โครงการอนรุ ักษพ์ ันธุกรรมพืชอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ประจำปงี บประมาณ พ.ศ. 2564
ณ โรงเรยี นบา้ นทรพั ย์พุทรา ตำบลซบั พุทรา อำเภอชนแดน จังหวดั เพชรบูรณ์
โดย
สำนักงานทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจังหวัดเพชรบรู ณ์
ก
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการศึกษาพรรณไม้ในโรงเรียนท่ีร่วมโครงการ การจัดทำแผนผังพรรณไม้
ในโรงเรียน ทะเบียนพรรณไม้ในโรงเรียน ส่ือการเรียนรู้ในเว็บไซด์ของโรงเรียน รายงานน้ี
มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสำคัญของพันธ์ุไม้แต่ละชนิด ช่ือพันธ์ุไม้ ชื่อวิทยาศาสตร์ ช่ือวงศ์ สรรพคุณ
และประโยชน์ของพันธไ์ุ ม้
คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณ นายสุพจน์ โพธิมาศ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทรัพย์พุทรา
ที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินโครงการ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา คณะผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้
และเปน็ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ ่านทุก ๆ ทา่ น
สารบญั ข
เรอ่ื ง หน้า
บทนา 1
ประวัตแิ ละความเปน็ มาของโรงเรยี น 2-5
ต้นไม้ประจาโรงเรียน
ตารางสารวจพันธุไ์ มใ้ นพนื้ ที่ศึกษา 5
6-12
พันธไุ์ ม้ในสวนพฤกษาศาสตร์โรงเรียน
มะยม 13
มะมว่ ง 13-14
หมากแดง 15-16
อนิ ทนลิ น้า 17-18
ตะโก 19-20
กระถนิ ณรงค์ 21-23
หว้า 24-25
ราชพฤกษ์ 26-27
พญาสตั บรรณ 28-29
มะฮอกกานี 30-31
ประดู่ 32-33
สัก 34-35
มะค่าโมง 37-38
แคทราย 39-40
41-42
สารบญั (ตอ่ ) ค
เรอ่ื ง หนา้
สะเดา 43-44
ลนั่ ทมแดง 45-46
หกู ระจง 47-48
กระดงั งาปา่ 49-50
สาธร 51-52
ตะแบกแดง 53-54
ไทรยอ้ ย 55-56
หางนกยงู ฝรัง่ 57-58
นนทรี 59-60
จามจุรี 61-62
ขี้เหลก็ 63-64
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก 65
66-73
1
บทนา
ความเปน็ มาและความสาคญั
ตามท่ีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี1 ทรงมีพระราชดาริเก่ียวกับ
การอนุรักษ์พันธ์ุพืช ซึ่งมีใจความดังต่อไปนี้ "การสอนและการอบรมให้เด็กมีจิตสานึกในการอนุรักษ์
พืชพันธ์ุนั้น ควรใช้วิธีการปลูกฝังให้เด็กเห็นความงดงาม ความสนใจ และเกิดปีติท่ีทาการศึกษา
และอนุรักษ์พืชพันธุ์ต่อไป ซึ่งสามารถดาเนินการสวนพฤกษศาสตร์ในพื้นท่ีของโรงเรียน โดยมี
องค์ประกอบดังกล่าว เปน็ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ใช้ในวตั ถุประสงค์ดังกลา่ ว อีกทั้งใช้ในการศึกษา
และเป็นประโยชน์ต่อเน่ืองใน การเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ โครงการการอนุรักษ์พันธุ์กรรม
อันเน่ืองมาจากพระราชดาริฯ ดาเนินงานสนอง พระราชดาริจัดต้ังงาน "สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน"
เพื่อเป็นสื่อในการสร้างจิตสานึกด้านอนุรักษ์พรรณพืชให้เยาวชนได้ใกล้ชิดกับพืชพันธุ์ไม้ เห็นคุณค่า
ประโยชน์ ความสวยงามอันกอ่ ใหเ้ กดิ ความคิดท่ีจะอนุรักษ์พชื โดยพันธุ์ตอ่ ไป
สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนคือ แหล่งท่ีรวบรวมพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ ที่มีชีวิต จัดปลูกตาม
ความเหมาะสมกับสภาพถ่ินอาศัยเดิม มีห้องสมุด สถานที่เก็บรวบรวมตัวอย่างพันธุ์ไม้รักษาสภาพ
พืชพันธุ์ท่ีมีอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนนั้น จะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งใช้ในการศึกษา
และเปน็ ประโยชนใ์ นการสอนวชิ าต่าง ๆ
(ที่มา: ตัดทอนมาจากสานักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมาร)ี
1 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในที่น้ีหมายถึงสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
เจา้ ฟา้ มหาจักรีสริ นิ ธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สริ กิ ิจการิณพี รี ยพัฒน รฐั สีมาคณุ ากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี
2
ประวตั ิและความเปน็ มาของโรงเรยี น
ประวัติความเป็นมาของโรงเรียนบ้านทรัพย์พุทรา ก่อต้ังเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2511
โดย นายเมือง สอนเวช เจ้าของท่ีดินจับจอง นายลอง ขวัญหมื่น นายนาค นุชจันทร์ และชาวบ้าน
ซับพุทรา บ้านวังไทร ซ่ึงขณะน้ันจานวนประชากรมีจานวน 30 ครัวเรือนร่วมกันถางที่เพ่ือสร้าง
โรงเรียนโดยเร่ิมดาเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2509 เป็นต้นมาเปิดทาการสอนครัง้ แรกเมื่อวันท่ี 20 เมษายน
พ.ศ. 2511 มีครู 3 คน นักเรียน 78 คนโดยชาวบ้านก่อสร้างอาคารช่ัวคราวจานวน 1 หลัง โรงเรียน
เปิดทาการสอนต้ังแต่ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ต่อมาได้ขยายถึงชั้นประถมศึกษา
ปีท่ี 6 พร้อมกับรับเด็กก่อนเกณฑ์บังคับเรียน 1 ปี เรียกว่าช้ันเด็กเล็กในปีพ.ศ. 2536 ได้รับอนุญาต
ให้เปดิ เป็นโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศกึ ษาเปิดทาการสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3
สีประจาโรงเรียน
ชมพู – เขยี ว
สีชมพู หมายถงึ อบอนุ่ มพี ลัง เปน็ มติ ร กระตือรือร้น มีชวี ติ ชีวา
สเี ขยี ว หมายถงึ ความสมบรู ณ์ การเกษตร อาหาร
คาขวัญ
คณุ ธรรมนาความรู้ เชดิ ชูบุพการี มีน้าใจเปน็ นักกฬี า
ปรัชญา
บุคคลทมี่ ีคุณธรรม ใฝศ่ ึกษาหาความร้ยู อ่ มประสบผลสาเรจ็ ในชวี ิต
อตั ลักษณ์
ยิม้ ไหว้ ทักทาย แตง่ กายเรียบร้อย
ตราสญั ลกั ษณ์
3
วิสยั ทศั น์ (Vision)
โรงเรียนบ้านทรัพย์พทุ รา เป็นศูนย์กลางแห่งการเรยี นรู้ มุ่งสร้างโอกาสทางการศกึ ษาพัฒนา
ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน มีความรู้เต็มศักยภาพ เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม บนพื้นฐาน
วัฒนธรรมไทย นาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจาวัน มีความสมบูรณ์ท้ังร่างกาย
และจติ ใจพรอ้ มเขา้ สู่ประชาคมอาเซยี น
พันธกิจ (Mission)
สง่ เสริมสนับสนุนให้ประชากรวัยเรยี นทุกคนได้รบั โอกาสทางการศึกษาอยา่ งมีคุณภาพตาม
มาตรฐานการศึกษาทุกระดับ พัฒนาครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมเพื่อเข้าสู่
ประชาคมอาเซียน มุ่งพัฒนาการศึกษาให้มีคุณธรรม จริยธรรมมีสุนทรียภาพและกีฬา มีจิตสาธารณะ
และความเป็นไทย ปลอดภัยจากยาเสพติด ดารงชีวิตอย่างพอเพียง เน้นการมีส่วนร่วมในการ
จัดการศึกษา
ที่ตั้ง พิกัดทางภูมิศาสตร์ ระยะทาง แผนท่ีภายในโรงเรียน แผนที่แสดงเขตบริการ (ข้อมูลจาก
DMC)
โรงเรียนบ้านทรัพย์พุทรา ต้ังอยู่เลขท่ี - .ถนน - หมู่ 1 ตาบลซับพุทรา อาเภอชนแดน
จังหวัด เพชรบูรณ์ ตั้งอยู่พิกัด ละติจูด 16.01787 ลองติจูด 100.93941 ระยะทางอยู่ในการปกครอง
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (ชื่อ อปท.).............5.6................กิโลเมตร ระยะทางจากโรงเรียน
ไปสานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 ประมาณ...68….กิโลเมตร ระยะทาง
จากโรงเรียน ไปโรงเรยี นขยายโอกาสทีใ่ กล้ที่สดุ (ช่อื ร.ร.)...บา้ นลาดแค..ระยะทาง...13... กโิ ลเมตร
พื้นที่ของโรงเรียนเป็นพ้ืนท่ีซ่ึงราษฎรจับจองแลว้ ยกให้เป็นพ้ืนที่กอ่ สร้างโรงเรียนซ่ึงอยู่ในเขต
ป่าสงวนแหง่ ชาติ มีบริเวณ ดงั น้ี
ทิศเหนือ ยาว 3 เส้น 19 วา จดที่ดนิ ของนายสวาท ปลาทอง
ทิศใต้ ยาว 3 เส้น 16 วา จดถนนสายซับพุทรา – วงั ไทร
ทิศตะวันออก ยาว 5 เส้น จดทดี่ นิ ของนายสวาท ปลาทอง
ทิศตะวันตก ยาว 5 เสน้ จดท่ีดินของนายแทน ขมนิ ทะกูล
คดิ เปน็ เนอ้ื ทท่ี ั้งหมด 18 ไร่ 3 งาน
4
แผนท่ีเขตบริการ
ข้อมูลท่ัวไปของชุมชน (สภาพชุมชน ไฟฟ้า ประปา แหล่งน้า อาชีพ เศรษฐกิจ การคมนาคม
ปัญหา/อุปสรรค)
ลักษณะของชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ สภาพทางภูมิศาสตร์ของชุมชน เป็นพ้ืนท่ีราบลุ่ม
บางส่วนติดภูเขา มีประชากรประมาณ 3,600 คน นับถือศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ
เกษตรกรรม สถานภาพทางเศรษฐกิจคอ่ นข้างยากจน ชุมชนมีความสัมพันธ์กับสถานศึกษาค่อนข้างดี
การมีสว่ นร่วมในการบริหารจัดการร่วมกับสถานศึกษาดี ประเพณีวัฒนธรรมในชุมชน คือ แห่เทียนพรรษา
ลอยกระทง ทอดกฐินวันข้ึนปีใหม่ ทาบุญกลางบ้าน ประชากรในชุมชน ความรักใคร่สามัคคี มีน้าใจ
ชุมชนมีความต้องการให้พัฒนาหมู่บ้านให้ดีขนึ้ ในอีกระดับหน่ึง ต้องการให้เป็นอยู่ในแต่ละครอบครัว
มเี ศรษฐกิจดีขึ้น
ส่วนใหญ่จบการศึกษาประถมศึกษาปีท่ี 6 ร้อยละ 96.00 ประกอบอาชีพ รับจ้าง/ทาไร่/ทานา
รอ้ ยละ 98.00 นับถือศาสนาพุทธฐานะทางเศรษฐกิจ/รายไดโ้ ดยเฉลี่ย 30,000 บาท ต่อปี จานวนคน
เฉล่ยี ตอ่ ครอบครัว ……3-4….. คน
โอกาสและข้อจากัดของโรงเรียน โรงเรียนตั้งอยู่บนพ้ืนท่ีราบเชิงเขา ภาวะขาดแคลนน้า
ในช่วงฤดูแล้ง ดินเป็นเลนในฤดูฝน พ้ืนที่โดยรอบเป็นเนินเขา การเดินทางมาเรียนของนักเรียน
ยากลาบากเพราะอยู่ไกลจากโรงเรียนผู้ปกครองอพยพย้ายถ่ินฐานบ่อยคร้ังไมม่ ีที่ดินทากินเป็นของตนเอง
5
สว่ นใหญ่มอี าชพี รบั จ้าง เนื่องจากทีด่ ินสว่ นใหญเ่ ป็นของนายทุน โรงเรยี นอย่ใู กล้แหลง่ เรยี นรู้อย่ใู กล้วัด
ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าอาวาสเป็นอย่างดี โดยเจ้าอาวาสเข้ามาสอนวิชาพระพุทธศาสนาให้กับ
นักเรยี น
นอกจากนี้ชุมชนมีความต้องการให้โรงเรียนจัดการศึกษา โดยเน้นในเรื่องของคุณธรรม
จริยธรรม และค่านิยมความเป็นไทย ด้านสาระวิชาเน้นเป็นพิเศษในวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษเน้นการใช้สื่อ และนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการการเรียนการสอน
และเปดิ โอกาสให้ชุมชนมสี ่วนร่วมในการบริหารจดั การศึกษาไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี
ต้นไม้ประจาโรงเรยี น
ตน้ พทุ รา หมายถงึ ความเจรญิ งอกงามแหง่ ปัญญา
ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Ziziphus mauritiana Lam.
ช่อื วงศ์ : RHAMNACEAE
ชื่อท้องถนิ่ : มะตนั (ภาคเหนอื )
สภาพนิเวศวทิ ยา : ปริมาณนำ้ ฝนเฉลยี่ 125-2,000 มม./ปี และเจรญิ เติบโตไดใี้ น
สภาพแวดลอ้ มทีแ่ สงแดดส่องถึง
ถิน่ กำเนิด : พืชในจีนสั นีม้ ีถ่ินกำเนดิ ในเอเชยี เขตร้อน ยโุ รป แอฟรกิ า อเมริกาใต้
การกระจายพนั ธุ์ : เอเชียตะวนั ออก- จนี อินเดยี ศรลี ังกา เนปาล ภูฏาน พม่า ไทย
มาเลเซีย อนิ โดนีเซีย ไปจนถึงออสเตรเลยี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำตน้ ไม้ยนื ต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ สงู 15 ม. มีขนาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางของลำต้นประมาณ
40 ซม. แตกกิ่งก้านจำนวนมาก เปลือกสีเทา ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ถึงรูปรี ปลายใบแหลม ใบ
เรียบ มัน สีเขียว ดอก ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจุก ออกตามซอกใบ สีเขียวอ่อนถึงเหลือง ผล ผล
ทรงกลม เมือ่ ยังอ่อนมีสีเขียวอ่อน เมอ่ื แก่มสี ีเหลือง เมล็ด เมล็ดเดีย่ วรูปขอบขนาน ปลายก้นแหลม สี
น้ำตาล
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
อาหาร ผลสกุ รบั ประทานได้
6
ตารางสารวจพันธ์ุไม้ในพื้นทศ่ี กึ ษา
พ้นื ท่ศี ึกษาที่ 1 (Zone 1) บรเิ วณอาคารเรยี น 1 ขนาดพนื้ ท่ี 5,100 ตารางเมตร
ที่ ชอ่ื พนั ธุไ์ ม้ ลักษณะวสิ ยั
ไม้ตน้ ไม้พุม่ ไมเ้ ลอื่ ย ไม้รอเล่ือย ไผ่ เฟิรน์ ปาล์ม กลว้ ยไม้
1 มะมว่ ง 1
2 มะยม 1
3 หมากแดง 2
4 อนิ ทนิลนา้ 1
5 ตะโก 1
6 กระถนิ ณรงค์ 1
7 หว้า 1
8 ราชพฤกษ์ 1
9 พญาสตั บรรณ 1
10 มะฮอกกานี 4
11 ประดู่ 1
รวม 15
พน้ื ที่ศึกษาที่ 2 (Zone 2) บรเิ วณสนามบาสเกตบอล ขนาดพ้ืนที่ 2,400 ตารางเมตร
ท่ี ชื่อพันธุ์ไม้ ลักษณะวสิ ยั
ไมต้ ้น ไม้พมุ่ ไม้เลอื่ ย ไมร้ อเลื่อย ไผ่ เฟิรน์ ปาล์ม กล้วยไม้
1 สกั 4
2 มะคา่ โมง 2
3 แคทราย 1
4 สะเดา 1
5 ลนั่ ทมแดง 1
6 มะมว่ ง 4
รวม 13
7
พน้ื ทศี่ ึกษาที่ 3 (Zone 3) บรเิ วณสนามฟตุ บอล ขนาดพ้ืนท่ี 7,016 ตารางเมตร
ท่ี ชอ่ื พนั ธุ์ไม้ ลกั ษณะวสิ ัย เฟิร์น ปาลม์ กลว้ ยไม้
ไมต้ น้ ไมพ้ ุม่ ไมเ้ ลือ่ ย ไมร้ อเล่ือย ไผ่
1 หกู ระจง
2 กระดังงาปา่ 3
3 สาธร 1
4 ตะแบกแดง 1
5 ไทรย้อย 1
6 หางนกยูงฝร่งั 1
7 นนทรี 2
8 จามจรุ ี 1
9 ข้ีเหล็ก 1
รวม 1
12
สรปุ จานวน 25 ชนดิ
1. ไม้ตน้ จานวน 40 ตน้ จานวน - ชนิด
2. ไม้พุ่ม จานวน - ตน้ จานวน - ชนิด
3. ไม้เลอ้ื ย จานวน - ตน้ จานวน - ชนดิ
4. ไม้รอเลือ้ ย จานวน - ตน้ จานวน - ชนดิ
5. ไผ่ จานวน - ตน้ จานวน - ชนิด
6. เฟริ น์ จานวน - ตน้ จานวน - ชนิด
7. ปาล์ม จานวน - ตน้ จานวน - ชนดิ
8. กล้วยไม้ จานวน - ตน้
8
พื้นที่ศึกษาที่ 1 บริเวณอาคารเรียน 1 ขนาดพ้ืนที่ 5,100 ตารางเมตร มีพันธุ์ไม้ จานวน 11 ชนิด
ประกอบดว้ ย
(Zone 1) 1) มะยม จานวน 1 ต้น 2) มะม่วง จานวน 1 ตน้ 3) หมากแดง จานวน 2 ตน้
4) อินทนิลนา้ จานวน 1 ตน้ 5) ตะโก จานวน 1 ตน้ 6) กระถินณรงค์ จานวน 1 ต้น
7) หว้า จานวน 1 ตน้ 8) ราชพฤกษ์ จานวน 1 ตน้ 9) พญาสัตบรรณ จานวน 1 ต้น
10) มะฮอกกานี จานวน 4 ตน้ 11) ประดู่ จานวน 1 ตน้
พื้นท่ีศึกษาท่ี 2 บริเวณสนามบาสเกตบอล ขนาดพ้ืนท่ี 2,400 ตารางเมตร มีพันธ์ุไม้ จานวน 6 ชนิด
ประกอบดว้ ย
(Zone 2) 1) สัก จานวน 4 ตน้ 2) มะคา่ โมง จานวน 2 ตน้
3) แคทราย จานวน 1 ตน้ 4) สะเดา จานวน 1 ตน้
5) ลน่ั ทมแดง จานวน 1 ตน้ 6) มะมว่ ง จานวน 4 ตน้
9
พื้นท่ีศึกษาที่ 3 บริเวณสนามฟุตบอล ขนาดพื้นที่ 7,016 ตารางเมตร มีพันธ์ุไม้ จานวน 9 ชนิด
ประกอบดว้ ย
(Zone 3) 1) หกู ระจง จานวน 3 ตน้ 2) กระดังงาป่า จานวน 1 ต้น 3) สาธร จานวน 1 ต้น
4) ตะแบกแดง จานวน 1 ต้น 5) ไทรย้อย จานวน 1 ต้น 6) นนทรี จานวน 1 ต้น
7) หางนกยงู ฝรัง่ จานวน 2 ต้น 8) จามจรุ ี จานวน 1 ตน้ 9) ขเี้ หล็ก จานวน 1 ตน้
10
ตารางการสารวจพรรณไม้ในพ้นื ทีศ่ ึกษา
ทะเบียนพรรณไม้
โรงเรยี น.........บ้านซับพุทรา.........ตาบล..........ซับพทุ รา.........อาเภอชนแดน.........จังหวัด.....เพชรบรู ณ์
ช่อื ช่อื สามญั ช่อื ช่อื วงศ์ ลกั ษณะวสิ ัย บรเิ วณที่พบ รหัสคิวอาร์
พน้ื เมือง วิทยาศาสตร์
Mango tree ANACARDIACEAE ไมต้ ้น อาคารเรียน 1
มะม่วง Mangifera และสนาม
Star indica L. บาสเกตบอล
มะยม gooseberry อาคารเรียน 1
Phyllanthus PHYLLANTHACEAE ไม้ต้น อาคารเรียน 1
หมากแดง Lipstick acidus (L.) ARECACEAE ไม้ต้น
Palm/ Raja อาคารเรยี น 1
อนิ ทนิล Skeels
นำ้ Palm/ Cyrtostachys อาคารเรียน 1
Sealing Wax renda Blume อาคารเรียน 1
ตะโก
Palm Lagerstroemia LYTHRACEAE ไม้ต้น อาคารเรียน 1
กระถนิ Pride of speciosa (L.) อาคารเรียน 1
ณรงค์ India/ Queen ไมต้ น้
& rsquo;s Pers. ไมต้ น้ อาคารเรียน 1
หวา้ crape myrtle ไมต้ ้น อาคารเรียน 1
Ebony Diospyros EBENACEAE ไม้ตน้
ราชพฤกษ์, rhodocalyx FABACEAE
คูน Earleaf
Acacia/ Kurz MYRTACEAE
พญาสตั บรรณ Wattle Acacia FABACEAE
ตนี เปด็ auriculiformis
Black plum/ A. Cunn. ex
มะฮอกกานี Jambolan Benth.
Syzygium
Golden cumini (L.)
shower/ Skeels
Indian Cassia fistula L.
laburnum
Devil tree/ Alstonia APOCYNACEAE ไมต้ น้
White scholaris (L.) R. MELIACEAE ไม้ตน้
cheesewood
West indian Br.
mahogany
Swietenia
mahogani (L.)
Jacq.
11
ชอ่ื ชื่อสามญั ช่ือ ช่ือวงศ์ ลกั ษณะวสิ ัย บริเวณท่พี บ รหสั ควิ อาร์
พ้นื เมือง วทิ ยาศาสตร์
Burma FABACEAE ไม้ตน้ อาคารเรียน 1
ประดู่ padauk Pterocarpus
Teak macrocarpus LAMIACEAE ไม้ตน้ สนาม
สัก บาสเกตบอล
Kurz
Tectona
grandis L. f.
มะค่าโมง Black Afzelia FABACEAE ไมต้ ้น สนาม
Rosewood xylocarpa บาสเกตบอล
(Kurz) Craib
แคทราย - Stereospermum BIGNONIACEAE ไมต้ ้น สนาม
fimbriatum บาสเกตบอล
(Wall. ex G.
Don) A. DC.
สะเดา Neem Azadirachta MELIACEAE ไม้ตน้ สนาม
indica A. Juss. บาสเกตบอล
ลัน่ ทมแดง Frangipani Plumeria rubra APOCYNACEAE ไม้ตน้ สนาม
L. บาสเกตบอล
หูกระจง Black afara Terminalia COMBRETACEAE ไม้ตน้ สนามฟุตบอล
ivorensis A.
Chev.
กระดงั งาป่า Ylang-ylang Artabotrys ANNONACEAE ไมต้ ้น สนามฟุตบอล
หรือการเวก Tree siamensis Miq.
สาธร, - Millettia FABACEAE ไม้ตน้ สนามฟุตบอล
สะท้อน leucantha Kurz
Bungor var. buteoides LYTHRACEAE ไมต้ ้น สนามฟุตบอล
ตะแบกแดง (Gagnep.) P. K. MORACEAE ไมต้ ้น สนามฟุตบอล
ไทรย้อย Benjamin’s FABACEAE ไมต้ น้ สนามฟุตบอล
fig/ Weeping Lôc
หางนกยงู ฝรงั่ Lagerstroemia
fig
Flamboyant calyculata
Tree, Flame Kurz.
of the Forest Ficus
benjamina L.
Delonix regia
(Bojer ex Hook.)
Raf.
12
ชอ่ื ชือ่ สามัญ ชือ่ ชอื่ วงศ์ ลกั ษณะวสิ ยั บรเิ วณทพ่ี บ รหสั คิวอาร์
พนื้ เมอื ง วิทยาศาสตร์
Copper pod/ FABACEAE ไม้ตน้ สนามฟตุ บอล
นนทรี Yellow flame Peltophorum
pterocarpum FABACEAE ไม้ตน้ สนามฟุตบอล
จามจรุ ี Cow (DC.) Backer ex FABACEAE ไม้ต้น สนามฟุตบอล
tamarind/
ข้ีเหล็ก Rain tree K. Heyne
Cassod tree/ Albizia saman
Thai copper (Jacq.) Merr
pod Senna siamea
(Lam.) H.S.
Irwin &
Barneby
13
พนั ธไุ์ ม้ในสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน
มะยม
ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Phyllanthus acidus (L.) Skeels
ชื่อวงศ์ : PHYLLANTHACEAE
ช่อื สามญั : Star gooseberry
ชอื่ ทอ้ งถิ่น : หมกั ยม หมากยม (ตะวันออกเฉียงเหนอื )
สภาพนิเวศวทิ ยา : พบที่ความสงู 200-2,300 ม. จากระดับทะเลปานกลาง
ถ่ินกำเนดิ : บราซลิ
การกระจายพันธ์ุ : กัมพูชา อนิ เดีย มาเลเซยี พม่า เนปาล ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ศรีลังกา ไทย อเมริกา
บริเวณที่พบ : อาคารเรยี น 1
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 ม. ลำต้นเปลาตรงและแตกกิ่งก้านสาขาทึบบริเวณยอด ก่ิงก้าน
เปราะหกั ง่าย เปลอื กต้นขรขุ ระมเี ทา่ ปนนำ้ ตาล
ใบ ไม่ผลัดใบ ใบเด่ียวเรียงสลับ ระนาบเดียว บนกิ่งท่ียาวประมาณ 15-30 ซม. ดูคล้ายใบประกอบ
แต่ละก่ิงมี 20-30 คู่ ใบรูปไข่ รูไข่แกมรูปหอก รปู ขอบขนาน หรือค่อนข้างเป็นส่ีเหลีย่ ม ขนมเปียกปูน
กวา้ ง 1.3-3.5 ซม. ยาว 2.5-7.5 ซม. ฐานใบมน ปลาบใบแหลม ขอบใบเรียบ ผวิ ใบเรยี บ
ดอก ออกเป็นช่อ ตามก่ิง ช่อดอกยาว 5-10 ซม. ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้เกิด
ท่ีปลายช่อ กลีบเลี้ยง 6 กลีบ แยกกัน ไม่มีกลีบดอก มีเกสรเพศผู้ 3 อัน ดอกเพศเมีย มีกลีบเลี้ยง
สชี มพแู ดง 6 กลบี ฉ่ำน้ำ มีรสเปรย้ี ว
ผล รปู ร่างกลมแบน มี 6-8 ร่อง เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 ซม. ผลออ่ นสีเขียวเมื่อแก่เปน็ สเี หลืองหรอื ขาว
แกมเหลืองเมล็ด เมล็ดภายในรูปร่างกลมและคอนข้างแข็งมีสีน้ำตาลอ่อนและมีจำนวน 1 เมล็ดผล
จะออ่ นนุ่มเมอื่ สุก
ประเภทการใช้ประโยชน์
อาหาร, สมุนไพร ยอด ยอดอ่อนรับประทานเป็นผัก ราก แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง แก้ประดง
แก้เม็ดผื่นคัน ขับน้ำเหลืองให้แห้ง ใบ แก้พิษคัน แก้พิษไข้หัว หัด และ อีสุกอีใส ผล รักษาโรคมะเร็ง
ช่วยชะลอวัยและความเส่ือมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ช่วยดับร้อนและปรับสมดุล ดับพิษเสมหะ
ยาระบาย ยาอายวุ ฒั นะ ช่วยบำรงุ โลหิต ผลแก่ มีรสเปรี้ยว รบั ประทานเปน็ ผลไม้ นำมาดอง
14
สรรพคุณของมะยม
1. ใบมะยมแก้เบาหวาน ด้วยการใช้ใบสดและรากใบเตยพอประมาณนำมาใส่หม้อ เติมน้ำ
แล้วต้มเอาน้ำด่ืม ซึ่งจะช่วยไปกระตุ้นตับอ่อนให้แข็งแรงและสามารถผลิตน้ำตาลในภาวะสมดุลโดย
ไมต่ อ้ งพึง่ อนิ ซลู นิ จากภายนอก
2. ช่วยลดความดันโลหิต ด้วยการใช้ใบแก่พร้อมก้านประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่หม้อเติมน้ำ
พอท่วม ใส่น้ำตาลเล็กน้อยเพ่ือดับรสเฝ่ือน ต้มให้เดือดประมาณ 5 นาที แล้วนำมาดื่มจนความดัน
เป็นปกติแล้วจึงหยุดรับประทาน (สูตรทางเลือก ท่านใดท่ีรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้วไม่ควร
หยดุ ยาทแ่ี พทย์ให้รับประทาน)
3. ใบช่วยบำรงุ ประสาท
4. ใบมะยมมีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้ใบมะยมแก่รวมก้าน
1 กำมือนำมาต้มกับน้ำ ใส่น้ำตาลกรวดพอประมาณไม่ให้หวานมาก นำมาต้มจนเดือด ด่ืมคร้ังละ 1
แกว้ เชา้ -เย็น
5. แกไ้ ข้เหือด ไข้หัด ด้วยการใชใ้ บตม้ กับนำ้ แล้วนำมาอาบ
6. ใบชว่ ยแก้สำแดง
7. ใบมะยมมสี รรพคณุ ช่วยรกั ษาโรคอสี ุกอีใส ดว้ ยการใช้ใบต้มกับนำ้ แล้วนำมาอาบ
8. ใบนำมาใชต้ ้มนำ้ อาบแก้พษิ คัน
9. นำมาใช้ปรุงเปน็ ส่วนประกอบของยาเขียว
10. ใชเ้ ปน็ อาหารได้
15
มะม่วง
ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Mangifera indica L.
ชื่อวงศ์ : ANACARDIACEAE
ชอื่ สามัญ : Mango tree
ช่ือท้องถนิ่ : มะมว่ ง Mamuang, มะมว่ งบ้าน Mamuang ban (General); ขุ Khu (Karen-
Kanchanaburi); โคกและ้ Khok-lae (Lawa-Kanchanaburi); เจาะช้อก
Cho-chok, ช๊อก Chok (Chong-Chanthaburi); โตร้ก Trok (Chaobon-
NakhonRatchasima); แป Pae (Lawa-Chiang Mai); มะม่วงสวนMamuang
suan (Central); สะเคาะ Sa-kho, ส่าเคาะส่า Sa-kho-sa (Karen-Mae Hong
Son); สะวาย Sa-wai (Khmer); หมกั โม่ง Mak-mong (Shan-Northern)
สภาพนิเวศวทิ ยา : -
ถิน่ กำเนิด : อินเดยี พม่า
การกระจายพันธุ์ : มาเลเซยี อินโดนเี ซีย ฟลิ ปิ ปินส์ บอเนียว หม่เู กาะโซโลมอน และเกาะแคโลไล
บรเิ วณที่พบ : อาคารเรยี น 1 และสนามบาสเกสบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น มะม่วงเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบต้นมากมายจนดูหนาทึบ
เปลอื กของตน้ จะมีสนี ้ำตาลมดำ พน้ื ผวิ เปลอื กขรขุ ระ เปน็ ร่องไปตามแนวยาวขงลำตน้
ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปหอก มีสีเขียวเข้ม เป็นไม้ใบเด่ียวจะออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ไปตามก้านใบ
ขอบใบเรยี บไม่มหี ยกั ปลายใบแหลม สว่ นโคนใบมน เน้ือใบคอ่ นข้างจะหนา
ดอก เป็นช่อ ดอกแบบ panicle ออกตามปลายก่ิง ก้านดอกรูปทรงกรวยคว่ำ มีสีแดงอมชมพู
ดอกประกอบด้วยดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศ ในช่อเดียวกัน มีกลีบรองและกลีบดอกอย่างละ 5
กลีบ ดอกตัวผู้มีเกสรตัวผู้ท่ีใช้ได้เพียง 1 อัน ที่เหลืออีก 4 อันเป็นเกสรตัวผู้ท่ีไม่พัฒนา สำหรับดอก
สมบูรณ์เพศ ประกอบด้วยรังไข่ทรงกลมแบบ superior ovary มีก้านชูเกสรตัวเมีย (style) 1 อัน
และมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ผล ค่อนข้างเล็ก ติดผลดกเป็นพวง รูปทรงผลกลมแบนเล็กน้อย ฐานผลกว้าง
แล้วสอบเข้าสปู่ ลายผล ปลายผลมน ผลกว้างประมาณ 5.5-6 ซม.
ผล เม่ือดอกโรยก็จะติดผล มลี ักษณะต่างกนั แล้วแต่ละพันธ์ุเช่นบางทีมีเป็นรูปมนรี ยาวรี หรือเป็นรูป
กลมป้อม ผลอ่อนมีเป็นสีเขียว เม่ือแก่หรือสุกเต็มท่ีก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด ภายในผลมีเมล็ด
ผลหนึง่ มเี มลด็ เดียว
16
เมล็ดมะม่วง อยู่ถัดจากเน้ือ มีขนาดใหญ่ไปจนถึงเกือบไม่มีเมล็ด (แล้วแต่สายพันธ์ุ) เมล็ดจะมีสีขาว
ข่นุ มเี สน้ ใยข้ึนปกคลมุ เปลอื กหุ้มเมล็ดมีเยื่อห้มุ 2 ชัน้ คือช้ันนอก (testa) และช้ันใน (tegmen)
ประเภทการใช้ประโยชน์
อาหาร, สมุนไพร, พืชประดับ ผล รับประทานได้ (คนเมือง,ม้ง,กะเหรี่ยงเชียงใหม่) เปลือกลำต้น
ใช้เปลือกลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ แก้โรคคอตีบ แก้เยื่อปากอักเสบ เยื่อเมือกในจมูก
อักเสบหรือใช้สวนล้างช่องคลอดแก้อาการตกขาว ใบ ใช้ใบสดประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำ
กินเป็นยาแก้ลำไส้อักเสบเร้ือรัง แก้ซางตานขโมยในเด็ก แก้อืดแน่น หรือใช้ใบสดบดให้ละเอียดพอก
บริเวณแผลสดหรือใช้ล้างบาดแผล ผล ใช้ผลสด นำมากินเป็นยาแก้คลื่นไส้ อาเจียนวิงเวียน แก้โรค
เลอื ดออกตามไรฟัน ขับปสั สาวะ เป็นยาระบาย แก้อาการปวดเม่ือยเม่อื มีประจำเดือน แก้บิดถ่ายเป็น
เลือดและใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร เมล็ดใช้เมล็ดสดประมาณ 2-3 เม็ด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็น
ยาถ่ายพยาธิตัวกลม แก้ท้องร่วง แก้บิดเร้ือรัง ริดสีดวงทวาร ตกขาว ตกเลือด ท้องอืด แก้คล่ืนไส้
และแก้ไอ มะม่วงเป็นพรรณไม้ใหญ่ ลำต้นมีเนื้อไม้เป็นสีเหลืองอ่อนนอกจากใช้เป็นสมุนไพรแล้ว
ยังใช้ก่อสร้างตกแต่งภายในบา้ น หรือใช้ทำหีบกล่องได้
สรรพคณุ มะมว่ ง
1. มะมว่ งมีวติ ามนิ ซีสงู จึงช่วยตา้ นอนมุ ูลอิสระได้เปน็ อยา่ งดี
2. มะมว่ งมวี ิตามินเอ วติ ามินซี ซงึ่ มีส่วนช่วยบำรงุ ผวิ พรรณให้เปลง่ ปลง่ั สดใส
3. มะมว่ งช่วยบำรงุ และรักษาสายตา เพราะอุดมไปด้วยวิตามนิ เอและเบตา้ แคโรทนี
4. เปน็ ผลไม้ท่ีมีส่วนชว่ ยบำรุงร่างกาย
5. ช่วยทำใหผ้ ่อนคลาย และหลบั สบายย่งิ ข้นึ
17
หมากแดง
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Cyrtostachys renda Blume
ชอ่ื วงศ์ : ARECACEAE
ชอ่ื สามัญ : Lipstick Palm/ Raja Palm/ Sealing Wax Palm
ชื่อท้องถ่นิ : กะแดง็ กบั แดง (นครศรธี รรมราช)/ หมากวิง (ปตั ตาน)ี
สภาพนเิ วศวทิ ยา : เหมาะสำหรบั ปลกู เปน็ ไมก้ ระถางในทีร่ ่มรำไรหรือปลูกลงแปลงกลางแจง้
ชอบขึ้นในท่ชี นื้ และแฉะ ทนนำ้ ท่วมขงั
ถ่ินกำเนดิ : บอร์เนยี ว มลายา สมุ าตรา และไทย
การกระจายพันธุ์ : ตรนิ แิ ดด-โตเบโก
บรเิ วณท่ีพบ : อาคารเรยี น 1
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นปาล์มแตกกอ ลำต้นมีสีแดง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-15 ซม. สูงได้ถึง 20 ม. คอยาว 30-50
ซม.
ใบ ใบเป็นประกอบแบบขนนกช้ันเดียว ใบย่อยรูปแถบ มีประมาณ 25 คู่ สีเขียวเป็นมัน ทางใบยาว
ประมาณ 1.5-2.0 เมตร ปลายใบแหลม มสี ีแดงเขม้ ทกี่ าบใบ กา้ นใบและเส้นกลางใบ
ดอก ช่อดอกแยกเพศ สีเขียวอ่อน อยู่ร่วมต้น ออกดอกใต้คอ ยาว 50 ซม. ดอกออกเป็นช่อที่ใต้โคน
กาบใบห้อยโคง้ ลง ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดยี วกัน ผลมีลักษณะกลมถึงรี ขนาด 0.8 ซม.ฤดูทด่ี อกบาน
ฤดูฝนช่วง ส.ค - ก.ย
ผล ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียว เม่ือแก่เป็นสีน้ำตาล เมื่อสุกเต็มท่ีพร้อมเพาะพันธ์ุได้จะมีเปลือกสีดำ
โคนผลสแี ดง มีเมล็ดผลละ 1 เมล็ด ตดิ ผลจำนวนมากรวมกันเป็นทลาย
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
พืชประดบั ปลูกประดบั สถานที่ ผลสุก รับประทานได้ มวี ิตามิน C สงู แก้โรคลักปดิ ลักเปิด
สรรพคุณของหมากแดง
1. ใบแก้ร้อนใน เจบ็ คอ เจ็บในปาก แก้ปวดหู แก้ท้องรว่ ง
2. ราก เป็นยาขม บารุงธาตุ ขับพยาธิ เป็นยาธาตุ เจริญอาหาร ใช้ใส่แผลพอก แก้คันและเป็น
ยาบารุงกระเพาะอาหาร
18
19
อนิ ทนิลน้ำ
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.
ชื่อวงศ์ : LYTHRACEAE
ชอ่ื สามญั : Pride of India/ Queen & rsquo;s crape myrtle
ชื่อทอ้ งถน่ิ : ตะแบกดำ (กรุงเทพฯ)/ ฉอ่ งมู ฉอ่ งพนา (กะเหรย่ี ง-กาญจนบุรี)/ บาเย บาเอ
(มลายู-ปตั ตาน)ี / อินทนลิ (ภาคกลาง ภาคใต้)
สภาพนิเวศวทิ ยา : ตามทร่ี าบลุม่ และริมน้ำในป่าเบญจพรรณชืน้ และชายป่าดงดิบ
ถน่ิ กำเนิด : มีถน่ิ กำเนิดในประเทศไทย
การกระจายพันธุ์ : ทวีปเอเชีย
บริเวณทีพ่ บ : อาคารเรยี น 1
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น มีความสูงประมาณ 5-20 เมตร ลำต้นเล็กและมักคดงอ แต่พอใหญ่ข้ึนจะเปลา ตรง เป็นไม้
ผลัดใบแต่ผลิใบใหม่ไว โคนต้นไม้ไม่ค่อยพบพูพอน มักมีก่ิงใหญ่แตกจากลำต้นสูงเหนือจากพื้นดิน
ขน้ึ มาไมม่ าก จงึ มเี รือนยอดท่ีแผก่ วา้ ง เป็นพุ่มลักษณะคล้ายรูปร่มและคลมุ สว่ นโคนต้นเลก็ นอ้ ยเทา่ นั้น
ส่วนผิวเปลือกต้นอินทนิลน้ำจะมีสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน มักจะมีรอยด่าง ๆ เป็นดวงขาว ๆ อยู่ท่ัวไป
ผิวเปลือกจะค่อนข้างเรียบ ไม่แตกเป็นร่องหรือเป็นรอยแผลเป็น เปลือกมีความหนาประมาณ
1 เซนติเมตร ท่เี ปลอื กในจะออกสมี ว่ งร่อง เนื้อไม้อนิ ทนิลน้ำ เมื่อยงั ใหมส่ ดอย่จู ะเป็นสีแดงเรอ่ื ๆ หรือ
สีชมพูอ่อน พอนานเข้าจะเปล่ียนเป็นสีน้ำตาลอมแดง เน้ือไม้ค่อนข้างละเอียด มีเสี้ยนตรง เป็นมัน
เล่อื ม มคี วามแข็งแรงปานกลาง เหนียวและทนทาน ใช้เล่ือยไสกบตบแต่งง่าย ขดั เงาไดเ้ ป็นเงางาม
ใบ เป็นใบเด่ียว ออกตรงข้ามกันหรือออกเยื้องกันเล็กน้อย ลักษณะของใบเป็นรูปทรงขอบขนานหรือ
รูปขอบขนานแกมรูปหอก มีความกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 11-26
เซนติเมตร ใบมีสเี ขียว เน้ือใบค่อนขา้ งหนาและเกล้ียงเป็นมันทั้งสองด้าน โคนใบบนหรือเบ้ียวเยอ้ื งกัน
เล็กน้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคล่ืนเล็กน้อย ส่วนปลายใบเรียวและเป็นติ่งแหลม มีเส้นแขนงใบ
ประมาณ 9-17 คู่ เส้นโค้งอ่อนและจรดกับเสน้ ถดั ไป บริเวณใกล้ ๆ ขอบของเส้นใบย่อยจะเห็นไม่คอ่ ย
ชดั นกั กา้ นใบยาวประมาณ 1 เซนตเิ มตร เกลี้ยงและไมม่ ขี น
ดอก สีชมพูถึงม่วง ออกดอกเป็นช่อยาวถึง 30 ซม. กลบี เล้ียงรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 6 แฉก กลีบดอก
มี 6 กลีบ ดอกบานเตม็ ที่กว้าง 10 ซม. กลีบดอกมีสนั นูนตามยาว รูปช้อนปลายแผ่ โคนเป็นก้านเรียว
แผ่นกลีบเป็นร้ิวคลื่น มีเกสรเพศผู้จำนวนมากกลางดอก ปลายเกสรสีเหลือง จะเริ่มออกดอกได้เม่ือ
มีอายุประมาณ 4-6 ปี
20
ผล รูปไข่ ผิวเกลี้ยง ยาว 2.0-2.5 ซม. เมื่อแก่ผลแตกเป็น 6 แฉก เมล็ด มีขนาดเล็ก มีปีกบางโค้ง
ทางด้านบนหนึง่ ปกี
ประเภทการใช้ประโยชน์
สมุนไพร, พืชประดับ, พืชให้ร่มเงา ต้น มีรูปทรงและให้ดอกสวยงาม ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
ใบ ใช้ใบอ่อนตากแดด นำมาชงเป็นชาช่วยรักษาโรคเบาหวาน ลดความอ้วน ช่วยลดระดับไขมัน
ในเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคเก่ียวกับทางเดินปัสสาวะ
แก้ปัสสาวะพิการ ราก มีรสขม นำมาต้มน้ำดื่ม หรือนำมาตำแล้วพอกบริเวณท้อง ช่วยรักษาแผล
ในช่องปากและคอ ช่วยสมานท้อง เปลือก ลดระดับน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้อาการท้องเสีย
เมลด็ ลดระดับนำ้ ตาลในเลอื ด แกอ้ าการนอนไมห่ ลับ รกั ษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้าตาลในเลอื ด
สรรพคณุ ของอินทนลิ
1. ใบอินทนิลน้ามีรสขมฝาดเย็น ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยใช้ใบแก่เต็มที่ประมาณ
1 กามือ นามาตม้ กับน้าดม่ื ในตอนเช้า
2. ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ในประเทศญ่ีปุ่นได้มีการสกัดสารจากใบอินทนิลน้าด้วย
แอลกอฮอล์ นาไปทาให้เข้มข้นจนได้สารสกัด 3 mg./ml. แล้วนาไปทาเป็นยาเม็ดขนาดเม็ดละ 250
mg. ให้ผู้ป่วยท่ีเป็นโรคเบาหวานและมีภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3
ครั้ง นานติดตอ่ กัน 4 สัปดาห์ พบว่าผู้ปว่ ยมรี ะดบั คอเลสเตอรอลในเลอื ดท่ีลดลง
3. ชว่ ยลดระดบั นา้ ตาลในเลือด ซ่ึงได้มกี ารทดลองท้งั ในประเทศไทย อินเดีย และฟลิ ปิ ปนิ ส์
21
ตะโก
ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Diospyros rhodocalyx Kurz
ชื่อวงศ์ : EBENACEAE
ชอ่ื สามัญ : Ebony
ชือ่ ทอ้ งถ่นิ : โก (ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ)/ นมงัว (นครราชสมี า)/ มะโก (ภาคเหนอื )/
มะถา่ นไฟผี (เชียงใหม่)
สภาพนเิ วศวิทยา : พบขึ้นท่ัวไปตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะ และทุ่งนา พบที่ความสูงจาก
ระดับทะเลปานกลาง 40-300 ม.
ถ่ินกำเนดิ : ลาว พมา่ ไทย และเวียดนาม
การกระจายพนั ธ์ุ : เอเชยี เขตรอ้ น
บริเวณทีพ่ บ : อาคารเรยี น 1
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น จัดเป็นไมย้ ืนต้นขนาดเล็ก รูปทรงพุ่ม มีความสูงของต้นประมาณ 8-15 เมตร เปลือกลำต้นเป็น
สีดำ แตกเป็นร่องลึกเป็นสะเก็ดหนา ขยายพันธ์ุด้วยวธิ ีการเพาะเมล็ด (ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักเน่ืองจาก
เติบโตได้ชา้ ) การตอนก่งิ หรอื การขุดล้อมเอามาจากธรรมชาติ เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนดิ ต้องการ
แสงแดดแบบเต็มวัน มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี โดยพบว่ามีเขตการกระจายพันธุ์จาก
พม่าจนถึงภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นได้ทุกภาคตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะ
และตามทุ่งนา ท่ีความสูงจากระดบั น้ำทะเลตัง้ แต่ 40-300 เมตร
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรีค่อนข้างกลม รูปไข่กลับ หรือรูปส่ีเหล่ียม
ขนมเปียกปูนกลาย ๆ และรูปป้อม ปลายใบมนมีติ่งส้ันหรือมีรอยหยักเว้าเข้าเล็กน้อย โคนใบเป็น
รปู ล่ิมหรือป้าน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3-12
เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างหนาและเหนียว หลงั ใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มและเปน็ มัน มีเส้นแขนงของใบ
ประมาณ 5-8 คู่ เส้นอ่อนคดไปมามองเห็นได้ทางด้านหลังใบและขึ้นเด่นชัดทางด้านท้องใบ
เส้นร่างแหพอสังเกตเห็นได้ทั้งสองด้าน ส่วนเส้นกลางใบออกเป็นสีแดงเรื่อๆ และก้านใบส้ันยาว
ประมาณ 2-7 มลิ ลิเมตร
ดอก สีขาวนวล แยกเพศ ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปโอ่งน้ำหรือรูปคนโท
มี 4 กลีบ ยาว 8-12 มม. ปลายแยกเป็นแฉกส้ัน มีเกสรเพศผู้ 14-16 อัน ดอกเพศเมียเป็นดอกเด่ียว
ลกั ษณะคล้ายดอกเพศผู้แต่มขี นาดใหญ่กว่า กลีบดอกมี 4 กลีบ มเี กสรเพศผู้เทียม 8-10 อนั ก้านดอก
ยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร รังไข่มีลักษณะป้อม มีขนเป็นเส้นไหมคลุม ภายในแบ่งเป็นช่อง 4 ช่อง
22
ในแต่ละช่องจะมีไข่อ่อนหน่ึงหน่วย ส่วนหลอดท่อรังไข่มีหลอดเดียวและมีขนแน่น ปลายหลอดแยก
เป็นแฉก 2 แฉก มีเกสรเพศผู้เทียมประมาณ 8-10 ก้าน มีขนแข็งๆ แซมอยู่ โดยจะออกดอกในช่วง
เดอื นมีนาคมถึงเดอื นมถิ นุ ายน
ผล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.2-2.4 เซนติเมตร (บ้างว่า
ประมาณ 3 เซนติเมตร) ผิวผลเรียบ ผลอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงคลุมอยู่หนาแน่น ซึ่งขนเหล่าน้ีมักหลุด
ร่วงได้ง่าย ส่วนปลายผลและโคนผลมักบุ๋ม กลีบจุกผลช้ีออกหรือแนบลู่ไปตามผิวของผล ข้างในมีขน
สีน้ำตาลแดงและมีขนนุ่มทางด้านนอกพ้ืนกลีบและขอบกลีบมักเป็นคล่ืน เส้นสายกลีบพอเห็นได้ชัด
ผลเม่ือสุกแล้วจะเปล่ียนเป็นสีแดงหรือแดงปนส้ม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด ลักษณะ
ของเมล็ดเป็นรูปไข่รีหรือแบน เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีเน้ือหุ้มสีขาวและฉ่ำน้ำ มีขนาดประมาณ
1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านผลส้ันมาก มีความยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะติดผลในช่วงเดือน
มีนาคมถงึ เดือนมิถุนายน
ประเภทการใช้ประโยชน์
สมุนไพร, พืชประดับ, พืชใช้เนื้อไม้ ลำต้น เน้ือไม้แข็งแรงใช้ทำเคร่ืองเรือนและเคร่ืองมือ
ใชไ้ ด้ดี ราก นำไปตม้ น้ำด่ืมแก้โรคเหน็บชา โรคทางเดินปสั สาวะ น้ำเหลอื งเสยี แก้ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
ชว่ ยเจริญอาหาร และแก้รอ้ นใน เปลอื ก เป็นยาบำรงุ ธาตุ บำรุงกำลัง กระตุ้นร่างกายกระปรกี้ ระเปร่า
ผล แก้ท้องร่วง ตกเลอื ด แก้บวม ขับพยาธิและแกฝ้ ีเนา่ เปอื่ ย ผลอ่อน ใชเ้ ป็นสียอ้ มผา้ แห อวน ผลสุก
รับประทานได้ มีรสหวานอมฝาด เนื่องจากต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน และทนทานต่อความแห้งแล้ง
ได้ดี เช่ือว่าเป็นไม้มงคล หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีความ
อดทนเหมือนต้นตะโก อกี ทั้งต้นตะโกจะออกผลดกทกุ ปี จึงเปน็ อาหารใหแ้ ก่สตั วไ์ ด้จำนวนมาก
สรรพคุณของตะโก
1. เปลือกต้นหรือแก่นใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทาให้มีอายุยืนยาวตารายาไทยจะใช้เปลือกต้น
ตะโกนา เถาบอระเพ็ด ผสมกับเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง และหัวแห้วหมู อย่างละ
เทา่ กันนามา
2. เปลือกต้นตม้ กบั น้าดืม่ หรือดองกบั เหล้าดม่ื เป็นยาอายวุ ฒั นะ
3. แกน่ ใชต้ ม้ กับนา้ ด่ืมเปน็ ยาบารุงธาตุในร่างกาย
4. เปลอื กต้นนามาตม้ กับน้าดื่มเปน็ ชาช่วยบารงุ กาลงั บารงุ ร่างกาย
5. เปลอื กชว่ ยทาให้เจริญอาหาร
6. แกน่ และเปลือกใช้เขา้ ยารักษามะเรง็
23
7. ผลนามาตากแดด ใช้ตม้ กับน้าดื่มเป็นยาแกก้ ษัย บา้ งว่าใชร้ ากนามาตม้ กบั น้าดืม่
8. รากชว่ ยแกโ้ รคผอมแหง้ หลังการคลอดบตุ รเน่อื งมาจากอยู่ไฟไม่ได้
9. ผลชว่ ยแกอ้ าการคลน่ื ไส้ แก้อาเจยี นเปน็ โลหติ
10. ต้นใช้เปน็ ยาแก้ไข้
11. ราก ตน้ และแก่นเป็นยาแกไ้ ข้กลบั ไข้ซ้า จากการกนิ ของแสลงที่เป็นพษิ
12. ลาตน้ ชว่ ยแก้พิษผดิ สาแดง
13. เปลอื กตน้ ใช้ตม้ กบั น้าดม่ื เปน็ ชาช่วยแกอ้ าการร้อนในได้ บ้างวา่ ใช้รากนามาตม้ กับนา้ ด่มื
14. เปลือกต้นหรือแก่นนามาต้มกับเกลือใช้อมรักษาโรครามะนาดหรือโรคปริทันต์ (โรคท่ีมี
อาการอกั เสบของอวยั วะรอบ ๆ ฟนั )
15. เปลอื กต้นหรือแกน่ นามาต้มกบั เกลือใชอ้ มแก้อาการปวดฟัน
16. ผลเอามาตากแดด ใช้ตม้ กับน้าด่มื เป็นยาแกอ้ าการทอ้ งรว่ ง
17. ชว่ ยขับนา้ ยอ่ ย ช่วยในการย่อยอาหาร
18. ใชผ้ ลต้มกบั น้าด่มื เป็นยาแกพ้ ยาธิ ขบั พยาธิ
19. เปลอื กผลนามาเผาจนเป็นถา่ น ใช้แชก่ ับนา้ กินเปน็ ยาขับปัสสาวะ
20. แก่นหรือเปลือกตน้ ใช้ต้มกับน้าดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บารุงความกาหนัด เพ่ิม
พลังทางเพศ กระตุ้นรา่ งกายให้สดชืน่ แขง็ แรง
24
กระถนิ ณรงค์
ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Acacia auriculiformis A. Cunn. ex Benth.
วงศ์ : FABACEAE
ชอ่ื สามัญ : Earleaf Acacia/ Wattle
ถนิ่ กำเนดิ : มีถ่ินกำเนิดทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย และพบทางด้านตะวันตก
และด้านใต้ของประเทศปาปวั นิวกินี รวมทั้งบริเวณเขตแดนของประเทศ
อินโดนีเซียท่ีตดิ ตอ่ กบั ปาปัวนิวกนิ ี
การกระจายพนั ธ์ุ : เป็นพันธไุ์ ม้ตา่ งถิ่นของประเทศออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี และอินโดนีเซีย นำเข้า
มาปลูกในประเทศไทย เมื่อปี 2478 โดยธรรมชาติกระจายพันธุใ์ นสภาพอากาศ
เขตรอ้ นชื้น
บริเวณทพ่ี บ : อาคารเรียน 1
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ยืนต้นสูงถึง 20 ม. เปลือกสีเทา-ขาว เรียบ แตกก่ิงก้าน ค่อนข้างเกล้ียง มีช่องอากาศ
เรือนยอดแผ่กว้างก่ิงก้านสาขามากมาย ถ้าข้ึนในสภาพพื้นท่ีที่เหมาะสมจะมีลำต้นเปลาตรง
เส้นผ่าศูนย์กลางถึง 80 ซม. ความสูงถึง 30 ม. เนื้อไม้กระถินณรงค์ เม่ืออายุประมาณ 3-5 ปี จะมี
สีเหลืองอ่อน ยังไม่มีลวดลายปรากฏมากนัก เม่ืออายุ 5-10 ปี จะเริ่มมีเหลืองเข้มจนถึงน้ำตาล และ
เร่ิมมีลวดลายให้เห็นบ้าง เมื่ออายุมากกว่า 10 ปี จะมีสีน้ำตาลจนถึงเป็นสีน้ำตาลเข้ม เป็นลายด่าง
ใหเ้ หน็ ชัดเจน และหากมีอายุมากจะมีสีนำ้ ตาลเข้ม และมีลายดำปะปน
ใบ เป็นใบที่ก้านใบพัฒนาไปเป็นใบ กระถินณรงคเ์ ป็นพืชไม่ผลัดใบ แตกใบได้ตลอดทั้งปี ต้นอ่อนแตก
ใบ 1-2 คู่ เป็นใบผสมขนาดเล็ก เม่ือโตขึน้ ใบผสมจะร่วงหมดเกิดเปน็ ใบเด่ียวแท้ แตกออกตามกิ่งเรียง
สลับกัน ใบมีลักษณะเรียวยาว และโค้งเป็นรูปเคียว มีสีเขียวเข้ม ลักษณะค่อนข้างหนา ใบกว้าง
ประมาณ 1.2-2.5 ซม. ยาวประมาณ 10-16 ซม. มองเห็นเป็นเส้นใบ 3 เส้น ขนานกันตามแนวยาว
จากโคนใบจรดปลายใบ
ดอก กระถินณรงค์ออกดอกเป็นช่อ ตามซอกใบ ดอกห้อยยาวคล้ายหางกระรอก มีสีเหลือง ส่งกล่ิน
หอม แตล่ ะช่อดอกประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก 70-100 ดอก มขี นาดเล็กประมาณ 1 มิลลิเมตร
ดอกออกปีละ 2 คร้ัง คร้ังแรกในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม คร้ังท่ี 2 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึง
มกราคม ของอีกปี ใช้เวลาจากออกดอกถึงดอกบานประมาณ 45-50 วัน ดอกท่ีผสมจะกลายเป็นฝัก
ส่วนดอกท่ไี ม่ได้ผสมจะร่วง โดยในหน่ึงชอ่ ดอกจะมีดอกทผี่ สมติดกลายเปน็ ฝักประมาณ 2-5 ฝัก
25
ผล มีลักษณะเป็นฝัก ม้วนงอขยุกขยิก ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลเข้ม และดำตามอายุของ
ฝัก เม่ือแก่มาก ฝักจะแตกเป็น 2 ซีก ตามแนวตะเข็บขอบฝัก แต่ละฝกั มีเมล็ดประมาณ 10-15 เมล็ด
เมล็ดมลี ักษณะกลมแบน มีรกสีเหลืองติดเมลด็ เมล็ดมีขนาดประมาณ 2.5-4.5 มิลลิเมตร สีเมล็ดออก
สนี ำ้ ตาลเขม้ ถึงดำ เมล็ดหนกั 1 กิโลกรมั จะมีเมลด็ ประมาณ 66,600 เมล็ด
ประโยชน์
พืชประดับ, พืชใช้เน้ือไม้, พืชให้ร่มเงา เนื้อไม้ มีสีสวย กระพ้ีมีสีเหลือง แก่นไม้ออกสีน้ำตาล
จนถึงแดงเข้มและทนทาน เหมาะสำหรับใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง ทำเคร่ืองเรือน เฟอร์นิเจอร์
และไม้ปาร์เก้
สรรพคณุ ของกระถนิ ณรงค์
ในทางสมนุ ไพร เปลอื กตน้ สมานแผล หา้ มเลอื ด แก้ทอ้ งเสีย
26
หวา้
ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Syzygium cumini (L.) Skeels
ชอื่ วงศ์ : MYRTACEAE
ช่ือสามญั : Black plum/ Jambolan
ช่อื ทอ้ งถิ่น : ห้าขแ้ี พะ (เชยี งราย)
สภาพนิเวศวิทยา : ในประเทศไทยพบทวั่ ไป ตามปา่ ดิบชื้นและป่าผลดั ใบ ท่คี วามสูงจากระดบั ทะเล
ปานกลาง 1,100 เมตร
ถิ่นกำเนิด : มีถิน่ กำเนิดในเอเชียเขตร้อน ควีนส์แลนด์ และเอเชยี เขตอบอุ่น
การกระจายพันธ์ุ : จากอินเดีย จนถึงเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้
บรเิ วณที่พบ : อาคารเรียน 1
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ต้นหว้ามีความสูงประมาณ 10-35 เมตร ซึ่งจัดเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ให้ร่มเงา เปลือกไม้เรียบสี
นำ้ ตาลหรือสนี ้ำตาลอมเทาถงึ เทาคลำ้ ค่อนข้างเรียบมรี อยแตกเปน็ สะเกด็ เลก็ ๆ ทวั่ ไป
ใบ ใบเด่ียว ออกตรงข้าม รูปไข่หรือรูปรี กว้าง 3-7 ซม. ยาว 8-14 ซม. เส้นขอบใบปิด เส้นใบ 19-30 คู่
กา้ นใบยาว 0.6-3.0 ซม.
ดอก สีขาวหรือสีเหลืองอ่อนออกเป็นช่อท่ีซอกใบหรือปลายยอด แกนช่อยาว 4.5-10.0 ซม. ฐานรองดอก
รูปกรวย ขนาด 0.2-0.5 ซม. กลีบเลีย้ ง 4 กลบี กลีบดอก 4 กลีบ รปู กลมมน เกสรผู้จำนวนมาก ออกดอก
ประมาณเดอื นธันวาคมถงึ มถิ นุ ายน
ผล ผลอ่อนสีเขียว พอเร่ิมแก่ออกสีชมพู สีม่วงแดงแล้วเปล่ียนเป็นสีม่วงดำ รูปรีแกมรูปไข่หรือ
รูปกระสวย สีม่วงแดง ฉ่ำน้ำ ผิวเรียบมัน ใช้กินได้มีรสเปรี้ยวผลแก่ราวเดือน พฤษภาคม มีเมล็ด
1 เมล็ด รปู ไข่
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
อาหาร ผลสุกรับประทานได้ มีรสเปรี้ยวอมฝาด สามารถนำไปใช้ทำน้ำผลไม้และไวน์หว้า
ให้สีมว่ ง มรี สชาตดิ ี เมลด็ มีสารช่วยลดนำ้ ตาลในเลอื ด
27
สรรพคณุ ของต้นหวา้
1. ผลของต้นหว้า มีสารแอนโทไซยานิน เป็นสารท่ีต้านอนุมูลอิสระ หรือสารค้านโรคมะเร็ง
มีธาตุเหลก็ ทจ่ี ะช่วยบำรุงเลอื ด ฟนั และกระดูก
2. ต้นหวา้ มสี รรพคณุ ทางสมุนไพรไทยอยา่ ง หลอดลมอักเสบ หอบหืด ท้องร่วง ทอ้ งผกู
3. เปลือกไม้ นำมาต้มเพ่ือรับประทาน แก้โรคบิด หรือสามารถนำมาอมเพื่อแก้อาการ
ปากเป่อื ยได้ ยังนำมาสกัดนำ้ มันหอมระเหยท่ชี ่วยปอ้ งกนั การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
4. ผลทย่ี งั ดิบอยู่ สามารถมารักษาอาการทอ้ งเสีย ท้องร่วงหรือโรคบิด
5. ใบและเมลด็ หวา้ เมอ่ื นำมาต้มกับนำ้ ตาล แล้วนำน้ำทไ่ี ด้มาล้างแผลเน่าเปื่อยได้
6. ใบของต้นหวา้ สามารถนำมารักษาโรคเก่ยี วกบั ผวิ หนัง แก้อาการนำ้ ลายเหนียวขน้
7. ส่วนของเมล็ดในผลของต้นหว้าสามารถนำมารับประทานเพ่ือลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
และใช้ถอนพิษ
8. เปลือกและใบ ใช้ทำยาอม ยากวาดคอ แก้ปากเปอ่ื ย ลน้ิ และคอมีเมด็
9. นำ้ มันหอมระเหยชว่ ยในการย่อยอาหาร ด้วยการเพ่ิมการหลง่ั น้ำดี และน้ำย่อยตา่ ง ๆ
28
ราชพฤกษ์,คูน
ช่ือวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ช่ือสามญั : Golden shower/ Indian laburnum
ชอ่ื ทอ้ งถิน่ : คนู (กลาง,เหนือ) / ชัยพฤกษ(์ กลาง) / ลม้ แล้ง(เหนือ) / กุเพยะ (กะเหรยี่ ง
กาญจนบรุ ี) / ปือยู ปโู ย เปอโซ แมะหลา่ หยู่ (กะเหรีย่ ง แมฮ่ อ่ งสอน)
สภาพนิเวศวิทยา : พบกระจายห่างๆ ตามปา่ เบญจพรรณและปา่ เต็งรงั
ถิ่นกำเนดิ : มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียใต้ ต้ังแต่ทางตอนใต้ของปากีสถานไปจนถึงอินเดีย
พมา่ และประเทศศรลี งั กา
การกระจายพันธ์ุ : เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
บริเวณที่พบ : อาคารเรยี น 1
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นต้นไม้ขนาดกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอร่าม แต่ละช่อยาว
ประมาณ 20-40 เซนติเมตร โดยกลีบดอกจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ มีผลยาวประมาณ 30-60
เซนตเิ มตร มกี ลิน่ ฉนุ และมีเมลด็ ทีเ่ ปน็ พษิ
ใบ ลักษณะของใบออกเป็นช่อ ใบสีเขียวเป็นมัน ช่อหนึ่งยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร และมีใบย่อย
เป็นไข่ ประมาณ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 9-15
เซนตเิ มตร โคนใบมนและสอบไปทางปลายใบ เนอื้ ใบบางเกลี้ยง มีเส้นแขนงใบถี่และโค้งไปตามรูปใบ
ดอก สีเหลืองสด ออกตามซอกใบ เป็นช่อห้อยลง ยาว 20-40 ซม. ดอกย่อยจำนวนมาก ขนาดบาน
กว้าง ประมาณ 3 ซม. กลีบรองดอก 5 กลีบ ผิวดา้ นนอกมีขน กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่ เกสรผู้ 10 อัน
สนั้ 7 อนั ยาว 3 อนั กา้ นเกสรเมีย และรังไขม่ ขี นยาว
ผล เป็นฝักยาว รูปแท่งกลม กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 20-60 ซม. ฝักแก่ไม่แตก แต่จะหลุดร่วงทั้งฝัก
และหักแตกเป็นช้ิน เมลด็ มเี นอ้ื เหนยี วสดี ำหมุ้
ประเภทการใช้ประโยชน์
สมุนไพร, พืชประดับ, พืชวัสดุ, พชื ใช้เนอ้ื ไม้, พืชให้ร่มเงา เนอื้ หุ้มเมลด็ แกท้ อ้ งผูก ขบั เสมหะ
ดอกแก้ไข้ เป็นยาระบาย ขับพยาธิไส้เดือน ฝัก นำมาสกัดใช้เป็นส่วนผสมของสารฟอกหนัง ได้แก่
สารแทนนินท่ีใช้สำหรับตกตะกอนโปรตีน เมล็ด ใช้สกัดเอายางเหนียวสำหรับเป็นส่วนผสมของกาว
ในอุตสาหกรรมยา ลำต้น ใช้ทำไม้ก่อสร้าง ไม้เสา ไม้ค้ำยัน เนื้อไม้ แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์
29
ชนิดต่าง ๆ ไม้ และกิ่ง ใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงหาอาหารในครัวเรือน ใบอ่อน ยอดอ่อน และดอกใช้เป็น
ส่วนผสมหรือใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะดอกใชเ้ ป็นอาหารสตั ว์สำหรับกระตุ้นให้เนื้อมสี ีเข้มมากขึน้
สรรพคณุ ของตน้ ราชพฤกษ์
1. เปลือกเช่วยบำรงุ โลหติ ในรา่ งกาย
2. สารสกดั จากลำตน้ และใบของราชพฤกษม์ ฤี ทธ์ชิ ่วยตอ่ ต้านอนมุ ลู อิสระ
3. สารสกัดจากเมลด็ มีฤทธช์ิ ่วยลดระดบั
4. รากช่วยรกั ษาโรคเกย่ี วกับหัวใจหรอื ถุง
5. รากราชพฤกษ์มสี รรพคุณชว่ ยแกไ้ ข้
6. ฝักราชพฤกษ์มีสรรพคณุ ทางยาช่วยแกไ้ ขม้ าลาเรีย
7. ชว่ ยแก้ไข้รูมาติกด้วยการใช้ใบออ่ นนำมาตม้ กับน้ำดื่ม
8. ฝักอ่อนมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีกล่ินเหม็นเอียน เย็นจัด สรรพคุณสามารถใช้ขับ
เสมหะ
9. ฝกั ช่วยแกอ้ าการกระหายนำ้
10. เปลือกเมล็ดและเปลือกฝักมีสรรพคุณช่วยถอนพิษ ทำให้อาเจียน หรือจะใช้เมล็ด
ประมาณ 5-6 เมล็ด นำมาบดเปน็ ผงแล้วรับประทานกไ็ ด้
11. กระพใ้ี ชแ้ ก้อาการปวดฟนั
12. กระพ้ีและแก่นสรรพคณุ ราชพฤกษช์ ว่ ยแกโ้ รครำมะนาด
13. ชว่ ยรกั ษาเดก็ เป็นตานขโมยด้วยการใชฝ้ กั แหง้ ประมาณ 30 กรมั นำมาตม้ กับน้ำด่มื
14. เนอื้ ในฝกั ช่วยบรรเทาอาการแนน่ หนา้ อก
15. ฝักแก่ใช้เป็นยาระบาย ชว่ ยในการขบั ถา่ ย ทำใหถ้ ่ายได้สะดวก ไมม่ วนท้อง
30
พญาสตั บรรณ,ตนี เป็ด
ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Alstonia scholaris (L.) R. Br.
ชอ่ื วงศ์ : APOCYNACEAE
ชอ่ื สามัญ : Devil tree/ White cheesewood
ชอ่ื ท้องถนิ่ : พญาสัตบรรณ ตีนเป็ด (ภาคกลาง)/กะโน้ะ (กะเหร่ียง-แม่ฮ่องสอน)/ จะบัน
(เขมร-ปราจีนบรุ ี)/ ตนี เปด็ ดำ (นราธิวาส)/ บะซา, ปูลา, ปูแล (ปัตตานี, มาเลย์-
ยะลา)/ยางขาว (ลำปาง)/ สัตบรรณ (ภาคกลาง, เขมร-จันทบุรี)/ หัสบรรณ
(กาญจนบรุ )ี
สภาพนเิ วศวิทยา : พบไดท้ กุ ภาคของประเทศไทย ป่าดบิ ชืน้ และรมิ ลำห้วยในป่าเบญจพรรณ
ความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 150-1,200 ม. จากระดับทะเลปานกลาง
เจรญิ เติบโตไดด้ ใี นดินปนทราย ทนแล้ง ทนลม
ถ่ินกำเนิด : แถบเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้
การกระจายพันธ์ุ : เอเชยี ตะวันออก - จีน อนุทวปี อินเดีย พมา่ ไทย กัมพชู า ลาว เวยี ดนาม
มาเลเซยี อนิ โดนีเซีย ฟลิ ิปปินส์ ไปยงั ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะโซโลมอน
บริเวณทพี่ บ : อาคารเรยี น 1
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม่ผลัดใบ สูง 25-40 ม. ทกุ ส่วนมนี ้ำยางสีขาว โคนต้นมักเป็นพูพอน เรือนยอดเป็นชัน เปลือกนอก
สีเทาอ่อนหรือเทาอมเหลือง ค่อนข้างหนา แตกเป็นสะเก็ดไม่เป็นระเบียบ เปลือกในสีเหลืองมีเส้น
สแี ดงตามยาว
ใบ ใบเดี่ยวเรียงกันเป็นวง แต่ละวงมี 5-10 ใบ รูปรีแกมรูปไข่กลับ หรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก
กว้าง 1-8 ซม. ยาว 5-32 ซม. โคนใบสอบรูปล่ิม ปลายเป็นติ่งแหลม ขอบใบเรียบ ใบอ่อนสีน้ำตาลอ่อน
ใบแกส่ เี ขียวเขม้ เส้นใบขนานกัน 20-40 คู่ ก้านใบ ยาว 0.7-1.8 ซม.
ดอก ขนาดเล็ก ดอกออกเป็นช่อท่ีปลายก่ิง ยาว 5-15 ซม. กลีบเล้ียง 5 กลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย
กลีบดอกสีเขียวออกขาวหรือเขียวอมเหลือง 5 กลีบ โคนเช่ือมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นแฉก
แหลม 5 แฉก
ผล สีเขียวมัน ออกเป็นคู่ห้อยลง เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 มม. ยาว 21-56 ซม. ผลแก่แตกตามรอย
ประสานเป็น 2 แฉก เมล็ด รูปขอบขนาน ยาว 5-7 มม. มีขนสีน้ำตาลทองยาวอ่อนนุ่มติดกันเป็น
กระจกุ ทีป่ ลายท้ัง 2 ดา้ น
31
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
สมุนไพร, พืชประดับ, พืชใช้เนื้อไม้, พืชให้ร่มเงา ราก ขับผายลมในลำไส้ แก้ไข้ แก้น้ำดี
ผิดปกติ รักษาโรคมะเร็ง เปลือก ช่วยให้เจริญอาหาร ลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน
แก้หวัด แก้อาการไอ รักษาหลอดลมอักเสบ แก้ไข้ รักษาโรคมาลาเรีย ยาสมานลำไส้ ช่วยขับ
พยาธิไส้เดือน ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย ช่วยขับระดูของสตรี ช่วยขับน้ำนม รักษาผดผื่นคัน ใบ รักษา
โรคเลือดออกตามไรฟัน หรือโรคลักปิดลักเปิด แก้ไข้ รักษาโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ดับพิษ
ยาง แก้อาการปวดหู แก้อาการปวดฟัน ช่วยบำรุงกระเพาะ ช่วยทำให้แผลแห้งเร็ว รักษาแผล
แผลเป่ือย และอาการปวดข้อ ดอก ช่วยแก้โลหิตพิการ ไข้เหนือ ไข้ตัวร้อน เน้ือไม้ ใช้สร้างบ้าน
ใช้ทำโครงสร้างส่วนตา่ ง ๆ ของบา้ น
สรรพคุณของพญาสัตบรรณ
1. เปลอื กตน้ มรี สขม ใช้เปน็ ยาขมช่วยให้เจริญอาหาร
2. เปลือกตน้ สัตบรรณมีสรรพคุณชว่ ยลดระดบั นา้ ตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน
3. นา้ ยางจากต้นใช้หยอดหแู กอ้ าการปวดหูได้
4. นา้ ยางจากต้นใชอ้ ุดฟันเพอ่ื แกอ้ าการปวดฟันได้
5. ใบออ่ นใช้ชงด่มื ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟนั หรอื โรคลักปิดลักเปิดได้
6. เปลอื กต้นใช้แกห้ วัด แกอ้ าการไอ รักษาหลอดลมอกั เสบ
7. เปลือกต้นและใบชว่ ยแก้ไข้
32
มะฮอกกานี
ช่อื วิทยาศาสตร์ : Swietenia mahogani (L.) Jacq.
ช่อื วงศ์ : MELIACEAE
ชือ่ สามัญ : West indian mahogany
สภาพนเิ วศวทิ ยา : เจริญเติบโตได้ดีในดินรว่ น แสงแดดจดั
ถิน่ กำเนดิ : ประเทศฮอนดูรัส อเมริกากลาง อเมรกิ าใต้ และหมู่เกาะอินดสี ตะวันตก
ประเทศไทยพบได้ทุกภาค นำเข้ามาปลูกครั้งแรกทจ่ี ังหวัดเพชรบรุ ี
การกระจายพนั ธุ์ : เอเชีย อเมรกิ า
บริเวณท่พี บ : อาคารเรยี น 1
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ลักษณะของต้นมะฮอกกานี จะมีลำต้นสูงประมาณ 15-20 เมตร โดยมขี นาดเป็นทรงพุ่ม กว้าง
ประมาณ 4-6 เมตร เปลือกของลำต้นมีความหยาบ หนา และขรุขระ แตกออกเป็นร่องตามทางยาว
ของลำต้น และบางคร้ังอาจหลุดลอกออกเป็นสะเก็ดเล็กๆ โดยเปลือกจะมีมีสีน้ำตาลปนสีดำ หรือมี
สีนำ้ ตาลอมเทา
ใบ ลักษณะของใบมะฮอกกานีเป็นใบประกอบแบบขนนก ซ่ึงออกเวียนเรียงสลับกัน โดยมีใบย่อย
ประมาณ 3-4 คู่ ใบจะออกตรงข้ามกันหรือเยื้องกันเล็กน้อย ใบของมะฮอกกานีจะมีลักษณะเป็น
รูปทรงรี มคี วามกว้างประมาณ 5-6 เซนติเมตรและยาว 10-15 เซนตเิ มตร โคนใบมนเบ้ยี ว สว่ นปลาย
ใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบจะมีสีเขียวคล้ายแผ่นหนัง โดยมีก้านใบยาวประมาณ 0.3 – 0.5
เซนติเมตร
ดอก ดอกของมะฮอกกานี จะมีสเี หลอื งหรือเหลืองแกมสีเขียว ดอกมีขนาดเล็กและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ซ่ึงจะออกดอกตามซอกใบหรอื บริเวณปลายกิ่ง กลีบเล้ยี งดอกมีสีเขียวอ่อนประมาณ 5 กลีบ และกลีบ
ดอก 5 กลีบ เม่ือดอกบานเตม็ ที่ดอกจะมีความกว้างประมาณ 0.5-1.0 เซนติเมตร เกสรตัวผู้มี 10 อัน
ก้านเกสรเช่ือมติดกันคล้ายรูปแจกัน มีสีแดง ส่วนก้านเกสรตัวเมียสั้นและยอดเกสรตัวเมียจะแผ่แบน
คล้ายกับรม่
ผล มะฮอกกานีจะออกผลเป็นลักษณะผลเดี่ยว ท่ีมีขนาดใหญ่ รูปทรงกลมหรือรูปทรงรี ผลมีสีน้ำตาล
เปลือกหนาและแข็ง โดยมีความกว้างประมาณ 7-12 เซนติเมตรและยาว 10-15 เซนติเมตร เมื่อผล
แก่จะแตกออกเป็น 5 พู ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมากเมล็ด เมล็ดมีสีน้ำตาลแบนและบาง โดยมีปีก
บาง ๆ กว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร และยาว 5-6 เซนตเิ มตร
33
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
ใช้สร้างเป็นร่มเงา ทำให้เกิดความร่มรื่น นิยมปลูกไว้ที่บริเวณบ้านเรือน โรงจอดรถ หรือริม
ถนน ยิ่งปลูกเป็นต้นเด่ียวเรียงกันเป็นแถวตามแนวรั้วหรือกำแพง ก็จะสามารถช่วยปิดบังสายตาจาก
คนภายนอก ทำให้ดูมีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งข้ึน มะฮอกกานีเป็นไม้ยืนต้น ท่ีมีเน้ือไม้แข็งแรง
ทนทาน สามารถนำมาแปรรูปเป็นส่งิ ของเคร่อื งใช้ หรอื ใช้สร้างบ้านทำเครอ่ื งดนตรี ฯลฯ
สรรพคณุ ของมะฮอกกานี
1. เปลือกสามารถนามาต้มเป็นยาเจริญอาหาร เนื่องจากมีสารเทนนินเป็นส่วนประกอบและ
มีรสฝาด
2. เปลือกนามาใช้ตม้ ด่ืมเป็นยาแกไ้ ข้
3. เนือ้ ในฝักเป็นยาระบายออ่ น ๆ
4. เมลด็ มรี สขมฝาดใชเ้ ปน็ ยาแกไ้ ขพ้ ษิ หรือบรรเทาอาการปวดศรี ษะ
34
ประดู่
ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Pterocarpus macrocarpus Kurz
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ชอ่ื สามญั : Burma padauk
ชือ่ ท้องถน่ิ : จิต๊อก (เง้ียว-แม่ฮ่องสอน)/ ฉะนอง (เชียงใหม่)/ ดู่ ดู่ป่า (ภาคเหนือ)/ ตะเลอ
เตอะเลอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)/ ประดู่ ประดู่ป่า (ภาคกลาง)/ ประดู่เสน
(ราชบุรี, สระบรุ ี)
สภาพนเิ วศวทิ ยา : ข้ึนอยู่ในป่าเบญจพรรณชื้น และป่าดิบแล้งท่ัวไป พบท่ีความสูงจากระดับทะเล
ปานกลาง 100-600 ม.
ถนิ่ กำเนดิ : กัมพูชา ลาว พม่า ไทย เวียดนาม
การกระจายพนั ธุ์ : กมั พชู า ลาว พมา่ ไทย เวียดนาม อสั สัม คิวบา เปอร์โตริโก
บรเิ วณท่พี บ : อาคารเรียน 1
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ต้นประดู่จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสูงประมาณ 20-25
เมตร หรืออาจสูงกว่า จะผลัดใบก่อนการออกดอก แตกก่ิงก้านเป็นทรงพุ่มกว้าง และปลายก่ิงห้อย
ลงเปลือก ลำตน้ หนาเปน็ สนี ้ำตาลเทา แตกหยาบ ๆ เป็นร่องลึก
ใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี ออกรวมกันเป็นช่อๆ ใบออกเรียงสลับ แต่ละช่อจะมีใบย่อย
ประมาณ 7-13 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปมนรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบ
มนหรือค่อนข้างแหลม ส่วนขอบใบเรียบไม่มีหยัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร และยาว
ประมาณ 4-13 เซนติเมตร แผ่นใบหนาเป็นสีเขียว ผิวใบมีขนสั้น ๆ ปกคลุมด้านท้องใบมากกว่า
ด้านหลังใบ ก้านใบอ่อนมีขนขึ้นปกคลมุ เล็กน้อย เส้นแขนงใบถ่ีโค้งไปตามรูปใบ เปน็ ระเบียบ โคนก้านใบ
มีหใู บ 2 อนั ลกั ษณะเป็นเส้นยาว
ดอก ดอกประดู่ ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ โดยจะออกบริเวณซอกใบหรือท่ีปลายก่ิง โคนก้าน
มีใบประดับ 1-2 อัน ลักษณะเป็นรูปรี กลีบเล้ียงดอกมี 5 กลีบ ติดกันเป็นถ้วยสีเขียว ปลายแยก
เป็นแฉก 2 แฉก แบ่งเป็นอันบน 2 กลีบติดกัน และอันล่าง 3 กลีบติดกัน ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ
สีเหลืองแกมแสด ลักษณะของกลีบเป็นรูปผีเสื้อ ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านชูอับเรณูติดกันเป็น
2-3 กลุ่ม ส่วนเกสรเพศเมียมี 1 อัน ดอกมีกล่ินหอมแรง จะบานและร่วงพร้อมกันท้ังต้น โดยจะออก
ดอกในชว่ งเดอื นมีนาคมถงึ เดอื นเมษายน
35
ผล เป็นผลแห้งแบบ samaroid ลักษณะของผลเป็นรูปกลมหรือรีแบน ที่ขอบมีปีกบางคล้ายกับใบ
โดยรอบคล้าย ๆ จานบิน แผ่นปีกบิดและเป็นคล่ืนเล็กน้อย นูนตรงกลางลาดไปยังปีก ผลมีขนาดเส้น
ผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-7 เซนติเมตร ส่วนบริเวณปีกยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร ท่ีผิวมีขน
ละเอียด ตรงกลางนูนป่องเป็นท่ีอยู่ของเมล็ด โดยภายในจะมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด เมล็ดมีความนูน
ประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียวแกมเหลือง เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน
ผิวสัมผัสขรุขระเม่ือผลแก่ ส่วนเมล็ดมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดถ่ัวแดง ผิวเรียบสีน้ำตาล ยาวประมาณ
0.5-1 เซนติเมตร
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
สมุนไพร, พืชประดับ, พืชใช้เนื้อไม้, พืชให้ร่มเงา นิยมปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงา เน้ือไม้ มีสีแดง
อมเหลือง มีลวดลายสวยงาม แข็งแรง ใช้ในงานก่อสรา้ ง ทำเสา พื้น ต่อเรือ เครอ่ื งเรือน เคร่ืองดนตรี
แก่นสีแดงคล้ำใช้ย้อมผ้า และเปลือกให้น้ำฝาดใช้ฟอกหนัง ราก ต้มน้ำด่ืมรักษาโรคบิด เปลือกต้น
ตม้ น้ำด่ืมแก้อาการทอ้ งเสยี
สรรพคณุ ของประดู่
1. เปลือกตน้ มีรสฝาดจดั มีสรรพคณุ เป็นยาบารงุ ร่างกาย
2. แก่นเนอ้ื ไมป้ ระดู่ มีรสขมฝาดร้อน มีสรรพคณุ เปน็ ยาบารงุ โลหิต บารุงกาลงั บารุงธาตุ
3. แก่นเนอ้ื ไม้ใช้ตม้ กบั น้ากินเป็นยาแกไ้ ข้ แกพ้ ิษไข้ รากใช้เปน็ ยาแก้ไข้ แก้พิษไข้
4. แก่นเน้อื ไมใ้ ชต้ ้มกบั น้ากนิ เปน็ ยาแกเ้ สมหะ
5. ใบนามาตากแห้งใชช้ งกับน้ารอ้ นเป็นชาใบประดู่ นามาดืม่ จะช่วยบรรเทาอาการระคาย
6. ชว่ ยแกเ้ ลอื ดกาเดาไหล ดว้ ยการใชแ้ กน่ เน้อื ไมน้ ามาต้มกับน้ากนิ เปน็ ยา
7. ผลมรี สฝาดสมาน มีสรรพคณุ เปน็ ยาแกอ้ าเจียน
8. เปลือกตน้ ใช้เปน็ ยาแกป้ ากเป่อื ย ปากแตก สว่ นยางก็มสี รรพคณุ เป็นยาแกโ้ รคปากเปือ่ ย
9. ผลมสี รรพคณุ เป็นยาแก้ทอ้ งร่วง
10. เปลือกต้นและยางมสี รรพคณุ เปน็ ยาแกอ้ าการท้องเสีย
11. ใชเ้ ปน็ ยาแกโ้ รคบิด
12. แกน่ มสี รรพคุณเปน็ ยาขับยาเสมหะ
13. ใบออ่ นนามาตาใหล้ ะเอียด ใช้เป็นยาพอกแผล พอกฝี จะชว่ ยทาใหฝ้ สี ุกหรอื แห้งเรว็
36
14. ใบอ่อนใชต้ าพอกแก้ผดผน่ื คัน สว่ นแก่นก็มสี รรพคุณเป็นยาแกผ้ ืน่ คันเช่นกนั
15. ยางไมป้ ระดู่มสี ารชนิดหน่ึงท่ีเรียกว่า "Gum Kino" สามารถนามาใชเ้ ป็นยาแก้โรคท้องเสยี
16. แก่นเนื้อไมใ้ ช้เปน็ ยาแกโ้ รคคุดทะราด ดว้ ยการนาแก่นไมม้ าตม้ กับนา้ กิน
17. เปลอื กต้นมรี สฝาด มีสรรพคุณเปน็ ยาสมานบาดแผล
37
สกั
ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Tectona grandis L. f.
ช่อื วงศ์ : LAMIACEAE
ชื่อสามญั : Teak
ช่ือท้องถนิ่ : เคาะเยียโอ(เชยี งใหม่)/ ปายี้ (กาญจนบรุ ี)/ ปฮี ี ปีฮือ เปอ้ ยี(แม่ฮอ่ งสอน)/
เสบ่ ายี้ (กำแพงเพชร)
สภาพนิเวศวิทยา : พบท่ีความสูงจากระดบั ทะเลปานกลาง 500 ม.
ถ่นิ กำเนิด : อัสสัม บังคลาเทศ กมั พชู า อินเดยี ลาว พมา่ ไทย เวียดนาม
การกระจายพันธุ์ : เอเชยี ตะวันออก - อนุทวปี อินเดยี พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม
บรเิ วณทพี่ บ : สนามบาสเกตบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ ท่ีมีความสูงของต้นตั้งแต่ 20 เมตรขึ้นไป และอาจสูงได้ถึง
30 เมตร มีลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลมค่อนข้างทึบ เปลือกต้นหนาเป็นเทา หรือ
สีน้ำตาลอ่อนแกมเทา เปลือกต้นเรียบหรือแตกเป็นรอ่ งเล็ก ๆ ตามความยาวของลำต้น พอต้นแก่โคนต้น
จะเป็นร่องและมีพูพอนขึ้นบ้างเล็กน้อย ตามกิ่งอ่อนเป็นรูปเหล่ียม ตามก่ิงอ่อนและยอดอ่อนมีขน
สีเหลือง สว่ นลกั ษณะของเน้ือไม้จะเป็นสีนำ้ ตาลทอง (เรยี กว่า "สักทอง") ถึงสีน้ำตาลแก่ และมักมีเส้น
สีน้ำตาลแก่แทรกอยู่ (เรียกว่า "สักทองลายดำ") เน้ือไม้สักเป็นเสี้ยนตรง เน้ือหยาบ มีความแข็ง
ปานกลาง
ใบ เป็นใบเดี่ยว แตกออกจากก่ิงเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ในแต่ละคู่จะต้ังฉากสลับกันไปตามความยาว
ของก่ิง ลักษณะของใบเป็นรูปรีกว้าง หรือรูปไข่กลับ ปลายใบมีหางส้ัน ๆ โคนใบสอบ ส่วนขอบใบ
เรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 12-35 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-60 เซนตเิ มตร พื้นใบด้านบน
และด้านลา่ งสากมือ ท้องใบเป็นสีเขียวและมีขนปกคลมุ มีกา้ นใบยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร ท่ที ้อง
ใบของใบอ่อนเมื่อนำมาขยี้แล้วจะมีสีแดงคล้ายเลือด โดยจะผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง (ประมาณเดือน
พฤศจิกายนถึงเดอื นมกราคม) และจะแตกใบใหม่ในช่วงเดอื นเมษายนถึงเดือนมิถนุ ายน
ดอก ดอกออกเป็นช่อแยกแขนงขนาดใหญ่ท่ีปลายก่ิง ยาว 50 ซม. กลีบเล้ียงสีเขียว 5 กลีบ ยาว
ประมาณ 3 ซม. เช่ือมติดกันเป็นรูประฆัง มีขนปกคลุม กลีบดอกสีขาว 5 กลีบ เช่ือมติดกันเป็น
รูปกรวย แผ่บานโค้งไปด้านหลัง เกสรเพศผู้ 5 อัน ผล รูปกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-1.5 ซม. มีขน
สนี ้ำตาลปกคลุม ภายในมี 4 ชอ่ ง แต่ละช่องมี 1 เมล็ด
38
ผล สัก ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมแป้น มีขนาดเส้นผา่ นศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซติเมตร ผลจะมี
ช้ันของกลีบเลีย้ งหุ้มอยู่ มลี กั ษณะพองลมและบาง เป็นสเี ขยี ว ในผลหน่งึ ผลจะมเี มลด็ อยปู่ ระมาณ 1-4
เมล็ด (โดยทั่วไปเรียกผลสักว่า "เมล็ดสัก") และเมื่อผลแก่จัดจะเปล่ียนเป็นสีน้ำตาล (ผลจะเร่ิมแก่
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม) เมล็ดจะอยู่ในช่อง ช่องละ 1 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็น
รปู ทรงไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 0.4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 0.6 เซนตเิ มตร ซ่ึงเมล็ดจะเรียงไป
ตามแนวตง้ั ของผลสกั ในแตล่ ะเมล็ดจะถูกหอ่ หุ้มไปดว้ ยเปลอื กหุ้มเมลด็ ทม่ี ีลักษณะบาง
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
พืชประดับ, พืชวัสดุ, พืชใช้เน้ือไม้, พืชให้ร่มเงา ไม้สักให้เนื้อไม้ทนทาน สวยงาม ใช้ในการ
กอ่ สร้างบ้านเรือน ต่อเรอื รถ แกะสลัก เครื่องมอื กสิกรรม ลักษณะเน้อื ไม้สเี หลืองถึงสีนำ้ ตาลมักมีเส้น
สีแกแ่ ทรกเล่ือยไสกบตกแตง่ ชักเงาได้ง่ายและดีมาก
สรรพคณุ ของสกั
1. ใบนามาต้มกบั นา้ รับประทานเปน็ ยาลดระดับนา้ ตาลในเลอื ด
2. เนอื้ ไม้และใบมีรสเผด็ เล็กน้อย สรรพคุณเปน็ ยาบารงุ โลหิต
3. ใบมีรสเผด็ เลก็ น้อย มีสรรพคณุ เปน็ ยาแกพ้ ิษโลหติ
4. เนือ้ ไมช้ ว่ ยแก้อาการออ่ นเพลยี
5. เปลอื กไม้มีสรรพคณุ แกอ้ าการปวดศีรษะ
6. เมลด็ ใชเ้ ป็นยารักษาโรคตา
39
มะคา่ โมง
ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib
ช่อื วงศ์ : FABACEAE
ช่อื สามัญ : Black Rosewood
ชื่อทอ้ งถ่นิ : มะค่าใหญ่ (ภาคกลาง)/ มะค่าหลวง มะค่าหวั ดำ (ภาคเหนอื )
สภาพนเิ วศวิทยา : กระจัดกระจายตามริมธารในป่าเบญจพรรณช้ืน และป่าดงดิบ พบท่ีความสูง
จากระดบั ทะเลปานกลาง 100-650 ม.
ถิน่ กำเนดิ : เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้
การกระจายพนั ธุ์ : อินเดยี ถงึ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้
บรเิ วณทีพ่ บ : สนามบาสเกตบอล
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ยืนต้นสูงถึง 30 ม. เรือนยอดกว้างและกลม ลำต้นอ้วนส้ัน เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 100
ซม. มักจะแตกก่ิงก้านสาขากว้าง เปลือกต้นสีทำอ่อนหรือออกสีเหลือง ค่อนข้างขรุขระ โคนต้นเป็น
พูพอนสงู ได้ถึง 2 ม.
ใบ ผลัดใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ มีใบย่อย 3-5 คู่ ออกตรงข้าม ใบย่อยกว้าง 4-5 ซม. ยาว
5-9 ซม. โคนใบกลม ปลายใบป้านหรือมีติ่ง ยอดอ่อนมีขนเล็กน้อย ใบแก่เรียบ ใต้ท้องใบจะมีนวล
เลก็ น้อย ก้านใบย่อย ยาว 0.3-0.5 ซม. มีหูใบเล็กร่วงง่าย
ดอก ดอกช่อแบบกระจะหรือแยกแขนง ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ ยาว 5-15 ซม. กลีบเล้ียงสีเขียวสด
4 กลบี ขอบขนาน ดา้ นนอกคลา้ ยกำมะหยี่ กลีบดอกสีเขยี วอ่อน 4 กลบี กลีบดอก 1 กลบี มสี ีแดงตรง
โคนกลีบ เกสรเพศผู้ 7-8 อนั มี 3 กลีบทีส่ ั้นและเปน็ หมนั เกสรเพศเมยี มขี นาดเลก็
ผล เป็นฝักแบนรูปขอบขนาน กว้าง 7-8 ซม. ยาว 12-20 ซม. ผิวหนาและแข็ง สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
ฝกั แตกเป็น 2 ซกี เมล็ด รปู ขอบขนาน1.5-3.0 ซม. เมลด็ แขง็ สีดำเปน็ มนั มเี นือ้ สสี ม้ ห้มุ เป็นกระจกุ
ประเภทการใช้ประโยชน์
สมุนไพร, พืชวัสดุ, พืชใช้เนื้อไม้เมล็ด ขับพยาธิ รักษาโรคผิวหนัง เมล็ดอ่อนรับประทานได้
จกุ ของเมลด็ ฝนละลายน้ำดื่มแก้อาหารเป็นพษิ ไม้ สร้างบ้านเรอื น ทำเครื่องเรือนคณุ ภาพดี
40
สรรพคุณมะคา่ โมง
1. เปลอื กลำต้น ตม้ นำ้ ด่ืมใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
2. เปลอื กลำต้น ตม้ น้ำด่มื รกั ษารดิ สีดวง
3. เปลอื กลำต้น ต้มน้ำดื่มแกท้ อ้ งเสยี
4. เปลอื กลำตน้ ตม้ นำ้ ดม่ื รักษาโรคบิด
5. เปลอื กลำตน้ ต้มนำ้ อาบหรือใชบ้ ดทารักษาโรคผวิ หนัง
6. เปลือกลำต้นตม้ น้ำอาบหรือใช้บดทาใชท้ ารกั ษาแผล
7. เมลด็ แก่นำมาผ่าใหเ้ ห็นเนื้อเมล็ด ก่อนใช้กดทับแผลท่ีถกู แมลงกัดต่อย เพ่ือบรรเทาอาการ
ปวด
41
แคทราย
ช่ือวิทยาศาสตร์ : Stereospermum fimbriatum (Wall. ex G. Don) A. DC.
ชอ่ื วงศ์ : BIGNONIACEAE
ชื่อสามญั :-
ชื่อทอ้ งถน่ิ : แคทราย (เชียงใหม่) แคฝอย (กระบี่ภาคเหนือ ปัตตาน)ี แคยอดดำ
(สรุ าษฎร์ธาน)ี จจี า (มลายู-นราธวิ าส) จจี า (มลายู-ปัตตาน)ี
สภาพนิเวศวิทยา : พบข้ึนในปา่ เบญจพรรณผสมเต็งรงั
ถิ่นกำเนิด : -
การกระจายพันธ์ุ : พบมากตามป่าเบญจพรรณชน้ื และปา่ สนท่ีสงู จากระดับน้ำทะเล 200-50 ซม.
บรเิ วณท่พี บ : สนามบาสเกตบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก ถึงขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 8-20 เมตร ลำต้นค่อนข้างเปลาตรง เปลือกสนี ้ำตาล
ปนเทาอ่อน เรอื นยอดทรงรูปไข่คอ่ นข้างทึบ มีขนสีเทาคลุมสว่ นออ่ นทั่วไป
ใบ ใบประกอบ แบบขนนกปลายคี่ ใบย่อยรูปหอกหรือไข่แกมรูปหอก หรือบรรทัดแกมรูปหอก ปลายใบ
ยาวเรียว ฐานใบมนหรือหยักเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบ ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลเหลืองคลุมหนาแน่น
ทง้ั สอง
ดอก ดอกออกรวมกันเป็นช่อ ท่ีเหนือรอยแผลใบและปลายก่ิง ยาว 5-14 เซนติเมตร สีขาวเขียว โคนดอก
เป็นรูปถ้วยปากกว้าง ส่วนบนแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกติดกันเป็นหลอดรูปทรงกระบอก ยาว 4-6
เซนติเมตร ปลายดอกโค้งกลับเป็นกลีบย่น และเว้าแหว่ง ด้านในจะมีเส้นร้ิวสีม่วง เกสรผู้มี 2 คู่
สั้นหน่งึ คู่ และยาวหนึ่งคู่ ตดิ อยู่ท่ีโคนกลีบดอกด้านใน รงั ไข่ รูปรี
ผล ผลแบบฝัก ทรงกระบอก ยาวและเรียว มักจะบิดงอเมื่อฝักแก่ มีสันนูนเล็กน้อยตามส่วนยาว
ของฝัก 4 สัน มีขนปกคลมุ ประปราย เปลือก:เปลอื กเรยี บสีน้ำตาลแดง
ประเภทการใช้ประโยชน์
อาหาร, เคร่ืองจักสานและเคร่ืองใช้สอย, เชื้อเพลิง, ผลรับประทานได้ เน้ือไม้ค่อนข้างแข็ง
เหมาะใช้ทำฟืน ฝากระดาน สรรพคุณ น้ำคั้นจากใบ หยอดแก้เจ็บหู ตำใบผสมกับน้ำมะนาว ทาแก้คัน
ตามผิวหนัง นำ้ ตม้ ของราก เป็นยาบำรุงหลงั การคลอดบตุ ร แกไ้ ข้ แกเ้ สมหะ
42
สรรพคุณของแคทราย
1. ดอกมรี สชาติหวานและเย็น สามารถนามาทาอาหารลวกจิ้ม สามารถนามาช่วย ขบั เสมหะ
ขับเลือดประจาเดอื น ขับเลือด ช่วยเจรญิ อาหาร และขบั ลมได้
2. เมลด็ มรี สชาติหวานและเย็น สามารถชว่ ยแกอ้ าการปวดเมอื่ ย แก้อาการโรคชกั
3. รากมรี สชาติหวานและเยน็ สามารถช่วย แกเ้ สมหะ ขบั ลม และบารงุ โลหติ
4. เปลือกมีรสชาติหวานและเย็น สามารถช่วยแก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยขับเลือด
ใช้สาหรบั สตรีหลังคลอด
5. ใบมีรสเย็น เมอ่ื นามาบด และน้ามาพอกแผลได้ รักษาแผลในช่องปาก และนามาบ้วนปาก
ชว่ ยรกั ษาแผลในชอ่ งปาก
43
สะเดา
ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Azadirachta indica A. Juss.
ช่ือวงศ์ : MELIACEAE
ชื่อสามญั : Neem
ชื่อทอ้ งถ่ิน : กะเดา (ภาคใต)้ / จะตงั (ส่วย)/ สะเลยี ม (ภาคเหนือ, อุตรดิตถ)์
สภาพนิเวศวทิ ยา : ในธรรมชาติพบกระจายบริเวณป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ท่ีความสูงจาก
ระดบั ทะเลปานกลาง 50-300 ม. ในทุกภาคยกเวน้ ภาคใต้
ถน่ิ กำเนดิ : อนุภมู ภิ าคอินเดีย ได้แก่ อนิ เดีย เนปาล ปากีสถาน บงั คลาเทศ ศรลี ังกา
และมลั ดฟี ส์
การกระจายพันธ์ุ : กระจายพนั ธ์ุในเขตรอ้ น เขตกึง่ ร้อน
บรเิ วณทพี่ บ : สนามบาสเกตบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 8-15 ม. ทุกส่วนมีรสขม ลักษณะเรือนยอดเป็นพุ่มหนาทึบตลอดปี
มีระบบรากที่แข็งแรงกว้างขวางและหยั่งลึก เปลือกไม้ค่อนข้างหนา สีน้ำตาลเทาหรือเทาปนดำ
แตกเป็นร่องต้ืนๆหรอื เป็นสะเกด็ ยาวๆ เย้ืองสลับกันไปตามความยาวของลำตน้ เปลือกของก่ิงค่อนข้างเรียบ
เน้ือไม้มีสีแดงเข้มปนน้ำตาล เส้ียนค่อนข้างสับสนเป็นริ้วๆ แคบ เนื้อหยาบเป็นมัน เลื่อม แข็งทนทาน
แกนมสี นี ้ำตาลแดง
ใบ มีสีเขียวเข้มหนาทึบ ออกเป็นช่อแบบขนนก ยาว 15-40 เซนติเมตรมีใบย่อย 4-7 คู่ ขอบใบหยักเล็กน้อย
หรือเกือบเรียบการเรียงตัวของใบแบบสลับ ใบย่อยเรียงตัวแบบตรงกันข้าม ในพ้ืนท่ีที่แล้งจัดจะท้ิงใบ
เฉพาะส่วนล่างๆ ประมาณเดือนมกราคม - มีนาคม และใบใหม่จะผลิขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงเดือน
มีนาคม - เมษายน ช่วงนีส้ ะเดาจะแทงยอดอ่อนพุ่งข้ึนอยา่ งรวดเร็ว
ดอก ออกเป็นช่อตามปลายก่ิงพร้อมใบอ่อน ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกมี 5 กลีบ สีขาวหรือเหลืองอ่อน
หลอดเกสรตัวผู้รูปทรงกระบอก มีอับเรณู 10 อัน ด้านนอกเรียบ ด้านในมีขน ก้านเกสรตัวเมียยาว
ปลายแยกเป็น 3-6 พู รงั ไข่มีหมอนรองดอกรูปถว้ ย
ผล ผลสด รปู กลมรี เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 1.0-1.5 ซม. มีเมลด็ เดยี่ ว แข็ง
44
ประเภทการใช้ประโยชน์
อาหาร, สมุนไพร, พืชประดับ, พืชให้ร่มเงา เมล็ด มีสาร azadirachtin ซ่ึงมีฤทธิ์ฆ่าแมลง
ลำต้นใช้เปลือกแก้ท้องเดิน ใช้แก้บิดมูกเลือด ดอก นิยมนำมารับประทานเป็นยาบำรุงธาตุ ผล เป็นยาถ่ายพยาธิ
แก้รดิ สีดวง แก้ปสั สาวะพกิ าร ราก ใช้แก้ไข้ ทำใหอ้ าเจยี น
สรรพคณุ ของสะเดา
1. ดอก ยอดอ่อน แก้พิษโลหิต กำเดา แกร้ ิดสีดวงในลำคอ คันดุจมีตัวไต่อยู่ บำรุงธาตุ ขับลม
ใชเ้ ปน็ อาหารผักได้ดี
2. ขนอ่อน ถา่ ยพยาธิ แก้ริดสดี วง แกป้ ัสสาวะพิการ
3. เปลือกต้น แก้ไข้ เจริญอาหาร แกท้ ้องเดนิ บดิ มกู เลอื ด
4. ก้านใบ แกไ้ ข้ ทำยารักษาไข้มาลาเรยี
5. กระพี้ แกถ้ งุ นำ้ ดีอักเสบ
6. ยาง ดบั พิษรอ้ น
7. แกน่ แก้อาเจยี น ขบั เสมหะ
8. ราก แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ ซ่ึงเกาะแนน่ อยู่ในทรวงอก
9. ผล มสี ารรสขม ใช้เปน็ ยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แก้โรคหวั ใจเดินผดิ ปกติ
10. เปลือกราก เปน็ ยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้อาเจียน แกโ้ รคผิวหนงั
11. น้ำมันจากเมลด็ ใช้รกั ษาโรคผวิ หนงั และยาฆ่าแมลง
45
ล่นั ทมแดง
ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Plumeria rubra L.
ช่อื วงศ์ : APOCYNACEAE
ชือ่ สามัญ : Frangipani
ช่ือท้องถน่ิ : จำปาขอม (ใต,้ พังงา) / จำปาขาว(ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) / จำปาลาว(เหนอื )
สภาพนิเวศวทิ ยา : ชอบดินท่ีค่อนข้างแห้ง ข้ึนตามพ้ืนดินที่มีหินและภูเขาลาดชัน ท่ีระดับความสูง
500-1,000 เมตร แต่สามารถพบไดถ้ ึง 1,500 เมตร
ถนิ่ กำเนิด : อเมรกิ าใต้ และอเมรกิ าเหนอื
การกระจายพนั ธุ์ : ปลูกกันอยา่ งแพรห่ ลายในฐานะทีเ่ ปน็ ไมป้ ระดับในเขตร้อนช้ืนทั่วโลก
บริเวณทีพ่ บ : สนามบาสเกตบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-8 ม. ขนาดทรงพุ่ม 6-8 ม. ผลัดใบ ทรงพุ่มรูปไข่ หรือรูปร่ม แผ่กว้าง โปร่ง
ลำตน้ และกิ่งอวบนำ้ เปลือกตน้ สีน้ำตาลปนเทา เรยี บ ทกุ ส่วนมนี ำ้ ยางสีขาว
ใบ ใบเด่ียวออกเวียนสลับถี่ บริเวณปลายกิ่ง รูปใบหอกหรือใบหอกกลับ กว้าง 3-7.5 ซม. ยาว 15-50 ซม.
ปลายและโคนแหลม
ดอก ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว สีม่วงเข้ม ยาว 7-18 ซม.ดอกคล้ายดอกลั่นทมทั่วไปต่างกัน
ที่ดอกสีแดง ด้านนอกเป็นสีแดงเข้ม มีกล่ินหอมออกเป็น กลีบดอกโคนเช่ือมกันเป็นหลอด ปลายแยก
เป็น 5 กลีบ ซอ้ นเหล่ือมกัน ปลายกลีบแหลมหรือมีต่ิงแหลม เมื่อบานเส้นผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 5-10 ซม.
เกสรตัวผู้ 5 อันสนั้ ผล เป็นฝกั คู่ รูปยาวรี กว้าง 2-3 ซม. ยาวประมาณ 30 ซม.
ผล แห้งแตกตะเข็บเดียว เป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้าง 1.5 ซม. ยาว 15 ซม. สีเขียวเข้ม เมื่อสุกสีน้ำตาล
อมดำ เมล็ดแบน และมปี กี เมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมาก ออกดอกติดผลตลอดปี ขยายพันธุโ์ ดยการเพาะ
เมล็ด หรอื ปักชำก่งิ ควรปกั ชำในทราย
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
สมุนไพรและพืชประดับ น้ำยางมีประสิทธิภาพสำหรับโรคหนองในและกามโรค เปลือกท่ีขูด
ถูกใช้เพื่อรักษาหิดและแผลจากปลาท่ีเป็นพิษ ทางด้านเคมี เป็นตัวกระตุ้นมดลูก ยาต้านเช้ือรา ต้าน
เชอ้ื แบคทีเรยี
46
สรรพคณุ ของลน่ั ทมแดง
1. ดอกลีลาวดใี ชผ้ สมกับพลู ทาเปน็ ยาแก้ไข้และไขม้ าลาเรยี
2. รากชว่ ยรกั ษาไขห้ วดั
3. เนอื้ ไมใ้ ช้ปรงุ เป็นยาแก้ไอ
4. ยางและแกน่ ช่วยถ่ายเสมหะและโลหิต
5. รากชว่ ยขบั เหงื่อ แก้รอ้ นใน
6. ช่วยรกั ษาโรคหดื หอบ ด้วยการใชใ้ บลีลาวดีแห้งนามาชงกับน้ารอ้ นดืม่
7. ยางจากตน้ ลีลาวดีใชผ้ สมกบั ไมจ้ ันทร์และการบูรทาเปน็ ยาแก้อาการปวดฟัน
8. ลาต้นมีการนามาใชป้ รุงเปน็ ยารักษาโรคลาไส้พิการของมา้
9. เน้ือไม,้ ยางจากต้น, เปลอื กรากและ เปลอื กต้นใชป้ รุงเป็นยาถา่ ย
10. เปลือกรากชว่ ยขบั ลมในกระเพาะ
11. ใช้เปลอื กต้นผสมกบั นา้ มันมะพรา้ ว มนั เนย และขา้ ว ทาเปน็ ยาแก้ทอ้ งเดิน
12. ใช้เปลอื กต้นผสมกับน้ามนั มะพรา้ ว มนั เนย และขา้ ว ทาเป็นยาขบั ปสั สาวะ
13. ฝักนามาฝนเพ่อื นามาใชท้ าแก้รดิ สดี วงทวารได้
14. เปลอื กตน้ ชว่ ยขับระดู
15. เนอ้ื ไม้ช่วยในการขบั พยาธิ
16. เปลือกรากปรุงเป็นยารกั ษาโรคหนองใน
17. ชว่ ยรกั ษาโรคโกโนเรียหรอื โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)