The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การทำเครื่องสำอางจากน้ำนมแพะ D.I.Y (Do it yourself) ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Livestock Products, 2020-11-01 21:04:42

การทำเครื่องสำอางจากน้ำนมแพะ D.I.Y (Do it yourself) ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

การทำเครื่องสำอางจากน้ำนมแพะ D.I.Y (Do it yourself) ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

การทาเคร่ืองสาอางจากน้านมแพะ COSMETIC PRODUCTS
D.I.Y (Do it yourself)
งา่ ยๆ ด้วยตัวเอง

ประจำปีงบประมำณ 2564

Soap, Lotion, Lip balm, Salt scrub from Goat milk
ศูนยว์ ิจัยและพัฒนาผลิตภณั ฑป์ ศุสัตวเ์ ชยี งใหม่
กองผลิตภณั ฑป์ ศุสัตว์ กรมปศุสัตว์

คานา

เอกสำรคู่มือเล่มน้ี ได้รวบรวมเน้ือหำเพื่อนำมำจัดทำเป็น
เอกสำรประกอบกำรฝึกอบรมกำรทำเครื่องสำอำงจำกน้ำนมแพะ
หลกั สูตร “กำรทำผลติ ภณั ฑ์ควำมงำมจำกน้ำนมแพะอย่ำงง่ำย”
ข อ ง ศู น ย์ วิ จั ย แ ล ะ พั ฒ น ำ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ป ศุ สั ต ว์ เ ชี ย ง ใ ห ม่
ก อ ง ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ป ศุ สั ต ว์ ก ร ม ป ศุ สั ต ว์ โ ด ย ไ ด้ บ ร ร ย ำ ย ถึ ง
องค์ประกอบและวิทยำศำสตร์ของน้ำนมแพะ ควำมรู้เบ้ืองต้น
เก่ี ยว กั บ เค ร่ือ งส ำ อ ำ ง ที่ผ สม น้ำ น ม เพื่ อน ำ ไ ป สู่ ก ำ รผ ลิ ต ที่ ถู ก วิ ธี
สำหรับผู้ประกอบกำรรำยใหม่ รวมถึงสูตรพ้ืนฐำนในกำรผลิต
เครื่องสำอำงจำกน้ำนมแพะแบบง่ำย ซ่ึงเม่ือได้ผ่ำนกำรฝึกอบรม
ดงั กลำ่ ว เกษตรกรและผู้ประกอบกำรจะสำมำรถนำควำมรู้ท่ีได้ ไป
ผลิตเคร่อื งสำอำง แบบง่ำยได้ด้วยตนเอง และสำมำรถนำไปต่อ
ยอดเพ่ือทำเปน็ ธุรกิจภำยในครัวเรือนหรอื ภำยในชุมชนไดต้ ่อไป

ผู้จัดทำหวังเป็นอย่ำงยิ่งว่ำ คู่มือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์
แก่ผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรมและผู้ที่สนใจนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์
สูงสุดต่อไป

ศูนยว์ ิจยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑป์ ศุสตั วเ์ ชยี งใหม่

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลติ ภณั ฑป์ ศุสตั ว์เชียงใหม่ COSMETIC PRODUCT

สารบญั

1 บทนำ
4 องค์ประกอบนำ้ นมแพะ
9 กำรให้ควำมรอ้ นแกน่ ม
12 หลักในกำรผลติ นมแพะอย่ำปลอดภัย
16 กำรทดสอบคณุ ภำพนำ้ นมแพะ
20 ขอ้ ควรรู้กอ่ นกำรผลิตเคร่ืองสำอำง
22 องค์ประกอบในกำรผลิตเคร่ืองสำอำงท่มี ีคุณภำพ
27 ควำมรู้พ้ืนฐำนสำหรบั กำรผลิตเครือ่ งสำอำงเบือ้ งต้น
35 สำรกนั เสียในเครื่องสำอำง
41 เครือ่ งสำอำงนำ้ นมแพะ
58 สบนู่ ำ้ นมแพะฝังลำย
60 เกลอื ขดั ผวิ นำ้ นมแพะ
62 โลชั่นนำ้ นมแพะ
64 ลปิ บำลม์ เนยสดนมแพะ

ศูนย์วจิ ัยและพัฒนำผลิตภณั ฑป์ ศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ COSMETIC PRODUCT

บทท่ี 1 บทนา

แพะเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มีขนำดเล็ก มีควำมทนทำนต่อสภำพแวดล้อมที่แห้งแล้งได้

และสำมำรถกินพืชอำหำรสัตว์ได้หลำยชนิด สำมำรถเจริญเติบโต และขยำยพันธุ์ได้เร็ว

เน่ืองจำกมีอำยุกำรเป็นหนุ่มสำว และระยะตั้งท้องสั้นเพียง 150 วัน อีกทั้งยังใช้พื้นท่ี
เลย้ี งตอ่ ตวั น้อย ปัจจุบันมีผู้นิยมบริโภคน้ำนมแพะเพิ่มมำกขึ้น เน่ืองจำกเป็นแหล่ง
โปรตีนที่สำคัญ ทั้งยังมีคุณสมบัติและส่วนประกอบใกล้เคียงหรือสูงกว่ำน้ำนมโค

ไม่วำ่ จะเป็นไขมนั โปรตนี กรดอะมิโน และวิตำมิน นอกจำกน้ีนมแพะยังมีเม็ดไขมัน

ขนำดเล็กท่ีร่ำงกำยสำมำรถ ย่อย และดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่ำงรวดเร็ว
นมแพะเหมำะอยำ่ งยง่ิ สำหรับผู้ที่แพ้นำ้ นมโค จำกกำรท่จี ำนวนผู้บรโิ ภคน้ำนมแพะเพิ่มมำขึ้น
ทำใหม้ เี กษตรกรผเู้ ลย้ี งแพะนมเพ่ิมสงู ขนึ้ เช่นกัน

ปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ควำมสนใจเกี่ยวกับสุขภำพและควำมปลอดภัย
ของอำหำรมำกขึ้น นมแพะจึงเป็นทำงเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคท้ังเด็กและผู้ใหญ่
สำมำรถดมื่ ไดท้ ุกเพศทุกวัย นมแพะเปน็ นมชนิดแรกท่ีมนุษย์นำมำบริโภคก่อนน้ำนม
จำกสัตว์ชนิดอื่น เพรำะนมแพะได้รับควำมเชื่อถือและกล่ำวขำนกันมำช้ำนำนว่ำมี
คณุ สมบตั ิทำงยำใช้ด่มื เพื่อรักษำโรคเกยี่ วกบั ระบบทำงเดนิ หำยใจ และเช่ือว่ำโปรตีน
ในน้ำนมแพะจะทำให้เม็ดเลือดขำวทำงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพจึงจำให้ภูมิต้ำนทำน
ในรำ่ งกำยดขี น้ึ อีกดว้ ย (Francois Morgan and Patrice Gaborit, 2001)

อย่ำงที่ทรำบกันดีว่ำนมเป็นอำหำรที่มีสำรอำหำรครบถ้วน และย่อยง่ำย
เปน็ แหล่งโปรตนี ทีส่ ำคญั ต่อกำรเจริญเตบิ โตของรำ่ งกำย และมีประโยชน์อย่ำงยิ่ง
ต่อร่ำงกำยมนุษย์โดยเฉพำะเด็ก เป็นแหล่งของแคลเซียมซึ่งช่วยป้องกันโรคกระดูกผุ

สมเกยี รติ (2528)

กล่ำวว่ำนมแพะมีคุณสมบัติและส่วนประกอบต่ำงๆ ใกล้เคียงหรือสูงกว่ำนมโค
และนมมำรดำ ไม่ว่ำจะเปน็ ไขมนั โปรตีน กรดอะมโิ นและวิตำมิน ดังนั้นนมแพะจึงมีควำม
เหมำะสมต่อกำรใช้บริโภคแทนนมมำรดำได้ดีกว่ำนมโค รวมทั้งมีสัดส่วนของกรดไขมัน
ขนำดกลำง (medium chain fatty acid, C16–C14) สูงกว่ำนมโค โดยมีกรดไขมัน caproic
(C6), caprylic (C8), capric (C10) ซี่งกรดไขมันมันทั้ง 3 ตัวน้ีมีประโยชน์ในทำงกำรแพทย์
โดยใช้ในกำรรักษำ malabsorption syndrome, intestinal disorders นมแพะ
จะมขี นำดเม็ดไขมนั เลก็ เพียง 2 ไมครอน แตน่ มโคจะมขี นำดเม็ดไขมนั อยู่ท่ี 20–30 ไมครอน
ซึ่งเม็ดไขมนั ทีเ่ ลก็ จะยอ่ ยง่ำย และถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่ำนมโค และมีคุณสมบัติใน
กำรกระจำยตั วเป็ นเนื้ อเดี ยวกั น ดั งนั้ นนมแพะจึ งมี กำรโฮโมจิ ไนซ์ (homogenize)
โดยธรรมชำติไม่จำเป็นต้องผ่ำนขบวนกำรโฮโมจิ ไนซ์ในกำรผลิตเหมือนน้ำนมโค
เมื่อเม็ดไขมันแตกออกจะทำให้เอนไซม์ Xantine oxidase ลอยออกมำเป็นอิสระและ
จะผ่ำนเข้ำสู่ผนังลำไส้ และดูดซึมเข้ำสู่กระแสเลือดทำให้เกิดเป็นแผลต่อหัวใจและ
ห ลอด เลือด แ ด ง แ ล้วจ ะ ท ำ ให้ร่ำ งก ำ ยเกิด ก ระ บวน ก ำ รขับ cholesterol ลงสู่
กระแ สเลื อดเพื่ อเคลื อบรอยแผลซึ่ งจะน ำไปสู่ สภำวะผนั งหลอด เลื อด แข็ งตั ว
(ateriocierosis) อไุ รพร (2547)

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสตั ว์เชียงใหม่ COSMETIC PRODUCT

กล่ำวว่ำส่วนประกอบบำงส่วนของโปรตีนในนมแพะแตกต่ำงจำกนมโค ทำให้เมื่อเจอ
กรดในกระเพำะอำหำรเกิดเป็นลิ่มนม ซึ่งลิ่มนมในนมแพะจะมีควำมอ่อนนุ่มกว่ำและ
ขนำดเล็ดกว่ำลิ่มของนมโค จงึ ทำใหน้ มแพะยอ่ ยงำ่ ยและเรว็ กวำ่ นมโค เม่ือเปรียบเทียบ
คุณค่ำทำงโภชนำกำรของน้ำแพะ นมโคและมำรดำพบว่ำสำรอำหำรในน้ำนมแพะ
มีหลำยชนิด และมปี รมิ ำณสงู กวำ่ นมโค ดังแสดงในตำรำงท่ี 1

ตำรำงท่ี 1 กำรเปรียบเทยี บคำ่ เฉล่ียองคป์ ระกอบ ในน้ำนม 100 กรมั

สำรอำหำร นมแพะ นมโค นมมำรดำ
12.97 12.01 12.50
ธำตุนำ้ นมทงั้ หมด (Total 69 61 70
solids) (กรมั ) 3.56 3.29 1.03
4.14 3.34 4.38
พลงั งำน 4.45 4.66 6.89
(กโิ ลแคลอร)่ี 0.82 0.72 0.20
111 93 14
โปรตีน 134 119 32
(กรมั ) 50 49 17
204 152 51
ไขมนั 185 126 24
(กรมั ) 11 14 14
3.49 4.55 -
คำรโ์ บไฮเดรต
(กรัม)

เถ้ำ
(กรมั )

ฟอสฟอรัส
(มลิ ลิกรัม)

แคลเซยี ม
(มลิ ลิกรัม)

โซเดียม
(มลิ ลกิ รัม)

โพแทสเซียม
(มลิ ลิกรัม)

วติ ำมิน เอ
(หนว่ ยสำกล,UI)

โคเลสเตอรอล
(มิลลิกรัม)

ขนำดของเม็ดไขมนั
(ไมโครมิลลิกรมั )

ที่มำ : Posati & Orr, 1976

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลิตภัณฑ์ปศุสตั วเ์ ชียงใหม่ 2 COSMETIC PRODUCT

เน่ืองจำกนมแพะมีโครงสร้ำงอำหำรใกล้เคียงกับน้ำนมมำรดำ นมแพะ
สำ ม ำรถ นำ ม ำเลี้ยงท ำ รก ไ ด้ดี เพรำะ ในด้ำ น ของคุณค่ำท ำ งอำ หำ รนั้ น
สูงเทียบเท่ำกับนมมำรดำมำกที่สุด จึงเหมำะสำหรับเป็นอำหำรแก่เด็กท่ีกำลัง
เติบโตดีท่ีสดุ โดยจะเปลี่ยนคำร์โรทีนเป็นวิตำมินเอ จึงทำให้นมแพะมีสีค่อนข้ำง
ขำวกวำ่ นมโค ซึ่งยงั มีบำงส่วนอยูใ่ นรปู คำโรทีนอยด์ (มำนิตย์, 2549)

กำรดมื่ นมแพะให้ไดป้ ระโยชนส์ ูงสดุ
จำกคุณสมบัตพิ ิเศษของนมแพะที่มโี มเลกลุ ขนำดเลก็ เม่ือเข้ำสู่ร่ำงกำย

สำมำรถย่อยได้ง่ำยและร่ำงกำยสำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี จึงควรเลือก
เวลำด่ืมนมแพะอย่ำงเหมำะสม เวลำที่ดีท่ีสุดของกำรดื่มนมแพะ คือดื่มในท้องว่ำง
และก่อนนอน ไม่ควรดื่มนมแพะหลังอำหำรในแต่ละมื้อ เพรำะเม่ืออำหำรตกถึง
กระเพรำะอำหำรจะใช้เวลำย่อยประมำณ 4 ชั่วโมง หำกดื่มนมแพะตำมเข้ำไป
แทนที่สำรอำหำรจำกนมแพะจะไปยังลำไส้เล็กได้เลย ก็ต้องถูกขัดขวำงจำก
อำหำรทร่ี อกำรย่อยเหลำ่ นน้ั ซง่ึ ระหว่ำงน้ีทั้งอำหำร และนมแพะท่ีผสมกันอยู่ใน
กระเพำะอำหำรอำจทำให้เกิดกำรหมัก บูด เกิดแก๊สซึ่งผลที่ตำมมำทำให้เกิด
อำกำรแนน่ จกุ หรือไม่สบำยทอ้ งได้

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลติ ภัณฑป์ ศุสัตว์เชียงใหม่ 3 COSMETIC PRODUCT

บทที่ 2 องค์ประกอบน้านมแพะ

คำกล่ำวที่ว่ำ “นมคืออำหำรท่ีค่อนข้ำงสมบูรณ์มำกที่สุด”
(Milk is the most nearly food) นั้น ยังเป็นคำกล่ำวท่ี
ถูกต้องทง้ั ในอดตี และปจั จบุ นั คำจำกดั ควำมของนมในทำง
อุตสำหกรรมมีดังน้ี คือ “นมคือสิ่งที่ถูกรีดออกมำจนหมด
จำกเต้ำนมของโค กระบือ แพะ และแ กะท่ีมีสุขภำพดี
และนมต้องมีลักษณะปกติ สะอำด และสด โดยกำรรีดใน
ช่วงเวลำดังต่อไปน้ี คือ อย่ำงน้อย 72 ชั่วโมงภำยหลัง
กำรคลอดลูก หรือจนกว่ำจะปรำศจำกนมน้ำเหลือง ไม่ว่ำ
ส่งิ ที่ขบั ออกมำน้ีจะผ่ำนกระบวนกำรแปรรปู อยำ่ งไรหรือไม่ก็ตำม”
เม่ือพิจำรณำถึงองค์ประกอบท่ีสำคัญในนมแพะ จะแสดงไว้
ดังตำรำงท่ี 1

องคป์ ระกอบ นมแพะ

น้ำ (กรัม) 87

น้ำตำลแลคโตส (กรัม) 4.45

ไขมัน (กรมั ) 4.14

โคเลสเตอรอล (กรัม) 11

โปรตนี (กรัม) 5.56

แคลเซียม 134

ฟอสฟอรสั 111

เหลก็ 0.05

แมกนเี ซียม 14

โปรแตสเซยี ม 204

วติ ำมนิ เอ (ยูนติ ) 185

วติ ำมินบี 6 (มิลลิกรมั ) 0.046

วติ ำมินบี 12 (ไมโครกรัม) 0.065

วิตำมนิ ซี (มิลลิกรัม) 1.29

ทีม่ ำ : ดัดแปลงจำก Ensminger A.H. et al (1995)

ศูนย์วจิ ยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสตั ว์เชยี งใหม่ COSMETIC PRODUCT

ควำมผนั แปรขององค์ประกอบของนม
องค์ประกอบของนมที่มักผันแปรได้ เช่น น้ำ, มันเนย, ธำตุน้ำนมไม่รวมมันเนย,
แม่แพะ และขำดอำหำรหยำบทำให้เปอรเ์ ซ็นต์มันเนยต่ำ

ปัจจัยทมี่ อี ทิ ธิพลตอ่ มนั เนยของนม (Factors influencing the butter fat of milk)
มีปัจจัยหลำยอย่ำงท่ีทำให้เปอร์เซ็นต์มันเนยผันแปรได้ ซึ่งจะนำมำอธิบำย
ดงั ตอ่ ไปน้ี (Gajewaska,และคณะ 1996) คอื
1. พันธุ์ของแพะ (Breed) นมของแพะพันธุ์ต่ำงๆ มีเปอร์เซน็ ต์มันเนยแตกต่ำงกันไป
ต้งั แต่ 2.4% ของแพะพันธุ์ทอกเกนเบอร์ก จนถงึ มันเนย 4% ของแพะพันธ์ุแองโกลนูเบียน
2. ลักษณะเฉพำะตัว (Individuality) เปอร์เซ็นต์มันเนยของนมแพะแต่ละตัว
ย่อมแตกต่ำงกันไปได้แม้ว่ำจะเป็นแพะพันธุ์เดียวกัน ควำมแตกต่ำงน้ีเน่ืองมำจำก
ลักษณะตัวของแพะเอง คือเปน็ ควำมผันแปรทำงสรรี ะและพันธกุ รรมของแมแ่ พะ
3. อำยขุ องแม่ (Age)
4. ชว่ งเวลำต่ำงๆ ของระยะกำรใหน้ ม (State of lactation)
5. ฤดูกำลของปี (Seasons of the year)
6. อำหำร

นมผิดปกติ (Abnormal milk)
นมปกติท่รี ีดออกมำแล้ว มำปล่อยใหเ้ สียหรือหมดอำยุ ไม่ถอื ว่ำเป็นนมผิดปกติ
นมผิดปกติ หรือ Abnormal milk จำแนกออกเปน็ 3 ชนิด คอื

1.นมเหลืองหรือนมน้ำเหลือง (Colostrum หรือ early lactation milk)
นมเหลือง คือนมท่ีรีดจำกเต้ำนมภำยหลังคลอดลูกไม่เกิน 3 วัน มีสีเหลืองจัด ข้น
รสเค็ม เป็นนมท่ีกฎหมำยหำ้ มจำหน่ำยแก่ผูบ้ รโิ ภค

ประโยชนข์ องนมเหลอื งสำหรบั ลกู
นมเหลืองนอกจำกจะเป็นอำหำรโดยตรงของลกู แรกเกดิ แล้ว ยังมีคุณสมบัติ

ท่เี ป็นประโยชน์ต่อลกู โคอีก 3 ประกำร คือ
(1) วิตำมินเอ (Vitamin A) นมเหลืองมีวิตำมินเอมำกกว่ำนมปกติ

(นมปกติมีวิตำมินเอประมำณ 0.01–0.05 มิลลิกรัม/นม 100 กรัม หรือประมำณ
160 หน่วย) ดงั นนั้ นมเหลืองจึงใหว้ ิตำมนิ เอพอเพียงแก่ลูกแรกเกดิ

(2) ยำระบำย (laxative) เน่ืองจำกนมเหลืองมีโปรตีนสูงมำกถึง
16.4% ดังนั้นจึงมีควำมเป็นกรดสูง (ควำมเป็นอันเน่ืองมำจำกคุณสมบัติของ
โปรตีน) นมเหลืองที่รีดคร้ังแรกอำจมีควำมเป็นควำมกรดสูงถึง 0.4% (เทียบเท่ำ
ก รด แ ล คติค) เม่ื อลู ก กิน น ม เห ลือง เข้ำ ไ ปจ ะ ท ำ ให้ขับถ่ ำ ยเอ ำ สำ รข้ี เท ำ ช่ื อ
meconium ออกมำจำกลำไส้ ทง้ั นเ้ี พ่ือใหล้ ำไส้ทำหน้ำทดี่ ดู ซมึ อำหำรได้

(3) ภูมิ คุ้ม กันโรค (immunology) นมเหลืองมี โปรตีน มำก และ
เนื่องจำก globulinเป็น immune protein ซึ่งทำหน้ำที่กระตุ้นให้ร่ำงกำยสร้ำง
ภมู คิ ุ้มกนั โรคขนึ้

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสตั ว์เชียงใหม่ 5 COSMETIC PRODUCT

ข้อห้ำมสำหรับนมเหลอื ง
เน่อื งจำกนมเหลืองเป็นนมประเภทผิดปกติ จงึ มขี อ้ หำ้ มและขอ้ ควรระวังดงั นี้
(1) กฎหมำยหำ้ มจำหนำ่ ยนมเหลอื งเพ่ือบรโิ ภค
(2) ห้ำมดื่มนมเหลืองเพรำะจะทำให้ท้องเดิน ทั้งน้ีเพรำะนมเหลืองมี

ควำมเปน็ กรดสูง
(3) ห้ำมเอำนมเหลืองปนลงในนมปกติอ่ืนๆ เพ่ือบริโภคหรือเพ่ือทำ

ผลิตภณั ฑน์ มใดๆ โดยเฉพำะอยำ่ งยิ่ง เพ่ือกำรผลิตเป็นนมสดผ่ำนควำมร้อนต่ำงๆ
เช่น นมพำสเจอร์ไรส์ และยูเอชที เพรำะจะทำให้ผลิตภัณฑ์นมน้ันๆ เสีย (แข็งตัว)
หรือทำให้อำยุของผลิตภัณฑ์นมน้ันสน้ั (เสยี งำ่ ย)

1. นมปลำยระยะกำรให้นม (Late lactation milk) คือ นมที่รีดจำกแม่ใน
ปลำยระยะกำรให้นม นมประเภทน้ีมอี งคป์ ระกอบผดิ ปกติและไม่แนน่ อน

คณุ สมบตั ขิ องนมปลำยระยะกำรให้นม
(1) มกี ลิน่ ไมด่ ี เกดิ กลนิ่ หืนง่ำย (off flavor)
(2) มรี สเค็ม เพรำะมีเกลือคลอไรด์มำก
(3) มีรสขม เพรำะโปรตีนบำงส่วนถกู ย่อย กลำยเปน็ peptone

ขอ้ ห้ำมสำหรับนมปลำยระยะกำรให้นม (Restriction for late lactation)
(1) ห้ ำ ม น ำ ไ ป ผ ลิ ต เ ป็ น น ม ส ด ผ่ ำ น ค ว ำ ม เ พร ำ ะ น ม น้ี ไ ม่ ท น ร้ อ น

อำจแข็งตัวและเสียง่ำยและเป็นนมท่ีมีรสชำติไม่ดี เว้นแต่จะผสมกันนมปกติ
จำนวนมำกเสียก่อน

(2) หำ้ มนำไปผลติ เป็นผลิตภณั ฑน์ มต่ำงๆ เช่น เนยแข็ง นมเปรี้ยว ฯลฯ
เพรำะจะทำใหผ้ ลิตภัณฑท์ ีไ่ ด้มกี ล่นิ หนื

1. นมแมสไตตีส (Mastitis milk) คือนมท่ีรีดมำจำกเต้ำนมท่ีเป็นโรคเต้ำนมที่เป็น
โรคเตำ้ นมอักเสบ (mastitis) อันเน่อื งมำจำกเช้ือจุลินทรีย์ประเภท บำงชนิดเข้ำไป
กินนมนมในเต้ำ และเพ่ิมจำนวนขึ้นอย่ำงมำกมำย เต้ำนมจะอักเสบบวมเปล่งเป็น
ก้อนแขง็ ภำยในเต้ำนม เชือ้ จลุ ินทรยี จ์ ะทำลำยเซลลก์ ลั่นนม ทำให้นมลดลงอย่ำงรวดเร็ว

คณุ สมบตั ขิ องนมแมสไตตสี
(1) นมมี pH สงู
(2) มีรสเคม็
(3) โปรตนี และแลคโตสต่ำ จงึ ทำให้ solid-not-fat ตำ่ ไปด้วย
(4) เอนไซม์ฟอสฟำเตสสงู
(5) เอนไซมค์ ำตำเลสสูง
(6) มีแบคทีเรยี มำกกว่ำผิดปกติ
(7) มีเม็ดโลหติ ขำวมำกผิดปกติ

ข้อห้ำมสำหรบั นมแมสไตตีส ห้ำมนำไปจำหน่ำยแก่ผู้บริโภค นมแมสไตตีสไม่
ควรมีปนในนมผลิตภัณฑน์ มประเภทหมัก เชน่ นมเปร้ยี วและเนยแขง็

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลติ ภัณฑป์ ศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ 6 COSMETIC PRODUCT

องค์ประกอบของนำ้ นมที่สำคญั
1. โปรตีนนม แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. เคซนี (Casein) เคซีน คือโปรตีนที่ได้จำกกำรตกตะกอนนมท่ี

pH 4.6 (pH 4.6 คือ iso-electric point) ของเคซีน หมำยควำมว่ำ
ณ pH 4.6 นี้ ศักดิไ์ ฟฟำ้ ของอนภุ ำคเคซนี มคี ำ่ เป็นศูนย์ ไม่สำมำรถที่จะพยุง
อนุภำคเคซีนได้จึงตกตะกอน) มีในนมประมำณ 2.63% (ของนม) เคซีนในนม
มิไดอ้ ยู่โดดเด่ยี ว หำกแตม่ ีเกลือแค่ผสมอยู่มำก เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส
มเี ป็นจำนวนมำก ส่วนแมกนีเซียมและซเี ตรทมีจำนวนน้อย กำรรวมกนั อยู่เช่นน้ี
เรียกวำ่ “อนุภำคเคซนี ” (Casein particle)

2. ซีร่ัมโปรตีนหรือเวย์โปรตีน (Serum protein or whey protein)
คำว่ำ มิลซีรั่ม (milk serum) หมำยถึง น้ำใสๆ สีฟำ้ อ่อนๆ ท่ีเหลืออยู่ในถัง
ภำยหลังจำกตกตะกอนแยกเอำเคซีนออกไปจำกนมแล้ว ส่วนคำว่ำเวย์น้ัน
เรำหมำยถึงหำงเนยแข็ง คือน้ำใสๆ ท่ีเหลืออยู่ในถังภำยหลังจำกกำร
ตกตะกอนเคซีนดว้ ยเรนเนท แยกเอำเคซีนออกไปแล้ว ดังน้ันคำว่ำซีรัมกับเวย์
จึงมีควำมหมำยใกล้กันมำกและดังน้ันคำว่ำ ซีรั่มโปรตีนหรือเวย์โปรตีน ก็คือ
โปรตีนบำงชนิดทีย่ ังคงมอี ยู่ในน้ำใส

2. แลคโตส (Lactose)
แลคโตส คอื น้ำตำลนม (milk sugar) หรือคำร์โบไฮเดรต (carbohydrate)

ท่ีสำคัญของนมเพียงอย่ำงเดียว ควำมจริงยังมีน้ำตำลชนิดอ่ืนอยู่ในนม
เหมือนกัน แต่มีปริมำณไม่มำกนัก เช่น กลูโคส 7.5 มิลลิลิตร/นม 100 มิลลิลิตร,
แลคโตส 2 มิลลกิ รัม/นม 100 มลิ ลลิ ิตร 4.7–4.9%

แลคโตสเป็นน้ำตำลท่ีสำคัญท่ีสุดที่เก่ียวข้องกับผลิตภัณฑ์นม เช่น
เก่ยี วขอ้ งกับกำรหมกั (fermentation) และกำรบ่ม (ripening) นอกจำกน้ียัง
เก่ยี วขอ้ งโดยตรงกับ รส กลิ่น และสีของนมและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์นมอีก
แลคโตสมีควำมหวำนเพียง 1 ใน 6 ของน้ำตำลอ้อย

3. ไขมันในนำ้ นมแพะ
ไขมันในน้ำนมแพะมีกรดไขมันขนำดกลำง (medium chain fatty acids,

C16-C14) มำกถึง 35% ซ่ึงในนมโคมีเพียง 17% โดยมีกรดไขมัน caproic (C6),
caprylic (C8), capric (C10) ในน้ำนมแพะรวม 15% มีในน้ำนมโค 5% กรดไขมัน 3 ตัวนี้
มีประ โยชน์ ทำ งก ำรแพท ย์โดยใช้ใน กำ รรักษำ โรคก ำรดูด ซึม บก พร่อง
(malabsorption syndrome) กำรทำงำนลำไส้ผิดปกติ (intestinal disorders)
และก้อนนิ่วในถงุ นำ้ ดี (gallstone)

ศูนย์วจิ ัยและพัฒนำผลิตภณั ฑป์ ศุสัตวเ์ ชียงใหม่ 7 COSMETIC PRODUCT

นมแพะจะมีเม็ดไขมันเล็กเพียง 2 micron นมโคจะอยู่ท่ี 20-30 micron
เม็ดไขมันที่เล็กจะย่อยง่ำยและมีคุณสมบัติท่ีดีในกำรกระจำยตัวเป็นเน้ือเดียวกัน
ไม่ จั บตัวกันเป็นไข (cream) เม่ื ออุณหภูมิลดลง ดังน้ั นนมแพะจึงมี กำร
homogenize โดยธรรมชำติไม่ต้องทำ homogenize ในกำรผลิตอีกเหมือน
น้ำนมโค ควำมสำคัญและประโยชนข์ องมนั เนย

(1) เป็นอำหำรประเภทให้พลังงำนสูงมันเนย 1 กรัม จะให้พลังงำน
ถงึ 9 กโิ ลกรมั

(2) เป็นแหล่งของวิตำมินประเภทที่ละลำยในไขมัน เช่น A, D, E, K
and carotene

(3) เป็นแหล่งของโคเลสเตอรอล
(4) เป็นองคป์ ระกอบทสี่ ำคญั ที่ทำให้นมและผลิตภัณฑ์นมควำมอรอ่ ย

ศูนย์วิจยั และพัฒนำผลติ ภัณฑ์ปศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ 8 COSMETIC PRODUCT

บทท่ี 3 การให้ความร้อนแก่น้านม

นมสดผำ่ นควำมร้อน คอื นมสดทจ่ี ำหนำ่ ยแกผ่ ู้บรโิ ภคโดยตรง แบ่งออกเป็น
3 ชนิดคือ

1. นมสด พำสเจอร์ไรส์ (Pasteurized milk)
2. นมสด สเตอรไิ ลส์ (Sterilized milk)
3. นมสด ยู เอช ที (U.H.T.milk)

1. นมสดพำสเจอรไ์ รส์
หมำยควำมว่ำ กรรมวิธฆี ่ำเช้ือด้วยควำมร้อนไมต่ ่ำกว่ำ 63 องศำเซลเซียส

และคงอยูท่ ่ีอุณหภูมินไี้ ม่น้อยกว่ำ 30 นำที หรือทำใหร้ ้อนไม่ต่ำกวำ่ 72 องศำเซลเซยี ส
และคงอย่ทู ีอ่ ณุ หภมู นิ ไี้ ม่น้อยกวำ่ 16 วินำที แลว้ จงึ ทำให้เย็นลงทนั ทที ี่อุณหภมู ิ
5 องศำเซลเซยี สหรือต่ำกวำ่ ทงั้ น้จี ะผ่ำนกรรมวธิ ีทำนมสดให้เป็นเนื้อเดยี วกนั
หรอื ไม่ก็ตำม

2. สเตอริไลส์
หมำยควำมวำ่ กรรมวิธีฆำ่ เช้ือดว้ ยควำมร้อนไมต่ ำ่ กว่ำ 100 องศำเซลเซียส

โดยใช้เวลำที่เหมำะสมท้ังนีต้ ้องผำ่ นกรรมวธิ ีทำนมสดใหเ้ ป็นเนื้อเดยี วกนั

3. ย.ู เอช.ที
หมำยควำมว่ำกรรมวธิ ีฆำ่ เชื้อดว้ ยควำมร้อนไมต่ ำ่ กว่ำ 133 องศำเซลเซียส

ไมน่ อ้ ยกว่ำ 1 วินำที แลว้ บรรจุในภำชนะและในสภำวะที่ปรำศจำกเชือ้ ทั้งนี้ต้อง
ผำ่ นกรรมวธิ ีทำนมสดใหเ้ ป็นเน้ือเดียวกัน

นมสดผำ่ นกรรมวิธีพำสเจอร์ไรส์ สเตอริไลส์ หรือยูเอชที ต้องมีคุณภำพ
หรือมำตรฐำนดงั ตอ่ ไปน้ี

(1) มีกลน่ิ ตำมลักษณะเฉพำะของนมชนิดนัน้
(2) มลี กั ษณะเหลวไม่เป็นเม็ดหรือกอ้ น
(3) ไม่มวี ัตถุกนั เสยี
(4) ไม่มเี ช้อื จลุ ินทรียท์ ท่ี ำใหเ้ กดิ โรค
(5) ไม่มีสำรเป็นพิษจำกเชื้อจุลนิ ทรยี ใ์ นปรมิ ำณท่อี ำจเปน็ อนั ตรำยตอ่ สุขภำพ
(6) ตรวจไม่พบแบคทีเรียชนดิ E.coli ในอำหำร 0.1 มิลลลิ ิตร
(7) ตรวจไม่พบบกั เตรีในนมสดสเตอรไิ ลส์ 0.1 มิลลลิ ิตร และมแี บคทเี รีย

(ก) ไม่เกิน 50,000 ในนมพำสเจอรไ์ รส์ 1 มิลลิลติ ร
(ข) ไมเ่ กนิ 10 ในนมสด ยู.เอช.ที 1 มลิ ลิลิตร

ศูนยว์ ิจยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสัตว์เชยี งใหม่ COSMETIC PRODUCT

ผลของกำรให้ควำมรอ้ น
ผลของกำรให้ควำมร้อนแบบพำสเจอร์ไรส์ต่อคุณค่ำทำงอำหำรของ

นมแพะอธิบำยได้ดังน้ี
- ไขมนั : ไม่มีกำรเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้บริโภคยังคงได้รับประโยชน์

จำกกรดไขมันในไขมันนมอย่ำงครบถ้วนโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกรดไขมันสำยสั้น
และกลำง

- โปรตีน : โปรตีนหลักซึ่งได้แก่ Casein ไม่มีกำรเปลี่ยนแปลง
Whey protein บำงส่วนโครงสรำ้ งถกู ทำใหเ้ ปลยี่ นสภำพ

- แลคโตส : มีกำรเปลี่ยนแปลงน้อยมำก ผู้บริโภคยังคงได้รับ
ประโยชนอ์ ยำ่ งครบถ้วน

- เกลือแร่ : บำงส่วนมีกำรทำให้ตกตะกอน แต่ปริมำณเกลือแร่
หลกั ยังคงอยอู่ ย่ำงครบถ้วน โดยเฉพำะแคลเซียมจะไมถ่ กู ทำลำยโดยควำมร้อน
ในทกุ ระบบ

- วิตำมิน : มีกำรสูญเสียบ้ำงแต่ไม่มำกนักซึ่งวิตำมินหลักๆ
ยังคงอยู่

ผลของกำรให้ควำมรอ้ นตำ่ งๆ ตอ่ คุณค่ำทำงอำหำรของนมแพะอธิบำย
ไดด้ งั แสดงในตำรำงท่ี 1 และที่ 2

ตำรำงท่ี 1 เปรยี บเทยี บอณุ หภมู แิ ละเวลำทใ่ี ชใ้ นกำรฆ่ำเชอ้ื นำ้ นมในระบบพำสเจอรไ์ รส์

ระบบฆำ่ เชอื้ นำ้ นม อณุ หภมู ิ ระยะเวลำ(วิ อำยุกำรเกบ็ อุณหภมู กิ ำรเกบ็
(ซ°) นำท)ี (วัน) รักษำ
พำสเจอรไ์ รส์ > 15 10 <8
อลั ตร้ำพำสเจอร์ไรส์ >72 - 100 4 45 <8
125 -130

ตำรำงท่ี 2 เปอร์เซ็นตก์ ำรสญู เสยี ของไลซนี และวิตำมนิ ในนมแพะจำกกำรใชค้ วำมรอ้ นใน
ระบบต่ำงๆ

รำยกำร พำสเจอรไ์ รส์ ยู เอช ที สเตอรไิ รส์
(%สูญเสยี ) (% สญู เสยี ) (% สูญเสยี )
ไลซนี (อะมโิ น (เอซิค) 0.4 – 0.8 0.4 – 0.8
วติ ำมนิ บี 1 6 - 10
วิตำมนิ บี 6 1-2 3-4 20 - 50
วิตำมนิ บี 12 0-5 นอ้ ยกวำ่ 10 10 - 20
โฟลคิ เอซคิ นอ้ ยกว่ำ 10 80 - 100
วติ ำมนิ ซี 10 – 20 40 - 50
5 10 - 20 เกือบ 100%
5-15 10 - 20

ทมี่ ำ : มำนิตย์ (2549)

ศูนย์วจิ ัยและพัฒนำผลติ ภัณฑป์ ศุสตั ว์เชียงใหม่ 10 COSMETIC PRODUCT

กลนิ่ ของน้ำนมแพะเกดิ จำก
1. กรดไขมันขนำดกลำงในน้ำนมแพะพวก

caproic (C6), caprylic(C8), capric(C10) ทำให้นมมี

กล่นิ เฉพำะแบบนม
2. น มแ พะมี คุณสมบัติดู ดก ลิ่นไ ด้ต ำ ม

ธรรมชำติ จึงอำจดูดกล่ินแพะตัวผู้ท่ีอยู่ในบริเวณ
เดยี วกนั ในทีร่ ีดน้ำนมแพะได้

3. นมแม่แพะบำงตัวอำจหืนได้ง่ำยซึ่งเป็น

ลกั ษณะทำงกรรมพันธุ์

4. มีกำรหืนโดยปฏิกิริยำ oxidation ได้

สิ่ ง ที่ เ ร่ ง ป ร ำ ก ฏ ก ำ ร ณ์ เ ช่ น แ ส ง แ ด ด โ ล ห ะ ท่ี มี
สว่ นประกอบของทองแดง เปน็ ตน้

5. นมมีกลิ่นเน่ืองจำกอำหำรท่ีกิน เพรำะ
พืชบำงชนิดทีม่ ีกลนิ่ แรง

6. อุปกรณ์รีดเก็บน้ำนมไม่ได้ล้ำงอย่ำง

สะอำด

ศูนย์วจิ ยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ 11 COSMETIC PRODUCT

บทท่ี 4

หลักในการผลติ นมแพะอย่างปลอดภัย

ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ผ ลิ ต น ม แ พ ะ ท่ี ดี น อ ก จ ำ ก จ ะ ค ำ นึ ง ถึ ง คุ ณ ภ ำ พ แ ล้ ว
ยังต้องเน้นเร่ืองควำมปลอดภัยของผู้บริโภคด้วย ผู้ผลิตจำเป็นต้องดูแล
กระบวนกำรผลิตทุกข้ันตอนอย่ำงถูกต้อง เพ่ือให้นมแพะท่ีผลิตออกมำมี
คุณภำพและปลอดภัย ตำมประกำศกระทรวงสำธำรณสุข (ฉบับที่ 193)
พ.ศ.2543 เรื่องวิธกี ำรผลิต เครือ่ งมอื เคร่ืองใชใ้ นกำรผลิตและกำรเก็บรักษำ
เ พื่ อ ใ ห้ ข้ั น ต อ น ก ำ ร ผ ลิ ต เ ป็ น ไ ป อ ย่ ำ ง มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ ำ พ แ ล ะ มี ค ว ำ ม ป ล อ ด ภั ย
อีกทั้งยังเป็นกำรตอบสนองแนวทำงที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน
กำหนดให้กำรคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสิทธิข้ันพ้ืนฐำนของประชำชนคนไทย

(มำนิตย์, 2549)

จลุ ินทรีย์ในนำ้ นม
น้ำนมที่ได้จำกแพะสุขภำพที่ดีเป็นน้ำนมท่ีปรำศจำกเช้ือ มี pH

ประมำณ 6.8 แต่มีแบคทีเรียพวก saprophyte ซ่ึงอยู่ในสภำพแวดล้อม เช่น
แบคทีเรียใน family Micrococcaeae, Bacillaceae, Escherichiae,
Corynebacteriaceae และLactobacillaceae ซ่ึงสำมำรถเจริญได้ใน
น้ำนมในชว่ งระยะเวลำส้ันๆ นอกจำกนี้ยงั อำจพบยีสต์และรำในน้ำนมอีกด้วย
ซ่ึงจุลินทรีย์เหล่ำน้ีอำจติดมำจำกดิน อำกำศ ขบวนกำรรีดนมจำกวัวและ
จำกผ้รู ีด (บญั ญัต,ิ 2522) ดพี ร้อม และคณะ, 2517 กล่ำวว่ำแหล่งของจุลินทรีย์
ยังข้ึนอยู่กับกำรรีดนมด้วยมือหรือด้วยเคร่ืองรีด กำรรีดนมด้วยมือลงใส่
ถังที่เปดิ โอกำสทีจ่ ะติดเชอ้ื จำกอำกำศในคอกจำกตัวสัตว์ และมือหรือเสื้อผ้ำ
ของคนงำน กำรรีดดว้ ยเคร่ืองช่วยลดปริมำณจุลินทรีย์จำกแหล่งเหล่ำนี้ได้
แต่เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ที่ติดมำจำกเครื่องมือที่ไม่สะอำด ซ่ึงอำจจะทำให้
จำนวนจุลนิ ทรยี เ์ พ่ิมขน้ึ เป็นลำ้ นตอ่ ลูกบำศกเ์ ซนติเมตรก็ได้ ถ้ำเครื่องมือน้ัน
สกปรกหรือฆ่ำเชื้อไม่หมด

จำนวนจุลินทรีย์ในนมเป็นตัวบ่งชี้ถึงสุขำภิบำลและควำมเอำใจใส่ใน
กำรผลติ ดงั นั้นจงึ ใช้จำนวนแบคทีเรยี ในกำรวัดคณุ ภำพนม (สุมำลี, 2535)

จุลินทรีย์ท่ีก่อให้เกิดโรคในน้ำนมนั้นมีอยู่หลำยชนิดด้วยกัน อำจ
ปนเป้ อื นมำจำกแพะทเ่ี ป็นโรคจำกมนษุ ย์หรือจำกกรรมวิธีกำรรดี นม ดงั น้ี

1. เกดิ จำกแพะทเี่ ป็นโรค
เชอ้ื โรคเขำ้ ปนเป้ อื นสูน่ ำ้ นมและแพร่กระจำยสผู่ ูบ้ ริโภค เช่น โรคเต้ำนมอักเสบ

จำกเชื้อ Staphylococcus aureus และโรคแท้งติดต่อจำกเช้ือ Brucella melitensis
(ดีพร้อมและคณะ 2517) กล่ำวว่ำคนรับเช้ือ Brucella ได้หลำยทำง
จำกกำรดื่มน้ำนมที่ไม่ได้ทำกำรพำสเจอร์ไรซ์หรือติดต่อโดยตรงเมื่อสัมผัส
กับสัตวท์ ่เี ป็นโรค

ศูนย์วจิ ยั และพัฒนำผลิตภณั ฑป์ ศุสตั ว์เชียงใหม่ COSMETIC PRODUCT

2. เกดิ จำกมนษุ ยห์ รือกรรมวธิ กี ำรรีดนม
เช้ือโรคเหล่ำนี้จะก่อให้เกิดโรคอำหำรเป็นพิษจำกเชื้อต่ำงๆ เช่น

Stapyloccoccus aureus ท่ีเกิดแพะที่เป็นโรคเต้ำนมอักเสบ (Mastitis)
กำรเจรญิ อำจลดลงในนมที่ผ่ำนกำรพำสเจอร์ไรส์ เชื้อ Salmonella ท่ีมีท่ัวไป
ในธรรมชำติ เช่น มูลสัตวแ์ ละนำ้ ทำใหเ้ กดิ ควำมผดิ ปกติในลำไส้ แต่กำรพำสเจอร์ไรส์
สำมำรถทำลำยเชื้อน้ีได้ และเช้ือ Listeria monocytogenes ท่ีสำมำรถพบ
ในธรรมชำติ ทำให้เกิดโรคในคนและสัตว์อำจร้ำยแรงจนถึงข้ันเสียชีวิตได้
ซ่ึงเช้ือน้ีเป็นจุลินทรีย์ที่เจริญในสภำพที่มีออกซิเจน และมีอุณหภูมิต่ำกว่ำ
5 องศำเซลเซียส แต่เชื้อนี้ก็ถูกฆ่ำได้ในอุณหภูมิพำสเจอร์ไรส์ด้วยเช่นกัน
บำงคร้ังกำรด่ืมนมดิบ ทำให้เช้ือที่มีอยู่ภำยในน้ำนมสำมำรถผ่ำนสู้ผู้บริโภคได้
ดังนน้ั ควำมเส่ยี วงจะมีมำกข้นึ ในกำรดื่มนมดิบท่ไี มผ่ ่ำนกำรพำสเจอร์ไรส์

นำ้ นมแพะดิบมีโรคสำคัญที่ถ่ำยทอดผ่ำนน้ำนมแพะโดยแบ่งเป็นเชื้อโรค
ท่ีขับออกในน้ำนมโดยตรง เช่น Brucellosis Tuberculosis Q fever
Staphlococal food poisoning แ ละ น้ำ น ม ป น เป้ ื อน มูลสัต ว์ เช่น
Campylobacteriosis, Escherichia coli, Salmonellosis, Yersiniosis เป็นต้น
กำรสุขำภิบำลท่ีดีใช้หลักวิธีกำรเดียวกันกับโคนม เช่นล้ำงอุปกรณ์อย่ำงดี
ท่วั ถงึ ตัวสัตว์มสี ุขภำพดี เต้ำสะอำด เช็ดเตำ้ ให้สะอำด จ่มุ เต้ำหลงั รีดดว้ ยน้ำยำ
ทำน้ำนมใหเ้ ยน็ อย่ำงรวดเรว็ หลงั รดี เกบ็ เก็บน้ำนมท่ีอณุ หภูมติ ำ่ คงทโี่ ดยตลอด

หลกั ในกำรผลติ นมแพะอย่ำงปลอดภยั
1. กำรลดกำรปนเป้ อื นเบื้องตน้ ต้องปฏิบตั ิดงั นี้
- ตอ้ งเร่มิ ตั้งแตก่ ำรคัดเลือกวตั ถุดิบทดี่ ีมคี ุณภำพมำใช้ในกำรผลติ
- มีมำตรกำรในกำรตรวจรับคุณภำพวัตถุดิบก่อนเข้ำสู่

กระบวนกำรผลติ ตำมมำตรฐำนท่กี ำหนด
- มีกำรล้ำง คัดแยกวตั ถดุ บิ ใหส้ ะอำด
- ใชภ้ ำชนะอปุ กรณ์ที่สะอำด
- มกี ำรป้องกนั สัตวแ์ ละแมลงไมใ่ ห้เขำ้ ภำยในโรงงำน
- พนักงำนปฏบิ ตั ถิ กู สุขลักษณะ

2.กำรลดหรือยับย้ังหรอื ทำลำยจลุ นิ ทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และทำให้อำหำร
เน่ำเสีย ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงปัจจัยท่ีมีผลต่อกำรเจริญของจุลินทรีย์เป็นหลัก
โดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ

- มมี ำตรกำรตรวจสอบคุณภำพวตั ถุดบิ กอ่ นนำ้ มำแปรรปู
- มกี ำรควบคุมอุณหภูมแิ ละเวลำในกำรฆ่ำเชื้อระบบพำสเจอร์ไรส์
ตอ้ งไมน่ ้อยกว่ำ 72 องศำเซลเซยี ส เป็นเวลำไม่น้อยกว่ำ 15 วินำทีหลังจำกน้ัน
ทำให้เย็นลงทนั ทที อ่ี ุณหภมู ิ 5 องศำเซลเซยี สหรือต่ำกวำ่
- ปัจจัยอื่นๆ ที่อำจนำมำใช้ในกำรควบคุมหรือยับยั้งไม่ให้
จุลินทรยี เ์ จรญิ เติบโตได้ เช่นกำรทำใหแ้ ห้ง กำรแช่เยน็ กำรดองหรอื กำรแช่อื่นๆ ฯลฯ

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสตั ว์เชียงใหม่ 13 COSMETIC PRODUCT

3. กำรป้องกันกำรปนเป้ ือนซ้ำหลังกำรฆ่ำเชื้อส่วนใหญ่ร้อยละ 80
ของกำรปนเป้ ือนมำจำกข้ันตอนนี้ ซึ่งผู้ผลิตมักมองข้ำมอันตรำยที่อำจ
ปนเป้ ือนภำยหลังกำรฆ่ำเชื้อ ดังน้ันขั้นตอนน้ีผู้ผลิตจึงควรให้ควำมสนใจเป็นพิเศษ
เชน่

- ภำชนะอปุ กรณ์ที่ใช้ควรมกี ำรล้ำงและฆำ่ เชื้อ
- หลกี เล่ียงกำรบรรจผุ ลติ ภัณฑ์ดว้ ยมือ
- ภำชนะบรรจุสะอำด
- อำคำรผลิต โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งบริเวณบรรจุจะต้องสำมำรถ
ป้องกนั สัตวแ์ ละแมลงได้
- พนกั งำนปฏิบัตงิ ำนอยำ่ งถกู ตอ้ งสุขลกั ษณะ
- กำรเก็บรักษำและกำรขนส่งผลิตภัณฑ์ทำอย่ำงสะอำดและ
เหมำะสมกับชนิดของผลิตภัณฑ์ เช่นผลิตภัณฑ์พำสเจอร์ไรส์ต้องแช่เย็น
ไม่ทำให้เกิดกำรปนเป้ ือนระหว่ำงของดิบและสุก หรือปนเป้ ือนหลังจำก
กำรฆ่ำเชอื้ แลว้ (มำนิตย์, 2549)

ดงั น้ันนมแพะท่ดี ตี ้องมีทั้งคณุ ค่ำและควำมปลอดภัยควบคู่กัน หำกขำด
สิ่งใดสิง่ หนง่ึ แล้วคณุ คำ่ ของนมแพะจะดอ้ ยลงทันที ฉะน้ันอุณหภูมิและเวลำที่ใช้
ในก ำรฆ่ำเชื้อในระบบพำส เจ อร์ไ รส์ ต้องอยู่ใน จุดท่ี เห มำะ สม กล่ำ วคือ
ต้องสำมำรถทำลำยจุลินทรีย์ที่ก่อโรคหมดไป และทำลำยสำรอำหำรท่ีอยู่ใน
นมแพะน้อยท่สี ุด

กำรผลิตน มแ พะภ ำยใต้สุขลักษณะ ท่ีดีจำ กฟำ ร์ม จะ มีจ ำนวนจุ ลิน ท รีย์
ทัง้ หมดไม่เกิน 400,000 ตวั /1 มิลลิลติ ร ส่วนนมแพะพำสเจอร์ไรส์จะมีจำนวน
จลุ ินทรยี ท์ ง้ั หมดไม่เกนิ 50,000 ตวั (มำนติ ย์, 2549)

กำรปฏบิ ตั ิตอ่ นม (The handling of milk)
เนื่องจำกนมเป็นอำหำรที่ค่อนข้ำงสมบูรณ์ เหมำะสำหรับกำรเจริญ

ของจลุ นิ ทรีย์ คอื
1.1 นมเป็นแหล่งอำหำรของจลุ นิ ทรยี ์
1.2 ออกซเิ จน จุลินทรยี ์ส่วนมำกตอ้ งกำรออกซิเจนในกำรเจริญ

ในนมมอี อกซิเจนอยูป่ ระมำณ 8 เปอรเ์ ซ็นต์
1.3 ควำมชื้น (moisture) จุลินทรยี ์ทุกชนิดต้องกำรควำมชื้นใน

กำรเจรญิ ควำมชืน้ ก็คือนำ้ ในนำ้ นมมนี ้ำประมำณ 87 เปอรเ์ ซน็ ต์
1.4 อุณหภูมิท่ีเหมำะสม (optimum temperature) จุลินทรีย์ในนม

ส่วนมำกตอ้ งกำรอณุ หภูมิประมำณ 37.5 องศำเซลเซยี ส นมทร่ี ีดออกมำจำก
เต้ำนมก็มีอุณหภูมิเท่ำกับร่ำงกำยของสัตว์คือประมำณ 37–38 องศำเซลเซียส
ดังน้นั อุณหภูมินมจึงเป็นอุณหภมู ทิ ี่เหมำะสำหรบั กำรเจริญของจลุ ินทรีย์

ศูนย์วิจยั และพัฒนำผลิตภัณฑป์ ศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ 14 COSMETIC PRODUCT

ด้วยเหตุผลดังกล่ำวจะเห็นได้ว่ำนมเหมำะสำหรับกำรเจริญจุลินท รีย์
ทำให้นมเสื่อมคุณภำพหรือเสียได้ง่ำย จุลินทรีย์บำงชนิดไม่เพียงแต่ทำให้นมเสีย
หรือเสื่อมคุณภำพเท่ำน้ัน แต่ยังเป็นสำเหตุของโรคบำงอย่ำงอีกด้วย
กำรปฏิบัติต่อนมที่ดี และถูกต้องจะช่วยรักษำคุณภำพน้ำนมไว้ให้ดีที่สุดจนถึง
เวลำบริโภค กำรปฏิบตั ิตอ่ นมทดี่ ีและถูกตอ้ ง มีหลัก 3 ประกำรคอื

1. ควำมสะอำด
ควำมสะอำดเป็นหัวใจของกำรผลติ นม นมท่ีท่ียังไม่มีกำรรีดนมออกมำจำกเต้ำ

ถือวำ่ เป็นนมที่สะอำดบริสุทธ์ิ แต่เม่ือรีดนมออกมำกใส่ลงถังรีดนม นมน้ันก็จะ
สัมผัสกับส่ิงต่ำงๆ เช่นควำมสะอำดของโรงรีดนม มือคนรีดนม หรือเคร่ืองรีดนม
อำกำศ และถังรีดนม อปุ กรณ์กำรรีดนม จุลินทรียืก็จะเข้ำสู่นมทันที จุลินทรีย์
จะเข้ำสู่นมมำกน้อยเพียงใดจะต้องอยู่ท่ีควำมสะอำดของสิ่งต่ำงๆ ท่ีสัมผัสกับ
นมเหลำ่ น้ี ดงั น้นั จึงควรพิจำรณำจดุ ต่ำงๆ ที่นมต้องสมั ผัส

2. ควำมรวดเร็วในกำรปฏบิ ตั งิ ำน
กำรปฏบิ ัติงำนของผู้ที่ทำงำนเกี่ยวกับนมในช่วงท่ีรีดนมออกมำ และยัง

ไม่ทันทำให้นมเย็นน้ีจะต้องปฏิบัติกำรให้รวดเร็ว ท้ังนี้เพรำะไม่ต้องกำรให้
จุลินทรีย์ขยำยพันธุ์ ย่ิงมีจุลินทรีย์มำกขึ้นเท่ำใดอำยุของนมก็ส้ันลงเท่ำนั้น
เมื่อรีดนมเสร็จแล้วต้องรีบนำนม ทำให้นมเย็นถึงอุณหภูมิ 5 องศำเซลเซียส
(หรือตำ่ กว่ำ) ทันที

3. กำรทำนมใหเ้ ยน็ โดยเรว็ ที่สุด
กำรทำให้นมเย็นที่อุณหภูมิประมำณ 37 องศำเซลเซียสนั้น จุลินทรีย์

สว่ นมำเจริญได้ดที ีส่ ดุ สว่ นอณุ หภูมิเยน็ น้ันเจรญิ ได้ชำ้ ทสี่ ุด

กำรเกบ็ รักษำนมดบิ เพื่อรอกำรแปรรปู
นมดิบที่ขนส่งเข้ำมำสู่โรงงำนน้ันมิใช่ว่ำจะนำมำแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์

นมได้ในทันที บำงคร้ังต้องเก็บไว้รอกำรผลิตเป็นเวลำหลำยช่ัวโมงหรือหลำยวัน
บำงกรณีอำจจะต้องเก็บนำนเป็นเวลำ 2-3 เดือน ตำมปกติจะเก็บนมดิบไว้
ไม่เกิน 1 สัปดำห์ ดังนั้นกำรเก็บนมดิบเพื่อรอกำรแปรรูปจึงจำแนกออกเป็น
2 ประเภทดังน้ี คือ

(1) เก็บนมเย็นจัด (chilled milk) คือกำรเก็บนมที่อุณหภูมิระหว่ำง
1–5 องศำเซลเซียส (ปกติประมำณ 2 องศำเซลเซียส) กำรเก็บที่อุณหภูมิน้ี
จะทำให้นมมีคณุ ภำพดี มีรสปกติหวำนอยไู่ ด้ประมำณ 1 สปั ดำห์ (ปกตปิ ระมำณ 5 วัน)

(2) เก็บนมเย็นจัดจนแข็ง (Frozen milk) คือกำรทำนมให้เย็น
จนแข็งแลว้ เก็บอยู่ในสภำพแข็งคอื ระหว่ำงอุณหภูมิ -1 ถึง -4 องศำเซลเซียส
จะทำให้นมมีคุณภำพดีมีรสหวำน และปกติ อยู่ได้นำนประมำณ 2-3 เดือน
กำรเก็บวิธนี มแพะไมจ่ ำเปน็ ต้องนำนมไปผ่ำนควำมร้อน แต่ถ้ำต้องกำรเก็บนำนข้ึน
ให้นำนมไปผ่ำนควำมร้อนที่อุณหภูมิประมำณ 70 องศำเซลเซียส เพ่ือทำลำย
เอนไซม์ไลเปสเสียกอ่ น แลว้ จงึ ทำให้นมเยน็ จนแข็ง

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลติ ภัณฑป์ ศุสัตว์เชียงใหม่ 15 COSMETIC PRODUCT

บทที่ 5
การทดสอบคณุ ภาพน้านมแพะ

กำรทำสอบคณุ ภำพนมดิบขั้นต้น (Platform test) คือกำรทดสอบนมที่
ชำนชำลำ คอื เมื่อนมมำถึงจุดรวมนมจะทดสอบโดยทันที (quick test) และแจ้ง
ผลกำรทดสอบใหท้ รำบวำ่ จะรับนำ้ นมหรือไม่ซ่งึ มีกำรตรวจดงั นี้

1. ออกำโนเล็บติค เทสต์ (Organoleptic test) คือตรวจคุณภำพ
นมดิบโดยใช้ประสำทสัมผัสท้ัง 5 สัมผัส กำรทดสอบนี้มีคุณค่ำอย่ำงย่ิง
หำกผู้ทดสอบได้ฝึกจนเกิดควำมชำนำญ วิธีกำรทดสอบแบบประสำทสัมผัสมี
ดังน้ี คือ

1.1 เขยำ่ นมดิบ โดยจับโยกไปมำ 3–4 ครั้งแรงๆ เพ่ือให้กลิ่น
ท่ปี ะปนกับนมระเหยออกมำ

1.2 ก้มหน้ำลงไปใกล้ๆ ใช้จมูกดมกลิ่นนม ถ้ำนมนั้นเป็นนม
ปกติ ก็จ ะได้ รับ กลิ่ นคำ วนิ ดๆ เท่ำน้ั น แต่ถ้ำเป็น นมคุณภ ำพไม่ดีก็จ ะไ ด้
กล่ินผิดปกติต่ำงๆ เช่น กลิ่นบูด(นมเสีย) กล่ินหืน (ภำชนะนมสกปรก)
กลนิ่ คำวมำก (นมสกปรกมำก) เปน็ ตน้

1.3 ชิมรส ใช้ช้อนสะอำดตักนม 2–3 ซีซี ใสเข้ำไปใสปำก
(ห้ำมกลืน) ให้นมสัมผัสกับล้ินให้ท่ัว รสปกติของนมคือ หวำนนิดๆ มันๆ
ส่วนรสผิดปกติที่อำจตรวจพบคือ รสเปร้ียว รสเค็ม รสขม รสจืดจำง
(นมเติมน้ำ) เปน็ ตน้

คณุ ลักษณะของนม
1. สีของนม (Colour) นมปกติจะมีสีขำวซึ่งเป็นสีของเคซีน

นมท่ีเตมิ น้ำจะมีสีขำวโปร่งนมท่ีผำ่ นควำมร้อนระดับพำสเจอร์ไรส์ (63 ซ. 30 นำที)
จะสะท้อนแสงได้มำก เพรำะซีรั่มโปรตีนตกตะกอนจึงมีสีขำวมำกกว่ำนม
ประเภทอนื่ ส่วนนมท่ีผำ่ นควำมร้อนสูงจะเปล่ยี นเปน็ สีน้ำตำล อนั เปน็ สีของสำร
melanoidin หรือ humin ซึ่งเกิดจำกกำรรวมตัวของ lysine (โปรตีนนม)
กับสำร hydroxyl methyl furfura ได้จำกกำรสลำยตัวของแลคโตส
อันเนอื่ งจำกไดร้ บั ควำมร้อนสูง

2. กลน่ิ ของนม (Flavor) นมดิบปกตจิ ะมกี ล่ินคำว นมดูดกล่ินได้ดี
กลนิ่ ผดิ ปกตอิ ำจมไี ดห้ ลำยชนิด เชน่ กลนิ่ หืน (rancid) และกล่นิ ไมส่ ะอำดอน่ื ๆ
ส่วนนมทีผ่ ่ำนควำมรอ้ นมำแล้ว กลิน่ ตำ่ งๆ เหล่ำนีจ้ ะระเหยไปเกอื บหมด แต่จะมี
กล่ินสุกหรือกล่ินไหม้ (cooked favor) เข้ำมำแทน ส่วนจะมำกน้อยเพียงใด
ข้ึนอยู่กับกรรมวิธีกำรผลิต และดีกรีของควำมร้อน กล่ินในนมดิบจะเป็น
กำรอธิบำยถึงควำมสะอำดของกำรรีด

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลติ ภณั ฑป์ ศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ COSMETIC PRODUCT

3. กำรทดสอบด้วยแอลกอฮอลล์ (Alcohol test) คือกำรทดสอบ
เสถียรภำพโปรตีนนม คือนมที่มีคุณภำพต่ำจะตกตะกอนกับแอลกอฮอล์ 68%
กำรทดสอบด้วยแอลกอฮอล์ถ้ำจะให้ได้ผลดีควรจะทำคู่กับวิธี Alcohol
alizarin เพรำะจะเห็นกำรเปล่ียนสขี อง indicator ซึ่งสมั พันธก์ บั ปรมิ ำณกรด
ในนำ้ นมอกี ดว้ ย กำรทดสอบน้เี ปน็ กำรยนื ยนั กำรทดสอบข้อ 1

กำรทดสอบเสถียรภำพโปรตีนนม แสดงว่ำเป็นนมที่โปรตีนขำด
เสถียรภำพอำจตกตะกอนได้ง่ำย เมื่อนำนมไปผลิตเป็นนมสดผ่ำนควำมร้อน
ก ำ ร ท ำ แ อ ล ก อ ฮ อ ล์ เ ท ส ต์ เ ป็ น วิ ธี ห น่ึ ง ท่ี ใ ช้ ใ น ก ำ ร จั ด อั น ดั บ คุ ณ ภ ำ พ ข อ ง น ม
นมท่ีตกตะกอนเป็นเกล็ด (flake) กับแอลกอฮอล์ 68% นั้น ถือว่ำปฏิกิริยำ
เป็นบวก (+) อน่งึ ควำมเปน็ กรดของนมกเ็ กี่ยวข้องโดยตรงกับขนำดของเกล็ด
หรือ flake ด้วย เช่น

1. เกล็ดละเอียด (fine flake) นมมีควำมเป็นกรดประมำณ
0.19% (แลคติค)

2. เกล็ดขนำดกลำง (Medium flake) นมมีควำมเป็นกรด
ประมำณ 0.23%(แลคติค)

3. เกล็ดขนำดใหญ่ (Large flake) นมมีควำมเป็นกรดประมำณ
0.25% (แลคติค)

สว่ นท่ีไมม่ ีเกล็ด (no flake) แสดงว่ำมีปฏิกิริยำเป็นลบ (-ve) อย่ำงไร
ก็ดีนมท่ีมีควำมเป็นกรดต่ำก็อำจให้ผลเป็นบวก (+) ได้ ยกตัวอย่ำงเช่น
นมประเภทท่ีแข็งตัวโดยไม่เปร้ียว (sweet curdling) ย่อมจะให้ผลเป็น +ve
ท้ังน้ีเน่ืองจำกบำงส่วน ของเคซีนถูก denature ด้วยควำมร้อนไปแล้ว
แตข่ นำดของเกล็ดหรือตะกอนจะมีขนำดเล็ก (fine flake)

1. กำรทดสอบด้วยแอลกอฮอล์อำลซิ ำริน คือ อำลิซำริน เป็นตัวช้ี
(indicator) ซ่ึงตำมปกติที่ pH 6.6 จะมีสีแดงแบบสีของดอกไลแลค ถ้ำนมมี
ควำมเป็นกรดมำกจะเป็นสีเหลือง แต่ถ้ำนมมีฤทธ์ิเป็นด่ำงเช่นนมแมสไตตีส
จะเป็นสีม่วง ดังนั้นกำรทดสอบนมแบบน้ีผู้ทดสอบไม่เพียงแต่จะได้ดูตะกอน
(เกล็ด) หรอื ขนำดของตะกอนเทำ่ น้นั แต่ยังไดด้ สู ีของตะกอนอกี ดว้ ยดังตำรำง
ทแ่ี สดงไว้ขำ้ งลำ่ งนี้

Result by alcohol- Result by titrable Conclusion
alizarin test acidity test
Low (0.12%) Matititis milk
1.violet, alkaline Low (0.12%) Low Sn.f.milk
2.Lilac red, normal Normal milk
3.Red, normal Normal (0.14-0.16%) Normal (rich milk) milk
4.Pale red, normal Medium (0.185%) Rich milk (not soured)
5.Reddish-fine flake High (0.20%) Slightly sour milk
6.Reddish-brown,medium High (0.25%)
flake
7.Brownish-medium Acid (over 0.25%) Milk soured
flake
8.Yellowish-large flake Acid (over 0.25%) Milk soured

ศูนย์วิจัยและพัฒนำผลิตภัณฑป์ ศุสตั ว์เชียงใหม่ 17 COSMETIC PRODUCT

2. กำรทดสอบควำมเป็นกรดของนม (Acidity test) เป็นกำร
ยืนยันกำรทดสอบนมเรื่องกำรทดสอบแอลกอฮอล์เม่ือนมน้ันตกตะกอนกับ
แอลกอฮอล์ 68% วธิ กี ำรทดสอบคือ กำร titrate นมกบั ด่ำง NaOH มำตรฐำน

นมแพะปกตจิ ะมฤี ทธิ์เปน็ กรด คือวดั pH ได้ 6.4–6.7 องคป์ ระกอบบำงอย่ำง

ของนม เช่นโปรตีน คำร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ มีส่วนทำให้นมเป็นกรด

โดยธรรมชำติ และถ้ำหำกจุลินทรีย์ประเภทสร้ำงกรดเข้ำสู่นมแล้ว จุลินทรีย์

เหล่ำนัน้ จะเปล่ยี นนำ้ ตำลแลคโตสบำงสว่ นในนมให้เป็นกรดแลคติค ก็ยิ่งจะเพ่ิม

ควำมเป็นกรดในนมยิ่งขึ้น ตำมปกติจุลินทรีย์จะสร้ำงกรดข้ึนในนมประมำณ

0.03–0.04% (แลคติค) กรดประเภทนี้เรียกว่ำ developed acidity และเป็น

กรดทีท่ ำใหน้ มเสียหรอื หมดอำยุ สดั ส่วนของกรดธรรมชำติและกรดท่ีจุลินทรีย์

สรำ้ งข้นึ มำมดี งั น้ี

ควำมเปน็ กรดของนม=กรดธรรมชำติของนม=กรดทจี่ ลุ ินทรยี ส์ รำ้ งขึ้นมำ

Titrable acidity Natural acidity Developed acidity

(ประมำณ 0.2%) (ประมำณ 0.16%) (ประมำณ 0.04%)

1. ซีโอบีเทสต์ (C.O.B. test = Clot on boiling test) กำรทดสอบนี้ก็
คือ นำตัวอย่ำงนมใส่ในหลอดทดสอบประมำณ 5 ซีซี วำงไว้ในน้ำเดือด 5 นำที
เพื่อดูว่ำนมจะตกตะกอนหรือไม่ เป็นกำรยืนยันกำรทดสอบด้วยแอลกอฮอล์
นมทมี่ ีควำมเป็นกรดสูงถึง 0.25% (แลคติค) และนมที่มเี สถยี รภำพของโปรตีน
ไม่ดีจะถูกดีเนเจอร์ (denature) ด้วยควำมร้อนได้ง่ำย ตัวอย่ำงนมใดก็ตำมท่ี
ให้ผลเป็น +ve กับ C.O.B. test แล้ว แสดงว่ำนมน้ันเสียหรือหมดอำยุแล้วไม่
สำมำรถทีจ่ ะนำไปทำผลิตภัณฑ์นมใดๆ ไดเ้ ลย

2. กำรทดสอบกำรฟอกสีเมทิลีนบลู (Methylene blue reduction test)
เปน็ กำรทดสอบหำปริมำณของจุลินทรีย์ในน้ำนมดิบทำงอ้อม กำรทดสอบวิธีน้ี
อำจใชก้ ำรทดสอบกำรเปลยี่ นสีของรีซำซรู นิ (Resazurin test) แทนกไ็ ด้

เมทีลินบลูรีดักช่ันเทสต์นี้เป็นวิธีทดสอบที่สำคัญและนิยมใช้กันอย่ำง
กวำ้ งขวำง กล่ำวคอื มไิ ด้นำตวั จุลนิ ทรียห์ รือโคโลนีของจุลินทรีย์มำนับโดยตรง
หำกแต่วัดผลกำรทำงำนของจุลินทรีย์แทน ผลกำรทำงำนของจุลินทรีย์ใน
กรณีนี้คือกำรฟอกสี คือกำรเปล่ียนสี เมทิลินบลูจำกสีน้ำเงินเป็นไม่มีสี
โดยถือหลักว่ำจุลินทรีย์บำงชนิดฟอกสีได้ดี บำงชนิดฟอกสีได้น้อยหรือไม่ได้
เลยอกี ประกำรหนึ่งคือจำนวนจลุ นิ ทรีย์ จำนวนจลุ นิ ทรียม์ ำกยิง่ ฟอกสไี ดเ้ ร็ว

ศูนย์วิจยั และพัฒนำผลิตภณั ฑ์ปศุสัตว์เชยี งใหม่ 18 COSMETIC PRODUCT

หลักกำรเปลี่ยนสี เมทิลินบูลมีดังนี้คือ ในสภำวะที่มีออกซิเจนนั้น
สำรละลำยเมทลิ นิ บลูเปน็ สนี ำ้ เงิน เมื่อผสมสีเมทิลินบลูกับน้ำนมสำรละลำยท่ีได้
ก็มีสีน้ำเงิน (เพรำะในนมก็มีออกซิเจนอยู่ด้วย) แบคทีเรียในนมส่วนมำกเป็น
พวกต้องกำรอำกำศ (ออกซิเจน) ในขณะท่ีเจริญในนม (ซึ่งมีเมทิลินบลูผสม)
ก็ใช้ออกซิเจนไปเร่ือยๆ เมื่อใดที่ออกซิเจนในนมหมดเมทิลินบลูก็เปลี่ยนสีทัน
(หลอดจะเป็นสีขำว) ช่วั โมงกำรเปลย่ี นสีเมทิลนิ บลูมีควำมสัมพันธ์ในทำงลบกับ
จำนวนจุลินทรีย์ ชั่วโมงกำรเปล่ียนสีของเมทิลินบลูมำกแสดงว่ำนมดิบนั้นมี
คุณภำพดี (มีจุลินทรีย์น้อย) อย่ำงไรก็ดีกำรทดลองเก่ียวกับกำรฟอกสีน้ีมี
ข้อบกพร่องอยบู่ ้ำงคือ กำรเปลี่ยนสีเมทิลินบลูนี้ไม่จำกัดอยู่เฉพำะแบคทีเรียเท่ำน้ัน
เม็ดโลหิตขำว ก็สำมำรถเปลี่ยนสีเมทิลินบลูได้ดีเช่นกัน แบคทีเรียบำงชนิด
สำมำรถเปล่ียนสีเมทิลินบลูได้เร็วเช่น Streptococcus lactis ส่วนแบคทีเรีย
บำงชนิดเช่น Bacillus subtilis และ Streptococcus agalactis เปล่ียนสี
ได้ช้ำมำก นอกจำกนี้ยังมีข้อบกพร่องอ่ืนๆ อีกบ้ำงเช่น ในขณะที่บ่มหลอด
ทดลองในน้ำอุน่ น้นั เม็ดไขมันจะค่อยๆ ลอยข้ึนสู่ผิดบนและกวำดเอำแบคทีเรีย
ข้ึนมำบนผิวด้วยทำให้แบคทีเรียส่วนล่ำงมีน้อย กำรเปล่ียนสีจึงช้ำและกิน
เวลำนำน (ทั้งๆ ทค่ี วำมจริงแล้วนมมีแบคทีเรียมำก) อย่ำงไรก็ดีกำรทดสอบนี้
กับนมดบิ ก็มีควำมแม่นยำพอควรและนิยมใช้กันท่ัวไป

ชน้ั ของนมและชว่ั โมงกำรเปล่ียนสขี องเมทิลินบลู

Class 1 Excellent ไมเ่ ปล่ียนสใี นเวลำ 8 ชว่ั โมง
ช่ัวโมง
Class 2 Good เปล่ียนสีระหว่ำง 6-8 ชัว่ โมง
ชั่วโมง
Class 3 Fair เปลย่ี นสรี ะหว่ำง 2-6

Class 4 Poor เปล่ยี นสภี ำยในเวลำไมเ่ กนิ 2

1. กำรทดสอบรีซำซูรนิ 1 ชวั่ โมง (ONE HOUR RESAZURIN TEST)
รีซำซูริน (resazurin) คือ Oxidation-reduction indicator

ท่ีพัฒนำขึ้นมำใช้โดยแรมสเดล (Ramsdell) ในเยอรมันนี สี (dry) ชนิดน้ีมี
ควำมไวมำกและไวกวำ่ เมทิลินบลูเสียอกี กำรเปลี่ยนแปลงศักย์ของออกซิเดชัน
–รีดักชัน (oxidation–reduction potential) เพียงเล็กน้อยจำกแบคทีเรีย
เมด็ เลือดขำวและแสง ย่อมแสดงออกโดยกำรเปล่ยี นสีของรีซำซูริน

กำรเปล่ียนแปลงสีของรีซำซูรินอย่ำงน้อยมี 2 ขั้นตอน (2 stages)

ดังต่อไปนี้

ขนั้ ที่ 1 Resazurin resourfin

สีนำ้ เงนิ (blue) สชี มพู (Pink)

ขนั้ ที่ 2 Resorufin hydroresorufin
สชี มพู (Pink) ไม่มสี ี (colourless)

กำรทดสอบรีซำซูรินน้ีมีหลักกำรเดียวกับเมทิลินบลู คืออัตตรำเร็วของ
กำรเปล่ียนสีก็สัมพันธ์กับจำนวนจุลินทรีย์ในนม ไม่จำเป็นที่จะต้องคอยกำร
เปลี่ยนแปลงสีท่ีสมบูรณ์ (เป็นสีขำว) แต่กำหนดเวลำเป็นหลัก โดยถือเอำว่ำ
เวลำ 1 ชั่วโมงน้ี ตัวอย่ำงนมใดจะเปล่ียนสีไปถึงข้ันใด แล้วนำมำเปรียบเทียบกัน
บำงกรณีอำจใชส้ ีมำตรฐำนมำเปรียบเทียบด้วยก็ได้ ซ่ึงเวลำทดสอบเพียง 1 ชั่วโมงน้ี
เป็นขอ้ ได้เปรยี บของรีซำซูรินเทสต์

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสตั วเ์ ชียงใหม่ 19 COSMETIC PRODUCT

บทท่ี 6

ข้อควรรูก้ ่อนการผลติ เครอ่ื งสาอาง

วันท่ี 8 กรกฎำคม 2551 สำนักคณะกรรมกำรอำหำรและยำ ประกำศ
ยกเลิกกำรแบ่งประเภทเคร่ืองสำอำงแบบเดิมและให้เครื่องสำอำงทุกชนิดเป็น
เครอ่ื งสำอำงควบคุม ทีผลบงั คบั ใชใ้ นวันท่ี 26 กนั ยำยน 2551 โดยรำยละเอียดดังนี้

1. เคร่ืองสำอำงทุกชนิดท่ีจะผลิตหรือนำเข้ำเพื่อขำย หลังวันที่
26 กันยำยน 2551 ผู้ผลิตหรอื ผู้นำเข้ำต้องมำจดแจง้ ก่อน (ยำ้ ว่ำเปน็ กำรจดแจ้ง)

2. เครือ่ งสำอำงทวั่ ไปท่เี คยได้รบั อนญุ ำตใหน้ ำเขำ้ หรอื ผลติ เพ่ือวำง
จำหนำ่ ยในท้องตลำดก่อนวนั ท่ี 26 กันยำยน 2551 ผู้ประกอบกำรต้องมำจดแจ้งท่ี อย.
หรือสำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัด หรือยื่นผ่ำนทำงอินเทอร์เน็ต ให้เรียบร้อย
ก่อนกำรผลิตหรือนำเข้ำภำยใน ภำยในวันที่ 31 ธันวำคม 2553 (ยืดเวลำให้
ผู้ประกอบกำรรำยเก่ำรวมแล้วก็ 1 ปีกว่ำๆ นับจำก 26 กันยำยน 2551 ถึง
31 ธันวำคม 2553) หำกพ้นกำหนดดังกล่ำวและไม่มำจดแจ้ง เม่ือตรวจพบ
จะถูกดำเนินกำรตำมกฎหมำยอย่ำงเข้มงวด โดยจะต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกิน
หนงึ่ เดอื นหรอื ปรบั ไม่เกินหนึ่งหมน่ื บำท หรอื ทัง้ จำท้ังปรับ

3. กำรจดแจ้ง หมำยถึง กำรยื่นรำยละเอียดต่ำงๆของผลิตภัณฑ์
เพ่ือให้ อย.ตรวจสอบรำยละเอยี ดทต่ี ้องย่ืนให้ อย. คร่ำวๆ ได้แก่

• ช่ือแบรนด์ (ชอื่ กำรคำ้ ) ของผลิตภณั ฑ์
• ช่อื สินค้ำ
• ประเภทของเครือ่ งสำอำง/วัตถุประสงค์ในกำรใช้
• สว่ นผสมทัง้ หมด เรยี งลำดับจำกควำมเข้มขน้ มำกไปน้อย และระบุ %
สำหรับส่วนผสมท่ี อย.กำหนดให้เป็นสำรควบคุมปริมำณ (สำรท่ี อย.จำกัด%
ที่อนญุ ำตให้ใส่)
• ผูร้ ับผดิ ชอบกำรวำงตลำด/ผู้แบง่ บรรจุ/ผูผ้ ลติ
และเมื่อผ่ำนกำรตรวจสอบข้อมูลที่ย่ืนแล้ว อย.จะอนุมัติเลขที่ใบรับแจ้ง
10 หลกั ให้แก่ผลติ ภัณฑน์ นั้ ๆ เลข 10 หลกั ท่ี อย. อนุมตั ใิ ห้ มีควำมหมำยดังน้ี
2 หลกั แรก บ่งบอกว่ำแจ้งรำยละเอยี ดที่จงั หวดั ใด
หลักท่ี 3 บง่ บอกวำ่ เปน็ สนิ คำ้ ท่ผี ลิตหรือนำเข้ำหรือผลิตเฉพำะเพื่อ
กำรส่งออก
หลักที่ 4 และ 5 บง่ บอกว่ำแจ้งรำยละเอียดในปพี .ศ.ใด
หลักที่ 6-10 เป็นลำดับของกำรออกใบรบั แจ้งในปีพ.ศ. นนั้

ศูนยว์ ิจยั และพัฒนำผลติ ภัณฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ COSMETIC PRODUCT

ตัวอยำ่ งเชน่ 10-1-53-99999 หมำยถึง
10 หมำยถงึ แจ้งรำยละเอียดทกี่ รงุ เทพฯ
1 หมำยถึง ผลติ
53 หมำยถึง แจง้ ในปี พ.ศ. 2553
99999 หมำยถงึ เปน็ ใบรับแจง้ ลำดบั ท่ี 99999 ที่ออกในปี พ.ศ. 2553
เลขทใ่ี บรบั แจ้งเป็นสัญลกั ษณท์ บี่ ง่ ช้วี ่ำเคร่ืองสำอำงนนั้ ได้แจ้งรำยละเอียดต่อ
รัฐตำมที่กฎหมำยกำหนดแล้ว ผู้เกี่ยวข้อง(ท้ังภำครัฐและเอกชน)สำมำรถใช้
ตัวเลขเหล่ำนี้ในกำรส่ือสำร ร้องเรียน สืบค้นข้อมูลจำกฐำนข้อมูลของอย.ได้
อย่ำงรวดเร็วและแม่นยำ กว่ำกำรสืบค้นด้วยช่ือเคร่ือง สำำอำงซ่ึงมักจะ
มหี ลำยพยำงค์ หรอื เปน็ คำทบั ศัพทภ์ ำษำต่ำงประเทศ

ต่อมำวันท่ี 11 กุมภำพันธ์ 2554 อย.ประกำศให้ระบุเลขที่ใบรับแจ้ง 10 หลัก
บนฉลำกผลิตภัณฑด์ ว้ ย มีผลบังคบั ใช้ 14 กนั ยำยน 2554 เป็นต้นไป

เดิ ม เ ล ข ท่ีใ บ รั บ แ จ้ง จ ะ ป ร ำ ก ฏ อ ยู่ที่ ต อ น บ น ใ บ รั บ แ จ้ง เท่ ำ น้ั น
แตข่ ณะนี้ได้มกี ฎหมำยใหม่กำหนดให้ “เลขทีใ่ บรับแจ้ง”เป็นข้อควำมอันจำเป็นที่
ฉลำกของเคร่ืองสำอำงด้วย เม่ือผู้บริโภคอ่ำนฉลำก ก็จะรู้โดยง่ำยว่ำ
ผลิตภัณฑ์นั้นได้แจ้งรำยละเอียดเบ้ืองต้นกับรัฐแล้วหรือไม่ หรือหำกไม่แน่ใจ
กส็ ำมำรถใช้ตัวเลข ๑๐ หลักน้นั สบื ค้นในฐำนข้อมูลของ อย.ได้

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลิตภัณฑป์ ศุสตั ว์เชียงใหม่ 21 COSMETIC PRODUCT

บทที่ 7

องคป์ ระกอบในการผลิตเครื่องสาอางที่มคี ุณภาพ

สุขวิทยำส่วนบุคคล
1. มีสขุ ภำพอนำมัยทสี่ มบูรณ์แข็งแรง ทัง้ ร่ำงกำย และจติ ใจ
2. ไม่เป็นโรคตดิ ตอ่ โรคผวิ หนัง หรอื มบี ำดแผลตำมร่ำงกำย
3. ต้องตรวจสุขภำพอย่ำงสม่ำเสมอ อย่ำงน้อยปีละ 1 คร้ัง

เอกสำรตรวจสขุ ภำพตอ้ งเกบ็ ไว้เปน็ หลกั ฐำน
4. บุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับกำรผลิต ต้องสวมชุดปฏิบัติงำน

หมวก รองเทำ้ ถุงมอื และท่ปี ดิ ปำกปดิ จมกู
5. ชุดปฏบิ ัติกำรตอ้ งซักทำควำมสะอำดอย่ำงสม่ำเสมอ
6. ไม่สวมเส้ือผำ้ ปฏบิ ตั ิงำนออกนอกสถำนที่ผลติ
7. ไม่รับประทำนอำหำร สูบบุหร่ี เก็บอำหำร เครื่องด่ืม

ในสถำนท่ีผลติ
8. ไมพ่ ูดไม่คุยในขณะปฏิบตั ิงำน

สขุ ลกั ษณะสถำนท่ี
1. อำคำรผลิตและสภำพแวดล้อม
1.1 สถ ำ น ท่ี ตั้ง ตัวอำ คำ รอยู่ใน ท ำ เล ท่ี เห ม ำ ะ ส ม

สภำพแวดลอ้ มบริเวณใกลเ้ คียงสะอำด
1.2 อำคำรสถำนท่ตี อ้ งออกแบบ และกอ่ สรำ้ งให้เหมำะสม
1.3 แยกเปน็ สัดส่วนจำกบริเวณทอี่ ยอู่ ำศัย

2. กำรจดั แบ่งภำยใน
2.1 จัดแบ่งเป็นห้อง หรือบริเวณต่ำงๆ สำหรับใช้ใน

กระบวนกำรผลิตแต่ละผลติ ภณั ฑ์เปน็ สดั ส่วน
2.2 จัดให้มีพ้ืนท่ีมำกเพียงพอท่ีจะติดตั้งเคร่ืองมือ

และอปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในกำรผลติ และบรรจุ
2.3 จัดใหม้ พี ื้นท่ีในกำรแยกเก็บให้เป็นสดั ส่วนสำหรบั
- วตั ถดุ บิ
- วัสดุกำรบรรจุ
- เครื่องสำอำงรอกำรบรรจุ
- เคร่อื งสำอำงสำเร็จรูป
2.4 ฝำผนงั และเพดำนของอำคำรทำด้วยวัสดุท่ีคงทุน

สะดวกตอ่ กำรทำควำมสะอำด
2.5 พื้นที่หอ้ ง ควรมผี วิ เรียบ ไม่ขรุขระ ไม่มีรอยแตก

ไมเ่ ปน็ แหลง่ สะสมของเชื้อโรค สะดวกตอ่ กำรทำควำมสะอำด
2.6 มหี ้องน้ำ ห้องส้วม อ่ำงล้ำงมือให้เหมำะสมกับจำนวนพนักงำนและ
แยกออกจำกสว่ นกำรผลิต

2.7 หอ้ งสว้ มต้องถูกสุขลักษณะมีอุปกรณ์สำหรับทำ
ควำมสะอำดและฆ่ำเชอ้ื

ศูนย์วจิ ัยและพัฒนำผลิตภณั ฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ COSMETIC PRODUCT

3. สขุ ลกั ษณะของสถำนทผี่ ลติ
3.1 สถำนทีผ่ ลิตจะตอ้ งจดั ให้เป็นระเบียบ สะอำดปรำศจำกสิ่ง

สกปรก และสัตวท์ ีเ่ ป็นพำหะของโรค
3.2 มกี ำรปอ้ งกนั สตั วแ์ ละแมลงไม่ให้เข้ำไปในสถำนทผี่ ลิต
3.3 ทำควำมสะอำดบรเิ วณทผี่ ลิตทุกคร้ังหลังเสร็จสน้ิ กำรผลิต
3.4 ทำควำมสะอำดพื้นด้วยน้ำยำฆ่ำเช้ือ อย่ำงน้อยอำทิตย์ละคร้ัง

ทิ้งไว้ 12 ชว่ั โมง ก่อนเริม่ ทำงำน
3.5 ห้องหรือบริเวณท่ีเก็บวัตถุดิบ ห้องผลิต และห้องบรรจุ

ตอ้ งแหง้ สะอำดและมกี ำรควบคมุ อุณหภมู คิ วำมช้ืน ตำมควำมจำเปน็
3.6 มีแสงสว่ำงและกำรระบำยอำกำศที่เหมำะสม สำหรับกำร

ปฏิบัตงิ ำนภำยในสถำนท่ผี ลิต
3.7 มีมำตรกำรที่ดใี นกำรควบคมุ ของเสีย วัตถุอันตรำย กำก

ตะกอนหรอื สิ่งตกค้ำงทีถ่ ูกปล่อยออกจำกสถำนที่ผลิต ซ่ึงก่อให้เกิดผลกระทบ
ต่อสภำพแวดลอ้ ม หรือภำวะทีเ่ ปน็ อันตรำย

3.8 มีภำชนะรองรับขยะมูลฝอยท่ีมีฝำปิดจำนวนเพียงพอ
และมีระบบกำจัดขยะมลู ฝอยทเ่ี หมำะสม

3.9 มรี ะบบระบำยนำ้ ท้ิง และส่งิ โสโครกทีเ่ หมำะสม
3.10 มอี ุปกรณ์ท่ีชว่ ยกำรดับเพลิงจำนวนเพียงพอ และมีกำร
ปอ้ งกนั อัคคีภัยโดยวิธีอื่นดว้ ย

คุณภำพและสุขลักษณะของวตั ถดุ ิบ

1. ควรเลือกซ้ือวัตถุดิบเคมี และสมุนไพร จำกแหล่งที่เช่ือถือได้

และปลอดภัย

2. วตั ถุดบิ แต่ละชนดิ ตอ้ งจดั เกบ็ ในภำชนะท่ีปิดสนิท และแยกเก็บ

ให้เป็นสัดส่วน เพ่ือป้องกันกำรหลงลืมสับสน โดยมีป้ำยบอกช่ือวัตถุดิบ วันที่

รับเขำ้ ใหช้ ดั เจนบนภำชนะท่ีจัดเก็บ

3. กำรจัดเก็บต้องไม่วำงบนพ้ืนโดยตรง ควรมชี ้นั วำงสำหรับกำร

รองรับภำชนะบรรจุ

4. วัตถุดบิ จะตอ้ งมกี ำรใช้หมุนเวียน วัตถุดิบที่รับมำก่อนจะต้อง

นำไปใชก้ อ่ น

5. ระวังกำรปนเป้ ือนและกำรเส่ือมสลำยจำกอุณหภูมิ ควำมช้ืน

และแสงแดด
6. คุณภำพน้ำท่ีใช้ในกำรผลิตเคร่ืองสำอำงจะต้องถูกต้องตำม

หลกั วิชำกำร และตอ้ งมคี ุณภำพทค่ี วรเหมอื นกนั ทุกครง้ั

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลิตภณั ฑ์ปศุสตั ว์เชยี งใหม่ 23 COSMETIC PRODUCT

สุขลกั ษณะของเครอื่ งมอื เครอ่ื งใช้และอปุ กรณก์ ำรผลติ
เครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ในกำรผลิตต้องเมำะสม และมี

ปริ ม ำ ณ พอ เพี ย งกั บก ำ รใ ช้ง ำ น สุข ลั ก ษ ณะ ข อง เค ร่ื อง มื อ เ ครื่ อง ใ ช้
และอปุ กรณ์ ท่ดี คี วรคำนึงถึงสิง่ ต่อไปนี้

1. ตำแหน่งท่ีตั้งของเครื่องมือเหมำะสม สะดวกต่อกำรใช้งำน
กำรบำรงุ รกั ษำ กำรทำควำมสะอำด

2. ควรทำด้วยวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยำ ไม่ดูดซึม และไม่หลุดลอกติด
กับเครอื่ งสำอำง วตั ถุดบิ รวมถึงสำรเคมที ใ่ี ช้ฆำ่ เช้ือโรคและทำควำมสะอำด

3. เครื่องมือ เคร่ืองใช้ และอุปกรณ์กำรผลิตต้องสะอำด เก็บไว้
ในท่ีที่เหมำะสม ต้องระมัดระวังกำรปนเป้ ือนที่อำจจะเกิดข้ึนระหว่ำงกำรผลิต
เช่น จำกน้ำมนั หลอ่ ลนื่ นำ้ มนั เชื้อเพลิง ผง หรือเศษโลหะ

4. มีกำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ อุปกรณ์ที่จำเป็น
อย่ำงสม่ำเสมอ และบนั ทกึ ผล

สุขลักษณะในกระบวนกำรผลติ
1. ในระหวำ่ งกำรผลติ พ้ืนที่บริเวณรอบท่ีผลติ จะต้องไม่มีวัตถุอ่ืนใด

หรอื อุปกรณก์ ำรผลติ ท่ไี ม่จำเปน็
2 . ใ น ห้ อ ง ผ ลิ ต ห รื อ บ ริ เ ว ณ เ ดี ย ว กั น ไ ม่ ค ว ร มี ก ำ ร ผ ลิ ต

เครอื่ งสำอำงหลำยๆ ตำรบั พร้อมๆกนั เพ่ือป้องกันกำรปนเป้ ือนท่ีอำจเกิดขึ้น
ในเครือ่ งสำอำงต่ำงชนดิ กนั

3. วัตถุดิบที่ใช้ในกำรผลิตต้องได้รับกำรตรวจสอบก่อนนำไปใช้
ผลติ เครื่องสำอำง

4. เคร่ืองมือเครื่องใช้ และอุปกรณ์กำรผลิต ก่อนและหลังที่ใช้ใน
กำรผลิตเครอ่ื งสำอำง ตอ้ งทำควำมสะอำดให้เหมำะสม เพื่อปอ้ งกันกำรปนเป้ อื น

5. เครอ่ื งสำอำงที่รอกำรบรรจุ จะต้องจัดเก็บในภำชนะบรรจุท่ีปิดสนิท
และติดป้ำยช่ือวนั เดือนปที ่ีผลิตใหช้ ดั เจน

สขุ ลักษณะของบรรจุภัณฑ์
1. บรรจภุ ณั ฑข์ องผลติ ภณั ฑข์ องเคร่ืองสำอำงแต่ละชนิด จะต้อง

แยกเก็บไม่ปะปนกนั
2. บรรจุภณั ฑ์ ตอ้ งอยใู่ นสภำพที่ดี ไม่มรี อยแตกหรอื ชำรุด
3. ฉลำกทุกชนิดสำหรับภำชนะท่ีบรรจุ หีบห่อ และกล่อง จะต้อง

ได้รับกำรตรวจสอบก่อนใช้
4. เครอ่ื งสำอำงสำเร็จรูปทุกชนิดจะต้องมีฉลำกติดอยู่ ซ่ึงฉลำก

นน้ั ตอ้ งเปน็ ไปตำมข้อกำหนดของกฎหมำย

ศูนยว์ ิจยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ 24 COSMETIC PRODUCT

กำรจดั กำรอื่น ๆ
1. ระบบกำรจดั เก็บและควบคุมในโกดงั สินคำ้
1.1 จัดเก็บใหอ้ ย่ใู นสภำพที่ดี
1.2 จัดเก็บอย่ำงมีระเบียบ มีระบบควบคุม เพ่ือป้องกัน

กำรสับสน (ทำป้ำยตดิ )
1.3 เบิกจ่ำยออกไปอยำ่ งมีระบบ
1.4 บนั ทกึ ขอ้ มลู เพ่ือตรวจสอบไดต้ ลอดเวลำ

2. เขยี นปำ้ ยหรอื ประกำศเพื่อช่วยให้กำรผลิตบรรลุผล
กำรเขียนป้ำยหรือประกำศ มีควำมสำคัญเพ่ือให้ผู้ปฏิบัติงำนทุกคน ได้ปฏิบัติ
ถูกต้องตรงกัน ไม่เกิดข้อผิดพลำด และได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีมำตรฐำนคงท่ีทุก
ครงั้ ไป

2.1 กำรแต่งตวั ของพนกั งำน ตดิ ป้ำยดังน้ี

กอ่ นเขำ้ ไปในฝำ่ ยผลติ
o เปลีย่ นรองเท้ำหรอื ลำ้ งเทำ้ ใหส้ ะอำด
o สวมชดุ ปฏบิ ตั ิงำนทส่ี ะอำด

กอ่ นทำกำรบรรจุ
o ล้ำงมอื
o คลุมผม ใส่ผำ้ ปิดปำกปดิ จมูก สวมถงุ มอื

1.1 ทีบ่ ริเวณชงั่ วัตถุ ตดิ ปำ้ ยดังน้ี

o ตรวจสอบเคร่ืองชงั่ ให้เท่ียงตรง
o ตรวจสอบอปุ กรณ์ภำชนะให้สะอำด
o ปิดถุงหรือภำชนะใหเ้ รยี บร้อย

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลติ ภัณฑ์ปศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ 25 COSMETIC PRODUCT

1.2 ทบ่ี รเิ วณผลิต ตดิ ป้ำยดงั นี้

o ตรวจสอบสำรเคมี สมุนไพร แต่ละชนิด
ครบถว้ น ถกู ตอ้ งตำมสตู ร

o ปฏิบัติงำนตำมข้ันตอนที่เขียนไว้อย่ำง
เคร่งครัด

o บันทกึ ลงในแบบฟอรม์ กำรปฏบิ ัติงำนทุกครง้ั
o ผู้ปฏิบัติงำนแต่งตัวสะอำดในบริเวณ

สถำนทีผ่ ลิต
o รักษำควำมสะอำดบริเวณสถำนที่ผลิต

1.3 ทบี่ รเิ วณบรรจุ ตดิ ป้ำยดงั นี้

o ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือบรรจุทุก
อยำ่ งใหถ้ ูกต้อง และสะอำด

o จัดเตรียมฉลำก ภำชนะบรรจุให้ถูกต้อง
และมีจำนวนพอเหมำะ

o พนักงำนต้องแต่งตัวสะอำด คลุมผม
ปดิ จมูก ปิดปำก หรอื สวมถงุ มือ

o บนั ทึก ตรวจสอบกำรบรรจุ ตำมข้อกำหนด
o จัดเก็บผลิตภณั ฑบ์ รรจแุ ล้วใหเ้ ปน็ ระเบียบ

อย่ทู ้ำยสำยกำรบรรจุ

1.4 ทีบ่ ริเวณโกดังสินคำ้ มปี ้ำยบอกดงั นี้

o ตรวจสอบวัตถุดิบ
o จดั เก็บอยำ่ งมรี ะเบียบ
o ตรวจสอบปรมิ ำณ และคุณภำพสนิ คำ้ ที่เก็บ

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลติ ภัณฑ์ปศุสัตว์เชยี งใหม่ 26 COSMETIC PRODUCT

บทท่ี 8

ความรู้พ้ืนฐานสาหรบั การผลติ เครอ่ื งสาอางเบอื้ งตน้

สว่ นประกอบของเคร่ืองสำอำงพื้นฐำน
1. สำรออกฤทธ์ิ (active ingredient) ตัวนี้คือตัวออกฤทธ์ิท่ีแท้จริง
ผสมสำรหลำยตัวและสุดท้ำย ก็เพื่อเอำ active เหล่ำน้ี มำทำบนผิว และให้
ซึมลงผิวได้

2. สำรประสำนเนอ้ื ครมี (emulsifier,thickener)ทำหนำ้ ทป่ี ระสำนนำ้ เข้ำกนั
น้ำมัน (ลองนึกดูง่ำยๆว่ำ เวลำเรำเอำน้ำผสมน้ำมัน มันจะไม่เข้ำกัน
น้ำมันมักจะลอยตัว) สำร emulsifier นี้ ทำหน้ำท่ีประสำนมันเข้ำกันให้
ก ล ำ ย เป็ น เ น้ื อค รีม ส่ ว น thickener ก็ ท ำ ห น้ ำ ที่ ท ำ ให้ เ นื้ อ ครี ม ห รื อ
เจลหรอื เซรั่มเข้นขน้ึ ให้ใช้งำ่ ย (ถ้ำเหลวแทบจะเป็นนำ้ คนกจ็ ะไม่ชอบ เพรำะทำยำก)

3. สำรสร้ำง skin-feel (emollient) ทำหน้ำท่ี ปรุงให้เนื้อครีม เน้ือเจล หรือเซร่ัม
รู้สึกน่ำใช้ ทำแล้วล่ืน ซึมเร็ว ตัวอย่ำงสำรเหล่ำน้ีคือ Glycerin, Propylene Glycol,
Butylene Glycol ลองดูในขวดครีมที่คุณใช้อยู่นะคะ ถ้ำไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ธรรมชำติ
มักจะต้องมีตัวนี้กันแทบท้ังนั้น เพรำะอยำกให้ครีมล่ืน ใช้แล้วรู้สึกดี
แต่ไม่มีประโยชน์ในด้ำนกำรบำรุง แล้วถ้ำใช้เยอะๆสำมำรถทำให้ระคำยเคือง
ผวิ ไดด้ ้วย ย่ิงใสส่ ำรเยอะ กย็ ิง่ เพิ่มโอกำสกำรแพ้ของผิวมำกขนึ้

4. สิ่งปรงุ แตง่ เช่น สี หรอื นำ้ หอม (colorant, perfume) แนวโน้มในปัจจุบนั
หมดสมัยแล้ว ที่เครื่องสำอำงจะมำใส่สีใส่น้ำหอมเยอะๆ พวกนี้สำมำรถ
ก่อใหเ้ กดิ กำรแพ้ได้ โดยเฉพำะน้ำหอม

5. สำรกันเสยี /สำรกนั บดู (preservative) เปน็ ส่ิงจำเป็น ถำ้ บรษิ ัทไหนผลิตขำย
แลว้ ไมใ่ ส่ตัวนี้ ไม่เหมำะสมอย่ำงยิ่ง เมื่อมีน้ำ ก็ต้องมีแบคทีเรีย แล้วถ้ำครีม
คุณมีแบคทีเรียก่อตัวเป็นก้อนดำๆอยู่ข้ำงใน ทำผิวเข้ำไป ย่ิงอันตรำยใหญ่
และอนั ตรำยกว่ำกำรใส่สำรกันเสียอกี สำรกนั เสียมีหลำยอยำ่ ง มีตงั้ แต่สำรท่ี
สกัดจำกธรรมชำติ ซ่ึงแพง และไม่ค่อยกล้ำใช้กนั

ศูนย์วจิ ยั และพัฒนำผลิตภณั ฑ์ปศุสตั วเ์ ชียงใหม่ COSMETIC PRODUCT

ขอ้ ควรรเู้ ก่ียวกับสำรเคมที ี่ใช้ในกำรผลติ เครอ่ื งสำอำง
1. สำรเคมที ใ่ี หผ้ ลติ เคร่อื งสำอำงควรเปน็ สำรเคมีท่ีได้มำตรฐำน ผู้ผลิต

ควรทำกำรสอบถำมแหล่งท่มี ำของสำรเคมี เพ่ือให้แน่ใจว่ำมำจำกแหล่งผลิตท่ี
น่ำเชื่อถือได้

2. สำรเคมีในเคร่ืองสำอำงมชี ่อื เคมีมำกกว่ำหน่ึงช่ือ รวมทั้งมีชื่อทำงกำรค้ำ
ไดห้ ลำกหลำย ข้นึ อยู่กบั บรษิ ัทท่ีผลิต

3. สำรเคมีชนดิ หน่ึงอำจจำหน่ำยในควำมเข้มข้นทตี่ ำ่ งกัน และใช้ช่อื ทำง
กำรค้ำท่ีแตกต่ำงกัน ซ่ึงสำมำรถใช้แทนกันได้ แต่ต้องคำนวณปริมำณที่ใช้
เพื่อใหไ้ ดค้ วำมเขม้ ขน้ ของสำระสำคญั ตำมตอ้ งกำร

4. ก ำ ร ผ ลิ ต เครื่อ งสำ อำ งใ น ท้ อ งถิ่น อำ จ ใ ช้ ช่ือ สำ รเ คมีที่ มีก ำ ร
บัญญตั ศิ ัพท์ข้นึ มำเพื่อสะดวกตอ่ กำรจำ ผผู้ ลิตควรจะสอบถำมหรือค้นคว้ำว่ำ
สำรดงั กล่ำวเป็นสำรเคมีชนดิ ใด ทั้งน้ีเพ่ือสำมำรถปรับส่วนผสม หรือทดแทน
กำรใชส้ ำรดังกล่ำวไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม

5. ในทำงกำรคำ้ บรษิ ัทที่จำหนำ่ ยสำรเคมีอำจจะจำหน่ำยในรูปสำรผสม
ดว้ ยกำรผสมสำรเคมีหลำยชนดิ ไว้ดว้ ยกนั แลว้ จำหนำ่ ยในชอ่ื ทำงกำรค้ำอีกช่ือ
หน่ึง ท้ังน้ีเพื่อให้สะดวกแก่ผู้ผลิตท่ีจะสำมำรถเจือจำงหรือเติมน้ำเพื่อให้เกิด
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องกำรได้เลย ก ำรใช้สำรผสมดังกล่ำวมีข้อเสียคือ
จะไม่สำมำรถปรับส่วนประกอบในสูตร เพ่ือปรับคุณภำพของผลิตภัณฑ์ให้ได้
ตำมต้องกำร อีกทั้งสำรผสมดังกล่ำวยังอำจจะมีรำคำแพงกว่ำกำรใช้สำร
เดีย่ วๆ ผสมกนั เองอกี ดว้ ย

6. ส่ิงต่ำงๆ เหล่ำนีเ้ ป็นสิง่ ที่ ผู้ผลิตจะทำกำรค้นคว้ำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
โดยอำจสอบถำมจำกบริษัทผู้ผลิตโดยตรง หรือค้นคว้ำจำกหนังสือและ
เอกสำรอ้ำงองิ อ่ืน ๆ

มำตรำชง่ั ตวง
กำรช่ังตวงเปน็ หลักกำรเบื้องต้นของกำรให้ได้มำของปริมำณสำรที่เหมำะสม

ที่จะใช้ในกำรผลิต กำรชั่ง ตวง ที่ถูกต้องเป็นส่วนหน่ึงที่จะทำให้ได้
ผลิตภัณฑ์ท่ีมีคุณภำพสม่ำเสมอตรงควำมต้องกำรของผู้ผลิต จึงควรจะมี
ควำมรู้พื้นฐำนในกำรช่ัง ตวง เป็นอย่ำงดี

มำตรำช่ัง ตวง มีหลำยมำตรำ เช่น มำตรำเมตริก (Metric system)
และมำตรำอังกฤษ (English system) สำหรับประเทศไทยนิยมใช้มำตรำช่ัง ตวง
ในระบบเมตริก อยำ่ งไรก็ตำมผู้ผลิตควรจะเรียนรู้ วิธีกำรเปรียบเทียบมำตร
ชั่ง ตวง ที่ต่ำงระบบกัน ทั้งนี้เนื่องจำกผู้ผลิตอำจมีสูตรพ้ืนฐำนในมำตรำ
หน่วยอ่นื ๆ ซงึ่ ตอ้ งกำรเปลี่ยน ให้อยู่ในหน่วยท่ีจะสำมำรถช่ัง ตวง ได้อย่ำง
สะดวก

ศูนยว์ ิจยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑป์ ศุสตั ว์เชียงใหม่ 28 COSMETIC PRODUCT

1. มำตรำชง่ั

มำตรำเมตริก

1 กิโลกรมั (kilogram,kg.) = 1000 กรัม (gram,g.)

1 กรมั = 1000 มลิ ลิกรัม (milligram,mg.)

สำหรบั ชำวบำ้ นท่วั ไปจะใชห้ น่วยเปน็ ขดี ซ่งึ สำมำรถเปรียบเทียบเปน็ หนว่ ยใน

มำตรำเมตรกิ ดงั นี้

1 กิโลกรมั = 10 ขีด

1 ขีด = 100 กรัม

มำตรำอังกฤษ (Avoirdupois)

1 ปอนด์ (pound,Ib.) = 16 ออนซ์ (ounce,oz.)

1 ออนซ์ = 437.5 เกรน (grain,gr.)

เปรียบเทยี บมำตรำเมตรกิ กับ องั กฤษ

1 กิโลกรมั = 2.2 ปอนด์

1 ปอนด์ = 454.0 กรมั

1 ออนซ์ = 28.4 กรัม

2. มำตรำตวง

มำตรำเมตริก

1 ลติ ร (liter,l.) = 1000 มลิ ลิลิตร (milliliter,ml.)

1 มิลลลิ ิตร = 1 ซซี ี (c.c.)

3. กำรเปรยี บเทยี บมำตรำ = 4.55 ลิตร
1 แกลลอน (British Imperial) = 3.79 ลิตร
1 แกลลอน (US Liquid Measure) = 4 ควอท
1 แกลลอน (US Liquid Measure) = 2 ไพน์ (pint)
1 ควอท = 2 ถ้วย
1 ไพน์ = 8 ออนซ์ (fluidounce,Fluid oz.)
1 ถ้วย = 2 ชอ้ นโตะ๊ (ช.ต.)
1 ออนซ์ (Fluid oz.) = 30 มิลลิลติ ร
1 ปอนด์ (Fluid oz.) = 3 ชอ้ นชำ (ช.ช.)
1 ช้อนโต๊ะ = 15 มิลลลิ ิตร
1 ช้อนโต๊ะ = 5 มิลลิลิตร
1 ชอ้ นชำ

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลิตภณั ฑป์ ศุสัตว์เชยี งใหม่ 29 COSMETIC PRODUCT

ข้อควรระวัง
1. หน่วย ช้อนโต๊ะ และ ช้อนชำ ในที่น้ีไม่ใช่ช้อนโต๊ะท่ีรับประทำนอำหำร

หรือช้อนชำที่ใช้ชงกำแฟ ช้อนโต๊ะท่ีใช้รับประทำนอำหำรน้ัน จะมีปริมำตรบรรจุเพียง
8-15 มิลลิลิตร (ข้ึนอยู่กับขนำดของช้อน) และช้อนชำท่ีชงกำแฟจะมีขนำดเพียง
3 มิลลิลิตร เท่ำน้ัน ดังนั้นควรใช้ช้อนตวงมำตรฐำน ท่ีใช้สำหรับกำรตวง
โดยเฉพำะ โดยอำจใชช้ ้อนตวงมำตรฐำนท่ีใชแ้ ทนกันได้

2. หน่วยของออนซ์ ออนซ์ ซึ่งอำจเป็นได้ท้ังหน่วยของน้ำหนัก (เป็น oz.)
และหนว่ ยของปริมำตร (เปน็ Fluid oz.) ซึง่ มคี ำ่ ไม่เทำ่ กัน และไมค่ วรใชส้ ลับกัน

3. หน่วยของแกลลอนก็มีอยู่ 2 ชนิด คือ อังกฤษ และอเมริกำ ซึ่งก็มี
ปริมำตรท่ตี ่ำงกนั อีกดว้ ย

สำรเคมที หี่ ำ้ มมีในผลิตภัณฑ์เครือ่ งสำอำง
สำรเคมีหลำยชนิดมีรำยงำนว่ำเป็นอันตรำยต่อกำรใช้ องค์กำรอำหำร

และยำของสหรัฐอเมริกำ ได้ประกำศห้ำมใช้สำรต่ำงๆ เหล่ำน้ีในเคร่ืองสำอำง
ไดแ้ ก่

1. Hexachlorophene เนื่องจำกมีผลต่อระบบประสำท และสำมำรถซึม
สู่ผิวหนังคนได้ แต่ให้ใช้เป็นสำรกันเสีย (preservative) ได้ในกรณีท่ีไม่
สำมำรถใช้สำรกันเสียอ่ืนด้วย (สำหรับประเทศไทย สำรนี้เป็นสำรห้ำมใช้ใน
เครอ่ื งสำอำง)

2. สำรปรอท (Mercury compound) สำมำรถซึมสู่ผิวหนังและสะสม
ในร่ำงกำยได้ อำจทำให้เกิดอำกำรแพ้ ระคำยเคืองผิวหนัง เกิดอันตรำยต่อ
ระบบประสำท ระบบทำงเดินปัสสำวะ และไตอกั เสบได้ (ประเทศไทยหำ้ มใชส้ ำรนี้
ตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2532)

3. Chlorofluorocarbon propellants ห้ำมใช้สำรขับดันชนิดนี้
ในเครอื่ งสำอำงชนดิ ฉดี พ่น (aerosol product)

1. สำรตอ้ งหำ้ มอื่น ๆ
สำรเหล่ำนไ้ี ดถ้ ูกห้ำมใชใ้ นเครื่องสำอำงได้แก่
- Bithionol เน่ืองจำกทำใหเ้ กดิ กำรแพ้เมือ่ ถกู แสงแดด
- Halogenated salicylanilides ทำใหเ้ กิดกำรแพ้เม่อื ถูกแสงแดด
- Chloroform เป็นสำรก่อเกิดมะเร็ง ประเทศไทยห้ำมใช้สำรนี้

ตั้งแต่ พ.ศ. 2529
- Vinyl chloride ห้ำมใช้ในเครื่องสำอำงฉีดพ่น เพรำะเป็น

สำรกอ่ ให้เกิดมะเรง็
- ส ำ ร ป ร ะ ก อ บ เ ชิ ง ซ้ อ น ข อ ง Zirconium ห้ ำ ม ใ ช้ ใ น

เครอ่ื งสำอำงฉีดพ่นเพรำะเปน็ อันตรำยตอ่ ปอด
- Methyllene chloride เป็นสำรก่อมะเร็งในสัตว์ และ

เป็นอันตรำยตอ่ สขุ ภำพของคน

ศูนย์วิจัยและพัฒนำผลิตภัณฑ์ปศุสตั ว์เชียงใหม่ 30 COSMETIC PRODUCT

2. Acetylethyltetramethyltetralin (AETT)
ห้ ำ ม ใ ช้ ใ น เ ค รื่ อ ง ส ำ อ ำ ง ท่ี เ ป็ น น้ ำ ห อ ม ( fragrance

formulations) เพรำะพบว่ำเป็นอันตรำยต่อระบบประสำทอย่ำงมำก และยัง
ซมึ ผ่ำนเข้ำผิวหนงั ไดด้ ว้ ย

3. Musk Ambrette
อำจทำให้เกิดกำรแพ้ เมื่อถูกแสงแดด เช่น เกิดกำรแพ้ที่

ผวิ หนัง และยงั เป็นอนั ตรำยตอ่ ระบบประสำทดว้ ย
4. 6-Methylcoumarin (6-MC)
เป็นสำรท่ีก่อให้เกิดกำรแพ้อย่ำงรุนแรงเมื่อถูกแสงแดด ห้ำม

ใชใ้ นเคร่อื งสำอำงป้องกนั แสงแดด (suntan and sunscreen preparations)
5. Nitrosamines
เป็นสำรท่ีก่อให้เกิดมะเร็ง และสำมำรถซึมผ่ำนผิวหนังได้

สำรเคมีในกลุ่ม amines หรืออนุพั นธ์ของ amino โดยเฉพำะ di- และ
triethanolamine สำมำรถเปลี่ยนเป็น nitrosamines ได้เมื่อมีสำรท่ีเป็น
nitrosating agents (หรอื nitrites) อยรู่ ว่ มด้วย สำรกันเสียชนิด 2-bromo-2-
nitropropane-1,3-diol สำมำรถถูกเปล่ียนให้เป็น nitrosamine ได้ด้วย
สำรเคมีในกลุ่ม amines หรืออนุพันธ์ของ amino มีอยู่อย่ำงแพร่หลำยใน
ครีม โลชั่น แชมพู และครีมนวดผม และสำร nitrosating agents อำจเกิดข้ึนใน
ระหวำ่ งกำรผลิตหรือเก็บรกั ษำผลติ ภณั ฑ์

จำกปัญหำข้ำงต้น กระทรวงสำธำรณสุขของประเทศไทย
โดยสำนกั คณะกรรมกำรอำหำรและยำ จึงได้กำหนดเง่ือนไขของกำรใช้วัตถุกัน
เสียบำงชนิดที่อำจก่อให้เกิด nitrosamines ได้ ตำมประกำศกระทรวง
สำธำรณสุข (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2539 เร่ือง กำหนดวัตถุที่อำจเป็นส่วนผสมใน
กำรผลติ ในเครอื่ งสำอำง(ฉบบั ท่ี 2)

6. Dioxanes
ทำให้เกิดมะเร็งในตับและจมูกได้ สำมำรถซึมผ่ำนผิวหนัง และ

ส่งผลทว่ั รำ่ งกำยได้ สำรนอ้ี ำจปะปนมำในสำรเคมีท่ีใช้ในกำรผลิตเครื่องสำอำง
เชน่ สำรชำระล้ำงประเภท ethoxylated surfactancs อันได้แก่ สำรท่ีขึ้นต้น
ดว้ ยคำวำ่ “PEG” “polyethylene” “polyoxyethylene” “-eth-” “oxynol”

นอกจำกน้ี กระทรวงสำธำรณสุขยงั ได้ออกประกำศท่ีเก่ียวข้องกับสำรที่
ให้ใชใ้ นเคร่ืองสำอำงดังนี้

ประกำศกระทรวงสำธำรณสุข ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๓๖) เรื่อง กำหนด
วัตถทุ ่ีห้ำมใชเ้ ปน็ ส่วนผสมของเครือ่ งสำอำง

ประกำศกระทรวงสำธำรณสขุ ฉบบั ท่ี ๒๐ (พ.ศ. ๒๕๓๘) เรื่อง กำหนด
สีท่อี นุญำตใหใ้ ชเ้ ป็นสว่ นผสมในกำรผลติ เคร่ืองสำอำง

ประกำศกระทรวงสำธำรณสขุ ฉบับท่ี ๒๑ (พ.ศ. ๒๕๓๘) เร่ือง กำหนด
วัต ถุท่ี อำ จ ใ ช้เป็ น ส่วน ผ สม ใน ก ำ รผลิ ต เคร่ื องส ำ อำ ง แ ล ะ ฉบับ ที่ ๒ ๗
พ.ศ. ๒๕๓๙ เร่ือง กำหนดวัตถุที่อำจใช้เป็นส่วนผสมในกำรผลิตเครื่องสำอำง
(ฉบบั ที่ ๒)

ศูนย์วจิ ัยและพัฒนำผลติ ภัณฑป์ ศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ 31 COSMETIC PRODUCT

ประกำศกระทรวงสำธำรณสุข ฉบับที่ ๒๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙) เรื่อง กำหนด
วตั ถทุ ห่ี ำ้ มใชเ้ ป็นส่วนผสมในกำรผลติ เครอื่ งสำอำง (ฉบับท่ี ๒)

ประกำศกระทรวงสำธำรณสุข ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๔๐) เร่ือง กำหนด
วัตถทุ ีอ่ ำจใชเ้ ป็นสว่ นผสมในกำรผลติ เครื่องสำอำง (ฉบับท่ี ๓)

ประกำศกระทรวงสำธำรณสุข (พ.ศ. ๒๕๕๙) เร่ือง ชื่อวัตถุท่ีห้ำมใช้เป็น
สว่ นผสมในกำรผลิตเครอื่ งสำอำง

ขอ้ ควรระวังกำรเลือกใชส้ ำรเคมใี นกำรผลิตเคร่อื งสำอำง
ในกำรพัฒนำสูตรตำรับเคร่ืองสำอำงเพื่อผลิตออกจำหน่ำย ในขั้นตอนท่ี

ทรำบว่ำสตู รตำรับประกอบด้วยสำรใดในปริมำณเทำ่ ไหรแ่ ล้ว เพ่ือให้เคร่ืองสำอำง
ที่ผลิตมีคุณภำพมำตรฐำน และไม่ฝ่ำฝืนกฎหมำยโดยรู้เท่ำไม่ถึงกำรณ์ ผู้ผลิต
จะต้องตรวจสอบทั้งชนิดและปริมำณท่ีใช้ของสำรทุกตัวในสูตร ว่ำเป็นสำรที่
อนุญำตให้ใช้ในเคร่ืองสำอำงประเภทน้ันๆ หรือปริมำณที่ใช้นั้นปลอดภัย
โดยตรวจสอบตำมลำดบั ดังน้ี

1. ตรวจสอบรำยชื่อสำรที่ห้ำมใช้ในเครื่องสำอำง ตำมประกำศ
กระทรวงสำธำรณสุขท่ีออกตำมในพระรำชบัญญัติเคร่ืองสำอำง พ.ศ. ๒๕๓๕
ซ่ึงขณะน้ี ( พ.ศ. ๒๕๔๓) มีประ กำศท่ี เก่ียวข้อง ๒ ฉบับ คือ ฉบับที่ ๙
(พ.ศ. ๒๕๓๖) และ ฉบบั ท่ี ๒๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙)

2. ตรวจสอบว่ำสำรนั้นไม่ได้จัดเป็นยำ ซึ่งถือว่ำเป็นสำรที่ห้ำมใช้
ในเครอ่ื งสำอำง

3. ตรวจสอบหรือขอข้อมูล หรือสอบถำมจำกหน่วยงำนรัฐที่
เก่ียวข้อง เนื่องจำกบำงเรื่องมิได้ออกเป็นประกำศ แต่เป็นเกณฑ์กำหนดทำง
วชิ ำกำร ตวั อยำ่ งเช่น สำรชะล้ำง (surfactant) ชนิดหน่ึง คือ sodium lauryl
sulfate ใน แ ชม พู ควรใช้ไ ม่ เกิน 15 % ของปริม ำ ณแ ชมพู ( คำ น วณจ ำ ก
เนื้อ sodium lauryl sulfate) โดย sodium lauryl sulfate ที่จำหน่ำย
ส่วนใหญ่จะมีปริมำณของสำรนี้ประมำณ 28-50% เนื่องจำกมีรำยงำนกำร
ศึกษำวิจัยว่ำทำให้ cornea (แก้วตำ) ของกระต่ำยมัว

4. กำรเลือกใช้เกรดของวัตถุดิบต้องเหมำะสมกับเครื่องสำอำงท่ีจะผลิต

ตัวอย่ำงเชน่ sodium lauryl sulfate ท่ใี ชใ้ นยำสีฟนั จะเป็นเกรดท่ีบริสุทธ์ิมำก
ไม่มีกลิ่นสบู่ โอกำสระคำยเคืองน้อย แต่รำคำแพง ขณะท่ีเกรดท่ีใช้กับน้ำยำทำ
ควำมสะอำดพ้ืนเป็นเกรดท่ีด้อยคุณภำพกว่ำมำกไม่เหมำะท่ีจะผลิตเครื่องสำอำง

เพรำะอำจมสี ำรปนเป้ อื นหรือเกดิ กำรระคำยเคอื งได้

5. กำรเลอื กใช้สที ีผ่ สมในเครื่องสำอำง

5.1 กรณีที่เป็นสีท่ีอนุญำตให้ใช้ผสมอำหำรตำมกฎหมำยว่ำด้วย

อำหำร สำมำรถใช้เป็นสว่ นผสมในเคร่ืองสำอำงได้

5.2 หำกเป็นสีท่ีมิได้ประกำศไว้ในประกำศกระทรวงสำธำรณสุข

ว่ำด้วยเร่ือง สีที่ใช้ในเครื่องสำอำงให้พึงระวังว่ำ อำจเป็นสีท่ีไม่อนุญำตให้ใช้

ควรตรวจสอบจำกกองควบคมุ เคร่ืองสำอำงกอ่ นใช้

ศูนย์วิจยั และพัฒนำผลิตภัณฑ์ปศุสตั วเ์ ชียงใหม่ 32 COSMETIC PRODUCT

6. กำรใช้วัตถุกันเสียหรือวัตถุระงับเช้ือ กรณีเป็นสำรท่ีกระทรวง
สำธำรณสุขกำหนดชนิด หรือปริมำณรวมท้ังเง่ือนไขกำรใช้ไว้ ต้องปฏิบัติตำมที่
กฎหมำกำหนด หำกเป็นสำรนอกเหนือจำกที่ประกำศ ต้องตรวจสอบข้อมูลทำง
วชิ ำกำรว่ำชนิดและปริมำณที่ใชป้ ลอดภยั

7. สำรบำงชนิด หำกมกี ฎหมำยฉบับอ่ืนห้ำมใชแ้ ล้ว จะถือว่ำเป็นสำร
ที่ห้ำมใช้ในเคร่ืองสำอำงด้วย ตัวอย่ำงเช่น สำรขับดัน (propellant) เช่น
chlorofluorocarbon หรือท่ีเรียกย่อๆว่ำ CFC พระรำชบัญญัติวัตถุอันตรำย
ห้ำมใช้ พ.ศ. ๒๕๓๕ จงึ ถือวำ่ หำ้ มใช้ในเครอ่ื งสำอำงด้วย

ปัญหำสำรเคมที ใี่ ชใ้ นกำรผลติ
กำรใชส้ ำรเคมกี อ่ ให้เกิดปัญหำใหญ่ ๆ 2 ประกำร คือ
1. ผลต่อสภำพแวดลอ้ ม
สำรเคมีท่ีมีส่วนประกอบของแชมพู บำงชนิด มีกำรย่อยสลำย

ยำกหรือไม่ย่อยสลำยเลย ทำให้เกิดสำรสะสมในส่ิงแวดล้อม บำงชนิดเป็นพิษต่อ
ส่ิงมีชีวิต และห่วงโซ่อำหำรในแหล่งน้ำและดิน แชมพู ท่ีดีต้องย่อยสลำยได้ดีใน
ธรรมชำติ กำรห้ำมใส่สำรอันตรำยบำงชนิดในผลิตภัณฑ์ตลอดจนกำรใช้บรรจุ
ภัณฑน์ อ้ ยลงหรือสำมำรถกลับมำแปรรูปใช้ใหม่ได้ จะช่วยเพ่ิมควำมปลอดภัยต่อ
ผู้บริโภค ลดกำรปนเป้ ือนของสำรเคมีในธรรมชำติ ประหยัดทรัพยำกร
ลดปรมิ ำณกำรเกิดขยะ

1.1 สำรชำระล้ำง (สำรลดแรงตึงผิว) สำรชำระล้ำง
โดยทั่วไปประกอบด้วยส่วนที่ละลำยน้ำและส่วนที่ละลำยในไขมัน ส่วนที่ละลำยใน
ไขมันจะทำให้สำรชำระล้ำงน้ีสำมำรถซึมผ่ำนเข้ำไปในผิวของสัตว์น้ำ บำงชนิด
สลำยตัวได้อยำกและเกิดกำรสะสมในแหล่งน้ำ ทำให้สมดุลทำงสภำพแวดล้อม
เปล่ียน และก่อใหเ้ กิดอันตรำยตอ่ ส่งิ มชี วี ิตในน้ำได้

1.2 สำรลดควำมกระด้ำงของนำ้ สำรลดควำมกระด้ำง
บำงชนดิ เมื่อปลอ่ ยสู่แหลง่ นำ้ ปริมำณมำก จะทำให้เกิดควำมสมบูรณ์ของแหล่ง
นำ้ มำกเกินไป พืชน้ำเจริญเติบโตอย่ำงรวดเร็ว และเมื่อตำยลงก่อให้เกิดปัญหำ
กำรเนำ่ เสียของแหลง่ น้ำได้ และสำรลดควำมกระด้ำงของน้ำบำงตัว สลำยตัวได้
ค่อนขำ้ งชำ้ และบำงตัวเช่อื ว่ำทำให้โลหะหนักออกมำปนเป้ ือนกับส่งิ แวดลอ้ มมำกขึน้

1.3 สำรกันเสีย สำรกันเสียบำงชนิดย่อยสลำยทำง
ชีวภำพได้ยำก และบำงชนิดมีอันตรำยต่อสุขภำพ สำมำรถทำให้เกิดกำรแพ้ได้
น อ ก จ ำ ก น้ี ส ำ ร กั น เ สี ย ยั ง ท ำ ใ ห้ ป ร ะ สิ ท ธิ ภ ำ พ ข อ ง ร ะ บ บ บ ำ บั ด ข อ ง เ สี ย ล ด ล ง
โดยฆำ่ แบคทเี รียท่มี ีควำมจำเปน็ ในกระบวนกำรบำบดั

1.4 สำรทำอิมัลชัน สำรทำอิมัลชันบำงชนิดย่อยสลำย
ได้ยำก หรือไม่ย่อยสลำย ทำให้เกิดกำรตกค้ำงและสะสมในสิ่งแวดล้อม
บำงชนิดมีควำมเป็นพิษ ทำให้เกดิ ผลกระทบต่อส่ิงมชี วี ิตในหว่ งโซอ่ ำหำร

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลิตภัณฑ์ปศุสตั ว์เชียงใหม่ 33 COSMETIC PRODUCT

1.5 ตัวทำลำย ตัวทำลำยบำงชนิดใช้ mineral oil

เป็นวัตถุดิบและใช้เป็นเช้ือเพลิงในกำรผลิต ซึ่ง mineral oil เป็นทรัพยำกร

ท่ีไมส่ ำมำถนำกลบั มำใชใ้ หมไ่ ด้อกี นอกจำกน้ีกำรปลดปล่อยตัวทำละลำยสู่อำกำศ

ทำใหเ้ กดิ โอโชนในบรรยำกำศชนั้ ลำ่ งซ่ึงเป็นอนั ตรำยต่อส่ิงมชี วี ติ
1.6 ภำชนะท่ใี ชบ้ รรจุ สว่ นใหญ่จะทำจำกพลำสติกหรือ

วัสดุกัน น้ำ เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หมด แล้ว บรรจุภัณฑ์เห ล่ำน้ัน จะกลำยเป็น

ขยะมลู ฝอย กอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดล้อมต่อไป

2. ผลต่อสขุ ภำพ
สำรเคมหี ลำยชนิดเป็นอนั ตรำยต่อสุขภำพของผ้ใู ช้ เช่น อำจทำให้

เกิดกำรแพ้ หรือระคำยเคือง ซ่ึงอำกำรแพ้ที่เกิดขึ้นทันทีหลังจำกกำรใช้ หรือ
เกดิ ข้นึ หลงั จำกกำรใช้ตดิ ตอ่ กนั เป็นเวลำนำนพอสมควร

สำรเคมีที่ทำให้เกิดกำรแพ้เป็นส่วนมำก ได้แก่ สี น้ำหอม และ
สำรกัน เสียใน เคร่ืองสำอำง สำ รกันเสียบำงชนิด อำจปลด ปล่อย หรือ
เปลย่ี นแปลงเป็น ฟอร์มำลดไี ฮด์ ทกี่ ่อใหเ้ กดิ กำรระคำยเคอื งได้

สำรอ่ืนๆ ที่อำจทำให้เกิดกำรแพ้หรือระคำยเคืองต่อตำ ผิวหนัง
และเยือ่ บุ ไดแ้ ก่ EDTA สี D&C Green 5

สำรเคมหี ลำยชนดิ มีรำยงำนวำ่ เป็นสำรก่อให้เกิดมะเร็งและห้ำมใช้
ในเคร่อื งสำอำง

ทำงออกของกำรแก้ปัญหำของกำรใช้สำรเคมี คอื
1. ใชผ้ ลติ ภณั ฑ์เครอื่ งสำอำงเท่ำท่จี ำเปน็
2. พยำยำมเลือกใช้สำรเคมีที่มีมำตรฐำน ทำลำยสิ่งแวดล้อมและ

ผบู้ ริโภคนอ้ ยทส่ี ุด
3. ลดกำรใชส้ ำรเคมโี ดยกำรหำส่งิ ทดแทนทเ่ี ปน็ ธรรมชำติให้มำกข้นึ
4. มีระบบกำรบำบัดน้ำเสยี กอ่ นปล่อยออกสู่ธรรมชำติ
5. ควรใชบ้ รรจภุ ณั ฑท์ ีส่ ำมำรถนำกลับมำใชใ้ หม่ได้ หรอื มีมลภำวะตอ่

สิ่งแวดล้อมน้อย ไม่ควรใช้พลำสติกท่ีทำจำก PVC เพรำะเมื่อถูกเผำทำลำยจะ
เกดิ สำรไดออกซิน ซึง่ เป็นสำรพิษรำ้ ยแรงก่อใหเ้ กดิ อนั ตรำยตอ่ ร่ำกำย

ศูนย์วจิ ัยและพัฒนำผลติ ภัณฑป์ ศุสตั ว์เชยี งใหม่ 34 COSMETIC PRODUCT

บทท่ี 9 สารกันเสียในเครอื่ งสาอาง

สำรกันเสีย คือส่วนผสมจำกธรรมชำติหรือสำรที่สังเครำะห์ข้ึน ท่ีเติมลงไป
เป็นส่วนผสมใน เคร่ืองสำอำง, เวชภัณฑ์, อำหำร เพ่ือป้องกันกำรเน่ำเสียท้ัง
จำกกำรเจรญิ เตบิ โตของเชือ้ แบคทีเรียและกำรแปรสภำพทำงเคมี

เพรำะเหตุใดถงึ ต้องใช้สำรกันเสยี ในเคร่ืองสำอำง
สำรกันเสีย มปี ระโยชน์สำหรับป้องกันผลิตภัณฑ์จำกกำรทำลำยโดยจุล

ชพี ต่ำงๆ (เช่น แบคทีเรยี ,เชือ้ รำ, ไวรสั ฯลฯ) และปอ้ งกนั กำรปนเป้ อื นระหว่ำง
กำรใชผ้ ลติ ภัณฑอ์ ย่ำงไมไ่ ด้ต้ังใจ โดยผู้ใช้ท่ีขำดควำมระมัดระวัง ส่วนผสมท่ีใช้
ในกำรปกป้องผลิตภัณฑ์จำกกำรเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เรียกว่ำ
"สำรต้ำนจลุ ชพี “ สำรกนั เสยี ยงั ใชใ้ นกำรป้องกนั ผลิตภณั ฑ์ไม่ใหถ้ กู ทำลำยหรือ
เสื่อมคุณภำพจำกกำรสัมผัสกับออกซิเจน จำกหน้ำท่ีน้ีสำรกันเสียจึงอำจถูก
เรยี กวำ่ "สำรตำ้ นอนุมูลอิสระ" หำกปรำศจำกสำรกันเสยี แล้ว ผลิตภณั ฑต์ ำ่ งๆ
โดยเฉพำะอำหำร อำจเกิดกำรปนเป้ ือนและนำไปสู่กำรเน่ำเสียได้ ซึ่งจะทำให้
ผ้บู รโิ ภคเกิดกำรติดเช้ือหรอื เกิดอำกำรระคำยเคืองขึ้นได้ กำรปนเป้ ือนเชื้อโรค
ของผลิตภัณฑ์ เคร่ืองสำอำง โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหนัง
รอบดวงตำและผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหนังซึง่ ถือเป็นเร่ืองสำคัญ สำรกันเสียจะ
ชว่ ยป้องกันปญั หำดังกลำ่ ว

สำรกันเสยี ทำงำนอยำ่ งไร
สำรต้ำนจุลชพี ปอ้ งกนั กำรเจริญเติบโตของเชอ้ื รำ, ยีสต์ และแบคทีเรีย

สำรต้ำนอนมุ ลู อสิ ระช่วยให้สีและกลิ่นของผลิตภัณฑ์ไม่เปล่ียนไป กำรเปล่ียนสี
และกล่ินของผลิตภัณฑ์อำจไม่ทำให้คุณเจ็บป่วย แต่มันก็ทำให้เกิดกล่ินไม่พึง
ประสงค์, สีผลิตภัณฑ์เปลี่ยนไป หรือทำให้ผลิตภัณฑ์หนืดข้น สำรต้ำนอนุมูล
อิสระทำหน้ำทีห่ ยุดยงั้ ปฏิกิริยำออกซิเดช่ัน ที่เกิดขึ้นขณะผลิตภัณฑ์สัมผัสกับ
อำกำศ รวมถึงแสงสว่ำง, ควำมร้อน และโลหะบำงชนิด สำรต้ำนอนุมูลอิสระ
ยังช่วยลดกำรถกู ทำลำยของส่วนผสมสำคัญและวัตถุท่มี ปี ฏิกิริยำไวเป็นพิเศษ
กบั ออกซิเจนในผลิตภัณฑ์

ศูนย์วจิ ยั และพัฒนำผลติ ภณั ฑป์ ศุสัตว์เชียงใหม่ COSMETIC PRODUCT

กำรใช้สำรกันเสียในผลิตภัณฑ์เคร่ืองสำอำงแตกต่ำงจำกกำรใช้ในผลิตภัณฑ์
ต่อตำ้ นจุลชีพอยำ่ งไร

สำหรบั ทุกกรณี สำรกันเสียถูกใช้เพื่อปกป้องผลิตภัณฑ์เพื่อควำมปลอดภัย
ในกำรใช้ผลิตภัณฑ์ตลอดอำยุกำรใช้งำน ผลิตภัณฑ์เหล่ำน้ีอยู่ภำยใต้กำรควบคุม
ขององค์กำรอำหำรและยำของสหรัฐฯ โดยกฎหมำยควบคุมเครื่องสำอำง และ
ผูผ้ ลิตต้องตระหนักว่ำผลิตภัณฑ์ของตนมีควำมปลอดภัยต่อผู้ใช้ สำรกันเสียถูกใช้
เพ่ือปกป้องผ้บู ริโภคจำกกำรตดิ เชื้อหรือช่วยควบคุมจำนวนของเช้ือโรคบนร่ำงกำย
ใหอ้ ยใู่ นระดับทจ่ี ะไม่ก่อให้เกิดกำรติดเชื้อ ภำยใต้ข้อกำหนดขององค์กำรอำหำรและ
ยำของสหรัฐฯ ท่ีอนุญำตให้ใช้ได้กับผลิตภัณฑ์ท่ัวไปที่ไม่ใช่ยำ โดยท่ีผลิตภัณฑ์นั้น
จะมปี ระสิทธภิ ำพและปลอดภัยในเวลำเดยี วกัน

ประโยชน์ของสำรกันเสียในผลติ ภณั ฑ์เคร่ืองสำอำง
สำรกันเสียจะถูกผสมลงไปในผลิตภัณฑ์ในระดับต่ำเพ่ือให้ผลิตภัณฑ์มีควำม

ปลอดภัยต่อผู้บรโิ ภคจนกระทง่ั ผูบ้ ริโภคใชผ้ ลิตภณั ฑน์ ั้นหมด หำกปรำศจำกสำรกัน
เสียแล้วผลติ ภณั ฑ์นั้นๆอำจเกดิ กำรปนเป้ อื นเชื้อโรคหรือเสอ่ื มคุณภำพจำกปฏิกิริยำ
ออกซิเดช่นั

ตัวอยำ่ งสำรกนั บดู /สำรกนั เสยี
สำรที่นิยมใช้ในเครื่องสำอำง เช่น Butylatedhydroxyanisole (BHA),
Butylatedhydroxytoluene (BHT), Parabens, Sodium bisulfate,
Soidummetabisulfateซึ่งล้วนเป็นสำรสังเครำะทั้งหมดส่วนสำรท่ีมำจำกธรรมชำติ
เช่น Sassafras oil, Ethyl vanillin, Heliozimt K, Aqua conservan,
Kalliumsorbat, Antiranz เป็นต้น
สำ รกั น เสี ย ท่ี ใ ช้ ใน เ คร่ื อ งส ำ อ ำ งท ำ ให้ เ กิด ก ำ ร ร ะ ค ำ ย เ คือ ง ห รื อ ก ำ ร แ พ้ ไ ด้
เช่นกัน ข้ึนอยู่กับชนิดและควำมเข้มข้นของสำรนั้น สำรกันบูดที่มีกำรใช้กันอย่ำง
กว้ำงขวำงในผลติ ภณั ฑเ์ ครือ่ งสำอำงคอื กลุม่ ของสว่ นผสมท่ีเรยี กโดยทั่วไปว่ำ

Paraben (พำรำเบน)
Paraben (methyl, ethyl, propyl, butyl, isopropyl and isobutylparaben)

เปน็ กลมุ่ ของสำรกนั บดู ทใ่ี ชใ้ นผลติ ภณั ฑ์ตำ่ งๆเพื่อป้องกันกำรปนเป้ ือนของจุลชีพต่ำงๆ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ "น้ำ" (Water, Aqua) สำมำรถเป็นแหล่งเพำะพันธ์ุเชื้อรำ
และแบคทีเรียได้ หำกอยู่ในสภำวะท่ีเหมำะสม กำรปนเป้ ือนเช้ือโรคเกิดข้ึนได้โดยกำร
สัม ผัสจำ กน้ิวมือห รือเม่ือเอำ น้ิวมือไปสัม ผัสใบหน้ำแ ล้วมำ สัม ผัสผลิตภัณฑ์
รวมทง้ั กำรใส่สำรกนั บูดในปริมำณทน่ี ้อยเกนิ ไป

Methyl Paraben (India) (เมทิล พำรำเบน)
พำรำเบน เป็นสำรเอสเทอร์ของกรดพำรำไฮดรอกซีเบนโซอิก (para-

hydroxybenzoic acid) ออกฤทธิ์ตำ้ นเชือ้ จลุ ชพี แบบกำรยับย้ังเซลล์ (cytostatic activity)
มำกกว่ำฆำ่ เซลล์ (cytocidal activity)

เมื่อใช้เด่ียวๆ ออกฤทธ์ิต้ำนเชื้อรำได้ดีมำก แต่ออกฤทธิ์ต้ำนเชื้อแบคทีเรียได้จำกัด
และเม่ือใช้ร่วมกัน เช่น เมทิลพำรำเบนร่วมกับโพรพิลพำรำเบน จะออกฤทธ์ิต้ำน
เช้ือแบคทีเรียได้ดีข้ึน โดยออกฤทธิ์ต่อเช้ือแกรมบวกดีกว่ำแกรมลบ ฤทธ์ิกำรต้ำน
เชือ้ จะมีประสิทธภิ ำพดีทีค่ วำมเปน็ กรด-ดำ่ งระหวำ่ ง 3-8 ท่ีควำมเป็นด่ำงมำกกว่ำ 8
สำรกล่มุ นีถ้ ูกไฮโดรไลซสี และหมดประสทิ ธภิ ำพกำรเป็นสำรกันเสีย

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลิตภณั ฑ์ปศุสัตว์เชยี งใหม่ 36 COSMETIC PRODUCT

สำรกลุ่มพำรำเบน
พำรำเบนที่นิยมใช้มี 3 ชนิด ได้แก่ เมทิลพำรำเบน เอทิลพำรำเบน และ

โพรพิลพำรำเบน เปรียบเทียบฤทธ์ิต้ำนจุลชีพจำกมำกไปน้อยของสำรกลุ่ม
พำรำเบน

เม่อื เปรยี บเทยี บฤทธติ์ ้ำนจลุ ชพี จำกมำกไปน้อยเป็นดังน้ี โพรพิลพำรำเบน >
เอทลิ พำรำเบน >เมทลิ พำรำเบน

โ ด ย จ ำ ก สู ต ร โ ค ร ง ส ร้ ำ ง โ พ ร พิ ล พำ ร ำ เ บ น มี ส ำ ย ค ำ ร์ บ อน ท่ี ย ำ ว ท่ี สุ ด
จึงแพร่เข้ำเย่อื หมุ้ เซลลข์ องเชอ้ื จลุ ชีพไดด้ ีกว่ำ จงึ ออกฤทธ์ิดกี วำ่ พำรำเบนอื่นๆ

ลักษณะ : ผงผลกึ ไม่มสี ี ไมม่ ีกล่นิ
สูตรโมเลกุล : C8H8O3
กำรละลำย : ละลำยได้ดีในแอลกอฮอล์ อะซโี ตน อเี ทอร์ ละลำยได้
นอ้ ยในน้ำ (1 ส่วนในนำ้ 400 ส่วน หรอื 0.30% w/w ท่ี 25 องศำเซลเซียส)
อัตรำกำรใช้ : ได้รับกำรรับรองจำกกระทรวงสำธำรณสุขเมื่อ
ใส่ในปรมิ ำณท่กี ำหนด ใส่ไดไ้ มเ่ กินรอ้ ยละ 0.2 โดยนำ้ หนกั
กำรใช้งำน : แชมพู ครีมนวดผม ครมี บำรงุ ผวิ หนำ้ ครีมทำควำมสะอำด
ครีมสำหรับเลบ็ น้ำยำดดั ผมถำวร และ ยำสฟี นั

Glydant (ไกลเดนท์)
สำรกันเสียที่ป้องกันเช้ือได้กว้ำง เช่นแบคทีเรียท้ังแกรมบวก -ลบ

รำและยีสต์ ซึ่งไม่ต้องใช้สำรกันเสียตัวอ่ืนร่วมด้วย ช่วยลดค่ำใช้จ่ำยในกำรทำ
สูตรประสิทธิภำพในกำรฆ่ำเช้ือดี ใช้ได้หลำกหลำยผลิตภัณฑ์ ท้ังผลิตภัณฑ์
บำรุงผิวตำ่ งๆ และผลิตภณั ฑ์ทำควำมสะอำดผิวต่ำงๆ

เป็นสำรกันบูด กันเสีย ประเภท antimicrobial formaldehyde
สำ ม ำ รถ ใช้ ไ ด้ในช่ วงค่ำ pH ก ว้ำ ง มั ก ใช้กับผลิต ภัณฑ์ บำ รุงสุขภำ พ
เครื่องสำอำง สบู่ แชมพู ครีมทำผิว ปริมำณกำรใช้ประมำณ 0.5-1%
ของน้ำหนักสินค้ำ มีประสิทธิภำพมำก ทั้งนี้หำกใช้ในปริมำณมำกเกินไป
อำจทำใหร้ ะคำยเคอื งผวิ ได้ เนอื่ งมำกจำกกำรทำปฎิกริยำของ formaldehyde

INCI NAME : DMDM Hydantoin
กำรละลำย : ละลำยงำ่ ยในนำ้ ใช้ไดผ้ ลดีในชว่ ง pH 3-9
กำรใช้งำน :

- ครมี -โลช่ัน/ผลิตภัณฑ์สำหรบั เด็ก ปรมิ ำณกำรใช้ 0.5-1%
- แชมพู ครมี นวดผม ปรมิ ำณกำรใช้ 0.5-1%
- โทนเนอร์/โคลนพอกผิว ปริมำณกำรใช้ 0.5-1%
- ผลติ ภณั ฑป์ อ้ งกันแสงแดด ปรมิ ำณกำรใช้ 0.5-1%

ศูนย์วจิ ยั และพัฒนำผลิตภัณฑ์ปศุสตั ว์เชยี งใหม่ 37 COSMETIC PRODUCT

Bronidox L (โบรนิดอกซ์ แอล)
Bronidox L (โบรนิดอกซ์ L) สำรกันเสียแบบน้ำ เกิดจำกกำรผสมของ

1,2-propylene glycol และ 5-Bromo-5-Nitro-1,3-Dioxane เป็นสำรกันเสีย
ทต่ี ำ้ นจลุ ชีพ ยับยง้ั กำรทำงำนของเอนไซม์ในแบคทเี รีย มักใชเ้ ป็นสำรกันเสียของ
ผลิตภัณฑ์ลดแรงตึงผิว ที่ต้องล้ำงออก เช่น น้ำยำซักผ้ำ น้ำยำปรับผ้ำนุ่ม
แชมพู โฟมอำบน้ำ เป็นต้น คงท่ีท่ีอุณหภูมิ 40 องศำเซลเซียส และไม่มีกำร
เปลี่ยนแปลงเมื่อมีกำรใช้งำนค่ำ pH 5-8 EU Cosmetic แนะนำควำมเข้มข้น
สูงสุดไมเ่ กิน 0.1% ในผลติ ภณั ฑท์ ่ตี ้องล้ำงออก

INCI Name : Propylene glycol (and) 5-Bromo-5-Nitro-1,3-Dioxane
ส่วนประกอบ : 1,2-propylene glycol 90% CAS : 57-55-
65-Bromo-5-Nitro-1,3-Dioxane 10% CAS : 30007-47-7
กำรใช้งำน : ใช้เปน็ สำรกนั เสยี ในน้ำยำซกั ผำ้ นำ้ ยำปรับผ้ำน่มุ
อตั รำกำรใช้ : 0.1%

Phenoxyethanol (พีน็อกซเี่ อทำนอล)
Phenoxyethanolเป็นสำรกันเสีย (Preservative) ชนิดหน่ึงมีลักษณะ

ละลำยน้ำแล้วใส ใช้คุมเชื้อได้ท้ังแบคทีเรียและรำ ท้ังแบคทีเรียแกรมลบและ
แบคทีเรียแกรมบวกสำมำรถใช้ในผลิตภัณฑ์ personal care product
เช่นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผม ผลิตภัณฑืทำควำมสะอำดต่ำงๆ ไม่ว่ำจะเป็น สบู่
แชมพู เป็นต้นสำมำรถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก กำรลดควำมเสี่ยงในกำร
ก่อให้เกิดกำรระคำยเคือง เน่ืองจำกเป็นสำรกันเสียชนิดที่มีควำมอ่อนโยนและมี
ควำมปลอดภัย ปรำศจำกสำร Parabenและ Formaldehyde ไม่ก่อให้เกิด
มะเร็งและไม่เปน็ พิษตอ่ สง่ิ แวดล้อม

สำมำรถใช้เพียงตัวเดียวได้ในสูตร เหมำะกันสินค้ำท้ัง Leave on และ Rinse Off
หำกใช้ Phenoxyethanolในสูตรเพียงตัวเดียว สำมำรถใช้ได้ถึง 1% แต่ถ้ำ
ต้องกำรผสม Phenoxyethanolร่วมกับสำรกันเสียตัวอื่นๆ ควรใช้ต่ำกว่ำ 1%
Phenoxyethanolสำมำรถใช้ได้ในช่วง pH และ อุณหภูมิท่ีกว้ำง เม่ือผสม
Phenoxyethanolกั บ ส ำ ร กั น เ สี ย อ่ื น ๆ ร่ ว ม กั น ใ น สู ต ร Phenoxyethanol
สำมำรถผสมผสำนกบั สำรกนั เสียตวั อนื่ ๆได้ดีและยังจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภำพ
ในกำรตำ้ นจลุ ชีพมำกยง่ิ ขนึ้ อีกด้วย

INCI : Phenoxyethanol
อตั รำกำรใช้ : 0.5-1 % (ไมเ่ หมำะกับสตู รทมี่ ี Carbomerจะทำใหเ้ น้ือสินคำ้ เหลว)
กำรละลำย : ละลำยในนำ้ , glycols, Alcohol
ลักษณะทำงกำยภำพ : ของเหลวใส (Transparent liquid)

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลิตภัณฑป์ ศุสัตวเ์ ชยี งใหม่ 38 COSMETIC PRODUCT

Preservative free นวัตกรรมใหมเ่ พื่อควำมปลอดภยั ในเครอื่ งสำอำง
เครื่องสำอำงทุกตัวทุกสูตรบนโลกน้ี ไม่ว่ำจะเป็น ครีม, โลชั่น, เซรั่ม

ล้วนแล้วแต่ใส่วัตถุกันเสียท้ังสิ้น เหตุที่เคร่ืองสำอำงต้องใส่วัตถุกันเสียน้ัน
เน่ื องจ ำ ก ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ เครื่ องสำ อำ งส่ วน ให ญ่จ ะ มี น้ำ เป็ น องค์ ป ระ อ ยู่
ค่อนข้ำงมำก และก็แน่นอนครับ ท่ีใดมีน้ำ ท่ีน้ันก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดข้ึน
สง่ิ มชี วี ิตเหล่ำนห้ี มำยร่วมถงึ แบคทีเรยี เช้ือรำ ทีเ่ ปน็ โทษตอ่ มนษุ ย์ด้วย ดังน้ัน
สำรกันเสียจึงเป็นวัตถุดิบตัวหนึ่งซึ่งไม่สำมำรถตัดทิ้งได้เลยใน ผลิตภัณฑ์
เครอ่ื งสำอำง

ถึงแม้ว่ำสำรกันเสียในกลุ่มของ Paraben จะมีประสิทธิภำพในกำร
ต้ำนเช้อื จลุ ชีพได้ดแี ละรำคำถกู นั้น แต่กม็ ีอกี หลำยสถำบันยงั ถกเถียงกันอยู่ว่ำ
ส ำ ร กั น เ สี ย ก ลุ่ ม น้ี ถื อ ว่ ำ เ ป็ น ส ำ ร กั น เ สี ย ก ลุ่ ม ที่ ค ว ร จ ะ ห ลี ก เ ล่ี ย ง ม ำ ก ที่ สุ ด
เ น่ื อ ง จ ำ ก มี ห ล ำ ย ง ำ น อ อ ก ม ำ อ ย่ ำ ง ห ล ำ ก ห ล ำ ย เ กี่ ย ว กั บ ก ำ ร ร ะ ค ำ ย เ คื อ ง
ที่เกิดข้ึนจำก กำรใช้เคร่ืองสำอำงที่ใช้สำรกลุ่ม paraben เป็นวัตถุกันเสีย
นอกจำกจะทำให้ระคำยเคืองแล้วยังมหี ลำยงำนวิจัยไดร้ ำยงำนถึงผลเสียที่เกิด
จำก กำรใช้วัตถกุ นั เสยี กลมุ่ paraben อำทิเช่น

- Dr.S.Oishiนักวิจัยจำกสถำบันพิษวิทยำ สำนักงำนวิจัยเพื่อ
สำธำรณะแห่งมหำนครโตเกียว ได้รำยงำนว่ำพบควำมผิดปกติของทำรก
เพศชำยท่ไี ดร้ บั สำรบูทิลพำรำเบนจำกกำรใช้ผลิตภัณฑ์ของมำรดำ โดยทำรก
เกิดควำมผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ และ กำรหลั่งฮอรโ์ มนเทสทอสเทอโรน

- Dr.PhilipaDabreนักชีวโมเลกุลชำวอังกฤษ ได้รำยงำนว่ำ
พบสำรพำรำเบนในเน้ือร้ำยจำกผู้ที่เป็นมะเร็งเต้ำนม ซึ่งสำรพำรำเบนที่พบ
น่ำจะมำจำกผลิตภัณฑ์ท่ีผู้ป่วยใช้สัมผัสกับผิวหนังบริเวณรักแร้ หรือครีมทำผิว
หรือสเปรย์ฉีดร่ำงกำย และนอกจำกนั้น Dr.Dabre ยังพบว่ำกว่ำ 60% ของ
ผู้ป่วยมะเร็งเต้ำนมจะพบเนื้อร้ำยตรงบริเวณหน้ำอกส่วนบนด้ำนหน้ำใกล้กับ
บริเวณรักแร้ เหตุสำรกลุ่มน้ีสำมำรถทำให้เกิดอันตรำยมำกได้ขนำดนี้
เนือ่ งจำกโครงสรำ้ งของกลมุ่ parabenน้ัน เป็น benzene ring มีคุณสมบัติ
ในกำรดูดซึมผ่ำนผิวหนังซ่ึงมีรูพรุน โดยกำรดูดซึมสำรพำรำเบนผ่ำนผิวหนัง
มีอัตรำสงู กวำ่ กำรรบั สำรพำรำเบนผ่ำนกำรรับประทำนถึง 10 เท่ำ ดังนั้นจึง
เป็นเร่ืองน่ำวิตกว่ำร่ำงกำยของเรำมีสำรพำรำเบนตกค้ำงอยู่มำกเท่ำใด
ถึงแม้ว่ำจะยังไม่มีกำรชี้ชัดว่ำสำรพำรำเบนปริมำณเท่ำใดจึงปลอดภัยต่อ
มนุษย์ หำกเลือกไดเ้ รำควรที่จะพิถีพิถันในกำร เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปรำศจำก
สำรพำรำเบนเสียดีกว่ำ เพรำะในปัจจุบันมีผู้ผลิตจำนวนหน่ึงท่ีรับผิดชอบต่อ
ผู้บริโภคเห็นว่ำเรำไม่ ควรท่ีจะต้องรับสำรพำรำเบนเข้ำไปในร่ำงกำยเพ่ิม
เพ่ือลดอตั รำเส่ียงในกำรเกิดมะเร็งหรือเกิดควำมผิดปรกติในระบบต่ำงๆของ
ร่ำง กำย โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจำกบริษัทเหล่ำน้ีจะปรำศจำกสำรพำรำเบน
และพยำยำมใชส้ ำรกนั เสียที่เกิดจำกสำรธรรมชำติเป็นตัว ป้องกันกำรติดเช้ือ
ของผลติ ภัณฑ์

ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนำผลิตภณั ฑ์ปศุสตั ว์เชยี งใหม่ 39 COSMETIC PRODUCT

phenoxy ethanol วตั ถุกนั เสียทีม่ ำทดแทน (paraben)
phenoxy ethanol สำรกลุ่มนี้เป็นสำรกันเสียที่นักวิจัยและพัฒนำ

ผลิตภัณฑ์เคร่ืองสำอำง (R&d) ส่วนใหญ่นำมำใช้วัตถุกันเสียกลุ่ม paraben
เนื่องจำกมีควำมปลอดภัยกว่ำกลุ่ม paraben ใช้งำนง่ำย อีกทั้งรำคำก็ไม่สูง
จนเกินไป แต่ผลิตภัณฑ์ตัวน้ีจะมีข้อเสียอยู่ตรงท่ีจะสำมำรถยับยั้งได้เฉพำะเชื้อรำ
ในเครื่องสำอำงเท่ำน้ัน (ในเคร่ืองสำอำง อย. ห้ำมมีเช้ือแบคทีเรีย เชื้อรำ และ
ยีสต์) ทำให้ต้องใช้ร่วมกับวัตถุกันเสียตัวอ่ืนซึ่งก็คงหนีไม่พ้นกลุ่ม paraben
ดังนั้น กำรใช้วัตถุกันเสียกลุ่ม phenoxyethanol จึงเป็นกำรลดควำมเส่ียงใน
กำรก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองจำกกลุ่ม paraben เท่ำนั้น แต่ถ้ำเรำใช้ในบุคคลท่ี
แพ้ง่ำย หรือใช้ในบริเวณท่ีแพ้ง่ำยเช่น รอบดวงตำ ก็ยังคงทำให้เกิดกำรระคำย
เคอื งได้เหมือนกนั

preservative free
วัตถุกันเสียท่ีสกัดมำจำกสำรสกัดธรรมชำติ หรือ กลุ่ม preservative free

จัดเป็นกลุ่มที่มีควำมปลอดภัยมำกที่สุด ไม่ทำให้เกิดอำกำรแพ้ เนื่องจำกสกัดมำ
จำกธรรมชำติ 100% พืชส่วนใหญ่ท่ีนำมำใช้สกัดมักจะเป็นพวก ข้ำวบำเลห์,
ใบโหระพำ ซึ่งจำกกำรศึกษำด้วยวิธี challenge test (วิธีกำรทดสอบว่ำวัตถุกัน
เสยี สำมำรถช่วยยับย้ังไม่ให้เชื้อเจริญเติบโตได้ หรือเปล่ำ) พบว่ำสำรสกัดเหล่ำนี้
สำมำรถให้ฤทธิ์กำรป้องกันเชื้อได้ดีเทียบเท่ำกับกลุ่ม paraben เลยด้วยซ้ำไป
นอกจำกน้ียังมีรำยงำนอีกว่ำไม่ทำให้เกิดกำรระคำยเคืองโดยวิธีกำรทดสอบ
โดย patch test ด้วยเหตุทั้งหมด วัตถุกันเสียท่ีสกัดจำกสำรธรรมชำติ
จงึ จัดเป็นกลุ่มทป่ี ลอดภยั มำกทส่ี ดุ แตเ่ ป็นท่นี ำ่ เสยี ดำย วัตถุกันเสียกลุ่มน้ีมีรำคำ
ค่อนขำ้ งสงู จงึ ไมค่ ่อยนิยมนำมำใช้ในผลติ ภณั ฑ์เครือ่ งสำอำงมำกนัก

สำรกนั เสียท่ีนำสำรหลำยชนดิ มำผสมกนั

สำรกนั เสยี ผสม สว่ นประกอบ

Paraben concentrate 18% Methyl paraben และ 2%
อตั รำกำรใช้ (0.05 – 1.0 %w/w) propyl paraben ใน propylene
glycol
Germaben II
อตั รำกำรใช้ (0.3 – 1.0 %w/w) Diazolidinyl urea, methyl
paraben, propyl paraben และ
Phenonip propylene glycol
อตั รำกำรใช้ (0.25 – 0.65 %w/w)
Phenoxyethanol, parabens
Phenostat (methyl paraben, ethyl
อตั รำกำรใช้ (0.8 – 1.2 %w/w) paraben, propyl paraben, butyl
paraben)

Phenoxyethanol,
Caprylhydroxamic acid and
Methylpropanediol

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลิตภณั ฑป์ ศุสัตวเ์ ชียงใหม่ 40 COSMETIC PRODUCT

บทที่ 10 เครอื่ งสาอางนา้ นมแพะ

น้ำนมแพะเป็นอำหำรพิเศษสำหรับทุกเพศทุกวัย มีโปรตีนและไขมัน
โมกลุ เล็กๆ ร่ำงกำยสำมำรถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี ด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้
จึงได้นำน้ำนมแพะมำผสมในเคร่ืองสำอำง ผลิตภัณฑ์ท่ีได้สำมำรถทำให้
ผิวดูดซึมได้เร็วและสรรพคุณในกำรบำรุงผิวอย่ำงดีจำกสำรธรรมชำติใน
น้ำนมแพะ ในกำรอบรมเชิงปฏิบัติกำรนี้ จะขอกล่ำวถึงกำรทำสบู่น้ำนมแพะ
(สบู่กลีเซอรีนนมแพะ) โลช่ันนมแพะ เกลือขัดผิวนมแพะ และลิปเนยสดจำก
นมแพะ

สบู่ (SOAP)

สบู่ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำควำมสะอำดร่ำงกำยที่ได้จำกปฏิกิริยำ
ของด่ำงกับไขมันจำกพืชหรือสัตว์ ปัจจุบันสบู่มีกำรใช้ส่วนผสมชนิดต่ำงๆ
เพ่ือปรบั ปรงุ คุณสมบัติของสบใู่ หม้ ีลักษณะพิเศษ ตรงตำมควำมต้องกำรใช้งำน
ที่หลำกหลำยขึ้น ท่ีทำให้เป็นก้อนหรือเป็นของเหลว พร้อมด้วยส่วนผสมต่ำงๆ
เพ่ือให้มีคุณสมบตั เิ หมำะสำหรับกำรใช้ทำควำมสะอำด ซ่ึงก็คือผลิตภัณฑ์สบู่
ทเ่ี รำใชก้ ันในทกุ วนั นี้

สบู่ คือเกลือของกรดไขมัน ซึ่งเกิดจำกทำปฏิกิริยำ “Saponification”
(เรียกสนั้ ๆ ว่ำ sapon/สปอน/ซำพอน) ระหว่ำงน้ำมัน/ไขมันต่ำงๆ (ทั้งจำก
พืชและจำกสัตว์) กบั น้ำด่ำง ทำใหเ้ กดิ เน้อื สบู่ 4 ส่วน (บำงตำรำก็ว่ำ 5 ส่วน)
และกลเี ซอรนี 1 ส่วน มีคณุ สมบตั ิในกำรชำระลำ้ งส่ิงสกปรก และควรมีค่ำ pH
อยรู่ ะหวำ่ ง 8-10 (ไม่ควรเกิน 11) ซึ่งจะเรียกว่ำ “เกล็ดสบู่”

ไขมันพืช/ไขมันสตั ว์ + โซเดยี มไฮดรอกไซด์/โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์
= เกล็ดสบู่ (soap) + กลเี ซอรอล/กลีเซอรีน + แอลกอฮอล์ + น้ำด่ำง (Lye)
ท่ีใช้ในกำรทำสบู่ แบ่งไดเ้ ป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คอื

1. เถำ้ (Ash) ปจั จบุ ันไม่นิยมใช้ เนือ่ งจำกควบคุมปจั จยั ในกำรผลิตไดย้ ำก
2. โซดำไฟ/โซดำแผดเผำ (Sodium Hydroxide/สูตรเคมี : NaOH)
ใชใ้ นกำรทำสบกู่ ้อน
3. โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide/สูตรเคมี : KOH)
ใช้ในกำรทำสบู่เหลว

ศูนยว์ ิจยั และพัฒนำผลิตภณั ฑป์ ศุสัตวเ์ ชยี งใหม่ COSMETIC PRODUCT

สบู่แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก

1. สบผู่ ลิตในระดบั อุตสำหกรรม
เปน็ สบ่ทู ่ผี ลติ ในโรงงำนอุตสำหกรรมโดยใช้เคร่ืองจักรเป็นหลัก

เพ่ือผลิตใหไ้ ด้ปริมำณมำก โดยกำรนำเกล็ดสบู่ หรือท่ีเรียกกันว่ำ Soap Noodle
หรือ Soap Chip มำเตมิ สำรบำรุงผิว ซ่ึงมักเป็นสำรเคมี และน้ำหอม ลักษณะของ
เน้ือสบู่ท่ีได้จะมีควำมแข็ง จึงสำมำรถนำมำป๊ ัมข้ึนรูปได้ จึงมักมีรูปก้อนสบู่ที่สวยงำม

นำ่ ใช้ รำคำไม่แพง แต่อำจมีกำรแพ้หรือระคำยเคืองสำหรับบำงคนได้ เน่ืองจำก
ใชส้ ำรเคมมี ำเติมในสบมู่ ำก มขี ำยทั่วไป

2. สบู่ทีท่ ำข้ึนใช้เอง (Home made) แบง่ ได้ 3 ประเภท

2.1 สบู่กวนเยน็ CP (Cold Process)
คือ กำรทำสบู่โดยไม่ใช้ควำมร้อนในกำรเร่งปฏิกิริยำทำให้เกิดสบู่

จะใชน้ ้ำมันหรือไขมันผสมกับน้ำด่ำง (โซดำไฟ) กวนให้ข้น เทลงพิมพ์ แล้วทิ้งไว้
24-48 ชั่วโมง (หรือมำกกว่ำน้ันหำกเป็นสบู่สูตรท่ีค่อนข้ำงนิ่ม) แล้วจึงเอำออก
จำกพิมพ์มำตัดเป็นก้อนเล็กๆ แล้วนำมำตำกในที่อำกำศถ่ำยเท 4-6 สัปดำห์

จึงค่อยนำมำใช้ ซึ่งสบู่ประเภทน้ีจะลงทุนค่อนข้ำงสูงกว่ำสบู่ประเภทอ่ืน
เน่อื งจำกตอ้ งใช้เวลำในกำรบ่มสบูใ่ หไ้ ด้ที่ มีควำมอันตรำยในกำรใช้โซดำไฟ และมี
รำยละเอียดในกำรทำคอ่ นข้ำงมำก แต่สำมำรถนำใส่สมุนไพรมำใส่ได้ ใช้น้ำมันที่มี
คุณสมบัติในกำรบำรุงผิวต่ำงๆได้ แต่ข้อเสียของสบู่ชนิดน้ี คือจะต้องมีกำร
คำนวณกำรใช้โซดำไฟ ให้เหมำะสมกันน้ำมัน/ไขมัน ที่นำมำใช้ในกำรทำสบู่

เพรำะอำจทำใหส้ บอู่ ำจไม่แขง็ ตัว ไม่มีฟอง หรือแม้แต่กำรชำระล้ำงอำจน้อยลงด้วย
และกำรเติมสมุนไพรบำงชนิดอำจเกิดกำรสูญเสียประสิทธิภำพอันเกิดจำก

กำรทำปฏิกริ ยิ ำของโซดำไฟกเ็ ปน็ ได้

2.2 สบู่กวนร้อน HP (Hot Process)
ใช้วิธีเดียวกับสบู่กวนเย็น เพียงแต่ใช้ควำมจำกกำรตุ๋น

Double boiler เพ่ือเร่งปฏิกิริยำกำรเกิดสบู่ ใช้เวลำในกำรผลิตไม่นำน เน้ือสบู่
จะมคี วำมขรุขระซ่งึ เป็นคณุ ลกั ษณะของสบปู่ ระเภทนี้ กำรทำสบู่ในโรงงำนก็ใช้
กระบวนกำรผลิตในรูปแบบนี้ เพียงแต่สบู่ HP ที่ผลิตแบบ handmade นั้น
จะไมด่ ึง Glycerin ท่ีไดจ้ ำกธรรมชำตอิ อกไป

2.3 สบ่กู ลีเซอรีน /สบู่หลอมเท MP (Melt and Pour)
เป็นสบู่ที่วิธีทำง่ำยที่สุด และมีควำมอันตรำยน้อยท่ีสุด

เน่อื งจำกผูท้ ำไมต่ อ้ งยุ่งกบั โซดำไฟ กำรทำสบ่ปู ระเภทน้ี กแ็ ค่นำเบสสบู่มำละลำย
ใส่สำรสกดั ใส่สมุนไพร ใส่สี ใสก่ ล่นิ เทลงพิมพ์ รอให้แข็งตัว แกะออกจำกพิมพ์
แลว้ กห็ ่อด้วยพลำสตกิ ใสเพื่อปอ้ งกันไอน้ำเกำะ

เบสสบู่ชนิดนี้ มีทั้งชนิดใส (Opaque Glycerin Soap Base)
และชนิดขำวขุ่น (Transparent Glycerin Soap Base) ก็คือสบู่กวนร้อน
ที่มีกระบวนกำรผลิตมำกกว่ำ มีกำรใส่สำรประกอบอ่ืนๆ เพ่ิมเติมเพื่อให้สบู่
สำมำรถหลอมเหลว และกลับมำแข็งเป็นก้อนได้ใหม่ ซ่ึงจริงๆ แล้วตัวเบสสบู่
กส็ ำมำรถนำมำใช้งำนได้เลย โดยไม่ต้องนำมำหลอมใหม่ก็ได้

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลติ ภณั ฑป์ ศุสตั วเ์ ชยี งใหม่ 42 COSMETIC PRODUCT

ควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งสบอู่ ตุ สำหกรรม กบั สบู่โฮมเมด

สบู่อุตสำหกรรม หรือท่ีเรียกว่ำสบู่โรงงำนน้ัน มีวิธีกำรทำสบู่เหมือนกับ
สบู่ (HP) โดยกำรใช้ควำมร้อนมำช่วยในกำรต้มสบู่กับน้ำด่ำงจนทำปฏิกิริยำ
สมบูรณ์แล้ว ก็จ ะนำ ไปล้ำ งกับ น้ำเก ลือ จำกนั้นจะ พั กไว้ให้ไ ขมันแ ยกชั้น
ซึ่งในข้ันตอนนี้จะเกิด Glycerin ที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติของกำรทำปฏิกิริยำ
ก ำ รเกิ ด สบู่ ( แ ละ ไ ด้ มีก ำ รส กัด เอำ Glycerin ออก ไ ปใช้ใ น อุต สำ ห ก รร ม
เคร่ืองสำอำง และอุตสำหกรรมอ่ืนๆ ด้วย จึงทำให้สบู่ท่ีได้จะเหลือแต่เน้ือสบู่ท่ีมี
แต่ค่ำกำรชำระล้ำง ขำดควำมชุ่มชื้น ) จำกนั้นก็จะนำสบู่ที่ได้ไปเป่ำให้แห้ง
บดย่อยให้เป็นเมด็ สบู่ จึงเติมสแี ละนำ้ หอม (เป็นข้อดีที่ว่ำสบู่โรงงำนจะมีกลิ่นหอม
น่ำใช้มำกกว่ำ) นำไปอัดเป็นแท่งแล้วจึงนำไปป๊ ัมข้ึนรูปเป็นก้อนสบู่แบบที่เรำใช้กัน
นอกจำกนี้ สบู่โรงงำนมักจะทำจำกน้ำมันปำล์มและน้ำมันมะพร้ำวเพื่อลดต้นทุน
ทำให้สบู่ประเภทน้ีจึงมีรำคำที่ค่อนข้ำงถูก ซ่ึงก็มีกำรจำหน่ำยและใช้กันมำก
มำจนถงึ ปัจจุบัน

ส่วนสบู่แฮนเมด ผู้ทำสำมำรถเลือกใช้น้ำมันที่มีค่ำกำรบำรุงสูงๆ ได้
ต้นทุนจึงสูงกว่ำ ส่วนขั้นตอนกำรทำก็จะนำน้ำมันและน้ำด่ำงมำผสมและ
กวนให้เข้ำกัน จำกน้ันจึงเทลงแม่พิมพ์ ท้ิงไว้จนเซ็ตตัว นำมำตัดเป็นก้อนๆ
หลงั จำกน้นั นำสบมู่ ำบม่ (ตำก) ต่อประมำณ 4-8 สัปดำห์ จึงทำให้สบู่ที่ได้มีค่ำกำร
บำรุงสูง ทั้งจำกน้ำมันและ Glycerin ธรรมชำติ แต่ข้อเสียของสบู่แฮนเมดคือ
รำคำแพงกวำ่ และด้วยควำมท่สี บ่มู ีควำมชุ่มชืน้ สงู ดังน้ันสบู่แฮนเมดจะละลำยน้ำ
ได้ดีและเป่ ือยยุ่ยได้ง่ำยกว่ำสบู่โรงงำนมำก (จึงควรวำงสบู่แฮนเมดไว้ในที่ไม่มี
น้ำขัง) นอกจำกนี้ อำจพบว่ำสีและกล่ินของสบู่ไม่ค่อยหอม บำงคร้ังอำจจะเป็น
กลิน่ นำ้ มันตุ่ยๆ ก็เนอื่ งจำกกระบวนกำรบม่ สบู่อำจทำให้น้ำหอมเจือจำงลงด้วย

สบู่แฮนเมดให้คุณค่ำกำรบำรุงผิว (Conditioning) แต่สบู่ไม่ได้ให้ควำมชุ่มช้ืน
(Moisturising) ดงั น้ัน หลงั อำบน้ำแล้วจงึ ควรทำครีมหรอื โลชัน่ ตำมดว้ ย

ขัน้ ตอนกำรทำสบกู่ ลเี ซอรนี MP (Melt and Pour) งำ่ ย ๆ ดังน้ี
1. หลอมสบู่ ดว้ ยไฟออ่ น ๆ
2. เตมิ สี สมุนไพร วติ ำมินต่ำงๆ
3. เตมิ กลนิ่
4. รนิ ลงในพิมพ์
5. แกะออกจำกพิมพ์ ได้สบ่ทู ีพ่ รอ้ มใช้

ขัน้ ตอนกำรทำ มีดังน้ี
1. กำรหลอมสบู่
นำเบสสบู่มำตัดออกเป็นช้ินๆ เพ่ือให้หลอมได้เร็วขึ้นและช่ังตำม

ส่วนผสมที่ระบุ ควรหลอมเผ่ือไว้ เพรำะถ้ำเหลือสำมำรถเทลงพิมพ์เล็กที่เตรียม
เสริมไว้ได้ หรือจะรอให้แห้งและเก็บไว้ใช้งำนต่อไปได้ ข้อดีของกำรทำสบู่วิธีนี้คือ
หลอมใช้ใหม่ได้เรอ่ื ยๆ

ศูนย์วิจยั และพัฒนำผลิตภัณฑ์ปศุสตั วเ์ ชียงใหม่ 43 COSMETIC PRODUCT

ถ้ำหลอมสบู่ไว้ไม่พอกับปริมำณท่ีต้องกำรใช้ กำรหลอมเพ่ิมที่หลังและนำไป
เตมิ บนชิน้ งำนที่แหง้ สนทิ อำจทำให้สบู่ตดิ กนั ไม่สนทิ และแยกช้ินกันขณะใช้งำนได้

นำสบทู่ ีช่ งั่ แลว้ ลงในภำชนะสแตนเลสหรือแก้วทนไฟ เพื่อทำกำรหลอมโดยใช้

ไฟอ่อนๆ จนสบู่ละลำยหมด ควรใช้เตำไฟฟำ้ หรือเตำแก๊สชนิดพิเศษท่ีไม่มีกลิ่นแก๊ส
โดยกำรใช้หม้อสองช้ันเป็นลักษณะตุ๋น (แต่ถ้ำทำสบู่กลีเซอรีนที่ใช้เบสใส ไม่ควรใช้
หม้อสองช้ัน เพรำะไอน้ำอำจทำให้เน้ือสบู่ไม่ใสเท่ำที่ควร แต่เป็นกำรใช้หม้อตั้งบนไฟ

อ่อนเป็นกำรหลอมสบู่แทน) ระดับควำมร้อนที่ใช้ควรใช้ไฟอ่อนๆ ให้สบู่ละลำยช้ำๆ

หำกไฟแรงเกินไป จะเกดิ ฟองมำก เมือ่ เทสบู่ลงพิมพ์จะทำใหส้ บูไ่ มส่ วย

2. กำรเตมิ สี
- กำรเตมิ สคี วรทำกอ่ นเตมิ กล่ิน และหลังจำกท่ีสบู่หลอมหมดแล้ว
- กำรหยดสีควรใช้หัวหยด และหยดเพียงทีละหยด คนเล็กน้อย

เพ่ือดูควำมเขม้ ของสี และถำ้ พบเขม้ ไมเ่ พียงพอ จึงหยดเพิ่มทีละหยด
- คนเบำๆ ช้ำๆ และคอยสงั เกตสี กำรคนเรว็ และแรงเกนิ ไปจะทำให้

เกิดฟองเล็กๆ มำกมำยในตัวสบู่ ทำให้สบู่ขุ่นและไม่สวย โปรดจำไว้ว่ำสีจะเข้มข้ึน
เล็กน้อยเม่ือสบ่แู หง้ แลว้

ข้อควรระวัง กล่ินที่เติมบำงชนิดอำจทำให้สีเพ้ียนไปบ้ำง อำจมีควำม
จำเป็นท่ีต้องปรับสีทีหลังจำกกำรเติมกล่ิน ถ้ำสีที่ได้ไม่ถูกใจ แต่โดยปกติกำรเติม
กลิ่นที่หลังจำกกำรเติมสีจะดีกว่ำ เพรำะกลิ่นไม่ควรเติมขณะที่สบู่ร้อนจัด และ
ควรเตมิ ทันทใี นขณะทส่ี บพู่ รอ้ มจะเทลงในพิมพ์ มเิ ชน่ นนั้ ควำมร้อนจะทำให้กลนิ่ ระเหยหมดได้

กำรเลือกใช้สี หลีกเลี่ยงสีผง ซึ่งอำจจับตัวเป็นก้อนในสบู่ และสบู่
บำงก้อนสวยๆ ท่ีเรำเห็นมีประกำยคล้ำยๆ เพชรอยู่ในเน้ือสบู่นั้น คือผงที่เรียกว่ำ
Glitter เป็นสีผงชนิดหนึ่งที่มีประกำยเพชร ชนิดใช้กำรเครื่อง สำอำงที่ไม่มีอันตรำยต่อผิว
ใชเ้ พียงเลก็ นอ้ ย ใสใ่ นสบู่ท่หี ลอมแล้วระหว่ำงกำรใส่สอี ำจใช้คกู่ ันได้

3. กำรเตมิ กล่นิ
เติมกลิ่น 1-2% ของเน้ือสบู่ทั้งหมด ถ้ำทำสบู่ขนำด 90-110 กรัม

จะเติมกลิ่นประมำณ 1.25-3.75 กรัม ทั้งนี้ปริมำณท่ีเติมยังขึ้นกับควำมเข้มของ
กลนิ่ แตล่ ะชนิด ลองดมหลงั จำกท่ีเติมและคนให้เข้ำกันดีแล้ว ดมกลิ่นห่ำงประมำณ
4 นว้ิ ถ้ำกลน่ิ ออ่ นให้เติมได้อกี

- เตมิ กลนิ่ หลังจำกเตมิ สี
- คนใหเ้ ขำ้ กนั เบำๆ จนเข้ำกันไดด้ ี
- ข้อควรระวัง ไม่ควรเติมกล่ินในขณะท่ีสบู่ร้อนจัด เพรำะกล่ิน
อำจจะเจอื จำงเนอ่ื งจำกควำมร้อน
- ระวังอย่ำให้สบู่เย็นเกินไปเพรำะอำจเกิดเป็นฝ้ำบนผิวสบู่ และ
ทำใหต้ ้องหลอมใหม่เพ่ือละลำยผวิ สบู่ อำจทำให้สีและกลน่ิ จำงหำยไปได้
- ถ้ำเติมสมุนไพร หรือส่วนประกอบที่เป็นพืช ชนิดผงแห้ง
ควรเตมิ ปริมำณ 1-2% ของสบู่

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ปศุสตั ว์เชียงใหม่ 44 COSMETIC PRODUCT

4. รินลงแบบพิมพ์
- วำงแบบพิมพ์ให้อยู่บนแนวรำบเสมอกัน ไม่ลำดเอียง และให้

อยใู่ นที่ไม่ตอ้ งเคล่ือนยำ้ ยจนกวำ่ สบ่จู ะแหง้
- รินสบู่ลงในแบบพิมพ์ โดยรินให้ลงตรงกลำง ยกเว้นกรณีที่

ใช้เทคนคิ พิเศษอ่ืนๆ
- ทั น ที ท่ี ริ น สบู่ ล ง ใน แ บ บพิ ม พ์ เส ร็ จ ใ ห้ ฉี ด แ อ ล ก อ ฮ อ ล์

(ใช้ Rubbing Alcohol70% สีใสหรือสีฟำ้ ใส) ท่ีผิวหน้ำสบู่เพื่อกำจัดฟองท่ี
ปรำกฏอยู่บนผิวสบู่

- ทิ้งไว้ในแบบพิมพ์ โยไม่ขยับเขยื้อนจนกว่ำสบู่จะแห้งดีแล้ว
กำรเคล่อื นยำ้ ยจะทำใหส้ บไู่ ม่เรียบสวย

5. แกะออกจำกแมพ่ ิมพ์
- รอให้สบู่แห้งดีแล้ว โดยปกติใช้เวลำประมำณ 1-2 ชั่วโมง

แล้วแต่ขนำดของสบู่ ตรวจสอบควำมพร้อมได้ด้วยกำร ลองกดตัวสบู่ดูให้แน่ใจ
วำ่ ตรงกลำงไมน่ ่มิ แลว้ ถึงแกะออกจำกพิมพ์ได้

- พิมพ์ที่ใช้ในสมัยน้ี นิยมใช้พิมพ์ซิลิโคน ซ่ึงมีควำมยืดหยุ่นสูง
ทนควำมร้อนสงู ได้ดี และที่สำคญั แกะสบู่ออกงำ่ ย

ขอ้ ควรระวงั
ถ้ำไม่รีบห่อสบู่ทันทีหลังแกะออกจำกพิมพ์ อำจมีเหง่ือเกำะอยู่บนผิวสบู่

ไม่ต้อตกใจ สบู่ไม่ได้เสีย เน่ืองจำกคุณสมบัติที่ดีของกลีเซอรีน คือ ให้ควำมชุ่ม
ชืน้ ต่อผวิ โดยกำรดูดควำมช้ืนในอำกำศ ดังน้ันเรำจะต้องรีบห่อสบู่ทันทีหลังแกะ
ออกจำกพิมพ์ แต่ถ้ำเผลอทิง้ ไว้จนเกิดหยดน้ำหรือเหง่ือสบู่ ให้รีบเช็ดให้แห้งแล้ว
รีบหอ่ ใหเ้ รยี บรอ้ ย

ครีมและโลชน่ั บำรุงผิว
อิมัลช่ัน (Emulsion) หมำยถึงผลิตภัณฑ์รูปแบบหน่ึง ที่ประกอบด้วย

ของเหลวอย่ำงน้อย 2 ชนิด ซ่ึงไม่เข้ำกัน หรือ ไม่ละลำยในกันและกัน (เช่น น้ำ
และน้ำมัน) ซ่ึงนำมำรวมกัน ในลักษณะท่ีผสมผสำนเข้ำเป็นเน้ือเดียวกัน โดยใช้
ตัวทำอิมัลชั่น (Emulsifier) เป็นตัวผสำนของเหลวทั้งสองเข้ำด้วยกันอิมัลช่ันที่
เกิดขึ้น ถ้ำมองด้วยตำเปล่ำ จะเห็นลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ถ้ำมองด้วย
กล้องจลุ ทรรศน์ กจ็ ะเห็นเปน็ 2 วัฏภำค คอื เห็นเปน็ หยดเลก็ ๆ ของของเหลวชนิดหน่ึง
ที่เรียกว่ำ วัฏภำคภำยใน (Internal or Dispersed Phase) กระจำยตัวแทรกอยู่ใน
ของเหลวอีกชนิดหน่ึง ท่ีเรียกว่ำ วัฏภำคภำยนอก (External or Continuous Phase)
โดยท่ัวไป หยดของวัฏภำคภำยใน อำจมีขนำดต่ำงๆกัน ตั้งแต่ ขนำดที่เล็กกว่ำ
0.05 ไมครอน จนถึง 25 ไมครอน ซึ่งขนำดอนุภำคของวัฏภำคภำยในมีผลต่อ
กำรกระจำยแสงได้ต่ำงกัน จึงทำให้อิมัลชั่นมีลักษณะภำยนอกที่มองเห็นได้
แตกตำ่ งกัน

ศูนยว์ ิจัยและพัฒนำผลิตภัณฑ์ปศุสตั ว์เชยี งใหม่ 45 COSMETIC PRODUCT

ขนำดหยดอนภุ ำควฏั ภำคภำยใน และ ลกั ษณะอมิ ลั ชนั่ ทม่ี องเหน็

เลก็ กวำ่ 0.05 ไมครอน โปรง่ ใส (Transparent)

0.05 - 0.10 ไมครอน ขนุ่ หรอื โปรง่ แสง (Translucent)

0.10 - 1.00 ไมครอน สีขำวอมฟำ้

ใหญ่กว่ำ 1.00 ไมครอน ข่นุ ขำวทบึ

ผลิตภัณฑ์อิมัลชั่น ที่พบโดยท่ัวไปมักมีลักษณะขำวขุ่นคล้ำยน้ำนม
แต่ควำมจรงิ แล้วอมิ ลั ชน่ั อำจมีลกั ษณะโปรง่ ใสกไ็ ด้

ชนดิ ของอิมลั ช่ัน
กำรแบ่งชนิดของอิมัลชนั่ อำจมีได้หลำยลักษณะ ดังน้ี
ก. แบ่งตำม ลักษณะภำยนอกทมี่ องเห็น ไดเ้ ปน็ 2 ชนิด คือ
1. แมคโครอิมลั ชน่ั (Macroemulsion) คืออิมัลชั่นลักษณะขุ่นขำวที่

พบโดยทั่วไปนั่นเอง อนุภำคของวัฎภำคภำยในของอิมัลชั่นชนิดน้ี มักมีขนำด
ตั้งแต่ 0.25–10 ไมครอน(โดยทั่วไปจะใหญก่ ว่ำ 1 ไมครอน) จึงทำให้เกิดควำมแตกต่ำง
ในค่ำดัชนีกำรหักเหของแสงของวัฏภำคท้ังสอง และเกิดกำรกระจำยแสง
ทำให้ดมู องขุ่นขำว อมิ ัลชน่ั นอ้ี ำจแบ่งย่อยได้เป็นอิมลั ช่ันเนื้อหยำบ (Coarse emulsion)
ซึ่งมอี นภุ ำคคอ่ นข้ำงใหญ่ และ อิมัลช่ันเน้ือละเอียด (Fine emulsion) ซ่ึงมีอนุภำค
คอ่ นขำ้ งเล็กหรอื เล็กกว่ำ 5 ไมครอน ลงไป แมคโครอิมัลช่ัน เป็นอิมัลชั่นชนิดที่
พบมำกท่ีสุดทั้งใน อำหำร ยำ และเคร่ืองสำอำง (เช่น ไอศกรีม สลัดครีม
ครีมรักษำโรคผวิ หนงั ครีมกนั แดด โลชั่นทำผวิ ฯลฯ )

2. ไมโครอิมัลชั่น (Microemulsion) มีลักษณะโปร่งใส เนื่องจำก
อนภุ ำคของวัฎภำคภำยในเล็กมำก ประมำณ 10–75 นำโนเมตร (0.01-0.75 ไมครอน)
ซ่ึงมีค่ำน้อยกว่ำ หน่ึงในสี่ของควำมยำวคลื่นแสงที่มองเห็นได้ (Visible light)
จึงไม่หักเหหรือกระจำยแสง แสงจึงสำมำรถทะลุผ่ำนได้ ทำให้ดูโปร่งใสหยด
ของวัฏภำคภำยใน มีลักษณะกลม ถูกล้อมรอบด้วยฟิล์มของตัวทำ อิมัลช่ัน
มีท้ัง ชนิด O/W และ W/O

ข. แบง่ ตำมชนิดของของเหลวท่ีเป็นวัฏภำคภำยใน และวัฏภำค
ภำยนอกไดเ้ ป็น 3 ชนิด คือ

1. อมิ ลั ช่นั ชนิดน้ำในนำ้ มัน (W/O Emulsion) อิมัลช่ันชนิดน้ี
มีวัฏภำคภำยในเป็นน้ำ วฏั ภำคภำยนอกเป็นน้ำมันพบอิมัลชั่นชนิดนี้ในผลิตภัณฑ์
เคร่ืองสำอำง เช่นครีมล้ำงหน้ำ (Cleansing Cream) ครีมทำกลำงคืน (Night Cream)
ครีมนวดหน้ำ (Massage Cream) และครีมฮอร์โมน (Hormone Cream) เป็นต้น
เนอื่ งจำกอิมลั ชนั่ ชนดิ นค้ี ่อนข้ำงเหนอะหนะและลำ้ งน้ำออกยำก จงึ เปน็ ท่ีนิยมใช้นอ้ ย

2. อิมลั ชัน่ ชนดิ น้ำมนั ในนำ้ (O/W Emulsion) อิมลั ช่ันชนิดน้ี
กลับกนั กลับชนดิ แรก คอื มีวัฏภำคภำยในเป็นน้ำมัน วัฏภำคภำยนอกเป็นน้ำจึงมี
ควำมเหนอะหนะน้อย ทำแล้วกระจำยดี ล้ำงน้ำออกง่ำย เป็นท่ีนิยมมำกใน
ผลิตภณั ฑ์เครอื่ งสำอำง เช่นครมี และโลชั่นทำผิว (Body Cream and Lotion)
ครีมทำหน้ำ (Vanishing Cream) ครีมกันแดด (Sun Screen Cream)
ครมี รองพื้น (Foundation Cream) เป็นต้น

ศูนยว์ จิ ัยและพัฒนำผลติ ภัณฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ 46 COSMETIC PRODUCT

3. อิมลั ชนั่ เชงิ ซอ้ น (Multiple Emulsion) เปน็ อมิ ัลช่ันที่มีวัฏภำค
ภำยในซ้อนกันอยู่ ซึ่งเป็นของเหลวต่ำงชนิดกัน เช่น W/O/W หรือ O/W/O
อิมัลช่ันเชิงซ้อนเหล่ำนี้ สำมำรถกลับกลำยเป็นอิมัลชันชนิดธรรมดำได้ เช่น
W/O/W ซ่ึงมีน้ำเป็นวัฏภำคภำยนอก แต่วัฎภำคภำยในเป็นน้ำมัน จะมีหยดเล็กๆ
ของหยดน้ำซ้อนอยู่อีกที เม่ือกลับกลำยเป็นอิมัลชั่นธรรมดำจะกลำยเป็นชนิด O/W
พบอิมัลช่ันชนิดนีบ้ ้ำง ในผลิตภัณฑ์เคร่ืองสำอำง เช่น Cold Cream ซ่ึงเป็นชนิด
O/W/O เป็นตน้

ค. แบ่งตำมควำมหนืดของอิมลั ชนั่ ไดเ้ ปน็ 2 ชนิด คือ
1. โลชั่น (Lotion) เป็นอิมัลชั่นท่ีมีควำมหนืดต่ำ (เหลว)

เพรำะมีวัฏภำคภำยในปริมำณที่สูง วัฏภำคภำยในมักมีไม่เกิน 35% โลช่ันอำจเป็น
ทั้งชนิด O/W และ W/O หรือมีชื่อเรียกต่ำงออกไป ว่ำ น้ำนม (Milk or milky lotion)
เป็นรูปแบบที่พบมำกที่สุดในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำผิว โดยเฉพำะผิวหนังท่ีมีบริเวณกว้ำง
เพรำะทำแลว้ ชมุ่ ช้ืน ไมเ่ หนอะหนะ ดูดซึมดี ให้ควำมรู้สึกสบำย และล้ำงออกได้ง่ำย
เช่น โลช่ันทำผิว โลชั่นป้องกันแสดงแดด เป็นต้น โลช่ันชนิด W/O มีกำรใช้บ้ำง
แต่ไม่เป็นท่ีนิยม เพรำะเม่ือทำแล้วจะรู้สึกเหนอะหนะผิว เช่น โลช่ันป้องกันแดด
ชนิดที่มีคุณสมบัติกันน้ำที่ใช้ทำก่อนลงเล่นน้ำเป็นต้น คุณสมบัติเช่นน้ีอิมัลช่ัน
ชนิด O/W ไม่สำมำรถทำได้เพรำะจะถูกน้ำชะล้ำงออกหมด เป็นต้น โลช่ันนี้อำจใช้
สำรเพิ่มควำมหนืด (Thickener agent) ในวัฏภำคน้ำเพื่อให้หนืดขึ้นได้ แต่ยังคง
เป็นของเหลวทไ่ี หลได้

2. ครีม (Cream) เปน็ อิมัลชั่นที่มีควำมหนืดสูง (ลักษณะกึ่งแข็ง)
เพรำะมีส่วนประกอบของสำรพวกไขแข็ง (Waxes) และไขมัน (Fatty acid or Fatty alcohol)
ซ่ึงช่วยเพ่ิมควำมหนืดและเนื้อครีมท่ีผสมอยู่กับน้ำมัน (Oils) ในวัฏภำคน้ำมัน
ครีมมที ้ังชนดิ O/w และ W/O ครีมมีควำมหนืดกวำ่ โลชั่น เพรำะมีปริมำณวัฏภำค
ภำยในสูงกว่ำ คือประมำณ 35–75% แล้วแต่ควำมหนืดที่ต้องกำรโดยมีกำรใช้
สำรเพ่ิมเน้ือครีม (Bodying or stiffening agent) เช่นไขมันและไขแข็งดังท่ีได้
กลำ่ วมำแลว้ นอกจำกน้ีกรณีของครีมชนิด O/W อำจมีกำรใส่สำรเพ่ิมควำมหนืด
(Thickener agent) ร่วมด้วยในตำรับเช่น Acacia, Veegum, Methylcellulose
เป็นต้น ซ่ึงช่วยควำมหนดื ให้แกว่ ฏั ภำคน้ำ ผลิตภัณฑ์เคร่ืองสำอำงท่ีเป็นครีมชนิด
O/W ได้แก่ ครีมทำผิว ครีมบำรุงถนอมผิว ครีมแต่งผม ครีม โกนหนวด
ครีมทำกันแดด ครีมระงับเหง่ือและกลิ่นตัว ครีมทำแก้สิว ครีมทำแก้ฝ้ำ เป็นต้น
ครมี ชนดิ W/O ได้แก่ ครีมฮอร์โมน ครมี ลำ้ งหนำ้ ครีมนวดหนำ้ ครมี แตง่ ผม เปน็ ตน้

นอกจำกน้ยี ังมีอิมัลชน่ั ชนิดพิเศษคอื Anhydrous emulsion ซ่ึงไม่มีน้ำอยู่เลย
ประกอบด้วย น้ำมันและสำร Polyols เช่น Glycerin, Propylene glycol, PEG 400
เป็นต้น อมิ ัลช่ันที่ไดอ้ ำจมลี กั ษณะใสหรอื ข่นุ ขำว

ศูนยว์ ิจยั และพัฒนำผลติ ภัณฑ์ปศุสัตว์เชยี งใหม่ 47 COSMETIC PRODUCT


Click to View FlipBook Version