47
หูกระจง
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Terminalia ivorensis A. Chev.
ชื่อวงศ์ : COMBRETACEAE
ชือ่ สามัญ : Black afara
ชอ่ื ทอ้ งถนิ่ : หกู วางแคระ (กทม.)
สภาพนเิ วศวิทยา : ถูกพบท่ีเขตร้อนชื้น เหนือระดับทะเลปานกลาง 1,200 ม. อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี
20-33 องศาเซลเซียส และปรมิ าณน้ำฝนเฉลี่ยรายปี 1,250-3,000 มม.
ถิ่นกำเนิด : ทางตะวันตกของแอฟริกาเขตรอ้ น
บรเิ วณทีพ่ บ : สนามฟตุ บอล
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ข้ึนอยู่ในป่าผลัดใบ สูงต้ังแต่ 15-46 ม. ลำต้นต้ังตรง นอกจากนี้ยังมีร่อง
สามารถแตกก่ิงก้านได้ถึง 30 ม. และมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 2.0-4.8 ม. ทรงพุ่มแผ่เป็นช้ัน ๆ หนาทึบ
แตกก่ิงตง้ั ฉากกบั ลำตน้ เมือ่ ต้นโตเตม็ ท่ีปลายก่ิงจะลูล่ ง เปลือกตน้ สนี ้ำตาล
ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ท่ีปลายกิ่ง รูปไข่กลับ กว้าง 1 -1.5ซม. ยาว 1.5-3 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม
โคนใบสอบแคบเว้า และมีต่อม 1 คู่ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาและเหนียว สีเขียวเรียบเป็นมั น
ใบออ่ นสนี ำ้ ตาลอมเขียว กา้ นใบยาวประมาณ 0.4 ซม.
ดอก สขี าว ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกมีลักษณะเป็นแท่ง โคนกลบี เล้ียง
เช่ือมติดกัน ปลายแยกเป็น5 แฉก รูปสามเหล่ียม ไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้อยู่ปลายช่อ ดอกสมบูรณ์
เพศอยบู่ ริเวณโคนชอ่ เกสรเพศผู้ 10 อัน
ผล ผลสดแบบมีเน้ือเมล็ดเดียว รูปไข่หรือรูปรีป้อมและแบนเล็กน้อย กว้าง 2-5 ซม. ยาว 3-7 ซม.
สีเขียว เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียวมีเนื้อ และช้ันหุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็งและเหนียว เมล็ดรูปรีสีน้ำตาล
ออกดอกตดิ ผลเกือบตลอดท้งั ปี ขยายพันธ์โุ ดยการเพาะเมล็ดและตอนกงิ่
ประเภทการใช้ประโยชน์
ต้นหูกระจงเป็นไม้ท่ีมีลักษณะเป็นทรงพุ่ม จึงนิยมนำมาปลูกเพื่อตกแต่งสวน หรือใช้ประดับ
ริมถนน ตลอดจนเกาะกลางถนนเน่ืองจากเป็นไม้ท่ีให้ร่มเงา ทำให้บริเวณบ้านมีความร่มร่ืน ช่วยบัง
แดดได้ดี นอกจากนี้ยงั มีความเช่ือเร่ืองการเสริมบารมีให้คนในบ้านมีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้นอีกด้วย
48
สรรพคณุ ของหูกระจง
เปลือกไม้ นำไปต้มเปน็ ยา และมขี องเหลวสแี ดงทม่ี สี ารแทนนินช่วยในการรกั ษาบาดแผล
49
กระดังงาปา่ ,การเวก
ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Artabotrys siamensis Miq.
ชื่อวงศ์ : ANNONACEAE
ช่ือทอ้ งถน่ิ : กระดงั งัว (ราชบุร)ี / กระดงั งาเถา (ภาคใต้)/ กระดังงาป่า (กาญจนบรุ ี, ราชบุรี)/
หนามควายนอน (ชลบุรี)
สภาพนิเวศวทิ ยา : พบในป่าเบญจพรรณทางภาคตะวนั ออก ภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ของ
ประเทศไทย ท่รี ะดับความสงู 50-300 ม. จากระดบั ทะเลปานกลาง
ถิน่ กำเนิด : เอเชยี
การกระจายพนั ธ์ุ : พบในไทยทางภาคเหนือและภาคกลาง ในตา่ งประเทศพบที่พมา่ และอนิ โดนีเซีย
บริเวณที่พบ : สนามฟตุ บอล
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น สงู 10-20 ม. มีรอยแผลใบขนาดใหญ่กระจายอยู่ท่ัวไป ก่งิ ตั้งฉากกับลำต้นปลายย้อยลู่ลง เป็น
ไม้เถาเนื้อแข็ง มีลักษณะของต้น ใบ และดอก คล้ายกับกระดังงาจีนมาก แตกต่างกันท่ีการเวกเป็นไม้
พ้ืนเมืองของไทย มขี นทว่ั ไปตามปลายกงิ่ กา้ นและใบ ใบและดอกมีขนาดเลก็ กวา่
ใบ ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปขอบขนานแกมรี กว้าง 3-6 ซม. ยาว 6-18 ซม. ปลายใบและโคนใบ
แหลม สีเขียวเข้ม ขอบใบเรียบ ตามเส้นกลางใบมีขนท้ังด้านบนและด้านล่าง ใบบางและเหนียว เส้น
แขนงใบมี 7-9 คู่ ก้านใบยาว 5-6 มม.
ดอก ดอกเดี่ยว ออกบนส่วนโค้งหรือปลายสดุ ของก้านชอ่ ที่งอเป็นตะขอ ตะขอยาว 1.8-2.0 ซม. ก้าน
ดอกยาว 1.5 ซม. มีกลีบเล้ียง 3 กลบี รูปสามเหล่ียมขนาดเลก็ สีเขยี วปลายกลีบงอข้นึ กลีบดอกอ่อนสี
เขียวเมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปรี เรียงเป็น 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ดอกมีกล่ิน
หอม กลีบดอกมีขนมากกว่าและเน้ือกลีบแข็งกว่าดอกกระดังงาจีน เกสรเพศผู้ขนาดเล็กจำนวนมาก
เกสรเพศเมียมหี ลายอนั อยแู่ ยกกัน เกสรเพศเมยี มีเมือกเหนียวติดกัน
ผล ผลกลุ่ม ก้านช่อผลยาว 1.5 ซม. มีผลย่อย 6-18 ผล แต่ละผลรูปรีป้อมหรือรูปไข่กลับ กว้าง 1.8
ซม. ยาว 2 ซม. ก้านผลย่อยสั้นมาก ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปล่ียนเป็นสีเหลือง เมล็ด แต่ละผลมี 1-2
เมล็ด
ประเภทการใช้ประโยชน์
สมุนไพรและพชื ประดบั เปลือกลำตน้ เข้ายาหอม ผสมกบั สมนุ ไพรอนื่ เปน็ ยาบำรุงหัวใจ
50
สรรพคุณของกระดังงานป่า
1. น้ามันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil อิลาง-อิลาง) ใช้ปรุงน้าหอม น้าอบ ผสมยาหอม
เคร่ืองสาอาง หรอื ยาอน่ื ๆ
2. ใช้กลีบดอกลนไฟใช้อบนา้ ให้หอม (นา้ ดอกไม้) สาหรับใช้เป็นกระสายยา
3. ดอกกระดังงามี มีสรรพคุณ แก้ลม ใช้ปรุงยาหอม บารุงธาตุ บารุงเลือด แก้อ่อนเพลีย
ชกู าลงั แกก้ ระหายนา้ ลดความดนั โลหิต บารงุ หัวใจ แก้วงิ เวียนศีรษะ แกไ้ ข้เนือ่ งจากโลหิตเป็นพิษ
4. ดอกนามาทอดกบั นา้ มันมะพรา้ วทาน้ามันใสผ่ ม
5. ดอกกระดังงาจัดอยู่ในเคร่ืองยาไทยท่ีเรียกว่า “พิกัดเกสรท้ัง 7 (สัตตะเกสร)” คือจากัด
จานวนเกสรดอกไม้ 7 อย่าง มี เกสรบัวหลวง ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกบุนนาค ดอกมะลิ ดอกจาปา
และดอกกระดังงา มีสรรพคุณชูกาลัง บารุงหัวใจ แก้ไข้เพ่ือเสมหะ และโลหิต แก้ไข้เพ้อกลุ้ม แก้ลม
วิงเวยี น แก้นา้ ดี แก้ไข้ แกไ้ ขเ้ พ่ือปถวธี าตุ ทาให้เจริญอาหาร แกร้ อ้ นใน กระหายนา้ แกโ้ รคตา และจัด
อยู่ใน “พิกัดเกสรทั้ง 9 (เนาวเกสร)” มีดอกลาเจียก และดอกลาดวน เพิ่มเข้ามา มีสรรพคุณ แก้ไข้
แกร้ ้อนในกระหายน้า แกล้ ม บารงุ หัวใจ ชกู าลัง แกอ้ ่อนเพลีย แก้พิษโลหติ
6. ดอกกระดังงา ปรากฏในตารายาแผนโบราณ ช่ือคัมภีร์มหาโชติรตั น์ ยาชื่อมาลาสันนิบาต
แก้ลมจุกคอ แก้แน่นหน้าอก แก้จุกเสียด แก้สะอึก ประกอบด้วยผลจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน
กานพลู ลาพัน การบูร ขิงแห้ง ผลสมอ น้าประสานทอง เถาย่าน่าง ดอกกระดังงา อย่างละ 1 ส่วน
เทียนทั้ง 5 ดปี ลเี ทา่ ยาทัง้ หลาย บดละลายน้ารอ้ น แทรกขงิ กนิ
51
สาธร,สะท้อน
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Millettia leucantha Kurz var. buteoides (Gagnep.) P. K. Lôc
ชอ่ื วงศ์ : FABACEAE
ชือ่ ทอ้ งถน่ิ : กระเจาะ ขะเจาะ ขะเจา๊ ะ (เหนือ)/ กระพี้เขาควาย (ประจวบฯ)/ กระเซาะ
สาธร(กลาง)/ ขะแมบ (เชยี งใหม)่
สภาพนิเวศวิทยา : พบในปา่ ดบิ แลง้ และปา่ เบญจพรรณ ในภาคกลาง เหนือและ
ตะวันออกเฉยี งเหนือ
ถน่ิ กำเนดิ : เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบบริเวณใกล้แหล่งน้ำท่ีสูงจากระดับน้ำทะเล 100 -
700 เมตร
การกระจายพนั ธ์ุ : จีนตอนใต้ ลาว ไทย พมา่
บริเวณทพ่ี บ : สนามฟตุ บอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำตน้ ไมย้ ืนต้นก่ึงผลัดใบขนาดกลาง สูง 10-20 ม. เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแผ่กว้าง เปลือกนอกมีสีเทา
อ่อนหรือสเี ทา คอ่ นข้างเรยี บหรือแตกเป็นเกล็ดเลก็ เปลือกในสเี หลืองอ่อน
ใบ มีใบอ่อนและยอดอ่อนมีขนยาวอ่อนน่ิมคลา้ ยเส้นไหมปกคลุมอยู่ ใบเป็นใบประกอบรปู ขนนกเรียง
สลับ ใบย่อยติดเป็นคู่ตรงกันข้าม 3-5 คู่ ปลายสุดเป็นใบเด่ียวแผ่นใบย่อย รูปรี กว้าง 3-5.5
เซนตเิ มตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ด้านลา่ งใบสอี ่อนกว่าดา้ นบน ใบแก่เกลยี้ ง
ดอก ดอกจะออกเป็นช่อกระจายแตกแขนงสีขาว ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ออกพร้อมใบอ่อน
รปู ดอกถ่ัว กลีบดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 4 กลบี ติดกันเปน็ หลอดสั้น เกสรเพศผู้ 10 อนั แยกเป็น 2 มัด
ออกรวมกนั เป็นช่อตามงา่ มใบและปลายกงิ่ ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ผล ฝักแบบ pod เม่ือแก่จะแห้งแตกออกเป็น 2 ซีก ฝักแก่มีสีน้ำตาลแบนรูปหอกกลับหรือรูปขอบ
ขนาน เมล็ด เมลด็ มสี นี ้ำตาลแดง กลมแบน
ประเภทการใช้ประโยชน์
พืชวัสดุและพืชให้ร่มเงา นิยมปลูกเป็นเพื่อให้ร่มเงา เน้ือไม้และแก่นมีลักษณะสวยงามใช้ใน
การกอ่ สร้าง ใช้ทำเคร่ืองเรือน และด้ามเคร่ืองมอื เครอื่ งใช้ เชน่ เสาเรือน ขื่อ รอด เพลา เกวียน เครือ่ ง
นอน ครก สาก
52
สรรพคุณของสาธร
ใบของต้นสาธรยังสามารถใช้ในการหมักซีอ๊ิวพื้นบ้าน โดยการนาใบสาธรอ่อนมาตาให้
ละเอยี ด จากนนั้ นาไปแช่ด้วยน้าสะอาดในภาชนะทม่ี ฝี าปิดสนทิ 2 คืน จากน้นั ค้ันเอาแตน่ ้า และนาน้า
หมักที่ได้มาต้มจนแห้ง จะได้น้าปรุงรสที่เรียกว่า “น้าผักสะทอน” ใช้ระยะเวลาประมาณ 8 ชั่วโมง
รสชาติออกหวานธรรมชาตแิ ละเคม็ เลก็ นอ้ ย นิยมนามาใชป้ รุงอาหารใช้แทนนา้ ปลา ซีอ๊วิ เป็น อย่างดี
53
ตะแบกแดง
ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia calyculata Kurz
ชอ่ื วงศ์ : LYTHRACEAE
ชื่อสามญั : Bungor
ชื่อทอ้ งถ่นิ : แลนไห้ (เชียงใหม่), ตะแบกขาวใหญ่ (ปราจีนบรุ ี), ตะแบกใหญ่ (ราชบรุ ี,
นครราชสีมา), เปลอื ยดง (นครราชสีมา), ตะแบกหนัง (จันทบุรี), เปลอื ย
(สุโขทัย,พิษณุโลก), ตะแบกแดง (ประจวบคีรีขันธ์), อ้าย (สุราษฎร์ธานี), ป๋วย
เปอ๋ื ย เปื๋อยขาว เปื๋อยต้ยุ เปื๋อยคา่ ง เปอ๋ื ยนำ้ เปอื๋ ยลว้ั ะ เปอ๋ื ยเปลอื กหนา
(ภาคเหนือ), เปือย (ลานช้าง), ตะแบก ตะแบกใหญ่ ตะแบกหนัง (ภาคกลาง),
กะแบก (ไทย), ตะค้ฮู กกะเหรีย่ ง-แมฮ่ อ่ งสอน), บองอยาม (มาเลเซีย-ปตั ตานี)
สภาพนิเวศวทิ ยา : เป็นพันธุ์ไม้ในเอเชียเขตร้อน ข้ึนอยู่ตามป่าท่ีราบ และกลางแจ้งในประเทศไทย
มที กุ ภาค
การกระจายพันธุ์ : พม่า ไทย ภมู ิภาคอนิ โดจีน
บริเวณทพ่ี บ : สนามฟตุ บอล
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ตะแบกเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง จนถึงขนาดใหญ่ ไม้ต้น ผลัดใบ สูงได้ถึง 40 เมตร โคนต้นมัก
เป็นพูพอน เปลือกสีขาวอมเทา แตกล่อนเป็นแผ่น เปลือกในสีม่วง เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแผ่กว้าง
แต่ค่อนขา้ งโปร่ง กิ่งอ่อนมขี นสีน้ำตาลทั่วไป
ใบ ใบเด่ียว เรียงตรงข้าม หรือเยื้องกันเล็กน้อย ใบรูปรีแกมรูปหอก หรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก
กว้าง 2-5 ซม. ยาว 6-15 ซม. เน้ือใบหนา มีขนสีเทาหรือสีน้ำตาลกระจายทั่วไปท้ังสองด้าน ท้องใบ
มีสจี างกวา่ ด้านหลังใบ
ดอก ออกดอกเป็นช่อใหญ่ เวลาท่ีออกดอกต้นจะทิ้งใบ ทำให้เห็นแต่ดอกบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น
สวยงามมาก และมีสีสันที่แตกต่างกันตามชนิดของต้นมีสีที่แตกต่างกันตามชนิดของต้น มีสีขาว ม่วง
ขาว ชมพู
ผล ผลจะออกเป็นชอ่ รวมกนั คล้ายกบั ลกู หมากดบิ
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
สมุนไพร เปลือก ใชป้ รงุ เป็นยาแก้หวดั ลงแดง และมกู เลอื ด
54
สรรพคณุ ของตะแบกแดง
1. เปลอื กมสี รรพคุณเป็นยาแก้ลงแดง
2. เปลอื กใช้ปรงุ เป็นยาแกบ้ ดิ และมูกเลอื ด
3. ขอนดอกมีสรรพคณุ เป็นยาบารงุ หัวใจ บารุงปอด บารุงตับ บารุงทารกครรภ์
4. ใชเ้ ปน็ ยาแก้ลมกองละเอยี ด ไดแ้ ก่ อาการหนา้ มดื ตาลาย สวิงสวาย ใจสนั่
5. ใชเ้ ป็นยาแกไ้ ข้รอ้ นเพื่อตรีโทษ แก้เหง่อื แกเ้ สมหะ
6. ในบัญชียาจากสมุนไพร มีปรากฏการใช้ขอนดอกในกลุ่มยารักษาอาการทางระบบ
ไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ซ่ึงมีส่วนประกอบของขอนดอก ร่วมกับสมุนไพรชนิดอ่ืน ๆ ในตารับ ได้แก่
ตารับ "ยาหอมเทพจิตร" ที่มสี รรพคุณเป็นยาแกล้ มกองละเอยี ด (อาการหน้ามืด ตาลาย สวิงสวาย ใจ
สั่น บารุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น) และตารับ "ยาหอมนวโกฐ" ที่มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน คล่ืนเหียน
อาเจียน แก้ลมจุกแน่นในอก ในผู้สูงอายุ แก้ลมปลายไข้ (อาการหลังจากการฟื้นไข้แล้วยังมีอาการ
คล่ืนเหยี น วิงเวยี น เบ่ืออาหาร ท้องอืด อ่อนเพลยี )
7. ตาราพระโอสถพระนารายณ์มีปรากฏการใช้ขอนดอกร่วมกับสมุนไพรอ่ืน ๆ อีก 15 ชนิด
อย่างละเท่ากัน นามาบดให้ละเอียด ทาเป็นแท่ง ใช้น้าดอกไม้เป็นกระสายยา เม่ือจะใช้ก็ละลายน้า
ซาวข้าวหรือนา้ ดอกไมก้ ็ได้ ใสพ่ ิมเสนลงไปเลก็ น้อย ใชช้ โลมตวั เปน็ ยาแก้ไข้
55
ไทรย้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus benjamina L.
ชื่อวงศ์ : MORACEAE
ช่อื สามัญ : Benjamin’s fig/ Weeping fig
ชื่อท้องถน่ิ : ไทรพัน (ลำปาง)/ ไทร (นครศรธี รรมราช)/ ไทรกระเบ้ือง (ประจวบคีรีขันธ)์
สภาพนเิ วศวิทยา : พบได้ท่ัวทุกภาคของประเทศ โดยมกั ข้นึ กระจายในป่าดบิ แล้ง ป่าดิบช้นื
และป่าดิบเขา และบางครั้งอาจพบได้ตามเขาหินปูน ที่สูงประมาณ 1,300 ม.
จากระดบั ทะเลปานกลาง
ถนิ่ กำเนดิ : เอเชยี เขตร้อน-เขตอบอนุ่
การกระจายพนั ธ์ุ : อินเดีย เนปาล ปากีสถาน จนี ตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอนิ โดจนี และมาเลเซีย
ฟิลปิ ปนิ ส์ และออสเตรเลยี
บรเิ วณที่พบ : สนามฟุตบอล
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 10 ม. เรอื นยอดกลม แผ่กลว้าง เปลือกต้นสีน้ำตาล กิ่งก้านห้อย
ยอ้ ยลงมา โตช้า มีรากห้อยย้อยลงมาสวยงาม มีนำ้ ยางสขี าว
ใบ ไมผ่ ลดั ใบ ใบเดย่ี วเรียงสลับ รปู รแี กมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.0 ซม. ยาว 5-12 ซม. โคนใบมน ปลายใบ
เรียวแหลม แผน่ ใบหนาเป็นมัน เสน้ ใบจำนวนมากกา้ นใบยาว 0.6-1.1 ซม.
ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกมีขนาดเล็ก เกิดภายในฐานรองดอกท่ีมีรูปทรงกลมคล้ายผล
ออกเป็นคู่จากจ้างก่ิง ไม่มีกลีบดอก แต่เป็นช่อดอกท่ีได้รับการออกแบบมาให้ม้วนดอกทั้งหลายกลับ
นอกเข้าในเพ่ือทำหน้าท่ีพิเศษ ถ้านำมาผ่าดูก็จะพบว่าข้างในกลวง ที่ผนังมีดอกขนาดเล็ก ๆ จำนวน
นบั ร้อย ๆ ดอก ด้านตรงข้ามกับข้ัวผลไทรมีรูเปิดขนาดเล็กมาก และมีเกล็ดเล็ก ๆ ปิดซอ้ นกันอยู่ โดย
ดอกไทรจะมีอยู่ด้วย 3 ประเภท คือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และดอกกอลล์ ซึ่งดอกกอลล์ (Gall
flower) จะมหี นา้ ท่เี ป็นทว่ี างไขแ่ ละเลีย้ งตัวออ่ นของ “ตวั ต่อไทร
ผล ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะ
เปลย่ี นเปน็ สีแดงเขม้ สีน้ำตาล สีชมพู สสี ้มแดง หรอื สีม่วงดำเมอ่ื แก่ ไรก้ ้าน
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
สมุนไพร, พืชประดับ, พืชให้ร่มเงา รากอากาศ ยาแก้กาฬโลหิต บำรุงโลหิต แก้ตกโลหิต
ยาแก้กระษัย ยาบำรุงน้ำนมให้สมบูรณ์ ช่วยแก้อาการท้องเสีย ยาขับพยาธิ ยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
56
ขับปัสสาวะให้คล่อง แก้น่ิว แก้ปัสสาวะมีสีต่าง ๆ ช่วยแก้ไตพิการ ช่วยแก้อาการอักเสบหรือลดการ
ตดิ เชื้อ เชน่ ฝีหรือรอยฟกช้ำ
สรรพคุณของไทรย้อย
1. รากอากาศไทรย้อยมีสรรพคณุ เปน็ ยาแก้กาฬโลหิต
2. รากอากาศมีสรรพคณุ บำรงุ โลหิต แก้ตกโลหติ
3. รากใช้เป็นยาแก้กระษัย (อาการป่วยท่ีเกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเส่ือมโทรม ซูบ
ผอม ปวดเมอื่ ย โลหิตจาง)
4. รากอากาศนำมาต้มกบั นำ้ กินเปน็ ยาบำรุงนำ้ นมใหส้ มบรู ณ์
5. รากอากาศช่วยแกอ้ าการท้องเสยี
6. รากอากาศใช้เป็นยาขบั พยาธิ
7. รากอากาศใชเ้ ปน็ ยาขบั ปัสสาวะ แก้ขัดเบา ขับปสั สาวะใหค้ ล่อง แกน้ ่วิ แกป้ สั สาวะมีสี
8. ช่วยแก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะที่มีปัสสาวะขุ่นข้นเป็นสีเหลืองหรือแดง
และมักมีอาการแน่นท้อง รับประทานไมไ่ ดร้ ่วมดว้ ย)
9. ช่วยแก้อาการอักเสบหรือลดการตดิ เชอื้ เชน่ ฝหี รือรอยฟก
10. ตำรายาไทยจะใชร้ ากไทรย้อยใน “พิกัดตรีธารทิพย์” (ประกอบไปด้วยรากไทรย้อย ราก
ราชพฤกษ์ และรากมะขามเทศ) มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงน้ำนม แก้กษัย แก้ท้องร่วง ช่วยฆ่าเชื้อ
คุดทะราด
57
หางนกยูงฝร่ัง
ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Delonix regia (Bojer ex Hook.) Raf.
ช่ือวงศ์ : FABACEAE
ช่ือสามัญ : Flamboyant Tree, Flame of the Forest, Peacock Flower
ชอื่ ทอ้ งถ่ิน : นกยูงฝร่ัง อินทรี (ภาคกลาง), หงอนยูง (ภาคใต้), นกยูง นกยูงฝร่งั ชมพอหลวง
สม้ พอหลวง (ภาคเหนอื ), ยงู ทอง (มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์) เปน็ ต้น
ถิน่ กำเนดิ : มาดากสั การ์
การกระจายพนั ธุ์ : นยิ มนำมาปลกู ทวั่ ไปในเขตรอ้ นท่ัวโลก
บริเวณท่ีพบ : สนามฟุตบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนตน้ ขนาดกลาง ต้นโตเตม็ ทีส่ ูงราว 12 - 18 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างทรงกลมคล้ายร่ม
แผ่กิ่งก้านออกคล้ายก้ามปู แต่มีขนาดเล็กกว่า ลำต้นเกลี้ยง เปลือกสีน้ำตาลอ่อนอมขาวถึงสีน้ำตาล
เข้ม โคนต้นเปน็ พูพอน มักมรี ากโผลพ่ น้ ดนิ ออกโดยรอบเมื่อโตเตม็ ท่ี
ใบ เป็นใบประกอบขนนกสองช้ันเรียงเวียนสลับและมีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปขอบขนาน
ปลายกลมโคนเบ้ยี ว ผิวใบเกล้ียง
ดอก ชอ่ ดอก ออกตามปลายก่ิง และตามงา่ มใบใกลป้ ลายก่ิง ประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลบี และเกสร
ตัวผู้ยาวงอนออกมาเหนือกลีบดอก กลีบดอกหางนกยูงความจริงประกอบด้วยสี 2 สี คือสีแดง
และสีเหลือง แต่ส่วนใหญ่จะมี 2 สนี อ้ี ยูด่ ้วยกันจึงเห็นเปน็ สแี สด
ผล นกยูงฝรั่ง ลักษณะของผลเป็นฝักแบนแข็ง โค้งเป็นรูปดาบ ยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร
และกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร ลักษณะของฝักเป็นข้อ ๆ แต่ละข้อจะมีเมล็ด 1 เมล็ด เมื่อฝักแก่
จะแตกออก และในฝักมีเมล็ดเรียงอยู่ตามขวางประมาณ 20-40 เมล็ด เมล็ดอ่อนมีสีเขียว ส่วนเมล็ดแก่
เต็มทีจ่ ะเปน็ สีเทาอมขาว ลักษณะคอ่ นขา้ งเปน็ ทรงกลม (หรือทรงกระบอกหัวท้ายมน)
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
ปลูกเป็นไม้ประดับ ให้ร่มเงา ราก มีสรรพคุณทางยา ใช้เป็นยาขับโลหิตสตรี ช่วยแก้อาการ
บวมต่าง ๆ ลำต้น ใชท้ าแกพ้ ษิ ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
58
สรรพคณุ หางนกยงู ฝรั่ง
1. รากใช้เปน็ ยาขบั โลหติ สตรี
2. รากชว่ ยแก้อาการบวมต่าง ๆ
3. ลาต้นนามาฝนใชท้ าแกพ้ ษิ ถอนพิษจากแมลงสัตว์กดั ตอ่ ยได้
59
นนทรี
ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Peltophorum pterocarpum (DC.) Backer ex K. Heyne
ชือ่ วงศ์ : FABACEAE
ชอ่ื สามัญ : Copper pod/ Yellow flame
ชอ่ื ท้องถน่ิ : กระถนิ ปา่ กระถนิ แดง (ตราด)/ สารเงิน (แมฮ่ อ่ งสอน)
สภาพนิเวศวทิ ยา : ป่าชายหาด ปา่ เบญจพรรณช้นื พบที่ความสูงจากระดับทะเลปานกลาง
10-3000 ม.
ถน่ิ กำเนดิ : เอเชียเขตร้อน นอร์เทริ น์ เทร์รทิ อรี
การกระจายพนั ธุ์ : เอเชยี ตะวนั ออก ศรลี ังกา ไทย มาเลเซีย อินโดนเี ซีย ฟลิ ิปปินส์ ออสเตรเลยี
บริเวณทพ่ี บ : สนามฟุตบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำตน้ นนทรี เปน็ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถงึ ขนาดใหญ่ มลี ำต้นสูงประมาณ 15 – 30 เมตร ลำตน้ แตกกิ่ง
ก้านเปน็ ทรงพุ่มรูปทรงกลม มีทรงพุม่ หนาทึบ และแตกกง่ิ แขนงใหญ่ตั้งแต่ระดับล่างของลำต้น เปลือก
ลำต้นด้านนอกมีสีเทาอมน้ำตาล เปลือกด้านในมีสีแดงเรือ่ เปลือกลำตน้ เปน็ สีเทาอมสดี ำ เปลือกหนา
และแข็ง เปลือกแตกเป็นร่องลึกตามแนวยาวของลำต้น ก่ิงอ่อนมีขนสีน้ำตาลปก ก่ิงแก่เรียบ ไม่มีขน
ปกคลมุ กิ่งคอ่ นขา้ งเปราะ และหักง่าย สว่ นเน้ือไมเ้ ป็นไมเ้ นือ้ แข็ง เนอ้ื ไมม้ สี นี ำ้ ตาลอมแดง
ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองช้ันเรียงเวียนสลับ ช่อแขนงใบย่อยเรียงตรงข้าม 9-16 คู่ ใบย่อย
รูปขอบขนาน ปลายใบมนเว้าเข้าเล็กน้อย โคนใบสอบ ปลายใบมน เบี้ยว ใบทู่หรือหยักเข้าเล็กน้อย
ขอบใบเรียบ
ดอก นนทรี ออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายยอด ประกอบด้วยก้านช่อดอกหลัก และแตกก้านช่อดอก
แขนงออกโดยรอบ ก้านช่อดอกหลักยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร และแตกก้านช่อดอกแขนง
กว้างประมาณ 15-20 เซนติเมตร แต่ละก้านช่อดอกแขนงจะประกอบด้วยดอกย่อยท่ีเรียงซ้อนกัน
15-30 ดอก
ผล ผลนนทรี เรยี กเป็นฝัก ฝักมรี ูปหอก แผ่นฝักแบน และเป็นขอด 1-8 ขอด ขนาดฝักกว้างประมาณ
2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร โคนฝักสอบแคบ ปลายฝักแหลมเป็นติ่ง เปลือก
ฝักบาง แต่เหนียว และแข็ง ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเร่ิมเปล่ียนเป็นสีน้ำตาลอมแดง โดยจะเริ่มสี
บริเวณขอดของฝักก่อน จากน้ันจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมแดงจนท่ัวฝัก ภายในฝักมีเมล็ด 1-8 เมล็ด
ตามจำนวนของขอดบนฝัก ฝักนนทรีจะเร่ิมติดฝักต้ังแต่หลังดอกบานต่อเนื่องต้ังแต่เดือนกุมภาพันธ์
และฝักจะแก่ต่อเนื่องต้ังแตเ่ ดือนเมษายน-พฤษภาคม
60
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
สมนุ ไพรและพืชใหร้ ่มเงา เปลือกต้น เป็นสมุนไพร มรี สฝาด รับประทานเปน็ ยาขับโลหติ และ
ใช้เป็นยาขับลม ละลายเสมหะ แก้ท้องร่วงหรือบิดใช้ทำกระดานปูพ้ืน เพดาน ฝา เคร่ืองตกแต่งบ้าน
หีบใส่ของ ไถ พานท้ายปืนและรางปืน สรรพคุณทางด้านสมุนไพร เปลือก มีรสฝาด รับประทานเป็น
ยาขับโลหิต และใชเ้ ป็นยาขับลม
สรรพคุณของนนทรี
1. เปลือก และแก่นลำต้น รสฝาด นำมาตม้ นำ้ ด่มื
2. เปลอื กนำมาตม้ ชว่ ยละลายเสมหะ
3. เปลอื กนำมาตม้ รกั ษาโรคบดิ แก้อาการทอ้ งรว่ งท้องเสยี
4. แกน่ นำมาต้มชว่ ยขับลม
5. เปลอื ก และแกน่ ลำต้น มาบดหรือฝนทาภายนอก
6. เปลอื กและแก่นนำมาบดช่วยในการสมานแผล รกั ษาแผลให้หายเรว็
61
จามจุรี
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Albizia saman (Jacq.) Merr.
ช่อื วงศ์ : FABACEAE
ชอ่ื สามญั : Cow tamarind/ Rain tree
ชื่อทอ้ งถ่ิน : ก้ามกราม ก้ามกุ้ง ก้ามปู จามจุรี (ภาคกลาง)/ ลัง สารสา สำสา (ภาคเหนือ)/
ตดุ๊ ตู่ (ตาก)/ เสค่ ุ่ เสด่ ู่ (กะเหร่ียง-แมฮ่ อ่ งสอน)
สภาพนิเวศวิทยา : ข้ึนตามรมิ ฝง่ั แม่น้ำ ทรี่ าบลุ่มทั่วประเทศ
ถิน่ กำเนิด : อเมรกิ าใตเ้ ขตรอ้ น
การกระจายพันธุ์ : พบได้ทัว่ ไปในเขตร้อน
บรเิ วณท่พี บ : สนามฟตุ บอล
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ต้นจามจุรี เป็นไม้ยืนต้นท่ีมีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ความสูงขึ้งอยู่กับอายุของต้น ยิ่งมี
อายุมาก ต้นอาจสงู ถึง 25 เมตร ในสว่ นของรากจะเป็นรากแก้ว และแตกแขนงออกด้านข้างรากแขนง
มักแทงตามแนวนอนขนานกับผิวดิน รากมีความยาวมากกว่า 10 เมตร ต้นจามจุรีมีลักษณะเป็นทรง
พมุ่ กว้างใหญ่ ลำตน้ มีความกลม ไม่สมมาตร แตกก่งิ ก้านสาขาในระดับต่ำประมาณ 3-5 เมตร ก่ิงจะมี
ทั้งกิ่งหลักและก่ิงแขนง เปลือกของลำต้นมีสีขาว เมื่อต้นแก่เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีดำ แผ่นเปลือก
มีสะเก็ด สว่ นกงิ่ ออ่ นจะมีสขี าวอมเทา ก่ิงแกม่ ีสีน้ำตาล
ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงตรงข้าม แกนกลางใบประกอบ ยาว 10-18 ซม. ก้านใบ
ประกอบยาว 3-5 ซม. ใบประกอบ แยกแขนงตรงกันข้าม 2-5 คู่ บนแขนงเป็นรูปรี รูปไข่ หรือรูป
สเ่ี หลี่ยมขนมเปียกปนู ปลายมน มักเวา้ ต้ืนหรือมีติ่งสั้น โคนเบ้ียว ขอบใบเรียบ แผ่นหลังใบเรยี บ ท้อง
ใบมขี นนุ่ม ไมม่ ีก้านใบย่อย ใบย่อยเรียงตรงข้าม 2-10 คู่ คู่ท่อี ยู่ปลายบนมขี นาดใหญท่ ี่สุดและลดหลั่น
ลงไปจนถึงคูล่ ่างมีขนาดเลก็ สุด มคี วามกว้าง 0.6-4.0 ซม. ยาว 1.5-6.0 ซม. ปลายกิง่
ดอก ช่อดอกยาว 3 ซม. ช่อดอกรวมบานเต็มที่กว้าง 5-6 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็ก ดอก ช่อดอกแบบ
กระจุกแน่น ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อต้ังขึน้ มดี อกจำนวนมาก ดอกวงนอกมีกา้ นส้นั ๆ ดอกวง
ในไม่มกี า้ น ก้านช่อดอกยาว 5-9 ซม. กลบี เลี้ยงสขี าวอมเขียว 5 กลบี เชอ่ื มตดิ กันเปน็ รูปแตร 1.0-1.2
ซม. มีเกสรเพศผู้สีชมพูจำนวนมาก ติดกับโคนดอก ยาวประมาณ 5 ซม. รังไข่แบนยาว ผล เป็นฝัก
แห้ง รูปขอบขนาน สนี ้ำตาลดำ กว้าง 1.5-2.4 ซม. ยาว 15-20 ซม. คอดเล็กน้อยเป็นตอน ๆ ระหวา่ ง
เมลด็
62
ผล เป็นฝัก โดยฝักมีลักษณะแบนยาว คล้ายกับถ่ัว และฝักจะมีสีน้ำตาล เมื่อฝักแก่จะกว้างประมาณ
3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ขอบฝักแนวตรงเสมอกัน มีเส้นสีเหลืองตามขอบร่อง
นนู ด้านในมีเมล็ดตามร่อง ประกอบด้วยเน้ือ ซ่ึงเน้ือภายในฝักมีกล่ินหอม รสชาติหวานสามารถนำไป
รับประทานได้ เมล็ด แบนสนี ้ำตาลเข้มปนดำเป็นมัน กวา้ ง 6 มม. ยาว 10 มม.
ประเภทการใช้ประโยชน์
อาหาร, สมุนไพรและพืชใช้เน้ือไม้ เปลือกต้น ป่นละเอียดเป็นยาสมานแผล และเมล็ด รักษา
อาการบิด ทอ้ งเสีย เนอ้ื ไม้ ใช้ในงานแกะสลกั ทำเครอ่ื งใช้ เครื่องเรอื นตา่ ง ๆ ใบ แกป้ วดแสบปวดรอ้ น
เมลด็ แก้โรคผิวหนังเปลอื กสมานแผลในปากคอ แกท้ ้องรว่ ง ฝักแก่ เป็นอาหารสตั ว์
สรรพคุณของจามจุรี
1. เปลือกของลำตน้ ปน่ ใหล้ ะเอียด ใชเ้ ปน็ ยาสมานรักษาแผล
2. เปลือกจากลำต้นและเมล็ด ใช้รักษาอาการท้องบิด ท้องเสีย ใบมีรสที่เย็น สรรพคุณเย็น
ต้านพษิ แกป้ วดแสบปวดรอ้ น
3. เมลด็ มรี สฝาดเมา แก้โรคผวิ หนงั กลากเกลอ้ื น เรื้อน แก้เย่อื ตาอกั เสบ
4. เปลือกท่ีแห้งแล้ว ใช้เป็นยาสมานรักษาแผล มาบดหรือป่นให้ละเอียดจนเป็นผง จากนั้น
นำมาโรยบริเวณท่เี ป็นแผล ใชท้ าเรอ่ื ย ๆ จนกว่าแผลจะหาย
63
ขี้เหลก็
ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Senna siamea (Lam.) H.S. Irwin & Barneby
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ชอ่ื สามญั : Cassod tree/ Thai copper pod
ชอ่ื ท้องถนิ่ : ขี้เหล็กแก่น(ราชบุรี) / ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง,เหนือ) / ขี้เหล็กหลวง เหนือ) /
ขเี้ หลก็ ใหญ่(กลาง)
สภาพนเิ วศวทิ ยา : พบทว่ั ไปตามปา่ เบญจพรรณ และในที่โปรง่ ช่มุ ชน้ื ท่ัวประเทศ
ถนิ่ กำเนิด : ลาว พมา่ ศรลี ังกา ไทย เวียดนาม
การกระจายพันธ์ุ : พบท่ัวไปในทวปี เอเชยี เขตศูนยส์ ูตร
บรเิ วณทพ่ี บ : สนามฟุตบอล
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 8-15 ม. เปลือกนอกสีเทาถึงสีน้ำตาลดำ แตกเป็นสะเก็ตท่ัวไป แตก
ตามยาวเป็นรอ่ งต้ืน ๆ เปลือกในสีนำ้ ตาลอ่อน กิง่ กา้ นโปรง่
ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ก้านใบยาว 30 ซม. มีใบย่อย 5-10 คู่ ใบยอ่ ยออกตรงข้ามกัน รูปรี
แกมขอบขนาน โคนใบสอบเข้าเล็กนอ้ ย ปลายมนหรอื เว้นตื้น ผิวใบและขอบใบเรียบ ยอดอ่อนและใบ
ออ่ นมสี ีแดงเร่ือ ใบแก่สีเขยี วเขม้ เปน็ มนั เนอ้ื ใบบาง ก้านใบย่อยส้ัน เกน็ เสน้ ใบชัดเจน
ดอก ออกเป็นช่อท่ีปลายกิง่ ยาวประมาณ 30 ซม. ดอกบานจากโคนสู่ปลาย กลีบเล้ียง 5 กลบี งุ้มเข้า
เป็นรูปช้อน รูปร่างค่อนข้างกลม หนา แต่ละกลีบไม่ติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ มีสีเหลือง รูปไข่กลับ
ยาวประมาณ 1.5-2 ซม. มีก้านกลีบดอกส้นั ๆ กลบี ดอกมีขนาดเท่ากัน หลุดร่วงไดง้ ่าย ดอกบานเต็มท่ี
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-4 ซม. เกสรเพศผู้มี 10 อัน แต่มี 2 อันที่มีขนาดใหญ่กว่าอันอื่น รังไข่
รปู รี มขี นประปราย
ผล ผลข้ีเหล็กเรียกว่า ฝัก มีลักษณะแบนยาว ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลอมดำ ขนาดฝักกว้าง
1.5 เซนติเมตร ยาว 15-25 เซนติเมตร ภายในฝักมีเมล็ดเรียงตามความยาวของฝัก จำนวน 20-30
เมลด็ เมลด็ มีรูปร่างรแี บน สีน้ำตาลอมดำ
ประเภทการใชป้ ระโยชน์
อาหาร,สมุนไพร,พืชประดับ ปลูกเป็นไม้ให้ร่มริมทาง ใบอ่อน ใช้เป็นอาหารและเป็นยา
ระบาย ดอก ใช้เป็นยานอนหลับ แก้หืด ขับพยาธิ ฝัก ภายในมีสารฝาดสมานแผล ใช้รักษาท้องร่วง
และยังมีสารที่ช่วยระบายอ่อน ๆ ราก ใช้ผสมเป็นตัวยาขับพยาธิ แก้ไข้ บำรุงธาตุ แก้โชคเหน็บชา
64
ลำต้นและกิ่ง เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ ทั้งต้น เปลือกต้น แก้ริดสีดวงทวารหนัก เป็นยาอายุวัฒนะ
กระพ้ี บำรงุ โลหิต แก่น เป็นยาระบาย แก้เบาหวาน ลดความดัน ช่วยใหน้ อนหลับ
สรรพคณุ ของขีเ้ หล็ก
1. ใบข้เี หล็กมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ชว่ ยเสริมสร้างกระดกู และฟนั ให้แขง็ แรง
2. ดอกข้ีเหล็กมีวิตามนิ ทชี่ ่วยบารุงและรักษาสายตา
3. ช่วยเสริมสร้างภมู ิตา้ นทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยทาใหแ้ ผลหายเร็วขึ้น
4. รากช่วยบารุงธาตุ
5. แก่นแกธ้ าตุพิการ แกไ้ ฟ ทาให้ตัวเย็น
6. รากชว่ ยเจริญธาตไุ ฟ
7. ราก, ลาตน้ และกิ่ง, เปลอื กตน้ ชว่ ยแก้โรคกระษัย
8. ดอกช่วยยบั ยัง้ และชะลอการขยายตัวของเซลลม์ ะเร็ง
9. แกน่ ชว่ ยรักษามะเร็งปอด ปอดอักเสบ มะเร็งลาไส้ มะเรง็ กระเพาะอาหาร
10. รากชว่ ยแกอ้ าการชักในเด็ก
11. ใบข้ีเหล็กมีสารท่ีชื่อว่า "แอนไฮโดรบาราคอล" (Anhydrobarakol) ท่ีมีสรรพคุณช่วยใน
การคลายความเครยี ด บรรเทาอาการจติ ฟุง้ ซา่ น
12. ดอกช่วยบารุงสมอง บารงุ ประสาท แกโ้ รคประสาท และช่วยสงบประสาท
13. ช่วยทาให้นอนหลบั สบาย แก้อาการนอนไมห่ ลบั ผอ่ นคลายความกงั วล
65
บรรณานุกรม
กมลทิพย์ ประเทศ และคณะ. (2543). การสำรวจพรรณไม้ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร. พิษณุโลก : มหาวทิ ยาลัยนเรศวร
กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม. ฐานขอ้ มูลพรรณไม้ องศก์ ารสวนพฤกษศาสตร์.
ฐ าน ข้ อ มู ล พ ร รณ ไม้ มี ชี วิ ต . (อ อ น ไล น์ ).เข้ า ถึ งได้ จ า ก แ ห ล่ งข้ อ มู ล ใน วั น ที่ :
http://www.qsbg.org/database/plantdb/lcd/index.asp. (วนั ท่คี ้นขอ้ มูล: 10 กันยายน 2564)
เตม็ สมติ ินันทน์. 2557. ช่ือพรรณไมแ้ ห่งประเทศไทย. พิมพ์คร้ังท่ี 2, ฉบับแก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. 2557.
กรุงเทพฯ: สำนักหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธ์ุพืช กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตวป์ ่า และพนั ธพุ์ ชื .
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏ
พ ระน ค รศ รีอยุธยา. พ รรณ ไม้ ใน ร้ัว. (ออน ไลน์ ). เข้าถึงได้จากแห ล่งข้อมูล :
http://tree.aru.ac.th. (วันทคี่ น้ ขอ้ มลู : 10 กนั ยายน 2564)
สำนักหอพรรณไม้ สำนักวจิ ัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธ์ุพืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธพ์ุ ืช
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. ลักษณะประจำวงศ์พรรณไม้. สำนักหอ
พรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธ์ุพืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช.
61 พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร กรงุ เทพฯ 10900.
สำนักวทิ ยบรกิ ารและเทศโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภฏั กำแพงเพชร. ฐานขอ้ มลู ท้องถิ่น ยา
สมุนไพร.(ออนไลน์). เข้าถึงได้จากแหล่งข้อมูล : https://arit.kpru.ac.th/ap/rlocal/index.php/2014-
12-08-32-11. (วนั ทค่ี น้ ขอ้ มลู : 10 กันยายน 2564)
สำนกั งานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมปา่ ไม้. พืช. (ออนไลน์). เขา้ ถงึ ไดจ้ ากแหล่งข้อมูล
: http://biodiversity.forest.go.th/index.php?option=com_dofplant&view=all&Itemid=5 9 .
(วันท่คี ้นขอ้ มูล: 10 กันยายน 2564)
อุทยานหลวงราชพฤกษ์. แหล่งการเรยี นรู้ ฐานข้อมูลพรรณไม้. (ออนไลน)์ . เข้าถึงได้จากแหลง่ ข้อมูล
: https://www.royalparkrajapruek.org/Plants. (วันทคี่ ้นขอ้ มลู : 10 กันยายน 2564)
โรงเรียนบ้านทรัพยพ์ ุทรา ตาบลซับพุทรา อาเภอชนแดน จังหวัด เพชรบรู ณ์. (ออนไลน์).เข้าถงึ แหล่งข้อมูล
: http://data.bopp-obec.info/web/School_ID=10673893 (วนั ที่ค้นขอ้ มลู : 7 กนั ยายน 2564)
66
ภาคผนวก
67
รูปภาพ สถานศกึ ษาในการดาเนินกจิ กรรมโครงการอนรุ ักษ์พันธกุ รรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชดาริ
สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2564
รูปภาพ ยืนเอกสารโครงการแก่นายสุพจน์ โพธิมาศ ผ้อู ำนวยการโรงเรียนบ้านทรพั ย์พุทรา
68
รูปภาพ สถานทศ่ี ึกษาพรรณไมใ้ นโครงการ
รูปภาพ สถานทศ่ี ึกษาพรรณไมใ้ นโครงการ
69
รูปภาพ การสารวจและเก็บข้อมลู พรรณไม้ในพ้นื ที่ศกึ ษารว่ มกับอาจารย์และเจา้ หนา้ ท่ีของโรงเรยี น
รปู ภาพ อุปกรณ์ในการการสารวจและเกบ็ ข้อมลู พรรณไม้ในพ้ืนท่ีศกึ ษา
70
รูปภาพ การสารวจและเกบ็ ข้อมลู พรรณไม้ในพนื้ ที่ศึกษา
รูปภาพ การสารวจและเก็บข้อมลู พรรณไมใ้ นพ้นื ท่ีศึกษา
71
รูปภาพ ดาเนินการตดิ ป้ายชื่อตน้ ไม้ในพ้นื ทีศ่ ึกษา
รูปภาพ ป้ายชื่อตน้ ตะโก
72
รูปภาพ ปา้ ยช่ือต้นประดู่
รูปภาพ ดาเนนิ การตดิ ป้ายชื่อต้นไม้
73
รูปภาพ ป้ายช่ือตน้ สาธร
รูปภาพ ปา้ ยชื่อตน้ แคทราย