The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลการใช้แบบฝึกวงจร เพื่อพัฒนาการขว้าง-รับ ก่อนเรียนและหลังเรียน ในกีฬาเบสบอล 5

ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

Results of program cycles for developing a throwing and catching before and after

class in baseball 5 of mathayom 5 students.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ผุสดี จันทคำมา, 2020-06-29 10:03:03

ผลการใช้แบบฝึกวงจร เพื่อพัฒนาการขว้าง-รับ ก่อนเรียนและหลังเรียน ในกีฬาเบสบอล 5

ผลการใช้แบบฝึกวงจร เพื่อพัฒนาการขว้าง-รับ ก่อนเรียนและหลังเรียน ในกีฬาเบสบอล 5

ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

Results of program cycles for developing a throwing and catching before and after

class in baseball 5 of mathayom 5 students.

Keywords: พัฒนาการขว้าง-รับ

ช่อื เรือ่ งงานวิจัย
ผลการใชแ้ บบฝกึ วงจร เพ่ือพัฒนาการขว้าง-รับ กอ่ นเรยี นและหลงั เรียน ในกีฬาเบสบอล 5

ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5
Results of program cycles for developing a throwing and catching before and after

class in baseball 5 of mathayom 5 students.

ผ้วู จิ ยั
นางสาว ผุสดี จันทคามา 5920600713
นางสาว เดือนเต็มดวง สอนลี 5920600888

อาจารย์ท่ปี รกึ ษา
อาจารย์ อานนท์ พ่งึ สาย

สาขาพลศกึ ษาและสขุ ศกึ ษา
คณะศกึ ษาศาสตร์และพัฒนาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน





คำนำ

รายงานการศึกษาวิจัย “การสร้างแบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ ของกีฬาเบสบอล 5 สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน
ศูนยว์ ิจัยและพัฒนาการศึกษา จังหวดั นครปฐม” ฉบบั นเ้ี ป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ ซง่ึ ผูว้ จิ ัยได้รวบรวม
ขอ้ มลู และทาการวิเคราะห์ข้อมลู ท่ีได้จาก 2 ภาคส่วน ร่วมกนั ไดแ้ ก่ การศึกษาเอกสาร การเก็บผลวิจัย
จากการทดสอบนักเรียน โดยได้ทาการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 37 คน จากน้ันได้นาผลการ
วเิ คราะห์ดังกลา่ วมาประมวลผล

อย่างไรกต็ าม งานวจิ ัยการสร้างแบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ ของกีฬาเบสบอลสาหรบั นักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในความ
พยายามท่ีจะวัดและประเมินผลการเรียนการสอน ดังน้ันแบบฝึกดังกล่าวจึงต้องมีการนาไป
ประยุกตใ์ ช้ให้เหมาะสมและยังต้องการการพฒั นาปรบั ปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ยงิ่ ข้นึ งานวจิ ยั ครั้งนี้จึงเป็น
เพียงจุดเร่ิมตน้ เพื่อนาไปสกู่ ารจดั การเรียนการสอนต่อไป

ผู้วิจัย ขอขอบคุณ อาจารย์อานนท์ พ่ึงสาย อาจารย์พี่เลี้ยง โรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทใ่ี ห้คาแนะนาผูว้ ิจยั อย่างดยี งิ่ มาโดยตลอด ตลอดจนท่านอาจารยท์ ุกท่าน
ทก่ี รุณาใหข้ ้อมลู เพื่องานวจิ ยั คร้งั น้ี จนสาเรจ็ ลลุ ว่ งไปได้ด้วยดี

ผสุ ดี จนั ทคามา
เดือนเต็มดวง สอนลี



กิตตกิ รรมประกำศ
การวิจัยเรื่องการสร้างแบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ ของกีฬาเบสบอลสาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและ
พฒั นาการศกึ ษา จงั หวดั นครปฐม สาเรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี เน่ืองจากได้รับความกรณุ าและคาแนะนาอย่าง
ดีย่ิงจากอาจารย์พี่เลี้ยง อาจารย์อานนท์ พึ่งสาย ท่ีได้ให้คาปรึกษา ข้อเสนอแนะ และแก้ไข
ข้อบกพร่องต่างๆ จนทาให้วิจัยฉบับนี้สาเร็จลุล่วงโดยสมบูรณ์ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซ้ึงในความกรุณาและ
ขอขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสูงไว้ ณ โอกาสนี้

ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร. วินยั พูลศรี ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิรชิ ัย ศรีพรหม ,
และ ดร.ธีรนนั ท์ ตนั พานิชย์ ท่ไี ด้อนุเคราะหต์ รวจสอบเครื่องมือในการทาวิจัย และผูบ้ รหิ ารโรงเรียนท่ี
ไดอ้ นญุ าตให้นกั เรยี นเปน็ กลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนนักเรยี นท่ีเปน็ กลมุ่ ตัวอยา่ งทุกคน ที่ได้ใหค้ วามรว่ มมือ
และอานวยความสะดวกในการเกบ็ ขอ้ มลู เป็นอย่างดียิ่ง

คุณงามความดีและประโยชน์อันเกิดจากการวิจัยฉบับนี้ท่ีมีต่อวงการศึกษา ผู้วิจัยขอมอบให้
ครอู าจารย์ทกุ ทา่ นที่ไดใ้ หส้ ง่ั สอนและเสรมิ ประสบการณ์ใหผ้ วู้ ิจยั

ผสุ ดี จนั ทคามา
เดอื นเตม็ ดวง สอนลี



ชื่อเรื่องวิจัย ผลการใช้แบบฝึกวงจร เพื่อพัฒนาทักษะการขว้าง-รับ ในกีฬาเบสบอล5 ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและ
พฒั นาการศึกษา จังหวัดนครปฐม

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือสร้างแบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ ของกีฬาเบสบอล5
สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ประชากรทใี่ ช้ในการวจิ ัย เป็นนักเรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5
ของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา
การศึกษา จังหวัดนครปฐม ที่เรียนวิชาเบสบอล5 ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 ทั้งหมด 189
คน นกั เรียนชาย 73 คน และ นักเรียนหญงิ 116 คน กลุ่มตวั อยา่ งเป็นนักเรียนของโรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ที่กาลังศึกษาอยู่ใน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/2 ภาคเรียนท่ี1 ปีการศึกษา 2562 จานวน 37 คน ( นักเรียนชาย 16 คน
นกั เรียนหญิง 21 คน ) โดยวิธีการสุ่มอย่างงา่ ย

เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบฝึกทักษะการขว้าง-รบั ประกอบดว้ ย 1) แบบฝกึ ทักษะการ
ขว้าง - รับ แบบวงจร จานวน 3 แบบฝึก 2) แบบทดสอบทักษะการขว้าง -รับ ของกีฬาเบสบอล5
จานวน 1 รายการ ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้สร้างข้ึน และผ่านการตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา โดยให้
ผ้เู ช่ยี วชาญจานวน 3 ท่าน

ผลการวิจัยพบวา่ 1) แบบฝกึ ทกั ษะการขว้าง - รบั แบบวงจร จานวน 3 แบบฝกึ และผา่ นการ
พิจารณาความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา โดยผู้เช่ียวชาญตรวจสอบ มีค่าเท่ากับ 1 แสดงว่าแบบฝึกทักษะมี
ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา สามารถนาไปใช้ในการฝึกได้ 2) ผลการทักษะการการขว้าง - รับ ของกีฬา
เบสบอล5 กอ่ นเรียนและหลงั เรยี นของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5/2 พบวา่ การทดสอบคะแนนของ
นักเรียนมีคะแนน ก่อนเรียน เฉลี่ยเท่ากับ 16.46 คะแนน และมีคะแนนหลังเรียน เท่ากับ 23.51
คะแนน เมอ่ื เปรยี บเทียบคะแนนสอบท้งั สองครั้ง พบวา่ คะแนนสอบหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมี
นยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05



Research Title The results of using circuit training To develop pitching-receiving
skills In baseball 5 Of mathayom suksa five students at Demonstration School of
Kasetsart University Kamphaeng Saen Campus Educational Research and Development
Center Nakhon Pathom.

ABSTRACT

The purposes of this research were 1) to develop a practice of throwing -
receiving skill. Of baseball 5 for mathayomsuksa 5 students. Population used in the
research. Is a student in Mathayomsuksa 5 level at the Demonstration School of
Kasetsart University Kamphaeng Saen Campus Educational Research and Development
Center Nakhon Pathom In baseball 5 In the first term of the academic year 2019, there

were 189 students, 73 male students and 116 female students. The samples were

students of the Demonstration School of Kasetsart University. Kamphaeng Saen
Campus Educational Research and Development Center That are studying in
Mattayomsuksa 5/2, 1st semester, academic year 2019, amount 37 students (16 male
students, 21 female students) by simple random method.

The research instruments were pitch-receiving skill training consisting of 1) 3 of
the circular-throwing-practice-practice-training-2-1 of the 5-pitching-receiving skill test
of the baseball which the researcher was Creator And passed the content validity check
By having 3 experts

The results of the research revealed that 1) The 3 circuit throwing and receiving
skills training exercise program and passed the content validation. In which the
examination expert is equal to 1, it means that the skill training is accurate in content
Can be used in practice. 2) Baseball pitching and picking skills of 5 Before and after
learning of Mathayomsuksa 5/2 students It was found that the test scores of students
had an average pre-school score of 16.46 points and an after-grade score of 23.51
points. When comparing the two test scores, it was found that the post-test scores
were significantly higher than before studying at the level of .05.

สารบญั หนา้

คานา ข
กิตตกิ รรมประกาศ ค
บทคดั ย่อ 1
บทที่ 1 บทนา
4
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา 27
วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย
ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ ับ 31
สมมตุ ฐิ าน 33
ขอบเขตงานวิจัย
ข้อตกลงเบ้อื งตน้ 37
นยิ ามศัพท์เฉพาะ 38
บทที่ 2 เอกสารและงานทเี่ ก่ียวข้อง 52
บทท่ี 3 วิธีดาเนินการวิจัย 56
ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั
วิธกี ารสรา้ งและหาคุณภาพของเคร่ืองมือ
วิธีดาเนินการวจิ ัย
การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
สรุปผลการวจิ ัย
อภิปรายผลการศึกษา
ข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
ภาคผนวก ข หนังสือขอเชิญเปน็ ผู้เชีย่ วชาญตรวจสอบตรวจสอบเคร่ืองมอื

ภาคผนวก ค การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ

ภาคผนวก ง ขอ้ มลู คะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรยี น 61
ภาคผนวก จ ตัวอย่างผลงานนกั เรยี น 64

ประวัติย่อผ้วู จิ ัย 68

สารบัญตาราง หนา้

ตารางท่ี 31
32
1) แสดงคา่ ดัชนคี วามสอดคล้องของแบบฝึกทักษะการขว้าง-รบั เบสบอล 5 40
2) ผลวเิ คราะห์เปรยี บเทยี บคะแนนทกั ษะการขวา้ ง-รบั เบสบอล 5 41
3) วิธฝี ึกทกั ษะการขว้าง-รบั แบบวงจร 60
4) ขั้นตอนการฝึกทักษะการขว้าง-รับ แบบวงจร 62
5) ตารางสรปุ คา่ IOC จากผ้เู ชี่ยวชาญ
6) ขอ้ มูลคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรยี น



1

บทที่ 1

บทนำ

ท่มี ำและควำมสำคญั ของปัญหำวิจัย

จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้ นนฐานพุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรของ
กระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงมีวิชาพลศึกษาอยู่ในหลักสูตร ด้วยเหตุน้ีวิชาพลศึกษาเป็นการศึกษาท่ีสามารถพัฒนา
บุคคลได้ โดยใช้กิจกรรมการออกกาลังกายหรือการเล่นกีฬาเป็นส่ือกลางของการเรียนซึ่งทาให้ร่างกายมี
สมรรถภาพดีแข็งแรงสมบูรณ์เปน็ ผู้มีระเบียบ วินัย อดทน รู้แพ้ รู้ชนะ รูอ้ ภัย สร้างความสามัคคี และรจู้ ักการ
ปรับตัวให้เข้ากับผ้อู ื่นในสงั คมได้ดี ซึ่งในการพัฒนาบุคคลน้ันจะพัฒนาแต่เฉพาะด้านสตปิ ัญญาอย่างเดียวไมไ่ ด้
แต่จะต้องพัฒนาด้านอื่นๆด้วย ถ้าไม่เช่นน้ันแล้วจะทาให้ขาดความสมดุลในการพัฒนาตัวบุคคล (ณัฐพงศ์ ,
2541: 2 อา้ งถงึ กรมวิสามญั ศึกษากระทรวงศึกษาธิการ, 2500: 16)

กีฬาเป็นปัจจัยพ้ืนฐานท่ีมีความสาคัญอย่างย่ิง ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกเพศทุกวัยให้มีความ
สมบรู ณ์ กฬี ายังเป็นกจิ กรรมท่ีชว่ ยพัฒนาสติปญั ญา ร่างกาย จติ ใจ อารมณแ์ ละสงั คม กล่าวคือกีฬาช่วยพัฒนา
สติปัญญา โดยใช้กระบวนการวางแผน การตัดสินใจ อย่างมีเหตุผล มีความสุขุมรอบคอบในการคิดแก้ปัญหา
ตา่ งๆไดอ้ ย่างถกู ต้อง สาหรบั การพฒั นาการทางดา้ นรา่ งกาย จะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพแขง็ แรงสมบูรณส์ ง่าผ่า
เผยและมีพัฒนาการเจริญเติบโตไปตามวยั ทางด้านการพัฒนาอารมณ์ช่วยให้มีการอดทน อดกลั้น สร้างคนให้
มีความรับผดิ ชอบ มรี ะเบยี บวนิ ยั เป็นคนทม่ี ีอารมณแ์ จ่มใสเบกิ บานรา่ เรงิ อยู่เสมอ (สทุ ธกิ ร, 2555: 1)

ในปัจจุบันกิจกรรมกีฬามีบทบาทอย่างมาก ในการสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคี ตลอดจนใน
สถานศึกษาทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ จะเห็นได้จากการจัดการแข่งขันกีฬากันอย่างแพร่หลาย
เป็นประจาทุกปี เช่น กีฬาภายในโรงเรียนอุดมศึกษา กีฬามหาวิทยาลัย กีฬาแห่งชาติ กีฬาซีเกมส์ กีฬา
เอเช่ียนเกมส์ และกีฬาโอลิมปิกเกมส์ เป็นต้น ในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับต่างๆ ท่ีกล่าวมานั้น พบว่ากีฬา
เบสบอลเป็นกีฬาประเภทหน่ึงได้รับความสนใจท้ังในอดีตและปัจจุบัน (ฉลาด, 2544: 1 อ้างถึงใน ละเมียด ,
2520: 1) กีฬาเบสบอลจึงได้มีการนามาเล่นกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในประชาชนท่ัวไปและในสถานศึกษา
ตลอดจนนามาบรรจุในหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนในระดับต่างๆ ซึ่งวิชาเบสบอลเป็นส่วนหน่ึงของวิชา
พลศึกษา จึงได้รับการบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนในการศึกษาทุกระดับ และโรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ได้เห็นถึงความสาคัญและ
ประโยชน์ของการจดั การเรยี นการสอนวชิ าเบสบอล จึงไดบ้ รรจลุ งในการเรียนการสอน

2

ซึ่งโรงเรียนสาธติ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน ศูนยว์ ิจัยและพฒั นาการศึกษา
พบว่าแบบ ฝึกทักษะการขว้าง-รับ ยังไม่ดีพอ ทาให้ผู้วิจัยนาแบบฝึกทักษะก่อนเรียนและหลังเรียนมา
เปรียบเทยี บเพ่ือพฒั นาใหเ้ กิดประสิทธิภาพมากยิ่งข้นึ

วตั ถุประสงคข์ องกำรวิจยั

1. เพอ่ื สรา้ งแบบฝึกทกั ษะการขว้าง-รบั ของกฬี าเบสบอลสาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5

2. เพอื่ เปรียบเทียบผลของการฝกึ ทกั ษะก่อนเรยี นและหลังเรยี น

ประโยชนท์ ค่ี ำดวำ่ จะได้รบั

ทาให้ได้แบบฝกึ ทักษะการขว้าง – รับ ของกีฬาเบสบอล 5 สาหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5

สมมตุ ฐิ ำนงำนวจิ ยั

ทักษะการขว้าง - รับ ของกีฬาเบสบอล 5 ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรยี น

ขอบเขตของกำรวิจัย

1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นนักเรียนชายและนักเรียนหญิงของโรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
( จานวนท้งั หมด 189 คน นักเรยี นชาย 73 คน และ นกั เรยี นหญิง 116 คน ) อายรุ ะหวา่ ง 16-17 ปี

2. กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/2 ภาคเรียนท่ี1 ปีการศึกษา 2562
จานวน 37 คน ( นักเรียนชาย 16 คน นักเรียนหญิง 21 คน ) โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ( simple random
sampling )

3. ระยะเวลาในการทาวิจัย 4 สปั ดาห์ สัปดาห์ละ 1 คาบ โดยฝกึ ดังนี้

3.1 กลมุ่ ทดลอง ฝกึ ในวนั ศุกร์ เวลา 09:10 – 10:00

4. ตวั แปรในการศึกษา

4.1 ตัวแปรต้น คือ แบบฝึกทกั ษะการขวา้ ง-รับ

4.2 ตัวแปรตาม คือ ผลของการฝึกทักษะการขว้าง-รบั

3

ขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้น
การศึกษาครั้งน้ี ผู้วิจัยไม่ได้ควบคุมเร่ืองการพักผ่อน การฝึกซ้อม การรับประทานอาหาร การปฏิบัติ

ตนในชวี ติ ประจาวันและกิจกรรมอน่ื ๆ
นิยำมศพั ท์

ในการวจิ ัยครัง้ นี้ ผู้วิจยั ได้กาหนดนยิ ามศัพทท์ ่ีใช้สาหรับวจิ ัย ดงั น้ี
“ แบบฝึกทักษะการขว้าง – รับ แบบวงจร ”หมายถงึ การสร้างแบบฝกึ มาหน่ึงแบบฝึก แต่ในแบบฝกึ

จะมีทักษะการขวา้ ง-รับ อย่ใู นฐาน 3 ฐาน คอื ฐานที่ 1 แบบฝกึ การขว้าง -รับ แบบ ( Throw to change
direction ) ,ฐานท่ี 2 ทกั ษะการขว้าง – รบั Migrate to switch, ฐานท่ี 3 ทกั ษะการขว้าง -รบั Blend

“ ทักษะกีฬาเบสบอล ” หมายถึง ทักษะการขว้าง ( throwing ) ทักษะการรบั (catching)
“ กฬี าเบสบอล 5 ” หมายถงึ กีฬาเบสบอล มีผูเ้ ลน่ ทีมละ 5 คน โดยผเู้ ล่นแต่ละทีมจะผลดั กันตีลกู
ฝ่ายตลี ูกบอล เม่ือตไี ดจ้ ะวิ่งวนหลักซ่ึงเปน็ วงกลมท่ปี กั เป็นเขตไว้ กีฬาเบสบอล 5
“ นักเรยี น ” หมายถึง ผศู้ ึกษาเลา่ เรียนหรือผรู้ ับการศึกษาจากโรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ที่กาลงั ศึกษาอยู่ในชัน้
มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2562 และอยใู่ นหลักสตู รการเรยี นพลศึกษา3 ( พ32103 )

กรอบแนวคิดการวิจัย

ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม

แบบฝกึ ทักษะการขวา้ ง-รับ ผลของการฝึกทกั ษะการขวา้ ง-รับ ของ
แบบวงจร กฬี าเบสบอล 5

4

บทท่ี 2

เอกสำรและงำนวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง

ในการวจิ ยั ครัง้ นี้ ไดเ้ สนอหลักทฤษฎี ดังนี้

1. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551

2. หลกั สตู รสถานศึกษา

3. กฬี าเบสบอล 5

3.1 ประวตั ิกฬี าเบสบอล 5

3.2 ประโยชนข์ องกฬี าเบสบอล 5

3.3 องค์ประกอบของทกั ษะกีฬาเบสบอล 5

4. หลกั การสร้างแบบฝกึ ทกั ษะการขวา้ ง -รับ ของกีฬาเบสบอล

5. งานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง

5.1 งานวิจยั ในตา่ งประเทศ

5.2 งานวจิ ยั ในประเทศ

1.หลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำนพทุ ธศักรำช 2551

กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใชห้ ลกั สูตรการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็นหลักสูตร
แกนกลางของประเทศ โดยกาหนดจุดหมาย ของมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการ
พัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี นให้เป็นคนดี มปี ัญญา มคี ุณภาพชีวติ ทด่ี ี และมีขีดความสามารถในการแข่งขนั ในเวทีโลก (
กระทรวงศึกษาธิการ , 2544 ) พรอ้ มกนั น้ี ไดป้ รบั กระบวนการพัฒนาหลกั สตู รใหส้ อดคล้องกบั เจตนารมณ์ของ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ. ศ. 2545 ที่มุ่งเน้นการ
กระจายอานาจทางการศึกษา ให้ท้องถ่ินและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
เพ่ือให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น (สานักนายกรัฐมนตรี, 2542) จากการวิจัยและ
ติดตามประเมนิ ผลการใช้หลกั สูตรในช่วงระยะ 5 ปีทผ่ี ่านมา (สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2546 ก.,
2546 ข., 2548 ก., 2548 ข.; สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2547, สานักผู้ตรวจราชการและติดตาม
ประเมนิ ผล, 2548 สวุ ิมล ว่องวาณิช และนงลกั ษณ์ วิรัชชยั , 2547, Nutrayong, 2002; Kittisunthorn, 2003

5

) พบว่าหลักสูตรการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2554 มีจุดดีหลายประการ เช่น ช่วยส่งเสริมการกระจาย
อานาจทางการศึกษา ทาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษามีส่วนร่วม และมีบทบาทสาคัญในการพัฒนาหลักสูตรให้
สอดคล้องกับความต้องการของท้องถ่ิน มีแนวคิดและหลักการในการส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม
อยา่ งชดั เจน อยา่ งไรกต็ ามผลการศึกษาดังกลา่ วยงั ได้สะท้อนให้เหน็ ถึงประเดน็ ท่เี ปน็ ปญั หาและความไม่ชัดเจน
ของหลักสูตรหลายประการท้ังในส่วน ของเอกสารหลักสตู รกระบวนการนาหลักสูตรสู่การปฏิบตั ิและผลผลติ ท่ี
เกิดจากการใช้หลักสูตร ได้แก่ ปัญหาความสับสนของผู้ปฏิบัติในระดับสถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษา สถานศึกษาส่วนใหญ่กาหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังไว้มาก ทาให้เกิดปัญหา
หลักสูตรแน่นการวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐานส่งผลต่อปัญหา การจัดทาเอกสารหลักฐานทาง
การศึกษาและการเทียบโอนผลการเรียน รวมทั้งปัญหาคุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้ทักษะความสามารถ
และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ยงั ไมเ่ ป็นที่น่าพอใจ

นอกจากนนั้ แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติฉบับท่ี 10 ( พ. ศ. 2550 – 2554 ) ได้ช้ีใหเ้ ห็นถึง
ความจาเป็นในการปรับเปล่ียนจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพคนในสังคมไทย ให้มีคุณธรรมและมีความรอบรู้
อย่างเท่าทนั ใหม้ ีความพร้อมท้ังดา้ นรา่ งกาย สตปิ ญั ญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถก้าวทนั การเปล่ยี นแปลง
เพ่ือนาไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนาคนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชน ให้มีพื้นฐาน
จิตใจท่ีดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะ และความรู้พ้ืนฐาน ที่จาเป็นในการดารงชีวิตอันจะ
ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน (สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2544 ซึ่งแนวทางดังกล่าว
สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธกิ ารในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสโู่ ลกยุคศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่ง
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทย มีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี
สามารถทางานรว่ มกับผ้อู นื่ และสามารถอยรู่ ว่ มกับผอู้ ื่นในสังคมโลกไดอ้ ยา่ งสันติ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551)

จากข้อคน้ พบในการศึกษาวจิ ัยและติดตามผลการใช้หลกั สตู รการศึกษา ขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2554
ท่ีผา่ นมา ประกอบกบั ข้อมูลจากแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาตฉิ บับที่ 30 เกยี่ วกบั แนวทางการพัฒนา
คนในสังคมไทยและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนสู่ศตวรรษที่ 21 จึงเกิดการทบทวน
หลักสูตรการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2554 เพื่อนาไปสู่การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ีมีความเหมาะสม ชัดเจน ท้ังเป้าหมายของหลักสูตรในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
และกระบวนการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ ในระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา และสถานศึกษาโดยได้มีการกาหนด
วสิ ยั ทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ มาตรฐานการเรยี นรู้ และตัวช้วี ัด ที่
ชัดเจนเพ่ือใช้เป็นทิศทางในการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้นได้กาหนด
โครงสร้างเวลาเรยี นพืน้ ฐานของแต่ละกลุม่ สาระการเรียนรู้ ในแตล่ ะชน้ั ปี ไว้ในหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้น
พ้ืนฐาน และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติมเวลาเรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้นอีกทั้งได้ปรับ
กระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เกณฑ์การจบการศึกษาแต่ละระดับและเอกสารแสดงหลักฐานทาง
การศกึ ษาให้มคี วามสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรูแ้ ละมีความชดั เจนต่อการนาไปปฏิบตั ิ

6

เอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 น้ีจัดทาข้ึนสาหรับท้องถ่ินและ
สถานศึกษาได้นาไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาและจัดการเรียนการสอนเพ่ือ
พัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่จาเป็น
สาหรับการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองตลอด
ชวี ิต

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชว้ี ดั ท่ีกาหนดไว้ในเอกสารนี้ ช่วยทาให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในทุกระดับ
เห็นผลคาดหวังที่ต้องการ ในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีชัดเจนตลอดแนว ซึ่งจะสามารถช่วยให้
หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในระดับท้องถ่ินและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่างมั่นใจ ทาให้การจัดทา
หลักสูตรในระดับสถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพย่ิงข้ึน อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความชัดเจน เรื่อง
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้และช่วยแก้ปัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกษาดังนั้น ในการพัฒนา
หลกั สตู รในทกุ ระดบั ต้ังแตร่ ะดับชาตจิ นกระทง่ั ถงึ สถานศึกษา จะต้องสะทอ้ นคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้
และตัวชี้วัด ท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการจัด
การศึกษาทุกรปู แบบและครอบคลมุ ผูเ้ รียนทุกกลมุ่ เปา้ หมายในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน

การจัดหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน จะประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ ทุกฝ่ายที่
เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคล ต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทางานอย่างเป็นระบบ
และต่อเนื่องในการวางแผนดาเนินการส่งเสริมสนับสนุนตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาเยาวชน
ของชาติไปสคู่ ณุ ภาพตามมาตรฐานการเรียนร้ทู กี่ าหนดไว้

วิสยั ทัศน์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผเู้ รียนทุกคน ซึ่งเปน็ กาลงั ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มี
ความสมดุลทั้งรา่ งกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มนั่ ในการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมท้ังทัศนคติท่ี
จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐาน
ความเชอ่ื ว่าทกุ คนสามารถเรยี นรู้และพฒั นาตนเองได้เต็มศักยภาพ

หลักกำร

หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานมีหลกั การทส่ี าคัญ ดงั นี้

1. เปน็ หลักสตู รการศกึ ษาเพอ่ื ความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้
เป็นเป้าหมายสาคัญพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ทักษะ ทัศนคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐานของ
ความเป็นไทยควบคกู่ ับความเป็นสากล

7

2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ
ภาคและมคี ุณภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนรว่ มในการจดั การศึกษา
ให้สอดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถ่นิ

4. เปน็ หลกั สตู รการศึกษาทีม่ โี ครงสร้างยืดหย่นุ ทัง้ ด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ
เรียนรู้

5. เป็นหลกั สูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรยี นเป็นสาคญั

6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ ละตามอัธยาศัยครอบคลุม
ทกุ กลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์

จุดหมำย

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีสติปัญญา มีความสุข มี
ศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดมุ่งหมายเพ่ือใหเ้ กดิ กับผู้เรยี น เม่ือจบการศึกษา
ขัน้ พนื้ ฐาน ดงั น้ี

1. มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมที่พงึ ประสงค์ เหน็ คุณคา่ ของตนเอง มีวินัยและปฏิบัตติ น
ตามหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาทตี่ นนับถือหรอื ยึดหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

2. มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแก้ปญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมที ักษะ
ชีวิต

3. มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจติ ท่ีดี มีสุขนิสัย และรักการออกกาลงั กาย

4. มีความรกั ชาติ มจี ติ สานึกในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ยดึ มน่ั ในวิถชี วี ติ และการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข

5. มีจิตสานกึ ในการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทย การอนรุ ักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
มีจิตสาธารณะที่มงุ่ ทาประโยชน์และสร้างสงิ่ ทด่ี ีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข

8

สมรรถนะสาํ คัญของผเู้ รียน และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มคี ณุ ภาพตามมาตรฐานท่ีกาหนดซ่งึ
จะช่วยใหผ้ ูเ้ รียนเกิดสมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ดงั น้ี

1. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุง่ ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ สมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั นี้

1.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการ
ใช้ภาษา ถา่ ยทอดความคดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ ความรู้สึก และทศั นะของตนเองเพอื่ แลกเปลีย่ นข้อมูล
ข่าวสารและประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาต่อรอง
เพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ
ความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วธิ ีการสอ่ื สารท่ีมีประสทิ ธภิ าพ โดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง
และสังคม

1.2 ความสามารถในการคดิ เปน็ ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ประกอบ
ความรู้หรือสารสนเทศ เพอื่ การตัดสนิ ใจเกยี่ วกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

1.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ท่ี
เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพ้ืนฐานของหลักเหตุผลคุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสาคัญและการเปล่ียนแปลงของเหตุการณต์ ่างๆ ในสงั คมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรูม้ าใช้ใน
การป้องกันและแก้ปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยคานึงถึงระบบท่ีเกิดขึ้นต่อตนเอง
สังคมและสงิ่ แวดล้อม

1.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆ ไปใช้
ในการดาเนินชีวิตประจาวันการเรียนรู้ด้วยตนเองการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางานและการอยู่
ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความ
ขัดแย้งต่างๆอย่างเหมาะสม การปรับตัวใหท้ ันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และ
การรู้จกั หลกี เล่ียงพฤติกรรมไมพ่ งึ ประสงค์ท่สี ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อนื่

9

1.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้าน
ต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านความรู้การ
ส่อื สารการทางานและการแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมีคุณธรรม
2 คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้
สามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อน่ื ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้

2.1 รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2.2 ซอื่ สัตย์สุจรติ
2.3 มีวนิ ัย
2.4 ใฝ่เรียนรู้
2.5 อยา่ งอย่อู ยา่ งพอเพียง

2.6 มุง่ มั่นในการทางานส่วนกิจ
2.7 รักความเปน็ ไทย
2.8 มีจิตสาธารณะ
นอกจากนี้สถานการศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ิมเติมให้สอดคล้องตามบรบิ ท
และจดุ เนน้ ของตนเอง

มำตรฐำนกำรเรยี นรู้
การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตร

แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจึงกาหนดให้ผูเ้ รยี นเรียนรู้ 8 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ดังน้ี
1. ภาษาไทย
2. คณิตศาสตร์

10

3. วทิ ยาศาสตร์

4. สังคมศึกษาศาสนาและวฒั นธรรม

5. สขุ ศึกษาและพลศึกษา

6. ศิลปะ

7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี

8. ภาษาต่างประเทศ

ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสาคัญของการพัฒนา
คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งท่ีผู้เรียนพึ่งรู้ ปฏิบัติได้มี คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึง
ประสงค์เมื่อจบการศึกษาข้ันพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสาคัญในการขับเคล่ือน
พัฒนาการศึกษาท้ังระบบ พร้อมมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไรและ
ประเมนิ อยา่ งไร

ตัวช้วี ัด

ตัวชี้วัดระบุส่ิงท่ีผู้เรียนพ่ึงรู้และปฏิบัติได้ รวมท้ังคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับช้ัน ซ่ึงสะท้อน
ถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นาไปใช้ในการกาหนดเน้ือหา เขียน
หน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัดประเมินผล เพื่อตรวจสอบคุณภาพ
ผเู้ รยี น ตวั ชวี้ ัด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละช้ันปี ในระดับการศึกษาภาคบังคับ
(ประถมศกึ ษาปีท่ี 1- มัธยมศึกษาปที ่ี 3)

2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียน ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(มัธยมศึกษาปที ี่ 4-6)

2.หลักสตู รสถำนศึกษำ

โรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศนู ย์วิจัยและ พฒั นาการศกึ ษา มี
ภารกิจในการจัดการศึกษาให้กับนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ตามแนวการจัดหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ของ กระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วยรายวิชาพ้ืนฐานท่ีครอบคลุม

11

สาระการเรียนทั้ง 8 กลุ่ม สาระ พร้อมทั้งเพ่ิมเติมสาระการเรียนรู้ให้สูงข้ึนตามศักยภาพ ความถนัด และความ
สนใจของ ผู้เรียนโดยใช้กลยุทธ์ วิธีการ และนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนได้รับการ พัฒนา
อยา่ งเตม็ ศักยภาพ และสอดคล้องกบั วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกจิ และเป้าหมายของโรงเรียน
วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกิจ เปำ้ หมำยของโรงเรยี น

วิสัยทศั น์
จดั การศึกษาเพอ่ื เป็นการสรา้ งทางเลือกใหผ้ ูเ้ รียนได้พัฒนาความรู้ ม่งุ สสู่ ถาบนั อุดมศึกษา

โดยมีความเป็นผู้นาดารงคุณธรรมตามทส่ี ังคมต้องการ
พันธกิจ

1. ให้การฝึกประสบการณว์ ชิ าชีพครูแก่นิสิตศกึ ษาศาสตร์
2. ศึกษา วจิ ัย พฒั นาการศกึ ษา และบรกิ ารวิชาการ
3. จดั การศกึ ษาเพื่อเปน็ การขยายโอกาสสาหรบั เด็กและเยาวชน พร้อมไปกบั การทานุบารงุ
ศิลปวฒั นธรรม
เป้าหมาย
1. ผู้เรียนทกุ คนไดร้ บั การศึกษา ท่ีมคี ุณภาพไม่ต่ากวา่ มาตรฐานการศกึ ษา
2. ผ้เู รียนระดบั อนบุ าลศึกษา มคี วามพร้อมท่ีจะศึกษาต่อในระดบั การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานได้ดี
3. ผูเ้ รยี นระดบั ประถมศึกษา มีทักษะกระบวนการในการแสวงหาความรอู้ ยา่ งหลากหลาย
มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และอยู่ในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ มีความสามารถในการแสดงออกและเป็นผนู้ า
4. ผู้เรียนระดบั มัธยมศกึ ษา มีการพฒั นากระบวนการแสวงหา และสร้างองคค์ วามรู้ การดูแล
สขุ ภาพ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม มคี วามสุนทรยี ์และสามารถศึกษาต่อตามความถนัดอย่างมีคณุ ภาพ
5. คณาจารย์สามารถคน้ ควา้ วิจัย ทดลองเพื่อพฒั นานวัตกรรม และเทคโนโลยกี ารศึกษา
อยา่ งมีคณุ ภาพ
6. โรงเรยี นมรี ะบบการบรหิ ารหลกั สูตรทีด่ มี ีประสิทธิภาพ

12

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องนกั เรียน
1. มคี วามรูท้ างวิชาการ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ มวี ิจารณญาณ มคี วามคดิ

สร้างสรรค์ และเปน็ บุคคลในสงั คมแห่งการเรยี นรู้
2. มที กั ษะด้านภาษาเพื่อการสื่อสารและใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื การศกึ ษา
3. มบี ุคลิกภาพในการเป็นผนู้ า รู้จกั ตนเอง พงึ พาตนเองได้และร่วมงานกับบุคคลอน่ื ได้
4. มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มท่ีพงึ ประสงค์
5. มสี ุนทรยี ภาพ และลกั ษณะนิสัยทางด้าน ศลิ ปะ ดนตรี และกีฬา
6. มีสขุ นสิ ัย สุขภาพกาย สุขภาพจติ ท่ีดี ไม่เก่ยี วข้องกับยาเสพติด
7. มคี วามเปน็ ประชาธิปไตย เหน็ แกป่ ระโยชนส์ ่วนรวม อนุรักษภ์ ูมปิ ัญญาไทย ศลิ ปวัฒนธรรมไทย

ทรพั ยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อม
มำตรฐำนคณุ ภำพของผูเ้ รียน

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นสาธิตแห่งมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน
ศนู ยว์ จิ ัยและพัฒนาการศึกษา ได้ก าหนดคุณภาพของผู้เรียนไว้ 5 มาตรฐาน ดงั นี้

มาตรฐานที่ 1 การดาเนินชวี ิตของตนเองทดี่ ี (Well Being) การดแู ลสขุ ภาพและความ
เปน็ อยทู่ ดี่ ีของนักเรียน

มาตรฐานที่ 2 การอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมและการปรบั ตัวเขา้ กับผ้อู ่ืน (Belonging) การสง่ เสริม
ให้นกั เรียนรู้สกึ ของความเปน็ เจา้ ของ

มาตรฐานที่ 3 การมีส่วนรว่ ม มีจติ สาธารณะ (Contribution) นักเรียนมีโอกาสในการเรียนรู้
ท่ีมีความเท่าเทยี มกนั ไดร้ บั การส่งเสริมความสามารถทางสังคมและ การมีสว่ นร่วมในการสร้างคณุ คา่ ของ
ตนเอง ครอบครวั และสังคม

มาตรฐานที่ 4 การติดต่อส่ือสาร (Communication) นกั เรียนใช้ความหลากหลายของ
วิธีการในการส่อื สารความตอ้ งการ ความคิดของตนเองเพอื่ ให้ผอู้ ื่นเขา้ ใจ และตอบสนองแนวคิด

13

มาตรฐานท่ี 5 การแสวงหาความรู้ (Exploration) การเรยี นรขู้ องนักเรียนมาจากการใฝร่ ู้

ในการสารวจสภาพแวดล้อม

กำรจัดหลักสูตรระดับประถมศกึ ษำ

1. จัดสาระการเรียนรู้ในรายวิชาพ้นื ฐานใหม้ คี วามครอบคลุมตามหลักสตู รแกนกลาง การศกึ ษาข้ัน
พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ

2. การจดั การเรียนการสอนในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 -3 มุ่งเนน้ การใชท้ ฤษฎพี หุปัญญา
(Multiple Intelligences : MI) และการสอนโดยใชท้ ักษะพนื้ ฐาน (Skills Based) เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี น บรรลุ
มาตรฐานคุณภาพของผ้เู รียน

3. การจดั การเรยี นการสอนในระดับช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 -6 มงุ่ เน้นการใช้ทักษะการเรียนรู้ ใน
ศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) และการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based) เพื่อใหผ้ เู้ รยี น
บรรลุมาตรฐานคุณภาพของผเู้ รยี น

4. มุ่งสง่ เสริมให้นักเรียนไดร้ ับการพฒั นาทักษะทางด้านภาษา และเทคโนโลยีจนถึงข้นั การนาความรู้
ไปใช้

กำรจัดหลกั สูตรระดับมัธยมศกึ ษำตอนต้น

1.จัดสาระการเรียนรู้ในรายวิชาพน้ื ฐานใหม้ คี วามครอบคลุมตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้
พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ

2. การจดั การเรยี นการสอน มนุ่ เน้นการใช้ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills)
เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนบรรลุมาตรฐานคณุ ภาพของผูเ้ รยี น

3. มุ่งส่งเสรมิ ให้นกั เรียนได้รับการพัฒนาทางดา้ นของภาษาเพอ่ื การส่อื สารการนาความรู้ทางด้านของ
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยไี ปใชใ้ นการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมตามแนวคดิ ของ STEM education

4. จัดรายวชิ าเพ่มิ เติม (เลือกเสร)ี ทีม่ ีความหลากหลายใหก้ ับนกั เรียนตามความถนัดและความสนใจ
และสอดคล้องกบั การศึกษาต่อ

กำรจดั หลักสูตรระดบั มัธยมศึกษำตอนปลำย

1. จดั สาระการเรยี นร้ใู นรายวิชาพื้นฐานให้มีความครอบคลุมตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ัน
พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ

14

2. การจดั การเรียนการสอนมุ่งเน้นการใชท้ ักษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills)
เพอ่ื ใหผ้ ้เู รียนบรรลมุ าตรฐานคณุ ภาพของผู้เรียน

3. มุง่ ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนไดร้ บั การพัฒนาทางดา้ นของคณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาและศิลปกรรม
เพอื่ ใหส้ อดคล้องกับศักยภาพ ความถนัดและความสนใจ

4. จัดรายวชิ าเพม่ิ เตมิ (เลอื กเสรี) ทม่ี ีความหลากหลาย เพือ่ ตอบสนองตามความถนัดความสนใจ และ
สอดคลอ้ งกบั การศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพในอนาคต

3. กฬี ำเบสบอล 5

3.1 ประวัติกีฬำเบสบอล 5

เบสบอล (Baseball) เบสบอลเปน็ กีฬาท่ีถือกาเนดิ ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 19 โดยพฒั นามาจาก
กีฬาเก่าแก่ของอังกฤษท่ีเรียกว่า “ราวน์เดอร์ส” (Rounders) กีฬาเบสบอลมีผู้เล่นท้ังสองฝ่ายๆ ละ 15 คนลง
สนามข้างละ 9 คน แตใ่ นปจั จุบนั ได้ดดั แปรงกีฬาเบสบอลให้มีผ้เู ล่นน้อยลงมา เหลือทีมละ 5 คน เรียกว่า “เบส
บอลไฟร์”

กีฬาเบสบอลถือได้ว่าเป็นกีฬาที่มีมาค่อนข้างยาวนาน แม้ว่าในเมืองไทยเองอาจจะไม่ค่อยได้รับความ
นิยมเท่าไหร่นัก แต่สาหรับท่ัวโลกหลายๆประเทศ เบสบอลถือว่าเป็นกีฬายอดนิยมถึงขนาดว่ามีการจัดตั้งเป็น
ลีกข้ึนมา โดยประเทศที่ถือว่ากีฬาเบสบอลเป็นกีฬาที่พวกเขานิยม เช่น สหรัฐฯ, ญ่ีปุ่น, เกาหลี, ออสเตรเลีย
เป็นต้น ถือว่าเป็นกีฬาอีกประเภทที่มีความสนุกสนานไม่แพ้กีฬาประเภทอ่ืนๆ เลยทีเดียว และยังเป็นกีฬาท่ี
ตอ้ งอาศัยความสามารถเฉพาะตัวบวกกับความสามัคคีกันภายในทีมดว้ ย อนั ทจ่ี ริงแลว้ มีปจั จยั หลายๆ ดา้ นท่ีทา
ให้กีฬาเบสบอลไม่ค่อยได้รับความนิยมในเมืองไทย ท้ังในเร่ืองของอุปกรณ์ท่ีค่อนข้างจะมีราคาแพง เนื่องจาก
ตอ้ งมีทงั้ อุปกรณใ์ นการเอาไว้เลน่ อปุ กรณ์สาหรับป้องกนั ตวั ไมม่ พี ้ืนทีใ่ นการเลน่ เพราะเบสบอลจาเป็นต้องใช้
พืน้ ทค่ี ่อนข้างเยอะจากการตีลูก ซึ่งในเมืองไทยเองสนามเบสบอลท่ีได้มาตรฐานก็ถือว่ามนี ้อยมาก อีกทัง้ คนไทย
ไม่ค่อยให้ความสนใจกับกีฬาเบสบอลท่ีมีมาจากต่างประเทศด้วย ทั้งหมดทั้งมวลน้ีก็เลยพอสรุปได้ว่านี่คือ
เหตผุ ลท่ีคนไทยไมค่ อ่ ยนิยมเลน่ กันอย่างทป่ี ระเทศอืน่ ๆ เขาเล่นกนั

3.2 ประโยชน์ของกีฬำเบสบอล 5

ภาคภูมิรตั นโรจนากุล (ม. ป. ป.: 36-37) ไดส้ รปุ ไว้ดังนี้

15

1. ทางด้านรา่ งกาย ทาใหร้ ่างกายได้รับการฝึกหดั เกดิ ความคล่องแคลว่ ว่องไวมีการประสานงานกัน ใน
ระบบตา่ ง ๆ ของอวัยวะในร่างกายให้ดขี น้ึ มีประสทิ ธิภาพ

2. ทางด้านจิตใจ ทาให้เป็นคนมีน้าใจนักกีฬา มีใจคอหนักแน่นมีความอดทน รู้จักการตัดสินใจ
สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดีมีความเสียสละเพื่อส่วนรวม เคารพสิทธิของผู้อ่ืนและมีความ
รับผิดชอบ

3. ทางด้านอารมณ์ ทาให้เกิดการควบคุมอารมณ์ได้ดี มีระเบียบวินัย สุขุมรอบคอบหนักแน่นและมี
ความเชอื่ มัน่ ในตนเองสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

4. ทางด้านสังคม ทาให้รู้จักมารยาทในการเข้าสังคมได้ดี สามารถเป็นผู้นา-ผู้ตาม ในสังคมได้จึงอาจ
กล่าวได้ว่าการเล่นกีฬาเบสบอล เป็นการพัฒนาประสิทธิภาพของทรัพยากรบุคคลท่ีมีคุณค่าเป็นอย่างมาก ท้ัง
ต่อตัวของนักกีฬาเองจนกระทั่งรวมไปถึงประเทศชาติ เพราะกีฬาเบสบอลเป็นกีฬาท่ีมีประโยชน์มากมายทั้ง
ทางด้านรา่ งกายจิตใจอารมณส์ ังคมและยังกอ่ ใหเ้ กดิ ความสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด้วย

3.4 องคป์ ระกอบของทกั ษะกีฬำเบสบอล 5

ทักษะพื้นฐานของเบสบอลก็เหมือนกับกีฬาประเภทอื่นๆ ที่ต้องเรียนรู้และฝึกปฏิบัติอย่างสม่าเสมอ
เทคนิคทสี่ าคัญทจี่ ะเลน่ ได้ดมี ดี งั น้ี

ทักษะกำรรบั ลกู (Catching)

1. การรบั ลกู ลอยมากลางอากาศมี 3 วิธคี ือ

1. 1 การรบั ลกู ลอยมาสูง ทิศทางของลกู ขณะรับจะลอยมาเหนือศีรษะ การรับนว้ิ หวั แม่มือทั้ง
สองชิดกันและนวิ้ อ่ืนๆ ตั้งข้ึน (ภาพที่ 1)

16
ภำพที่1 กำรรบั ลูกลอยสูง
1. 2 การรับลูก มาตรงตัว ลักษณะทิศทางของลูกขณะรับจะพุ่งมาข้างหน้า สูงกว่าเอวของ
ผูร้ ับ การรบั กางมือทัง้ สองข้างขึ้นโดยใหน้ ิว้ มอื ตง้ั ข้นึ (ภาพท่ี 2)

ภำพท่ี 2 กำรรับลูก มำตรงตัว
1. 3 การรับลูกลอยมาต่า ทิศทางของลูกขณะรับจะลอยต่ากว่าเอวของผู้รับ การรับหงายมือ
ทั้งสองโดยนิ้วมือชี้ไปที่พ้ืน (ภาพท่ี 3)

ภำพที่ 3 กำรรบั ลูกลอยมำต่ำ

17
2. การรับลูกตกกระทบ (Fielding ground ball) มี 2 วิธีคอื

2. 1 การรับลูกตกกระทบพ้ืนแล้วกระดอนขึ้นมาเหนือเอวผู้รับ การรับกางมือทั้งสองข้างข้ึน
โดยใหน้ วิ้ มอื ตงั้ ขึ้น (ภาพท่ี 4)

ภำพท่ี 4 กำรรบั ลูกตกกระทบพ้ืนแล้วกระดอนขนึ้ มำเหนือเอวผรู้ ับ
2. 2 การรับจกตกกระทบแล้วกระตอนขึ้นมาต่ากว่าเอว ของผู้รับหรือกล้ิงมากับพื้น การรับ
หงายมือท้งั สองโดยใหน้ ิ้วมือชี้ลงพืน้ (ภาพท่ี 5)

ภำพที่ 5 กำรรบั ลูกตกกระทบแล้วกระตอนขึ้นมำตำ่ กว่ำเอว

18
ทกั ษะกำรขวำ้ งลูก (Throwing )

แมว้ า่ การขวา้ งจะเปน็ กิจกรรมโดยธรรมชาติ แตม่ ีทกั ษะบางประการในการขว้างลูกเบสบอลจะแตกต่าง
ไปจากการขว้างโดยทว่ั ไปดงั นี้

1. การขว้างลูกเหนือไหล่ (Overhand Throw) เป็นการส่งลกู ไปสู่เป้าหมายท่ีไกลๆ การขว้าง ยืนหัน
ไหลซ่ ้าย (ถนดั ขวา) ไปทศิ ทางทจี่ ะขวา้ งลูก พรอ้ มก้าวเทา้ ข้างเดยี วกันไปขา้ งหน้าท้ิงน้าหนักตวั ท้ังหมดไปท่ีเท้า
หลัง มือที่ถือลูกเง้ือแขนไปข้างหลัง งอข้อศอกในระดับไหล่ เม่ือจะขว้างให้ก้าวเท้าที่อยู่ข้างหน้าไปข้างหน้าอกี
เล็กน้อยพร้อมกับถ่ายน้าหนักตัวไปข้างหน้า บิตลาตัว บิตสะโพก และปิดหัวไหล่ ให้เป็นจังหวะต่อเน่ืองกัน
กระชากแรงจากกล้ามเนื้อหัวไหล่ เหวี่ยงแขนผ่านลาตัวไปข้างหน้าเหนือไหล่ มืออยู่สูงกว่าศีรษะเล็กน้อยและ
สะบัดข้อมอื ผลกั นว้ิ มือใหล้ กู หลุดจากมือพุ่งไปยังเป้าหมายขา้ งหน้า (ภาพท่ี 6)

ภำพที่ 6 กำรขว้ำงลูกเหนือไหล่

2. การขว้างลูกด้านข้าง (Sidehand Throw) เป็นการส่งลกู ไปส่เู ป้าหมายทม่ี ีระยะทางใกล้ๆ ต้องการ
ความรวดเรว็ และแมน่ ยา การขว้างยนื หนั ไหลซ้าย (ถนัดขวา) ไปทศิ ทางที่จะขว้างลูกพร้อมก้าวเท้าข้างเดียวกัน
ไป ข้างหน้า ท้ิงน้าหนักตัวทั้งหมดไปที่เท้าหลัง มือที่ถือลูกเส้ือแขนไปข้างหลัง งอข้อศอก ลูกบอลอยู่ในระดับ
ไหล่เม่ือจะขว้างให้ก้าวเท้าที่อยู่ข้างหน้าไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย พร้อมกับถ่ายน้าหนักตัวไปข้างหน้า บิดลาตัว
บิดสะโพก จังหวะต่อเน่ืองกัน กระชากแรงจากกล้ามเนื้อหัวไหล่ เหว่ียงแขนผ่านลาตัวไปข้างหน้า และสะบัด
ข้อมอื ผลกั นว้ิ มอื ใหล้ ูกหลุดจากมอื พงุ่ ไปยังเปา้ หมาย (ภาพที่ 7)

19

ภำพที่ 7 กำรขว้ำงลกู ดำ้ นข้ำง
3. การขว้างลูกมือล่าง (Underhand Throw) เป็นการส่งลูกท่ีมีเวลาน้อยและมีระยะทางใกล้ ๆ การ
ขวา้ งเริ่มต้นจากท่ารับลกู ที่กลิ้งมากบั พ้นื ยกตัวขน้ึ เลก็ นอ้ ย ถา่ ยน้าหนกั ตัวไปท่เี ทา้ ขา้ งหน้า เหยยี ดแขนออกไป
เต็มท่ีพรอ้ มกับเหว่ียงแขนในลักษณะหงายมือ งอข้อศอกเล็กน้อยแลว้ ถึงจะเหยียดตรงก่อนท่ีจะปล่อยลูก (ภาพ
ท่ี 8 )

ภำพที่ 8 กำรขวำ้ งลกู มือล่ำง

20

4. หลกั กำรสรำ้ งแบบฝกึ ทักษะกำรขว้ำง -รบั ของกีฬำเบสบอล

หลักในการสร้างวิธีการฝึกทักษะการขว้าง-รับ ของกีฬาเบสบอลนั้น จะต้องศึกษาวิธีการฝึกทักษะ
ต่างๆ ที่สาคัญต้องสามารถเปรียบเทียบเพ่ือพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพได้ ทักษะต่าง ๆที่พัฒนาข้ึนเหล่านี้
จะตอ้ งได้รบั การฝึกที่ถูกต้องมากย่งิ ข้นึ ซ่ึงวิรยิ า บญุ ชัย ( 2523 ) ได้กล่าวถงึ การฝึกหัดทักษะกีฬาต่าง ๆ ไว้ว่า
“…การเรยี นทักษะทางการกฬี าเป็นรากฐานท่สี าคญั ของการเรียนพลศกึ ษา...”

สาหรับ อนันท์ อัตชู ( 2538 ) ได้กล่าวสนับสนุนการฝึกหัดทักษะกีฬาไว้ว่า “...นักกีฬาท่ีมีทักษะดี
สามารถบังคบั ทา่ ทางและทิศทางของลกู สามารถกระทาได้อย่างทใ่ี จต้องการ เกิดความผดิ พลาดนอ้ ย...”

Shich ( อ้างถึงใน สุกิจ, 2537 ) ได้ศึกษาค้นคว้าเร่ืองการสร้างแบบทดสอบทักษะการเป็นฝ่ายรับใน
กีฬาซอฟบอลสาหรับหญงิ ระดับวทิ ยาลัย โดยมจี ุดหมายเพือ่ วัดทักษะการเปน็ ฝ่ายรับในกีฬาซอฟทบ์ อล

( Fielding Test ) และการขว้างลกู เขา้ เป้า ( Target Test )

Kehtel (1958 อ้างถึงใน Coilins และ Hodges, 1978) ได้ทาการศึกษาวิจัยเร่ือง “การพัฒนา
แบบทดสอบในการวัดความสามารถของผู้เล่นซอฟท์บอลในการรับลูกเลียดพื้นและการขว้างลูกไปยัง
เป้าหมาย” ผู้วจิ ัยได้สร้างแบบทดสอบข้ึน 1 รายการคือการรบั และการขวา้ งลูกซอฟท์บอลเข้าสู่เปา้ หมายโดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อวัดความสามารถในการรับลูกเลียดพื้นและความแม่นยาในการขว้างลูกซอฟท์บอลเข้าสู่
เปา้ หมาย

และ ณัฐพวศ์ สุโกมล (2541) กล่าวถงึ การฝกึ ทักษะซอฟท์บอล สาหรับนสตมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ซึ่งประกอบดว้ ยการทดสอบ 5 รายการ ดงั นี้

1. การขว้าง-รบั ลกู เลยี ดพืน้
2. การขว้าง-รับ ลูกลอยมาในอากาศ
3. การวง่ิ เบส
4. การขวา้ งไกล
5. การตีไกล

นอกจากนี้การฝึกทักษะจะทาให้ผู้เรียนมีโอกาสฝึกหัดทักษะซ้าๆกันหลายครั้ง จนเกิดความชานาญ
เกิดการพัฒนาและเกิดประสิทธิภาพและเป็นไปตามกฎของการฝึก ( Law of Exercise ) ของทอร์นไดก์ ที่
วาสนา คุณาสิทธิ์ ( 2539 ) ได้สรุปไว้ว่า“ ความสัมพันธ์ระหว่างสงิ่ เร้ากับการตอบสนองจะดีและหนักแน่นขึน้
ถา้ ไดม้ ีการฝึกหัดหรือทาซ้าบ่อยๆ แตก่ ารเรยี นร้หู รือทักษะนั้นจะคลายลงเมื่อไม่ได้ใช้และเช่ือว่าเม่ือนักเรียนได้
ร้ผู ลการเรยี นของตนอยู่เสมอจะทาใหน้ ักเรียนมโี อกาสแก้ไขได้ดีข้นึ ... ”

21

จากการศึกษาจากวิชาการต่างๆที่เก่ียวข้องกับวิธีการฝึกทักษะแบบขว้าง-รับ ของกีฬาเบสบอล
สามารถสรุปหลักการสร้าง วิธีการฝึกทักษะการขว้าง-รบั กีฬาเบสบอล ได้ 1 แบบฝึกในแบบฝึกจะมีฐานอยู่ 3
ฐาน ดังนี้

1.แบบฝึกทกั ษะการขวา้ ง - รับ แบบวงจร
1.1 ฐานท่ี 1 ทักษะการขว้าง - รบั แบบ Throw to change direction
1.2 ฐานที่ 2 ทักษะการขว้าง – รบั แบบ Migrate to switch
1.3 ฐานที่ 3 ทักษะการขวา้ ง -รับ แบบ Blend

5.งำนวจิ ัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
5.1 งำนวจิ ัยในประเทศ
สายัณห์ ประสงค์เจริญ (2525) ได้สร้างแบบทดสอบทักษะกีฬาซอฟท์บอล สาหรับนักศึกษา

ระดับอุดมศึกษา โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างประชากรจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร เป็นจานวน 80 คน โดย
แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มผู้มีทักษะ 40 คน และกลุ่มผู้ไม่มีทักษะ 40 คน แบบทดสอบประกอบด้วยรายการ
ทดสอบ สองรายการ คอื การขว้างลกู ซอฟทบ์ อลเข้าเป้า และการตลี กู ซอฟท์บอล

ผลจากการศึกษาพบวา่
1. แบบทดสอบทส่ี รา้ งขึ้นมคี วามเที่ยงตรงอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติที่ระดบั . 01
2. แบบทดสอบท่ีสร้างขน้ึ มคี วามเช่อื มน่ั อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ. 01
3. แบบทดสอบที่สร้างขึ้นแต่ละรายการมีความเที่ยงตรงและมีความเช่ือม่ันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิ
ระดับ. 01
4. แบบทดสอบท่สี ร้างข้นึ มคี า่ อานาจจาแนกอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ. 01

พลอยไพลิน นลิ กรรณ์ (2552) การวจิ ัยครั้งนีม้ ีความม่งุ หมาย เพ่ือศึกษาผลของการใหผ้ ลย้อนกลับที่มี
ต่อการเรียนรู้ทักษะการตีลูกซอฟท์บอล กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตชายคณะพลศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ
โรฒ จานวน 32 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม เป็นกลุ่มทดลองท่ีได้รบั

22

การฝึกทักษะการตีลูกซอฟท์บอล และได้รับผลย้อนกลับหลังการฝึกเป็นภาพถ่ายขณะตีลูกซอฟท์บอล และ
เขียนบันทึกผลการฝึกของตนเอง จานวน 16 คน และกลุ่มควบคุมท่ีได้รับการฝึกทักษะการตีลูกซอฟท์บอล
เพียงอย่างเดียวจานวน 16 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นโปรแกรมการฝึกตีลูกซอฟท์บอลโปรแกรมการ
ให้ผลย้อนกลับแบบบันทึกหลังการฝึก และแบบทดสอบการเรียนรู้ทักษะการตีลูกซอฟท์บอลนาผลท่ีได้มา
วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวชนิดวัดทดสอบความ
แตกตา่ งเป็นรายคู่โดยวิธีของบอนเฟอโรนแี ละการทดสอบคา่ ท่ี

ผลการวจิ ยั พบวา่

1. กลุ่มทดลองมีการเรยี นรู้ทกั ษะการตีลูกซอฟทบ์ อลหลงั การฝึกสัปดาหท์ ่ี 4 และ 8 ดกี ว่ากอ่ นการฝึก
อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ. 05

2. กลุ่มควบคุมมกี ารเรยี นรู้ทกั ษะการตีลูกซอฟท์บอลหลงั การฝึกสปั ดาห์ท่ี 4 และ 8 ดีกวา่ กอ่ นการฝึก
อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ. 05

3. หลังการฝึก 8 สัปดาห์กลุ่มทดลองมีการเรียนรู้ทักษะการตีลูกซอฟท์บอลดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี
นยั สาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ. 05

กล่าวโดย สรุปจากผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศเก่ียวกับการวิเคราะห์การเคลื่อนไหว ในท่าทางและ
อวัยวะส่วนต่างๆกันนั้นมีประโยชน์ในด้านการศึกษา และนอกจากนั้นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวในด้านการ
พัฒนาการกีฬาเป็นอย่างมาก ซ่ึงโดยส่วนใหญ่แล้วใช้การบันทึกภาพเป็นเคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูลในการ
วิเคราะห์การเคลื่อนไหว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการใช้การบันทึกภาพ ซ่ึงจะทาให้ทราบถึงรายละเอียดของ
การเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าผลการวิจัยในคร้ังน้ีให้ผู้ฝึกสอนกีฬาซอฟท์บอล ไปเป็นแนวทางในการ
คัดเลือกนักกีฬา รวมท้ังให้ผู้ท่ีสนใจในกีฬาประเภทน้ี สามารถสอนและแนะนาผู้เรียนหรือผู้เล่นซอฟท์บอล
ตาแหนง่ พซิ เซอร์ได้

สมลักษณ์ จันทร์น้อย (2529) ได้สร้างแบบทดสอบทักษะกีฬาซอฟท์บอลสาหรับนักเรียนชายระดับ
มัธยมศึกษาตอนปลายซ่ึงประกอบด้วยรายการทดสอบ 5 รายการ คือ การขว้างลูกซอฟท์บอล การรับลูก
ซอฟท์บอล การตีลูกซอฟท์บอ ลการพิทช์ลูกซอฟท์บอล และการวิ่งตามลาดับ กลุ่มตัวอย่างสาหรับการหา
คุณภาพของแบบทดสอบเป็นนักเรียนชายช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ
โรฒปทมุ วัน จานวน 50 คนซึ่ง ใชว้ ิธกี ารสุ่มตวั อย่างแบบง่าย

ผลจากการศกึ ษาพบวา่

23

1. ความสอดคล้องในการให้คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ 5 คนตามแบบทดสอบทักษะกีฬาซอฟท์บอล ที่
ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าสัมประสทิ ธ์สิ หสมั พนั ธอ์ ยูใ่ นเกณฑส์ ูงท่รี ะดบั ความมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ 01

2. แบบทดสอบทักษะกีฬาซอฟท์บอลที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าความเชื่อมั่นแต่ละรายการและท้ังฉบับ
เทา่ กบั 0. 918 0. 922 0. 938 0. 898 0. 822 และ 0. 931 ตามลาดับทีร่ ะคับนยั สาคัญทางสถิติ 01

3. แบบทดสอบทักษะกีฬาซอฟท์บอล ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าความเท่ียงตรงแต่ละรายการและทั้งฉบับ
ดังน้ี คือ แบบทดสอบการขวา้ งลูกซอฟทบ์ อล แบบทดสอบการรบั ลกู ซอฟท์บอล แบบทดสอบการพิชลูกซอฟท์
บอล แบบทดสอบการวง่ิ เบสและแบบทดสอบทัง้ ฉบับมีค่าความเทยี่ งตรงเท่ากับ 643 528 525 480 และ 972
ตามลาดับอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ. 01 และแบบทดสอบการตีลูกซอฟท์บอล มีค่าความเท่ียงตรง
เท่ากบั 340 อย่างไม่มนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ. 01

สุกจิ ศรแี ก้ว (2537) ไดท้ าการวจิ ัยเรอื่ งการสร้างแบบทดสอบทกั ษะกีฬาซอฟท์บอลสาหรบั นักศึกษา
ระดบั อุดมศึกษามวี ตั ถุประสงค์ เพ่ือตอ้ งการให้แบบทดสอบท่ีสร้างขนึ้ มามีความเปน็ ปรนัยมีความเชื่อมั่นและมี
ความเที่ยงตรงสูงโดยใช้กลุ่มตัวอย่างจากนักศึกษาชายและหญิงระดับอุดมศึกษา จานวน 280 คน โดยแบ่ง
ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มศึกษาคุณภาพของแบบทดสอบทักษะกีฬาซอฟท์บอล สาหรับนักศึกษา
ระดับอุดมศึกษาได้แก่นักศึกษา ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร จานวน 80 คนแบ่งเป็น
นักศึกษาชาย 40 คน นักศึกษาหญิง 40 คน โดยการเจาะจง (Purposive Sampling) และกลุ่มศึกษาเกณฑ์
ปกติ ได้แก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร จานวน 200 คน แบ่งเป็นนักศึกษาชาย 100 คน
นักศึกษาหญิง 100 คน โดยการอาสาสมัครแบบทดสอบประกอบด้วย แบบทดสอบการรับลูกซอฟท์บอล
แบบทดสอบการขว้างลูกซอฟท์บอล แบบทดสอบการตีลูกซอฟท์บอล แบบทดสอบการพิชลูกซอฟท์บอลและ
แบบทดสอบการวิ่งเขา้ เบส

ผลการศึกษาพบว่า

1. ความเป็นปรนยั ของแบบทดสอบท้งั ฉบับมคี ่าดังน้ี

1. 1 ความเป็นปรนัยของแบบทดสอบทั้งฉบับของนักศึกษาชายโดยการให้คะแนนของ
ผูเ้ ชย่ี วชาญท้งั 5 ท่านเปน็ รายค่มู ีคาอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ. 05

1. 2 ความเป็นปรนัยของแบบทดสอบทั้งฉบับของนักศึกษาชายโดยการให้คะแนนนท้ัง 5
ท่านเปน็ รายคู่มีคา่ อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั . 05

24

2. ความเชื่อม่ันของแบบทดสอบแต่ละรายการของนักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงมีคาอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดบั . 05

3. ความเท่ยี งตรงของแบบทดสอบทง้ั ฉบบั ของนกั ศกึ ษาชายมีคา่ อยา่ งมนี ยั สาคญั ท่ีระดับ 03

พลพักษ์ คนหาญ (2538) ได้ทาการวิจัย เร่ืองผลการฝึกแบบวงจรที่มีต่อสมรรถภาพทางกายของ
นักเรียน ชายระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนคาบกวิทยาคาร จังหวัดมุกดาหาร มีวัตถุประสงค์เพ่ือ
เปรยี บเทยี บสมรรถภาพทางกาย ระหวา่ งกลมุ่ ทม่ี กี ารฝกึ แบบวงจรและกลุ่มทีม่ ีการฝกึ แบบอิสระ

ผลการวจิ ัยพบวา่

1. นักเรียนที่ผ่านการฝึกแบบวงจร 10 สถานีเป็นเวลา 6 สัปดาห์มีสมรรถภาพทางกายดีข้ึนกว่าก่อน
การฝกึ อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ 05 รวม 2 รายการคอื ลกุ -น่ังและการวง่ิ 1 ไมล์

2. ภายหลังการทดลอง 6 สัปดาห์สมรรถภาพทางกายของกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมี
นยั สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ. 05 รวม 3 รายการ คอื ความหนาของไขมนั ใต้ผวิ หนังลกุ -นั่งและการวง่ิ 1 ไมล์

5.2 งำนวิจัยตำ่ งประเทศ

Kehtel (1958 อ้างถึงใน Coillins และ Hodges, 1978: 340 343) ได้ทาการศึกษาวิจัยเรื่อง“ การ
พัฒนาแบบทดสอบในการวัดความสามารถของผู้เล่นซอฟท์บอล ในการรับลูกเลียดพื้นและการขว้างลูกไปยัง
เปา้ หมาย” ผู้วิจัยไดส้ ร้างแบบทดสอบข้ึน 1 รายการ คอื การรบั และการขวา้ งลูกซอฟท์บอลเข้าสู่เปา้ หมาย โดย
มีวัตถุประสงค์เพ่ือวัดความสามารถในการรับลูกเลียดพ้ืนและความแม่นยาในการขว้างลูกซอฟท์บอลเข้าสู่
เป้าหมายซึ่ งเป็นทักษะพ้ืนฐานของเกมรับในกีฬาซอฟท์บอล ในการศึกษาคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็น
นักศึกษาหญิงระดับวิทยาลัย จานวน 54 คน จากการศึกษาพบว่าแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าความ
เทยี่ งตรงเทา่ กบั 76 และคา่ ความเชอ่ื ถือไดเ้ ท่ากบั 20

Fleisig ( 1998) ได้ศึกษาการพิตช์ลูกซอฟท์บอลแบบควงแขน ทางแบบสอบถามและวิเคราะห์ชีวกล
ศาสตร์ แบบสอบถามได้ใชข้ ้อมูลที่เก็บในประชากรจานวนการพิตซ์ลูกการบาดเจบ็ และปัญหาอน่ื ๆ มากกวา่ 1
ปี ผู้เล่นในตาแหน่งพิซเซอร์ เพศหญิงจานวน 321 คน ตั้งแต่ในวัย 8-23. 2 ปี (เฉล่ีย 13. 8) โดยใช้
แบบสอบถามการวิเคราะห์ชีวกลศาสตร์ โดยใช้กล้องความเร็วสูง (200 เฟรมต่อวินาทีกล้องอินฟราเรด) ท่ี

25

บันทึกการเคลื่อนไหว 8 กล้องบันทึกการเคลื่อนไหวของผู้เล่นในตาแหน่งพิซเซอร์ของ 8 วิทยาลัย การ
เคล่ือนไหวในการพิตซ์ลูกถูกแปลงเปน็ ข้อมูลดจิ ิทลั (มุมคิโนเมตริกและความเรว็ )

ผลการวจิ ัยพบว่า

ระหว่างการเคล่ือนไหวในการพิตซ์ลูกบริเวณของข้อไหล่ในช่วงเหว่ียงแขนไหล่ทามุมเกิน 180 องศา
จากตาแหนง่ น้ลี ูกบอลจะเร่งส่งตามตน้ แขน ไหล่ และการงอของข้อศอก การเคล่ือนที่ของไหล่มีความเร็วสูงสุด
ประมาณ 5000 องศาต่อวินาที กระดูกเชิงกรานและร่างกายมีความสาคัญต่อการเร็วในการหมุนของแขนการ
งอของแขนจนถึงการเหยียดของศอก ทาให้เกิดแรงบิดสูงในช่วงปล่อยลูกตลอดการหมุนแขน 485 องศา เน้น
ความสาคัญที่ข้อศอกไหล่และส่วนอ่ืนๆของร่างกาย เมื่อแขนยกข้ึนสูงสุดซึ่งในระยะเร่งของการพิตซ์ลูกจะถูก
แรงต้าน โดยไหล่และข้อศอกถึง 98% และ 67-69% ของน้าหนักตัวตามลาดับหากใช้แรงในการงอศอกมาก
เกินไปอาจทาให้เอ็นและกล้ามเน้อื ต้นแขนดา้ นหนา้ มีอาการบาดเจ็บ ในการใช้การเร่งของแขนและการกระตกุ
แขนมากเกนิ ไปอาจจะทาใหเ้ กดิ อาการบาดเจบ็ ได้

จากแบบสอบถามอาการบาดเจ็บเน่ืองจากพิตซ์ลูกมากเกินไป 30% (90 จาก 321) ของผู้เล่นใน
ตาแหน่งพิซเซอร์ เคยได้รับการบาดเจ็บจากการแข่งขันจากการศึกษาพบว่าบาดเจ็บที่ไหล่ (11. 2%) หลัง (7.
8%) ตน้ แขน, เข่า (3. 4%) ประมาณ 30% (96 จาก 321) ของผ้เู ลน่ ในตาแหน่งพิชเซอร์ท่ีไดร้ ับการบาดเจ็บผู้
ที่เข้ารับการรักษาประมาณ 19. 3% แต่มีเพียง 2% ที่ได้รับการผ่าตัดกว่า 50% ของผู้เล่นในตาแหน่งพิชเชอร์
คาดว่าพิตซ์ลกู เฉลี่ยปีละ 4300 ครงั้

จากผลการวจิ ัยลกั ษณะการเคล่ือนไหวของการพิตซล์ ูกแบบควงแขนอาจทาให้เกิดการบาดเจ็บถ้าหาก
ใช้มากเกินไปการเขียนโปรแกรมการฝึกที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการบาดเจ็บและควรศึกษาชีวกลศาสตร์
ของการพติ ซ์ลกู ตลอดจนจานวนการพิตซ์ลกู ของนักกีฬา

Rojas ( 2009) ได้ศึกษาการพิชต์ลูกซอฟท์บอล แบบควงแขน (Windmill Pitch) เกิดขึ้นจากพลัง
สูงสุดและจุดหมุนของหัวไหล่ข้อศอกทาให้กลุ่มกล้ามเน้ือต้นแขนด้านหน้าเกิดการบาดเจ็บเนื่องจากทางาน
หนักเป็นท่ีรู้กันส่วนน้อย เก่ียวกับรูปแบบการใช้พลังงานของกล้ามเน้ือขณะโยนลูกซอฟท์บอลแบบควงแขน
สมมติฐาน การทางานของกล้ามเน้ือต้นแขนดา้ นหน้าในขณะโยนลูกซอฟทบ์ อสามารถทางานได้ดีกวา่ ในขณะท่ี
ทาการขวา้ งลกู ซอฟทบ์ อลแบบมอื บน

วิธีการวจิ ัยผู้เล่นในตาแหนง่ พชิ เชอรห์ ญิงจานวน 7 คนท่ีผา่ นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวและประเมิน
ค่าคล่ืนไฟฟ้าในการทางานของกลุ่มกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า (Biceps) ในขณะที่พิตซ์ลูกแบบควงแขนและ
การขว้างลูกซอฟต์บอลแบบมือบนและทาการกาหนดเครื่องหมายในการวิเคราะห์การเคล่ื อนไหวการทางาน

26

ของกล้ามเน้ือและการปล่อยลูกถูกบันทึกพร้อมกันการทดลองโดยการวัดคลื่นไฟฟ้าจะถูกระบุผ่านบนพ้ืนฐาน
ทางกลศาสตรข์ องการพิตซล์ ูกซอฟท์บอลและการขว้างลูกเบสบอล

ผลการวิจยั พบวา่

ในการพิตซ์และการขว้างมีความเรว็ ไกล้เคียงกัน (24 m / s, 53 mph, P =, 71) แต่การทางานสงู สดุ
ของกล้ามเน้ือต้นแขนด้านขณะทาการพิตซ์ลูกแบบควงแขนมีนัยสาคัญมากกว่าการขว้างลูกมือบนแบบปกติ
(38% vs 19% Manual Muscle test, P =. 02) การทางานสูงสุดของกลา้ มเนื้อเกดิ ขนึ้ ในขณะท่ีพิตช์ลูกแบบ
ควงแขนทีม่ ุม 9 นาฬกิ าขณะท่ีกล้ามเน้ือตน้ แขนด้านหน้าทาการยดื หดตัว (Eccentric Contraction) สว่ นการ
ขว้างลกู แบบมือบนกลา้ มเนอื้ ทางานสูงสดุ ในขณะการเหว่ยี งแขน

สรุป ในนักกีฬาหญงิ กล้ามเนื้อต้นแขนดา้ นหน้าขณะท่ีทาการพิตซ์ลูกแบบควงแขนมีการทางานสูงกว่า
ขณะท่ีทาการขว้างลูกแบบมือบนและมีการทางานสูงสุดขณะที่แขนอยู่ในมุม 9 นาฬิกาและในช่วงของการส่ง
แรง (Follow Through)

27

บทท่ี 3

วธิ ีดำเนนิ กำรวิจยั

ในการวจิ ัยครั้งนี้ ผ้วู จิ ัยได้ดาเนนิ การตามข้นั ตอน ดงั น้ี

1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง

2. สรา้ งเคร่อื งมือที่ใชใ้ นการศึกษา

3. วิธกี ารสรา้ งและหาคุณภาพของเคร่อื งมอื

4. วธิ ดี าเนินการวจิ ยั

5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถติ ิท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มลู

1. กำรกำหนดประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง

ประชำกร

ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ เป็นนักเรียนชายและนักเรียนหญิงของโรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
( จานวนทัง้ หมด 189 คน นกั เรยี นชาย 73 คน และ นกั เรียนหญิง 116 คน ) อายุระหวา่ ง 16-17 ปี

กลมุ่ ตัวอย่ำงทใี่ ชใ้ นกำรวจิ ยั

กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นนักเรียนของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5/2 ภาคเรียนที่1
ปกี ารศกึ ษา 2562 จานวน 37 คน ( นักเรียนชาย 16 คน นักเรียนหญิง 21 คน ) โดยวิธีการสุ่มงอยา่ งงา่ ย ดงั น้ี
( simple random sampling )

2. เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นกำรวิจัย

เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบฝึกทักษะการขว้าง – รับ ก่อนเรียนและหลังเรียนท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน
ดังน้ี

1.แบบทดสอบความสามารถทกั ษะการขว้าง - รับ แบบวงจร
1.1 ฐานท่ี 1 ทักษะการขว้าง - รบั แบบ Throw to change direction
1.2 ฐานที่ 2 ทกั ษะการขวา้ ง – รบั แบบ Migrate to switch

28

1.3 ฐานท่ี 3 ทกั ษะการขว้าง -รบั แบบ Blend
2.แบบทดสอบทักษะการขว้าง - รับ เบสบอล 5 ของ ฉลาด สว่างแจง้ ( 2544 )

3. วธิ ีกำรสร้ำงและหำคุณภำพของเคร่อื งมอื

1. แบบฝึกทักษะการการขว้าง-รบั ทผี่ ู้วิจัยสรา้ งข้ึน โดยการศกึ ษาเอกสารทเ่ี ก่ยี วข้อง ได้แก่ มาตรฐาน
การเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรสถานศึกษาและหนังสือ
แบบฝึกทักษะการขว้าง – รับ ในหลักการสร้างแบบฝึกทักษะ และดาเนินการสร้างแบบฝึกทักษะรการขว้าง -
รับ จานวน 3 แบบฝึก ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ อุปกรณ์และสนามที่ใช้ฝึก ข้ันตอนการฝึกปฏิบัติ หลังจาก
นน้ั นาแบบฝกึ ทส่ี ร้างขนึ้ ตรวจสอบความเท่ียงตรงเชงิ เนอื้ หา โดยใหผ้ เู้ ช่ียวชาญจานวน 3 ท่าน ด้วยวิธีการหาคา่
ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งแบบฝึกทกั ษะกับจุดประสงค์ (Index of Item Objective Congruence: IOC)

2. ผู้วิจัย ใช้แบบทดสอบทักษะการการขว้าง - รับ เบสบอล 5 ของ ฉลาด สว่างแจ้ง ( 2544 ) เป็น
เครือ่ งมอื ในการทดสอบทักษะการการขว้าง - รบั

รูปแบบกำรศกึ ษำ

การศึกษาในคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงทดลอง รูปแบบที่ใช้ศึกษาคือ แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและ
หลงั (One – group pretest – posttest design)

T1 X T2

T1 คือ แบบทดสอบก่อนเรยี น
X คือ นวัตกรรมหรือเทคนิคการสอน
T2 คือ แบบทดสอบหลงั เรียน

29

4. วธิ ดี ำเนนิ กำรวจิ ัย

นาหนังสือขอความร่วมมือในการทาวิจัยจากโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต
กาแพงแสน ศูนย์วิจยั และพัฒนาการศกึ ษา

1. ดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู ตามขั้นตอน ดงั น้ี

1.1 จัดเตรียมสถานที่ อปุ กรณ์ แบบการสอน ใบบันทึก เพือ่ ใช้ในการเก็บข้อมลู
1.2 ชี้แจงรายละเอียดและวิธีการฝึกทักษะการขว้าง – รับ แบบวงจร ของกีฬาเบสบอล กับกลุ่ม

ทดลอง โดยให้กลุ่มทดลองมวี ิธีฝกึ ทกั ษะ ดังนี้
1.2.1 ฐานท่ี 1 ทักษะการขวา้ ง – รบั แบบ Throw to change direction
1.2.2 ฐานท่ี 2 ทกั ษะการขวา้ ง – รับ แบบ Migrate to switch
1.2.3 ฐานท่ี 3 ทักษะการขวา้ ง -รับ แบบ Blend

กลุ่มทดลอง จะใช้ระยะเวลาการฝึกหดั จานวน 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 คาบ โดยกลุ่มทดลอง เรียนในวนั ศุกร์
เวลา 09:10 – 10:00 น.

1.3 ทดสอบความสามารถในการฝึกทักษะการขว้าง – รับ ของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนการเรียน และหลัง
เรียน

5. กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล
การวิเคราะหข์ ้อมูล ผู้รายงานไดท้ าการวิเคราะหข์ ้อมลู โดยแบ่งเปน็ 1 สว่ น ดังน้ี
1.วิเคราะห์คะแนนก่อนเรียนและหลังการเรียนด้วยแบบทดสอบทักษะ จากแบบฝึกทักษะการ

ขว้าง - รับ แบบวงจร โดยฝึกเป็น ฐานท่ี 1 ทักษะการขว้าง – รับ แบบ Throw to change direction ฐานที่
2 ทกั ษะการขว้าง – รับ แบบ Migrate to switch และ ฐานท่ี 3 ทกั ษะการขว้าง -รบั แบบ Blend ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วย แบบฝึกทักษะการขว้าง - รับ แบบวงจร จากแบบทดสอบ กลุ่มตัวอย่าง
ก่อนและหลังการเรียน นามาวิเคราะห์เพื่อนาเสนอในรูปค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนามา
เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง

สถิตทิ ่ใี ชใ้ นกำรศึกษำ
สถติ ิท่ใี ช้ในการศกึ ษานีป้ ระกอบด้วย สถิติทใ่ี ชส้ าหรับตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือและสถิติที่ใช้

สาหรบั วเิ คราะห์ผลศกึ ษา ดงั นี้

30

สถติ ทิ ี่ใช้ตรวจสอบคณุ ภำพเคร่อื งมือ

คา่ ความเทย่ี งตรงเชงิ เนื้อหา (Validity) หาจากการพจิ ารณาคา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง (Index Of

Congruency: IOC)

IOC = R

N

เมอ่ื IOC แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งมีค่าอยรู่ ะหว่าง -1 ถึง +1

R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผู้เช่ยี วชาญทั้งหมด

N แทน จานวนผเู้ ชยี่ วชาญทัง้ หมด

สถิติทีใ่ ช้สำหรับวเิ ครำะหผ์ ลกำรศึกษำ

1. สูตรการหาคา่ เฉล่ยี (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538: 184-185)

X= X

N
เมอื่ X แทน คะแนนเฉล่ีย

X แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด

N แทน จานวนนกั เรียน

2. สตู รการหาสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D)

S.D. = N X2 − ( X)2

N(N − 1)

เมือ่ S.D. แทนส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน
N แทน จานวนข้อมลู ท้ังหมด

 X แทน ผลรวมของข้อมลู ทง้ั หมด
 X 2แทน ผลรวมของข้อมูลแต่ละตวั ยกกาลงั สอง

3. สถิติการทดสอบเปรยี บเทียบก่อนและหลงั การทดลองใชส้ ถิติ t-test for dependent (ชูศรี
วงศร์ ตั นะ, 2544)

31

บทท่ี 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู

การพัฒนาทักษะการขว้าง-รับ เบสบอล 5 สาหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ผู้วิจัยขอนาเสนอผลการวิจัย
2 ส่วนตามวัตถุประสงค์ดงั น้ี

ตอนท่ี 1 ผลการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะการขว้าง-รับ เบสบอล 5

ผลการวิเคราะหก์ ารสร้างแบบฝึกทักษะการขวา้ ง-รบั เบสบอล 5 จานวน 1 แบบฝึก ในแบบฝกึ จะมี 3

ฐาน และผ่านการพจิ ารณาความเท่ียงตรงเชงิ เนือ้ หา

ตารางที่ 1 แสดงคา่ ดชั นีความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะการขวา้ ง-รับ เบสบอล 5

ข้อ รายการการประเมิน เกณฑก์ ารประเมิน รวม IOC สรุปผล

คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3

1. ระบจุ ุดประสงค์ของแบบฝึกชดั เจน +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

2. ระบวุ ัสดุอุปกรณใ์ นการฝึกอย่างครบถ้วน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

3. ข้นั ตอนท่ีใชใ้ นแบบฝกึ ชดั เจน และงา่ ยต่อการนาไปใช้ +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

4. ขนั้ ตอนท่ีใช้ในแบบฝึกถูกต้อง และไมเ่ ปน็ อันตรายต่อผเู้ ขา้ รับการ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
ทดสอบ

5. แบบฝกึ ท่ใี ช้สามารถปฏิบัติได้จรงิ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

6. กิจกรรมการฝึกกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นรู้และปฏบิ ตั ิอยา่ งมี +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
ข้ันตอนหรือเป็นกระบวนการ

7. แบบฝึกช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นส่ิงที่กาลงั เรยี นรู้ไดอ้ ยา่ งเป็น +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
รูปธรรมและเป็นกระบวนการ

รวม 1.00 ใช้ได้

32

จากตารางท่ี 1 แสดงให้เห็นว่าดัชนีความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ เบสบอล 5 มี
ค่าเฉล่ยี เท่ากบั 1.00 สูงกวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด สามารถนาไปใช้ในการฝึกได้
ตอนท่ี 2 ผลการเปรยี บเทยี บคะแนนทักษะการขว้าง-รบั เบสบอล 5 ก่อนเรียนและหลัง
ตารางท่ี 2 ผลวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนทักษะการขว้าง-รับ เบสบอล 5 ก่อนเรียนและหลัง การใช้แบบ
ฝึกทกั ษะการขวา้ ง-รับ แบบวงจร (จานวนนักเรยี น 37 คน )

คะแนน N x̄ S.D. Sig.

กอ่ นเรียน 37 16.46 6.067 0.00

หลังเรยี น 37 23.51 6.935

จากตาราง 2 ผลการวิเคราะห์การใช้แบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ แบบวงจร สาหรับนักเรียน
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา
การศึกษา พบว่านักเรียนมีคะแนนทักษะการขว้าง-รับ หลังใช้แบบฝึก มีค่าคะแนนเฉลี่ย x̄ = 23.51 และค่า
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. = 6.935 สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนใช้แบบฝึก ซึ่งมีค่าคะแนนเฉล่ีย x̄ = 16.46
และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน S.D. = 6.067 หลังจากการวิเคราะห์พบว่า หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการ
ขวา้ ง-รับ แบบวงจร ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5/2 สูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .05
แสดงให้เหน็ วา่ การสร้างแบบฝึกทักษะการขวา้ ง-รบั แบบวงจร เพือ่ พัฒนาทักษะการขว้าง-รับของกีฬาเบสบอล
5 ทาใหน้ กั นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5/2 โรงเรียนสาธิตแหง่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน
มีการพัฒนาทักษะการขว้าง-รับของกีฬาเบสบอล ดีขึ้น และสามารถนาทักษะการขว้าง-รับแบบวงจรไปใช้ใน
การแขง่ ขันประเภททีมได้

33

บทท่ี 5

สรุปผล อภปิ รำยผลและข้อเสนอแนะ

การวจิ ัยเรื่องการเปรยี บเทยี บผลการฝกึ ทักษะการ ขวา้ ง-รับ กอ่ นเรียนและหลังเรยี นของกีฬาเบสบอล
5 สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน
ศูนย์วจิ ยั และพฒั นาการศกึ ษา

วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจยั

1. เพ่ือสรา้ งแบบฝึกทักษะการขวา้ ง-รับ ของกีฬาเบสบอลสาหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5

2. เพือ่ เปรยี บเทียบผลของการฝกึ ทกั ษะก่อนเรยี นและหลังเรียน

ประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง

1.ประชำกร

ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ี เป็นนักเรียนชายและนักเรียนหญิงของโรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
( จานวนทง้ั หมด 189 คน นกั เรยี นชาย 73 คน และ นกั เรยี นหญิง 116 คน ) อายุระหว่าง 16-17 ปี

2. กลุม่ ตวั อยำ่ งที่ใช้ในกำรวจิ ยั

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นนักเรียนของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ที่กาลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ภาคเรียนท1่ี
ปีการศึกษา 2562 จานวน 37 คน ( นักเรียนชาย 16 คน นักเรียนหญิง 21 คน ) โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบ
ง่าย ดังน้ี ( simple random sampling )

เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในกำรวจิ ยั
เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบฝึกทักษะการขว้าง – รับ ก่อนเรียนและหลังเรียนที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน

ดังน้ี
1.แบบฝึกทักษะการขว้าง - รับ แบบวงจร ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ท่ผี ูว้ ิจัยสร้างขนึ้
1.1 ฐานท่ี 1 ทักษะการขว้าง - รับ แบบ Throw to change direction
1.2 ฐานท่ี 2 ทกั ษะการขวา้ ง – รับ แบบ Migrate to switch
1.3 ฐานท่ี 3 ทกั ษะการขว้าง -รับ แบบ Blend
2.แบบทดสอบทกั ษะการขว้าง - รบั ของ ฉลาด สว่างแจง้ ( 2544 )

34

วิธดี ำเนนิ งำนวิจัย

ผู้วิจัยได้ใช้สนามกีฬาเบสบอล ของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต
กาแพงแสน ศูนย์วิจยั และพฒั นาการศึกษา เปน็ สถานทเ่ี ก็บรวบรวมข้อมลู และเก็บรวบรวมโดยเกบ็ ดว้ ยตนเอง
ตามลาดบั ขนั้ ตอนดังน้ี

1. นาหนังสือขอความร่วมมือการทาวิจัย และติดต่อผู้อานวยการ โรงเรียนสาธิตแห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาเพ่ือขอความ
อนุเคราะหเ์ ก็บขอ้ มลู

2. ช้ีแจงข้ันตอนวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอมลู กับกลุ่มตวั อย่าง
3. จัดเตรยี มอปุ กรณ์ และสถานทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู

4. ดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมูล

4.1 วัดผลทกั ษะการขวา้ ง-รบั เบสบอล 5 กอ่ นการใชแ้ บบฝึกการทกั ษะขว้าง-รับ แบบวงจร

4.2 หลังจากทาการทดสอบก่อนเรียน จึงให้นักเรียนทาการฝึกทักษะการขว้าง-รับแบบวงจร ใช้
เวลาในการฝกึ ทงั้ สนิ้ 4 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 1 คาบ โดยฝกึ ในวันศกุ ร์

4.3 ทาการทดสอบทักษะการขว้าง-รับ เบสบอล 5 หลังการใช้แบบฝึก หลังสัปดาห์ที่ 4 โดยจะ
ทดสอบในวนั ศกุ ร์

สรปุ ผลกำรวิจัย

ผ้วู จิ ยั ไดส้ รปุ ผลตามวัตถุประสงค์ของการวจิ ัยดังนี้

1. ผลการวิเคราะห์การสร้างแบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ แบบวงจร ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น จานวน 1 แบบ
ฝึก ในแบบฝึกจะมี 3 ฐาน และผ่านการพิจารณาความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ มีค่า
เท่ากับ 1.00 แสดงว่าแบบฝึกทักษะมีความเท่ียงตรงเชิงเนือ้ หา สามารถนาไปใชใ้ นการฝึกได้

2. ผลการวเิ คราะห์การใช้แบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ แบบวงจร สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5
ของโรงเรียนสาธติ แหง่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนยว์ ิจัยและพฒั นาการศึกษา พบวา่
นักเรียนมีคะแนนทักษะการขว้าง-รับ หลังใช้แบบฝึก มีค่าคะแนนเฉล่ีย x̄ = 23.15 และค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน S.D. = 6.935 สูงกว่าคะแนนเฉล่ียก่อนใช้แบบฝึก ซึ่งมีค่าคะแนนเฉลี่ย x̄ = 16.46 และค่าส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน S.D. = 6.935 หลังจากการวิเคราะห์พบว่าหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ
แบบวงจร ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/2 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 แสดง

35

ให้เห็นว่าการใช้แบบฝึกทักษะการขว้าง-รับ แบบวงจร เพื่อพัฒนาทักษะกีฬาเบสบอล 5 ทาให้นักนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 5/2 โรงเรียนสาธิตแหง่ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา
การศึกษา มีการพัฒนาทักษะกีฬาเบสบอล 5 ดีข้ึน และสามารถนาทักษะการขว้าง-รับ ไปใช้ในการแข่งขัน
ประเภททมี ได้

อภิปรำยผลกำรศกึ ษำ

ผู้วิจยั ได้อภปิ รายผลตามวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัยดังนี้

1. ผลการวเิ คราะห์การสร้างแบบฝกึ ทกั ษะการขว้าง-รบั แบบวงจร ท่ีผวู้ จิ ัยสร้างข้ึน จานวน 1 แบบฝึก ในแบบ
ฝึก จะมีฐานอยู่ 3 ฐาน ซึ่งผ่านตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาจากผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 ท่านและมี
คุณภาพสามารถนาไปใชใ้ นการฝึกทักษะการขวา้ งและการรับลูกได้ ผลอาจเกิดจากแบบฝกึ ทักษะที่ผู้วิจัยสรา้ ง
ขึ้น ผ่านข้ันตอนกระบวนการสร้างอย่างมีระบบและวิธีการที่เหมาะสมโดยเริ่มต้ังแต่การศึกษาเน้ือหากา ร
วิเคราะห์ทักษะ การศึกษาเอกสารหลักสูตร และเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา

มีคุณภาพสามารถนาไปใช้ในการฝึกได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ จอนสันและเนลสัน(Johnson &
Nelson, 1974) ได้กล่าวว่า ลักษณะของแบบฝึกท่ีดีต้องมีความตรง (Validity) คือสามารถวัดในส่ิงท่ีต้องการ
วดั ได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย เชน่ เดยี วกบั คลาร์ก (Clarke, 1950) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝกึ ท่ดี ีนั้นจะต้องมีคุณสมบัติ
วดั ในส่ิงทีต่ อ้ งการวัดไดจ้ ริงและจะตอ้ งสิน้ เปลอื งน้อยและประหยัดเวลาในการฝึก

2. ผลการวิเคราะห์การใช้แบบฝึก สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 พบว่า นักเรียนมีคะแนนทักษะการ
ขว้างและการรบั ลูก หลังการฝึกสงู กว่าก่อนฝึก อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ผลอาจจะเกิดจากผเู้ รยี น
เกิดความสนใจกับนวัตกรรมหรือแบบฝึกการสอนใหม่ๆ จึงทาให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะได้อย่างต่อเนื่อง ซ่ึง
สอดคล้องกับ วุฒิพงษ์ สีหามาตย์ (2548) ท่ีกล่าวว่าทักษะจะเกิดขึ้นได้ย่อมข้ึนอยู่กับปริมาณงานที่ทากับการ
กระทาซ้ากันบ่อยๆ และความตั้งใจในการฝึกซ้อม ซึ่งสอดคล้องกับ รุ่งธิวา อันอามาตย์ (2555) ท่ีกล่าวไว้ว่า
การเรยี นรู้จะเกิดข้ึนได้ดีก็ตอ่ เม่ือมกี ารฝกึ ทักษะหรือกระทาการ อ่ืน ๆ ฉะนั้นในการสร้างแบบฝกึ ทกั ษะจึงควร
สร้างเพ่ือให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนในเรื่องหนึ่ง ๆ ซ้า ๆ กัน หลายครั้ง ซึ่งในการจัดกิจกรรมผู้วิจัยได้ยึดหลักดังกล่าว
จึงส่งผลให้ผเู้ รียนมพี ฒั นาการทางทักษะการขวา้ งและการรับลกู อยู่กับท่ี สูงข้นึ กว่าเดิม ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิด
ของ นวลิ ล์ (Neville, 1990 : 7) ได้กลา่ วถึงหลกั การเคล่อื นไหวทัว่ ไปท่ีนามาประยกุ ต์ใชก้ ับทักษะกีฬาเบสบอล
5 ไว้

36

ข้อเสนอแนะท่วั ไป
จากการทาแบบฝึกทักษะการขว้างในรายวิชาวอลเลย์บอล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5

ผูว้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะต่อไปนี้
1. การจดั ทาแบบฝึก ต้องศึกษาองคป์ ระกอบของแบบฝึก วา่ มสี ว่ นประกอบทสี่ าคัญอะไร และใน

การเขยี นตอ้ งคานงึ ถึงจติ วทิ ยาที่เกย่ี วข้อง กาหนดวตั ถปุ ระสงคใ์ หช้ ดั เจนและวดั ได้ และจัดทาแบบฝึก
2. ก่อนท่ีจะนาแบบฝึกไปใช้ ผู้สอนควรทาความเข้าใจแบบฝึก เพ่ือให้เข้าใจและเพื่อให้สามารถ

ดาเนนิ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ไปตามลาดบั ข้ันตอน

ขอ้ เสนอแนะในกำรศกึ ษำครง้ั ต่อไป
1. จัดทาแบบฝกึ อื่นๆ ทกั ษะอืน่ ๆ มาใชพ้ ัฒนาทกั ษะในกฬี าเบสบอล 5
2. เพมิ่ ระยะเวลาในการฝึกซอ้ มเพื่อพฒั นาตวั ผฝู้ ึกใหม้ ีความชานาญมากข้ึน

37

บรรณำนกุ รม

กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลักสูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพื้นฐำน 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์
ชมุ ชนสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทยจากดั .

ฉลาด สว่างแจ้ง. (2544). เปรียบเทยี บผลของเทคนคิ กำรฝกึ สองแบบท่ีมีต่อทักษะกีฬำซอฟท์บอล. ปริญญา
ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ . (พลศกึ ษา). สาขาพลศกึ ษา ภาควชิ า.

เผชิญ กจิ ระการ. 2544. กำรหำค่ำดัชนปี ระสทิ ธผิ ล. มหาสารคาม: ภาควิชาเทคโนโลยแี ละสื่อสาร
การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม

พลพกั ษ์ คนหาญ. (2538). ผลกำรฝึกแบบวงจรท่มี ีตอ่ สมรรถภำพทำงกำยของนกั เรยี น ชำยระดับชนั้
มัธยมศึกษำปีท่ี 2 โรงเรียนคำบกวิทยำคำร จังหวัดมุกดำหำร. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาพลศึกษา, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์

พลอยไพลิน นลิ กรรณ.์ (2552). ผลของกำรใหผ้ ลย้อนกลับทมี่ ตี อ่ กำรเรยี นรู้ทกั ษะกำรตีลกู ซอฟท์บอล.
ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (พลศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
คณะกรรมการควบคุม: อาจารย์ ดร.พิมพา มว่ งศริ ิธรรม, อาจารยธ์ งชาติ พเู่ จรญิ .

โรงเรยี นสาธิตแห่งมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน ศูนยว์ จิ ัยและพฒั นาการศกึ ษา. (2560).
หลักสูตรสถำนศึกษำตำมหลักสูตรตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน ฉบับปรับปรุง
พุทธศักรำช 2560. [ ออนไลน์ ]. แหล่งที่มา: http//158.108.203.14/pdf/edit2561.pdf, 24
กรกฎาคม 2562.

สกุ ิจ ศรีแก้ว. (2537). การสร้างแบบทดสอบทกั ษะกีฬาซอฟทบ์ อลสําหรับนกั ศึกษาระดบั อดุ มศกึ ษา.
ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (พลศึกษา). กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ.

สมลักษณ์ จันทร์น้อย. (2529). กำรสรำ้ งแบบทดสอบทักษะกฬี ำซอฟท์บอลสำหรับนักเรียนชำยระดบั
มัธยมศึกษำตอนปลำย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (พลศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร.

ละเมยี ด กรยุทธพิพัฒน์. (2551). ซอฟท์บอล. กรงุ เทพฯ. โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง.
ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. 2538. เทคนคิ กำรวจิ ยั ทำงกำรศกึ ษำ. (พิมพ์คร้ังที่ 5).

กรงุ เทพมหานคร: สวุ รี ิยสาส์น.
วาสนา คณุ าอภสิ ิทธิ.์ (2539). กำรสอนพลศกึ ษำ. กรุงเทพฯ: วิทยพฒั น.
______. (2541). หลกั สูตรพลศึกษา. กรงุ เทพฯ: สานักพิมพศูนยส์ ่งเสริมวิชาการ.
อนนั ต์ อัตชู. 2538. หลักการฝกึ กฬี า. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช.

38

ภาคผนวก ก
เครื่องมอื ทใี่ ช้เก็บขอ้ มลู

39

อุปกรณท์ ่ใี ชใ้ นการวจิ ัย

1. สนามกฬี าเบสบอล 5

2. นาฬกิ าจับเวลาดิจติ อลแบบกดหยดุ ( stop watch )

3. ลูกเบสบอล 5 ลกู

5. กรวย 12 อนั

6. มากเกอร์

7. นกหวีด

8 . เปา้ คะแนน ( target )

9 . ตลับเมตร

10. ใบบนั ทกึ คะแนนการทดสอบ

40

แบบฝึกพัฒนาทักษะการขว้าง-รับ เบสบอล 5 สําหรบั นักเรียนมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5

วธิ กี ารฝึกทักษะการขวา้ ง-รับ แบบวงจร เวลา/นาที
1. ฐานที่ 1 ทกั ษะการขวา้ ง - รบั Throw to change direction 50 นาที
2. ฐานที่ 2 ทักษะการขว้าง – รับ Migrate to switch
3. ฐานท่ี 3 ทักษะการขวา้ ง -รับ Blend


Click to View FlipBook Version