นนี้“ถ้าพวกคุณ เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 17
ได้พบเห็นในแบบเดียวกันกับที่ผมประสบว่าอังกฤษ ที่หวนกลับมาได้ท�ำอะไรกับพวกเราไว้บ้าง คุณจะรู้ ได้ทันทีว่าท�ำไมผมถึงต้องเลือกการจับอาวุธขึ้นมา ต่อสู้” การเติบโตของอ�ำเภอเบตง ภายใต้กระแสการเมือง ภายใต้กระแสการต่อสู้เพื่อเอกราช และการ กดดันอย่างหนัก สุดท้ายอังกฤษจึงอย่างอ่อนข้อด้วย การผ่อนปรนจนกระทั่งมอบเอกราชให้กับชนชั้นสูง ชาวมาเลย์อย ่างสมบูรณ์ ภายใต้ชื่อ “สหพันธรัฐ มาลายา” เมื่อปีพ.ศ.2500 พร้อมทั้งรวมบอร์เนียว เหนือและรัฐซาราวัค เข้ารวมกันเป็นประเทศมาเลเซีย เมื่อปีพ.ศ.2506 ส่วนสิงคโปร์ได้แยกตัวเป็นอิสระ ในปีพ.ศ. 2508 ถึงแม้ว่ามาลายาจะได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ จากอังกฤษแต่การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ยัง คงไม่ลดละที่จะปฏิวัติมาลายาให้เป็นระบบสังคมนิยม อย ่างเช ่นจีนแผ ่นดินใหญ ่ แต ่กลับประสบปัญหา การเมืองภายในแยกออกเป็น 3 พรรค ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2513 พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาเดิมที่จีนเป็งด�ำรง ต�ำแหน่งเลขาธิการเช่นเดิม ตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ที่ เบตงตะวันออก ส ่วนอีกสองพรรค ได้แก่ พรรค คอมมิวนิสต์มาลายา (ลักธิมาร์กซิสต์- เลนิน) น�ำโดย นาย จางจงหมิง ตั้งอยู่ที่เบตงตะวันออก และพรรค คอมมิวนิสต์มาลายา (ฝ่ายปฏิบัติ) น�ำโดยนาย อี้เจียง ตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ที่อ�ำเภอสะเดา จีนเป็งน�ำพลพรรคร่วมอุดมการณ์ราวหมื่นชีวิต ต่อสู้กับทหารราว 70,000 คน ที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณ แนวเขาสันการาคีรี ที่มีทั้งชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิจิ และทหารในเครือจักรภพ โดยใน สงครามครั้งนั้นรู้จักกันในนาม “ช่วงประกาศภาวะฉุกเฉิน” มีเรื่องเล่าขานกันว่า กองก�ำลังคอมมิวนิสต์มีพฤติกรรม โหดร้าย ทารุณ แต่จีนเป็งในฐานะผู้น�ำกลุ่มได้โต้แย้ง ว ่าทหารฝ ่ายอังกฤษก็โหดร้ายไม ่ยิ่งหย ่อนไปกว ่ากัน เพราะมีชาวจีนนับหมื่นที่เป็นผู้บริสุทธิ์ถูกขับไล ่ถอน รากถอนโคนออกจากที่ท�ำมาหากินอย ่างไร้เหตุผล และความปราณีจนสุดท้ายลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ถูกขับ ไล่ออกจากมาเลเซียไปในที่สุด ปัจจุบันเศษซากความทรงจ�ำเกี่ยวกับกองก�ำลัง พรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ในเบตงนั้นคือ หมู ่บ้าน ปิยมิตร ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ ไว้อย่างมากมายเกี่ยวกับอุดมการณ์อันแรงกล้าในการ ต่อสู้อย่างกล้าหาญภายใต้อุดมการณ์อันมุ่งมั่นที่บุคคล รุ่นหลังควรศึกษา ส�ำหรับสภาพโดยทั่วไปของอ�ำเภอเบตงในปัจจุบัน ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่ได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาสันการาคีรี ที่มีลักษณะเหมือนหอกพุ่งไปยังดินแดนประเทศ 18 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 19 ประชากรส ่วนใหญ ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ บางส ่วนท�ำสวนผลไม้ส ่วนชาวเบตงที่อาศัยอยู ่ใน ตัวเมืองจะประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เป็นส่วนใหญ่ และด้วยความอ�ำเภอเบตงอยู่ติดกับด่านชายแดน ไทย-มาเลเซีย ท�ำให้บรรยากาศในตัวเมืองค่อนข้าง คึกคักตลอดทั้งปีเพราะอยู ่ห ่างจากด ่านเข้าออก เพียงแค่ 7 กิโลเมตร เท่านั้น จึงได้รับความนิยมเป็น อย ่างมากจากนักท ่องเที่ยวชาวมาเลย์เชื้อสายจีน ที่นิยมเข้ามากราบไหว้สักการะและขอพรจาก สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งชาวจีนมาเลย์และชาวไทย เชื้อสายจีนที่มีไม่น้อยสามารถนับญาติทางสายเลือด ได้ ท�ำให้ความผูกพันที่มีต ่อกันยิ่งแน ่นแฟ้นมาก ยิ่งขึ้นไม่มีวันเสื่อมคลาย... มาเลเซีย แต่ตัวเมืองอยู่ในบริเวณแอ่งกระทะที่โอบล้อม ด้วยหุบเขาน้อยใหญ ่ ท�ำให้การคมนาคมถูกจ�ำกัด เพียงการสันจรทางบก ที่ต้องลัดเลาะมาตามเส้นทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 410 เหมาะส�ำหรับผู้ที่ชื่นชมความ ท้าทายในการเข้ามาเยี่ยมเยียนเมืองแห่งหุบเขาที่ตั้ง ถิ่นฐานอยู่รวมกันหลายเชื้อชาติอย่างสันติสุข และหาก ใครอยากสัมผัสกับหมอกยามเช้าคงได้สมใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมืองเบตงมีหมอกให้คุณได้สัมผัสอย่างนี้ตลอด ทั้งปีเลยทีเดียว นอกจากนี้อ�ำเภอเบตงยังเป็นต้นก�ำเนิดของแม่น�้ำ ปัตตานี โดยมีต้นก�ำเนิดอยู ่ในเทือกเขาสันการาคีรี ไหลไปทางทิศเหนือผ่านอ�ำเภอเบตง อ�ำเภอกรงปีนัง อ�ำเภอธารโต และอ�ำเภอเมือง จังหวัดยะลา สิ้นสุดลง ที่อ�ำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีไหลลงสู ่อ ่าวไทยรวม ความยาวทั้งสิ้น 214 กิโลเมตร และด้วยความอุมดม สมบูรณ์ทางธรรมชาตินี้เองให้อ�ำเภอเล็กๆ สุดแดนสยาม มีป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เขตป่าสงวนแห่งชาติเบตง มีพื้นที่ทั้งสิ้น 278.67 ตร.กม. หรือ 175,000 ไร่ ป่าบูกิ๊ตต�ำมะซู- บูกิ๊ต กือแล ในท้องที่ต�ำบลตาเนาะแมเราะ และต�ำบลยะรม พื้นที่ 275 ไร่ รวมไปจนถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและ อุทยานแห่งชาติบางลางซึ่งมีเนื้อที่รวมกันกว่า 3 แสนไร่ ส ่วนอาชีพของชาวเบตงนั้น โดยส่วนใหญ่จะ กลมกลืนไปกับสภาพประเทศที่เป็นป่าไม้และเทือกเขาสูง เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 19
บทที่ 2
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 21 ในเมืองแห่งม่านหมอก กลางเทือกเขาสันกาลาคีรี ซึ่งตั้งอยู ่สุดเขตแดนสยาม ประจ�ำยามทิศทักษิณ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าความน่าสนใจอีกหนึ่งอย่างของ เมืองเล็กๆ อย่างเบตง คือ ความหลากหลายทาง ชาติพันธุ์ซึ่งอยู่รวมกันอย่างสมานฉันท์มายาวนานกว่า 100 ปีซึ่งแตกต่างจากบางแห่งที่เมื่อผู้คนหลายเชื้อชาติ มาพ�ำนักพักพิงรวมตัวกันกลับมีปัญหาอยู่อย่างมากมาย ส่วนหนึ่งจากความแตกต่างและช่องว่างทางวัฒนธรรม ซึ่งไม่อาจหลอมรวมกันได้อย่างแน่นแฟ้น ส�ำหรับอ�ำเภอเบตงนั้นมีประชากรอยู่ประมาณ 60,000 คน (อ้างอิงจากส�ำนักสถิติทางการทะเบียน กระทรวงมหาดไทย สิ้นสุดเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2556) ซึ่งมีคนไทยหลากหลายชนชาติที่อยู ่ผสมรวมกัน จนร่วมกันพัฒนาเมืองเบตงให้น่าอยู่ ทั้งคนไทยเชื้อ สายจีน คนไทยเชื้อสายมลายู และคนต่างถิ่นทั่วทุก ภาคของประเทศที่เข้ามาปักหลักท�ำมาหากินไม ่ต�่ำ กว่า 10 ปีจนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับคนในพื้นที่ อย่างแยกกันไม่ออก แต่อย่างไรก็ดีหากจะสืบย้อนกลับไป เมื่อครั้งอดีต ชาติพันธุ์ซึ่งควรค่าแก่การศึกษา มีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ที่เข้ามามีบทบาทรวมทั้ง สืบเชื้อสายอยู่ในพื้นที่อ�ำเภอเบตงตราบจน ปัจจุบัน ชนเผ่าซาไก ซาไก คือค�ำพูดที่เรียกติดปากคนไทย มีการเพี้ยนเสียงมาจากค�ำว่า สินอย (Senoi) เป็นชนเผ่าชาวป่าที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ บทที่ 2 บรรพบุรุษและชาติพันธ์ุในอดีต ของอ�ำเภอเบตง
กระจัดกระจายอยู่ตามป่าเขา ในบริเวณภาคใต้ ของไทย มีการสันนิษฐานว่าสาเหตุที่พบเห็นชน เผ่าชาไก อยู่เยอะกว่าภาคอื่นเนื่องจากสภาพแวดล้อม โดยรวมยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก แม่น�้ำล�ำธาร ป่าไม้ เหมาะแก่วิถีชีวิตการอยู่อาศัยของชนเผ่า ดังกล่าว ซาไกเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุนิกริโต (nigrito) อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจาย อยู ่ตามพื้นที่ป ่าเขาในภาคใต้ของประเทศไทย ตลอดแหลมมลายู ซาไกหรือที่คนไทยเรียกว่า “เงาะป่า” ยังมีผู้เรียกชื่อชนกลุ่มนี้อีกหลายชื่อ เช่น ซาแก เซมัง (samang) ซินนอย (senoi) คะนัง โอรัง อัสลีออกแก นิกริโต และเงาะ ส่วนพวก ซาไกเรียกตนเองว่า “ก็อย” “มันนิ” หรือ “คะนัง” ลักษณะรูปร่างตามธรรมชาติ มีลักษณะ เหมือนกับสืบสายมาจากคนป ่าแถบแอฟริกา ผมหยิกคอดติดหนังศีรษะ ผิวด�ำคล�้ำ จมูกแบน กว้าง ริมฝีปากหนา ฟันซี่โต ใบหูเล็ก ท้องป่อง ตะโพก แฟบนิ้วมือนิ้วเท้าใหญ่ รูปร่างสันทัดสูงประมาณ 140-150 เซนติเมตร ผู้หญิงเตี้ยกว่าผู้ชาย แข็งแรง ล�่ำสัน ชอบ เปลือยอกนิสัยใจคอ มีอุปนิสัยร่าเริง ชอบดนตรีและ เสียงเพลง จะฟังออกหรือไม ่ไม ่ส�ำคัญขอให้เป็นเสียง ดนตรีเป็นชอบฟัง กลัวคนแปลกหน้า ยิ้มง่ายเปิดเผย เมื่อคุ้นเคย เกลียดการดูถูกเหยียดหยาม เยือกเย็น พูดน้อยตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม สติปัญญาชาวเงาะ ทั่วไปมีแววฉลาดหลักแหลม เรียนรู้ได้เร็วและมีความจ�ำ ยอดเยี่ยม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีศักยภาพด้านภาษาสูง วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของเงาะป่าซาไก ถิ่นที่ อยู่อาศัย ลักษณะบ้านเรือน ซาไกอาศัยอยู่ตามป่าเขา ชอบใช้ชีวิติเหมือนมนุษย์สมัยหิน และชอบเร่ร่อนย้าย ถิ่นสร้างกระท่อมเป็นที่อยู่อาศัยเรียกว่า “ทับ” กระจาย อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยไปจนถึงรัฐเคด้าห์ และ รัฐปะหัง ประเทศมาเลเซีย บนเกาะสุมาตรา ประเทศ อินโดนิเซีย ส�ำหรับในประเทศไทย ชนเผ่าซาไกจะ เร ่ร ่อนย้ายถิ่นจากถิ่นหนึ่งไปยังอีกถิ่นหนึ่งในแถบ บริเวณภาคใต้ของไทยจะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ละประมาณ 20-30 คน มักเลือกท�ำเลสูงๆ ใกล้แหล ่งน�้ำเป็นที่ อยู่อาศัย ชาวซาไกในจังหวัด ยะลาก็สามารถพูดภาษาไทย กับ ผู้ที่ไปเยี่ยมเยือนได้ดี ประกอบกับภาษา ซาไก ไม่มีตัวอักษรที่เป็นภาษาเขียน อักษรที่ใช้จึงเป็นอักษร ภาษาไทยหรือภาษามลายูเป็นส่วนมาก 22 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 23 เอกลักษณ์อีกหนึ่งอย่างที่ชาวซาไกโดดเด่นและ แตกต่างจากชนเผ่าทั่วไปนั้นคือ การแต่งกายสมัยก่อน ชาวซาไกใช้ใบไม้เปลือกไม้หรือตะใคร่น�้ำที่เกาะเป็น แผ ่นตามก้อนหินใหญ ่ๆ ในป่า โดยการแคะมาจาก หินแล้วผึ่งแดดให้แห้งจนเป็นสีด�ำ แล้วน�ำมาถักเป็น เครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงซาไกนุ่งยาวถึงหัวเข่าหรือครึ่งน่อง ใช้ผ้าคาดอกหรือเปลือยอก ผู้ชายนุ่งสั้นแค่เข่าและ เปลือยอก ส่วนเด็กๆ จะไม่นุ่งอะไรเลย ชาวเงาะรู้จัก ใช้ผ้ามาแล้วตั้งแต่สมัยพ่อแม่ของเขา แต่ไม่รู้จักเอา มานุ่งให้เป็นถุงเป็นผืนอย่างชาวบ้าน เขาจะเอามาฉีก ออกเป็นชิ้นๆ ขนาดฝ่ามือเดียวกัน แต่มีผ้าหรือใบไม้ นุ ่งทับรอบเอวยาวแค ่เข ่าหรือครึ่งน ่องอีกชั้นหนึ่ง ผ้าคาดอกหรือเปลือยอกเช่นเดียวกับผู้ชาย ซาไกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในเขตพื้นที่ประเทศไทย อยู ่บางส ่วน โดยเฉพาะในอ�ำเภอเบตงเองก็เคยเป็น แหล่งอาศัยแต่เก่าก่อน ปัจจุบันชาวซาไกได้รับพระ มหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระราชทานนามสกุลให้ “ศรีธารโต” เมื่อปีพ.ศ.2521 ที่ยังเหลืออยู่คือ ซาไก ฝั่งป่าฮาลา-บาลา ป่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดในชายแดน ภาคใต้ครอบคลุมพื้นที่อ�ำเภอต่างๆ ได้แก่ เบตง ธารโต และ บันนังสตา ถือเป็นถิ่นที่อาศัยของเงาะป่าซาไก หรือ อัสรีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าสุดท้ายของภาคใต้ ใช้ป่าในการยังชีพ และด�ำรงชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งถือเป็นการด�ำรงอยู่ร่วมกันที่น่าจดจ�ำส�ำหรับ คนในพื้นที่เล็กๆ แต่มากด้วยน�้ำใจในอ�ำเภอเบตงแห่งนี้..... ชนชาติมลายู อีกหนึ่งเชื้อชาติที่มีประวัติความเป็นมาอย ่าง ยาวนาน ความสัมพันธ์ทางการฑูตกับชนชาติสยาม (ประเทศไทยในปัจจุบัน) รวมทั้งมีอิทธิพลทั้งในด้าน การเมืองการปกครอง การค้า ด้านศาสนาในทางใต้ ของไทยรวมทั้งแผ่ขยายครอบคลุมทั่วเขตแหลมมลายู อีกด้วย ทั้งนี้ด้วยหลักศรัทธาในศาสนา จึงมีผลอย่าง มากในการใช้ชีวิตโดยน�ำเอามาประยุกต์ใช้เป็นกฎหมาย ในการปกครองชนชาติตนเองอย ่างเป็นปึกแผ ่นมา จนถึงทุกวันนี้ ชาวไทยเชื้อสายมลายู คือคนชาวไทยซึ่งมีเชื้อ สายมลายู (มาเลย์) มีกระจายทั่วไปในทางภาคใต้ ของประเทศไทย ประชากรใช้ภาษาตระกูลมาลาโยโพลินีเชียน และส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และมี ประชากร ร้อยละ 3 ของประชากรทั้งหมด กระจาย ตัวหนาแน่นมากที่สุดทางภาคใต้ตอนล่าง ในภาคใต้ ส่วนอื่นๆ ก็มีชาวไทยเชื้อสายมลายูกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนภาคกลางเองก็มีมากในกรุงเทพฯ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานีเลยไปถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา ชาวมลายูในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ จังหวัดปัตตานีจังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และ บางส่วนของจังหวัดสงขลา ส่วนใหญ่ยังใช้ภาษามลายู ปัตตานีซึ่งเป็นภาษามลายูท้องถิ่น และมีคนพูดกันมาก
และหลายคนสามารถพูดภาษามาเลย์กลางได้นอกจากนี้ ยังเขียนด้วยอักษรยาวี ที่ดัดแปลงจากอักษรอาหรับ และมีใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงการใช้ภาษาไทย เป็นภาษาที่สองด้วย โดยพ ่อแม ่ในท้องถิ่นนี้จะสอน ลูกหลานพูดภาษาแม่ของตนคือ ภาษามลายู(Bahasa Melayu) ในชีวิตประจ�ำวัน ต่อเมื่อเด็กๆ เข้าเรียนใน ระดับชั้นประถมศึกษาแล้วจึงจะได้เรียนรู้ที่จะพูดหรือ อ่านภาษาไทยในฐานะภาษาที่ 2 ความเป็นมลายู นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบส�ำคัญ ได้แก่ ภาษามลายู ศาสนาอิสลาม และวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่พูดภาษามลายูได้ เลือกวิถี วัฒนธรรมมลายูโดยเฉพาะต้องนับถือศาสนาอิสลาม ถือว่าเป็นชาวมลายู ถ้าพูดภาษามลายู แม้จะมีชีวิต ในวิถีวัฒนธรรมมลายู แต่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ก็ไม่ถือว่าเป็นมลายู ชาวไทยเชื้อสายมลายูหลายคน ยังแต ่งกาย แบบมลายูให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะทางภาคใต้ผู้ชาย ยังแต่งกายด้วยการนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะ โพก ศีรษะเหมือนชาวมุสลิมในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบัน วัฒนธรรมการแต ่งกายของมาเลเซียก็เข้ามา ท�ำให้ ชาวมลายูแต่งตัวให้ทันสมัยมากขึ้น แต่ยังคงอัตลักษณ์ ความเป็นมลายูและอิสลามอยู่อย่างมั่นคง ส�ำหรับในพื้นที่อ�ำเภอเบตงมีประชากรที่เป็น เชื้อสายมลายา หรือชาวมุสลิมอยู่มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โดยมีการสืบทอดทางประเพณีและวัฒนธรรมตกทอด มาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นประเพณีตามท้องถิ่นนิยม ประเพณีทางศาสนา ประเพณีทางวัฒนธรรม ไม่ว่า จะเป็น การจัดการงานวันฮารีรายอ งานเมาลิด งานวัน ละศีลอด วันกวนอาซูรอ การแสดงปัญจักสีลัต ดีเกฮูลู และอะนาเซด ชนชาติจีน ปฏิเสธไม ่ได้ว ่าการก ่อร ่างสร้างเมืองเบตงใน ปัจจุบัน ชาวไทยเชื้อสายจีนคือหนึ่งในกลจักรและฟัน เฟืองส�ำคัญที่ช่วยให้อ�ำเภอเล็กๆ สุดเขตชายแดนสยาม ประเทศเจริญรุดหน้ามาได้ถึงทุกวันนี้ รวมทั้งยังสืบทอด ความเชื่อตามวิถีชนชาติมังกรจีนโพ้นทะเลตราบ จนถึงทุกวันนี้ ชาวจีนที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่มักถูกเรียก ติดปากว่า “ชาวจีนโพ้นทะเล” ซึ่งมีการอพยพไปสู่ดิน แดนที่ดีกว ่า ในหลากหลายทวีปแล้วแต ่ผู้น�ำในการ เดินทางรวมทั้งการชักชวนจากบุคคลใกล้ชิด สาเหตุ หลักๆ ในการออกเผชิญโชคครั้งใหญ ่ในชีวิตของ บรรพบุรุษชนชาติมังกรในขณะนั้นมีอยู ่ด้วยกันสอง ประการใหญ่ๆประการแรกเกิดจาดสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นการแย่งชิงอ�ำนาจกันเมื่อของผู้น�ำหลายๆ คน ก่อนที่จะถูกปฏิวัติวัฒนธรรมในเวลาต่อมา ซึ่งก็ส่งผล มายังเหตุผลประการที่สองนั้นคือ ความยากจนแร้นแค้น ที่ผลักดันให้ผู้คนต้องปากกัดตีนถีบ หากยังอยู่ในบ้าน เกิดอาจจะอดตายต้องออกมาเสี่ยงดวง หากเจอกับ 24 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 25 ท�ำเลที่ดีมีช ่องทางให้ท�ำกินก็จะอยู ่ตั้งหลักปักฐาน สร้างเนื้อสร้างตัวจนมั่นคง จากนั้นจึงไปรับญาติๆ มาอยู่ ด้วยกันในดินแดนแห่งความหวัง ส�ำหรับการอพยพเข้ามาสู่พื้นที่อ�ำเภอเบตงของ ชาวจีนโพ้นทะเลนั้น ต้องย้อนกลับไปถึงการเข้ามาสู่ มลายูของกลุ่มที่อพยพมาแต่เดิมแรกเริ่ม ซึ่งปัจจุบัน คือประเทศมาเลเซียเมื่อประมาณ 100 กว่าปีก่อน ในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยช่วงแรกนั้นเป็นการอพยพ เข้ามาขายแรงงานเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากอุปนิสัยของ คนจีนคือ ซื่อสัตย์ขยัน อดทน สู้งานหนักงานเบาได้ ทุกชนิด โดยส่วนใหญ่จะมาจากมลฑลฟู่เจี๊ยน และ มาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะมะละกา โดยได้รับความเมตตา จากสุลต ่านแห ่งรัฐในการให้ที่ท�ำกินและที่อยู ่อาศัย เนื่องจากสุลต่านได้ทรงอภิเษกสมรมกับเชื้อพระวงศ์ แห่งจักรพรรค์ของจีนในสมัยนั้นด้วย จากนั้นด้วยวิกฤตการณ์ต่างๆ โรคระบาด และ ความเป็นอยู่ที่ยุ่งยากขึ้นทุกวันเนื่องจากสังคมขยายขึ้น ชาวจีนโพ้นทะเลกลุ่มแรกซึ่งตั้งรกรากอยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อตั้งตัวได้ก็พาญาติจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาท�ำมา หากินกันเพิ่มขึ้นเยอะท�ำให้มลายูเริ่มที่คับแคบลงทุก วันๆ ชาวจีนบางส่วนก็เริ่มมองหาลู่ทางในการเผชิญ โชคอีกครั้งด้วยการเดินทางขึ้นเหนือมายังฝั่งของสยาม ซึ่งยังมีสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์อยู่อย่าง มากมาย มายังบริเวณอ�ำเภอเบตงซึ่งในขณะนั้นอยู่ใน การปกครองแห่งรัฐปัตตานี และมีประชากรดั้งเดิม อาศัยอยู่ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองอย่างซาไก และ ชาวไทยเชื้อสายอิสลามเจ้าของพื้นที่ ซึ่งบันทึกหลักฐาน ของสมาคมก๋องสิ่ว เบตง รวมทั้งของสมาคมบ�ำเพ็ญ บุญมูลนิธิซึ่งบันทึกไว้ในลักษณะเดียวกันว่า ชาวจีน กลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาสู่เบตงโดยทางเรือจากมาเลเซีย จากนั้นเดินเท้า บ้างเดินทางด้วยเกวียนในราวปีพ.ศ. 2443 พร้อมทั้งมีการบันทึกว่า ชาวจีนคนแรกที่เข้ามา ตั้งรกรากในเมืองกลางม่านหมอกและหุบเขาแห่งนี้คือ เจิ๋นฝ๋อเซิ้ง หรือบางคนอาจจะเรียกกันติดปากว่า หลีซัง มาพร้อมกับคณะที่ประกอบด้วยคนหนุ่มสาวอีก 10 - 20 คน ในลักษณะของการเผชิญโชคที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ชาวจีนเบตงส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการทิ้งถิ่นฐาน บ้านช่องจากประเทศจีนหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีต่อไปข้าง หน้าด้วยการเริ่มต้นจากเสื่อผืน หมอนใบ เข้ามารับจ้าง ถางป่าหักร้างถางพงผืนป่าที่น่าสะพรึงกลัวด้วยขวาน ขนาดเล็ก ใหญ่ สร้างที่อยู่อาศัยเล็ก ๆ ต่อมาปลูกพืช ปลูกยางตัดขายจนพอมีรายได้และจากการมัธยัถ อดออม อดทนสะสมเงินทองจนสามารถสร้างบ้านที่อยู่อาศัย สร้างตึกและค้าขายจนร�่ำรวยมาจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่า คนจีนในเบตงจะเป็นพ่อค้า/ คหบดีเป็นส่วนใหญ่ และ เป็นนายทุนที่ดีในปัจจุบัน บางครอบครัวนอกจากมี ฐานะแล้วยังเป็นผู้น�ำของท้องถิ่นเบตงให้เจริญก้าวหน้า สามารถรักษาแผ่นดินเบตงซึ่งเป็นชายแดนไทยให้มี ความมั่นคงทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองได้ เป็นอย่างดีสมกับค�ำกล่าวที่ว่าเป็นผู้มีความกตัญญูต่อ แผ่นดิน ท�ำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมา หลังจากนั้นจึงมีคนจีนจากต ่างถิ่นอพยพเข้า มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากมณฑลกวางสี(กวาง ไส) ซึ่งเดิมอยู่ทางใต้ของจีนติดกับประเทศเวียดนาม อาจจะกล่าวได้ว่ามีอยู่มากที่สุดในจ�ำนวนชาวจีน ทั้งหมดที่เข้ามาบุกเบิกเมืองเบตงแห่งนี้ แต่ใน ปัจจุบันมีลูกหลานชาวจีนอยู่หลายเชื้อสายตามแหล่ง ที่มาของบรรพบุรุษจากทั่วประเทศจีน จึงส ่งผลให้ ภาษาพื้นฐานในอ�ำเภอเบตงมีความหลากหลายขึ้นอยู่ กับแวดวงทางสังคม เชื้อชาติและศาสนา เช่น ภาษา ไทย ภาษามลายูปัตตานีภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีน
26 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง ชาวจีนเชื้อสายแต้จิ๋ว ชาวจีนแต้จิ๋วอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย เป็นจ�ำนวนมาก ในระยะหลังปี2310(1767) เนื่องจาก ได้รับการสนับสนุนและได้รับสิทธิพิเศษบางประการ เพราะ พระเจ้าตากสินทรงมีพระบิดาเป็นชาวแต้จิ๋ว และชาว แต้จิ๋วได้มีบทบาทในการสู้รบเพื่อกอบกู้เอกราช พวกแต้จิ๋ว ส่วนใหญ่จะอพยพมาทางเรือ และตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ได้แก่เมืองต่างๆ ในอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้แก่ ตราด จันทบุรีบางปลา สร้อย (ชลบุรี) แปดริ้ว และในกรุงเทพฯ ต่อมาภายหลังในคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกแต้จิ๋ว จึงขยับขยายออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่นอกเขตดังกล่าว ได้แก่ อุตรดิตถ์ ปากน�้ำโพ (นครสวรรค์) ตลอดจนพิจิตร พิษณุโลก สวรรคโลก เด่นชัย เมื่อมีการสร้างทางรถไฟ ไปถึงแก่งคอยและขึ้นไปทางเหนือ ในปี2451 (1908) ดังนั้นชาวจีนแต้จิ๋ว จึงเป็นชนชาวจีนที่มีอยู่ไม่มากใน เบตง รวมถึงทางภาคใต้ของไทย ส่วนใหญ่จะ อยู่ทาง ภาคกลางและภาคเหนือ ชาวจีนเชื้อสายกวางตุ้ง ชาวจีนกวางตุ้ง เป็นชาวจีนกลุ่มแรกๆ ที่เดินทาง เข้ามาในประเทศไทย โดยเดินทางมาค้าขายตั้งแต่ สมัยอยุธยา เพราะทั้งมณฑลกวางตุ้งและฮกเกี้ยนเป็น มณฑลที่ติดทะเลจีนใต้จึงช�ำนาญการเดินเรือและเดิน เรือออกนอกประเทศได้สะดวก เส้นทางเรือที่ชาวจีน กวางตุ้งเดินทางมาเมืองไทยนั้นเป็นเส้นทางเดียวกับ ชาวจีนแต้จิ๋ว และมาขึ้นบกตามหัวเมืองใหญ่และเมือง ในภาคกลาง ชาวจีนกวางตุ้งในสมัยแรกที่มาค้าขายได้ ตั้งถิ่นฐานอยู่ในตัวเมืองอยุธยา และตามเมืองในภาค กลางตามชายฝั่งทะเลอ่าวไทยต่อมาในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เมื่อพรรคก๊กมินตั๋งพ่ายพรรค กวางไส ภาษาจีนแคะ ภาษาจีนฮกเกี้ยน และภาษาจีน แต้จิ๋วซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างน่าสนใจ ชาวจีนเชื้อสายกวางไสหรือกวางสี เป็นกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑลกวางสี ส่วนใหญ่มาจากอ�ำเภอหยง และแถบอ�ำเภอใกล้เคียง ช่วงแรกอพยพมาอยู่แถบประเทศมาเลเซียก่อนแล้ว ค่อยๆเดินเท้าอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย อาศัยอยู่มาก ในอ�ำเภอเบตง จังหวัดยะลา และต�ำบลปาดังเบซาร์ อ�ำเภอสะเดาจังหวัดสงขลา พูดภาษาจีนกวางตุ้ง เป็น ภาษาหลัก ชาวจีนกวางไสเป็นเกษตรกร ท�ำสวนยางพารา กันเป็นส่วนมาก ไม่สันทัดเรื่องการค้าขาย จึงไม่ค่อย เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต ่มีของที่เป็นที่รู้จักกันมากก็คือ ไก่กวางไส หรือ “ไก่เบตง” เป็นไก่พันธุ์เนื้อพื้นเมืองที่น�ำพันธุ์มา จากประเทศจีน ทั้งนี้ชาวกวางไสในอ�ำเภอเบตง ยัง คงรวมกลุ่มกันหนาแน่น จนสามารถก่อตั้งสมาคมได้ ถึง 2 สมาคม คือสมาคมกวางไสหรือกวางสีและสมา คมป๊ะกุ้ยถัง อีกสมาคมหนึ่ง
คอมมิวนิสต์ ชาวจีนกวางตุ้งก็อพยพมาเมืองไทยเป็น ระลอกใหญ่ ส�ำหรับในเบตงนั้น พบว่ามีชาวกวางตุ้งอยู่ ไม่มากนัก เช่นเดียวกับจีนแต้จิ๋ว เพราะส่วนใหญ่จะ อยู่แถบภาคกลาง และในกรุงเทพฯ มักตั้งบ้านเรือนแถว ถนนสาทร บางรัก ตรอกซุง ตรอกไก่ ชาวจีนกวางตุ้ง เป็นคนที่ถนัดด้านช่าง งานฝีมือ และน�ำความสันทัด ทั้ง 2 ด้านนี้มาใช้ในการปรุงอาหาร จนเป็นที่ยอมรับ ว่าอาหารกวางตุ้งนั้นเป็นเลิศเรื่องรสชาติ ชาวจีนเชื้อสายจีนแคะ หรือ ฮากกา เป็นชนกลุ ่มจีนฮั่นกลุ ่มหนึ่ง คนจีนแคะเป็น ฮากกาฮั่น หรือ เป็น ชาวจีนฮั่น พูดภาษาฮากกา อาศัยอยู่ในพื้นที่มณทล กวางตง, เจียงซี, ฟูเจี้ยน จะ อพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่19 และตั้งถิ่นฐานที่แถบ จังหวัดสงขลา จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดในเขตภาคใต้ ตอนล่าง ส่วนมากจะช�ำนาญทางด้านหนังสัตว์เหมือง และเกษตรกรรม ส�ำหรับสมาคมฮากกานั้น ประเทศไทย มีการรวมกันอย่างแพร่หลายในท้องถิ่นต่างๆ ระดับจังหวัด และอ�ำเภอทั่วทุกภาค โดยที่ยะลามีการก่อตั้งสมาคม ฮากกายะลา เบตง มาตั้งแต่ ปีพ.ศ.2496 เพื่อให้การ ช ่วยเหลือและกิจกรรมการกุศลสมาชิกของสมาคม ให้การยอมรับและสนับสนุน ชาวจีนเชื้อสายฮกเกี้ยน หรือ ฟู่เจี้ยน ชาวจีนกลุ่มนี้จะมีจ�ำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้ เป็นประชากรส่วนใหญ่จังหวัดภูเก็ต มีจ�ำนวนมากใน จังหวัดชุมพร, จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีนัง สิงคโปร์ และเป็นกลุ่มชาวจีนที่มีสัดส่วนสูงใน มาเลเซียอินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ชาวฮกเกี้ยนในไทยตอนแรกจะเข้ามาเป็นกุลี เหมืองแร่ก่อนจนสร้างตนเป็นคหบดีได้อาชีพส่วนใหญ่ ที่เห็นได้ชัดของชาวฮกเกี้ยนคือ รับราชการ ต่อมาเป็น ข้าหลวงใหญ่ เพราะขุนนาง คหบดีของไทยที่เป็นชาวจีน ส่วนมากเป็นชาวฮกเกี้ยน ส่วนอาชีพนึงก็คือชาวประมง และ คนเดินเรือ เพราะชาวฮกเกี้ยนมีความรู้ทางด้าน ทะเลและการเดินเรือมากกว่าชาวแต้จิ๋ว เพราะถิ่นเดิม ของชาวฮกเกี้ยน อยู่ติดทะเล ชาวฮกเกี้ยนในอ�ำเภอ สุไหงโก-ลก นราธิวาส หรือตั้งแต่ชุมพรไล่ไปจนถึง นราธิวาส นิยมอาชีพค้าขาย,เจ้าของสวนยางพารา, โรงบ่มยาง,โรงแรม,ที่ดิน จนกลายมาผู้มีอิทธิพลทางการ เงินในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และในสมัยก่อน ชาวฮกเกี้ยนในอ�ำเภอสุไหงโก-ลก นราธิวาส จะนิยมส่ง บุตร-หลานไปเรียนหนังสือที่ ปีนัง,มาเลเซีย ภาษาฮกเกี้ยนเป็นหนึ่งในภาษากลางที่ใช้ติดต่อ ระหว่างกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล เรียกว่า”ภาษาหมิ่น” ส�ำเนียงส�ำคัญที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ “หมิ่นหนาน” เป็น ส�ำเนียงที่ส�ำคัญของชาวจีนโพ้นทะเล เป็นภาษาแม่ ต้นภาษาของ ส�ำเนียงไหหล�่ำ และ ส�ำเนียงแต้จิ๋ว ทั้ง สองส�ำเนียงนี้ถูกจัดอยู ่ในนส�ำเนียงหมิ่นหนานของ ฮกเกี้ยนเช่นกัน ภาษาหมิ่นหนาน ยังเป็นภาษาสื่อกลาง ที่ใช้ติดต่อระหว่างชาวจีนในอ�ำเภอสุไหงโก-ลก นราธิวาส ยะลา (ห้าจังหวัดชายแดนทางใต้) รวมถึง สิงคโปร์ มาเลเซียและเป็นภาษาประจ�ำชาติของไต้หวันด้วยส�ำหรับ ในเบตง มีการรวมกลุ่มในการท�ำกิจกรรมเพื่อสังคมอยู่ บ่อยครั้งส�ำหรับลูกหลานชาวจีนฮกเกี้ยน ทั้งการมอง ทุนการศึกษา การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอยู่โดยตลอด คนจีนในเบตง เป็นประชากรไทยที่สามารถ ประกอบอาชีพอย่างขยันขันแข็ง สร้างความมั่นคงให้ กับครอบครัวและสังคม แม้จะเป็นผู้อพยพมาจากที่อื่น แต่ใช้ความอดทน ความขยันต่อสู้กับภัยธรรมชาติ และบุกเบิกแผ่นดินตอนใต้ให้มั่นคงจนเป็นอ�ำเภอหนึ่ง ในจังหวัดยะลา ที่มีคนถามถึง อยากไปท่องเที่ยว เพราะ เป็นอ�ำเภอชายแดนไทยที่มีเศรษฐกิจที่ดี สร้างรายได้ ให้กับประเทศชาติ เพราะมีนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มาเลเซียเข้ามามากมาย จนท�ำให้เป็นอ�ำเภอหนึ่งที่ถูก กล่าวขานถึงมากเป็นพิเศษ เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 27
28 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง ความลงตัวบนความหลากหลายด้าน ศาสนาและภาษาพูด สร้างเอกลักษณ์วัฒนธรรมเบตง บทที่ 3
จุดเด่นบนความหลากหลายของชาวเบตง คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์รวมทั้งภาษาถิ่นที่หลาก หลายได้แก่ ภาษามาลายูภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีน ฮกเกี้ยน ภาษาจีนแต้จิ๋ว ซึ่งล้วนมาความหลากหลาย ด้านวัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างกัน แต่อยู่ร่วมกัน ด้วยความสงบสุขมากช้านาน ส�ำหรับจ�ำนวนสัดส่วนประชากรของชาวเบตง หากแบ่งตามการนับถือศาสนานั้น ผู้ที่นับถือศาสนา อิสลามมีจ�ำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นชาวไทยพุทธ ตามมาด้วย ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่นๆ แม้ชาวเบตงจะมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติศาสนา ภาษา ประเพณีความเชื่อ ความศรัทธาตลอดถึงค่านิยม ความลงตัวบนความหลากหลาย ด้านศาสนาและภาษาพูด สร้างเอกลักษณ์วัฒนธรรมเบตง บทที่ 3 ที่หลากหลายดูประหนึ่งความแปลกแยกนี้จะเข้ากัน ไม่ได้แต่กาลเวลาที่ผ่านมาเป็นค�ำตอบได้อย่างดีว่า ความหลากหลายเหล ่านั้นมิได้เป็นอุปสรรคต ่อการ ด�ำรงชีวิตต่อความสงบสุขของสังคมเลย ชาวเบตงเชื่อ หากจะให้เอ่ยถึงเมืองที่มีประวัติความเป็นมา ความน่าสนใจ วัฒนธรรมอันโดดเด่น และวิถีชีวิตที่น่าค้นหา เชื่อว่าเมืองเบตงน่าจะจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะด้วยสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ และวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ที่ตั้ง อยู่ใต้สุดด้ามขวานของไทย ทั้งชาวไทยพุทธ คริสต์ อิลสามมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีตและมิตรภาพ ขนบธรรมเนียมที่ดีซึ่งสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น มาจนถึงปัจจุบัน เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 29
ในสิ่งที่ดีงามเฉกเช่นมุสลิมที่ให้เชื่อและศรัทธาในพระ อัลเลาะห์ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินใด มุสลิมมีหน้าที่ต้อง เป็นศาสนิกชนที่ดีของแผ ่นดินนั้น ชาวไทยพุทธที่มี บรรพบุรุษเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่อพยพหนีความ อดอยากแร้นแค้นมาจากเมืองจีนบ้านเกิดเมืองนอน ของเขามาบุกเบิกบนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ อย่างเสี่ยง ตายด้วยภัยอันตรายทุกลมหายใจ ตั้งแต่ย�่ำเท้าลงเรือ มาขึ้นฝั่งแถบมาเลเซีย แล้วเข้ามาอยู่เบตง หน่อเนื้อ มากมายเกิดขึ้นที่นี่และสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บุกเบิก ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ชาวไทยพุทธเหล่านี้ระลึกเสมอว่า เขาคือ คนไทย ไม่ใช่คนจีน เพราะเขาเกิดและมีชีวิต ความเป็นอยู่จริงคือบนผืนแผ่นดินไทย ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ในอดีตที่ผ่านมาหลาย พื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดเหตุการณ์รุนแรง แต่ส�ำหรับอ�ำเภอเบตงมักไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื่อว่าาชาวเบตงทุกคนที่ได้ผ่านชีวิตที่นี่มี เยื่อใยผูกพันอย่างลึกซึ้ง โดยอัตลักษณ์และความคงอยู ่ทางชาติพันธุ์ ยังคงแสดงออกอย่างชัดเจนในรูปแบบของภาษาพูด และขนบธรรมเนียมท้องถิ่น ซึ่งสืบทอดกันมาอย ่าง ยาวนาน ภาษาถิ่น ภาษามลายูปัตตานี หรือมลายูปาตานี เป็นภาษาท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิม หรือที่นิยม เรียกกันติดปากอย่างไม่เป็นทางการว่า “ภาษายาวี” นอกจากในเบตงแล้วยังนิยมใช้กันแพร่หลายในภาษาใต้ ตอนล่างอย่างจังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัด ยะลา รวมถึงอ�ำเภอนาทวีอ�ำเภอจะนะ อ�ำเภอสะบ้าย้อย ในทางทิศตะวันออกของจังหวัดสงขลา โดยในประเทศไทยมีประชากรที่พูดภาษายาวี ได้มากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งถือเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับ ภาษาถิ่นในประเทศมาเลเซียโดยเฉพาะรัฐกลันตัน ที่มีภาษาถิ่นแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของประเทศ ส�ำหรับ ภาษายาวีมีภาษาเขียนเป็นของตัวเองอย ่างชัดเจน เพียงแต ่เป็นการดัดแปลงมาจากอักษรอาหรับ หรือ ภาษาอารบิก โดยนักปราญช์ชาวปัตตานีชื่อ ชีคห์ อาหมัด อัล ฟานี่ ได้วางรูปแบบการเขียนภาษามลายู ในท้องถิ่นนี้ ปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทยที่นิยมพูดภาษา มลายู และบันทึกเรื่องราวด้านศาสนา การสื่อสารต่างๆ รวมทั้งมีการเรียนการสอนในโรงเรียนปอเนาะ (โรงเรียน สอนศาสนาอิสนาม) โดยมีการเริ่มต้นพื้นฐานจากราก 30 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 31 ภาษานั้นคือภาษาอาหรับ ตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นไป ก่อน ที่จะค่อยๆ พัฒนาระดับความเข้มข้น และหากใครสนใจ ที่จะเรียนในระดับสูงก็สามารถศึกษาต่อได้ในประเทศ มุสลิมที่มีหลักสูตรด้านนี้โดยเฉพาะ ส�ำหรับในอนาคต หลังจากเปิดประชาคมอาเซียน (AEC) ภาษาดังกล่าว ก�ำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในสังคมแรงงานระดับฝีมือ เนื่องจากประเทศที่มีประชากรหนาแน่นและเศรษฐกิจ อยู่ในกระดับต้นๆ ของเอเชียอย่าง มาเลเซียอินโดนีเซีย บรูไน ต่างก็ต้องการทรัพยากรบุคคลเหล่านี้ไปเป็นกลไก ส�ำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้า ภาษาจีนกวางตุ้ง เป็นหนึ่งในภาษาของตระกูลภาษาจีน ใช้กัน อย่างแพร่หลายในประเทศจีนแถบตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง มาเก๊า รวมถึงชาวจีน โพ้นทะเลที่อยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง เช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และเวียดนาม ซึ่งภาษาจีนกวางตุ้งถือได้ว่าเป็นภาษาที่มีคนพูดมาก ที่สุดอันดับ 1 ของจีน และเป็นภาษาราชการล�ำดับที่ สองต่อจากภาษาจีนกลางซึ่งถูกใช้เป็นภาษาหลักของ ประเทศ แต่เดิมนั้นมีการคาดการณ์กันว่าภาษาดังกล่าว มีช่วงของการพัฒนาในช่วงสมัยราชวงศ์ถัง เนื่องจาก การอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของชาวกวางตุ้งอย่าง ต่อเนื่อง บางส่วนกระจัดกระจายไปยังแถบมณฑลกวางสี (กวางไส) และในสมัยราชวงศ์ซ้อง ราชวงศ์หมิง และ ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ภาษากวางตุ้งถูกยกระดับความ ส�ำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นภาษาหลักในการ ติดต่อสื่อสารกับต่างชาติและชาวต่างชาติเองก็พยายาม เรียนเพื่อใช้ภาษาจีนกวางตุ้งในการค้าขาย ส�ำหรับส�ำเนียงของภาษาจีนกวางตุ้งนั้นถูกแบ่ง ออกเป็น 4 ส�ำเนียง ตามพื้นที่ของผู้ใช้ได้แก่ ส�ำเนียง เยื้ยไห่ (Yuehai) มักใช้กันมากในแถบกวางโจว ฮ่องกง และมาเก๊า ส�ำเนียงไถ่ซาน ส�ำเนียงเกายาน (Gaoyan) และส�ำเนียงกุ้ยหนาน (Guinan) จนกระทั่งในปี พ.ศ.2492 ผู้ที่พูดจีนกวางตุ้ง จ�ำเป็นที่จะต้องพูดจีนกลางให้ได้ด้วย เนื่องจากเป็น ภาษาราชการ ซึ่งปัจจุบันยังคงใช้กันมากในฮ่องกง และ ชาวจีนโพ้นทะเล และจากการแพร่หลายนี้เองท�ำให้บาง ค�ำของจีนกวางตุ้งถูกยืมไปใช้ในภาษาจีนส�ำเนียงอื่น ด้วยเช่นกัน ภาษาจีนแคะ ภาษาจีนแคะ หรือ ฮากกา คือหนึ่งในภาษาของ ตระกูลกลุ่มภาษาจีน มีผู้พูด 34 ล้านคน เป็นภาษา ของชาวฮั่น ที่มีบรรพบุรุษอยู่ในมณฑลเหอหนานและ ส่านซีทางเหนือของจีนเมื่อกว่า 2,700 ปีที่แล้ว ต่อมา ชาวแคะอพยพไปทางใต้เข้าสู่มณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยน และไปเป็น ชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก รวมถึงอ�ำเภอเบตง ก็มีชาวจีนแคะอยู่มาก ชาวฮากกา ที่ชาวไทยมักรู้จัก เรียกขานกันใน นามว่า จีนแคะ อันเป็นอีกชาติพันธุ์เชื้อสายหนึ่งของจีน ดังเช่น ชาวฮกเกี้ยน,ชาวไห่หนาน(ไหหล�ำ),ชาวกวางตุ้ง เป็นต้น ซึ่ง ในภาษาสากล จะเรียกชาวจีนแคะ โดย รวมทุกท้องถิ่น อย่างเป็นทางการว่า เค่อเจีย หรือที่ ชาวแต้จิ๋วออกเสียงเรียกเป็น แขะแก บางครั้ง จะได้ยิน เรียกกันว่า เค่อเหริญ ที่เข้าใจกันว่า ชาวเค่อ ก็คือ คน จีนแคะ เช่นกัน ฮากกาจึงเป็นชนชาติจีนเชื้อสายหนึ่ง สืบสาย จากชาวจีนฮั่นโบราณ ที่ยังคงไว้ซึ่งภาษาจีนฮั่นดั้งเดิม แถบจงหยวนของจีนอยู่มาก จึงมีส�ำเนียงภาษาของตนเอง ที่มีส่วนใกล้เคียงกับภาษาที่วิวัฒนาการมาเป็นจีนกลาง ในปัจจุบันอยู่บ้าง และยังคงมีการใช้อักษรจีนโบราณ บางอักษรอยู่ถึงทุกวันนี้จนกล่าวได้ว่า ภาษาฮากกา เป็น ฟอสซิล มรดกทางภาษาของจีน ที่ยังมีชีวิตถึงทุกวันนี้
ภาษาจีนกวางไสหรือกวางสี ชาวจีนในมณฑลกวางสีที่เรียกตัวเองว่า “ชาว จ้วง” นั้น มีวัฒนธรรมหลายอย่างที่ทั้งเหมือน และ คล้ายคลึงกันกับไทย โดยเฉพาะภาษา ที่บางค�ำถึงกับ ใช้ศัพท์ค�ำเดียวกันด้วยซ�้ำไป ภาษาจ้วงกับภาษาไทยล้วนอยู่ในตระกูล ภาษา จีน-ทิเบต สาขาภาษาจ้วง-ไต ซึ่งล้วนเป็นภาษาที่มีเสียง วรรณยุกต์ และการเรียงประโยคจะประกอบด้วยประธาน กริยา กรรม ค�ำศัพท์ที่ใช้มีความคล้ายคลึงกัน เช่น เรียก “จมูก” ว่า “ดั้ง” เรียก “ฟัน” ว่า “เข่ว” เรียก “ส้มโอ” ว่า “หมากพุก” เรียก “ดวงอาทิตย์” ว่า “ตาวัน” เรียก “ดวงจันทร์” ว่า “เดือน” เป็นต้น ส�ำหรับคนที่ใช้ภาษา กวางไสในเบตง ส่วนใหญ่จะเป็นชาวสวนยางพารา ภาษาจีนฮกเกี้ยน ภาษาดังกล ่าวเป็นหนึ่งในภาษากลางที่ใช้ใน การติดต ่อสื่อสารกันระหว ่างกลุ ่มชาวจีนโพ้นทะเล เรียกว่า “ภาษาหมิ่น” มักมีส�ำเนียงที่ใช้กันอย่างกว้าง ขวางคือ “ส�ำเนียงหมิ่นหนาน” เป็นส�ำเนียงที่ส�ำคัญของ ชาวจีนโพ้นทะเลและเป็นภาษาแม่ หรือภาษาต้นแบบ ของส�ำเนียง ไหหล�ำ และส�ำเนียงแต่จิ๋ว เนื่องจากทั้ง สองส�ำเนียงที่กล่าวมานี้ถูกจัดอยู่ในส�ำเนียงหมิ่นหนาน ของฮกเกี้ยนเช่นกัน โดยในเมืองไทยมีการใช้ติดต่อ ระหว่างชาวจีนในอ�ำเภอสุไหงโกลก นราธิวาส ยะลา เบตง สงขลา ภาษาจีนฮกเกี้ยนที่ชาวไทยคุ้นเคยและใช้กัน แพร่หลายอยู่ในปัจจุบันอยู่หลายค�ำด้วยกันไม่ว่าจะเป็น กัมเสี่ย (ขอบคุณ), โกปี้(กาแฟ), กอเอี้ยะ (ขี้ผึ้งปิดแผล แบบจีน), กุนเชียง, เก้าอี้, กงเต๊ก, ก๋วยจั๊บ, ก๋วยเตี๋ยว, เกาลัด, เกาเหลา,ขึ้นฉ่าย, จับกัง, เจ๋ง,เจ้าสัว, โจ๊ก, ซาลาเปา, ซินแส, เซียมซี, ตะหลิว, ตั๋ว, เต้าหู้, ไต้ฝุ่น, ไต้ก๋ง, บุ้งกี๋, โพย, ไพ่, ยี่ห้อ, โสหุ้ย, หลงจู๊, หน�ำเลียบ, ฮวงซุ้ย, เฮง เป็นต้น ภาษาจีนแต้จิ๋ว ส�ำหรับภาษาดังกล่าวในปัจจุบันถูกพัฒนามาจาก ภาษาจีนโบราณของตระกูลหมิ่นหมาน ในช่วงศตวรรษ ที่ 15-19 จากนั้นชาวจีนอพยพออกมานอกประเทศกัน มากส่วนใหญ่จะออกมาทางเอเชียอาคเนย์ในช่วงศตวรรษ ที่ 18-20 จึงท�ำให้ภาษาแต้จิ๋วเป็นภาษาหลักที่พูดกัน มากในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเลที่มาตั้งหลักปักฐานกันย่าน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่น ไทย กัมพูชา สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฮ่องกง ส�ำหรับภาษาแต้จิ๋วในประเทศไทยนั้น จะค่อนข้าง นุ่มนวล ไม่แข็งกระด้างเหมือนส�ำเนียงในประเทศจีน ทั่วไปอาจจะใช้ค�ำว่า ส�ำเนียงไม่เหน่อ ยิ่งคนที่เกิดใน เมืองไทยจะยิ่งเป็นที่สังเกตถึงข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน โดยภาษาแต้จิ๋วที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยกันดีมีอยู่หลายค�ำ ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เถ้าแก่ (เจ้าของกิจการ), เถ้าแก่เนี้ย (เมียเจ้าของกิจการ), เซ้ง (โอนกรรมสิทธิ์) เป็นต้น ในปัจจุบันแม้ภาษาจีนหลากหลายส�ำเนียงนั้น จะมีการสืบทอดมาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น และยัง คงเอกลักษณะทางภาษาที่ชัดเจนและถูกต้องตามแบบ ฉบับของบรรพบุรุษ แต ่อย ่างหนึ่งที่ต้องยอมรับว ่า ลูกหลานชาวมันกรโพ้นทะเลที่เข้ามาเกิดและเติบโต ในเมืองไทย โดยเฉพาะในอ�ำเภอเบตงนั้นได้รับผลกระทบ จากการกลืนกินทางภาษาไปมากพอสมควรเนื่องจาก 32 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
วัฒนธรรมทางศาสนาอีกทั้งยังเป็นการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชด�ำเนินทรงประกอบพิธีเจิมพระบรม สารีริกธาตุและบรรจุในเจดีย์รวมทั้งทรงท�ำพิธียกยอด ฉัตรทองค�ำขึ้นประดิษฐานบนยอดองค์พระมหาธาตุด้วย นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของ พุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และชาวพุทธในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ในบริเวณวัด พุทธาธิวาส คู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่พุทธศาสนิกชนนิยม มาสักการบูชาอีก 2 สิ่ง คือ พระพุทธธรรมกายมงคล ปยุรเกศานนท์สุพพิธาน และวิหารหลวงปู่ทวดเหยียบ น�้ำทะเลจืด ประเพณีแห่เจ้าเบตง จัดขึ้นโดยกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนทั้ง 5 สมาคม ประกอบไปด้วยสมาคมบ�ำรุงราษฎร์ (แต้จิ๋ว) เบตง, บ�ำเพ็ญบุญมูลนิธิ(กวางสี),สมาคมกว๋องสิ่วเบตง,สมาคม ฮากกา และสมาคมฮกเกี้ยน รวมไปจนถึงชาวจีนที่อยู่ ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ซึ่งมีคนไทยผลัด ถิ่นอาศัยอยู่มากโดยเฉพาะในรัฐกลันตัน ได้ร่วมกัน พร้อมใจแต่งขาวออกรับขบวนแห่เจ้า พร้อมรอชมการ เข้าทรงเจ้า หรือการแสดงอภินิหารของเทพเจ้าต่างๆ ใน เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 33 ในชีวิตประจ�ำวันที่ใช้ในการสื่อสารกับคนรอบข้าง ต่างก็ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก โอกาสที่จะใช้ภาษาของ บรรพบุรุษในการสื่อสารค่อนข้างน้อย นอกเสียจากใช้ สื่อสารกับคนในครอบครัวและหากโชคดีหน ่อยอาจ จะได้ร�่ำเรียนเพิ่มเติมจากโรงเรียน แต่กระนั้นภาษาจีน ก็น่าจะยังเป็นที่ต้องการและสืบทอดกันต่อไปอีกชั่วลูก ชั่วหลานอย่างแน่นอน ไม่มีวันที่จะสูญหายไปจากเมือง เบตงแน่นอน ความหลากหลายด้านประเพณี สร้างสรรอ�าเภอเบตง นอกจากนี้อ�ำเภอเบตงเป็นอ�ำเภอหนึ่งที่มีความ หลากหลายทางวัฒนธรรม อันเนื่องประกอบไปด้วย กลุ่มคนหลากหลายภาษา เชื้อชาติและศาสนาไม่ว่า จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน คนไทยมุสลิม และคนไทย พุทธ ซึ่งแต ่ละกลุ ่มต ่างมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง แต่ความแตกต่างดังกล่าวกลับไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ ทั้งยังเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิต จนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็น ประเพณีแห่ผ้าห่มเจดีย์พุทธธรรมประกาศ ประเพณี ดังกล่าวถือว่าเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งส�ำหรับ พี่น้องชาวไทยพุทธในเมืองเบตง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทุกภาคส่วนได้ร่วมใจกัน แห่ผ้าห่ม เจดีย์ไปรอบเมือง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นพุทธบูชา สืบทอด
พิธีสมโภช โดยชาวเบตงเชื้อสายจีนทุกบ้านจะมีการ ตั้งโต๊ะบูชารับพรจากเจ้าที่แวะเวียนไปเยือนบ้านตลอด เส้นทางในเขตเทศบาลเมืองเบตง ซึ่งในขบวนดังกล่าว จะมีการอันเชิญองค์พระต่างๆ ขบวนแห่งสิงโต ขบวน ล่อโก๊ว ขบวนแห่ธง ขบวนองค์เทพเจ้าพร้อมด้วย ศิษยานุศิษย์ ส�ำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดขบวนแห่ก็เพื่อ เป็นการขอบคุณองค์เทพเจ้าที่คอยดูแลทุกข์สุข และป้องกันภัยอันตรายแก่มวลมนุษย์อีกทั้งยังเป็นการ อนุรักษ์ประเพณีของชาวไทยเชื้อสายจีนให้ด�ำรงสืบไป ส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนปฏิบัติตนเป็นคนดีละเว้น ความชั่ว นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้เกิดการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความรัก สามัคคีและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอ�ำเภอเบตงซึ่งเป็น เมืองท่องเที่ยวชายแดนอีกทางหนึ่งโดยกิจกรรมในครั้งนี้ ได้มีการแสดง แสง สีเสียง การขับร้องเพลงจากตัวแทน สมาคมต่างๆ การแข่งขันหมากรุกจีน พิธีไหว้เจ้า พิธี สะเดาะเคราะห์พิธีลุยไฟ ลุยกระเบื้อง นอกจากนี้มี การออกร้านจงฝาน�ำโชคชิงรางวัลต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ในยามค�่ำ คืน ที่จะมีการรวมพลของ ชนชาวจีน เป็นภาพที่ดูแล้วน่าชื่นชมถึงกุสโลบายของ บรรพบุรุษ ที่ท�ำให้เกิดการรักสามัคคีในหมู่คนจีนไม่ ว่าจะเผ่า หรือแซ่อะไร ล้วนรวมเป็นหนึ่งเดียวสืบไปชั่ว ลูกชั่วหลาน ประเพณีงานชักพระ เทศบาลเมืองเบตงได้มีการจัดขึ้นทุกปีเพื่อเป็นการ สืบสานเอกลักษณ์ทางศาสนาของพี่น้องทุกหมู่เหล่า ทุกต�ำบลในท้องที่ของอ�ำเภอเบตงเอง ซึ่งชาวบ้านจะ น�ำของดีประจ�ำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นทุเรียนแปรรูป ได้แก่ ทุเรียนทอด และทุเรียนกวน ออกมาวางขายในงาน จัดขบวนพาเหรดชักพระ แห่กลองยาว ประกวดร้อง เพลง และแดนเซอร์รวมทั้งมีการประกวดเรือพระด้วย จึงสามารถสร้างสีสันการท่องเที่ยวในชายแดนใต้ไม่ น้อยเลยทีเดียว ส�ำหรับประวัติความเป็นมาของประเพณีดังกล่าว เชื่อกันว ่าเป็นประเพณีพราหมณ์ศาสนิกชนและ พุทธศาสนิกชนปฏิบัติสืบต่อกันมา สันนิษฐานว่าประเพณี นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอินเดีย ที่นิยมเอา เทวรูป ออกแห่ในโอกาสต่างๆ ต่อมาพุทธศาสนิกชนได้น�ำเอา คติความเชื่อดังกล่าวมาปรับปรุงให้สอดคล้องกับความ เชื่อทางพุทธศาสนา ประเพณีชักพระเล่ากันเป็นเชิง พุทธต�ำนานว่า หลังจากพระพุทธองค์ทรงกระท�ำยมก ปาฏิหารย์ปราบเดียรถีย์ ณ ป่ามะม่วง กรุงสาวัตถี 34 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
แล้วได้เสร็จไปจ�ำพรรษา ณ ดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธ มารดา ซึ่งขณะนั้นทรงจุติเป็นมหามายาเทพ สถิตอยู่ ณ ดุสิตเทพพิภพตลอดพรรษา พระพุทธองค์ทรง ประกาศพระคุณของมารดาแก่เทวสมาคมและแสดง พระอภิธรรมโปรดพุทธมารดา 7 คัมภีร์จนพระมหา มายาเทพและเทพยดา ในเทวสมาคมบรรลุโสดาบันหมด ถึงวันขึ้น 15 ค�่ำ เดือน 11อันเป็นวันสุดท้ายของพรรษา พระพุทธองค์ได้เสด็จกลับมนุษยโลกทางบันได ทิพย์ที่ พระอินทร์นิมิตถวาย บันไดนี้ทอดจากภูเขาสิเนนุราช ที่ตั้งสวรรค์ชั้นดุสิตมายังประตูนครสังกัสสะ ประกอบ ด้วยบันไดทอง บันไดเงินและบันไดแก้ว บันไดทองนั้น ส�ำหรับเทพยดา มาส่งเสด็จอยู่เบื้องขวาของพระพุทธ องค์ บันไดเงินส�ำหรับพรหมมาส่งเสด็จอยู่เบื้องซ้าย ของพระพุทธองค์และบันไดแก้วส�ำหรับพระพุทธองค์ อยู่ตรงกลาง เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึง ประตูนคร สังกัสสะตอนเช้าตรู่ของวันแรม 1 ค�่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็น วันออกพรรษานั้น พุทธศาสนิกชนที่ทราบก�ำหนดการ เสด็จกลับของพระพุทธองค์จากพระโมคคัลลานะ ได้มา รอรับเสด็จ อย่างเนืองแน่นพร้อมกับเตรียมภัตตาหาร ไปถวายด้วย แต่เนื่องจากพุทธศาสนิกชนที่มารอรับ เสด็จมีเป็นจ�ำนวนมากจึงไม่สามารถจะเข้าไปถวาย ภัตตาหารถึงพระพุทธองค์ได้ทั่วทุกคน จึงจ�ำเป็นที่ต้อง เอาภัตตาหารห่อใบไม้ส่งต่อๆ กันเข้าไปถวายส่วนคน ที่อยู่ไกลออกไปมากๆ จะส่งต่อ ๆ กันก็ไม่ทันใจ จึงใช้ วิธีห่อภัตตาหารด้วยใบไม้โยนไปบ้าง ปาบ้าง ข้าไป ถวายเป็น ที่โกลาหล โดยถือว่าเป็นการถวายที่ตั้งใจ ด้วยความบริสุทธิ์ด้วยแรงอธิษฐานและอภินิหารแห่ง พระพุทธองค์ ภัตตาหารเหล่านั้นไปตกในบาตรของ พระพุทธองค์ทั้งสิ้น เหตุนี้จึงเกิด ประเพณี“ห่อต้ม” “ห่อปัด” ขึ้น เพื่อเป็นการแสดงถึงความปิติยินดีที่ พระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์ พุทธศาสนิกชน ได้อัญเชิญพระพุทธองค์ขึ้นประทับบนบุษบกที่เตรียมไว้ แล้วแห ่แหนกันไปยังที่ประทับของพระพุทธองค์ ครั้นเลยพุทธกาลมาแล้วและเมื่อมีพระพุทธรูปขึ้น พุทธศาสนิกชนจึงน�ำเอาพระพุทธรูปยกแห่แหนสมมติ แทนพระพุทธองค์ โดยประเพณีชักพระที่อ�ำเบตงนั้นจะแบ่งออก เป็น 2 ส่วน คือ การชักพระทางบก ซึ่งจะใช้เชือกแบ่ง ผูกเป็น 2 สายผูกติดกับรถแห่ เป็นสายผู้หญิงและสาย ผู้ชาย ใช้โพน ฆ้อง ระฆัง เป็นเครื่องตีให้จังหวะในการ ลากพระ คนลากจะเบียดเสียดกันสนุกสนานและประสาน เสียงร้องบทลากพระเพื่อผ่อนแรงสร้างความสนุกสนาน แก่ผู้เข้าร่วม ส่วนพิธีทางน�้ำ หรือทางเรือนั้น จะใช้รถ หรือล้อเลื่อนที่ประดับตกแต่งให้เป็นรูปเรือแล้ววางบุษบก ซึ่งภาษาพื้นเมืองของภาคใต้เรียกว่า “นม” หรือ“นมพระ” ยอดบุษบก เรียกว ่า “ยอดนม” ใช้ส�ำหรับอาราธนา พระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานแล้วลากในวันออกพรรษา ประเพณีชักพระทางน�้ำ เรียกว่า “เรือพระน�้ำ” ส่วนลาก พระทางบก เรียกว่า “เรือพระบก” สมัยก่อนจะท�ำเป็น รูปเรือ ให้คล้ายเรือจริงๆ และต้องท�ำให้มีน�้ำหนักน้อย ที่สุด จึงใช้ไม้ไผ่สานมาตกแต่งส่วนที่เป็นแคมเรือและ หัวท้ายเรือคงท�ำให้แน่นหนา ทางด้านหัวและท้ายท�ำ งอนคล้ายหัวและท้ายเรือ แล้วตกแต่งเป็นรูปพญานาค เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 35
36 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง ใช้กระดาษสีเงินสีทองท�ำเป็นเกล็ดนาค มีการประดิด ประดอยอย่างมาก หลังคาบุษบกนิยมท�ำเป็นรูปจตุรมุข ตกแต่งด้วยหางหงส์ช่อฟ้า ใบระกา และทุกครอบครัว ต้องเตรียม “แทงต้ม” เตรียมหาในกระพ้อ และ ข้าวสารข้าวเหนียวเพื่อน�ำไปท�ำขนมต้ม “แขวน เรือพระ” เป็นที่ตื่นตาที่ใจส�ำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ ร่วมพิธี ประเพณีถือศีลกินผัก เป็นประเพณีของคนไทยเชื้อสายจีนในอ�ำเภอเบตง และภาคใต้จังหวัดอื่นๆ ที่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก การ กินผักตรงกับกับภาษาจีนฮกเกี้ยนว่า “เจี๊ยะฉ่าย” ซึ่ง ตรงกับ “กินเจ” ในภาษาจีนกลางซึ่งหมายถึงกินผัก เหมือนกัน ประเพณีกินผักเกิดขึ้นเมื่อ ชาวจีนอพยพ เข้ามาอาศัยอยู่ทางชายทะเลฝั่งตะวันตก ซึ่งในระยะ แรกนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าดง จึงมีผู้เจ็บไข้อยู่เสมอ ต่อมามีคณะงิ้วที่เดินทางมาจากเมืองจีนมาเปิดแสดง ให้ชุมชนชาวจีนชม เกิดเจ็บป่วยตามไปด้วยพวกคณะ งิ้วจึงได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ตามธรรมเนียม ในเมืองจีน เพื่อขอขมาโทษที่พวกตนละเลยธรรมเนียม จีน และท�ำพิธีขับไล่โรคภัยไข้เจ็บให้หมดไป ปรากฏว่า ได้ผลคณะงิ้วหายจากโรคภัย จึงแนะน�ำให้ชาวจีนท�ำ พิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) สักการบูชาไหว้เจ้าตามธรรมเนียม ในเมืองจีน เพื่อคุ้มครองปกป้องกันโรคภัยบ้าง จัดขึ้น ครั้งแรกที่ต�ำบลกะทู้อ�ำเภอกะทู้จังหวัดภูเก็ต ต่อมา จึงได้แพร่หลายกระจายไปสู่ชุมชนอื่นทั่วไป ส�ำหรับประเพณีถือศีลกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย-กินเจ) จัดขึ้นตามอ๊าม (ศาลเจ้า) ต่างๆ ตั้งเสาโก้เต้ง สูงพร้อม ธงเหลือง-แดง และตะเกียง 9 ดวง เป็นเครื่องหมาย ตรงกับวันขึ้น 1-9 ค�่ำ เดือน 9 ของจีน ซึ่งโดยมากจะ ตกประมาณเดือนตุลาคม เป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกัน อย่างเข้มแข็งทั้งเมือง คือถือศีลเคร่งครัดละลดกิเลส ตัณหา ท�ำจิตใจท�ำวาจาและร่างกายให้บริสุทธิ์เพราะ สรรพสิ่งนั้นล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ใครปฏิบัติธรรม จึงจะเกิดความสุข ทุกคนจึงต ่างนุ ่งขาวห ่มขาว ท�ำ อาหารเจแจกจ่ายกินกันทั้งเมือง มีการแห่ม้าทรง (เจ้า เข้าทรง) มีการลุยไฟ และพิธีอื่นๆ อย่างคึกคัก จุดประทัด ตลอดงานเพื่อความเป็นศิริมงคล ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของคนภาคใต้และคนไทย พุทธในเขตอ�ำเภอเบตง ที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อ
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 37 แก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยน�ำสิ่งของต่างๆ ที่ ผู้ตายใช้สอยและสิ่งของจ�ำเป็นอื่นๆ มาแจกแก่ผู้ยากจน ประเพณีไหว้บรรพบุรุษ (เช็งเม้ง) เป็นประเพณีส�ำคัญส�ำหรับชาวจีนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นโอกาสที่ลูกหลาน จะได้แสดงความเคารพ และความกตัญญูที่มีต่อบรรพบุรุษ ส�ำหรับที่อ�ำเภอเบตง จะจัดขึ้นในช่วงเทศกาล วันเช็งเม้ง ที่บริเวณสุสานจีน บ้าน กม.4 หมู่ที่ 2 ต.ตา เนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา มีชาวไทยเชื้อสายจีน ในพื้นที่ และที่เดินทางมาจากต ่างถิ่นพาบุตรหลาน ทยอยเดินทางมายังสุสาน (ฮวงซุ้ย) โดยน�ำเครื่องเซ่น ไหว้ต่างๆ มากราบไหว้บรรพบุรุษตามประเพณีของ ชาวจีนที่ปฏิบัติสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในช ่วง เทศกาลเช็งเม้ง คนจีนส่วนใหญ่จะหยุดงานมาร่วมพิธี กันทั้งครอบครัวพร้อมญาติพี่น้อง และถือว่าเป็นวันพบ ญาติของชาวจีนก็ว่าได้ เทศกาล “เช็งเม้ง” จึงเป็น เทศกาลประจ�ำปีในการบูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ของชาวจีนที่ปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์โดยมีการผสมผสาน กับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายส�ำคัญเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ แก่ดวงวิญญาณของบรรพชน และญาติที่ล่วงลับ ซึ่ง ได้รับการปล ่อยตัวมาจากนรกที่ตนต้องจองจ�ำอยู ่ เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยท�ำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากนรกในทุกวันแรม 1 ค�่ำเดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอ ส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง ที่ได้เตรียมการอุทิศ ไว้ให้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังนรก ในวันแรม 15 ค�่ำ เดือน 10 ช่วงระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรมของ ประเพณีสารทเดือนสิบจะมีขึ้นในวันแรม 1 ค�่ำถึงแรม 15 ค�่ำเดือนสิบของทุกปีแต่ส�ำหรับวันที่ชาวใต้มักจะ นิยม ท�ำบุญกันมากคือวันแรม 13-15 ค�่ำ ประเพณีวันสารท เดือนสิบโดยในส่วนใหญ่แล้วจะตรงกับเดือนกันยายน ของทุกปี ประเพณีทิ้งกระจาด เป็นประเพณีที่คนไทยโดยทั่วไปและคนไทย เชื้อสายจีนต ่างจัดขึ้นและร ่วมกันได้อย ่างกลมกลืน เนื่องจากแก ่นของประเพณีดังกล ่าวก็เพื่อสอนให้ พุทธศาสนิกชนสร้างความเอื้ออาทรกันในหมู่สมาชิก ของสังคมส่วนใหญ่ โดยถือว่าการท�ำบุญให้ทานนี้เป็น เครื่องลดความเห็นแก่ตัวลง ทั้งนี้เพื่ออนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณี การทิ้งกระจาดของท้องถิ่นอันดีงาม และสืบทอดความ สัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับชาวไทยเชื้อสายจีน ที่มีมา เป็นเวลานาน ส�ำหรับประเพณีทิ้งกระจาด เป็นการเมตตา
38 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง ส�ำหรับ วันเช็งเม้ง มีก�ำหนดในเดือน 5 ตาม ปฏิทินจีน ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายนของ ทุกปีก่อนวันพิธีจะมีการท�ำความสะอาดหลุมฝังศพของ บรรพบุรุษ และในวันพิธีจะมีการเซ่นไหว้โดยมีอาหาร คาว-หวาน ผลไม้เผากระดาษเงินกระดาษทองที่บริเวณ หน้าหลุมฝังศพเพื่อส่งสิ่งต่างๆ ไปให้บรรพบุรุษได้น�ำ ไปใช้และมีการจุดประทัดเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีไม่ให้เข้า ใกล้รบกวนบรรพบุรุษ รวมทั้งเป็นการบอกกล ่าวให้ บรรพบุรุษได้ทราบว ่า ลูกหลานยังระลึกถึงคุณงาม ความดีของบรรพบุรุษ และเป็นการส่งอาหารให้ทุกปี เพื่อไม่ให้อดอยากเมื่อไปอยู่อีกภพภูมิหนึ่ง เทศกาลตรุษจีน เชื่อกันว่าประเพณีตรุษจีนนี้มีมานานกว่าสี่พันปี แล้ว จัดขึ้นเพื่อฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เทศกาล ตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เดือน 12 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค�่ำเดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติของจีน และถือว่า คืนวันที่ 30 เดือน 12เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ส่วนวันที่ 1 เดือน 1 คือวันชิวอิก หมายถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ การเตรียมงานเพื่อการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน นั้น จะเริ่มขึ้นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อน วันตรุษจีน โดยผู้คน จะเริ่มซื้อข้าวของต่างๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้านเรือน และเตรียมท�ำความสะอาดครั้งใหญ่ เนื่องจากมีความ เชื่อว่าจะเป็นการปัดกวาดสิ่งที่ไม่ดีออกไป ภายในบ้าน ทั้งประตูหน้าต่าง จะประดับประดาไปด้วยสีแดง และ กระดาษสีแดงที่มีค�ำอวยพรให้อายุยืน ร�่ำรวย อยู ่ดี มีสุข ฯลฯ เทศกาลวันฮารีรายอ (วันตรุษอีด) เป็นวันเฉลิมฉลองในศาสนาอิสลาม โดยในวันนี้ จะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น แต่งกายให้สะอาดเรียบร้อย ร ่วมกันท�ำพิธีละหมาดวันอีดที่สนามหรือในมัสยิด เยี่ยมเยืยนญาติพี่น้อง รับประทานอาหารร่วมกัน วันฮารีรายอ เป็นวันรื่นเริงประจ�ำปีชาวมุสลิม จะไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพื่ออภัย ต่อกันในสิ่งที่ผ่านมา เป็นวันที่ทุกคนมีความสุขมาก มุสลิมจะมีการประกอบพิธีกรรมไทยพร้อมเพรียงกัน ทั่วโลก ในวันอีดีลฟิตรีมุสลิมทุกคนจะต้องจ่ายซะกาต ฟิตเราะห์ บริจาคทานแก่คนยากจนอนาถา ส่วนในวัน อีดิลอัฏฮาจะมีการเชือดสัตว์พลีแล้วจะท�ำ กุรบัน แจกจ่าย เนื้อเพื่อเป็นทานแก่ญาติมิตร สัตว์ที่ใช้ในการเชือดพลี ได้แก่ อูฐ วัว แพะ เป็นการขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ ให้เป็นผู้บริจาค เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ในวันฮารีรายอชาวมุสลิม จะเดินทางกลับภูมิส�ำเนา ของตน มาร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยพร้อม เพรียงกัน ได้พบปะ สังสรรค์กับเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อ จะได้ขออภัยต่อกัน นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันตรุษจีน คือ “อั่งเปา” ซึ่งมีความหมายว่า “กระเป๋า แดง” หรือจะใช้ค�ำว่า “แต๊ะเอีย” ซึ่งมีความหมายว่า “ผูกเอว” จากที่คนสมัยก่อนชอบร้อยเงินเป็นพวงผูกไว้ ที่เอว โดยการให้อั่งเปานี้คู่แต่งงานจะให้เงินเด็กๆ และ ผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง จากการที่อ�ำเภอ เบตงมีชาวจีนอาศัยอยู ่จ�ำนวนมาก เบตงจึงเป็นอีก สถานที่หนึ่ง ที่ร่วมสืบสานประเพณีตรุษจีนให้คงไว้
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 39 ชาวบ้านก็จะน�ำอาหาร ดิบ เช่น เผือกมัน ฟักทอง มะละกอ กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เป็นต้น มารวมเข้าด้วย กันแล้วปอกหั่น ตัดให้ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นน�ำเครื่อง ปรุง เช่น ข่า ตะไคร้หอม กระเทียม ผักชียี่หร ่า เกลือ น�้ำตาล กะทิเป็นต้น มาเป็นเครื่องผสมโดย หั่นตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ เช่นเดียวกัน ส�ำหรับกะทิจะ คั้นเฉพาะน�้ำมาผสม วิธีกวน ให้น�ำกะทะใบใหญ ่ตั้งไฟ มีไม้พายส�ำหรับ คนขนมอาซูรอ หลังจากตั้งกะทะบนเตา คั้นน�้ำกะทิ ใส่ลงไป ต�ำหรือบดเครื่องแกงหยาบๆ ใส่ลงในน�้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว คน ด้วยไม้พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย กวนต่อไปจน เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแห้งได้ที่แล้วตักใส่ถาด โรยหน้า ด้วยไข่เจียวหั่นบางๆ หรืออาจโรยหน้ากุ้ง เนื้อสมัน ปลาสมัน ผักชีหอมหั่นฝอย แล้วแต่รสนิยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นชิ้นๆ แจกจ่ายกันรับประทาน ส�ำหรับในอ�ำเภอเบตงเองก็มีการสืบสานประเพณี อันดีงามนี้มาโดยตลอด ซึ่งมีการจัดการแข่งขันกวน อาซูรอโดยการให้ผู้น�ำชุมชน ผู้น�ำท้องถิ่น กลุ่มแม่บ้าน ร่วมกันส่งทีมเข้าแข่งขัน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความสมานฉันท์ ความสามัคคีของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี บรรยายกาศอบอุ่นในวันฮารีรายอ ชาวมุสลิม จะรู้สึกดีใจและมีความสุขที่สุด ประทับใจในวันนี้บรรดา ลูก จะขออภัยต่อพ่อแม่ มีการแสดงออกด้วยการสวมกอด การจูบมือ การหอมแก้มทั้งสองของพ่อแม่ เป็นการ แสดงความรัก ลูกหลานที่อยู่ต่างภูมิล�ำเนาต่างกลับบ้าน เมื่อมาขออภัยและอ�ำนวยพรให้พ่อแม่ ทุกครัวเรือนจะมี ความอบอุ่นไปด้วยบรรดาลูกๆ หลานๆ กลับบ้านโดย พร้อมเพรียงกัน ในส่วนของอ�ำเภอเบตงเองก็เช่นกัน เนื่องจาก ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม จึงท�ำให้เทศกาล ดังกล่าวดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ประชาชนจะออกมา จับจ ่ายใช้สอยกันอย ่างคึกคัก สร้างรายได้อย่าง มหาศาลให้กับคนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยว จากมาเลเซีย โดยเฉพาะญาติของพี่น้องชาวอ�ำเภอ เบตงซึ่งอยู่ในแถบพื้นที่ชายแดนไม่ว่าจะเป็น กลันตัน เปรัก ปีนัง ต ่างก็ข้ามแดนเข้ามาร ่วมเฉลิมฉลอง เทศกาลด้วยเช่นกัน เทศกาลวันกวนอาซูรอ เป็นอีกหนึ่งเทศกาลรื่นเริงของพี่น้องชาวไทยมุสลิม โดยการกวนข้าวอาซูรอ (ขนมอาซูรอ) เป็นประเพณี ท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค�ำว่า อาซูรอ เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การ รวมกัน คือการน�ำสิ่งของที่รับประทานได้หลายสิ่งหลาย อย่างมากวนรวมกัน มีทั้งชนิดคาวและหวาน การกวน ข้าวอาซูรอ จะใช้คนในหมู ่บ้านมาช ่วยกันคนละไม้ คนละมือ เพื่อความสามัคคีและสร้างความพร้อมเพรียง เป็นน�้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันมีผลต่อการอยู่ร่วมกันของ สังคมอย่างมีความสุข ก่อนจะแจกจ่ายให้รับประทาน กัน เจ้าภาพจะเชิญบุคคลที่นับถือของชุมชนขึ้นมากล่าว ขอพรก่อน จึงจะแจกให้คนทั่วไปรับประทานกัน การกวนข้าวอาซูรอเริ่มด้วยการที่เจ้าภาพประกาศ เชิญชวนนัดหมายให้ชาวบ้านทราบว ่าจะมีการกวน ข้าวอาซูรอกันที่ไหน เมื่อใด เมื่อถึงก�ำหนดนัดหมาย
ปัจจุบันนิยมแต่งกายแบบสมัยนิยม หรือไม่ก็ ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละคณะให้มีสีสันสดใส สะดุดตา การแสดงจะเริ่มต้นการแสดงด้วยดนตรีโหมโรง เป็นการเรียกผู้ชมและเร้าอารมณ์คนดู สมัยก่อนมีการ ไหว้ครูในกรณีที่มีการประชันกันระหว่าง ปัจจุบันสู้กัน ด้วยศิลปะหรือคารมอย่างเดียว เมื่อลูกคู่โหมโรงเสร็จ ต่อจากนั้นนักร้องต้นเสียงจะออกมาวาดลวดลายด้วย เพลงในจังหวะต่างๆ ทีละคน เริ่มต้นเนื้อร้องกล่าวถึง ความประสงค์ในการเล่น แล้วจึงเข้าสู่เรื่องราวแสดง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวจากเหตุการณ์บ้านเมือง ปัญหา ท้องถิ่น ความรักของหนุ่มสาว หรือเรื่องตลกโปกฮา กรณี ที่มีการประชัน หรือบางครั้งก็เป็นเรื่องราวกระทบ กระแทกเสียดสีกัน หรือหยิบยกปัญหาต่างๆ มากล่าว เพื่อให้ผู้ชมชื่นชอบในการใช้คารมและปฏิภาณของ ผู้แสดง นับว่าเป็นการให้ความบันเทิง พร้อมทั้งให้ความรู้ สั่งสอนชาวบ้านผู้ชมไปในตัว ลักษณะพิเศษของดิเกฮูลู คือหัวหน้าคณะหรือผู้ร้องน�ำสามารถเดินทางไปแสดง ในที่ต่างๆ ในพื้นที่ที่มีคณะดิเกฮูลูได้โดยไม่ต้องมีลูกคู่ ไปด้วย เพราะสามารถไปแสดงร่วมกับลูกคู่ของคณะ อื่นๆ ได้ ทั้งนี้พบว ่าการแสดงดิเกฮูลูเป็นอีกสื่อหนึ่งที่ สามารถเข้าถึงชาวบ้าน ทั้งยังเป็นตัวช่วยหนึ่งในการ เผยแพร่รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงภัยร้ายต่างๆ และ ข้อปฏิบัติที่ถูกต้องดังที่กล่าวมาได้เป็นอย่างดีโดยการ แสดงดิเกฮูลูแต่เดิมนิยมแสดงในงานพิธีต่างๆ เช่น งานแต่งงาน พิธีเข้าสุหนัต งานเมาลิด งานฮารีรายอ ประเพณีพื้นบ้านเอกลักษณ์ วัฒนธรรมเบตง การละเล่นดิเกฮูลู (ลิเกฮูลู) เป็นประเพณีพื้นบ้านของชาวภาคใต้ตอนล่าง และ การแสดงประเภทนี้สันนิษฐานว่าน่าจะมีขึ้นครั้งแรก ณ ท้องที่เหนือล�ำน�้ำอันเป็นต้นก�ำเนิดแม่น�้ำปัตตานีซึ่ง ชาวบ้านเรียกฮูลูหรือทิศฮูลูตรงทิศฮูลูเป็นแหล่งก�ำเนิด ฮูลูนั้น เข้าใจว่าคือท้องที่อ�ำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี และอ�ำเภอบันนังสตา อ�ำเภอเบตง จังหวัดยะลา ดิเกฮูลูคณะหนึ่งๆ จะมีสมาชิกประมาณ 10 กว่า คน เป็นชายล้วน เป็นผู้ขับร้องต้นเสียง 1-3 คน ที่เหลือ จะเป็นลูกคู่ และอาจมีนักร้องภายนอกวงมาสมทบร่วม สนุกอีกก็ได้ บทกลอนที่ใช้ขับร้องนั้น เรียกเป็นภาษา มลายูท้องถิ่นว่าปันตน หรือปาตง เวลาแสดงใช้ขับกลอน โต้ตอบ ไม่ได้แสดงเป็นเรื่องราวดังเช่นการละเล่นพื้นบ้าน อย่างอื่น เช่น มะโย่ง หรือมโนห์รา ส่วนดนตรีดิเกฮูลู ประกอบด้วยร�ำมะนาอย่างน้อย 2 ใบ ใช้ตีด�ำเนินจังหวะ ในการแสดงฆ้อง1วงเป็นเครื่องก�ำกับจังหวะ ตีสม�่ำเสมอ ประกอบการแสดง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีที่ใช้ ประกอบและเป็นที่นิยมกันว่ามีส่วนท�ำให้สนุกสนานกัน มากยิ่งขึ้น เช่น ขลุ่ยลูกแซก แต่จังหวะที่ใช้เป็นประเพณี ในการเล่นคือ การตบมือ การแต่งกายของผู้เล่นดิเกฮูลูสมัยก่อนมักแต่งชุด อย่างชาวบ้านทั่วไปคือ โพกหัว สวมเสื้อคอกลม นุ่งโสร่ง บางครั้งเหน็บขวานไว้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ต่อมามีการแต่งกาย แบบเล่นสิละ หรือศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวใต้ คือนอกจากจะนุ่งกางเกงขายาวธรรมดาเหมือนแต่เดิม ก็นุ่งผ้าโสร่งซอเกตลายสวยสดทับข้างนอกสั้นเหนือเข่า เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง พร้อมกับมีผ้าลือปักคาดสะเอว นอกนั้น ก็สวมเสื้อคอกลมมีผ้าโพกศีรษะเหมือนเดิม 40 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 41 งานบุญ และแสดงเพื่อแก้บน เป็นการขอพรจากพระ อัลเลาะห์โดยผ่านการแสดงดิเก นอกจากนี้ยังแสดง ในงานเทศกาลต่างๆ ร่วมกับมหรสพอื่นๆ เช่น ในงาน พิธีถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น หรือ เป็นการแสดงเพื่อมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ปัจจุบัน ดิเกฮูลูแสดงกันทั่วไปในพื้นที่ 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา นราธิวาส สงขลา สตูล และปัตตานี การละเล่นอนาชีด หรือ อานาซีด, อานาซิด, นาชีด หรือ อัลนาชีด แล้วแต่ส�ำเนียงการออกเสียงของคนแต่ล่ะพื้นที่เนื่องจาก ภาษาพูดของชาวมุสลิมของไทย กับชาวมุสลิมในประเทศ เพื่อนบ้านอาจจะมีความแตกต่างกัน โดยรวมแล้วเป็นการขับร้องบทเพลงที่เกี่ยวกับ การศรัทธา การท�ำความดีเช่น การเป็นมุสลิมที่ดีการ เป็นลูกที่ดีของบิดามารดา การเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ส่งเสริมการให้ความรักต่อกัน แต่ไม่ใช้ความรักในเชิง การชู้สาว จะพบว่า บทเพลงอนาชีด คือบทเพลงส่งเสริม ให้ทุกคนท�ำความดีต่อทุกสิ่งที่พระผู้เป็นได้สรรค์สร้าง ขึ้น ในจักรวาลนี้อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่น ให้คงอยู่สืบไป บทเพลงอนาชีด เป็นบทเพลงที่มุสลิมทั่วโลกใช้ในการขับร้อง ซึ่งเป็นที่ อนุมัติตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม เอกลักษณ์ของเพลงในลักษณะนี้คือ ปราศจาก เนื้อหาที่ยั่วยุหรือไม่เหมาะสมส�ำหรับการรับฟัง ซึ่งจุดนี้ คือข้อเด่นของ อานาชีด ที่แตกต่างออกไปจากบทเพลง ทั่วๆ ไป ที่มีแต่ความรักเชิงชู้สาวระหว่างชายหญิงและ คลั่งไคล้ในบทเพลงจงน�ำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การขับร้องเพลงอานาชีดเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยท่าน ศาสดามูฮ�ำหมัด โดยชาวเมืองมาดีนะห์ซึ่งขับร้อง ตอนรับ ท่านศาสดาและคณะ ที่อพยพมาจากเมืองมักกะห์ การแสดงออกของมุสลิมในเมืองมาดีนะห์ใน ครั้งนี้ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงการอนุญาตให้มุสลิม ร้องเพลงได้ แต่มีเป้าหมายในการเผยแผ่อิสลามโดย ผ่านบทเพลงยิ่งในสังคมปัจจุบันการเข้าถึงตัวเยาวชน โดยใช้เพลงเป็นสื่อกลางนั้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจาก นั้นยังมีเครื่องดนตรีบางชนิดก็สามารถน�ำมาใช้ได้ ปัจจุบันมีการก่อตั้งกลุ่ม อนาชีดเพื่อสันติภาพ เพื่อขับร้องบทเพลงอนาชีดในด้านการส่งเสริมสันติภาพ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้ได้มีสมาชิกวงอนาชีด ต่างๆ หลายวงได้เข้าร่วม เพื่อเผยแพร่แนวทางสันติวิธี โดยผ่านบทเพลงอนาชีดในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีก ทั้งส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ ให้เกิดสันติภาพในภาคใต้ ความงดงามอันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์ ถูกส่งต่อมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ให้คงอยู่กับกาลเวลาและ เมืองแห่งหุบเขา ท่ามกลางม่านหมอกอันรื่นรมย์แห่งนี้ คือเสน่ห์ที่ดึงดูด ให้ผู้คนโดยรอบต่างเข้ามาสัมผัสกับพหุวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ถึงแม้ว่า บางอย่างอาจจะถูกเลือนหายไปตามกาลเวลาและการเคลื่อนย้ายของผู้คน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่หมดไป คือความท้าทายที่รอให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปสัมผัส กับประสบการณ์อันคุ้มค่าที่เมืองเบตง ยะลาแห่งนี้....
42 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง จากภูมิปัญญา บรรพบุรุษ บทที่ 4 ของดี เมืองเบตง
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 43 ไก่เบตง ของดีขึ้นชื่อและเป็นเอกลักษณ์ส�ำหรับเมืองใต้ สุดแดนสยามที่หากเอ่ยไปหลายคนต้องร้องอ๋อ นั้นคือ “ไก่เบตง” ส�ำหรับไก่สายพันธุ์ดังกล่าวมีประวัติความเป็น มาที่น่าสนใจเพราะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความ เป็นมาของเบตงได้เป็นอย ่างดีโดยเฉพาะอย ่างยิ่ง ส�ำหรับคนไทยเชื้อสายจีน หนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกเมือง แห่งม่านหมอกกลางหุบเขาแห่งนี้ นอกจาการท�ำสวน ยางที่ท�ำรายได้เป็นกอบเป็นก�ำให้กับคนในพื้นที่แล้ว เอกลักษณ์ที่ส�ำคัญของอ�ำเภอเบตง ที่สามารถดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้เป็น อย่างดี คงหนีไม่พ้นของดีของฝากประจ�ำ ถิ่นซึ่งมีความหลากหลาย ความโดดเด่น ที่ไม่เหมือนใคร ได้ถูกน�ำมารวบรวมไว้ ในบทความเรื่อง “ของดีเมืองเบตง ก�ำเนิดจากภูมิปัญญาบรรพบุรษ” ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชิมและ พลาดชม โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็น ภูมิปัญญาจากครั้งอดีตที่บรรพบุรุษ สืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ลูกหลานในท้องที่ ก็น�ำมาพัฒนาต่อยอด รวมทั้งอนุรักษ์ ภูมิปัญญาเหล่านี้ให้คงอยู่ เช่นเดียวกัน กับ ณ เมืองเบตงแห่งนี้ มีความน่าสนใจ อยู่ในของดีซึ่งหลายคนอาจจะไม่ทราบ แต่เชื่อแน่ว่าหากใครที่ได้เห็น ได้สัมผัส ก็คงจะติดใจอย่างแน่นอน บทที่ 4 ของดี เมืองเบตง จากภูมิปัญญาบรรพบุรุษ
44 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง การท�ำเกษตรกรรมโดยการเลี้ยงไก่เบตงก็คือหนึ่งใน อาชีพที่สืบต่อกันมายาวช้านาน ด้วยความพิเศษคือ เนื้อแน่น ตัวใหญ่ รสชาติอร่อย เดิมไก่เบตงสืบสายพันธุ์โดยการน�ำเข้ามาจาก ดินแดนมังกรอันไกลโพ้น และคนจีนรู้จักดีในชื่อไก่เลียง ชาน หรือ แลนชาน แต่คนจีนบางพื้นที่รู้จักกันในนาม ไก่สายพันธุ์กวางไส โดยนอกจากชื่อที่โดดเด่น น่าสนใจ และลักษณะเฉพาะตัวก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่าง ชัดเจนระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย กล่าวคือ ตัวผู้ ปากจะมีสีเหลืองอ ่อน จงอยปากงุ้มงอ แข็งแรง ดวงตานูนใสชัดเจน หงอนเป็นแบบหงอน จักรเป็นสง่า หัวกว้างไม่แคบ คอตั้งตรงแข็งแรงส่วน ขนจะมีสีเหลืองเริ่มจากบริเวณหัวแล้วค่อยๆ จางลงมา ถึงล�ำตัวคล้ายกับสร้อยคอ ปีกสั้นแต่แข็งแรงสมส่วน กับล�ำตัวขนสีเหลืองแต่อาจจะมีสีด�ำแซมที่ปลายปีก เล็กน้อย ช่วงอกกว้างตามลักษณะเฉพาะตัวของไก่ พันธุ์เนื้อทั่วไป หลังกว้างแบนราบขนานกับพื้น ส่วน หางมีขนเล็กน้อย สั้น สีน�้ำตาล ก้น (บั้นท้าย) ขึ้นรูป เห็นชัด ขามีขนาดใหญ่พอเหมาะกับล�ำตัวขนสีเหลือง บริเวณผิวมีส�ำแดงเรื่อแต่ถ้าเป็นไก่ตอนขนจะดกกว่า ปกติทั่วไป หน้าแข้งเกล็ดวาวเป้นแถวแนวตรงสีเหลือง นิ้วเหยียดตรง เล็บสีขาวอมเหลือง ตัวเมีย โคนปากมีสีน�้ำตาลเข้มที่ค่อยๆ จางลง มาจนเป็นสีเหลืองที่ปลายปาก จงอยปากงุ้มแข็งแรง ส่วนหัวกว้าง มีหงอนรูปถั่วสั้นติดตรงบริเวณหนังหัว ตาใสแจ๋ว ล�ำคอตั้งตรงแข็งแรงสีเหลืองอ่อนๆ มีอก กว้างหนาตามลักษณะไก่เนื้อพร้อมมีขนสีเหลืองดก ปกคลุมอยู่ทั่วตัว มีขนสีเหลืองดกตรงหลังวางแนวขนาน กับพื้น ปีกพอเหมาะ ล�ำตัวแข็งแรง มีขนนุ่มสีด�ำอย่าง ประปรายตรงบริเวณส่วนปีกเต็มไปหมด ส่วนหางที่ อ่อนนุ่มดกด�ำปนสีเหลือง ขาแข็งแรงสมกับล�ำตัวพร้อม มีขนสีเหลืองดกปกคลุมไว้ส่วนแข้งกลมสีเหลือง เกล็ด วางแถวแนวเป็นระเบียบ นิ้วเท้าเหยียดตรงอย่าง แข็ง แรง เล็บเท้าสีขาวอมเหลือง ไก่ทั้งสองเพศแม้จะมีลักษณะที่ต่างกันแต่ว่ามี ส่วนที่เหมือนกันอย่างเห็นเด่นชัดนั้นคือมีขนสีเหลือง ทองเกือบจะทั้งตัว ไก่เบตงเป็นไก่เนื้อที่มีคนนิยมรับ ประทานกันมากเนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยเนื่องจากมี ลักษณะพิเศษคือ ตรงส่วนหนังจะมีสีเหลืองอ่อนเนื้อ ค่อนข้างเหลืองและก็นุ่ม ไม่ค่อยมีไขมัน กลิ่นหอมมาก ส�ำหรับผู้ที่อยากจะเลี้ยงไก่เบตงนั้น สิ่งส�ำคัญ เลยคือควรเลือกซื้อพันธุ์ไก่เบตงจากฟาร์มที่ได้รับการ รับรองและเชื่อถือได้ไก่พ่อแม่พันธุ์ต้องมีลักษณะตรง ตามพันธุ์ โดยแม่พันธุ์จะต้องมีคุณสมบัติไข่ตก แข็งแรง น�้ำหนักตัวไม่น้อยกว่า 1.4 กก. พ่อพันธุ์ต้องมีขนาด ตัวใหญ่แข็งแรง มีเนื้อมาก น�้ำหนักตัวไม่น้อยกว่า 2 กก. สายพันธุ์ที่นิยมคือ สายพันธุ์สีเหลืองทอง 44 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
เคาหยก เป็นอาหารที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์และความ เป็นชาติพันธุ์ของคนไทยเชื้อสายจีนประจ�ำถิ่นเบตง ได้เป็นอย่างดีส�ำหรับอาหารชนิดนี้อาจจะมีเชื่อเรียก กันอยู่หลายชื่อตามส�ำเนียงการออกเสียงที่แตกต่าง ฟองแรกเมื่ออายุได้27 สัปดาห์ให้ปริมาณไข่ได้ไม่ต�่ำ กว่า 100 ฟองโดยทั้งเพศผู้และเพศเมียจะมีหงอนแบบ จักร ขนหงอกช้า ขนปีกมีน้อย ไม่มีขนหาง ทนต่อสภาพ อากาศร้อน ทนต่อโรคและแมลงได้ดี ส่วนเมนูจากไก่เบตงที่น่าสนใจนั้น มีอยู่หลาย อย่างแต่ที่ขึ้นชื่อต้องยกให้กับไก่สับเบตง เป็นอาหาร ที่เลิศรสและขึ้นชื่อของเบตง เป็นเมนูเด็ดที่นักท่อง เที่ยวไม่ควรพลาดและนอกจากไก่สับแล้ว ไก่เบตงยัง สามารถปรุงเป็นอาหารรสเลิศได้อีกหลายชนิด เช่น ไก่ตุ๋น เครื่องยาจีน ไก่ตุ๋นมะนาวดอง ต้มย�ำไก่ ไก่ต้มซีอิ๊ว โดยไก่เบตงเป็นไก่ที่เลี้ยงเฉพาะท้องถิ่นเบตง เนื้อจะ หวานนุ่ม ไม่เปื่อยยุ่ยเหมือนไก่ทั่วไป ใครที่ได้ชิมต่าง ต้องติดใจและยกนิ้วให้อย่างแน่นอน ส่วนปัญหาที่ส�ำคัญที่สุดในการเลี้ยงไก่ คือ เรื่อง โรค เช่นโรคนิวคาสเซิล โรคหลอดลมอักเสบ โรคอหิวาต์ โรคฝีดาษ และพยาธิต่างๆ ทั้งพยาธิภายนอก เช่น เหา ไร หมัด พยาธิภายใน เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัว แบน พยาธินัยน์ตาไก่ เป็นต้น นอกจากไก่เบตงที่ได้มีการเลี้ยงตามบ้านแล้ว ในเชิงพาณิชย์ก็ได้ถูกพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาเพื่อรองรับ ความต้องการของตลาดในอนาคตอีกด้วย ดังเช่นที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้น�ำเอาไก่เบตงมาท�ำการ วิจัยและพัฒนาเพื่อเพาะเลี้ยงและเผยแพร่แก่เกษตรกร ที่สนใจในชื่อ “ไก่เบตงสายพันธุ์เคยู” ส�ำหรับ “ไก่เบตง สายเคยู” เกิดจากการน�ำไก่ เบตง จ.ยะลา มาท�ำการวิจัยคัดเลือกเอาเฉพาะไก่ที่มี ลักษณะดีต่อจากนั้นไปพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ให้มี ความโดดเด่น มีคุณลักษณะพันธุ์ที่ดี สามารถเจริญ เติบโตได้ดีในภาคกลาง มีการเจริญเติบโตเร็วกว่าไก่ พื้นเมืองทั่วไป ให้ไข่มากขึ้น มีเนื้อมาก เหนียวนุ่มหอม เนื้อไม่แฉะ รสชาติดีเป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค เพราะ มีไขมันใต้ผิวหนังน้อย น�ำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น ไก่สับ ไก่นึ่ง ไก่ต้มเครื่องยาจีน ข้าวมันไก่ ข้าว หน้าไก่ ฯลฯ จึงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เมื่อเป็น ลูกเจี๊ยบ จะไม่มีขน กระทั่งอายุประมาณ 5-6 สัปดาห์ จึงเริ่มเห็นขนอ่อนสีทองร�ำไร สีขนแบ่งได้3 กลุ่ม คือ สีเหลืองทองเข้ม สีเหลืองทองอ่อน และสีขาวหรือสี ขาวแซมน�้ำตาล การเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน โดยเพศ ผู้อายุ 14 สัปดาห์ มีน�้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม และเพศ เมียอายุ18 สัปดาห์จะมีน�้ำหนัก 1.7 กิโลกรัม ออกไข่ เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 45
46 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง กบภูเขาเบตง กบภูเขาถือว่าเป็นอีกหนึ่งของดีที่อยู่คู่กับเมือง เบตงมาอย่างยาวนาน และเป็นที่นิยมของคนในพื้นที่ เป็นอย่างมาก โดยกบชนิดนี้นอกจากที่เบตงแล้วยัง สามารถพบเห็นได้อีกที่คือบริเวณภาพเหนือของไทย เนื่องจากมีสภาพภูมิอากาศที่คล้ายคลึงกับเบตงและ บริเวณทางเหนือของประเทศมาเลเซีย นั้นคือ จะชอบ อาศัยอยู ่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขาและป ่าอันอุดมสมบูรณ์ แต ่บางครั้งบางแห ่งชาวบ้านก็จะเรียกกบชนิดนี้ว ่า “กบคลอง” เนื่องจากในฤดูผสมพันธุ์มันจะออกจาก ป่าดงดิบอันเป็นที่อยู่อาศัย มาผสมพันธุ์กันตามแม่น�้ำ ล�ำธาร ดังนั้นชาวบ้านจึงจะออกจับกบภูเขาไปกันใน ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อน�ำมาบริโภค และเอกลักษณ์ที่ ส�ำคัญของกบภูเขาซึ่งแตกต่างจากกบนา กบเลี้ยง และกบสายพันธุ์อื่น ๆ ที่เราน�ำมาบริโภค คือ เนื้อของ กันออกไปเช่น เกาหยก, เกาหยุก, โกหยุก ซึ่งแปลตรงตัว ว่าเนื้อคว�่ำ และตรงกับภาษาจีนกลางงว่า โค่วโหย่ว เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของหูหนานและกวางตุ้ง ส�ำหรับเมนูนี้เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของเบตง ท�ำจากเนื้อหมูกับเผือก มีวิธีการปรุงที่พิถีพิถันสลับ ซับซ้อน โดยจะเริ่มจากการน�ำเนื้อหมู3 ชั้นมาต้มให้ สุก จากนั้นจึงน�ำขึ้นมาสะเด็ดน�้ำในรังนึ่ง และใช้ช้อน ส้อมจิ้มที่หนังหมูเพื่อให้น�้ำมันไหลออกมา ทิ้งไว้สักพัก แล้วน�ำเกลือมาคลุกให้ทั่ว หลังจากนั้นน�ำไปทอดใน น�้ำมันที่เดือดปานกลาง จนสังเกตว่าหนังหมูเริ่มพอง แล้วจึงน�ำขึ้นมาสะเด็ดน�้ำมัน และต่อด้วยการต้มอีกครั้ง เมื่อน�ำขึ้นจากหม้อต้มให้น�ำมาผ่านความเย็นทันทีเพื่อ เพิ่มความกรอบ จากนั้นน�ำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หมัก กับเครื่องยาจีน เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้ร่างกาย แล้วน�ำมาจัดวางสลับกับเผือกทอด แต่ก่อนที่จะรับ ประทานต้องน�ำไปนึ่งอีกครั้ง แล้วจึงโรยหน้าด้วยผักชี เพื่อดับกลิ่นคาว เคาหยก ต้นต�ำหรับสูตรโบราณจะมีวิธีการปรุง ที่พิถีพิถันสลับซับซ้อนและใช้เวลานานมากเป็นวันๆ เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยเข้มข้น เมนูอาหารแบบนี้จึง มักท�ำในงานส�ำคัญๆเท ่านั้น แต ่ปัจจุบันได้มีการ ดัดแปลงสูตรอาหาร และเครื่องปรุงบางอย่างให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เรายังมีอุปกรณ์อ�ำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เช่น หม้อตุ๋น ซึ่งหม้อตุ๋นรุ่นใหม่ๆจะช่วยให้อาหารสุก เปื่อยง่ายและใช้เวลาไม่มากและสะดวกสบายกว่าเดิม เป็นเท่าตัว
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 47 เป็นเส้นเล็กๆ กว้างไม่เกิน 1 ซม. จากนั้นน�ำเส้นหมี่ ขาว หรือหมี่ถังแตกที่พร้อมแล้วมาปรุงด้วยซีอิ้วขาว ก่อนโรยงาขาว และกระเทียมเจียวลงไป จี้ฉ่องฝัน สามารถหารับประทานได้เฉพาะ ในเวลาเช้า ตามร้านติ่มซ�ำทั่วไป ภายในอ�ำเภอเบตง แต่ในปัจจุบันสามารถดัดแปลงกินได้หลายรูปแบบ แต่ละแบบรสชาติก็จะต่างกันตามสิ่งที่ได้ผสมกันลง ไป เช่น รับประทานกับซีอิ้วขาว น�้ำซุปต่างๆ รวมไป จนถึงซอสพริก หรือซอสที่มีรสชาติเข้มข้มก็จะช่วย ชูรสชาติของ จิ๊ฉ่องฝันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว กบภูเขาจะค่อนข้างขาวใสและเหลวกว่ากบชนิดอื่น ไขมันสะสมน้อย ท�ำให้มีรสชาติดีกว่านั่นเอง ส�ำหรับกบภูเขาในพื้นที่อ�ำเภอเบตงนั้น ปัจจุบัน มีจ�ำนวนลดน้อยลงไปมากเนื่องจากการตัดไม้ท�ำลาย ป่าของประชาชนในพื้นที่ ท�ำให้เกิดผลกระทบทางระบบ นิเวศวิทยาเป็นวงกว้างท�ำให้ที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหาร ของกบภูเขาลดน้อยลงไปด้วย รวมทั้งปัจจัยส�ำคัญอีก อย่างคือการนิยมจับกบชนิดนี้ในช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ ท�ำให้การขยายตัวของจ�ำนวนประชากรกบลดน้อยลง ไปอย่างน่าใจหาย อีกทั้งการน�ำเอาสายพันธุ์มาเพาะ เลี้ยงยังไม ่ประสบความส�ำเร็จเนื่องจากมีอัตราการ เจริญเติบโตที่ต�่ำ ไม ่ทนต ่อสภาวะอากาศโดยทั่วไป ของพื้นที่ราบ แต่ในปัจจุบันทางภาครัฐได้มีการรณรงค์ และการออกกฎหมายคุ้มครองให้กบภูเขาเป็นอีกหนึ่ง ในสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่ถึงอย่างไรกบภูเขาก็ยังเป็นที่นิยมน�ำมาบริโภค กันอย่างมากในอ�ำเภอเบตง โดยเมนูที่น่าสนใจและ ได้รับความนิยม ได้แก่ เมนูผัด หรือทอดกระเทียม พริกไทย หรืออาจจะใช้เนื้อกบแทนเนื้อหมูใส่ในโจ๊ก หรือที่เรียกว่าโจ๊กกบ ซึ่งหากใครที่สนใจแวะเวียนไป หารับประทานได้ที่อ�ำเภอเบตง จิ๊ฉ่องฝัน อาหารชื่อแปลกแต่เป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่งส�ำหรับ คนเบตงในพื้นที่ โดยเฉพาะพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกับอาหารชนิดนี้มาหลายรุ่นตั้งแต่ เด็กจนโต ส�ำหรับ จี๊ฉ่องฝัน เป็นอาหารพื้นเมืองอีกชนิด หนึ่งของชาวเบตง บ้างก็เรียกว่า หมี่ขาว หรือ หมี่ถัง แตก มีลักษณะคล้ายๆ เส้นก๋วยเตี๋ยว ท�ำจากการเอา ข้าวเจ้ามาโม่ให้เป็นแป้ง ก่อนจะน�ำมาผสมกับน�้ำให้เหลว แล้วน�ำไปเข้าเครื่องนึ่งท�ำแผ่น แต่แผ่นจะมีความบาง กว่าแผ่นก๋วยเตี๋ยว เมื่อสุกจนได้ที่ก็จะะน�ำออกมาหั่น เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 47
48 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง ผักน�้ำเบตง ส�ำหรับพืชที่ได้ชื่อว่าถือก�ำเนิดครั้งแรกในเมือง ไทยและเป็นของขึ้นชื่ออีกหนึ่งอย่างของเบตง อย่าง ผักน�้ำ (Watercress) เดิมมีถิ่นก�ำเนิดมาจากประเทศ ฝรั่งเศส แล้วน�ำมาปลูกในประเทศจีนหลังจากนั้นก็ เผยแพร่เข้ามาด้วยคนจีนโพ้นทะเลซึ่งมาอาศัยอยู่ใน บริเวณประเทศมาเลเซีย ผ่านเข้ามาถึงจังหวัดยะลา ท�ำให้รู้กันเป็นวงแคบแค่คนไทยเชื้อสายจีนในจังหวัด ยะลาเท่านั้น แต่ผักน�้ำได้ถูกพูดถึงและได้รับความนิยม กันในวงกว้างก็เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับ การส ่งเสริมจากหน ่วย งานราชการให้ได้ทราบถึง คุณสมบัติและสรรพคุณ รวมทั้งประโยชน์อันดีของผัก ชนิดนี้ซึ่งหากจะย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผักน�้ำ ยังเพียงแค่พืชที่ปลูกในครัวเรือนเท่านั้น โดยในอ�ำเภอ เบตงก็ปลูกกันทั่วไปตามธรรมชาติเช่น ตามท้องนา ข้างถนน แต่ด้วยสภาพเมืองที่เปลี่ยนไปท�ำให้สภาพ อากาศแย่ลง การปลูกผักน�้ำจึงต้องย้ายไปปลูกในเขต ชานเมืองซึ่งสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตดีกว่า ลักษณะโดยทั่วไปของผักน�้ำจะคล้ายกับผักบุ้ง และกระเฉดที่ทอดยอดอยู่บนน�้ำ มีใบเล็ก ล�ำต้นเป็น ปล้อง ชอบอากาศหนาว อุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 25-30 องศาจึงจะท�ำให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีรวม ทั้งลักษณะพิเศษอีกอย่างของพืชชนิดนี้คือ ต้องปลูก ในแปลงที่มีน�้ำเย็น สะอาดไหลผ่าน โดยเฉพาะบริเวณ ล�ำธาร น�้ำตก เป็นต้น โดยในปัจจุบันมีการปลูกผักน�้ำเชิงพานิชกัน มากขึ้น ซึ่งอุณหภูมิของเบตงโดยเฉพาะตลอดทั้งปีอยู่ ที่ 22-25 องศาเซลเซียส เหมาะแก่การเจริญเติบโต เป็นอย่างมาก และหลังจากการปลูกประมาณ 45-60 วันก็จะสามารถตัดขายได้ซึ่งใน 1 ปีจะตัดขายได้ถึง 6 ครั้งเลยทีเดียว ส่วนเมนูที่นิยมน�ำไปท�ำรับประทานนั้น เหมาะ ส�ำหรับเอามาผัดน�้ำมันหอย หรือผัดหมูสับ ซึ่งเป็น เมนูเด็ดของจังหวัด ส่วนการน�ำมาแกงจืดกับหมูสับ หรือใส่ต้มเลือดหมูหรือเครื่องในก็เหมาะ บางท่านนิยม น�ำมาเป็นผักใส ่สุกี้ เนื่องจากผักน�้ำเบตงมีรสชาติ หวานหอม สรรพคุณทางยาของผักน�้ำเบตงจะมีสรรพคุณ แก้ร้อนใน และช่วยในการขับถ่าย เชื่อแน่ว่าผู้มาเยือน เบตงต้องติดใจในรสชาติของผักน�้ำแสนอร่อยแห่ง เมืองใต้สุดแดนสยามแห่งนี้แน่นอน 48 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง
เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 49 ส�ำหรับสินค้าดังกล่าว เป็นที่นิยมเป็นอย่าง มากทั้งในและนอกพื้นที่ มีการจัดทั้งเป็นกลุ่มเพื่อ ท�ำและส่งขายอย่างจริงจังในฐานะของสินค้าโอท็อป โดยเฉพาะบ้านกาแป๊ะฮูลู ในอ�ำเภอเบตง ที่ยก สถานการณ์ผลิตขึ้นเป็นอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเทศบาลเข้ามาช่วยสนับสนุนการด�ำเนินงาน อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงได้รับตรา “ฮาลาล” เป็นการ การันตีสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยตลาดหลักคือ พื้นที่ 5 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ และยังกระจายสู ่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ รวมทั้งมีลูกค้าประจ�ำที่สั่งสินค้ามาจากฝั่งประเทศ เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียอีกด้วย ที่ส�ำคัญนี้คือสินค้า ของฝากที่ขึ้นชื่อส�ำหรับอาคันตุกะผู้มาเยือนเมือง เบตง ที่สามารถติดไม้ติดมือไปฝากญาติมิตรให้ได้ ร่วมลิ้มลองรสชาติความอร่อยได้ด้วยเช่นกัน หมี่เบตง-ซีอิ๊วเบตง อีกหนึ่งสินค้าขึ้นชื่อของอ�ำเภอแห่งนี้ซึ่งวัฒนธรรม ทางอาหารและการบริโภคโดยส่วนใหญ่มาจากคนจีน โพ้นทะเลซึ่งเข้ามาปักหลักถิ่นฐานเมื่อครั้งอดีตได้ส่ง ต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นซึ่งถูกบอกเหล่าผ่านทางอาหารนั้น คือบะหมี่ - ซีอิ๊วเบตง ส�ำหรับหมี่เบตงนั้นมีคุณสมบัติพิเศษ คือเส้น เหนียวนุ่ม เมื่อน�ำไปผัดเส้นจะไม่ขาด ท�ำให้ผู้ที่ได้รับ ประทานติดใจในความเหนียวนุ่มของเส้นหมี่ หมี่เบตง มี2 ชนิด คือ หมี่สีเหลืองเหมือนหมี่ทั่วไป ที่จะต้อง น�ำไปนึ่งให้สุกแล้วน�ำมาจับเป็นก้อน เอาไปผึ่งแดด แล้วบรรจุลงถุง ส่วนหมี่ซั่วนั้นมีเส้นสีขาว ซึ่งต่างกันที่ หมี่ซั่วนั้นไม่ต้องนึ่ง แต่น�ำไปตากแดดแทน ส่วนซีอิ๊วเบตง ซีอิ๊วที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ที่ ไม่เหมือนใครนั้น ก็มีกรรมวิธีในการท�ำสลับซับซ้อน และใช้เวลานานทีเดียว โดยกว่าจะได้ซีอิ๊วน�้ำหนึ่งก็ต้อง หมักประมาณ 3 เดือน และถ้าต้องการซีอิ๊วน�้ำสองก็ ต้องใส่น�้ำเกลือหมักต่ออีกอย่างน้อย 15 วัน แต่ถ้า ต้องการซีอิ๊วด�ำต้องหมักทิ้งไว้ถึง 6 เดือน แล้วน�ำน�้ำ ซีอิ๊วที่ได้ไปต้มจนเดือด จะท�ำให้น�้ำซีอิ๊วปลี่ยนเป็น สีด�ำเองโดยธรรมชาติ เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง 49
50 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง นาซิดาแฆ (ข้าวมันแกงไก่) อาหารขึ้นชื่ออีกหนึ่งอย่างของเมืองเบตงที่อาจ จะเรียกยากอย่าง “นาซิดาแฆ” หรือชื่อภาษาไทยที่ เรียกกันติดปากว่า ข้าวแกงมันไก่ เป็นหนึ่งในอาหาร อิสลามที่น่าทาน อาหารพื้นเมืองของชาวไทยมุสลิม ในภาคใต้ซึ่งนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย ค�ำว่า “นาซิดาแฆ” มีหลายความหมาย หมายถึง ข้าวส�ำหรับ คนอนาถา การได้ชื่อเช่นนี้สืบเนื่องมาจากส่วนประกอบ ส�ำคัญของนาซิดาแฆเป็นส ่วนผสมระหว ่างข้าวจ้าว กับข้าวเหนียว ผู้มีรายได้น้อยถ้ามีข้าวจ้าวกับข้าวเหนียว เพียงบางส่วนก็สามารถน�ำมาปนกันท�ำเป็นอาหารได้ แล้ว ในความหมายอื่น ค�ำว่า“ดาแฆ” มาจาก “ดาฆัง” ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า หาบ ดังนั้น นาซิดาแฆ แปลว่า ข้าวหาบและเนื่องจาก “ดาแฆ” ของชาวไทย มุสลิมภาคใต้หมายถึงคนต่างถิ่น ดังนั้น นาซิดาแฆ จึงหมายถึง ข้าวของคนต ่างถิ่นคือเป็นข้าวที่ชาว อินโดนีเซีย เป็นผู้น�ำมาเผยแพร่ในแถบนี้ อาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและ อร่อยมาก รสชาติหวาน มัน หอมด้วยส่วนผสมต่างๆ บวกกับกรรมวิธีการปรุงที่สะอาดตามแบบฉบับชาว อิสลาม โดยน�ำข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ในสัดส่วนข้าว เจ้ามากกว่ามาคลุกเคล้าจนเข้ากัน นึ่งจนสุก ใช้หาง กะทิมาคลุกให้ทั่ว จากนั้นยกไปนึ่งบนเตาอีกครั้ง เสร็จ แล้วน�ำหัวกะทิมามูลพร้อมกับโรยหอมแดงซอยเป็น แผ่นบาง ๆ และเครื่องเทศ นาซิดาแฆ ที่ปรุงเสร็จจะหอมมัน แต่หาก น�ำมารับประทาน อย่างเดียวล้วนๆ จะไม่ได้รสชาติ แบบต้นต�ำหรับ ส่วนใหญ่จะนิยมทานกับแกงกะทิ ปลาโอ แกงกะทิไก่ และแกงไข่ไก่-ไข่เป็ด โรยหน้า ด้วย ข้าวคั่วและมะพร้าวคั่วที่ต�ำจนละเอียด โดยชาวมุสลิมภาคใต้รับประทานเป็นอาหาร หลัก โดยเฉพาะในมื้อเช้า และจะให้คุณค่าทาง อาหารสูง และยังท�ำแจกจ่ายให้รับประทานกันใน วันฮารีรายอซึ่งถือว่าเป็นวันส�ำคัญทางศาสนา อิสลามอีกด้วย ซึ่งนี้คืออีกหนึ่งมนต์เสน ่ห์ทาง ชาติพันธุ์ที่แสดงออกใน ด้านวัฒนธรรมอาหารอันเลืองชื่อที่รอให้ทุกคนเข้า มาสัมผัส 50 เยือนเมืองในหมอก...ดอกไม้งาม...ใต้สุดสยามที่เบตง