The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by orapansangwong, 2022-09-28 01:41:14

การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

เรอื่ ง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ สูก่ ารเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ การเขียน

เรยี งความ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3

ผศู้ กึ ษา นางสาวอรพรรณ แสงวงค์

กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย

ปกี ารศึกษา 2565

บทคดั ยอ่

การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิง
สรา้ งสรรค์ การเขยี นเรยี งความ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ 2)
เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้เรียนจากการเ รียนโดยใช้แบบฝึก
ทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้
กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี สานักงานเขตพ้ืนที่
การศกึ ษามธั ยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จานวน 50 คน โดยการ
เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ คือ 1) แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิง
สร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) แบบทดสอบหลังเรียนของแบบฝึกทักษะการอ่าน
คิดวเิ คราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ใน
การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), ค่าดัชนี
ความสอดคลอ้ ง (IOC), ค่าอานาจจาแนก (Discrimination) ค่าความยากง่าย (Difficulty), ค่าความเช่ือม่ัน
(Reliability), การหาค่าประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (E1/E2) และการทดสอบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยการทดสอบค่า t-test แบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระจากกัน
(Dependent Samples)

ผลการศึกษาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ

ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ทพ่ี ัฒนาข้นึ มีประสทิ ธภิ าพ 81.40/83.10 ซ่งึ สงู กวา่ เกณฑ์ทีก่ าหนดคือ 80/80
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี สานักงานเขตพ้ืนท่ี

การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ ท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การ
เขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั .01

บทท่ี 1

บทนา

ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545
มาตรา 22 ได้กล่าวถึงหลกั การสาคัญในการจดั การศึกษาทเ่ี น้นให้ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้ ทั้งนี้โดยมีจุดหมายสาคัญคือ การปฏิรูปการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาศักยภาพของคนไทยให้
ก้าวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ท่ีสามารถพัฒนาตนเองได้ในทุกเวลา ทุกสถานท่ี โดยมีทักษะการเรียนรู้ที่
จาเป็นต้องได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสาหรับการเรียนรู้ที่จาเป็นต้องได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้เป็น
เครื่องมือสาหรับการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต อันได้แก่ ความสามารถในการอ่าน การคิด การ
วิเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกัน กระบวนการเรียนรู้ท่ีจัดจาเป็นต้องสอดคล้องกับ
ความสนใจ ความถนัด และความแตกต่างของผู้เรียน ให้ผู้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ คิด
เปน็ ทาเปน็ รักการอา่ น และเกดิ การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง ทั้งน้ีผู้สอนและผูเ้ รยี นอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จาก
ส่ือและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยมี พ่อแม่ ผู้ปกครอง และชุมชน ร่วมกันจัดบรรยากาศให้เอื้อต่อการ
เรียนรู้ (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2548) และจากการศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ได้มีการกาหนดสาระการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะกระบวนการเรียนรู้
และคณุ ลกั ษณะหรือค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียน เป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ 1) กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาไทย 2) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 4) กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา 5) กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 6) กลุ่มสาระการเรียนรู้
ศิลปะ 7) กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี และ 8) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
ซึ่งการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาดังกล่าวน้ัน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และ
สมดุลด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ ทักษะและการประกอบอาชีพ มีคุณธรรม มีจริยธรรมและ
วัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยให้สถานศึกษาจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ี
มุ่งเนน้ การฝึกกระบวนการคดิ การจดั การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ไข
ปญั หา จัดกิจกรรม ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน
และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ผสมผสานสาระการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน ปลูกฝัง
คุณธรรมค่านิยมท่ีดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้และให้สถานศึกษา
จดั ทาหลกั สตู รสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐานในส่วนท่ีเก่ียวกับสภาพปัญหาของชุมชน สังคมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสาคัญที่สุด และ
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพตามมาตรา
22 แหง่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2545
: 13)

การสอนภาษาไทยในปจั จุบันเปลยี่ นแนวคิดไปจากเดิมไม่เน้นการอ่านออกเขียนได้เพียงอย่างเดียว
แต่จะเน้นการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสารกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ภาษาในการแก้ปัญหาในการ
ดารงชีวิตและปัญหาของสังคม เน้นการสอนภาษาในฐานะเคร่ืองมือของการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถ

แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง สามารถนาความรู้มาใช้ในการพัฒนาตนเอง นอกจากน้ันยังต้องสอนภาษาเพื่อ
พฒั นาความคดิ ผู้เรยี นทีม่ ีความคดิ จะตอ้ งมปี ระสบการณ์และประมวลคามากพอทีจ่ ะสร้างความคิดได้ลึกซ้ึง
และคิดได้อย่างชาญฉลาดรอบคอบ การจัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ได้
นาแนวคดิ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ มาเป็นแนวทางการพัฒนาหลักสูตร โดยจัดทาเป็นสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการ
เรียนรู้กลุ่มภาษาไทยและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน เพ่ือเป็นแนวทางให้สถานศึกษาจัดหลักสูตรและ
จัดการเรียนให้สอดคล้องตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนด สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนรู้สนองความ
ต้องการของผู้เรียน ชุมชน และท้องถิ่น และมีอิสระในการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางที่หลักสูตรกาหนด
สถานศึกษาสามารถยืดหยุ่นในการบริหารหลักสูตร และจัดการศึกษาโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียน
สามารถมีส่วนร่วมในการวางแผนการเรียนของตนเองได้มากขึ้น อน่ึง สถานศึกษาจะต้องพัฒนาผู้เรียนให้
เป็นคนที่มีความสมบูรณ์ ทั้งด้านร่างกาย จิตใน อารมณ์ และสติปัญญา เป็นบุคคลที่มีความรู้ดี มีทักษะ
กระบวนการคิด การจัดการมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดี สามารถแสวงหาความรู้และพึ่งตนเอง
ทางานร่วมกับคนอ่ืนอย่างสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมและส่ิงแวดล้อม เพื่อความสงบของตนเองและสังคม
หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจะเน้นการพัฒนาจิตใจของผู้เรียนเป็นสาคัญ เพื่อให้สามารถดารงชีวิตและ
ดาเนินชีวิตท่ีดีงาม มีความคิด การปฏิบัติและการตัดสินใจด้วยตนเองอย่างถูกต้อง ควรจัดบรรยากาศการ
เรียนการสอนใหเ้ ป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ครูควรปรับเปล่ียนพฤติกรรมการสอนจากการบอก การเล่า การ
อธิบาย มาเป็นผู้จัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน วางแผนและออกแบบการเรียนให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรม
ดว้ ยตนเองตามทว่ี างแผนการเรียนรไู้ ว้ เพ่อื ให้ผ้เู รียนเปน็ ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ (กรมวิชาการ, 2545 : 1-
2)

ผู้ศึกษาได้ศึกษาสภาพปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี พบว่ากิจกรรม
ส่งเสริมให้นักเรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองตามท่ีตามแผนการ
เรียนรู้ยังมีน้อย มีผลทาให้นักเรียนขาดทักษะในการอ่าน คิด วิเคราะห์ เขียน และสร้างองค์ความรู้ด้วย
ตนเอง อีกท้ังสื่อและแหล่งเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านมีไม่เพียงพอ ขาดแรงจูงใจท่ีดีใน
การเรียนรู้

จากความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงได้มีแนวคิดในการพัฒนารูปแบบ
การจัดการเรียนรู้ในการอ่าน คิด วิเคราะห์ เขียน และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
โดยการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อใช้แก้ปัญหาและส่งเสริม
ทักษะการอ่าน การคิด การวิเคราะห์ และเขียน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น
จงั หวัดอุบลราชธานี สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ โดยแบบฝึกทักษะ
มีกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เนื้อหามีภาพประกอบส่ือความหมาย
ส่งเสริมให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน สนุกสนานในการเรียนรู้ยิ่งขึ้น ซ่ึงผู้ศึกษาคาดหวังว่านักเรียนจะมี
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น และแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ มี
ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานเหมาะสมกบั การนาไปใช้ประกอบการเรยี นการสอนต่อไป

วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา

1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80

2. เพอื่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรียนของผู้เรียนจากการเรียนโดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ น คดิ วิเคราะห์ สู่การเขยี นเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3

สมมติฐานของการศึกษา

ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี นท่ีเรียนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียน
เชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 มีผลสมั ฤทธิท์ าง การเรียนหลังเรียนสูง
กว่ากอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .01

ขอบเขตของการศกึ ษา

1. ประชากร และ กลุ่มตวั อยา่ ง
1.1 ประชากร คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี

สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
จานวน 50 คน

1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
จานวน 50 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

2. ขอบเขตด้านเน้ือหา
เนื้อหาท่ใี ช้ในการทดลอง ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์

การเขยี นเรยี งความ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
3. ระยะเวลาในการทดลอง
ระยะเวลาในการทดลอง ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
4. ตัวแปรที่ใช้ในการศกึ ษา
4.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิง

สร้างสรรค์ การเขยี นเรียงความ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3
4.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของกลมุ่ ตวั อยา่ งที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการ

อา่ น คดิ วิเคราะห์ สู่การเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์ การเขยี นเรียงความ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3

นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ

1. แบบฝึกทักษะ หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่ผู้
ศึกษาได้จดั ทาขนึ้ มลี ักษณะเปน็ สื่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน,
ใบความร,ู้ แบบฝกึ , แบบทดสอบหลังเรยี น, เฉลย และแบบประเมิน ใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนคู่
กบั แผนการจดั การเรยี นรู้ทผ่ี พู้ ฒั นาได้สร้างขึ้น

1.5 ชุดท่ี 5 การเขียนเรยี งความ
2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ หมายถึง ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน80/80 ท่ีใช้
พิจารณาว่าแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดหรือไม่ โดย
พิจารณาจากเกณฑ์ดงั ตอ่ ไปน้ี (ชัยยงค์ พรหมวงศ,์ 2536 : 495)

80 ตัวแรก หมายถงึ คะแนนเฉลีย่ ของนักเรียนทุกคนทไี่ ด้จากการทาแบบทดสอบ หลังเรียน
ของแบบฝกึ ทักษะทง้ั 5 ชุด ได้คะแนนเฉลยี่ คิดเป็นรอ้ ยละ 80 ขึน้ ไป

80 ตวั หลงั หมายถึง คะแนนเฉล่ียของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหลังเรยี น ได้คะแนนเฉล่ยี คิดเป็นรอ้ ยละ 80 ขึน้ ไป

3. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น หมายถึง ความสามารถของนกั เรียนที่เรยี นด้วยแบบฝกึ ทกั ษะการอ่าน
คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ซึ่งวัดได้จากคะแนนของ
นกั เรยี นทั้งหมดจากการทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ก่อนเรยี นและหลงั เรียน

4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ของนกั เรียนท่เี รยี นด้วยแบบฝึกทกั ษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สกู่ ารเขยี นเชิงสร้างสรรค์ ที่ผู้ศึกษาสร้างข้ึน ซ่ึง
เปน็ แบบทดสอบ แบบปรนัย ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 10 ขอ้

ประโยชนท์ จ่ี ะไดร้ บั

1. ได้แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ซ่ึงทาให้ครูมีส่ือและนวัตกรรมท่ีมี
ประสิทธิภาพนาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ สามารถแก้ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนที่เกิดจากการจัดการ
เรียนร้แู บบเดิม

2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี สานักงานเขตพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ ท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การ
เขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรียน

3. เปน็ แนวทางสาหรับครูผู้สอนที่สนใจในการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน การคิด การวิเคราะห์
และสรา้ งองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย

4. ผลจากการศึกษาเป็นข้อมูลสารสนเทศในการวางแผนจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความ
ตอ้ งการของผู้เรียนและสอดคล้องกับท้องถ่ินตอ่ ไป

5. นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียน
เรียงความ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 มีความสามารถในการใชภ้ าษาไทยตามมาตรฐานช่วงชัน้

บทที่ 2

เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง

รายงานการวจิ ัยและพฒั นาแบบฝึกทกั ษะการอ่านคิดวเิ คราะห์ สู่การเขยี นเชิงสร้างสรรค์ การเขียน
เรียงความ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้ศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ดงั นาเสนอต่อไปนี้

1. หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
2. แนวคดิ การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน
3. แบบฝกึ ทักษะ
4. การหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะ
5. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
6. งานวจิ ยั ที่เก่ยี วข้อง

หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย

ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารประกอบหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซ่ึงเป็น คู่มือ
การจัดการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ในสว่ นทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับชว่ งช้นั ท่ี 3 (ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3)
มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี (กรมวชิ าการ, 2545 : 3-30)

1. ความสาคญั ของภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ

เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ทาให้ดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นเคร่ืองมือในการ
แสวงหาความรูเ้ พม่ิ พูนประสบการณ์ เป็นส่อื ทแ่ี สดงภมู ิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณีและ
สนุ ทรียภาพ โดยบันทึกเป็นวรรณคดีอันล้าค่าควรค่าแก่การเรียนรู้ เพ่ืออนุรักษ์และสืบสานคงอยู่คู่ชาติไทย
ตลอดไป ภาษาไทยจึงมีความสาคัญจาเป็นที่คนไทยทุกคนจะต้องศึกษาและฝึกฝนจนเกิดทักษะ เพ่ือใช้
ติดต่อระหว่างชนในชาติ ซ่ึงสรุปความสาคัญไว้ดงั นี้

1.1 ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อส่ือสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและเข้าใจตรง
ตามจดุ มงุ่ หมายในการแสดงความคิด ความตอ้ งการและความร้สู กึ โดยใช้ภาษาในการสื่อความหมายไปสู่คน
อนื่ ดว้ ยการพูด การเขยี น รวมทง้ั ใช้ภาษาทาความเขา้ ใจเร่ืองราวทางด้านความคิด ความรู้สึก ความต้องการ
ของผอู้ ่นื ดว้ ยการฟงั การอา่ นและการดู

1.2 ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ ความรู้และเร่ืองราวต่าง ๆ ในอดีตทั้งส่วนบุคคล
ครอบครัว สังคมและประเทศชาติได้ถูกบันทึกและบอกเล่าต่อ ๆ กันมา คนรุ่นหลังสามารถแสวงหาความรู้
เหล่านั้นได้โดยการฟัง การอ่าน และการดู จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ภาษาจะช่วยพัฒนาสติปัญญาโดยผ่าน
กระบวนการคดิ การวเิ คราะห์ การวจิ ารณแ์ ละสังเคราะหจ์ นเกิดเป็นความรใู้ หม่

1.3 เปน็ เครอ่ื งมือเสรมิ สรา้ งความเข้าใจอันดตี อ่ กัน การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมท่ีมีสันติสุข สมาชิก
จะต้องมีความเขา้ ใจอนั ดตี ่อกัน การอ่าน การฟังและการดูช่วยในการรับรู้เร่ืองราวความรู้และประสบการณ์

ส่วนการพดู และการเขยี นช่วยให้การแสดงความคิดเหน็ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ทาให้การสื่อสารได้
ตรงความหมาย ยอ่ มจะกอ่ ให้เกิดความเขา้ ใจท่ีดีและอยู่ร่วมกันอย่างสนั ตสิ ขุ

1.4 ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติ สังคมจะเป็นปึกแผ่นเจริญมั่นคง คนใน
สังคมจะต้องมีความผูกพันต่อกันเป็นพวกพ้องเดียวกัน เพราะคนไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจาชาติเป็น
สิ่งยึดเหนี่ยวผูกพันให้เป็นเชื้อชาติเดียวกัน เกิดความเป็นเอกภาพของชาติเป็นพลังทาให้เกิดความสามัคคี
ปรองดองและร่วมมอื กนั ทีจ่ ะพัฒนาชาติไทยใหเ้ จริญกา้ วหนา้ มัน่ คงต่อไป

1.5 ภาษาไทยเป็นเคร่ืองช่วยจรรโลงจิตใจ วรรณคดีและวรรณกรรม ตลอดจนเพลงกล่อมเด็ก
เพลงพนื้ บ้าน วรรณกรรมพ้นื บ้าน บทประพันธ์ตา่ งๆ กอ่ ให้เกิดความซาบซ้งึ และภาคภมู ิใจในสิ่งที่บรรพบุรุษ
ได้ส่ังสมและสบื ทอดมาจนปจั จุบัน

2. คณุ ภาพของผู้เรียน
เมื่อจบหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานแล้ว ผู้เรียนต้องมีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม

จรยิ ธรรม และคา่ นิยม ดังน้ี
2.1 สามารถใชภ้ าษาสือ่ สารได้อย่างดี
2.2 สามารถอา่ น เขียน ฟงั ดู และพดู ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
2.3 มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ คดิ อยา่ งมีเหตุผลและคดิ เปน็ ระบบ
2.4 มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน การแสวงหาความรู้และใช้ภาษาในการพัฒนาตน และ

สร้างสรรค์งานอาชพี
2.5 ตระหนักในวัฒนธรรมการใช้ภาษาและความเป็นไทย ภูมิใจและช่ืนชมในวรรณคดีและ

วรรณกรรมซงึ่ เปน็ ภูมิปัญญาของคนไทย
2.6 สามารถนาทักษะทางภาษามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง

ตามกาลเทศะและบุคคล
2.7 มมี นุษยสมั พันธท์ ีด่ ี และสรา้ งความสามคั คใี นความเป็นความเป็นชาติไทย
2.8 มีคุณธรรมจริยธรรม มวี ิสัยทศั น์ โลกทัศนท์ ่กี วา้ งไกลและลึกซ้งึ
เมื่อจบแต่ละช่วงชั้น ผู้เรียนต้องมีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม

ดังน้ี
ชว่ งชน้ั ท่ี 3 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
1) อ่านอย่างมสี มรรถภาพและอ่านไดเ้ รว็ ยิ่งขน้ึ
2) เข้าใจวงคาศัพท์ที่กว้างขวางขึ้น สานวนและโวหารท่ีลึกซ้ึง แสดงความคิดเห็นเชิง

วเิ คราะห์ ประเมินค่าเรอื่ งทอ่ี า่ นอยา่ งมีเหตุผล
3) เลือกอ่านหนงั สือและส่ือสารสนเทศจากแหล่งเรียนรู้ไดก้ ว้างขวางตามจุดประสงค์
4) เขียนเรยี งความ ย่อความ และจดหมาย เขียนอธิบาย ชี้แจ้ง รายงาน เขียนแสดงความ

คิดเห็น แสดงการโต้แยง้ และเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์
5) สรปุ ความ จับประเด็นสาคัญ วเิ คราะห์ วินิจฉัยข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และจุดประสงค์

ของเรอื่ งทฟี่ งั และดู
6) รจู้ กั เลือกใช้ภาษาเรยี บเรยี งขอ้ ความไดอ้ ยา่ งประณตี จดั ลาดับความคิด ขึ้นตอนในการ

นาเสนอตามรปู แบบของงานเขียนประเภทต่าง ๆ

7) พูดนาเสนอความรู้ ความคิด การวิเคราะห์และการประเมินเร่ืองราวต่าง ๆ พูดเชิญ
ชวน อวยพร และพูดในโอกาสต่าง ๆ อย่างเหมาะสม

8) เขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษาและการนาภาษาตา่ งประทศมาใช้ในภาษาไทย
9) ใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น สร้างความเข้าใจ โน้มน้าวใจ ปฏิเสธ เจรจาต่อรองด้วย
ภาษาและกริ ยิ าทา่ ทางท่ีสภุ าพ
10) ใช้ทักษะทางภาษาในการแสวงหาความรู้ การทางาน และใช้อย่างสร้างสรรค์เป็น
ประโยชน์
11) ใช้หลักการพินิจวรรณคดีและวรรณกรรม พิจารณาวรรณคดีและวรรณกรรมให้เห็น
คุณค่าและนาประโยชนไ์ ปใชใ้ นชวี ติ
12) แต่งกาพย์ กลอน และโคลง
13) ทอ่ งจาบทร้อยกรองท่ไี พเราะ และนาไปใชก้ ล่าวอ้างในการพูดและการเขยี น
14) รอ้ งเล่นหรอื ถา่ ยทอดเพลงพื้นบ้านและบทกล่อมเด็กในท้องถ่นิ
15) มีมารยาทในการอา่ น การเขยี น การฟงั การดู และการพดู
16) มีนสิ ัยรักการอ่าน การเขยี น
คณุ ภาพของผู้เรียนทก่ี าหนดใหแ้ ต่ละชว่ งช้นั นั้น เป็นคุณภาพทต่ี ้องการให้เกิดกับผู้เรียน แต่ท้ังนี้
ในการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนจะต้องฝึกทักษะต่าง ๆ ตามท่ีกล่าวไว้ในช่วงชั้นต้น ๆ ด้วย เพื่อให้
ผเู้ รยี นมีทักษะทางภาษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทยมดี ังนี้
สาระที่ 1การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 : ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา

และสรา้ งวิสยั ทศั นใ์ นการดาเนนิ ชวี ติ และมนี ิสัยรักการอา่ น
สาระที่ 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.1 : ใช้กระบวนการเขียน เขียนสือ่ สาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ และเขียน

เร่ืองราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี
ประสิทธิภาพ

สาระที่ 3 การฟงั การดู และการพดู
มาตรฐาน ท 3.1 : สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้
ความคดิ ความรสู้ ึกในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและสร้างสรรค์

สาระท่ี 4 หลกั การใชภ้ าษา
มาตรฐาน ท 4.1 : เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ
ภาษาและพลังของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ
มาตรฐาน ท 4.2 : สามารถใช้ภาษาแสวงหาความรู้ เสริมสร้างลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ
และความสมั พันธร์ ะหวา่ งภาษากับวัฒนธรรม อาชีพ สงั คม และชวี ิตประจาวนั

สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 : เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย
อยา่ งเหน็ คณุ คา่ และนามาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ จรงิ

4. มาตรฐานการเรยี นรชู้ ่วงชนั้
มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ันเป็นผลการเรียนรู้ท่ีต้องการหรือคาดหวังให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน

หลังจากทไี่ ดผ้ า่ นกระบวนการเรียนรู้ภาษาไทยในแต่ละชว่ งช้ัน

ตารางท่ี 2.1 โครงสรา้ งหลกั สตู รมาตรฐานการเรียนรชู้ ว่ งชัน้

มาตรฐานการเรยี นรู้ช่วงช้นั ที่ 3 (ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3)

สาระที่ 1 : การ

อ่าน 1. สามารถอ่านอย่างมสี มรรถภาพและอ่านได้เร็วยงิ่ ขน้ึ เข้าใจวงคาศัพทก์ ว้างขวางขน้ึ เขา้ ใจสานวน

มาตรฐาน ท และโวหาร การบรรยาย การพรรณนา อธิบายอปุ มา และสาธก สามารถใช้บรบิ ทการอ่าน สรา้ ง

1.1 : ใช้ ความเขา้ ใจการอ่าน และใชแ้ หลง่ ความรพู้ ฒั นาประสบการณแ์ ละความรู้กวา้ งขวางขึ้น นาความรู้

กระบวนการ และประสบการณม์ าใช้ตัดสนิ ใจและการแกป้ ญั หา สร้างวสิ ัยทัศนใ์ นการดาเนินชวี ติ

อา่ นสรา้ ง 2. สามารถแสดงความคิดเหน็ เชิงวเิ คราะห์เรื่องท่ีอา่ น ประเมินคา่ ท้ังข้อดีและข้อด้อยอยา่ งมเี หตผุ ล

ความรู้และ โดยใชแ้ ผนภาพความคิด และกระบวนการคดิ วิเคราะหอ์ ยา่ งหลากหลายพัฒนาการอ่าน สามารถ

ความคิดไปใช้ เลา่ เรื่อง ยอ่ เร่ือง ถ่ายทอดความรู้ ความคดิ จากการอา่ นไปใชเ้ ป็นประโยชน์ในการดาเนนิ ชวี ิต

ตัดสนิ ใจ และใชก้ ารอ่านในการตรวจสอบความรู้

แก้ปญั หาและ 3. สามารถอา่ นในใจและอ่านออกเสียงตามลกั ษณะคาประพนั ธท์ ีห่ ลากหลาย และวิเคราะห์คุณคา่

สรา้ งวสิ ัยทศั น์ ดา้ นภาษา เนือ้ หา และสังคม จาบทประพันธท์ ่มี ีคุณคา่ นาไปใชอ้ า้ งอิงได้ เลือกอา่ นหนังสือและส่ือ

ในการดาเนนิ สารสนเทศ ทั้งสอื่ สิง่ พมิ พ์และส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์อยา่ งกว้างขวาง เพ่ือพัฒนาตนด้านความรู้และ

ชีวิต และมนี ิสัย การทางาน มีมารยาทการอา่ นและนิสัยรกั การอ่าน

รักการอ่าน

ตารางที่ 2.2 โครงสรา้ งหลักสูตรมาตรฐานการเรยี นรู้ชว่ งชน้ั (ตอ่ )

มาตรฐานการเรยี นรชู้ ่วงชัน้ ท่ี 3 (ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3)

สาระที่ 2 : การเขยี น 1. สามารถเขียนเรยี งความ ย่อความ เขยี นอธบิ าย ชี้แจง

มาตรฐาน ท 2.1 : ใชก้ ระบวนการเขยี น แสดงความคดิ เห็น แสดงการโต้แยง้ เขียนรายงาน

เขียนสอ่ื สาร เขียนเรยี งความ ย่อความ และเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ รวมทัง้ ใชก้ ระบวนการเขียน

และเขยี นเร่ืองราวในรปู แบบตา่ ง ๆ พัฒนางานเขยี น

เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และ 2. มมี ารยาทการเขียนและนสิ ัยรักการเขยี น และ

รายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมี การศึกษาคน้ คว้า รู้จักเลือกใชภ้ าษา เรยี บเรียง

ประสิทธิภาพ ข้อความได้อยา่ งประณตี สนใจการศกึ ษาค้นควา้

รวบรวมบนั ทึกข้อมลู นาวธิ ีการของแผนภาพ ความคดิ

จัดลาดบั ความคิดและพฒั นางานเขียนตามขัน้ ตอนใน

การนาเสนอในรูปแบบของงานเขยี นประเภทตา่ ง ๆ

สาระท่ี 3 : การฟงั การดู และการพูด

มาตรฐาน ท 3.1 : สามารถเลอื กฟงั และ 1. สามารถสรุปความ จบั ประเด็นสาคัญ วเิ คราะห์

ดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดง วนิ จิ ฉัยขอ้ เท็จจรงิ ข้อคดิ เห็นและจุดประสงค์ของเรื่อง

ความรู้ ความคิด ความรูส้ กึ ในโอกาสต่าง ที่ฟงั และดู สังเกตการใช้นาเสียง กิริยาทา่ ทาง การใช้

ๆ อย่างมวี จิ ารณญาณและสร้างสรรค์ ถ้อยคาของผู้พูด และสามารถแสดงทรรศนะจากการ

ฟังและดูส่ือรูปแบบต่าง ๆ อย่างมวี จิ ารณญาณ

2. สามารถพูดนาเสนอความรู้ ความคดิ การวเิ คราะห์

และการประเมนิ เร่ืองราวต่าง ๆ พดู เชิญชวน อวยพร

และพูดในโอกาสต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม มีเหตุผล ใช้

ภาษาถกู ต้องชัดเจน นา่ ฟังตามหลกั การพดู มมี ารยาท

การฟัง การดู และการพูด

ตารางท่ี 2.3 โครงสรา้ งหลกั สูตรมาตรฐานการเรยี นรชู้ ว่ งช้ัน (ตอ่ )

มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ันที่ 3 (ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3)

สาระที่ 4 : หลกั การใชภ้ าษา

มาตรฐาน ท 4.1 : เข้าใจธรรมชาติของ 1. เขา้ ใจการสร้างคาไทยตามหลักเกณฑ์ของภาษา

ภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียน 2. สามารถใชป้ ระโยคสามัญและประโยคซบั ซ้อนในการ

แปลงของภาษาและพลงั ของภาษา สื่อสารได้ชดั เจนและสละสลวย

ภูมิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไว้ 3. สามารถใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น สรา้ งความเขา้ ใจ

เป็นสมบตั ขิ องชาติ โนม้ น้าวใจ ปฏิเสธเจรจาตอ่ รองด้วยภาษาและกริ ยิ า

ท่าทางทีส่ ภุ าพ ใชค้ าราชาศัพท์ไดถ้ ูกต้องตามฐานะ

ของบุคคล คดิ ไตรต่ รองและลาดับความคดิ ก่อนพดู

และเขียน

4. เขา้ ใจธรรมชาติของภาษา การนาคาภาษาตา่ งประเทศ

มาใช้ในภาษาไทย ทาให้ภาษาไทยมวี งคาศัพท์เพ่ิมขน้ึ

ตามความเจรญิ ทางวชิ าการและเทคโนโลยี

5. สามารถแตง่ บทร้อยกรองประเภทกาพย์ กลอน และ

โคลงโดยแสดงความคิดเชิงสร้างสรรค์

6. สามารถร้องเล่นหรอื ถา่ ยทอดเพลงพื้นบา้ น และ

บทกล่อมเด็กในท้องถน่ิ อยา่ งเห็นคุณค่า

ตารางท่ี 2.4 โครงสรา้ งหลักสตู รมาตรฐานการเรยี นรชู้ ่วงช้ัน (ต่อ)

มาตรฐานการเรยี นรู้ช่วงช้นั ท่ี 3 (ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3)

มาตรฐาน ท 4.2 : สามารถใช้ภาษา 1. สามารถใช้ทักษะทางภาษาในการแสวงหาความรู้

แสวงหาความรู้ เสรมิ สร้างลกั ษณะนสิ ยั ระดมความคิด การประชุม การวเิ คราะห์ การประเมิน

บคุ ลิกภาพ และความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง การทางานและใช้เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาความรู้

ภาษากบั วัฒนธรรม อาชพี สงั คม และ และใช้ในชีวติ ประจาวัน

ชวี ิตประจาวนั 2. เขา้ ใจระดับของภาษาท่ีเป็นทางการและภาษาท่ีไม่เป็น

ทางการและใชภ้ าษาพูดและภาษาเขยี นไดถ้ ูกตอ้ งตาม

หลกั การใช้ภาษา ใชภ้ าษาในกลุม่ สาระการเรียนรตู้ า่ ง

ๆ ในการพัฒนาความรู้ เหน็ คุณค่าการใช้ตัวเลขไทย

3. ใชภ้ าษาอย่างสร้างสรรค์ เปน็ ประโยชนต์ ่อส่วนรวม

และพฒั นาบุคลิกภาพ สอดคลอ้ งกับขนบธรรมเนยี ม

ประเพณแี ละวฒั นธรรม ยกย่องผใู้ ชภ้ าษาไทยอย่างมี

คณุ ธรรมและวฒั นธรรม เข้าใจการใช้ภาษาของกลุ่ม

บคุ คลในวงการต่าง ๆ ในสงั คม

สาระท่ี 5 : วรรณคดแี ละวรรณกรรม

มาตรฐาน ท 5.1 : เขา้ ใจและแสดง 1. สามารถอ่านบทกวีนิพนธป์ ระเภท กลอน โคลง กาพย์

ความคิดเหน็ วจิ ารณว์ รรณคดแี ละ บทละคร บทกวีร่วมสมัย และ วรรณกรรมประเภท

วรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคณุ คา่ และ เร่อื งสน้ั นวนิยาย สารคดี บนั ทึก บทความพงศาวดาร

นามาประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจริง และสามารถเลือกอ่านได้ตรงจดุ ประสงคข์ องการอ่าน

ใชห้ ลกั การพนิ ิจวรรณคดี และวรรณกรรม พิจารณา

คุณค่าท้ังดา้ นวรรณศิลป์เนอ้ื หา และคุณค่าทางสังคม

และนาไปใชใ้ นชีวติ จรงิ

แนวคดิ การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน

1. แนวความคดิ ในการจดั การเรยี นรู้ท่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ
การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ หรือศูนย์กลาง หมายถึงการจัดสภาพการณ์ของการ

เรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนมีบทบาท หรือมีส่วนร่วมอย่างต่ืนตัว (Active Participation) ท้ังด้านร่างกาย
ความคดิ (สตปิ ัญญา) ความรสู้ กึ (อารมณ)์ และการมปี ฏิสัมพนั ธก์ บั ผู้อ่ืน (สงั คม) ในกระบวนการเรียนรู้ โดย
มบี ทบาทดังกล่าวมากกวา่ ครผู สู้ อน (ทศิ นา แขมมณ,ี 2545 : 121)

การเรียนรู้ท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคัญ เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นให้ผู้เรียนเป็นจุดสนใจ หรือเป็นส่ิง
ท่ีสาคัญท่ีสุด หรือจาเป็นต้องคานึงถึงมากท่ีสุดในกระบวนการเรียนการสอน ผู้เรียนควรได้มีโอกาสลงมือ
ปฏบิ ตั หิ รือกระทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง โดยผสู้ อนตอ้ งยอมรับในระดับความสามารถ พัฒนาการ และ
รปู แบบการเรียนรูท้ ี่แตกตา่ งกันของผูเ้ รียนและนาขอ้ มูลดงั กล่าวมาใช้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการ
สอนอยา่ งเหมาะสม

ในการจดั กระบวนการเรียนร้ทู ีเ่ น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั มีหลกั การที่ต้องคานงึ ถึง ดังนี้
1) การเรียนรู้ต้องมีคุณค่า และมีความหมายต่อผู้เรียน รวมตลอดถึงสัมพันธ์กับ

ประสบการณเ์ ดิมของผู้เรยี น กล่าวคอื การเรยี นรู้จะมีความหมายตอ่ ตัวเดก็ เม่ือเดก็ ได้เรียนรู้ในส่ิงที่ตนสนใจ
และสามารถสร้างสมั พนั ธ์ หรอื เชอื่ มโยงตอ่ สิ่งต่าง ๆ ได้

2) การเรียนรู้ความมุ่งเน้นให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงอย่างสม่าเสมอและต่อเน่ือง เด็กควร
ได้รับการสง่ เสริมใหม้ ีสว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยผ่านการทดลอง การสารวจ และการทางานร่วมกับ
เพอื่ น เดก็ จาเปน็ ต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณต์ รงท่สี มั พนั ธก์ บั ชีวิตประจาวนั ของตน

3) การเรียนรู้มุ่งเน้นที่ความสนใจ และความสามารถของเด็กรวมตลอดถึงส่งเสริมให้เด็ก
สรา้ งสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ของตนเอง

4) การเรียนรู้มุ่งเน้นท่ีกระบวนการ (Process) มากกว่าผลผลิต (Product) เช่น ในการ
ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเขียนของเด็ก ครูควรมุ่งเน้นที่การแสดงออกซ่ึงกระบวนการคิดมากกว่าการ
สะกดคาทีถ่ ูกตอ้ ง

5) การประเมินผลผู้เรียน ควรใช้เทคนิคการประเมินผลหลากหลายรูปแบบประกอบกัน
ต้ังแต่การสังเกต การสัมภาษณ์ พูดคุย การใช้แบบประเมินผลพัฒนาการ และการใช้แฟ้มผลงานเด็ก ท้ังนี้
เพื่อใหไ้ ดข้ ้อมลู ทต่ี รงกบั ความเปน็ จริงให้มากทีส่ ดุ

6) การจดั การเรยี นการสอนควรม่งุ เนน้ ที่ความคิดสรา้ งสรรค์ของเด็ก และหลีกเลี่ยงการสอน
ท่ีเรง่ รดั เด็ก หรอื การใหเ้ ดก็ ทาแบบฝึกหัดเป็นประจา เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้ตั้งปัญหา และเรียนรู้การ
แกป้ ัญหาด้วยตนเอง

2. ความสาคัญของการพฒั นากระบวนการคิด
มนุษย์มีความสามารถในการคิดสิ่งต่าง ๆ และการคิดเกิดข้ึน และดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง

ตลอดเวลาแม้ว่าบุคคลจะตระหนักในกระบวนการคิดของตนหรือไม่ก็ตาม ความสามารถในการคิดของ
มนุษย์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไป บุคคลมักคิดเก่ียวกับโลกรอบตัว ซ่ึงรวมถึงการพยายาม
ทาความเข้าใจ และตีความหมายของส่ิงแวดล้อมรอบตัว ส่ิงที่เราต้องการให้เป็น และสิ่งที่เราไม่ต้องการให้
เกิดขึ้น ความคาดหวังของบุคคลต่อโลกรอบตัวจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ท้ังน้ีเป็นผลมาจาก

ประสบการณ์ หรอื การสรา้ ง (Construct) ขอ้ มูลความรู้ ส่ิงท่ีเรารู้ในปัจจุบันจะไม่เป็นท่ีเข้าใจได้ถ้าขาดการ
เชื่อมโยงกับสิ่งที่เรารู้ในอดีต และปัจจุบันปราศจากความหมาย ถ้าเราไม่สามารถเช่ือมโยงกับอนาคต
(Smith, 1992)

เด็กเล็ก ๆ มีกระบวนการคิดเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ กล่าวคือเด็กสามารถเรียนรู้ จา สร้างความคิด
รวบยอด และส่อื สารสง่ิ ทต่ี นคิด แต่กระบวนการคิดของเด็กอาจไม่ซับซ้อนเท่ากับผู้ใหญ่ และวิธีการคิดอาจ
แตกต่างจากผู้ใหญ่ท้งั น้ีโดยขึน้ อยูก่ บั ประสบการณ์ท่เี ด็กได้รบั

นกั ภาษาศาสตร์ Frank Smith (1992) กลา่ ววา่ การคิดถอื เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจาวัน ท้ังนี้
เพราะมนุษย์ใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การคิดดูจะเป็นเรื่องยากเม่ือเกิดข้ึนใน
บรบิ ทซ่งึ ไม่มคี วามหมายต่อตัวผู้คิด การคิดของมนุษย์แตกต่างจากการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ัวไป
กล่าวคือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถจัดการกับข้อมูลจานวนมากได้ และผลลัพธ์ที่ออกมามักจะมีความ
แน่นอนโดยข้ึนกับข้อมูลที่ใส่เข้าไป แต่กระบวนการคิดของมนุษย์จะทางานได้ดีท่ีสุดถ้าส่ิงที่มนุษย์คิดนั้นมี
ความหมายต่อตนเอง และเป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจาวัน กระบวนการคิดของมนุษย์
ไม่สามารถทางานได้กับข้อมูลที่แยกเป็นส่วน ๆ ซึ่งแตกต่างจากการทางานของเคร่ืองคอมพิวเตอร์
นอกจากนั้น มนุษย์ยังใช้การคิดในการสร้างองค์ความรู้ ข้อมูล จินตนาการตรวจสอบทางเลือก ตัดสินใจ
รวมตลอดถึงขยายผลสิ่งที่ตนรับรู้ได้ คอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือช้ินหนึ่งท่ีมนุษย์สามารถใช้ในการ
กระตุ้นการคดิ

การคิดเป็นกิจกรรมด้านสติปัญญาซึ่งช่วยมนุษย์ในการแก้ปัญหา ตัดสินใจ และเข้าใจ
ความหมายของส่ิงต่าง ๆ อยู่นั้น เรามักจะตระหนักหรือรตู้ วั (Conscious) อย่างไรก็ตาม การคิดก็ดาเนินไป
ในขณะท่ีเราไม่รู้ตัว (Unconscious Process) ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น เรายังพบอีกว่าการคิดเป็นเป็น
กจิ กรรมสว่ นบุคคลและของแต่ละคน แต่การคิดท่ีดีน้ันมักไม่ได้เกิดข้ึนตามลาพัง เราต้องการเพ่ือนหรือกลุ่ม
มาช่วยคิด เราไม่สามารถอยู่อย่างโดดเด่ียว และจมอยู่ในโลกของความคิดของตนเองได้ตลอดเวลา การคิด
เกิดข้นึ ในบรบิ ทของสงั คม และไดร้ บั อทิ ธิพลจากวฒั นธรรม และส่ิงแวดลอ้ มในสงั คมที่บุคคลนั้น ๆ อาศัยอยู่
ดงั น้ัน การเรียนรู้ทจ่ี ะคดิ จงึ ไมไ่ ด้เกิดข้ึนอย่างโดดเดย่ี ว เดก็ เรยี นรูท้ ่ีจะคดิ จากสง่ิ แวดลอ้ มรอบตนเอง

3. ความสาคญั ของการอา่ น
การอา่ นถอื เปน็ ทกั ษะสาคญั ท่ีชว่ ยพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของคน และสังคมให้ดีขึ้น ท้ังนี้เพราะการ

อ่านเป็นอีกหนทางหน่ึงท่ีช่วยให้ผู้อ่านสามารถ “สร้างองค์ความรู้” และ “วิถีแห่งการเรียนรู้” ท่ีสามารถ
นาไปใชใ้ นการดารงชวี ิต

โดยทั่วไปแล้ว การอ่านประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 อย่างคือ การสะกดคา (Decoding the
Words) และการเข้าใจความหมายของคา ในการอ่าน เราไม่ได้ต้องการให้เด็กสะกดคา หรือเข้าใจ
ความหมายของคา แต่ละคาได้เพยี งเทา่ น้ัน แต่เด็กจาเป็นต้องเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นในเน้ือเรื่องท่ีอ่าน
จะต้องสร้างองค์ความรู้ (Text) จะให้ข้อมูลเพียงบางส่วนแก่ผู้อ่าน แต่ผู้อ่านจะต้องสร้างองค์ความรู้ และ
ตีความหมายส่วนท่เี หลือด้วยตนเองกลา่ วโดยสรปุ คือการอา่ นเป็นกระบวนการ 2 ทางซ่งึ ประกอบดว้ ย

1) สิ่งที่ผู้อ่านนามาสู่หนังสือ อันได้แก่ ทักษะการคิด ประสบการณ์ทางภาษา และความรู้
เดิม

2) สิง่ ทีผ่ ้อู า่ นได้รับจากหนังสือ ไดแ้ ก่ ความหมาย วัตถปุ ระสงค์และความเข้าใจ

การอ่านเป็นกิจกรรมด้านการคิดซ่ึงประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) อัน
หมายรวมถึงการสะกดคา การตีความหมายของคา และการคิดสร้างสรรค์ เช่น การใช้จินตนาการ การ
แกป้ ัญหา เปน็ ตน้ นักอ่านท่ีดีน้ันนอกจากจะรู้เก่ียวกับคาต่าง ๆ ท่ีอ่านแล้ว ยังต้องเข้าใจความหมายท่ีซ่อน
เร้นของสิ่งที่อ่านอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า นักอ่านท่ีดีจะต้องเป็นนักแก้ปัญหาท่ีดีด้วย การอ่านไม่ใช่เป็น
เพียงกระบวนการสะกดคาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องเท่าน้ัน แต่ยังครอบคลุมถึงการตีความ และเข้าใจ
ความหมายของส่งิ ทีอ่ า่ นในภาพรวมด้วย

ในการสง่ เสริมการเรียนร้ขู องเดก็ เราจาเปน็ ต้องพัฒนาความร้ดู า้ นการอ่านของเด็กโดยการท่ีครู
หรือพ่อแม่ ผู้ปกครองอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวัน ขณะที่อ่าน ควรช้ีนิ้วตามตัวหนังสือประกอบไปด้วย
เพ่ือใหเ้ ดก็ สามารถเช่อื มโยงไดว้ า่ ตวั หนงั สือท่ีเห็นนั้นมีความหมาย หลังการอ่านทุกคร้ัง ครู หรือพ่อแม่ควร
พูดคุย สนทนากับเด็กเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือโดยพยายามเชื่อมโยงให้สัมพันธ์กับเหตุการณ์ใน
ชีวิตประจาวันของเด็กและกระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดเห็นต่อเน้ือเรื่องที่อ่านด้วย (นภเนตร ธรรมบวร,
2551 : 133)

กล่าวโดยสรปุ การอา่ นกอ่ ให้เกิดประโยชน์ตา่ ง ๆ แก่ผู้อา่ น ดังน้ี
1) การอา่ นชว่ ยให้ผอู้ ่านค้นพบแนวคิดที่ดี ท่ีจะนาไปประยุกต์เปน็ ความคดิ ของผู้อ่านได้
2) การอ่านช่วยให้ผู้อ่านได้สาระความรู้มากกว่าการหาความรู้ในวิถีอื่น ๆ ทั้งน้ีเพราะผู้อ่าน

สามารถอ่านเพอ่ื ค้นหาความรู้ได้โดยไมจ่ ากัดเวลาและสถานที่
3) การอ่านช่วยพฒั นาให้เกิดกระบวนการคิด และจินตนาการอันเป็นการส่งเสริมให้สมองดี

มีสมาธิ เพราะขณะท่ผี ู้อ่านอ่านจะพินิจพิเคราะห์ และวินิจฉัยเนื้อหาสาระไปพร้อม ๆ กัน แล้วนาไปปฏิบัติ
เพอ่ื ให้เกิดผลดีต่อชวี ติ ของตนเอง ครอบครัว และสังคมโดยรวม

3. ความสาคัญของการวิเคราะห์
การวิเคราะห์ เป็นกระบวนการเรียนรู้ในการจาแนก แยกแยะส่ิงท่ีเห็น สิ่งท่ีพบ ส่ิงที่ได้ยิน สิ่งท่ี

สมั ผัส ส่ิงทีช่ มิ รส หรอื ส่งิ ทดี่ มกลน่ิ แล้วแยกออกด้วยความคิดถึงท่ีมาของสิ่งต่าง ๆ ท่ีได้เรียนรู้ว่าคืออะไร มี
องค์ประกอบอย่างไร เช่ือมโยงและสัมพันธ์กันอย่างไร กระบวนการเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนเกิดการวิเคราะห์
จะนาสู่การค้นหาความเป็นจริงจากสิ่งที่พบและได้สัมผัสว่าประกอบด้วยอะไร เหมือนหรือแตกต่างจากส่ิง
อนื่ อยา่ งไรและเกิดจากปัจจัยใด

การวิเคราะห์ จึงเป็นกระบวนการคิดในเชิงลึกที่ผู้เรียนต้องมีความสามารถ และมีทักษะในการ
ตั้งสมมุติฐาน การสังเกต การสืบค้นและการหาความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยง จนเกิดการตีความถึงท่ีมาที่ไปของ
ส่ิงนัน้ ๆ อย่างมีเหตมุ ีผล เชน่ เมือ่ มีเหตุการณห์ น่ึงเกิดขึ้น เราต้องสร้างระบบความคิดเชงิ วเิ คราะห์ว่า

ใคร  อยใู่ นสถานการณ์
 นา่ จะเกย่ี วข้อง
 นา่ จะทาใหเ้ กิดสถานการณน์ ้ี
 ได้ / เสียประโยชน์

อะไร  ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้
 คือ หลักฐานสาคญั / เพราะเหตุใด

ทีไ่ หน  สถานการณเ์ กิดขึ้นท่ีใด
 เหตผุ ลทีเ่ กิดทสี่ ถานทีน่ ้ัน ๆ

เม่ือไร  สถานการณเ์ กดิ ขึน้ เมื่อไร
 เวลาทเ่ี กิดบอกอะไรไดบ้ ้าง
 เหตใุ ดตอ้ งเกิดในชว่ งเวลาน้ี

ทำไม  สถานการณ์น้จี ึงเกดิ
 เกิดทน่ี ่ี
 เกดิ เวลานี้
 เกดิ กบั คน ๆ นี้ / กลุ่มนี้

อย่ำงไร  สถานการณ์เกิดไดอ้ ย่างไร
 ผู้ทาทาอย่างไร
 สิ่งใด / คนใดเก่ยี วข้องกับสถานการณ์นี้อย่างไร

4. ความสาคัญของการเขยี น
การเขียน เป็นกระบวนการถ่ายทอดในรูปแบบการบันทึกด้วยตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ เพ่ือ

นาเสนอความรู้ถ่ายทอดเผยแพร่ความคิดอธิบายถึงความรู้สึก และบอกถึงความต้องการของผู้เขียน
ให้ผู้อา่ นเกิดความเขา้ ใจถงึ ความรู้ ความคดิ ความรูส้ กึ และความต้องการเหล่านัน้

นอกจากนก้ี ารเขียน ยังมีจุดมงุ่ หมายในการสอ่ื สาร เพือ่
1) การแสดงความคิดเห็น
2) การอธิบาย
3) การเล่าเร่ืองราว
4) การโฆษณาชวนเช่ือ เพือ่ จูงใจและโน้มน้าวใหผ้ ู้อ่านคล้อยตาม
5) การสร้างจินตนาการ

การเขียน จึงถือเป็นกระบวนการสื่อสาร อีกกระบวนการหน่ึงท่ีสาคัญ และจาเป็นต่อการใช้
ชีวิตประจาวันในปัจจุบันท้ังการบันทึกความรู้ บันทึกความเป็นไป บันทึกสถานการณ์ การเขียนจดหมาย
การทาสัญญา การเขียนคาโฆษณาชวนเช่ือ การประกาศ รวมท้ังการสื่อสารเพ่ือตอบสนองความต้องการ
อ่ืน ๆ อกี มากมาย

สรปุ ได้ว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่เี นน้ ผู้เรียนเป็นสาคัญนาสู่การพัฒนาความสามารถในการอ่าน
คิดวิเคราะห์ เขียน และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการจัดการเรียนการสอน ต้องคานึงถึง
ความสามารถของเดก็ แต่ละคนทมี่ กี ารเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยข้ึนกับพัฒนาการในแต่ละวัย การที่
เด็กจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียนการสอน ก็ต่อเม่ือการเรียนการสอนที่จัดขึ้นน้ัน เหมาะสมและ
สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของเด็ก ครูผู้สอนจาเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมที่จะรับฟัง

ความคิดเห็นของเด็ก ไม่มุ่งถ่ายทอดเนื้อหา ความรู้ที่ตนเตรียมมา เพียงอย่างเดียว การที่ครูได้รับทราบ
ความคิดเห็นของเด็ก จะช่วยให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความ
ต้องการ และความสนใจของเด็กแต่ละคน นอกจากน้ันครูจาเป็นต้องเป็นผู้ท่ีมีทักษะในการถามคาถามท่ีดี
เพ่ือท้าท้ายความคิด หรือประสบการณ์เดิมของเด็กโดยการถามคาถามเกี่ยวกับส่ิงที่เด็กคิดหรือรู้ อีกทั้งครู
ยงั ต้องเปน็ นักแกป้ ญั หาท่ีดี ท้ังน้เี พือ่ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเน้ือหาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรเข้าด้วยกันให้
ไดอ้ ย่างแนบเนียน

แบบฝกึ ทกั ษะ

ผู้ศกึ ษาไดศ้ ึกษาเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ งกับแบบฝึกทักษะ มรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี

1. ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ
คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2534 : 167) มีความเห็นว่าแบบฝึกเป็นสื่อการเรียน

ประเภทหน่งึ สาหรับให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบตั ิ เพอ่ื ให้เกดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจและทักษะเพิ่มขึ้นมีหลักในการฝึก
ทักษะดังน้ี

1.1 ก่อนการฝึกควรให้ผ้เู รยี นเข้าใจและทราบเหตผุ ลทีต่ อ้ งฝึก การฝึกอย่างไม่เข้าใจความหมาย
อาจไมท่ าใหเ้ กิดทกั ษะ

1.2 การฝึกควรให้ผู้เรียนได้รับการฝึกตามข้ันตอนที่ถูกต้อง ภายใต้การแนะนา ถ้าฝึกทักษะผิด
ๆ จะทาให้เสยี เวลาเป็นอย่างมากในการแกไ้ ข

1.3 ช่วงเวลาในการฝึกส้ัน ๆ บ่อย ๆ ด้วยแบบฝึกท่ีคัดแล้วเป็นอย่างดีจะมีประสิทธิภาพกว่า
การฝึกชว่ งยาว ๆ ซึง่ ผู้เรยี นเบือ่ หนา่ ยไมส่ นใจ

1.4 กิจกรรมการฝึกควรจะหลากหลาย นอกจากแบบฝึกต่าง ๆ แล้ว อาจใช้ เกม ปัญหา หรือ
กิจกรรมอืน่ ๆ บา้ ง

1.5 การฝึกอยา่ งมจี ดุ หมายจะเกดิ ประโยชน์มาก ถ้าผู้เรียนเห็นคุณค่าและความจาเป็นของส่ิงท่ี
เรยี น หรอื ฝึกโดยอาจใชก้ ารทดสอบ หรอื วิธกี ารอน่ื เพือ่ ชใี้ หเ้ หน็ ผลท่เี กดิ ขน้ึ ภายหลัง การฝึก

1.6 การฝึกควรสัมพันธ์กับความมีเหตุผล ขณะฝึกควรให้ผู้เรียนใช้ความคิดหาเหตุผลควบคู่
ไปได้

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2537 : 490) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกเป็นคู่มือนักเรียนที่
นักเรียนต้องใช้ควบคู่ไปกับการเรียนการสอน เป็นส่วนท่ีนักเรียนบันทึกสาระสาคัญและทาแบบฝึกหัดด้วย
มีลกั ษณะคลา้ ยกับ “แบบฝกึ หัด” แตค่ รอบคลุมกจิ กรรมที่ผเู้ รยี นพงึ กระทามากกว่า แบบฝึกหัดอาจกาหนด
แยกเป็นแต่ละหน่วยเรียน เรียกกว่า “Worksheet” หรือกระดาษคาตอบ ซึ่งผู้เรียนต้องถือติดตัวเวลา
ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ หรืออาจรวมเป็นเล่ม เรียกว่า “Workbook” โดยเย็บรวมเรียงตามลาดับตั้งแต่
หน่วยท่ี 1 ข้ึนไป แบบฝึกปฏิบัติเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้เรียนแต่ต้องเก็บไว้ท่ีชุดการสอนเป็นตัวอย่างที่ 1
ชดุ เสมอ

สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนท่ีสร้างข้ึนเพื่อให้นักเรียนได้ ฝึกปฏิบัติ
ดว้ ยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น โดยท่ีกิจกรรมท่ีได้ปฏิบัติในแบบฝึกน้ันจะครอบคลุมเนื้อหาท่ี
ไดเ้ รียนไปแล้ว จะทาให้นักเรยี นมคี วามรแู้ ละมีทกั ษะมากขน้ึ เพราะมรี ปู แบบหรือลักษณะทหี่ ลากหลาย

2. ประโยชน์ของแบบฝึก
ยพุ า ย้ิมพงษ์ (2532 : 27) ได้กล่าวถงึ ประโยชนข์ องแบบฝึกทกั ษะ สรุปไดด้ งั นี้
2.1 เป็นส่วนเพ่มิ เติมหรือเสรมิ หนังสอื เรียนในการเรยี นทักษะ
2.2 ช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่ท้ังนี้ต้องอาศัยการส่งเสริมและความเอาใจใส่จาก

ผ้สู อนดว้ ย
2.3 ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะการที่ให้นักเรียนทาแบบฝึกทักษะท่ี

เหมาะสมกับความสามารถของเขา จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นประสบความสาเร็จทางดา้ นจติ ใจมากข้นึ
2.4 แบบฝึกช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน ลักษณะการฝึกที่จะช่วยให้เกิดผล

ดังกลา่ ว ไดแ้ ก่ ฝึกทันทหี ลงั จากไดเ้ รียนรู้เร่อื งนน้ั ฝกึ ซ้ากันหลาย ๆ คร้ัง และเนน้ เฉพาะเรอ่ื งทฝี่ กึ
2.5 การให้นักเรียนทาแบบฝึกหัด ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือจุดบกพร่องของ

นักเรยี นได้ชัดเจน ซึง่ จะช่วยให้ครูดาเนนิ การปรับปรงุ แกไ้ ขปัญหาน้ัน ๆ ไดท้ ันท่วงที
2.6 แบบฝึกหดั ท่จี ดั พิมพ์ไว้เรยี บร้อย จะช่วยให้ครูประหยัดแรงงานและเวลาในการท่ีจะเตรียม

แบบฝึก ในด้านผู้เรียนก็ไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึก ทาให้มีเวลาและโอกาสฝึกฝนทักษะด้านต่าง ๆ
ได้มากขน้ึ

จรรยา ศรีพนั ธบตุ ร (2533 : 62-63 อ้างถงึ ใน ฉวีวรรณ พลเสนะ, 2531 : 52) ไดก้ ลา่ วถึง
ประโยชน์ของแบบฝกึ ทักษะ สรุปได้ดังนี้

2.7 ทาใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึกทกั ษะจากแบบฝกึ หดั ที่ครูสรา้ งขน้ึ มา ซ่งึ ตรงกับเน้ือหาท่คี รทู าการสอน
2.8 นักเรียนสามารถนาความรทู้ ี่ได้รบั จากการเรียนการสอนมาทดสอบการเรียนรู้ของตนเองว่า
เกิดจากการเรยี นรู้
2.9 ใช้สาหรับประเมินผลการสอบเป็นรายบุคคล หลังจากได้ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน
แล้ว โดยผลงานจากแบบฝกึ หัดท่ที ามาสง่ ครู ทาใหท้ ราบวา่ นกั เรียนเขา้ ใจมากนอ้ ยเพยี งใด
2.10 ใช้แบบฝึกหัดสาหรับทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแลว้
สรุปไดว้ ่าแบบฝึกช่วยในการฝึกหรอื เสริมทกั ษะทางดา้ นต่าง ๆ ทาให้จดจาเนื้อหาได้คงทนมีเจต
คติท่ีดี ผเู้ รียนสามารถนา แบบฝึกมาทบทวนเน้ือหาเดิมด้วยตนเองได้ ทาให้ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าของ
ตนเอง เป็นเครือ่ งมอื ทีค่ รผู ู้สอนใชป้ ระเมนิ ผลการเรียนรู้ได้เปน็ อยา่ งดีวา่ นักเรยี นเข้าใจมากน้อยเพยี งใด

3. ลกั ษณะของแบบฝกึ ท่ดี ี
ในการสร้างแบบฝึกมีองค์ประกอบหลายประการ ซ่ึงนักการศึกษาได้ให้ข้อเสนอแนะ

เกย่ี วกับลกั ษณะของแบบฝกึ ท่ดี ไี ว้ ดังนี้
นิตยา ฤทธิโยธี (2520 : 40 – 41) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกไว้ว่า การเขียนแบบฝึกต้อง

แน่ใจในภาษาท่ีใชใ้ ห้เหมาะสมกบั นกั เรยี นและสร้างโดยใชห้ ลักจิตวทิ ยาในการเร้าและตอบสนอง ดงั น้ี
1) ใชแ้ บบฝกึ หลายๆ ชนดิ เพื่อเรา้ ให้นักเรยี นเกดิ ความสนใจ
2) แบบฝึกท่ที าขึน้ นัน้ ตอ้ งใหน้ ักเรยี นสามารถแยกออกมาพิจารณาได้ว่าแต่ละแบบ แต่ละ

ขอ้ ตอ้ งการใหท้ าอะไร
3) ให้นักเรียนได้ฝกึ การตอบแบบฝึกแต่ละชนิดแต่ละรปู แบบวา่ มีวธิ ีการตอบอยา่ งไร

4) ให้นกั เรียนได้มโี อกาสตอบสนองสงิ่ เร้าดังกล่าวด้วยการแสดงออกทางความ สามารถและ
ความเขา้ ใจลงในแบบฝึก

5) นกั เรียนไดน้ าสิ่งทเี่ รียนรจู้ ากการเรียนมาตอบในแบบฝึกใหต้ รงเป้าหมายท่ีสุด
นิตยา ฤทธิโยธี ยังได้กล่าวว่า “แบบฝึกที่ดีควรมีข้อแนะนาการใช้ท่ีชัดเจน ควรให้มีการ
เลือกตอบทั้งแบบตอบจากัดและแบบตอบอย่างเสรี คาส่ังหรือตัวอย่างที่ยกมาน้ันไม่ควรยาวเกินไป และ
ยากแก่การเข้าใจ ถา้ ต้องการใหศ้ ึกษาดว้ ยตนเอง แบบฝึกน้นั ควรมหี ลายรปู แบบ และมีความหมายแก่ผู้ทา”
และยงั กลา่ วว่าลกั ษณะของแบบฝกึ ทดี่ ี คือ

1) เกี่ยวข้องกบั บทเรยี นทเ่ี รยี นมาแลว้
2) เหมาะสมกับระดบั วัย หรือความสามารถของเดก็
3) มีคาชี้แจงสนั้ ๆ ที่ทาให้เดก็ เข้าใจวิธีทาได้งา่ ย
4) ใช้เวลาเหมาะสม คอื ไมใ่ ช้เวลานานหรือเร็วเกินไป
5) เป็นส่ิงทนี่ า่ สนใจและทา้ ทายให้แสดงความสามารถ
สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2551 : 9-10) กล่าวแนะนาให้ผู้สร้างแบบฝึกได้ยึดลักษณะของแบบ
ฝึกทีด่ ไี วด้ งั น้ี
1) แบบฝกึ ท่ีดีควรชดั เจนทงั้ คาสัง่ และวธิ ที า ตัวอย่างแสดงวิธีทาไม่ควรยาวเกินไป เพราะ
จะทาใหเ้ ข้าใจยาก ควรปรบั ปรุงให้งา่ ยเหมาะสมกับผเู้ รียน
2) แบบฝกึ หัดทด่ี คี วรมีความหมายต่อผ้เู รียนและตรงตามจุดประสงค์ของการฝึก ลงทุนน้อย
ใชไ้ ด้นานทันสมยั อยเู่ สมอ
3) ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพ้ืนฐานความรู้ของผู้เรียน
แบบฝึกหัดท่ีดีควรแยกฝึกเป็นเรื่องๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไป แต่ควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อเร้า
ให้นักเรียนเกดิ ความสนใจ ไมเ่ บ่อื หนา่ ยในการทา และเพ่ือฝกึ ทกั ษะใดทักษะหนงึ่ จนเกดิ ความชานาญ
4) แบบฝึกหัดที่ดีควรมีท้ังแบบกาหนดคาตอบให้ ให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คาข้อความ
หรือรูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็นส่ิงท่ีคุ้นเคยตรงกับความในใจของนักเรียน เพ่ือว่าแบบฝึกหัดที่สร้างขึ้น
จะไดก้ ่อใหเ้ กดิ ความเพลดิ เพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ที่ว่าเด็กมักจะเรียนรู้ได้เร็ว ใน
การกระทาทีก่ อ่ ใหเ้ กิดความพึงพอใจ
5) แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง รู้จักค้นคว้า รวบรวมส่ิงที่พบ
เห็นบ่อยๆ จะทาให้นักเรียนเข้าใจเรื่องนั้นๆมากยิ่งข้ึน และรู้จักนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่าง
ถกู ต้อง มีหลักเกณฑ์ และมองเห็นวา่ ส่ิงทเ่ี ขาไดฝ้ ึกนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป
6) แบบฝึกหัดท่ีดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมีความ
แตกต่างกันในหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา ประสบการณ์
ฉะน้ันการทาแบบฝกึ หดั แต่ละเรอ่ื งควรจัดทาใหม้ ากพอ มที กุ ระดบั ตงั้ แตง่ ่าย ปานกลาง จนถึงค่อนข้าง
ยาก เพ่ือให้ท้ังเด็กเก่ง ปานกลาง และอ่อน จะได้เลือกทาตามความสามารถ เพื่อให้เด็กทุกคนประสบ
ความสาเร็จในการทาแบบฝกึ หัด
7) แบบฝกึ หดั ท่ีดีควรเรา้ ใจต้ังแตป่ กไปจนถงึ หนา้ สุดทา้ ย
8) แบบฝึกหัดท่ีดีควรปรบั ปรงุ ควบคู่ไปกบั หนังสอื เรยี น ควรใชไ้ ดด้ ที งั้ ในและนอกหอ้ งเรยี น
9) แบบฝึกหัดท่ีดีควรเป็นแบบฝึกหัดที่สามารถประเมิน และจาแนกความเจริญ งอกงาม
ของเด็กได้ดว้ ย

สรุปไดว้ ่า ลักษณะของแบบฝกึ ท่ดี ี ต้องมจี ดุ หมายท่ีแน่นอนวา่ จะทาการฝึกทักษะด้านใด ควรใช้

ภาษาง่าย ๆ และมีความน่าสนใจ เรียงลาดับจากง่ายไปยากให้สมกับวัยและความสามารถของผู้เรียนมี

เนือ้ หาใหต้ รง จดั กิจกรรมใหห้ ลากหลายเพอื่ ดงึ ดูดความสนใจ เพือ่ ให้เกิดประสิทธิภาพตอ่ นกั เรียนมากทส่ี ุด

4. หลกั จติ วทิ ยาทเี่ ก่ยี วข้องกับการสอนแบบฝึก
จากลักษณะของแบบฝึกที่ดีตามท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน จะเห็นได้ว่าแบบฝึกท่ีดี จะต้องมีความ

สอดคลอ้ งกับหลกั จติ วิทยา เพือ่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หลักจิตวิทยาที่เก่ียวข้องกับการสร้างแบบ
ฝึกมดี ังนี้

สุจรติ เพยี รชอบ และสายใจ อนิ ทัมพรรย์ (2538 : 65 – 82) ได้เสนอหลกั จติ วทิ ยาการเรียน
การสอนซ่ึงสามารถนามาใช้เปน็ แนวทางในการสร้างแบบฝึก ดงั น้ี

1) ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual difference) ครูจะต้องคานึงอยู่เสมอว่า
นักเรียนแต่ละคนมีความรู้ ความถนัด ความสามารถและความสนใจทางภาษาแตกต่างกัน ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับ
สาเหตหุ ลายประการท่คี รผู ู้สอนตอ้ งศกึ ษาเพอ่ื ทจี่ ะจัดระบบการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความแตกต่าง
ของแตล่ ะบคุ คล เพ่อื ให้เด็กทกุ คนได้ประสบความสาเร็จตามศักยภาพของตนเอง จนเกิดการเรียนรู้เพ่ิมมาก
ทส่ี ดุ เทา่ ทเ่ี ด็กจะทาได้ ซ่งึ ครไู ม่ควรคาดหวังว่าเด็กจะทาได้เหมอื นกัน ทกุ คน

2) ความพร้อม (Readiness) ครูจะต้องคานึงถึงความพร้อมของนักเรียนแต่ละคนในการ
ปฏิบตั กิ จิ กรรมเพอื่ ใหก้ ิจกรรมน้ันบรรลผุ ล ตอ้ งสร้างใหเ้ ด็กเกิดความพรอ้ มทีจ่ ะเรียนโดยมีสิ่งที่เป็นแรงจูงใจ
ให้เกดิ ความสนใจทีจ่ ะเรยี นรู้ โดยเฉพาะการทดสอบความรู้พื้นฐานเป็นการตรวจสอบว่าเด็กมีความพร้อมท่ี
จะรับส่ิงใหม่ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด

3) กระบวนการเรียนรู้ (Learning process) การเรียนรู้ คือ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม
ของผู้เรียน ซึ่งเป็นผลเน่ืองมาจากการมีประสบการณ์ตรง การมีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองและการท่ี
ผู้เรยี นไดม้ ปี ฏิกิริยากับสงิ่ แวดลอ้ ม ดงั นนั้ การทเี่ ดก็ มโี อกาสได้ลงมอื ปฏิบตั ิตามแบบฝึก จึงเป็นกระบวนการ
เรียนรู้ที่จะช่วยให้นกั เรียนเกดิ การเรียนรู้ทค่ี งทนทางสตปิ ญั ญา

4) การเรียนรู้โดยมีจุดมุ่งหมาย (Purposeful learning) ครูจะต้องต้ังจุดมุ่งหมายของการ
สอน โดยให้นักเรียนได้ทราบด้วยว่าการฝึกปฏิบัติกิจกรรมเหล่าน้ัน มีผลดีต่อการเรียนรู้โดยให้โอกาส
นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการต้ังจดุ มุง่ หมายร่วมกับครู การฝึกปฏิบัติจึงจะมีสัมฤทธิ์ผล เน่ืองจากนักเรียนรู้ว่า
มีประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างไร จนสามารถนาไปใช้ในสถานการณ์อื่นได้ด้วยเช่นกัน ดังน้ัน การสร้างแบบฝึก
จึงจาเป็นตอ้ งมจี ดุ มุ่งหมายในการฝึกแตล่ ะคร้ังอย่างชดั เจน

5) การเรียนรู้โดยการกระทา (Learning by doing) นักเรียนจะมีความชานาญใน การใช้
ทักษะพื้นฐานท้ังการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนด้วย การท่ีมีโอกาสลงมือกระทาด้วยตนเองเป็น
ประสบการณ์ตรง ดังน้ัน การที่เดก็ ได้มีโอกาสปฏบิ ัติตามแบบฝึกทักษะ เด็กจะได้รับความรู้ท่ีคงทนมากกว่า
การรบั ฟังคาสอนจากการบรรยายของครเู พยี งอยา่ งเดยี ว

6) การเรยี นรดู้ ้วยการฝึกฝน (Law of exercise) เมื่อได้รับการฝึกฝนและได้ลงมือปฏิบัติซ้า
ๆ หลายครั้งจนเกิดความชานาญทาให้มีทักษะท่ีดีและมีประสิทธิภาพ สามารถนาไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
เน่ืองจากไดร้ บั การฝกึ ฝนทีถ่ กู วิธี

7) กฎแห่งผล (Law of effect) การฝึกทักษะด้านใดก็ตาม เมื่อนักเรียนได้ฝึกฝนไปแล้ว
หากนักเรียนได้ทราบผลในทันทีว่าเป็นอย่างไร นักเรียนจะมีความพอใจ มีกาลังใจที่จะแบบฝึกต่อ ๆ ไป

ดังน้ันครูจึงต้องตรวจผลงานและแจ้งผลให้เด็กทราบทุกคร้ัง เม่ือเด็กได้ทราบพัฒนาการของตนเองก็จะ

พอใจ และหากมีข้อบกพร่องเดก็ กพ็ ร้อมท่จี ะแก้ไขปรับปรงุ ใหเ้ ปน็ ท่พี อใจของตนต่อไป

8) กฎแห่งการใช้และไม่ใช้ (Law of the use and disuse) เช่น เนื้อหาของวิชาภาษาไทย

มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั ของนกั เรยี น ดังน้ันการจะสร้างแบบฝกึ การเขยี นสะกดคา ครูต้องเลือกคา

ที่นักเรียนใช้ในชีวิตประจาวัน เพราะนักเรียนมีโอกาสใช้คาเหล่านั้นอยู่เสมอเม่ือนามาฝึกให้นักเรียนเขียน

หรืออ่านให้ถูกต้องกจ็ ะเป็นประโยชน์ในการใช้ภาษเพ่ือการสอ่ื สารท่ีมีประสิทธภิ าพอยา่ งยง่ิ

9) แรงจูงใจ (Motivation) แรงจูงใจเป็นสิ่งสาคัญมากในการเรียน ครูผู้สอนจะต้อง

สร้างส่ิงเร้าท่ีกระตุ้นให้นักเรียนสนใจหรืออยากจะเรียนรู้ จึงจาเป็นท่ีจะต้องอาศัยแรงจูงใจทั้งแรงจูงใจ

ภายนอกและภายใน เพ่ือให้นักเรียนเกิดความศรัทธาในการเรียน จะได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความ

สนุกสนานเพลิดเพลิน ซ่ึงจะทาใหเ้ กิดการเรียนร้ทู คี่ งทนตอ่ ไป

10) การเสริมแรง (Reinforcement) ในการเรียนการสอนนนั้ เด็กย่อมต้องการทราบ

ทักษะของตนเองว่าเป็นที่น่าพอใจหรือไม่ การเสริมกาลังใจจึงเป็นสิ่งท่ีสาคัญ ครูจึงต้องให้ การ

เสริมแรงเป็นระยะ ๆ ในขณะท่ีเด็กกาลังทาแบบฝึก อาจเป็นเพียงการพยักหน้าแสดงความพอใจ การย้ิม

หรอื การชมเชยดว้ ยวาจาบ้างเป็นคร้ังคราว ส่ิงเหล่านี้ล้วนเป็นการเสริมแรงท้ังส้ิน ทาให้เด็กเกิดความภูมิใจ

และมีความเชือ่ ม่นั ในตนเอง

จากหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ท่ีมีความสัมพันธ์กับการสร้างแบบฝึกดังกล่าวมา สรุปได้ว่าในการ

สร้างแบบฝึกนั้นจะต้องยึดหลักจิตวิทยา เพื่อให้การฝึกฝนเป็นไปอย่างถูกวิธีเหมาะสมกับวัยและระดับวุฒิ

ภาวะของผู้เรียน ซ่ึงจะสง่ ผลให้เกดิ การเรยี นร้ทู คี่ งทน และมีเจตคติท่ีดีตอ่ การเรียน

5. การสรา้ งแบบฝกึ
สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2551 : 16 – 17) กล่าววา่ สว่ นสาคัญการสร้างแบบฝึกใช้ประกอบ
ในการในการจดั การเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ นั้น จะเน้นส่ือการสอนในลักษณะเอกสารแบบฝึกเป็นส่วน
สาคัญ ดังนั้นการสร้างจึงควรให้มีความสมบูรณ์ท่ีสุดทั้งในด้านเนื้อหา รูปแบบและกลวิธีในการนาไปใช้ ซ่ึง
ควรเปน็ เทคนคิ ของแตล่ ะคน ในที่นีจ้ ะขอเสนอ ดังน้ี
1) พงึ ระลกึ ถงึ เสมอว่าต้องให้ผ้เู รยี นศกึ ษาเน้ือหาก่อนใชแ้ บบฝึก
2) ในแต่ละแบบฝึกอาจมีเนื้อหาสรุปหรือเป็นหลักเกณฑ์ไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษา
ทบทวนกอ่ นก็ได้
3) ควรสร้างแบบฝึกให้ครอบคลุมเน้ือหาและจุดประสงค์ที่ต้องการและไม่ยากหรือง่าย
เกินไป
4) คานงึ ถึงหลกั จติ วิทยาการเรียนรูข้ องเดก็ ให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะ และความแตกต่างของ
ผูเ้ รียน
5) ควรศึกษาแนวทางการสร้างแบบฝึกให้เข้าใจก่อนปฏิบัติการสร้าง อาจนาหลักการของ
ผู้อ่ืนหรือทฤษฎีการเรียนรู้ของนักการศึกษาหรือนักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและ
สภาพการณไ์ ด้
6) ควรมีคู่มือการใช้แบบฝึก เพื่อให้ผู้สอนคนอ่ืนนาไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง หากไม่มีคู่มือ
ต้องมคี าช้แี จงขนั้ ตอนการใชท้ ี่ชดั เจน แนบไปในแบบฝกึ หัดดว้ ย

7) การสร้างแบบฝึก ควรพิจารณารูปแบบให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละเนื้อหาวิชา
รูปแบบจงึ ควรแตกต่างกันตามสภาพการณ์

8) การออกแบบชุดฝึกควรมีความหลากหลายไม่ซ้าซาก ไม่ใช้รูปแบบเดียวเพราะจะทาให้
ผู้เรียนเกิดความเบ่ือหน่าย ควรมีแบบฝึกหลาย ๆ แบบ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะอย่างกว้างขวางและ
ส่งเสรมิ ความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ย

9) การใช้ภาพประกอบเป็นส่ิงสาคัญที่จะช่วยให้ฝึกน้ันน่าสนใจ และยังเป็นการพักสายตา
ให้กบั ผเู้ รียนอีกด้วย

10) การสร้างแบบฝึก หากต้องการให้สมบูรณ์ครบถ้วน ควรสร้างในลักษณะของเอกสาร
ประกอบการสอน แตเ่ นน้ ความหลากหลายของแบบฝึกมากกว่า เนอื้ หาท่สี รปุ ไวจ้ ะมีเพยี งย่อ ๆ

11) แบบฝกึ ต้องมีความถูกต้อง อยา่ ใหม้ ขี ้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด เพราะเหมือนกับย่ืนยาพิษ
กบั ลูกศษิ ย์โดยรู้เท่าไมถ่ ึงการณ์ เขาจะจาในสิ่งท่ีผดิ ๆ ตลอดไป

12) คาสั่งในแบบฝึกเป็นสิ่งสาคัญท่ีมิควรมองข้ามไป เพราะคาส่ังคือประตูบานใหญ่ที่จะไข
ความรู้ความเขา้ ใจของผ้เู รยี นเขา้ ไปสคู่ วามสาเรจ็ คาส่ังต้องส้ัน กะทัดรัด ชัดเจน และเข้าใจได้ง่าย ไม่ทาให้
ผเู้ รียนสับสน

13) การกาหนดเวลาในการใช้แบบฝึกในแต่ละชุด ควรให้เหมาะสมกับเนื้อหา และความ
สนใจของผู้เรียน

14) กระดาษทใี่ ชค้ วรมีคุณภาพเหมาะสม มีความเหนียวและทนทานไม่เปราะบาง หรือขาด
งา่ ยจนเกนิ ไป

จากหลักการสร้างแบบฝึกดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกต้องศึกษาปัญหาของ
เนื้อหาที่นามาสร้างแบบฝึก โดยนามาต้ังวัตถุประสงค์ตลอดจนรูปแบบและวางแผนขั้นตอนการใช้แบบฝึก
การสรา้ งแบบทดสอบท่สี อดคล้องกบั เนือ้ หาหรือทกั ษะที่ต้องการฝึกจาเป็นต้องนาหลักการทางจิตวิทยาการ
เรยี นรูแ้ ละจิตวิทยาพัฒนาการมาเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกก่อนนาไปฝึกควรนาไปทดลองใช้ เพ่ือหา
ขอ้ บกพร่องของแบบฝึกและแบบทดสอบนามาปรับปรุงแก้ไข หลังจากนั้นจึงรวบรวมเป็นชุดจัดทาคาชี้แจง
และคู่มือการใช้ต่อไป การหาประสิทธิภาพของแบบฝึก แบบฝึกทักษะที่ใช้ฝึกทักษะของนักเรียนส่วนใหญ่
พบว่ายังขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากลักษณะของแบบฝึกบางแบบฝึกยากหรือง่ายเกินไป ทาให้เราวัด
จุดประสงค์ได้ไม่ตรงตามที่กาหนดไว้ ดังน้ัน จึงมีการกาหนดหลักเกณฑ์การทดสอบประสิทธิภาพของแบบ
ฝกึ ขึน้ เพ่ือให้แบบฝกึ มปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ทีต่ ัง้ ไว้

การหาประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะ

ผศู้ กึ ษาได้ศกึ ษาทฤษฎที ่ีเก่ยี วข้องกบั การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ มรี ายละเอยี ดดังนี้
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2536 : 494-497) กลา่ ววา่ การทดสอบประสิทธิภาพตรงกับภาษา อังกฤษ คา
ว่า “Development Testing” หมายความว่า การตรวจสอบพัฒนาการ เพ่ือให้งานดาเนินไปอย่างมี
ประสิทธิภาพน้ันคือ การนาสื่อการสอนไปทดลองใช้ (Try out) เพ่ือปรับปรุงแล้วนาไปทดลองสอนจริง
(Trial Run) นาผลที่ได้มาปรับปรงุ แก้ไขเสรจ็ แล้ว จึงผลิตออกมาเป็นจานวนมากซึ่งมีข้ันตอนการดาเนินการ
ดังน้ี

1. การทดสอบแบบเดยี่ ว (1 : 1)
เป็นการทดสอบกับผู้เรียน 1 คน โดยใช้เด็กอ่อน เด็กปานกลาง และเด็กเก่งคานวณหา

ประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยปกติคะแนนท่ีได้จากการทดสอบแบบเดี่ยวน้ี จะมีคะแนนต่ากว่า
เกณฑ์มากแต่ไม่ต้องวิตก เม่ือปรับปรุงแล้วจะสูงมาก ก่อนนาไปใช้ทดสอบแบบกลุ่ม E1 / E2 ท่ีได้จะมีค่า
60/60

2. การทดสอบแบบกลมุ่ (1 : 10)
เป็นการทดสอบกับผู้เรียน 6-10 คน (คละผู้เรียนที่เก่งกับอ่อน) คานวณหาประสิทธิภาพ

เสร็จแล้วปรับปรุง ในคราวนี้คะแนนของผู้เรียนจะเพ่ิมข้ึนเกือบเท่าเกณฑ์โดยเฉลี่ย จะห่างจากเกณฑ์
ประมาณ 10 เปอร์เซน็ น่ันคือ E1 / E2 ที่ไดจ้ ะมคี ่า 70/70

3. การทดสอบแบบกลุม่ (1 : 100)
เป็นการทดสอบกบั ผ้เู รยี น 40–100 คน คานวณหาประสิทธภิ าพแล้วทาการปรบั ปรุงผลลัพธ์

ที่ได้ควรใกล้เคียงกับเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ หากต่ากว่าเกณฑ์ไม่เกิน 2.5 เปอร์เซ็นต์ ก็ให้ยอมรับ หากแตกต่างกัน
มากผสู้ อนตอ้ งกาหนดเกณฑ์ประสทิ ธิภาพของส่ือการสอนใหม่ โดยยดึ สภาพเป็นจริงเปน็ เกณฑ์

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2536 : 495) กล่าวว่า เกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพของส่ือการสอน
มี 2 ประเภท คอื

1. ประเมินพฤติกรรมต่อเน่ือง คือ ประเมินพฤติกรรมย่อยหลาย ๆ พฤติกรรม เรียกว่า
“กระบวนการ (Process)” ของผู้เรียน ทีส่ ังเกตจากการประกอบกจิ กรรมกลุ่มและเดีย่ ว

2. ประเมินพฤตกิ รรมขน้ั สดุ ทา้ ย คอื ประเมินผลลัพธ์ (Products) ของผู้เรียนโดยพิจารณาจาก
ผลการทดสอบหลงั เรียน

เผชิญ กิจระการ (2551 : 50-51) กล่าวถึงเกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการ
สอน จะนิยมตั้งเป็นตัวเลข 3 ลักษณะ คือ 80/80 85/85 และ 90/90 ทั้งนี้ ข้ึนอยู่กับธรรมชาติของวิชา
และเน้ือหาที่นามาสร้างสื่อ ถ้าเป็นวิชาท่ีค่อนข้างยากอาจต้ังเกณฑ์ 80/80 หรือ 85/85 สาหรับวิชาที่มี
เน้ือหาง่ายอาจตั้งไว้ 90/90 เป็นต้น นอกจากน้ันยังตั้งเกณฑ์เป็นความคลาดเคลื่อนไว้เท่ากับร้อยละ 2.5
ซึง่ หมายความวา่ ถ้าเกณฑท์ ่ตี ั้งไว้ 90/90 เม่อื คานวณแลว้ ได้คา่ ท่ีถือว่าใชไ้ ด้ คอื 87.5/87.5

การหาประสิทธิภาพกระบวนการต่อประสิทธิภาพผลลัพธ์ มีแนวคิด ดังนี้ (ไชยยศ เรืองสุวรรณ,
2546 : 171)

1. ประสิทธิภาพกระบวนการ (E1) ได้มาจากคะแนนแบบฝึกหัดท่ีผู้เรียนทาถูกต้องในระหว่าง
เรยี น คดิ เป็นร้อยละของคะแนนเตม็

2. ประสิทธิภาพผลลัพธ์ (E2) ได้มาจากคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีผู้เรียนทาได้คิดเป็น
ร้อยละของคะแนนเตม็

การคานวณคา่ ประสทิ ธิภาพของส่ือใช้สถิติในการคานวณดงั น้ี (เผชญิ กิจระการ, 2551: 49)

การคานวณหาค่า E1 (หาประสทิ ธิภาพกระบวนการ)

E1 X 100

 N A

การคานวณหาค่า E2 (ประสทิ ธิภาพผลลัพธ์)

E2 Y 100

 N B

เมือ่

E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการที่จดั ไวใ้ นบทเรียน
E2 แทน ประสิทธภิ าพของบทเรยี นในการเปล่ียนพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี น

 X แทน คะแนนรวมของผู้เรยี นจากการฝึกปฏิบตั ภิ ารกิจในบทเรียน

Y แทน คะแนนทไ่ี ด้รับรวมของผเู้ รยี นจากแบบทดสอบหลงั เรยี น

N แทน จานวนผู้เรยี น
A แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหดั หรอื แบบทดสอบระหว่างเรียน
B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลงั เรยี น

ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน

ผูศ้ กึ ษาไดศ้ กึ ษาเอกสารทเี่ กย่ี วข้องกับผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน มีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้

1. ความหมายของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
ชวาล แพรัตกุล (2520 : 15) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสาเร็จในด้าน

ความรู้ ทักษะและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมอง ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควรประกอบด้วยสิ่ง
สาคัญอย่างน้อย 3 ส่ิง คือ ความรู้ ทกั ษะ และสมรรถภาพสมองดา้ นตา่ ง ๆ

ไพศาล หวังพานิช (2526 : 86) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หรือผลสัมฤทธ์ิ
ทางการศกึ ษา เกดิ จากการเรียนการสอนเปน็ การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม และประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเกิด
จากการฝึกอบรม หรือจากการสอน การวัดผลสัมฤทธ์ิซึ่งเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของบุคคล
วา่ เรยี นแลว้ มีความรู้ความสามารถเทา่ ใด

วรรณี โสมประยูร (2537 : 262) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า หมายถึง
ความสามารถหรอื พฤติกรรมของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนการสอน ซึ่งพัฒนาข้ึนหลังจากได้รับการอบรม
สัง่ สอนและฝกึ ฝนโดยตรง

จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังกล่าว สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถึง ผลของการเรียนการสอนที่รวมถึงความรู้ ความสามารถ และทักษะกระบวนการ โดยแสดง
ออกเป็นพฤตกิ รรมซึ่งสามารถวัดได้ 3 ดา้ น คอื ด้านพทุ ธิพสิ ัย ด้านจติ พิสยั และด้านทักษะพิสยั

2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ (2524 : 113) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิเป็น

แบบทดสอบท่ีสร้างข้ึน เพ่ือวัดสิ่งท่ีนักเรียนทราบเก่ียวกับเน้ือหาวิชา ตลอดทั้งความสามารถใน การนาไป

ประยุกต์คะแนนของผลการสอบจะสะท้อนให้ทราบถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ของนักเรียน ท้ังภายในและ
ภายนอกโรงเรยี น

พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2531 : 102) ได้อธิบายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤิทธ์ิทางการเรียนเป็น
แบบทดสอบที่ใช้วดั ความรู้ ทกั ษะ และสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ท่ีผู้เรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งปวง
ทั้งจากบา้ นและสถาบันการศกึ ษา

กมล สุดประเสริฐ (2533 : 225) ได้ให้ความหมายของการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า คือ
การวัดผลการเรียนที่นักเรียนได้ผ่านมาแล้วว่ามีความรู้ เจตคติ ตลอดจนปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด หรือ
เรียนมาแลว้ ผลการเรยี นยังเหลอื อยู่เทา่ ใด

ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2541 : 18) การวัดผลสัมฤทธ์ิ (Achievement) เป็น การ
มองการวัดความสามารถทางการเรียนหลังจากได้เรียนเนื้อหา (Content) ของวิชาใดวิชาหน่ึง ผู้เรียนมี
ความสามารถเรียนรู้มากน้อยเพียงใดน่ันคือ การวัดผลสัมฤทธ์ิ ยึดเนื้อหาวิชาเป็นหลัก เช่น คณิตศาสตร์
อาจมีเนื้อหา การบวก การลบ การคูณการหาร เศษส่วน เซ็ต ความเป็นไปได้ บัญญัติไตรยางศ์ ฯลฯ การ
สอบวัดความรู้หลังจากเรียนเนื้อหาที่กาหนดให้ในภาคเรียนหรือในช้ันหนึ่ง ๆ น้ัน เป็นการสอบวัดผล
สัมฤทธิท์ างการเรยี น

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ ความ
เขา้ ใจตามพุทธิพสิ ัย (Cognitive domain) ซงึ่ เกิดข้นึ จากการเรยี นรู้ แบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด คอื

1. แบบทดสอบท่ีครูสร้างเอง (Teacher-made test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างกัน
โดยท่ัวไปเม่ือต้องการใช้ก็สร้างขึ้นใช้แล้วก็เลิกกันถ้าจะนาไปใช้ใหม่ก็ต้องดัดแปลง ปรับปรุงแก้ไข เพราะ
เป็นแบบทดสอบทสี่ รา้ งขึน้ ใช้เฉพาะครงั้ อาจยังไมม่ กี ารวิเคราะหห์ าคุณภาพ

2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized test) เป็นแบบทดสอบที่ได้มีการพัฒนาด้วย
การวิเคราะห์ทางสถิติมาแล้วหลายครั้งหลายหนจนมีคุณภาพสมบูรณ์ ท้ังด้านความตรง ความเท่ียงความ
ยากง่าย ค่าอานาจจาแนก ความเป็นปรนัย และมีเกณฑ์ปกติ ใช้เปรียบเทียบด้วย รวมความแล้วต้องมี
มาตรฐานท้ังด้านการดาเนินการทดสอบและการแปลผลคะแนนท่ีได้ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ, 2542 :
73)

บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2542 : 75) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความรู้
ความเขา้ ใจ เป็น 6 ข้นั ตอนดังนี้

1. กาหนดเน้ือหาและพฤตกิ รรมท่ีต้องการ
2. เลือกชนดิ และแบบของแบบทดสอบ
3. เขยี น (รา่ ง) ขอ้ คาถาม
4. จัดเรยี งและทารปู เลม่
5. ตรวจปรับปรุงและแกไ้ ข
6. ตรวจสอบคณุ ภาพ
สรุปได้ว่า การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนควรคานึงถึงจุดมุ่งหมายทางการ
เรียนครอบคลุมพฤติกรรมในการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมาย มีการวิเคราะห์ข้อสอบเพ่ือหาค่าความยากง่าย ค่า
อานาจจาแนก เพื่อปรบั ปรุงแกไ้ ขตามผลการวิเคราะห์แลว้ จงึ จดั ทาแบบทดสอบเพ่ือนาไปใช้จรงิ

3. ลกั ษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนท่ีดี
ชวาล แพรัตกุล (2520 : 123-136) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรยี นทด่ี ไี ว้ 10 ประการ คือ
1. ต้องเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง คุณสมบัติท่ีจะทาให้ครูบรรลุถึงวัตถุประสงค์

แบบทดสอบที่มีความเท่ียงตรงสูง คือ แบบทดสอบที่สามารถทาหน้าท่ีวัดส่ิงที่เราจะวัดได้อย่างถูกต้องตาม
ความมงุ่ หมาย

2. ต้องยุติธรรม (Fair) คือ โจทย์คาถามท้ังหลายไม่มีช่องทางแนะให้นักเรียนเดาคาตอบได้
ไมเ่ ปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นเกียจคร้านท่จี ะดตู าราแตต่ อบได้ดี

3. ต้องถามลึก (Searching) วัดความลึกซึ้งถึงวิทยาการตามแนวดิ่งมากกว่าที่จะวัดตาม
แนวกว้างวา่ รมู้ ากน้อยเพียงใด

4. ต้องย่ัวยุเป็นเยี่ยงอย่าง (Exemplary) คาถามที่มีลักษณะท้าทาย เชิญชวนให้คิด
นักเรียนสอบแล้วมคี วามรู้เรือ่ งราวไดก้ ว้างยง่ิ ข้ึนอีก

5. ตอ้ งจาเพาะเจาะจง (Definite) เด็กอ่านคาถามแล้วต้องเข้าใจแจ่มชัดว่าครูถามถึงอะไร
หรอื ให้นักเรยี นคิดอะไร ไม่ถามคลมุ เครือ

6. ต้องเปน็ ปรนัย (Objectivity) หมายถงึ คณุ สมบัติ 3 ประการ คือ
6.1 แจ่มชดั ในความหมายของคาถาม
6.2 แจ่มชดั ในวิธีตรวจหรือมาตรฐานการให้คะแนน
6.3 แจ่มชัดในการแปลความหมายของคะแนน

7. ต้องมีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ สามารถให้คะแนนที่เที่ยงตรงและเชื่อถือได้มาก
ท่สี ุดโดยใช้เวลา แรงงาน และเงินท่นี อ้ ยทสี่ ุดดว้ ย

8. ตอ้ งยากพอเหมาะ (Difficulty)
9. ต้องมีอานาจจาแนก (Discrimination) คือ สามารถแยกนักเรียนออกเป็นประเภท ได้
ทุกระดบั ตง้ั แต่ออ่ นสดุ จนถึงเก่งสดุ
10. ต้องเช่อื มั่นได้ (Reliability) คือ ข้อสอบนัน้ สามารถใหค้ ะแนนไดค้ งท่ีแน่นอน
ดังนั้นสรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการตรวจสอบความรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากการ
สอนว่าสามารถประสบความสาเร็จทางการเรียนตามท่ีผู้สอนได้ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ซ่ึงมีการใช้เครื่องมือ
ในการวดั ผลเป็นแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของผู้เรียน และนาผลที่ได้มาปรับปรุงการเรียนการ
สอน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะในการปฏิบัติ และสามารถนาความรู้มาใช้ในการ
แก้ปญั หาทางการเรียนซงึ่ ถอื ว่าผูเ้ รยี นประสบความสาเร็จในการเรียนตามเป้าหมายทผ่ี ้สู อนได้กาหนดไว้

งานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง

ผู้ศึกษาได้ศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการวิจัยและพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ สู่
การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยสรุปผลงานการวิจัย
ของผู้วิจัยไวด้ งั น้ี

เครือวัลย์ เผ่าผ้ึง (2548 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาพัฒนาคู่มือการจัดกิจกรรมสงเสริมการอ่าน คิด
วิเคราะห์ และเขียนส่ือความสาหรับครูภาษาไทย การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานใน
การพัฒนาคู่มือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนสื่อความสาหรับครูภาษาไทย 2)
พัฒนาและหาประสิทธิภาพของคู่มือให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) ทดลองใช้คู่มือ และ 4)
ประเมินผลและปรับปรุงคู่มือ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยท่ีสอน
ช่วงชนั้ ที่ 3 จานวน 5 คน ของโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อาเภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม เคร่ืองมือที่ใช้
ในการวิจัย ได้แก่ 1) คู่มือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนสื่อความ 2) แบบ
ประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนสื่อความ 3)
แบบสมั ภาษณค์ วามคดิ เหน็ ของครูภาษาไทย 4) แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิด
วิเคราะห์ และเขียนสื่อความ และ 5) แบบประเมินความสามารถของนักเรียนด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์
และเขยี นสอ่ื ความ สถติ ิท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( X ) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน
(S.D.) ค่า t – test แบบ Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูภาษาไทยและผู้ท่ี
เกี่ยวข้องมีความต้องการคู่มือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนส่ือความสาหรับครู
ภาษาไทยเพื่อเป็นแนวทางจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยคู่มือควรมีเน้ือหาเก่ียวกับหลักการสอน แนว
ทางการวัดผลประเมินผล แนวทางการจัดกิจกรรม ทั้งน้ีควรแยกเน้ือหาเป็นหน่วยให้ชัดเจน นาเสนอด้วย
รูปแบบท่ีอ่านง่าย มีภาพหรือตัวอย่างประกอบสวยงาม การจัดรูปเล่มควรน่าสนใจ ระบุขั้นตอนวิธีการใช้
ชดั เจน และเมอื่ ศึกษาแล้วครูสามารถนาไปใช้ได้จริง 2) คู่มือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิด วิเคราะห์
และเขียนส่อื ความสาหรบั ครภู าษาไทย ประกอบด้วย คาช้ีแจง การใช้คู่มือ วัตถุประสงค์ของคู่มือ ขอบข่าย
ของเนื้อหา คาแนะนาการใช้คู่มือ แบบประเมินตนเองก่อนและหลังการศึกษาคู่มือ ในส่วนของเนื้อหา
แบ่งเป็น 5 หน่วย คือ หน่วยท่ี 1 การอ่าน หน่วยที่ 2 การคิด หน่วยท่ี 3 การคิดวิเคราะห์ หน่วยท่ี 4 การ
เขียน และหน่วยที่ 5 กิจกรรมบูรณาการการสอนอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน โดยคู่มือมีค่าประสิทธิภาพ
เทา่ กบั 89.00 / 94.00 3) ผู้วิจัยนาคู่มือไปทดลองใช้กับครูภาษาไทยโดยแนะนาการใช้และข้ันตอน
การศึกษาคู่มือ จากนั้นให้ครูศึกษาด้วยตนเองและดาเนินการตามข้ันตอนภายในเวลาท่ีกาหนดอย่าง
ต่อเน่ือง ระหว่างการทดลองใช้คู่มือผู้วิจัยได้ประสานงาน สอบถามและให้คาแนะนาพร้อมกับสังเกต
พฤตกิ รรมการสอน และ 4) ครูภาษาไทยมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิด
วิเคราะห์ และเขียนส่ือความหลังการศึกษาคู่มือสูงกว่าก่อนศึกษาคู่มืออย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05 และมีคะแนนเฉล่ียความรู้ ความเข้าใจอยู่ในระดับมากครูภาษาไทยมีความคิดเห็นว่าคู่มือการจัด
กิจกรรมส่งเสริม การอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนสื่อความมีความเหมาะสม สามารถนาไปประยุกต์ใช้
ได้ ครูภาษาไทยมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนดีขึ้น โดยให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
สง่ เสรมิ ทกั ษะรวมทัง้ กระตุน้ ความสนใจใฝร่ ู้ของนกั เรียนดว้ ยวิธีการต่าง ๆ และนักเรียนมีความสามารถด้าน
การอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนสื่อความอยู่ในระดับดีทุกด้าน โดยมีคะแนนความสามารถด้านการอ่าน
มากท่ีสดุ รองลงมาคือความสามารถด้านการเขียน ความสามารถด้าน การคิด และความสามารถวิเคราะห์
ซ่งึ มคี ะแนนนอ้ ยทีส่ ดุ

สมภาร ทา้ วบตุ ร (2547 : บทคัดย่อ) ได้สร้างแบบประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์
และเขียนสื่อความตามหลักสูตรการศึกษาขึ้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 การวจิ ยั ครั้งนม้ี วี ัตถปุ ระสงค์ 1) เพ่ือสร้างแบบประเมินความสามารถในการอ่าน คิด
วิเคราะห์และเขียนสื่อความ และหาคุณภาพของแบบประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และ

เขียนสื่อความ ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2
ปกี ารศกึ ษา 2546 ของโรงเรียนประถมศกึ ษา ในสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 จานวน
685 คน จากโรงเรียนจานวน 21 โรงเรียน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
ได้แก่ แบบประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนส่ือความ มีลักษณะเป็นข้อสอบแบบ
เลือกตอบ 4 ตัวเลือก และแบบเติมคา ซ่ึงมีรูปแบบเป็นการตอบคาถามตามสถานการณ์ท่ีกาหนดให้โดย
แบ่งเป็น 3 ฉบับ ๆ ละ 12 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าอานาจจาแนกของข้อสอบแต่ละข้อ
ใช้วิธีของเบรนแนน (Brennan) ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างนิยามกับ
ข้อสอบจากการพิจารณาของผู้เช่ียวชาญ ค่าความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างของแบบประเมิน ใช้สูตรของคาร์
เวอร์ (Carver) ค่าความเชื่อม่ันของแบบประเมิน ใช้วิธีของโลเวตต์ (Lovett) และคะแนนเกณฑ์ใช้วิธีของ
เบอร์ก (Berk) ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบประเมินความสามารถใน การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อ
ความ ฉบบั ที่ 1 แบบประเมินความสามารถในการอ่าน จานวน 12 ข้อ มีค่าคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 8.81 และ
มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.47 มีค่าอานาจจาแนก (ดัชนี B) ระหว่าง .28 - .74 มีค่าความ
เที่ยงตรงตามโครงสร้างเท่ากับ .82 มีค่าความเช่ือม่ันเท่ากับ .73 และมีคะแนนเกณฑ์เท่ากับร้อยละ 50 2)
แบบประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนส่ือความ ฉบับท่ี 2 แบบประเมิน
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ จานวน 12 ข้อ มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.41 และมีค่าความเท่ียงตรง
ตามโครงสรา้ งเทา่ กบั .76 มีคา่ ความเชื่อมัน่ เท่ากบั .84 และมคี ะแนนเกณฑ์เท่ากับร้อยละ 50 และ 3) แบบ
ประเมนิ ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อความ ฉบับที่ 3 แบบประเมินความสามารถใน
การเขียนสื่อความ จานวน 12 ข้อ มีค่าคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 8.23 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ
3.03 มีค่าอานาจจาแนก (ดัชนี B) ระหว่าง .35 - .65 มีค่าความเที่ยงตรงตามโครงสร้างเท่ากับ .73 มีค่า
ความเช่อื ม่นั เทา่ กับ .81 และมคี ะแนนเกณฑเ์ ทา่ กบั ร้อยละ 50

ฉวีวรรณ ไวพจน์ (2549 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิด
วิเคราะห์ และเขียนสื่อความ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา
แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนส่ือความ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6
ประกอบด้วยแบบทดสอบ จานวน 3 ฉบับ คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ ซ่ึง
เป็นแบบเลอื กตอบ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนส่ือความ แบบเลือกตอบ และแบบทดสอบวัด
ความสามารถในการเขียนส่ือความ แบบเขยี นตอบ กลมุ่ ตัวอยา่ งทใ่ี ชใ้ นการพัฒนาแบบทดสอบ ได้มาโดยวิธี
สุ่มแบบหลายข้ันตอน (Multi – Stage Random Sampling) จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปี
การศกึ ษา 2548 ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ทาการทดสอบ 3 ครั้ง การ
ทดสอบครั้งที่ 1 ใช้กลุ่มตัวอย่าง จานวน 100 คน เพื่อตรวจสอบคุณภาพด้านค่าความยากง่ายค่าอานาจ
จาแนกรายข้อ คดั เลือกและปรบั ปรงุ ขอ้ สอบ คร้ังท่ี 2 ใช้กลมุ่ ตวั อย่าง จานวน 100 คน เพื่อหาค่าความยาก
งา่ ย คา่ อานาจจาแนกรายขอ้ และความเทีย่ งตรงเชิงโครงสร้าง การทดสอบครัง้ ท่ี 3 ใช้กลุ่มตัวอย่าง จานวน
400 คน ทาการทดสอบเพื่อหาค่าความยากง่าย ค่าอานาจจาแนกรายข้อ ค่าความเช่ือม่ันของแบบทดสอบ
และสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบ ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิด
วิเคราะห์ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงพินิจต้ังแต่ .24 ถึง .80 และค่าอานาจจาแนกต้ังแต่ 20 ถึง .54
แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสื่อความ แบบเลือกตอบ มีค่าความเท่ียงตรงเชิงพินิจต้ังแต่ .80
ถึง 1.00 ค่าความยากง่ายตั้งแต่ .22 ถึง .80 และค่าอานาจจาแนกตั้งแต่ .21 ถึง .50 แบบทดสอบวัด

ความสามารถในการเขียนสื่อความ แบบเขียนตอบ มีค่าความเท่ียงตรงเชิงพินิจเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ
ค่าความยากงา่ ยตงั้ แต่ .64 ถงึ .74 และค่าอานาจจาแนกตง้ั แต่ .24 ถึง .48 ซึ่งเข้าเกณฑ์มาตรฐานทุกข้อ 2)
ค่าความเท่ียงตรงเชิงโครงสร้างของแบบทดสอบทั้ง 3 ฉบับหาโดยใช้เทคนิคกลุ่มรู้ชัด (Known-Group
Technique) จาแนกระหว่างกลุ่มที่มีความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนส่ือความสูง กับกลุ่ม
ท่ีมีความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนส่ือความต่า พบว่ากลุ่มที่มีความสามารถสูงมีค่าเฉลี่ย
ความสามารถสูงกว่ากลุ่มท่ีมีความสามารถต่าอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ค่าความ
เชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ คานวณ โดยใช้สูตร KR20 มีค่าความ
เช่ือม่ันเท่ากับ .79 แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนส่ือความแบบเลือกตอบ คานวณโดยใช้สูตร
KR20 มคี า่ ความเชอ่ื มั่นเทา่ กับ .47 และแบบทดสอบวัดความสามารถใน การเขียนสื่อความ แบบเขียน

ตอบ คานวณโดยใชส้ มั ประสทิ ธแิ์ อลฟา (α – Coefficient) มคี า่ ความเชอ่ื มน่ั เทา่ กับ .80

สุนิสา งามเมือง (2549 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาแบบประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ของ
นักเรียนระดับการศึกษาข้ึนพ้ืนฐาน ช่วงช้ันท่ี 1 โรงเรียนในกลุ่มปัทมาลัย เขตพื้นที่การศึกษา
พระนครศรีอยุธยา เขต 1 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์
และเขยี นของนักเรยี นระดบั การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน ช่วงช้ันท่ี 1 โรงเรียนในกลุ่มปัทมาลัย เขตพ้ืนท่ีการศึกษา
พระนครศรอี ยุธยา เขต 1และ 2) ตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ของ
นักเรียนระดับการศึกษาข้ึนพ้ืนฐาน ช่วงชั้นท่ี 1 โรงเรียนในกลุ่มปัทมาลัยเขตพ้ืนที่การศึกษา
พระนครศรีอยุธยา เขต 1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนใน
กลุ่มปัทมาลัย เขตพ้ืนท่ีการศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง จานวน 113
คน เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั เป็นแบบประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ของนักเรียนระดับการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน ช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียนในกลุ่มปัทมาลัย เขตพื้นท่ีการศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 ตรวจสอบ
คณุ ภาพของแบบประเมนิ โดยตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา ด้วยวิธีหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ตรวจสอบ
ค่าอานาจจาแนก ด้วยสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และตรวจสอบความเที่ยงด้วยสัมประสิทธ์
แอลฟาของ ครอนบาค ผลการวิจัยพบว่า แบบประเมินการอา่ น คิดวเิ คราะห์และเขียน มีความตรงตาม
เน้ือหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคาถาม ระหว่าง 0.80 – 1.00 มีค่าอานาจจาแนกตั้งแต่ .045
ถงึ .076 ทีร่ ะดับนัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ .05 ทกุ ขอ้ และมคี า่ ความเทีย่ ง เทา่ กบั .070

สุรีย์มาศ บุญฤทธิ์รุ่งโรจน์ (2551 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาแบบฝึกการเขียนเรียงความ สาหรับ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาข้อมูลพ้ืนฐาน 2) พัฒนาและหา
ประสิทธิภาพแบบฝึก 3) ทดลองใช้ และ 4) ประเมินและปรับปรุงแก้ไข กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยเป็น
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย อาเภอเมือง
นครปฐม จังหวัดนครปฐม จานวน 53 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ แบบฝึกการเขียนเรียงความ
แผนการสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็น การวิเคราะห์ข้อมูล
ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสถิติ t – test แบบ Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1)
ผลการศกึ ษาข้อมลู พน้ื ฐานพบว่า นักเรยี น ครู ตอ้ งการให้มีการพฒั นาแบบฝึกท่ีมีสาระหลากหลาย เกี่ยวกับ
เรื่องทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม นิทาน ประเพณีวัฒนธรรม บทร้อยกรอง แบบฝึกควรมี
ภาพประกอบ และให้ครูเป็นผู้สอนพร้อมแบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ 2) ผลการศึกษาแบบฝึกพบว่า
แบบฝึกการเขียนเรียงความประกอบด้วย คาชี้แจงวัตถุประสงค์ แผนการเรียนรู้ ใบความรู้ ใบงาน แบบ
ประเมนิ ตนเอง แบบฝกึ การอ่านท้ังหมดจานวน 6 แบบฝึก คือ การเลือกใจความสาคัญจากรูปภาพ การฝึก

ต้ังคาถามจากข้อความ การจับใจความสาคัญจากข้อความ การตั้งช่ือเร่ือง การเลือกใจความสาคัญของ
ข้อความและเรื่อง และการสรุปใจความสาคัญของเร่ือง และแบบฝึกมีประสิทธิภาพ 82.17 / 85.00 3) การ
ทดสอบใช้แบบฝึกสัปดาห์ละ 4 คาบ ๆ ละ 50 นาที รวม 8 คาบ ซึ่งผู้วิจัยเป็นครูสอน โดยใช้วิธีสอนแบบ
เอ็กซ์พลิซิทประกอบการใช้แบบฝึก และ 4) ผลการประเมินแบบฝึกพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนกอ่ นเรยี นและหลังเรียนด้วยแบบฝึกการเขียนเรียงความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ
0.01 โดยหลังเรียน นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้กว่าก่อนเรียน นักเรียนมีความคิดเห็นในระดับเห็น
ด้วยอย่างมากกับแบบฝึกการเขียนเรียงความ คือ ด้านภาพประกอบสอดคล้องกับเน้ือเรื่องและมีสีสวยงาม
ด้านวิธีการเรียนมีความสนุกสนานและทาให้ต้ังใจเรียน และต้องการให้พัฒนาทักษะอ่ืน ๆ เช่น ทักษะการ
เขียน ทักษะการฟังและทักษะการพูด และควรพัฒนาแบบฝึกในรายวิชาอ่ืน ๆ ควรมีการปรับปรุงกิจกรรม
การเรียนการสอนโดยไม่ต้องทบทวนในสิ่งท่ีเรียนไปแล้วทุกครั้งและเปลี่ยนแบบตัวอักษรให้มีความ
หลากหลาย

จากการศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้องพบว่า การวิจัยและพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ สู่
การเขยี นเชิงสร้างสรรค์ การเขยี นเรยี งความสาหรบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เปน็ วธิ ีการจดั การเรียนรู้ท่ี
ส่งเสริมให้เด็กได้ฝึกทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนไปพร้อมกับการสอดแทรกความรู้ ความเข้าใจ
การแก้ปัญหา เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีอิสระใน
การเลือกเรื่องที่ต้องการจะศึกษาด้วยตนเอง กระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจใช้กระบวนการ การแก้ปัญหา
อยา่ งเป็นระบบ ทาใหผ้ ู้เรียนสามารถจดจามีความรู้ทค่ี งทน เกิดการสร้างองค์ความรู้ เป็นการส่งเสริมให้เด็ก
มีนิสัยรักการอ่านได้เป็นอย่างดี และสามารถนาไปใช้ในการพัฒนาความรู้ความสามารถสอดคล้องกับการ
เรียนรู้ตลอดชีวิต

บทท่ี 3

วิธีการดาเนินการศึกษา

แบบแผนการทดลอง

ผู้ศึกษาได้ดาเนินการวิจัยเชิงก่ึงทดลอง (Quasi Experimental Research) โดยใช้แบบวิจัย One
Group Pre – test Post – test Design (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 109) ดังตารางที่ 3.1
ตารางที่ 3.1 รปู แบบการวจิ ยั One Group Pre – test Post – test Design

ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรยี น
O1 X O2

สัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในการวจิ ัย
O1 แทน การทดสอบก่อนเรยี น
X แทน แบบฝึกทักษะการอา่ น คดิ วิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์
O2 แทน การทดสอบหลงั เรียน

เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา

1. แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ
ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3

2. แบบทดสอบหลังเรียนของแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การ
เขยี นเรยี งความ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 แบบปรนัย ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 10 ข้อ

การสร้างและการหาคุณภาพเคร่อื งมือที่ใชใ้ นการศกึ ษา

1. แบบฝึกทักษะ
1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 จากเอกสารหลักสูตรการศึกษา

ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
1.2 ศึกษาสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง กลุ่มสาระการ

เรยี นรูภ้ าษาไทย
1.3 ศกึ ษาวิธีการ หลกั การ หลักทฤษฎี วิธีการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ
1.4 เลือกสาระการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ัน

มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ สอดแทรกเข้า
ไปในแผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 10 แผน รวม 20 ชว่ั โมง รายละเอยี ดดงั แสดงในตารางที่ 3.2-3.5

ตารางที่ 3.2 โครงสร้างการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3

5. การเขยี น 9. การเขียนเรยี งความจาก 1. เขียนอธิบาย บรรยาย 1. การเขียน 2
เรยี งความ ผังความคดิ ตอนท่ี 1 ช้ีแจง แสดงความคิดเห็นและ เรยี งความตามผัง 2
โตแ้ ย้งอยา่ งสร้างสรรค์และมี ความคิด
มารยาทการเขียนใช้ภาษา
สุภาพ รบั ผดิ ชอบในสิ่งที่
เขียน เขยี นเรยี งความอย่าง
สร้างสรรค์ และอ้างองิ
แหล่งท่มี าได้

10. การเขียนเรียงความจาก 1. เขยี นอธิบาย บรรยาย 1. การเขียน
จินตนาการ ตอนท่ี 2 ชีแ้ จง แสดงความคดิ เห็นและ เรียงความเชงิ
โต้แยง้ อยา่ งสร้างสรรค์ และมี สรา้ งสรรคจ์ าก
มารยาทการเขยี นใช้ภาษา จินตนาการ
สุภาพ รบั ผดิ ชอบในสิ่งที่
เขยี น เขียนอย่างสรา้ งสรรค์
และอ้างอิงแหลง่ ทมี่ าได้

1.5 ดาเนินการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะการอา่ น คดิ วิเคราะห์ สกู่ ารเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์

1.6 หลังจากผู้ศึกษาได้สร้างแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์

เสร็จเรยี บร้อยแลว้ ได้นาแบบฝึกทักษะ ให้ผเู้ ชยี่ วชาญตรวจประเมนิ

1.7 ผูเ้ ชย่ี วชาญประเมินโดยใชเ้ กณฑ์การให้คะแนนตามแบบประเมินของลิเคิร์ท (Likert) เป็น

มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ซ่ึงมี 5 ระดับ คือ เหมาะสมมากท่ีสุด เหมาะสมมาก เหมาะสม

ปานกลาง เหมาะสมน้อย และเหมาะสมน้อยทีส่ ดุ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545 : 72-73)

คะแนนเฉลี่ย แปลความหมาย

4.51-5.00 เหมาะสมมากทีส่ ุด

3.51-4.50 เหมาะสมมาก

2.51-3.50 เหมาะสมปานกลาง

1.51-2.50 เหมาะสมนอ้ ย

1.00-1.50 เหมาะสมน้อยที่สดุ

1.8 นาแบบประเมินผลท่ีผู้เช่ียวชาญประเมินมาหาค่าเฉล่ีย ผลการวิเคราะห์พบว่า ค่าเฉลี่ย

เท่ากับ 4.29 ซึ่งหมายความว่า แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่ผู้ศึกษา

พฒั นาขึ้นมคี วามเหมาะสมอยู่ในระดบั เหมาะสมมาก

1.9 นาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่ผ่านผู้เชี่ยวชาญ

ประเมินแล้วไปทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อดู

ความเหมาะสมของการใช้ภาษา เวลา และเน้ือหา โดยนาแบบฝึกทักษะไปทดลองใช้ (Try out) เพื่อ

ปรับปรุงแล้วนาไปทดลองสอนจริง (Trial Run) นาผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขเสร็จแล้ว จึงผลิตออกมาเป็น
จานวนมาก ซ่ึงมขี ัน้ ตอนการดาเนินการดังนี้ (ชยั ยงค์ พรหมวงศ,์ 2536 : 494-497)

1.9.1 การทดสอบแบบเดยี่ ว (1 : 1)
นาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ไปทดลองใช้กับ

นักเรียนท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ในที่นี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขุมคาวิทยาคาร อาเภอกุด
ข้าวปนุ้ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ จานวน 3 คน ท่ีได้มาจากการ
สุ่มอย่างง่ายจากนักเรียนท่ีมีผลการเรียนอยู่ในระดับ เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน จากนั้นทาการ
วิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การ
เขียนเรียงความ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ มคี ่า E1/E2 เทา่ กับ 59.33/60.83

1.9.2 การทดสอบแบบกลุ่ม (1 : 10)
นาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ท่ีแก้ไขปรับปรุง

แล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ในท่ีน้ีคือโรงเรียนขุมคาวิทยาคาร อาเภอกุดข้าวปุ้น
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ จานวน 10 คน ท่ีได้จากการสุ่มอย่าง
งา่ ยจากนกั เรียนท่มี ีผลการเรียนอยใู่ นระดับ เก่ง จานวน 3 คน ปานกลาง จานวน 4 คน อ่อน จานวน 3 คน
จากน้ันทาการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิง
สรา้ งสรรค์ การเขยี นเรยี งความ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ มคี ่า E1/E2 เทา่ กับ 71.20/72.25

1.9.3 การทดสอบแบบกลมุ่ (1 : 100)
นาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ท่ีปรับปรุงแก้ไข

แล้วไปทดลองใชก้ ับนกั เรยี นท่ไี ม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ในที่นี้คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี โรงเรียนขุมคาวิทยา
คาร อาเภอกดุ ขา้ วปุน้ สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ จานวน 31 คน
จากนั้นนาผลท่ีได้มาทาการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การ
เขียนเชงิ สร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 มคี ่า E1/E2 เท่ากบั 75.42/75.56

1.10 นาแบบฝึกทกั ษะการอา่ น คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ ทีผ่ ่านการทดลองใช้แล้ว
มาปรบั ปรงุ จดั พิมพเ์ ปน็ แบบฝึกทกั ษะฉบบั จริง เพอ่ื นาไปทดลองใชก้ ับนักเรียนท่เี ปน็ กลมุ่ ตวั อย่าง

2. การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผู้ศึกษาดาเนนิ การสร้างตามข้ันตอน ดงั น้ี
2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จากเอกสารหลักสูตรการศึกษา

ขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
2.2 ศกึ ษาสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
2.3 ศกึ ษาแผนการจดั การเรยี นรู้ ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวงั และจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ กลุ่มสาระ

การเรียนรภู้ าษาไทย ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3
2.4 ศกึ ษาวิธีการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
2.5 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก

ให้คลอบคลมุ เน้อื หา และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ จานวน 40 ข้อ
2.6 นาแบบทดสอบที่สร้างขน้ึ ไปใหผ้ ูเ้ ชี่ยวชาญตรวจสอบพิจารณาวา่ ใช้คาถามและตัวเลือกใน

การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นสอดคล้องกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ท่ตี ้องการวดั หรือไม่

2.7 การประเมินความสอดคล้องของจุดประสงค์และข้อคาถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น ซงึ่ มีเงือ่ นไขการประเมินความสอดคล้อง ดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 99)

ใหค้ ะแนน 1 เมื่อแนใ่ จวา่ ข้อสอบนน้ั วดั ตรงตามจุดประสงค์การเรยี นรู้
ใหค้ ะแนน 0 เมอ่ื ไมแ่ น่ใจวา่ ข้อสอบนั้นวัดตรงตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้
ใหค้ ะแนน - 1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อสอบน้ันวดั ไมต่ รงตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้
2.8 การวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามของแบบทดสอบกับ
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เลอื กแบบทดสอบทยี่ ใู่ นเกณฑค์ วามเทีย่ งตรงเชิงเน้ือหาที่ใช้ได้โดยใช้ ค่า IOC ตั้งแต่
0.5 ขนึ้ ไป (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 64)
2.9 นาแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างในที่นี้คือ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขุมคาวิทยาคาร อาเภอกุดข้าวปุ้น สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
อบุ ลราชธานี อานาจเจริญจานวน 30 คน
2.10 นาคะแนนทไ่ี ด้มาวเิ คราะหห์ าคา่ ความยากง่าย และค่าอานาจจาแนกของข้อสอบเป็นราย
ข้อ โดยใช้เทคนิคตัดกลุ่ม 27% ได้นักเรียนกลุ่มเก่ง 8 คน และกลุ่มอ่อน 8 คน ทาการวิเคราะห์ข้อมูล
จากนัน้ คัดเลือกข้อสอบทม่ี คี า่ ความยากงา่ ย 0.20-0.80 และมีคา่ อานาจจาแนกตัง้ แต่ 0.20 ข้ึนไป
2.11 นาแบบทดสอบที่หาคุณภาพแล้วมาวิเคราะห์หาค่าความเช่ือม่ันทั้งฉบับ ซึ่งได้
ค่าความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบท้งั ฉบับ เท่ากับ 0.83
2.12 จัดพิมพ์ขอ้ สอบฉบบั สมบูรณ์ เพื่อนาไปใชท้ ดสอบกบั นักเรยี นกลุ่มตัวอยา่ ง
3. การสรา้ งแบบทดสอบหลงั เรยี นของแบบฝึกทกั ษะ
ผู้ศกึ ษาดาเนนิ การสรา้ งตามขั้นตอนดงั นี้
3.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 จากเอกสารหลักสูตรการศึกษา
ขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
3.2 ศึกษาสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย
3.3 ศกึ ษาแผนการจดั การเรียนรู้ ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวงั และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
3.4 สร้างแบบทดสอบหลังเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ให้คลอบคลุมเนื้อหา
และจุดประสงค์การเรยี นรู้ของแบบฝกึ ทักษะชดุ ละ 10 ขอ้ รวมท้งั สน้ิ 50 ข้อ
3.5 นาแบบทดสอบหลังเรยี นทีส่ ร้างข้ึนให้ผ้เู ชี่ยวชาญตรวจสอบพจิ ารณาว่าใช้คาถาม ตัวเลือก
และการใช้ภาษา สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรูท้ ่ีต้องการวดั หรอื ไม่
3.6 การประเมินความสอดคล้องของจุดประสงค์และข้อคาถามของแบบทดสอบ หลังเรียน
ซ่ึงมเี งื่อนไขการประเมนิ ความสอดคลอ้ ง ดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 99)
ใหค้ ะแนน 1 เมอ่ื แนใ่ จวา่ แบบทดสอบนัน้ วดั ตรงตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ใหค้ ะแนน 0 เมอ่ื ไมแ่ น่ใจว่า แบบทดสอบน้ันวดั ตรงตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้
ใหค้ ะแนน - 1 เม่ือแนใ่ จวา่ แบบทดสอบนนั้ วัดไม่ตรงตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
3.7 การวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามของแบบทดสอบ หลังเรียน
กับจุดประสงค์การเรยี นรู้ เลือกแบบทดสอบหลังเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาที่ใช้ได้ โดยใช้
คา่ IOC ต้งั แต่ 0.5 ขน้ึ ไป (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545 : 64)

วิธดี าเนนิ การทดลองและการเกบ็ รวบรวมข้อมูล

การศกึ ษาครัง้ น้ี ผูศ้ ึกษาไดด้ าเนินการทดลองตามแผนการจดั การเรียนรู้ แบบฝึกทักษะการอ่าน คิด
วเิ คราะห์ สกู่ ารเขยี นเชิงสร้างสรรค์ การเขยี นเรยี งความ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ รายละเอียดดังตารางที่ 3.2
- 3.5

1. กาหนดวนั และเวลาการทดลองตามแผนการจดั การเรียนรู้
2. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ผู้ศึกษาสร้างข้ึน
จานวน 40 ข้อ
3. ดาเนินการตามแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ผี ศู้ กึ ษาสรา้ งขึ้น
4. ทาแบบทดสอบหลงั เรยี นของแบบฝึกทกั ษะแตล่ ะชดุ
5. ทดสอบหลังเรียน (Post-Test) หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครบตามแผนการจัดการเรียนรู้
โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนชุดเดมิ กบั ท่ใี ช้ทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test)
6. รวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู ที่ได้

การวเิ คราะห์ข้อมลู

1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์
การเขยี นเรยี งความ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ทีม่ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 มรี ายละเอยี ด ดังนี้

80 ตวั แรก หมายถงึ คะแนนเฉล่ียของนักเรยี นทกุ คนท่ีได้จากการทาแบบทดสอบ หลังเรียน
ของแบบฝกึ ทกั ษะท้งั 5 ชุด ได้คะแนนเฉล่ียคิดเป็นร้อยละ 80 ขึ้นไป

80 ตวั หลัง หมายถงึ คะแนนเฉล่ียของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนหลงั เรียน ไดค้ ะแนนเฉลี่ยคดิ เปน็ ร้อยละ 80 ขึน้ ไป

2. วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วย
แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3
ซึง่ วัดได้จากคะแนนของนักเรียนทั้งหมด จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ
หลังเรียนโดยการหาค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ ทดสอบความแตกต่างของ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการทดสอบค่า t-test แบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระ
จากกนั (Dependent Samples)

สถิตทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

สถิติทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล มดี ังน้ี
1. สถติ ิพน้ื ฐานทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู มีดังน้ี

1.1 ร้อยละ (Percentage) (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 104)

P    100
N

เมื่อ P แทน รอ้ ยละ

 แทน ความถ่ีทตี่ ้องการแปลงให้เปน็ รอ้ ยละ
N แทน จานวนความถที่ ง้ั หมด

1.2 คา่ เฉลย่ี (Arithmetic Mean) ใช้สูตรดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 105)

X  X

N

เม่อื X แทน คา่ เฉลี่ย

x แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด

N แทน จานวนนักเรียนในกลุ่ม
1.3 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 :
106)

S.D.  NX2 (X)2

N(N 1)

เมอื่ S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
X แทน ข้อมูลแต่ละจานวน
N แทน จานวนข้อมูล

 แทน ผลรวม

2. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะตามเกณฑ์ 80/80 โดยใช้ดังน้ี (เผชิญ กิจ
ระการ, 2551 : 49)

E1  X 100

N
A

เมอื่ E1 คือ ประสิทธภิ าพของกระบวนการทจี่ ัดไว้ในบทเรียน คิดเป็นร้อยละ

 X คอื คะแนนรวมของผูเ้ รียนจากการฝกึ ปฏบิ ัตภิ ารกจิ ในบทเรียน

N คือ จานวนผูเ้ รยี น
A คอื คะแนนเต็มของแบบฝึกหดั หรอื แบบทดสอบระหวา่ งเรียน

Y  100

E2  N
B

เมอื่ E2 คอื ประสทิ ธภิ าพของบทเรียนในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผเู้ รยี นคดิ เป็น
รอ้ ยละ

Y คอื คะแนนรวมจากการทาแบบทดสอบหลังเรียน

N คือ จานวนผูเ้ รียน
B คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน
3. การหาคุณภาพของเครื่องมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษา ประกอบดว้ ย
3.1หาความเทีย่ งตรงเชิงเน้อื หาของของแบบทดสอบแต่ละข้อโดยใช้สูตร IOC หาค่าเฉลี่ยดัชนี
ความสอดคล้องของผู้เชย่ี วชาญทงั้ หมด (สมนกึ ภทั ทยิ ธนี, 2537 : 112)

IOC  R

N

เมอื่ IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงค์กับเน้ือหา
หรอื ระหว่างข้อสอบกบั จดุ ประสงค์

R แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เชยี่ วชาญทง้ั หมด

N แทน จานวนผเู้ ชีย่ วชาญท้งั หมด
3.2 หาค่าความแปรปรวนของแบบทดสอบโดยใช้สูตร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ,
2538 : 77)

S2  N X2  X 2
N
N 1

เมอื่ S2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนน

X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
X2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั ยกกาลงั สอง

N แทน จานวนขอ้ มลู ท้ังหมด

3.3 หาค่าความยากงา่ ยของแบบทดสอบโดยใช้สตู ร (ณัฎฐพงษ์ เจริญพิทย์, 2542 : 215)

P  R
N

เมอื่ P แทน คา่ ความยากงา่ ยของคาถามแต่ละข้อ

R แทน จานวนนักเรยี นทที่ าข้อน้นั ถูก
N แทน จานวนนักเรียนท่ีทาขอ้ น้นั ถกู ทัง้ หมด
3.4 หาคา่ อานาจจาแนกของแบบทดสอบโดยใช้สตู ร (ณฎั ฐพงษ์ เจริญพิทย,์ 2542 : 215)

r  RH R L
N2

เมอ่ื r แทน คา่ อานาจจาแนก
RH แทน จานวนนกั เรียนที่ตอบถูกในกลุ่มเก่ง
RL แทน จานวนนกั เรียนทท่ี าถูกในกลมุ่ ออ่ น
N แทน จานวนนกั เรยี นในกลมุ่ เกง่ และออ่ น

3.5 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้สูตร KR-20 ของคู
เดอร์- รชิ าร์ดสนั (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538 : 197–198)

rtt  n n  1   pq 
1  
 St2 
เมอื่ rtt แทน คา่ ความเช่ือมนั่ ของแบบทดสอบ
n
P แทน จานวนขอ้ สอบ

q แทน สัดส่วนของผู้ทาถกู ในข้อหนึง่ ๆ เท่ากบั จานวน คนทท่ี าถกู

St2 หารดว้ ยจานวนคนสอบทั้งหมด

โดย แทน สดั สว่ นของผู้ทาผิดในข้อหนึ่ง ๆ หรือ 1-P

แทน คะแนนความแปรปรวนของแบบทดสอบ
X2 2
St2  N N  X

N 1

เม่อื X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
X2 แทน ผลรวมของคะแนนแตล่ ะตัวยกกาลังสอง

N แทน จานวนข้อมูลทง้ั หมด
4. เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดยใช้ t–test (Dependent– Samples)
โดยใชส้ ตู ร ดงั น้ี (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545 : 112)

t D
nD2 (D)2

(n 1)

เม่อื t แทน คา่ สถติ ิที่ใชเ้ ปรียบเทียบกบั ค่าวิกฤตเพ่อื ทราบความมนี ยั สาคัญ
D แทน คา่ ผลต่างระหว่างคูค่ ะแนน
n แทน จานวนกลมุ่ ตัวอยา่ งหรอื จานวนคูค่ ะแนน

D แทน ผลรวมของความแตกต่างจากการเปรียบเทียบกนั

เปน็ รายบุคคลระหวา่ งคะแนนที่ได้รับจากการทดสอบ
ก่อนเรียนกบั ทดสอบหลงั เรียน

บทท่ี 4

ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

รายงานการวิจัยและพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นคดิ วเิ คราะห์ สกู่ ารเขียนเชงิ สร้างสรรค์ การเขียน
เรียงความ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีลาดับขน้ั ในการนาเสนอข้อมูลดงั นี้

1. สัญลักษณท์ ี่ใช้ในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
2. ลาดบั ข้ันตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
3. ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

สัญลกั ษณ์ทใ่ี ช้ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู

N แทน จานวนนักเรยี น
X แทน คะแนนเฉลี่ย (Mean)
S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
E1 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์จากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนของแบบฝกึ
E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธจ์ ากการทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธห์ิ ลงั เรยี น
t แทน สถิตทิ ดสอบทีใ่ ชเ้ ปรียบเทยี บคา่ วิกฤติเพอื่ ทราบความมีนัยสาคญั
df แทน ระดบั ความเป็นอิสระ (Degrees of Freedom)

ข้ันตอนในการเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

ตอนท่ี 1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิง
สร้างสรรค์ การเขยี นเรียงความ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80

ตอนท่ี 2 การวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนท่ี
เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3

ผลการวิเคราะห์ข้อมลู

ตอนท่ี 1 วิเคราะหห์ าประสทิ ธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์
การเขยี นเรยี งความ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 รายละเอียดดังตารางที่ 4.1-
4.2

ตารางที่ 4.1 ผลการวเิ คราะหป์ ระสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์
การเขียนเรยี งความ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3

นักเรยี นคนท่ี แบบทดสอบหลงั เรยี น แบบทดสอบ
แบบฝกึ ทกั ษะ วัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หลงั
1
2 (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) เรียน
3 (คะแนนเต็ม 40 คะแนน)
4 48
5 49 38
6 31 37
7 46 28
8 48 36
9 31 38
10 40 29
11 35 33
12 47 29
13 39 37
14 39 31
15 35 37
16 47 28
48 38
40 36
39 32
37

ตารางที่ 4.2 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแบบฝึกทกั ษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์
การเขยี นเรยี งความ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 (ตอ่ )

นกั เรียนคนท่ี แบบทดสอบหลงั เรียน แบบทดสอบ
แบบฝึกทกั ษะ วดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น หลัง
17
18 (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) เรยี น
19 (คะแนนเตม็ 40 คะแนน)
20 40
21 43 31
22 41 38
23 34 31
24 43 29
25 39 37
26 48 30
27 36 37
28 43 28
29 37 35
30 44 28
31 37 36
32 40 29
33 42 31
รวม 39 36
คะแนนเฉลย่ี ( X ) 36 33
รอ้ ยละของคะแนนเฉลีย่ (E1/E2) 39 31
1,343 33
40.67 1,097
81.40 33.24
83.10

จากตารางที่ 4.1 และ 4.2 พบว่า คะแนนเฉล่ียของนักเรียนจากการทาแบบทดสอบหลังเรียนของ
แบบฝึกทักษะท้งั 5 ชดุ มคี า่ เท่ากับ 40.67 จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.40 และคะแนน
เฉลี่ยจากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเท่ากับ 33.24 จากคะแนนเต็ม 40
คะแนนคิดเป็นร้อยละ 83.10 ดังน้ันแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การ
เขยี นเรยี งความ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ มีประสทิ ธภิ าพเท่ากับ 81.40/83.10

ตอนที่ 2 การวเิ คราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่
เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูปสาหรับประมวลข้อมูลทางสถิติ SPSS ใช้วิธีการ Paired-
Samples T Test ท่ีนัยสาคัญทางสถิติ 0.01 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล รายละเอียดดังแสดงในตารางท่ี 4.3

ตารางท่ี 4.3 ผลการวเิ คราะห์เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรียนกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น

ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น N X S.D. t df Sig. (2-Tailed )
คะแนนก่อนเรยี น 20.5

33 5 2.33 -16.584** 32 .000

คะแนนหลงั เรียน 33.2

33 4 3.66

จากตารางท่ี 4.3 พบว่า ค่า t = -16.584 และค่า Sig.(2-Tailed ) = .000 ซ่ึงน้อยกว่าสมมติฐานที่
ตง้ั ไว้ คอื นัยสาคัญทางสถิติ 0.01 แปลผลได้วา่ คะแนนเฉลย่ี ของการสอบหลังเรยี นมีค่าสูงกว่าคะแนนเฉล่ีย
การสอบก่อนเรียนจริง ดังน้ัน นักเรียนท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิง
สร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีผลสัมฤทธ์ิทาง การเรียนหลังเรียนสูง
กว่าก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .01

บทท่ี 5

สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

รายงานการวิจัยและพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นคดิ วเิ คราะห์ ส่กู ารเขยี นเชิงสร้างสรรค์ การเขียน
เรยี งความสาหรบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 มีประเด็นสาคญั สรปุ ไดด้ งั น้ี

วัตถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา

1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระ การ
เรยี นร้ภู าษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ทมี่ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80

2. เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้เรียนจากการเรียนโดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ สกู่ ารเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์ การเขียนเรียงความ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3

สมมตฐิ านของการศึกษา

ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การ
เขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธ์ิทาง การเรียนหลัง
เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .01

วิธีดาเนนิ การศึกษา

1. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนขุมคาวิทยาคาร อาเภอกุดข้าวปุ้น
จังหวัดอุบลราชธานี สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ ภาคเรียนท่ี 1 ปี
การศึกษา 2565 จานวน 50 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

2. เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการศึกษา
2.1 แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ัน

มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3
2..2แบบทดสอบหลังเรียนของแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์

การเขยี นเรียงความ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบปรนัย ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 10 ขอ้
3. วิธีดาเนนิ การทดลอง
3.1 กาหนดวันและเวลาการทดลองตามแผนการจดั การเรยี นรู้
3.2 ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีผู้ศึกษาสร้างข้ึน จานวน

40 ข้อ
3.3 ดาเนนิ การตามแผนการจดั การเรยี นรทู้ ผ่ี ้ศู ึกษาสร้างขนึ้

3.4 ทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบหลงั เรียนของแบบฝกึ ทกั ษะแต่ละชุด
3.5 ทดสอบหลังเรียนหลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครบตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนชุดเดมิ กับทใี่ ชท้ ดสอบก่อนเรยี น
3.6 รวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมูลทไี่ ด้

สรปุ ผลการศึกษา

การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 สรปุ ผลการศึกษาได้ ดังน้ี

1. แบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ท่ีพัฒนาขนึ้ มปี ระสทิ ธภิ าพ 81.40/83.10 ซึง่ สูงกวา่ เกณฑ์ท่ีกาหนดคือ 80/80

2. นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ีนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี
สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามัธยมศกึ ษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ
ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ชั้น
มธั ยมศึกษาปีที่ 3 มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
เปน็ ไปตามสมมตฐิ านท่ตี ั้งไว้

อภิปรายผล

แบบฝึกทักษะการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ สูก่ ารเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ันมัธยมศึกษา
ปีท่ี 3 จากผลการศึกษาพบว่า มีประสทิ ธภิ าพเท่ากับ 81.40/83.10 หมายความว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย
จากการทาแบบทดสอบหลังเรียนของแบบฝึกทักษะท้ัง 5 ชุด เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 81.40 และคะแนน
เฉลี่ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 83.10 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดคือ 80/80 ท้ังน้ี
อาจเป็นเพราะผู้ศึกษาได้สร้างแบบฝึกทักษะที่สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานของ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย โดยครจู ัดกจิ กรรมท่ีเนน้ การพัฒนาผู้เรยี นให้เป็นผู้มีนิสัยรักการอ่านและเขียน เป็นเครื่องมือที่ทา
ให้นกั เรียนได้รบั การฝกึ ฝน ความสามารถในการอ่าน การคิด การวิเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรีย์มาศ บุญฤทธ์ิรุ่งโรจน์ (2551 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาแบบ
ฝึกการเขียนเรียงความ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาข้อมูล
พื้นฐาน 2) พัฒนาและหาประสิทธิภาพแบบฝึก 3) ทดลองใช้ และ 4) ประเมินและปรับปรุงแก้ไข กลุ่ม
ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนพระ
ปฐมวิทยาลัย อาเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม จานวน 53 คน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกการเขียน
เรียงความประกอบด้วย คาช้ีแจงวัตถุประสงค์ แผนการเรียนรู้ ใบความรู้ ใบงาน แบบประเมินตนเอง
แบบฝึกการอ่านท้ังหมดจานวน 6 แบบฝึก คือ การเลือกใจความสาคัญจากรูปภาพ การฝึกต้ังคาถามจาก
ข้อความ การจับใจความสาคัญจากข้อความ การต้ังช่ือเร่ือง การเลือกใจความสาคัญของข้อความและเรื่อง
และการสรปุ ใจความสาคัญของเร่ือง และแบบฝึกมปี ระสิทธิภาพ 82.17 / 85.00

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 อาเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัด
อบุ ลราชธานี สานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษาอุบลราชธานี อานาจเจริญ

ท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ัน
มธั ยมศึกษาปีที่ 3 มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
เป็นไปตามสมมติฐานที่ต้ังไว้ ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหลังจากการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการ
อ่าน คิดวิเคราะห์ สู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรียงความ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 เหตุผลที่ทาให้
นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพ่ิมข้ึน ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะผู้ศึกษาได้เลือกรูปแบบการสอนที่
เหมาะสมกับผู้เรียนโดยเฉพาะรูปแบบการสอนท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนตระหนักถึงความ มีพัฒนาการในด้าน
ทักษะการอา่ น คิดวิเคราะห์ สกู่ ารเขียนเชิงสร้างสรรค์ ตระหนักถึงวัฒนธรรมไทย การใช้ภาษาไทยท่ีถูกต้อง
และได้สอดแทรกคุณธรรม จรยิ ธรรม เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ
สุรีย์มาศ บุญฤทธ์ิรุ่งโรจน์ (2551 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาแบบฝึกการเขียนเรียงความ สาหรับนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 การวิจัยครั้งน้มี วี ตั ถุประสงค์ 1) ศึกษาข้อมูลพ้ืนฐาน 2) พฒั นาและหาประสิทธิภาพแบบ
ฝึก 3) ทดลองใช้ และ 4) ประเมินและปรับปรุงแก้ไข กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียน ชั้น
มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ผลการประเมินแบบฝึกพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
ด้วยแบบฝึกการเขียนเรียงความแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิที่ ระดบั 0.01

ขอ้ เสนอแนะ

1. ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้
1.1 การนาแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ น คดิ วิเคราะห์ ส่กู ารเขียนเชงิ สร้างสรรค์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้

ภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ไปใช้ควรศึกษารายละเอียดของแผนการจัดการเรียนรู้ให้เข้าใจก่อนนาไป
ประยุกตใ์ ช้งานจริง และเพ่อื ให้บรรลุวัตถุประสงคข์ องผู้ศึกษาท่ีไดต้ ้งั ไว้

1.2 ครูผู้สอนสามารถนาไปเสริมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม แบบฝึกทักษะแต่ละ
ชุดมีความสมบรูณ์จบในตัวเอง นักเรียนจะเลือกฝึกเร่ืองใดก่อนก็ได้ตามความต้องการ หรือครูผู้สอนจะ
เสนอแนะใหเ้ ลือกฝกึ โดยคานึงถึงความสอดคล้องกับเนื้อหาสาระหลักที่เรียนอยู่เพ่ือเป็นการเพ่ิมเติมความรู้
และเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรยี น

2. ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การทาศึกษาคร้ังต่อไป
2.1 พัฒนาแบบฝกึ ทักษะเปน็ เกมการสอนด้วยคอมพวิ เตอร์
2.2 ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหวา่ งการแบบฝกึ ทักษะกับวิธีสอนแบบอื่น ๆ

เช่น การสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา การเรียนโดยการใช้ชุดการสอน การเรียนโดยใช้เกม การเรียน
โดยใชแ้ ผนผงั ความคดิ เป็นต้น

บรรณานกุ รม

กมล สุดประเสรฐิ . (2533). เอกสารการสอน ชดุ วิชากจิ กรรมและเครือ่ งมือแนะแนว. นนทบรุ ี :
มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.

กรมวชิ าการ. (2545). เอกสารประกอบหลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 คู่มือ
การจดั การเรยี นรู้ กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : องค์การรับส่งสินคา้ และพสั ดุ
ภัณฑ์ (ร.ส.พ.).

คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2534). คมู่ อื อบรมครูแนวการใชห้ ลักสูตรประถมศึกษา
พทุ ธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2533) และการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 1-2. กรงุ เทพมหานคร. กรงุ เทพ ฯ : การศาสนา.

เครอื วัลย์ เผ่าผ้ึง. (2548). การพฒั นาคู่มอื การจดั กิจกรรมส่งเสรมิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียนส่ือ
ความสาหรับครภู าษาไทย. วิทยานพิ นธป์ ริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลักสตู ร
และการนิเทศ มหาวิทยาลยั ศิลปากร.

จรรยา ศรพี นั ธบุตร. (2533). การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิ์และเจตคติตอ่ การเขียนเรียงความของ
นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ระหวา่ งกลุ่มท่ีสอนโดยใช้และไมใ่ ชช้ ดุ ฝึกการเขียน.
วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.

ฉววี รรณ ไวพจน.์ (2549). การพฒั นาแบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และ
เขียนสือ่ ความ ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6. วิทยานพิ นธป์ ริญญาการศึกษามหาบณั ฑติ
สาขาวชิ าการวดั ผลการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.

ชวาล แพรตั กุล. (2520). เทคนคิ การเขียนขอ้ สอบ. กรุงเทพฯ: พทิ ักษ์อักษร.
ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ (2536). การทดสอบประสทิ ธิภาพชดุ การสอน. ในเอกสารประกอบการสอน

ชดุ วิชาส่ือการสอนระดับประถมศกึ ษา หน่วยที่ 8-15, หน้า 201-208. นนทบุรี :
มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2537). เอกสารชุดวิชาสื่อการสอน ระดับประถมศกึ ษา หน่วยที่ 8 – 15. พิมพ์
ครงั้ ที่ 2. นนทบุรี : มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2546). เทคโนโลยีการศกึ ษา : ทฤษฎีและการวจิ ัย. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์.
ณฎั ฐพงษ์ เจรญิ พิทย.์ (2542). การวัดผลการเรยี นวิทยาศาสตร.์ กรุงเทพฯ : ภาควชิ าหลักสตู รและการ
สอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.
ทศิ นา แขมมณี. (2545). ศาสตร์การสอน : องค์ความรูเ้ พือ่ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ท่มี ี
ประสทิ ธภิ าพ. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
นภเนตร ธรรมบวร. (2537). จะวัดผลและประเมินผลพัฒนาการเด็กปฐมวัยอย่างไร.
วารสารวชิ าการอดุ รศึกษา 4(1), 70 – 76.
นภเนตร ธรรมบวร. (2551). การพัฒนากระบวนการคดิ ในเด็กปฐมวยั . กรงุ เทพ ฯ : จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
นติ ยา ฤทธิ์โยธี. (2520). “การทาและการใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะ” เอกสารเผยแพรค่ วามรทู้ างการสอน
ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ กรมสามญั ศึกษา.

บุญชม ศรสี ะอาด. (2545). การวิจัยเบ้ืองต้น. พมิ พ์ครั้งท่ี 2. กรงุ เทพฯ : สุวรี ิยาสาส์น.
บุญธรรม กิจปรีดาบรสิ ทุ ธ์ิ. (2542). เทคนคิ การสร้างเครอื่ งมอื รวบรวมข้อมูลสาหรับการวจิ ยั .กรุงเทพฯ

: บี & บี พบั ลชิ ชง่ิ .
เผชิญ กิจระการ. (2551). การวเิ คราะหป์ ระสิทธิภาพสอื่ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (E1/E2). ใน

วารสารการวัดผลการศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 7(1), 49-50.
ผอ่ งพรรณ เกดิ พทิ กั ษ์. (2524). การแนะแนวและการใหค้ าปรกึ ษาในโรงเรียนประถมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ :

พฒั นาตาราและเอกสารวิชาการหนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหดั คร.ู
พวงรตั น์ ทวรี ตั น์. (2531). การสรา้ งและพัฒนาแบบทดสอบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น. กรุงเทพฯ : สานัก

ทดสอบทางการศกึ ษาและจติ วิทยา มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒประสานมติ ร.
ไพศาล หวงั พานชิ . (2526). การวดั ผลการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
ยุพา ยม้ิ พงษ์. (2532). การสรา้ งแบบฝึกการเขียนคาท่ใี ชอ้ ักษรควบ “ร” “อ” และ “ว” สาหรบั

นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4. วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวจิ ยั ทางการศกึ ษา. พิมพ์ครั้งท่ี 5. กรงุ เทพฯ : สุ
วีรยิ าสาสน์ .
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. (2541). เทคนิคการสรา้ งและสอบข้อสอบความถนัดทางการเรยี น.
กรงุ เทพฯ : สุวรี ยิ าสาส์น.
วรรณี โสมประยรู . (2537). การวดั แลประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กประถมศึกษา. ประมวลสาระชดุ วชิ า
สมั มนาการประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.
สมนกึ ภัททยิ ธานี. (2537). การวดั ผลการเรยี น. มหาสารคาม : ภาควิชาการวัดผลและวิจยั ทาง
การศึกษา มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรว์ ิโรฒ มหาสารคาม.
สมภาร ทา้ วบตุ ร. (2547). การสร้างแบบประเมินความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขยี นสื่อ
ความตามหลกั สูตรการศึกษาขึ้นพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นร้คู ณติ ศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4. วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการวดั ผล
การศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สุจริต เพยี รชอบ และสายใจ อนิ ทัมพรรย์. (2538). วิธสี อนภาษาไทยระดับมธั ยมศกึ ษา. กรุงเทพฯ :
ไทยวฒั นาพานิช.
สุนิสา งามเมอื ง. (2549). การพฒั นาแบบประเมินการอ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขียน ของนักเรยี นระดบั
การศกึ ษาขึ้นพืน้ ฐาน ช่วงช้ันท่ี 1 โรงเรียนในกลมุ่ ปัทมาลยั เขตพนื้ ทีก่ ารศึกษา
พระนครศรีอยุธยา เขต...... วิทยานิพนธป์ รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการวดั
และประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช.
สนุ ันทา สนุ ทรประเสรฐิ . (2551). การผลิตนวัตกรรมการเรยี นการสอนการสร้างแบบฝึกเลม่ 2.
กรุงเทพฯ : ชมรมพัฒนาความรูด้ ้านระเบียบกฎหมาย.
สุรยี ม์ าศ บุญฤทธร์ิ งุ่ โรจน์. (2551). การพัฒนาแบบฝึกการเขยี นเรยี งความ สาหรับนักเรยี นช้นั
มัธยมศึกษาปีท่ี ...... วทิ ยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตรและการ
นเิ ทศ มหาวิทยาลยั ศิลปากร.

สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาต.ิ (2545). พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542
และทแ่ี ก้ไขเพิม่ เตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : พรกิ หวานกราฟฟิค.

Smith, F. (1992). To think in language, learning and education. London : Routledge.


Click to View FlipBook Version