¡³Ô Ç·Ô ÂÒ·Ò§ÊµÑ Çá¾·Âì
¼È.ʾ.´Ã.ÇÕ¹Ò ¨Ùà»ÕÂ
i
คาํ นํา
เอกสารประกอบการสอนฉบบั น/ีไดจ้ ดั ทาํ ขน/ึ เพอ:ื ประกอบการสอนในกระบวนวชิ าจลุ ชวี วทิ ยาทาง
สตั วแพทย์ (651315) สว่ นของกณิ วทิ ยาหรอื ราวทิ ยา สาํ หรบั นกั ศกึ ษาชนั/ ปีท:ี 3 ปีการศกึ ษา 2563 ภาค
เรยี นท:ี 1 เอกสารฉบบั น/ีจดั ทาํ ขน/ึ เพอ:ื ใหน้ กั ศกึ ษาไดอ้ า่ นและเขา้ ใจมากยงิ: ขน/ึ นอกเหนือไปจากสงิ: ท:ี
อาจารยไ์ ดส้ อนในชนั/ เรยี น และการเรยี น online ผา่ นระบบ KC moodle
ผจู้ ดั ทาํ
ผศ.สพญ.ดร.วนี า จูเปี ย
ii
iii
สารบญั หน้า
2
เรอื$ ง 3
Introduction to Veterinary Mycology 5
5
Yeast 7
Mold 10
Dimorphic fungi 13
Mushroom 14
การสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ 15
การจดั กลุม่ ของเชอ/ื รา 16
เชื=อราปนเปื= อน (contaminant fungi) 17
Rhodotorula spp. 18
Absidia spp. 20
Mucor spp. 22
Rhizopus spp. 23
Cladosporium spp. 24
Aspergillus spp. 25
Penicillium spp.
Scopulariopsis spp. 27
Curvularia spp. 29
Alternaria spp. 30
Fusarium spp. 31
โรคติดเชื=อราของผิวหนัง (skin mycoses) 31
Superficial and cutaneous mycoses 35
36
Malassezia spp. 37
Trichosporon beigellii 37
Geotrichum candidum 37
Piedraia spp. 38
Dermatophytes
Subcutaneous mycoses iv
Sporotrichosis
Epizootic lmphangitis
Chromoblastomycosis
Eumycotic mycetomas
Phaeohyphomycosis
Bovine nasal granuloma
สารบญั (ต่อ)
เรือ$ ง หน้า
Systemic mycoses 39
Blastomycosis 41
Coccidioidomycosis 43
Cryptococcosis 45
Histoplasmosis 48
Opportunistic mycoses 50
Candidiasis 52
Aspergillosis
Zygomycosis
v
Introduction to Veterinary Mycology
คาํ วา่ Mycology มาจากรากศพั ทเ์ ดมิ ซง:ึ เป็นภาษากรกี 2 คาํ คอื คาํ วา่ mykes ซง:ึ แปลวา่ เหด็
(mushroom) และคาํ วา่ logos ซง:ึ แปลวา่ สนทนา หรอื การบรรยายความรู้ (discourse) ถา้ แปลตามราก
ศพั ทจ์ ะหมายความวา่ วชิ าความรกู้ ารบรรยาย หรอื การสมั นาทเ:ี กย:ี วขอ้ งกบั เหด็ ซง:ึ เหด็ จดั เป็นราชนิดหน:ึง
ซง:ึ มกี ารเจรญิ พฒั นารปู ทรงจนกลายเป็นดอกเหน็ ซง:ึ มรี ปู รา่ งต่างๆ ดงั นนั/ mycology หรอื ราวทิ ยา หรอื
กณิ วทิ ยา จงึ หมายถงึ วชิ าทศ:ี กึ ษาเกย:ี วกบั เชอ/ื รา ซง:ึ ทจ:ี ะเรยี นเป็นสว่ นของ veterinary mycology นนั: กค็ อื
การศกึ ษาเชอ/ื ราก่อโรคในสตั ว์ หรอื เชอ/ื ราวทิ ยาทางสตั วแพทยน์ นั: เอง
เชอ/ื ราจดั เป็นจลุ นิ ทรยี ช์ นิดยคู ารโิ อท (eukaryotic microorganism) คอื เป็นสง:ิ มชี วี ติ ขนาดเลก็ มี
นิวเคลยี สซง:ึ มเี ยอ:ื หมุ้ นิวเคลยี ส มอี งคป์ ระกอบภายในเซลลเ์ หมอื นกบั eukaryote ทวั: ไป คอื มเี ยอ:ื หมุ้
นิวเคลยี ส (nuclear membrane) เป็นเน/ือเยอ:ื 2 ชนั/ ภายในนิวเคลยี สมนี ิวคลโิ อลสั (nucleolus) ดา้ นนอก
นิวเคลยี สเป็นไซโตพลาสซมึ (cytoplasm) ออรก์ าเนล (organelle) ทพ:ี บไดใ้ นไซโตพลาสซมึ ไดแ้ ก่ ไมโต
คอนเดรยี (mitochondria) เอนโดพลาสมกิ เรคตคิ ลู มั (endoplasmic reticulum) แวคโู อล (vacuole) เวสเิ คลิ
(vesicle) ไมโครบอด/ี (microbodies) ไรโบโซม (ribosome) และอน:ื ๆ ซง:ึ อยใู่ นไซโตพลาสซมึ และถกู หอ่ หมุ้
ไวด้ ว้ ยเยอ:ื หมุ้ เซลล์ และผนงั เซลล์ (cell wall) (ภาพท:ี 1)
ภาพที$ 1 ภาพวาดแสดงองคป์ ระกอบของเซลลเ์ ชอ/ื รา
A=Vesicle, B=Ribosome, C=Mitochondria, D=Endoplasmic reticulum, E=Cell wall,
F=Plasma membrane, G=Septa, H=Septal pore, I=Nucleus with nuclear pores,
J=Nucleolus, K=Lomasomes, L=Vacuole
(ทม$ี า : Sumbali G, Johri BMe. The Fungi. Harrow, Middlesex: Alpha Science International; 2005.)
ผนงั เซลล์ หรอื cell wall ของเชอ/ื ราประกอบดว้ ย polysaccharides เป็นสว่ นใหญ่ ซง:ึ ไดแ้ กไ่ คทนิ
(chitin ซง:ึ เป็น polymer ของ N-acetyl-glucosamine) และ เซลลโู ลส (cellulose คอื polymer ของ D-
glucose) ซง:ึ ทาํ ใหผ้ นงั เซลลข์ องเชอ/ื รามคี วามแขง็ แรง และยงั พบกลแู คน (glucan เป็น polymer ของ
glucose), และแมนแนน (mannan เป็น polymer ของ mannose) อกี ดว้ ย นอกจากน/ีผนงั เซลลย์ งั
ประกอบดว้ ยโปรตนี (มกั พบเป็น glycoprotein) และไขมนั
เชอ/ื ราเป็น heterotrophic organism คอื ไมส่ ามารถสงั เคราะหอ์ าหารเองไดเ้ หมอื นพชื เน:ืองจาก
เชอ/ื ราไมม่ คี ลอโรฟิลด์ อาศยั สารอาหารจากธรรมชาตโิ ดยการดดู ซมึ ซง:ึ อาจดดู ซมึ อนิ ทรยี สารจากซากพชื
ซากสตั ว์ เรยี กวา่ การดาํ รงชวี ติ แบบ saprobes และอกี แบบหน:ึงคอื การทเ:ี ชอ/ื ราอาศยั อาหารจากสง:ิ มชี วี ติ
(host) โดยมกั ก่อโรคใน host ซง:ึ อาจเป็นไปไดท้ งั/ ในคน พชื หรอื สตั ว์ การดาํ รงชวี ติ แบบน/ีเราเรยี กวา่
parasite นนั: เอง เชอ/ื รามกี ารเจรญิ แพรพ่ นั ธไุ์ ดโ้ ดยการสรา้ งสปอร์ ซง:ึ อาจเป็นไดท้ งั/ แบบอาศยั เพศ (sexual
1
spore) หรอื แบบไมอ่ าศยั เพศ (asexual spore) และในการเจรญิ ของเชอ/ื ราสว่ นใหญ่ตอ้ งใชอ้ อกซเิ จนใน
การดาํ รงชวี ติ แบง่ เชอ/ื ราออกเป็น 2 กลุม่ ใหญ่ๆ ไดแ้ ก่
1. Yeast เป็นเชอ/ื ราชนิดเซลลเ์ ดยี ว (unicellular fungi) เจรญิ ให้ yeast colony ลกั ษณะทางกายภาพ
ของยสี ต์ (macroscopic examination) คลา้ ยกบั โคโลนีของแบคทเี รยี คอื จะมลี กั ษณะกลม นูน
ผวิ หน้ามนั และเมอ:ื มองดลู กั ษณะของเซลลผ์ า่ นกลอ้ งจลุ ทรรศน์ (microscopic examination) จะ
เหน็ เป็นเซลลก์ ลม, รี หรอื เซลลอ์ าจมรี ปู รา่ งยาว หวั ทา้ ยตดั ป้าน อยเู่ ป็นเซลลเ์ ดยี วๆมากมาย
(ภาพท:ี 2)
ยสี ตม์ กี ารแพรพ่ นั ธโุ์ ดยการแตกหน่อ (budding) สรา้ งบลาสโตโคนิเดยี (blastoconidia )
บางชนิดมกี ารแบง่ เซลลภ์ ายใน (fission) (ภาพท:ี 3) สว่ นใหญ่แบง่ ตวั แบบ budding สรา้ ง
blastoconidia คอื เซลลท์ แ:ี บง่ ตวั แลว้ จะหลดุ ออกจากเซลลเ์ ดมิ (เซลลแ์ ม)่ และมกี ารเจรญิ แตกหน่อ
ต่อไป แต่ในยสี ตบ์ างชนิดพบวา่ นอกจากการแบง่ ตวั แบบแตกหน่อตามปกตแิ ลว้ ในบางสภาวะ
เชอ/ื รายงั มกี ารสรา้ งสายราเทยี ม (pseudohyphae) และ สารราแท้ (true hyphae) ไดอ้ กี ดว้ ย
สายราเทยี ม หรอื pseudohyphae คอื เซลลย์ สี ตท์ ย:ี ดื ยาวออก และเรยี งตวั เหมอื นสายราท:ี
มผี นงั กนั/ ซง:ึ สงั เกตไดว้ า่ เซลลม์ กี ารคอดทร:ี อยต่อของเซลล์ และตรงรอยต่อน/ีอาจพบการ budding
ของเซลลข์ น/ึ อกี กไ็ ด้ สว่ นสายราแทค้ อื ราทม:ี กี ารเจรญิ และสรา้ งผนงั กนั/ กลายเป็นสายราแท้ (ภาพ
ท:ี 4) ยสี ตท์ ส:ี รา้ งสายราแทน้ /ีไดเ้ มอ:ื เจรญิ บนอาหารเลย/ี งเชอ/ื จะสรา้ งโคโลนีทม:ี ลี กั ษณะเป็น yeast
like colony คอื มสี ว่ นของสายราฝังอยใู่ นอาหารเลย/ี งเชอ/ื และสว่ นของยสี ตจ์ ะกองสมุ กนั อยบู่ นผวิ
อาหาร แต่จะไมพ่ บสายราทส:ี รา้ งขน/ี ไปดา้ นบน (aerial hyphae) ยสี ตแ์ ทจ้ ะเจรญิ ให้ yeast colony
ซง:ึ มลี กั ษณะและสแี ตกต่างกนั ไป แลว้ แต่ชนิดของเชอ/ื ยสี ตบ์ างชนิดมสี สี ม้ อมชมพู บางชนิดมสี ี
เหลอื ง บางชนิดมสี เี หลอื งครมี บางชนิดมสี ขี าว เป็นตน้
ภาพที$ 2 แสดงลกั ษณะทางกายภาพ และลกั ษณะภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ของยสี ต์
(ทม$ี า : http://biology.clc.uc.edu/Fankhauser/Labs/Microbiology/Yeast_Plate_Count/Yeast_Plate_Count.htm,
http://www.mitadmissions.org/topics/pulse/ faculty_at_mit/prof_manolis_kellis_combining_1.shtml)
2
ภาพท$ี 3 ภาพแสดงการเพม:ิ จาํ นวนของยสี ต์ คอื ซง:ึ สว่ นใหญ่จะเพม:ิ จาํ นวนโดยการแตกหน่อ
(budding) สรา้ ง blastoconidia (บน) หรอื บางชนิดมกี ารแบง่ เซลลภ์ ายใน (fission
yeast)(ลา่ ง)
(ทม$ี า : http://www.steve.gb.com/images/science/schizosaccharomyces_pombe.jpg และhttps://www.biomedia.
cellbiology.ubc.ca/cellbiol/user/scripts/qry_media_id.php?media_id=693)
ภาพที$ 4 แสดงการเกดิ germ tube ของราชนิด Candida albican
ซา้ ย : เรมิ: มกี ารงอกของเซลลอ์ อกไปดา้ นนอก คลา้ ยๆการแตกหน่อ
ขวา : มกี ารงอกของเซลลย์ าวมากขน/ึ
(ทม$ี า : http://www.medmicro.wisc.edu/resources/imagelib/mycology/images/c_albicans_germtube.jpg)
2. Mold เป็นเชอ/ื ราชนิดหลายเซลล์ (multicellular fungi) เจรญิ ให้ filamentous colony โคโลนีมี
ลกั ษณะฟูมากน้อยต่างๆกนั ตามชนิดของเชอ/ื เมอ:ื ดลู กั ษณะของเซลลโ์ ดยผา่ นกลอ้ งจลุ ทรรศน์เหน็
เซลลเ์ ป็นชนิด multicellular
3
ลกั ษณะโคโลนีของ mold หรอื ราสาย เมอ:ื ดลู กั ษณะภายนอก (macroscopic appearance) จะ
เหน็ เป็น filamentous colony มลี กั ษณะทฟ:ี ูมากน้อยแตกต่างกนั ไปตามชนิดของเชอ/ื เชน่
glabrous คอื โคโลนีของราสายทม:ี ลี กั ษณะผวิ หน้ายน่ ๆ เป็นเหมอื นหนงั สตั ว,์ powdery คอื โคโลนี
ของราสายทม:ี ลี ษั ณะผวิ หน้าเป็นผงละเอยี ดคลา้ ยแป้ง, granular คอื โคโลนีของราสายทม:ี ลี กั ษณะ
ผวิ หน้าเป็นเมด็ เลก็ ๆ คลา้ ยเมด็ ทราย, velvety คอื โคโลนีของราสายทม:ี ลี กั ษณะผวิ หน้าเป็นปยุ
ละเอยี ดแน่นคลา้ ยผา้ กาํ มะหย,:ี fluffy คอื โคโลนีของราสายทม:ี ลี กั ษณะผวิ หน้าเป็นปยุ ฟูเลก็ น้อย
คลา้ ยขนแมว และ cottony คอื โคโลนีของราสายทม:ี ลี กั ษณะผวิ หน้าเป็นปยุ ฟูมากคลา้ ยปยุ ฝ้าย
หรอื สาํ ลี อาจเจรญิ ขน/ึ มาชนฝาครอบจานอาหารเลย/ี งเชอ/ื อกี ฝัง: หน:ึง
สว่ นของสายราทฟ:ี ูขน/ึ บนอาหารเลย/ี งเชอ/ื เรยี กวา่ สายราอากาศ หรอื aerial hyphae และ
สายราทเ:ี จรญิ อยใู่ นอาหารเลย/ี งเชอ/ื เรยี กวา่ สายราดดู อาหาร หรอื vegetative hyphae สว่ นสายรา
สว่ นทม:ี หี น้าทใ:ี นการสบื พนั ธุเ์ ราเรยี กวา่ reproductive part ซง:ึ สว่ นใหญ่จะเจรญิ ในสว่ นของ aerial
part ซง:ึ รปู แบบลกั ษณะของสายราสบื พนั ธนุ์ /ีมสี ว่ นชว่ ยในการจาํ แนกชนิดของเชอ/ื ราได้
ภาพท$ี 5 ภาพจาํ ลอง เมอ:ื เปรยี บเทยี บลกั ษณะของเชอ/ื ราเป็นตน้ ไม้ จะเหน็ วา่ สว่ นของรากทย:ี งั: ลกึ ลง
ดนิ เปรยี บเสมอื นสว่ นของ vegetative part ทเ:ี จรญิ เขา้ ไปในเน/ืออาหารเลย/ี งเชอ/ื สว่ นของลาํ
ตน้ ใบ และผล ทเ:ี จรญิ ขน/ึ มาเหนือดนิ เปรยี บเสมอื นสว่ นของ aerial part ทเ:ี จรญิ ขน/ึ ไป
ดา้ นบนอากาศ
(ทม$ี า : http://picasaweb.google.com/gene.basler/TreePreservation#5226798514523384578,
Delisle G. and Tomalty L., Microbes in Motion III (e-book)
เมอ:ื แบง่ ตามการมผี นงั กนั/ พบวา่ แบง่ สายราเป็น 2 ชนิดคอื ชนิดทม:ี ผี นงั กนั/ (septate hyphae)
และชนิดทไ:ี มม่ ผี นงั กนั/ (non-septate hyphae หรอื aseptate hyphae หรอื coenocytic hyphae) (ภาพท:ี
6) สขี องสายรายงั แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ สายราสใี ส ซง:ึ เราเรยี กวา่ hyaline hyphae (เรยี กรากลุม่
น/ีวา่ hyaline fungi) และสายราสนี /ําตาลเขม้ ถงึ ดาํ หรอื non-hyaline hyphae หรอื dematiaceous hyphae
(เรยี กรากลมุ่ น/ีวา่ dematiaceous fungi) ดา้ นใตโ้ คโลนขี องราดาํ น/ีมสี เี ขม้ ซง:ึ อาจเป็นสนี /ําตาลเขม้ หรอื สดี าํ
ตวั ตนของรา หรอื Thallus ประกอบดว้ ย สว่ นของสายราเรยี กวา่ hyphae ซง:ึ มลี กั ษณะแตกกงิ: กา้ นสาขา
(brancing) สรา้ งเป็นลกั ษณะเครอื ขา่ ย เป็นกลมุ่ กอ้ นของสายรา ซง:ึ เราเรยี กวา่ mycelium (คอื สายราท:ี
รวมตวั กนั เป็นกระจกุ )
4
ภาพที$ 6 ภาพแสดงลกั ษณะทาง microscopic examination ซา้ ย : septate hyphae สายราทม:ี ลี กั ษณะ
คลา้ ยๆกบั ผนงั กนั/ แต่ละหอ้ ง, ขวา : สายราแบบไมม่ ผี นงั กนั/
(ทม$ี า:www.doctorfungus.org/imageban/images/ABELCET/26_erostrat.jpg,www.doctorfungus.org/Thefungi/img/015MIKE.JPG)
Dimorphic fungi หรอื ราสองรปู คอื เป็นราทม:ี ี 2 รปู รา่ งในสภาวะอุณหภมู ทิ แ:ี ตกต่างกนั โดยเป็น
yeast form (yeast phase) (มลี กั ษณะเป็นเซลลย์ สี ต)์ เมอ:ื อยใู่ นรา่ งกายผปู้ ่วย หรอื สตั วป์ ่วย หรอื บนอาหาร
เลย/ี งเชอ/ื ทเ:ี ป็น enriched media บม่ เพาะทอ:ี ุณหภมู ิ 37oC และเป็น mold form (mold phase) (เป็นสาย
รา) เมอ:ื อยใู่ นธรรมชาติ หรอื บนอาหารเลย/ี งเชอ/ื ทบ:ี ม่ เพาะทอ:ี ุณหภมู หิ อ้ ง (25oC)
ตวั อยา่ งของเชอ/ื ในกลมุ่ น/ี ไดแ้ ก่ Histoplasma capsulatum มลี กั ษณะเป็น yeast form เมอ:ื อยใู่ น
เซลล์ macrophage ของรา่ งกายผปู้ ่วย หรอื บนอาหารเลย/ี งเชอ/ื ทม:ี อี าหารสมบรู ณ์ (enriched media) ท:ี
อุณหภมู ิ 37oC และพบในรปู ของราสาย (mold form) ไดต้ ามธรรมชาติ หรอื บนอาหารเลย/ี งเชอ/ื ท:ี
อุณหภมู หิ อ้ ง เป็นตน้ ตวั อยา่ งเชอ/ื ในกลุม่ ราสองรปู ทม:ี กั ก่อโรคตามระบบไดแ้ ก่ Histoplasma capsulatum
var. capsulatum , Histoplasma capsulatum var. duboisii ซง:ึ ก่อโรค Histoplasmosis, Blastomyces
dermatitidis กอ่ โรค Blastomycosis, Paracoccidioides brasiliensis กอ่ โรค Paracoccidioidomycosis,
Sporothrix schenckii ก่อโรค Sporotrichosis และ Penicillium marneffei กอ่ โรค Penicilliosis marneffei
เป็นตน้
นอกจาก yeast, mold, dimorphic fungi แลว้ ยงั มี mushroom หรอื เหด็ (เหด็ สว่ นมากอยใู่ นชนั/
Basidiomycetes) โดยเหด็ คอื กลุม่ ของราสายทม:ี ชี ว่ งวงจรชวี ติ ทม:ี วี วิ ฒั นาการเจรญิ และสรา้ ง fruiting
bodies หรอื ดอกเหด็ ซง:ึ คอื กลุม่ ของสายราทร:ี วมตวั กนั เป็นกลุม่ กอ้ น ในสภาพแวดลอ้ มและเวลาท:ี
เหมาะสม คอื ทม:ี อี าหาร ความชน/ื และอุณหภมู ทิ เ:ี หมาะสม ไดเ้ ป็นเน/ือเยอ:ื ขนาดต่างๆกนั โดยกอ้ นเหด็ ออ่ น
เจรญิ มขี นาดใหญ่ขน/ึ แลว้ ปรแิ ตกออก และยดื ยาวออกไปในอากาศ มขี นาดตงั/ แต่เลก็ จนถงึ ใหญ่แลว้ แต่
ชนิดของเหด็
โดยเมอ:ื เหด็ มขี นาดโตเตม็ ทแ:ี ลว้ ประกอบดว้ ยสว่ นต่างๆทส:ี าํ คญั ดงั น/ี (ภาพท:ี 7)
1. หมวดเหด็ (cap) เป็นสว่ นปลายสดุ ของดอกทเ:ี จรญิ เตบิ โตขน/ึ ไปในอากาศ เมอ:ื ดอกบานเตม็ ทจ:ี ะกาง
ออก มลี กั ษณะรปู ทรงเหมอื นรม่ กาง ขอบงมุ้ หรอื อาจแบนราบ กลางหมวกเหด็ อาจเวา้ เป็นแอง่ ผวิ
หมวกเหด็ ดา้ นบนอาจจะเรยี บ ขรขุ ระ มเี กลด็ (scale) หรอื มขี นแตกต่างกนั แลว้ แต่ชนิดของเหด็ เน/ือ
หมวกเหด็ แต่ละสายพนั ธอุ์ าจหนาบางต่างกนั อาจจะเหนียวหรอื ฉกี ขาดไดง้ า่ ย เน/ือเยอ:ื ของหมวก
เหด็ บางชนิดอาจเปลย:ี นสไี ดเ้ มอ:ื ถกู อากาศ
5
_. ครีบ (gills) หรอื ซห:ี มวดเหด็ เรยี งเป็นรศั มรี อบกา้ นดอก ดา้ นลา่ งของหมวกเหด็ เหด็ แต่ละชนิดมี
จาํ นวนครบี หมวกแตกต่างกนั และความหนาบางไมเ่ ทา่ กนั จาํ นวนของครบี จงึ ใชเ้ ป็นลกั ษณะ
ประกอบการจาํ แนกเหด็ ดว้ ย สขี องครบี หมวกสว่ นมากจะเป็นสเี ดยี วกบั สเปอรข์ องเหด็ ซง:ึ จดั เป็น
ลกั ษณะแตกต่างของเหด็ แต่ละชนิด
a. ก้านดอก (stipe หรอื stalk) มขี นาดใหญ่และยาวแตกต่างกนั สว่ นมากเป็นรปู ทรงกระบอก ตอนบนยดึ
ตดิ กบั ครบี หมวกดา้ นใน กา้ นดอกเหด็ อาจมผี วิ เรยี บ ขรขุ ระ หรอื มขี น หรอื เกลด็
c. วงแหวน (ring) เป็นเน/ือเยอ:ื บาง ๆ ยดึ กา้ นดอกและขอบของหมวกของเหด็ ใหต้ ดิ กนั เมอ:ื หมวดเหด็ กาง
ออกเยอ:ื จงึ ขาดจากขอบหมวกเหด็ แต่ยงั มเี ศษสว่ นยดึ ตดิ กบั กา้ นดอกใหเ้ หน็ รอบกา้ นดอกเหมอื นมี
วงแหวนหรอื แผน่ เหยอ:ื บางสวมอยู่
e.เปลือกห้มุ (volva) เป็นเน/ือเยอ:ื ชนั/ นอกสดุ ทห:ี มุ้ ดอกเหด็ ทงั/ ดอกไวใ้ นระยะทเ:ี ป็นดอกตมู เปลอื กหมุ้ จะมี
เน/ือเยอ:ื และสคี ลา้ ยกบั หมวกเหด็ แต่สว่ นมากมสี ขี าว
i. กล่มุ เส้นใย บรเิ วณทด:ี อกเหด็ จะขน/ึ ปรากฎเสน้ ใยราสขี าวขน/ึ อยกู่ อ่ น เสน้ ใยน/ีจะก่อตวั หรอื รวมตวั กนั
เป็นกอ้ นใหญ่ เหด็ บางชนิดมเี สน้ ใยรวมตวั กนั เป็นกอ้ นแขง็ อยทู่ โ:ี คนกา้ นดอก หรอื เป็นเสน้ หยาบ
มองเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ แต่เหด็ บางชนิดมเี สน้ ใยละเอยี ดเลก็ มาก มองไมเ่ หน็ ลกั ษณะดงั กลา่ ว โดยปกติ
เสน้ ใยของเหด็ เป็นสขี าวนวลแทรกซมึ อยตู่ ามทบ:ี รเิ วณทจ:ี ะเกดิ ดอกเหด็
ภาพที$ 7 แสดงสว่ นประกอบต่างๆ ของเหด็
(ทม$ี า : http://www.infovisual.info/01/024_en.html)
ระบบสบื พนั ธขุ์ องเชอ/ื ราแบง่ เป็น 2 แบบ ไดแ้ ก่ การสบื พนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศ (Asexual
reproduction) และการสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ (sexual reproduction)
การสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศ คอื การสรา้ ง conidia คอื หน่วยสบื พนั ธทุ์ ไ:ี ดจ้ ากการแตกหน่อ
(budding) และ sporangiospore คอื หน่วยสบื พนั ธชุ์ นิดทม:ี ผี นงั หมุ้ เซลลท์ ไ:ี ดจ้ ากการสบื พนั ธแุ์ บบไม่
อาศยั เพศอาจเป็น blastoconidia, arthroconidia, chlamydoconidia, phialoconidia, poroconidia,
annelloconidia, macro and microconidia และ sporangiospore (ภาพท:ี 8)
6
ภาพท$ี 8 ลกั ษณะของเซลลส์ บื พนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศแบบต่างๆ ไดแ้ ก่ blastoconidia,
arthroconidia, chlamydoconidia, phialoconidia, poroconidia, annelloconidia, macroconidia และ
sporangiospore
(ทม$ี า:www.scielo.br/img/fbpe/rm/v30n1/0011i03.gif,www.mycology.adelaide.edu.au/gallery/photos/geotrichum1.html,www.doctorfungus.org/Thefungi/img/candi
da.jpg,www.mycology.adelaide.edu.au/gallery/photos/phialo3.html,www.doctorfungus.org/imageban/images/init_images/252MIKE.jpg,www.mycology.adelaid
e.edu.au/gallery/photos/scop1.html,www.asm.org/Division/c/fungi.htm,wwwbiol.paisley.ac.uk/bioref/Fungi/Mucor_brunneogriseus.html)
การสืบพนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ ราบางชนิดมกี ารสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศในสายราพนั ธุเ์ ดยี วกนั
เรยี กวา่ เป็นแบบ homothallic (มี sexually self-fertile) หรอื อกี แบบหน:ึงคอื เกดิ จากสายราต่างสายพนั ธมุ์ า
ผสมกนั (หรอื สายราต่างเพศ) เรยี กวา่ heterothallic พบวา่ มกี ารพฒั นารปู รา่ งบางสว่ นของสายราไปเป็น
อวยั วะสบื พนั ธุ์ (sex organ หรอื gametangia) ซง:ึ ประกอบดว้ ยเซลลส์ บื พนั ธตุ์ ่างเพศ (sex cell หรอื
gametes) ซง:ึ อาจมรี ปู รา่ งหน้าตาเหมอื นกนั เรยี กวา่ isogametes หรอื isogametangia และพวกทม:ี รี ปู รา่ ง
ต่างกนั เรยี กวา่ heterogametes หรอื heterogametangia ซง:ึ แบง่ ไดเ้ ป็น male gametangium เรยี กวา่
antheridium และ female gametangium เรยี กวา่ oogonium
7
เมอ:ื gametotangia ต่างเพศทม:ี คี วามเหมาะสมกนั ในการเขา้ คู่ มาพบกนั จะเกดิ ขนั/ ตอนต่างๆ ดงั น/ี
ไดแ้ ก่
1. Plasmogamy เป็นการผสมกนั ของprotoplasm นํานิวเคลยี สของทงั/ 2 เซลลม์ าอยดู่ ว้ ยกนั ในเซลลเ์ ดยี ว
2. Karyogamy นิวเคลยี สอยกู่ นั เป็นครู่ ะยะหน:ึง (เรยี กวา่ dikaryon) หลงั จากนนั/ จงึ มกี ารรวมตวั กนั ของ
นิวเคลยี สเป็น diploid
3. Meiosis หลงั จากมกี ารรวมตวั กนั ของนิวเคลยี สเป็น diploid แลว้ จงึ มกี ารลดจาํ นวนของโครโมโซมเป็น
haploid โดยแบง่ เป็น 4 นิวเคลยี ส
Sexual spores มคี วามสาํ คญั ในการชว่ ยจาํ แนกเชอ/ื ราในระดบั division ได้ โดย sexual spore มี
อยู่ 4 ชนิด ไดแ้ ก่ Oospore, Zygospore, Ascospore และ Basidiospore (ภาพท:ี 9)
ภาพที$ 9 แสดงsexual sporeแบบต่างๆ ไดแ้ ก่ Oospore, Zygospore, Ascospore และ
Basidiospore
(ทม$ี า : www.sut.ac.th/e-texts/Agri/myweb2/link104.htm,www.kentsimmons.uwinnipeg.ca/16cm05/16labman05/lb2pg21.
htm,www.doctorfungus.org/thefungi/img/M_cinereus_3.jpg,www.apsnet.org/Education/IllustratedGlossary/PhotosA-D/basidiospore.htm)
Oospore เป็น sexual spore ทพ:ี บไดใ้ นรากลมุ่ ราน/ํา จดั เป็นราชนั/ ต:าํ ภายหลงั ไดถ้ กู จดั อยใู่ นกลมุ่
fungal-like protista ซง:ึ จะมกี ารสรา้ ง gamete บนสายราเสน้ เดยี วกนั female sex organ เรยี กวา่
oogonium เป็นเซลลล์ กั ษณะกลม ภายในประกอบดว้ ยนิวเคลยี ส มกั พบ oogonium หลายๆเซลล์ เรยี กวา่
oosphere สว่ น male sex organ เรยี กวา่ antheridium ลกั ษณะยาว หรอื อาจคลา้ ยรปู กระบอง (club-
shaped) ขนาดเลก็ กวา่ oogonium
8
Antheridium จะเกาะตดิ กบั Oogonium และเรมิ: ตน้ กระบวนการ plasmogamy คอื มกี ารผสมกนั
ของ protoplasm และมกี ารเดนิ ทางของนิวเคลยี สผา่ นทางทอ่ fertilization tube และนิวเคลยี สของทงั/ 2
เซลลม์ าอยใู่ กลก้ นั เกดิ กระบวนการ plasmogamy และ karyogamy อยใู่ น oogonium หลงั จากนนั/ ผนงั
ของ oosphere จะมกี ารหนาตวั ขน/ึ กลายเป็น oospore ซง:ึ มนี ิวเคลยี สแบบ diploid ต่อมาในชว่ งทส:ี ปอร์
งอกจะเกดิ กระบวนการ meiosis ไดเ้ ซลลท์ ม:ี นี ิวเคลยี สแบบ haploid ต่อไป
Zygospore ในรากลุม่ Zygomycota จะมกี ารสรา้ ง sexual spore แบบ zygospore โดยในสายรา
ทเ:ี ป็น male sex organ และ female sex organ ทเ:ี หมาะสมกนั (compatitle mating type) ซง:ึ อาจเป็นรา
สายพนั ธเุ์ ดยี วกนั (homothallic) หรอื ราต่างสายพนั ธกุ์ นั (heterothallic) ซง:ึ เราเรยี กวา่ mating type + และ
mating type – มาอยชู่ ดิ กนั และเกดิ เป็น progametangium และ gametangium ตามลาํ ดบั หลงั จากนนั/ จงึ
เกดิ plasmogamy และ karyogamy ไดเ้ ป็น young zygospore (ซง:ึ เป็นสปอรเ์ ดย:ี วๆอยใู่ น
zygosporangium) และต่อมาผนงั ของ zygospore หนาตวั ขน/ึ กลายเป็น mature zygospore ซง:ึ มนี ิวเคลยี ส
แบบ diploid และต่อมาเกดิ กระบวนการ meiosis ในชว่ งทส:ี ปอรง์ อกต่อไป
Ascospore พบไดใ้ นรากลุม่ Ascomycota มที งั/ แบบ homothallic และ heterothallic (มี mating
type A และ a) Female sex organ เรยี กวา่ ascogonium สว่ น male sex organ เรยี กวา่ antheridium มี
รปู รา่ งไดห้ ลายแบบ เซลลท์ งั/ สองน/ีสามารถมารวมตวั กนั ไดห้ ลายวธิ ี วธิ ที พ:ี บไดบ้ อ่ ยในราก่อโรคคอื
Gametangial contact คอื เซลล์ antheridium จะเคลอ:ื นมาอยชู่ ดิ กบั เซลล์ ascogonium และมกี าร
เคลอ:ื นยา้ ยนิวเคลยี สจาก antheridium ผา่ นทางรขู องผนงั เซลลม์ ายงั ascogonium ในระยะน/ีจะยงั ไมม่ กี าร
รวมตวั ของนิวเคลยี ส แต่นิวเคลยี สจะอยกู่ นั เป็นคๆู่ และมกี ารงอกของ ascogenous hyphae หลายๆสาย
ออกจาก ascogonium ทผ:ี สมแลว้ นนั/ ภายในแต่ละ ascogenous hyphae มนี ิวเคลยี สต่างเพศอยเู่ ป็นคู่ ซง:ึ
แบง่ ตวั แบบ mitosis และมกี ารเคลอ:ื นทไ:ี ปอยใู่ นแต่ละเซลล์ ต่อมามกี ารรวมตวั กนั ของคนู่ ิวเคลยี สทเ:ี ซลล์
สว่ นปลาย ระยะน/ีเรยี กวา่ zygote ซง:ึ ต่อมามกี ารแบง่ นิวเคลยี สของ zygote แบบ meiosis
ในระยะ young ascus จะไดเ้ ป็นนิวเคลยี สชนิด haploid 4 นิวเคลยี ส ซง:ึ จะมกี ารแบง่ ต่อแบบ
mitosis ไดเ้ ป็น 8 นิวเคลยี ส และพฒั นาต่อไปเป็น 8 ascospore โดยกระบวนการ cell formation และอาจ
พบ ascospore จาํ นวน 8, 16, 32 หรอื มากกวา่ น/ี แลว้ แต่ชนิดของเชอ/ื รา
ถุงหมุ้ ascospore เรยี กวา่ ascus ซง:ึ อาจมรี ปู รา่ งกลม รี หรอื ยาว ได้ Ascus ในราจาํ พวกยสี ตน์ นั/
ไมม่ เี ครอ:ื งหอ่ หมุ้ (ascocarp) สว่ นในราอน:ื ๆนนั/ ascocarp มไี ดห้ ลายรปู แบบ ไดแ้ ก่ cleistothecium,
perithecium, ascostroma และ apothecium
Basidiospore ราในกลุม่ Basidiomycota ไดแ้ ก่ ราทส:ี ามารถสรา้ ง fruiting bodies หรอื
basidiocarp คอื เหด็ สว่ นใหญ่ สามารถสรา้ ง sexual spore ชนิด basidiospore ได้ ซง:ึ พบวา่ มที งั/ ชนิด
homothallic และ heterothallic นิวเคลยี สของสายราสองสายทม:ี ารวมตวั กนั อยเู่ ป็นคู่ (dikaryon) ทป:ี ลาย
สดุ ของเซลล์ โดยยงั ไมม่ กี ารรวมตวั กนั แต่ละนิวเคลยี สจะมกี ารแบง่ ตวั แบบ mitosis มกี ารเคลอ:ื นทผ:ี า่ น
สายราต่อเชอ:ื ม (clamp connection) ไปอยใู่ นเซลลข์ า้ งเคยี งทเ:ี กดิ จากการสรา้ งผนงั กนั/ เซลลใ์ หม่ ซง:ึ
นิวเคลยี สคทู่ อ:ี ยทู่ เ:ี ซลลป์ ลายสดุ จะมกี ารแบง่ ตวั เชน่ น/ีไปเรอ:ื ยๆ จนเมอ:ื ถงึ ระยะหน:ึงจะมกี ารรวมตวั กนั ของ
นิวเคลยี สคทู่ อ:ี ยทู่ เ:ี ซลลป์ ลายสดุ (karyogamy) เซลลป์ ลายสดุ น/ีจะกลายเป็น basidium เกดิ กระบวนการ
meiosis และสรา้ งเป็น 4 basidiospore
9
นกั อนุกรมวธิ าน ชอ:ื R.H. Whittadker ไดจ้ ดั จาํ แนกสงิ: มชี วี ติ ออกเป็น 5 อาณาจกั ร (kingdom)
ไดแ้ ก่
1. Kingdom Monera ไดแ้ ก่สาหรา่ ยเซลลเ์ ดยี วชนิดสนี /ําเงนิ แกมเขยี ว แบคทเี รยี และแอคตโิ นมยั ซสี
2. Kingdom Fungi ไดแ้ ก่ eukaryotes เหด็ และราต่างๆ
3. Kingdom Protista/Protoctista ไดแ้ ก่ eukaryotes สาหรา่ ยหลายชนิด โปโตซวั ราน/ํา และราเมอื ก
4. Kingdom Plantae ไดแ้ กส่ าหรา่ ยบางชนิด และพชื ทวั: ไป
5. Kingdom Animalia ไดแ้ ก่ คน และสตั วท์ กุ ชนิด
การจดั จาํ แนกชนิดของสง:ิ มชี วี ติ ใน Kingdom fungi นนั/ เมอ:ื แบง่ ตามการสรา้ งสปอรแ์ บบอาศยั เพศ
(telemorph) นนั/ สามารถแบง่ เชอ/ื ราออกเป็น 4 phylum แต่ทท:ี ม:ี คี วามสาํ คญั ทางสตั วแพทย์ และพบใน
ประเทศไทยนนั/ จดั อยใู่ น 3 phylum ดงั ต่อไปนีh
1. Phylum Ascomycota ราใน phylum น/ีสรา้ ง sexual spore เรยี กวา่ ascospore สว่ น asexual spore
นนั/ มไี ดห้ ลายแบบ อาจเป็นการแตกหน่อ (budding) หรอื แบง่ เป็นสองภายในเซลล์ (fission)
สายราเป็นชนิดมผี นงั กนั/ (septate hyphae) ราบางชนิดใน phylum น/ีสรา้ งรปู ทรงแบบเหด็
(fruiting bodies) ไดแ้ ก่ เหด็ ถว้ ย หรอื cup fungi เป็นตน้ ในชว่ งของการสรา้ ง sexual spore ไม่
เกดิ การรวมตวั ของนิวเคลยี สทนั ทหี ลงั จาก plasmogamy ดงั นนั/ จะพบสายราในชว่ งหน:ึงใน
วงจรชวี ติ ทม:ี นี ิวเคลยี สอยเู่ ป็นคู่ (dikaryotic stage)
2. Phylum Basidiomycota ราใน phylum น/ีสรา้ ง sexual spore แบบทเ:ี รยี กวา่ basidiospore ราทอ:ี ยู่
ใน phylum น/ีมที งั/ ยสี ต์ และเหด็ ชนิดต่างๆ พบระยะ dikaryotic stage เป็นระยะเวลานานใน
วงจรชวี ติ สายราเป็นชนิดมผี นงั กนั/ และมลี กั ษณะพเิ ศษคอื มโี ครงสรา้ งเชอ:ื มต่อเซลลต์ รง
ตาํ แหน่งของผนงั กนั/ เรยี กวา่ clamp connection
3. Phylum Zygomycota ราทอ:ี ยใู่ น phylum น/ี สรา้ งสปอรแ์ บบอาศยั เพศ (sexual spore) ทเ:ี รยี กวา่
zygospore โดยสปอรแ์ บบไมอ่ าศยั เพศ (asexual spore)สว่ นใหญ่เรยี กวา่ sporangiospore
และราเกอื บทกุ ชนิดใน phylum น/ีสรา้ งสายราแบบไมม่ ผี นงั กนั/
ขนั= ตอนการเกบ็ ตวั อย่างเพ$ือส่งตรวจทางราวิทยา หรือ กิณวิทยา
ถา้ ผเู้ กบ็ ตวั อยา่ ง หรอื สตั วแพทยส์ งสยั วา่ โรค หรอื วกิ ารนนั/ น่าจะเกดิ จากเชอ/ื รา ควรทาํ การเกบ็
ตวั อยา่ ง โดยไมค่ วรใหม้ กี ารปนเป/ือนของเชอ/ื อน:ื ๆ หรอื มปี นเป/ือนของเชอ/ื อน:ื ๆน้อยทส:ี ดุ และตาํ แหน่งท:ี
เกบ็ ตวั อยา่ งตอ้ งเป็นตาํ แหน่งทถ:ี กู ตอ้ ง เชน่ ตาํ แหน่งทเ:ี กดิ วกิ ารชดั เจน ควรทาํ การเกบ็ ตวั อยา่ งก่อนการ
ทาํ การรกั ษาดว้ ย antifungal drugs และปรมิ าณของตวั อยา่ งทเ:ี กบ็ ตอ้ งมเี พยี งพอทใ:ี ชใ้ นการตรวจใน
ขนั/ ตอนต่อๆไป
อุปกรณ์เบอ/ื งตน้ ทจ:ี าํ เป็นตอ้ งใชใ้ นการจาํ แนกชนิดของเชอ/ื ราทก:ี อ่ โรค ไดแ้ ก่ กลอ้ งจลุ ทรรศน์,
10% โปแตสเซยี มไฮดรอกไซด์ (KOH), india ink, สที ใ:ี ชใ้ นการยอ้ มตรวจทางโลหติ วทิ ยา เชน่ diff quick
ถา้ ใหด้ คี วรใช้ Lactophenol cotton blue, สไลดแ์ กว้ , ทป:ี ิดสไลด์ (cover slide) และหนงั สอื ทช:ี ว่ ยในการ
วนิ ิจฉยั แยกชนิดของเชอ/ื รากอ่ โรคทางการแพทย์ หรอื ทางสตั วแพทย์
หลงั จากเกบ็ ตวั อยา่ งสามารถทาํ การตรวจไดโ้ ดยตรงจากการสอ่ งตรวจตวั อยา่ งทนั ทโี ดยใชก้ ลอ้ ง
จลุ ทรรศน์ หรอื อาจทาํ การเพาะเลย/ี งเชอ/ื รา เพอ:ื ใชใ้ นการวนิ ิจฉยั แยกต่อไป
10
การเพาะเชื=อรา ทาํ ไดโ้ ดยการนําตวั อยา่ งมาเพาะลงบนอาหารเลย/ี งเชอ/ื ทเ:ี หมาะสมสาํ หรบั การ
เจรญิ เตบิ โตของเชอ/ื รา และในอาหารตอ้ งมสี ารทป:ี ้องกนั การเจรญิ ของเชอ/ื แบคทเี รยี ทป:ี นเป/ือนมาขณะทาํ
การเกบ็ ตวั อยา่ ง ตวั อยา่ งอาหารทเ:ี หมาะสมสาํ หรบั การเลย/ี งเชอ/ื ราคอื Sabouraud dextrose agar หรอื
SDA และ Potato dextrose agar หรอื PDA ซง:ึ ในอาหารดงั กลา่ วมปี รมิ าณน/ําตาลมาก ซง:ึ เป็นทต:ี อ้ งการ
ในการเจรญิ ของเชอ/ื รา และมคี วามเป็นกรดสงู เพอ:ื ป้องการเจรญิ ของแบคทเี รยี หลงั จากนนั/ นําจานอาหาร
ทไ:ี ดท้ าํ การเพาะเชอ/ื ไปบม่ เพาะทอ:ี ุณหภมู ิ 25-30 oC
สาํ หรบั ในกรณที ส:ี งสยั วา่ เชอ/ื สาเหตุนนั/ น่าจะเป็นเชอ/ื ราในกลมุ่ ราสองรปู หรอื dimorphic fungi ให้
ทาํ การเพาะตวั อยา่ งในอาหารเลย/ี งเชอ/ื ทม:ี สี ารอาหารทเ:ี ชอ/ื ราตอ้ งการ เชน่ brain-heart infusion agar ทม:ี ี
สว่ นผสมของเลอื ด และบม่ เพาะทอ:ี ุณหภมู ิ 37 องศาเซลเซยี ส ซง:ึ เชอ/ื รา dimorphic fungi สามารถเจรญิ ได้
ดใี นรปู ของยสี ต์
เมอ:ื ทาํ การบม่ เพาะในอุณหภมู แิ ละเวลาทเ:ี หมาะสม (ซง:ึ อาจเป็น 3-7 วนั ) จะพบวา่ มโี คโลนีของเชอ/ื
ราเจรญิ ขน/ึ บนอาหารเลย/ี งเชอ/ื ใหท้ าํ การตรวจเบอ/ื งตน้ ดว้ ยการดลู กั ษณะทางกายภาพ (ลกั ษณะภายนอก)
หรอื macroscopic examination โดยการดลู กั ษณะผวิ เน/ือของโคโลนี (ซง:ึ รายละเอยี ดไดก้ ลา่ วไปแลว้ ใน
ขา้ งตน้ ) สดี า้ นหน้าและสดี า้ นใตโ้ คโลนี ลกั ษณะผวิ เน/ือ ขนาดของโคโลนีและการสรา้ งรงควตั ถุของตวั เชอ/ื
บนอาหารเลย/ี งเชอ/ื ซง:ึ ขอ้ มลู เหลา่ น/ีจะเป็นประโยชน์ชว่ ยในการวนิ ิจฉยั แยกเชอ/ื ในเบอ/ื งตน้ ได้
หลงั จากนนั/ ทาํ การตรวจทาง microscopic examination โดยการดลู กั ษณะของสปอร์ หรอื conidia
หรอื ดลู กั ษณะของสายราวา่ เป็นลกั ษณะใด แบบมผี นงั กนั/ หรอื ไมม่ ี และสายราเป็นสายราใส หรอื สายราสี
เขม้ เป็นตน้ ซง:ึ ขอ้ มลู ต่างๆเหลา่ น/ีจะชว่ ยในการวนิ ิจฉยั แยกชนิดของเชอ/ื ราได้
แต่ในกรณที ไ:ี มไ่ ดข้ อ้ มลู ต่างๆดงั ทก:ี ลา่ วไปในเบอ/ื งตน้ เชน่ กรณที เ:ี ชอ/ื สรา้ งแต่สายรา และ
arthroconidia แต่ไมม่ กี ารสรา้ งสปอร์ หรอื เชอ/ื ราอาจมกี ารสรา้ งสปอรแ์ ต่เมอ:ื ทาํ การเขย:ี เชอ/ื ยอ้ ม และสอ่ ง
กลอ้ งเพอ:ื ดลู กั ษณะทาง microscopic examination แลว้ ไมเ่ หน็ ลกั ษณะการสรา้ งสปอร์ ไมส่ ามารถจาํ แนก
ไดว้ า่ เชอ/ื เป็นชนิดใด ควรทาํ การทดสอบต่อโดยวธิ ี slide culture ซง:ึ วธิ นี /ีเป็นวธิ ที จ:ี ะทาํ ใหเ้ หน็ ลกั ษณะ
สปอรท์ เ:ี ชอ/ื ราสรา้ งไดช้ ดั เจนกวา่ การเขย:ี เชอ/ื มาตรวจ ซง:ึ รายละเอยี ดจะกลา่ วถงึ ในภาคปฏบิ ตั กิ ารตอ่ ไป
11
เชื%อราปนเปื% อน
(Contaminant fungi)
เชอ/ื ราปนเป/ือนเป็นเชอ/ื ราทพ:ี บไดท้ วั: ไปในสงิ: แวดลอ้ มรอบตวั เรา เชน่ ในอากาศ ดนิ พชื และน/ํา
โดยเชอ/ื รากลุม่ น/ีเป็นเชอ/ื ราทป:ี นเป/ือนมากกวา่ กอ่ โรค แต่บางครงั/ มนั กส็ ามารถกอ่ โรคไดโ้ ดยการก่อโรค
แบบฉวยโอกาสในผปู้ ่วย หรอื สตั วป์ ่วยทป:ี ่วยเป็นโรคทางภมู คิ มุ้ กนั โดยเฉพาะภมู ติ า้ นทานต:าํ หรอื
บกพรอ่ ง และสตั วป์ ่วยทม:ี บี าดแผล กอ็ าจไดร้ บั เชอ/ื ราเหลา่ น/ีเขา้ ไปในแผล และกอ่ โรคต่อไปได้ แต่
โดยทวั: ไปแลว้ เชอ/ื รากลุม่ น/ีดาํ รงชวี ติ แบบ commensalism คอื อยรู่ ว่ มกบั สง:ิ มชี วี ติ ไดโ้ ดยไมก่ ่อโรค
ปัญหาของเชอ/ื ราปนเป/ือนมกั เกดิ จากการทเ:ี ชอ/ื ราเหลา่ น/ีปนเป/ือนในตวั อยา่ งสง่ ตรวจ หรอื การ
ปนเป/ือนในระหวา่ งการเพาะเชอ/ื ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ซง:ึ เป็นปัญหาในการแยกเชอ/ื ราสาเหตุทแ:ี ทจ้ รงิ ของโรค
เน:ืองจากเชอ/ื รากลุม่ น/ีเป็นเชอ/ื ทเ:ี จรญิ เตบิ โตไดร้ วดเรว็ กวา่ เชอ/ื รากอ่ โรค โดยเชอ/ื จะเจรญิ คลมุ เตม็ อาหาร
เลย/ี งเชอ/ื ทาํ ใหแ้ ยกเชอ/ื ราสาเหตุของโรคทแ:ี ทจ้ รงิ ไดย้ ากขน/ึ ผลคอื การรายงานผลผดิ พลาดซง:ึ นําไปสกู่ าร
รกั ษาทผ:ี ดิ พลาดดว้ ยเชน่ กนั เชอ/ื รากลมุ่ น/ีแบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุม่ เชน่ เดยี วกบั เชอ/ื ราทวั: ๆไป ไดแ้ ก่ ยสี ต์
(yeast) และโมลดห์ รอื ราสาย (mold) ยสี ต์ ทม:ี กั พบคอื Rhodotorula spp. และ mold นนั/ ยงั สามารถแบง่
ไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ ไดแ้ กก่ ลมุ่ สายราทไ:ี มม่ ผี นงั กนั/ หอ้ ง (non-septate hyphae) เชน่ Absedia spp., Mucor
spp. และ Rhizopus spp. และกลมุ่ สายราทม:ี ผี นงั กนั/ หอ้ ง (septate hyphae) ซง:ึ ยงั แบง่ ออกไดเ้ ป็น กลุม่
ราดาํ (dermaticous fungi) เชน่ Cladosporium spp., Curvularia spp. และ Alternaria spp. และราใส
(hyaline fungi) เชน่ Penicillium spp., Fusarium spp. และ Aspergillus spp. เป็นตน้
12
Yeast
Rhodotorula spp.
ตวั อยา่ งยสี ตท์ อ:ี ยใู่ นกลุม่ ราปนเป/ือนน/ีไดแ้ ก่ Rhodotorula spp. ซง:ึ เป็นสมาชกิ ใน phylum
Basidiomycota Rhodotorula spp. น/ี เป็นยสี ตท์ ส:ี ามารถสรา้ งรงควตั ถุ (pigment) ได้ และการทเ:ี ชอ/ื
สามารถสรา้ งรงควตั ถุไดน้ /ีจงึ ทาํ ใหโ้ คโลนีของเชอ/ื มหี ลายหลากสตี งั/ แต่สี ขาว, ครมี , เหลอื ง, สม้ , ชมพู หรอื
แดง แลว้ แต่ชนิดของยสี ต์
ยสี ตช์ นิดน/ีสามารถดาํ รงชพี อยไู่ ดใ้ นสง:ิ แวดลอ้ มทวั: ไป ทงั/ ในอากาศ ดนิ น/ํา น/ําทะเล เป็นตน้ ซง:ึ
สมาชกิ ของเชอ/ื ใน genus น/ีไดแ้ ก่ Rhodotorula glutinis, Rhodotorula minuta และ Rhodotorula
mucilaginosa (ชอ:ื ปัจจบุ นั ของ R. rubra) เป็นตน้ เชอ/ื ในกลุม่ น/ีสว่ นใหญ่จะไมก่ อ่ โรค แต่กส็ ามารถฉวย
โอกาสก่อโรคไดเ้ ชน่ กนั โดยเฉพาะคนหรอื สตั วท์ ป:ี ่วยเป็นภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง หรอื มภี าวะ acute leukemia
เป็นตน้ การวนิ ิจฉยั แยกเชอ/ื ยสี ตช์ นิดน/ีกด็ งั เชน่ การวนิ ิจฉยั แยกเชอ/ื ราโดยทวั: ไปคอื เมอ:ื ตรวจสอบลกั ษณะ
ของเชอ/ื เมอ:ื มองดว้ ยตาเปลา่ (macroscopic examination) พบวา่ คลา้ ยโคโลนีของเชอ/ื แบคทเี รยี โดยทวั: ไป
แต่มขี นาดใหญ่กวา่ คอื ขอบของโคโลนีเรยี บ ผวิ เน/ือมนั หรอื อาจเป็นผวิ ดา้ น และเมอ:ื ตรวจดลู กั ษณะทาง
กลอ้ งจลุ ทรรศน์ (microscopic examination) พบวา่ เป็นเซลลเ์ ดย:ี ว (unicellular) ซง:ึ ลกั ษณะเซลลอ์ าจกลม
รี หรอื รปู รา่ งยาว โดยท:ี blastoconidia อาจมกี ารสรา้ งแคปซลู ไมพ่ บการสรา้ ง pseudohyphae และ
hyphae
ภาพที$ 1 ลกั ษณะเซลลข์ องยสี ต์ Rhodotorular spp. เป็น Unicellular cells
(ทม$ี า : www.ncyc.co.uk/photos/CBS20.jpg, www.ncyc.co.uk/photos/CBS5804.jpg)
13
Aseptate mold 1. Absedia spp.
Absidia spp. เป็น filamentous fungi อยใู่ น phylum zygomycota โดยเชอ/ื ราทอ:ี ยใู่ น phylum น/ีมี
การสรา้ งสปอรแ์ บบอาศยั เพศทเ:ี รยี กวา่ zygospore และสปอรแ์ บบไมอ่ าศยั เพศสว่ นใหญ่เป็น
sporangiospore และเกอื บทงั/ หมดสรา้ งสายราแบบไมม่ ผี นงั กนั/ (aseptate hyphae หรอื nonseptate
hyphae) พบเชอ/ื ราชนิดน/ีไดใ้ นสง:ิ แวดลอ้ มทวั: ไป ทงั/ ในดนิ น/ํา อากาศ และมกั เป็นสาเหตุทท:ี าํ ใหอ้ าหารเน่า
เสยี ไดง้ า่ ย โดยในจนี สั น/ีมปี ระมาณ 21 สปีชสี ์ แต่ทม:ี กั กอ่ โรคในสตั วค์ อื Absidia corymbifera ซง:ึ มกั ทาํ ให้
เกดิ การแทง้ ในแมโ่ ค(Knudtson, 1992)
Macroscopic features
เจรญิ เตบิ โตเรว็ ลกั ษณะภายนอกของเชอ/ื ราคอื โคโลนีอาจมลี กั ษณะแบน หรอื ฟูคลา้ ยขน
สตั ว์ ผวิ ดา้ นหน้ามสี เี ทา สว่ นดา้ นใตโ้ คโลนีไมม่ สี ี
Microscopic features
สายราขนาดคอ่ นขา้ งใหญ่ กวา้ งประมาณ 6-15 ไมครอน ไมม่ ผี นงั กนั/ (nonseptate
hyphae) พบวา่ มี rhizoid แต่พบไมค่ อ่ ยบอ่ ยนกั สปอรเ์ ป็นแบบ sporangiospore (อยใู่ น
sporangium (ลกั ษณะเป็น pyriform หรอื กระสวย)) ซง:ึ สรา้ งอยบู่ น sporangiophore ,
sporangiophore อาจมกี ารแตกสาขา และอยบู่ น stolon (สายรา) ซง:ึ อยรู่ ะหวา่ ง rhizoid สว่ น
columella (ปลายของ sporangiophore ทย:ี น:ื เขา้ ไปใน sporangium) มลี กั ษณะเป็น ครง:ึ วงกลม
ภาพที' 2 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Absidia spp.
(ทม$ี า : www.doctorfungus.org/thefungi/img/020MIKE.jpg, www.mc.uky.edu/oaa/curriculum/iid98/manual/5-12.JPG)
14
2. Mucor spp.
Mucor spp. เป็นสมาชกิ ใน phylum zygomycota ซง:ึ เป็น filamentous fungi, aseptate hyphae
พบในสง:ิ แวดลอ้ มทวั: ไป ในดนิ พชื ผลไมแ้ ละผกั ทเ:ี น่าเสยี มกั เป็นสาเหตุของการปนเป/ือนใน
หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร โดยเชอ/ื ราในจนี สั น/ีมสี มาชกิ มากมายหลายสปีชสี ์ ทม:ี กั พบไดแ้ ก่ Mucor amphibiorum,
Mucor circinelloides, Mucor hiemalis, Mucor indicus, Mucor racemosus และ Mucor ramosissimus
เป็นตน้ ถงึ แมว้ า่ จะเป็นเชอ/ื ราปนเป/ือนอยใู่ นสง:ิ แวดลอ้ ม แต่มกั กส็ ามารถกอ่ ใหเ้ กดิ โรคไดใ้ นบางโอกาสใน
คน สตั วค์ รง:ึ บกครง:ึ น/ํา โคกระบอื และหมู เป็นตน้ โดยเฉพาะในภาวะทส:ี ตั วเ์ หลา่ น/ีมภี มู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง
ถกู กดการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั หรอื สตั วท์ เ:ี ป็นแผลเรอ/ื รงั
Macroscopic features
เชอ/ื เจรญิ เรว็ ลกั ษณะโคโลนีเป็นแบบ fluffy หรอื อาจเป็นถงึ cottony สผี วิ ดา้ นหน้าของ
โคโลนีในวนั แรกๆจะมสี ขี าวต่อมาเปลย:ี นเป็นสนี /ําตาลเทา ดา้ นใตโ้ คโลนีไมม่ สี ี หรอื สขี าว ไมม่ กี าร
สรา้ ง pigment
Microscopic features
สายรามขี นาดใหญ่ (ประมาณ 6-15 ไมครอน) ไมม่ ผี นงั กนั/ ไมพ่ บการสรา้ ง rhizoid และ
stolon สว่ นsporangiophore มขี นาดสนั/ และสว่ นปลายของ sporangiophore เรยี วเลก็ ลง และ อบั
สปอร์ (sporangium) มลี กั ษณะคอ่ นขา้ งกลมมน สว่ น sporangiospore มลี กั ษณะกลม รี หรอื ยาว
collumella มลี กั ษณะไดห้ ลายแบบ แลว้ แต่ species ของเชอ/ื รา
ภาพที' 3 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Mucor spp.
(ทม$ี า : www.doctorfungus.org/imageban/ib_res2.pl)
15
3. Rhizopus spp.
Rhizopus spp. เป็นเชอ/ื ราทอ:ี ยใู่ น phylum zygomycota ซง:ึ พบไดท้ วั: ไปในธรรมชาติ ใน
สง:ิ แวดลอ้ ม แต่อาจกอ่ ใหเ้ กดิ โรคในคนและสตั วไ์ ด้ เชอ/ื สามารถกอ่ โรคแบบฉวยโอกาสได้ โดยเฉพาะในคน
หรอื สตั วท์ ม:ี ภี าวะภมู คิ มุ้ กนั ต:าํ หรอื ถกู กดการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั เชอ/ื จนี สั น/ีมมี ากมายหลายสปีชสี ์ ทพ:ี บไดบ้ อ่ ย
ไดแ้ ก่ Rhizopus arrhizus, Rhizopus azygosporus, Rhizopus microsporus, Rhizopus schipperae, และ
Rhizopus stolonifer
Macroscopic features
เชอ/ื เจรญิ เตบิ โตเรว็ ลกั ษณะผวิ เน/ือของโคโลนีเป็นแบบปยุ มาก (cottony) สดี า้ นหน้ามสี ี
ขาว ถงึ น/ําตาลเหลอื ง สว่ นดา้ นใตโ้ คโลน/ีมสี ขี าว หรอื สซี ดี
Microscopic features
สายราขนาดใหญ่ (เสน้ ผา่ นศยู น์กลางประมาณ 6-15 ไมครอน) มสี ว่ นของ rhizoid ซง:ึ มี
ลกั ษณะคลา้ ยรากของตน้ ไม้ และไมม่ กี ารแตกสาขา (unbranced sporangiophores) ของ
sporangiophore, sporangium มลี กั ษณะกลม และฐานกวา้ ง columella มลี กั ษณะเป็น
hemispherical, sporngiospore รปู รา่ งกลมถงึ รี อาจมสี ใี ส หรอื สนี /ําตาล
ภาพที' 4 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Rhizopus spp.
(ทม$ี า : www.mycology.adelaide.edu.au/gallery/zygomycetes/rhizopus2.gif)
16
Septate mold 1. Cladosporium spp.
Cladosporium spp. อยใู่ น phylum Ascomycota ซง:ึ เชอ/ื ราใน phylum น/ีเป็นเชอ/ื ราทส:ี ายรามผี นงั
กนั/ สรา้ งสปอรแ์ บบอาศยั เพศเรยี กวา่ ascospore สว่ นหน่วยสบื พนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศนนั/ มไี ดห้ ลายแบบ
ทงั/ การแตกหน่อ หรอื แบบแบง่ ตวั ภายใน (fission) เชอ/ื Cladosporium spp. น/ีเป็นราดาํ (dermatiacious
fungi) คอื เป็นเชอ/ื ราทส:ี ามารถสรา้ ง pigmented สเี ขม้ หรอื สดี าํ ราชนิดน/ีมอี ยใู่ นธรรมชาตทิ วั: ไป ในอากาศ
สารอนิ ทรยี ท์ เ:ี น่าเป:ือยผพุ งั เชน่ ไมเ้ ก่าๆ พชื สตั ว์ ผลไม้ ผกั เป็นตน้ และมกั พบเชอ/ื ราชนิดน/ีปนเป/ือนใน
อาหาร เชอ/ื มกั กอ่ โรคแบบฉวยโอกาส และมกั กอ่ ใหเ้ กดิ วกิ ารทผ:ี วิ หนงั , กระจกตาอกั เสบ (keratitis),
onychomycosis, sinusitis และมกั ทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ทป:ี อด (pulmonary infection) ในจนี สั น/ีมปี ระมาณ
30 สปีชสี ์ และทพ:ี บไดบ้ อ่ ยไดแ้ ก่ Cladosporium elatum, Cladosporium herbarum, Cladosporium
sphaerospermum และ Cladosporium cladosporioides เป็นตน้
Macroscopic features
เชอ/ื ชนิดน/ีเป็นเชอ/ื ทเ:ี จรญิ เตบิ โตไดค้ อ่ นขา้ งชา้ ถงึ ปานกลาง และเชอ/ื สว่ นใหญ่ในจนี สั น/ีไม่
สามารถเจรญิ ไดท้ อ:ี ุณหภมู สิ งู กวา่ 35oC ผวิ เน/ือของโคโลนีของเชอ/ื รามลี กั ษณะคลา้ ยกาํ มะหย:ี (velvety)
หรอื อาจเป็นคลา้ ยๆผงแป้ง (powdery) อาจพบวา่ โคโลนีมรี อ่ งหยกั (folded) สดี า้ นหน้าโคโลนีเป็นสเี ขยี ว
มะกอกเขม้ จนถงึ สดี าํ และสดี า้ นใตโ้ คโลนีมสี ดี าํ (คอื เชอ/ื มกี ารสรา้ ง pigment สดี าํ )
Microscopic features
เชอ/ื เป็น septate brown hyphae ซง:ึ สายราเป็นชนิดทม:ี ผี นงั กนั/ และมสี เี ขม้ สว่ นของ
conidiophore และ conidia เป็นสเี ขม้ สรา้ งต่อกนั ประมาณ 1-4 เซลล์ เป็นแบบ acropetal คอื เซลลท์ เ:ี กดิ
ตดิ ต่อกนั เป็นสาย โดยเซลลท์ ม:ี อี ายอุ อ่ นสดุ หรอื เซลลท์ เ:ี กดิ ใหมจ่ ะอยทู่ ป:ี ลายสาย และมรี อยแผลเป็น
(scar) ทข:ี วั/ เมอ:ื เซลลห์ ลดุ ออกจากสาย
ภาพท'ี 5 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Cladosporium spp.
(ทม$ี า : www.virtualmuseum.ca/Exhibitions/Mushroom/Images/Fungus/Other/Large/Cladosporium_md.jpg,
www.airqualityenvironmental.com/images/cladosporium_background.jpg)
17
2. Aspergillus spp.
Aspergillus spp. อยใู่ น phylum Ascomycota เป็นราทอ:ี ยใู่ นกลมุ่ สายราใส หรอื hyaline fungi
พบเชอ/ื รา Aspergillus spp. ไดท้ วั: ไปทกุ หนแหง่ ทวั: โลกทงั/ ในดนิ ในพชื ซากพชื และในอากาศ โดยเฉพาะ
อากาศทอ:ี ยใู่ นบา้ น และในตกึ จะพบวา่ เชอ/ื ราชนิดน/ีปนเป/ือนอยู่
ราชนิดน/ีมสี มาชกิ มากมายกวา่ 185 สปีชสี ์ และพบวา่ มี 20 สปีชสี ท์ ม:ี รี ายงานวา่ เป็นสาเหตุของ
โรคเชอ/ื ราฉวยโอกาสในมนุษย์ โดย Aspergillus fumigatus พบไดบ้ อ่ ยทส:ี ดุ รองลงมาคอื Aspergillus
fumigatus เชอ/ื Aspergillus clavatus, Aspergillus glaucus group, Aspergillus nidulans, Aspergillus
oryzae, Aspergillus terreus, Aspergillus ustus และ Aspergillus versicolor กย็ งั พบไดบ้ า้ งวา่ ก่อใหเ้ กดิ
opportunistic infection แต่ไมบ่ อ่ ยนกั
โดยบทบาทการกอ่ โรคในมนุษยน์ นั/ แบง่ ไดอ้ อกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ การก่อโรคแบบฉวย
โอกาส(Aspergillosis), การทาํ ใหเ้ กดิ การแพ้ และการสรา้ งสารพษิ
การก่อโรคแบบฉวยโอกาสของเชื=อรา พบวา่ มนุษยห์ รอื สตั วท์ อ:ี ยใู่ นภาวะถกู กดการทาํ งาน
ของภมู คิ มุ้ กนั (immunosuppression) นนั/ เป็นสาเหตุหลกั ทท:ี าํ ใหเ้ ชอ/ื เหลา่ น/ีฉวยโอกาสกอ่ โรคได้ (Ho, P,
2000) การกอ่ โรคมหี ลายรปู แบบตงั/ แต่การตดิ เชอ/ื และก่อโรคเฉพาะท:ี (local infection) ไปจนถงึ การตดิ
เชอ/ื ทวั: รา่ งกาย ทงั/ หมดเรยี กวา่ Aspergillosis พบวา่ เชอ/ื Aspergillus spp. เป็นเชอ/ื ราอนั ดบั สองรองจาก
Candida spp. ทก:ี ่อใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ราชนิดฉวยโอกาส (opportunistic mycoses) มากทส:ี ดุ
การกระต้นุ ให้เกิดการแพ้ Antigen ของเชอ/ื Aspergillus spp. สามารถกระตุน้ ใหเ้ กดิ ภาวะ
ภมู คิ มุ้ กนั ไวเกนิ ได้ โดยทาํ ใหเ้ กดิ allergic bronchopulmonary aspergillosis ในมนุษยห์ รอื สตั วท์ เ:ี ป็น
atopic host
ความรนุ แรงที$เกิดจากสารพิษท$ีเชื=อราสรา้ ง เชอ/ื รา Aspergillus spp. บางสปีชสี ส์ ามารถสรา้ ง
สารพษิ (mycotoxin) ไดห้ ลายๆชนิด สารพษิ จากเชอ/ื ราเหลา่ น/ี สตั วห์ รอื มนุษยอ์ าจไดร้ บั เป็นระยะ
เวลานานๆ เชน่ การกนิ สตั วท์ ไ:ี ดร้ บั สารพษิ จากเชอ/ื ราเหลา่ น/ีอยแู่ ลว้ ตดิ ต่อกนั เป็นระยะเวลานาน สารพษิ
จากเชอ/ื ราทเ:ี รารจู้ กั กนั ดคี อื Aflatoxin ซง:ึ ชกั นําใหเ้ กดิ hepatocellular carcinoma ซง:ึ สารพษิ น/ีสรา้ งจาก
เชอ/ื Aspergillus flavus และสามารถปนเป/ือนไดใ้ นอาหาร โดยเฉพาะอาหารจาํ พวกถวั: ลสิ ง (Mori, 1998)
Aspergillus spp. ทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ไดใ้ นสตั วพ์ อๆกบั ในมนุษย์ ในสตั วป์ ีกการตดิ เชอ/ื ในระบบ
ทางเดนิ หายใจมกั เกดิ จาก Aspergillus spp. และทาํ ใหเ้ กดิ การแทง้ ได้ (mycotic abortion) ในโคกระบอื
แกะ และเน:ืองจาก Aspergillus spp. สามารถพบไดท้ วั: ไปในธรรมชาติ จงึ มกั เป็นเชอ/ื ราสาเหตุหลกั ทท:ี าํ ให้
เกดิ การปนเป/ือนในหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารได้
Macroscopic features
เชอ/ื ชนิดน/ีมอี ตั ราการเจรญิ เตบิ โตคอ่ นขา้ งหลากหลาย คอื สว่ นใหญ่เจรญิ เตบิ โตปานกลาง
ถงึ รวดเรว็ ยกเวน้ 2 สปีชสี ์ คอื Aspergillus nidulans และ Aspergillus glaucus เจรญิ คอ่ นขา้ งชา้
และเชอ/ื Aspergillus fumigatus เป็นเชอ/ื ทส:ี ามารถเจรญิ ไดใ้ นทอ:ี ุณหภมู สิ งู คอื อุณหภมู ทิ ส:ี งู กวา่
40oC กส็ ามารถเจรญิ เตบิ โตได้ (สามารถเจรญิ ไดท้ อ:ี ุณหภมู ิ 20-50oC ) ลกั ษณะผวิ เน/ือของโคโลนี
พบไดต้ งั/ แต่ downy ถงึ powdery สดี า้ นหน้าของโคโลนีพบไดห้ ลากหลาย ตงั/ แต่สเี หลอื ง เขยี ว ฟ้า
เขยี ว น/ําตาล ขาว จนถงึ ดาํ และสดี า้ นใตโ้ คโลนีกพ็ บไดต้ งั/ แต่ไมม่ สี ี เหลอื ง ไปจนถงึ สนี /ําตาล
18
Microscopic features
สายราใส มผี นงั กนั/ สรา้ ง conidiophore ทม:ี ปี ลายพองออก (vesicle) เป็นรปู กระบอง
หรอื กลมมน บน vesicle มสี ว่ นของกา้ นงอกออกมา (phialides หรอื sterigma) เรยี งเป็นแถว อาจ
พบวา่ มแี ถวเดยี ว สองแถว หรอื มากกวา่ นนั/ ปลายของ phialide เป็นทเ:ี กดิ ของ phialoconidia
(อาจเป็นรปู กลม หรอื รี ผนงั อาจเรยี บ หรอื หยาบ แลว้ แต่สปีชสี )์ เรยี งต่อกนั เป็นสาย เป็น
basipetal conidia คอื เซลลท์ ส:ี รา้ งใหม่ หรอื เซลลท์ อ:ี ายนุ ้อยสดุ จะอยทู่ ฐ:ี าน หรอื อยบู่ นปลาย
phialide
แต่ละสปีชสี จ์ ะมลี กั ษณะของ conidial head ทแ:ี ตกต่างกนั บางชนิดมี สว่ นของ phialide
ขน/ึ คลุมลอ้ มรอบทวั: ทงั/ vesicle เรยี กวา่ เป็น radiate head แตบ่ างชนิดขน/ึ เฉพาะสว่ นดา้ นบนของ
vesicle เรยี กวา่ เป็น columnar head เป็นตน้
ภาพท'ี 6 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Aspergillus spp.
(ทม$ี า:www.thegourdreserve.com/Aspergillus.jpg,http://labmed.ucsf.edu/education/residency/fung_morph/fungal_site/asperpage.html)
19
3. Penicillium spp.
Penicillium spp. เป็นเชอ/ื ราทอ:ี ยใู่ น phylum Ascomycota ซง:ึ เชอ/ื Penicillium spp.น/ีเกอื บ
ทงั/ หมดเป็น filamentous fungi ยกเวน้ เชอ/ื P. marneffei ทเ:ี ป็น dimorphic fungi คอื มบี างสภาวะทส:ี ามารถ
เปลย:ี นเป็นยสี ตไ์ ด้ เชอ/ื Penicillium spp. สว่ นใหญ่เป็นเชอ/ื ราปนเป/ือนทส:ี ามารถพบไดท้ วั: ไป ทงั/ ในดนิ พชื
ผลไมท้ เ:ี น่าเป:ือย และในอากาศกส็ ามารถพบเชอ/ื ราชนิดน/ีได้ โดยเชอ/ื รา Penicillium spp. น/ีประกอบดว้ ย
สมาชกิ มากมายหลายสปีชสี ์ ทม:ี กั พบไดแ้ ก่ Penicillium chrysogenum, Penicillium citrinum, Penicillium
janthinellum, Penicillium marneffei และ Penicillium purpurogenum โดยการแยกชนิดของเชอ/ื แต่ละสปี
ชสี น์ นั/ อาศยั ความแตกต่างทาง macroscopic และ microscopic examination
เชอ/ื P. marneffei เป็นเชอ/ื ทพ:ี บไดใ้ นบางพน/ื ทโ:ี ดยเฉพาะในทวปี เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ โดยมี
รายงานการตดิ เชอ/ื ใน bamboo rat หรอื ตวั อน้ ซง:ึ เป็น reservoir host และทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ในมนุษยไ์ ด้
ถงึ แมว้ า่ เชอ/ื สว่ นใหญ่เป็นเชอ/ื ราปนเป/ือนอยา่ งทก:ี ลา่ วไปแลว้ ในขา้ งตน้ แต่กส็ ามารถกอ่ ใหเ้ กดิ โรคแบบ
ฉวยโอกาสไดเ้ ชน่ กนั โดยเฉพาะในผปู้ ่วยหรอื สตั วป์ ่วยทอ:ี ยใู่ นภาวะถกู กดการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั โดยจะทาํ ให้
เกดิ โรคซง:ึ เรยี กกนั ทวั: ไปวา่ penicilliosis ซง:ึ สามารถแยกเชอ/ื ไดจ้ ากผปู้ ่วยทเ:ี ป็น keratitis,
endophtalmitis, otomycosis, pneumonia, necrotizing esophagitis, endocarditis, peritonitis, corneal
infection และ urinary tract infection นอกจากน/ี เชอ/ื Penicillium verrucosum ยงั สามารถสรา้ งสารพษิ ได้
ดว้ ย โดยสารพษิ ทเ:ี รยี กวา่ ochratoxin A ซง:ึ มพี ษิ ต่อไต (nephrotoxic) และเป็นสารกอ่ มะเรง็
(carcinogenic) การสรา้ งพษิ ของเชอ/ื ราชนิดน/ีมกั พบในเมลด็ ธญั พชื ในหน้าหนาว (หรอื ทอ:ี ุณหภมู ติ :าํ ) (Pitt,
2000)
Macroscopic features
เชอ/ื เจรญิ เตบิ โตเรว็ โคโลนีคอ่ นขา้ งแบน และอาจมลี กั ษณะคลา้ ยกาํ มะหย:ี (velvety), ฟู
คลา้ ยขนสตั ว์ (woolly) หรอื มลี กั ษณะฟูมากคลา้ ยสาํ ลี (cottony) สดี า้ นหน้าของโคโลนีมตี อนแรกมี
สขี าว ต่อมากลายเป็นสฟี ้าอมเขยี ว, เทาอมเขยี ว, เขยี วมะกอก, เหลอื งอมชมพู สว่ นสดี า้ นใต้
โคโลนีเป็นสเี หลอื งจาง หรอื อาจไมม่ สี กี ไ็ ด้
Microscopic features
เชอ/ื ราเป็นชนิดสายราใส มผี นงั กนั/ conidiophore อาจเป็นกา้ นชแู บบเดย:ี วๆ หรอื แบบแตก
กง:ิ กา้ นสาขา ปลาย conidiophore มเี ซลลท์ เ:ี ป็นจดุ กาํ เนิดของ conidia ซง:ึ มรี ปู รา่ งคลา้ ยคนโท
เรยี กเซลลน์ /ีวา่ phialide มกี ารเรยี งตวั แบบไมก้ วาด (brush-like clusters หรอื penicillus) conidia
ทส:ี รา้ งเป็นชนิด phialoconidia มลี กั ษณะ กลม เซลลเ์ ดยี ว และเรยี งต่อกนั เป็นสาย (สรา้ งต่อกนั
แบบ basipetal) ซง:ึ ไมม่ กี ารแตกสาขา บางสปีชสี ใ์ ต้ phialide มสี ว่ นทเ:ี ป็นลกั ษณะคลา้ ยๆกา้ น
ต่อมาจาก conidiophore เรยี กวา่ matulae
20
ภาพท'ี 7 ภาพวาดจาํ ลองลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Penicillium spp.
(ทม$ี า : www.mycology.adelaide.edu.au/images/penic3.gif)
ลกั ษณะของ P. marneffei ซง:ึ เป็น dimorphic fungi นนั/ เมอ:ื อยใู่ นภาวะ mold ลกั ษณะคลา้ ยกบั
Penicillium spp. ทวั: ไป โคโลนีคอ่ นขา้ งแบน, velvety และมรี อ่ งหยกั ออกไปเป็นรศั มี สดี า้ นหน้ามสี ฟี ้าอม
เทาอมเขยี ว (ตรงกลาง) และขอบเป็นสขี าว สว่ นดา้ นใตโ้ คโลนีมสี แี ดง และมกั มกี ารสรา้ ง arthroconidia
สว่ นในภาวะยสี ต์ ใหโ้ คโลนีแบบยสี ต์ สคี รมี -น/ําตาลออกสชี มพเู ลก็ น้อย และลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรรศน์
เซลลม์ ลี กั ษณะกลม หรอื รี และมกี ารแบง่ ตวั ตามขวางภายในเซลล์ (fission yeast)
ภาพที' 8 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Penicillium marneffei
(ทม$ี า : www.gips.org/Technology/T.I.E./Pfefferle/Pfefferle%20TIE/Fungi%20/P.mar.yeast.h.jpeg)
21
4. Scopulariopsis spp.
Scopulariopsis spp. อยใู่ น phylum Ascomycota ซง:ึ เป็น filamentous fungi อยใู่ นธรรมชาติ
ทวั: ไปทวั: โลก พบไดใ้ นดนิ ในพชื ขนนก และแมลง เชอ/ื ราชนิดน/ีจดั เป็น keratinolytic fungus คอื ถา้ ตดิ เชอ/ื
ราชนิดน/ีแลว้ มกั เกดิ การทาํ ลายสว่ นของ keratin เชอ/ื กลมุ่ น/ีมหี ลายสปีชสี ์ และมที งั/ ชนิดทเ:ี ป็นสายราใส
และทเ:ี ป็นราดาํ เชอ/ื ทเ:ี ป็นสายราใสทม:ี กั พบคอื S. brevicaulis, S. acremonium และ S. flava ตวั อยา่ งเชอ/ื
ทเ:ี ป็นสายราดาํ ไดแ้ ก่ S. cinerea, S. trigonospora, S. brumptii, S. chartarum, S. fusca และ S. asperula
โดยปกตเิ ชอ/ื ชนิดน/ีไมท่ าํ ใหเ้ กดิ โรค แต่ก่อโรคฉวยโอกาสไดใ้ นผปู้ ่วย หรอื ในสตั วท์ ม:ี ภี มู คิ มุ้ กนั ต:าํ กวา่ ปกติ
หรอื มกี ารกดการทาํ งานภมู คิ มุ้ กนั โดยทาํ ใหเ้ กดิ onychomycosis (น/ิวเทา้ และ เลบ็ ), วกิ ารทผ:ี วิ หนงั ,
mycetoma, invasive sinusitis, keratitis, endophthalmitis, endocarditis, pulmonary infection, brain
abscess และ disseminated infection เป็นตน้
Macroscopic features
เชอ/ื ชนิดน/ีเป็นเชอ/ื ทเ:ี จรญิ คอ่ นขา้ งไว โตเตม็ ทใ:ี ชเ้ วลาประมาณ 5 วนั ลกั ษณะผวิ เน/ือเป็น
แบบเป็นเมด็ ๆ เรยี กวา่ granular หรอื คลา้ ยผงแป้ง (powdery) สดี า้ นหน้าโคโลนีเป็นสขี าวในตอนแรก
และจะกลายเป็นสนี /ําตาลออ่ น หรอื แทนในเวลาต่อมา สว่ นดา้ นใตโ้ คโลนีมสี แี ทน สว่ นตรงกลางสนี /ําตาล
Microscopic features
สายราทม:ี ผี นงั กนั/ มสี ว่ นของ conidiophore อาจเป็นแบบ penicillus หรอื แบบเดย:ี ว เรยี ก
conidiophore วา่ anellide อาจมรี ปู รา่ งตรง หรอื พองออกเลก็ น้อย สรา้ ง annelloconidia ซง:ึ มกี ารสรา้ งแบบ
basipetal chain โดยมกี ารสรา้ ง conidia ทป:ี ลายของ anellide และ conidia ทส:ี รา้ งใหมจ่ ะผลกั conidia อนั
เก่าออกไปเรอ:ื ยๆเป็นสายยาว ทง/ิ รอยวงแหวน (annellation) ซง:ึ เป็นรอยเดมิ ของจดุ กาํ เนิด conidia แรกๆ
ไว้ เมอ:ื ดดู ว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์อเิ ลก็ ตรอนพบ annellation ตามจาํ นวนของการสรา้ ง, anelloconidia มี
ลกั ษณะกลมคลา้ ยดวงไฟ หรอื รี เรยี งต่อกนั เป็นสาย ผนงั เซลลอ์ าจเรยี บ หรอื ขรขุ ระ โดยผนงั เซลลข์ อง
conidia ทอ:ี ายนุ ้อยมลี กั ษณะเรยี บ และเป็นหนามละเอยี ดเมอ:ื อายมุ ากขน/ึ
ภาพที' 9 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Scopulariopsis spp.
(ทม$ี า : www.pgodoy.com/imagensoportu/iop_scopulariopsis_brumptii.jpg)
22
5. Curvularia spp.
Curvularia spp. เป็น filamentous fungi ทเ:ี ป็นราดาํ อยใู่ น phylum Ascomycota พบไดท้ วั: ไป
ในสงิ: แวดลอ้ ม เชอ/ื สว่ นใหญ่เป็นสาเหตุของโรคในดนิ พชื และธญั พชื ในเขตรอ้ นชน/ื แต่สามารถก่อโรคได้
ในทงั/ มนุษยแ์ ละสตั ว์ โดยเป็นสาเหตุของ phaeohyphomycosis, การเกดิ บาดแผลตดิ เชอ/ื
onychomycosis, mycetoma, keratitis, allergic sinusitis และ disseminated infection โดยพบวา่ เป็นเชอ/ื
ฉวยโอกาสในผปู้ ่วยหรอื ในสตั วท์ ม:ี ภี มู คิ มุ้ กนั ต:าํ
Curvularia spp. มหี ลายสปีชสี ์ ไดแ้ ก่ Curvularia brachyspora, Curvularia clavata, Curvularia
geniculata, Curvularia lunata, Curvularia pallescens, Curvularia senegalensis และ Curvularia
verruculosa ทพ:ี บบอ่ ยวา่ ก่อโรคในทงั/ มนุษยแ์ ละสตั ว์ คอื Curvularia lunata
Macroscopic features
เป็นเชอ/ื ทเ:ี จรญิ เรว็ ผวิ หน้าโคโลนีมลี กั ษณะคลา้ ยผา้ ขนสตั ว์ (woolly) สดี า้ นหน้าตอนแรก
มสี ขี าวถงึ เทาชมพู แต่ต่อมาเป็นสนี /ําตาลอมเขยี วมะกอกหรอื ดาํ สว่ นดา้ นใตโ้ คโลนีมสี นี /ําตาลถงึ
ดาํ
Microscopic features
สายราสนี /ําตาลมผี นงั กนั/ หอ้ ง ลกั ษณะ conidiophore อาจเป็นแทง่ ตรง หรอื แตกสาขากไ็ ด้
งอเลก็ น้อยตรงปลาย หรอื ตรงทม:ี กี ารสรา้ ง conidia ซง:ึ เราเรยี กวา่ sympodial geniculate growth,
conidia เป็นชนิด poroconidia ซง:ึ มลี กั ษณะรี และงอเลก็ น้อย สนี /ําตาล ภายในมกี ารแบง่ เซลลเ์ ป็น
หอ้ งหลายหอ้ ง โดยแนวแบง่ เป็นแบบตามขวาง เซลลท์ อ:ี ยตู่ รงกลางของ conidia มสี เี ขม้ ทส:ี ดุ และ
มขี นาดใหญ่กวา่ เซลลท์ อ:ี ยดู่ า้ นขา้ ง การทเ:ี ซลลก์ ลางมขี นาดใหญ่สดุ ทาํ ให้ conidia มลี กั ษณะโคง้
ภาพที' 10 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Curvularia spp.
(ทม$ี า : http://mycota-crcc.mnhn.fr/image/ImageGenre/Curvularia.JPG, www.doctorfungus.org/imageban/ib_res2.pl)
23
6. Alternaria spp.
Alternaria spp. คอื ราดาํ ทอ:ี ยใู่ น phylum Ascomycota ซง:ึ พบไดท้ วั: ไปในสงิ: แวดลอ้ มโดยเฉพาะ
ในพชื ดนิ อาหาร และในอากาศ โดยเชอ/ื ชนิดน/ีสามารถสรา้ ง melanin-like pigment (เป็นลกั ษณะสาํ คญั
ของเชอ/ื ในจนี สั น/ี) เชอ/ื ในจนี สั น/ีมถี งึ มากกวา่ 50 สปีชสี ์ ตวั ทพ:ี บวา่ ทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ในมนุษยไ์ ดบ้ อ่ ย
ทส:ี ดุ คอื Alternaria alternata รองลงมาไดแ้ ก่ Alternaria chartarum, Alternaria dianthicola, Alternaria
geophilia, Alternaria infectoria, Alternaria stemphyloides และ Alternaria teunissima ทแ:ี ยกไดจ้ ากการ
ตดิ เชอ/ื เชอ/ื อาจกอ่ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ฉวยโอกาสไดใ้ นผปู้ ่วย หรอื สตั วป์ ่วยทอ:ี ยใู่ นภาวะภมู คิ มุ้ กนั ต:าํ หรอื
ถกู กดการทาํ งานของภมู คิ มุ้ กนั โดยเชอ/ื ชนิดน/ีทาํ ใหเ้ กดิ phaeohyphomycosis, ulcerated cutaneous
infection, onychomycosis, sinusitis, keratitis, osteomyelitis และ visceral infection เป็นตน้ นอกจากน/ี
ยงั พบวา่ เชอ/ื ชนิดน/ีมกั เป็นสาเหตุทาํ ใหเ้ กดิ การปนเป/ือนในหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารได้
Macroscopic features
เชอ/ื ชนิดน/ีเจรญิ เตบิ โตเรว็ ลกั ษณะผวิ เน/ือเป็นแบบ downy ถงึ woolly สดี า้ นหน้าโคโลนี
เป็นสขี าวออกเขยี วในตอนแรก ต่อมาสเี ขม้ ขน/ึ เป็นสดี าํ หรอื สนี /ําตาลออกเขยี วมะกอก และขอบของ
โคโลนีมสี อี อ่ น สว่ นดา้ นใตโ้ คโลนีมสี นี /ําตาลถงึ สดี าํ
Microscopic features
เชอ/ื เป็นสายราสนี /ําตาล มผี นงั กนั/ หอ้ ง conidiophore มผี นงั กนั/ ดว้ ยเชน่ กนั สนี /ําตาล และ
บางครงั/ มลี กั ษณะเป็น zigzag appearance มกี ารสรา้ ง conidia แบบ acropetal chain ลกั ษณะ
ของ conidia คลา้ ยกระบอง และมกี ารแบง่ กนั/ หอ้ งภายใน ซง:ึ พบไดท้ งั/ การแบง่ ไดท้ งั/ สองแนวคอื
การแบง่ ตามขวาง (transverse septation) และการแบง่ ตามยาว (longitudinal septation)
ภาพท'ี 11 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Alternaria spp.
(ทม$ี า : http://mycota-crcc.mnhn.fr/image/ImageGenre/Alternaria.jpg, www.mycology.adelaide.edu.au/images/Alternariq.gif)
24
7. Fusarium spp.
Fusarium spp. อยใู่ น phylum Ascomycota ซง:ึ อยใู่ นกลมุ่ สายราใส พบกระจายอยทู่ วั: ไปใน
สงิ: แวดลอ้ ม ในดนิ และในพชื พบวา่ เชอ/ื ในจนี สั น/ีเป็นเชอ/ื ราทพ:ี บไดป้ กตใิ นขา้ ว ถวั: ถวั เหลอื ง และสนิ คา้
การเกษตรอน:ื ๆ มกั พบในเขตรอ้ น รอ้ นชน/ื บางชนิดสามารถดาํ รงชวี ติ อยใู่ นดนิ ในอากาศเยน็ ได้ เชอ/ื จนี สั น/ี
มมี ากมายกวา่ 20 สปีชสี ์ โดยทพ:ี บบอ่ ยๆไดแ้ ก่ Fusarium solani, Fusarium oxysporum, และ Fusarium
chlamydosporum เป็นตน้ เชอ/ื ในจนี สั น/ีเป็นเชอ/ื ราปนเป/ือนทม:ี กั ก่อโรคในพชื และอาจกอ่ ใหเ้ กดิ โรคแบบ
ฉวยโอกาสไดใ้ นมนุษยแ์ ละสตั ว์ โดยทาํ ใหเ้ กดิ superficial and systemic infection, disseminated
opportunistic infection, keratitis และอน:ื ๆ เชอ/ื ชนิดน/ีมกั ก่อใหเ้ กดิ nosocomial fusariosis คอื มกั ทาํ ให้
เกดิ การตดิ เชอ/ื ไดใ้ นโรงพยาบาล เชอ/ื ชนิดน/ีบางสปีชสี ส์ ามารถสรา้ งสารพษิ ได้ เชน่ Fumonisin เป็นสารพษิ
จากเชอ/ื Fusarium moniliforme and Fusarium proliferatum ในขา้ วโพด สามารถกระตุน้ ใหเ้ กดิ มะเรง็ ท:ี
หลอดอาหาร (esophagus cancer) ได้ และ Zearalenones ซง:ึ สรา้ งจาก Fusarium spp. บางสปีชสี ท์ :ี
เจรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นธญั พชื การกนิ ธญั พชื ทม:ี กี ารปนเป/ือนของเชอ/ื ชนิดน/ีอาจทาํ ใหเ้ กดิ การปนเป/ือนของ
สารพษิ จากเชอ/ื ราและอาจทาํ ใหเ้ กดิ อาการแพไ้ ด้ หรอื อาจเป็นมะเรง็ ในในกรณที ไ:ี ดร้ บั สารพษิ จากเชอ/ื รา
อยา่ งต่อเน:ือง นอกจากทก:ี ลา่ วมาแลว้ ยงั มสี ารพษิ ชนิดอน:ื ๆนอกเหนือจากทก:ี ลา่ วมาแลว้ ในขา้ งตน้ แต่ยงั อยู่
ในชว่ งของการศกึ ษาคน้ ควา้ ทดลองและวจิ ยั
Macroscopic features
เชอ/ื ชนิดน/ีเจรญิ เตบิ โตเรว็ ลกั ษณะผวิ หน้าปยุ อาจเป็นแบบ woolly ถงึ cottony ขนาด
โคโลนีคอ่ นขา้ งใหญ่ สดี า้ นหน้าโคโลนีคอ่ นขา้ งหลากหลายอาจพบตงั/ แต่สขี าว สสี ม้ แดง แทน ครมี
cinnamon มว่ ง ชมพบู านเยน็ จนถงึ สเี หลอื ง สว่ นดา้ นใตโ้ คโลนีกเ็ ชน่ กนั อาจพบไดต้ งั/ แต่ไมม่ สี ี
จนถงึ สอี อ่ นๆ ไดแ้ ก่ สแี ทน แดง น/ําตาล และสบี านเยน็
Microscopic features
สายราใส และมผี นงั กนั/ หอ้ ง มสี ว่ นของ phialide ซง:ึ มลี กั ษณะเป็นทรงกระบอกอาจอยู่
เดย:ี วๆ หรอื แตกสาขากไ็ ด้ และพบวา่ เชอ/ื มกี ารสรา้ ง conidia 2 แบบ ไดแ้ ก่ macroconidia และ
microconidia
Macroconidia สรา้ งจาก phialide ทอ:ี ยบู่ น conidiophore แบบแตกสาขา หรอื แบบเดย:ี วๆกไ็ ด้
ผนงั หนาเรยี บ ลกั ษณะคลา้ ยทรงกระบอก เคยี ว หรอื เรอื คานู หรอื คลา้ ยพระจนั ทรเ์ สย/ี ว
อาจอยรู่ วมกนั เป็นแพ หรอื เป็นกลมุ่ กอ้ น
Microconidia สรา้ งจาก phialide ทอ:ี ยบู่ น conidiophores ทไ:ี มม่ กี ารแตกสาขา ผนงั ของ microconidia ใส
และเรยี บ มลี กั ษณะเป็นรๆี จนถงึ ทรงกระบอก มกั อยกู่ นั เป็นกลุม่ กอ้ น
25
ภาพท'ี 12 ลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์ของเชอ7ื รา Fusarium spp. (macroconidaia และ microconidia)
(ทม$ี า : www.med.univ-angers.fr/GEIHP/Images/Fusarium.jpg,
http://en.academic.ru/pictures/enwiki/70/Fusarium_verticillioides_01.jpg)
26
โรคติดเชื%อราของผิวหนัง
(skin mycoses)
Mycosis คอื โรคตดิ เชอ/ื ทเ:ิ กดิ จากเชอ/ื รา เน:ืองจากรา่ งกายอยใู่ นสภาวะทเ:ี ชอ/ื ราสามารถผา่ นดา่ น
ต่างๆทป:ี กป้องรา่ งกายจากอนั ตรายต่างๆ ผลคอื ทาํ ใหเ้ กดิ โรคตามมา ขน/ึ อยกู่ บั วา่ เกดิ โรคทใ:ี ด ซง:ึ มกั เกดิ
โรคทผ:ี วิ หนงั ซง:ึ ถา้ เป็นการตดิ เชอ/ื ราทผ:ี วิ หนงั แลว้ สามารถแบง่ การเกดิ โรคไดต้ ามชนั/ ของผวิ หนงั ซง:ึ ไดแ้ ก่
superficial mycosis, cutaneous mycosis และ subcutaneous mycosis
โดยผวิ หนงั เป็นอวยั วะทม:ี โี ครงสรา้ งทใ:ี หญ่ทส:ี ดุ ในรา่ งกาย นอกจากผวิ หนงั แลว้ กย็ งั มสี ว่ นของ
ผม ขน เลบ็ ต่อมเหงอ:ื และต่อมไขมนั ซง:ึ รวมกนั เป็นระบบปกคลมุ รา่ งกาย มหี น้าทท:ี ส:ี าํ คญั คอื ปกป้อง
รา่ งกายจากอนั ตรายต่างๆ เชน่ ปกป้องรา่ งกายจากการตดิ เชอ/ื แบคทเี รยี สารเคมี และอุณหภมู ภิ ายนอก
ผวิ หนงั ยงั มสี ารทส:ี ามารถทาํ ลายเชอ/ื แบคทเี รยี ได้ และ melanin ซง:ึ เป็นรงควตั ถุทผ:ี วิ หนงั ยงั มหี น้าท:ี
ป้องกนั รา่ งกายจากอนั ตรายจากแสงยวู ไี ด้ (Ultraviolet radiation) นอกจากน/ีผวิ หนงั ยงั มหี น้าทใ:ี นการ
ควบคมุ อุณหภมู ิ (temperature regulation) ตวั อยา่ งเชน่ เมอ:ื คนอยทู่ ๆ:ี อุณหภมู ติ :าํ หรอื เยน็ จดั เสน้ เลอื ด
ในชนั/ dermis จะมกี ารหดตวั ซง:ึ ทาํ ใหเ้ ลอื ดไหลผา่ นผวิ หนงั (ทเ:ี ยน็ )ลดลง ซง:ึ เป็นการเกบ็ ความรอ้ นไว้
ภายในรา่ งกายนนั: เอง
Superficial & cutaneous mycoses
Superficial mycoses คอื การตดิ เชอ/ื ราในสว่ นผวิ หนงั ชนั/ นอกสดุ เชน่ ผม ขน และเลบ็ เป็นเซลล์
ชนั/ นอกของผวิ หนงั ทต:ี ายแลว้ เชอ/ื ราไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปทาํ ลายในสว่ นของเน/ือเยอ:ื หรอื เซลลท์ ม:ี ชี วี ติ ในชนั/ ลกึ ลง
ไป เชอ/ื ราในกลุม่ น/ีมกั ทาํ ลายสว่ น keratin ของผวิ หนงั เน:ืองจากเชอ/ื สามารถสรา้ ง extracellular enzyme ท:ี
เรยี กวา่ keratinase
เชอ/ื ราสาเหตุสว่ นใหญ่มกั เป็น Malassezia spp. สว่ นใหญ่ในสตั วเ์ กดิ จาก M. pachydermatis
แต่กอ็ าจพบเชอ/ื อน:ื ๆได้ เชน่ M. sympodialis, M. globosa, M. furfu., M. nana เป็นตน้ ซง:ึ ก่อใหเ้ กดิ โรค
เกลอ/ื น หรอื Pityriasis versicolor เชอ/ื Trichosporon beigelii ซง:ึ เป็นราดาํ ก่อใหเ้ กดิ Tinea nigra วกิ าร
จะเหน็ เป็นรอยดา่ งดาํ บนฝ่ามอื ในมนุษย์ เชอ/ื Exophiala werneckii ก่อใหเ้ กดิ White piedra หรอื โรคปม
ราขาว เชอ/ื Peidraia hortae ซง:ึ กอ่ ใหเ้ กดิ โรคปมราดาํ และเชอ/ื รากลมุ่ dermatophytes
Malassezia spp.
Malassezia spp. เป็นยสี ตท์ อ:ี ย่ใู น phylum Basidiomycota เชอ/ื ยสี ตช์ นิดน/ีเป็นเชอ/ื ทช:ี อบไขมนั
(lipophillic) ทําให้เกิดการติดเช/ือบริเวณผิวหนังซ:ึงมีส่วนประกอบของไขมนั มาก และเช/ือส่วนใหญ่
ประมาณ 90% พบว่าเป็นเช/อื ทพ:ี บไดป้ กตทิ ผ:ี วิ หนัง (skin flora) ของมนุษย์ และสตั ว์ โดยมกั ก่อใหเ้ กดิ
superficial และ deep mycoses ใน genus น/ีมที งั/ หมด 9 species ได้แก่ M. furfur, M. pachydermatis,
M globosa, M. sympodialis, M. nana, M. obtusa, M dermatis, M. restricta และ M. slooffiae แต่ชนิดท:ี
สาํ คญั และมกั ก่อโรคผวิ หนังบ่อยๆ ไดแ้ ก่ M. nana และ M. pachydermatis ส่วน M. furfur, M. globosa,
M. sloofiae, M. dermatis และ M. sympodialis มรี ายงานวา่ พบไดบ้ า้ ง
27
แต่ละสปีชสี ม์ ลี กั ษณะทางกายภาพทค:ี อ่ นขา้ งหลากหลายคอื มลี กั ษณะตงั/ แต่กลม(globose) กลม
รี(ovoid) จนถึงเป็ นทรงกระบอก (cylindrical) มีการเพ:ิมจํานวนโดยการแตกหน่อ (budding) แบบ
unilateral budding บริเวณท:ีมกี ารแตกหน่ออาจมฐี านแคบ (narrow base) หรืออาจมฐี านกว้าง (wide
base) หลงั จากการแตกหน่อแลว้ จะพบรอยแผลเป็นบรเิ วณทม:ี กี ารแตกหน่อบนเซลลแ์ ม่
เชอ/ื เหล่าน/ีเป็นเชอ/ื ทพ:ี บไดป้ กต(ิ normal flora)ทผ:ี วิ หนังอาศยั อยู่บรเิ วณผวิ หนัง รมิ ฝีปาก(lips)
ทวาร(anus) ปากช่องคลอด(in vagina) หูส่วนนอก(ในสุนัข)(external ear of dogs) และ anal sacs โดย
ปกติไม่ทําให้เกิดโรค แต่อาจฉวยโอกาสก่อโรคได้ (opportunistic pathogens) เช่นในโฮสต์ท:ีร่างกาย
อ่อนแอ ระบบภมู คิ มุ้ กนั ถกู กด หรอื ภมู คิ มุ้ กนั ต:าํ กวา่ ปกติ หรอื อาจมกี ารเปลย:ี นแปลงของผวิ หนงั และทาํ ให้
เชอ/ื บางชนิดสามารถเจรญิ ไดด้ กี วา่ ปกติ เป็นตน้ โดยเฉพาะเมอ:ื ผวิ หนงั ช่องหดู า้ นนอก หรอื บรเิ วณทเ:ี ชอ/ื
อาศยั อยมู่ กี ารเปลย:ี นแปลงสภาพอากาศ (เรยี กวา่ microclimate) ทาํ ใหเ้ ชอ/ื ก่อโรคขน/ึ ได้ โดยกระบวนการ
ท:แี น่นอนยงั ไม่เป็นท:ที ราบดนี ัก ได้มกี ารศกึ ษาและพบว่าสภาวะท:กี ล่าวมาขา้ งต้น (การเปล:ยี นแปลง
microclimate)ทาํ ใหเ้ ชอ/ื สามารถเกาะตดิ กบั cornified epithelial cells ไดด้ ขี น/ึ ทน:ี :ีเองเชอ/ื มกี ารเพม:ิ จาํ นวน
และยังพบว่าเช/ือสามารถสร้างเอนไซม์ท:ีก่อให้เกิดการทําลายเซลล์ได้ ซ:ึงเอนไซม์เหล่านัน/ ได้แก่
proteinase, chondroitin-sulfatase, hyaluronidase และ phospholipase สดุ ทา้ ยทาํ ใหเ้ กดิ วกิ าร และเกดิ
โรคขน/ึ ได้
พยาธิกาํ เนิดของโรค
มกี ารทําลายเซลลข์ องโฮสต์ในช่วงแรก (early step) โดยเอนไซมท์ ส:ี รา้ งจากเชอ/ื ตามทไ:ี ดก้ ล่าว
ไปขา้ งต้น และทําใหเ้ กดิ การอกั เสบของช่องหูด้านนอก (otitis externa) ในสุนัข, seborrheic dermatitis
และ superficial dermatitis ตามมาได้ กลไกการทําลายทแ:ี ทจ้ รงิ ยงั ไม่เป็นทท:ี ราบนัก การตอบสนองทาง
ภูมคิ ุม้ กนั ของโฮสต์มบี ทบาทก่อใหเ้ กดิ พยาธกิ ําเนิดของโรค และ IgE-mediated hypersensitivity ทําให้
เพม:ิ ความรุนแรงของโรคได้ อาการคนั และอาการอกั เสบนัน/ เป็นผลมาจากเอนไซม์ zymogens ทอ:ี ยู่ใน
ผนงั เซลลข์ องยสี ต์ ซง:ึ กระตุน้ การทาํ งานของระบบคอมพลเี มนท์
การวินิ จฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคน/ีอาจดูได้จากอาการของโรค สตั ว์แสดงอาการคัน โดยการส่ายหัว(head
shaking) อาจเน:ืองจากมีการอักเสบในช่องหูด้านนอก เกาอย่างรุนแรง (pruritus) สตั ว์มีกล:ินเหม็น
(offensive odor) สตั วแ์ สดงอาการของโรครว่ มกบั มปี ระวตั ไิ มต่ อบสนองต่อการรกั ษาดว้ ยยาปฏชิ วี นะ การ
ไดร้ บั ยาในกลุม่ glucocorticoids และ immunotherapy
เม:อื ตรวจเช/อื บรเิ วณท:เี กดิ วกิ ารจะพบยสี ต์ปรมิ าณมาก ทําการตรวจ cytologic examination
โดยวธิ ี skin scrapings ท:ี superficial lesions และดลู กั ษณะของเซลลย์ สี ตท์ ป:ี รากฏในชนั/ superficial โดย
เซลลย์ สี ตท์ ต:ี รวจพบมลี กั ษณะ กลมรี ขนาดประมาณ 8 ไมโครเมตร ผนงั หนา และ unipolar budding M.
pachydermatis มลี กั ษณะเป็น footprint - paenut shaped yeast ซง:ึ สามารถมองเหน็ ไดโ้ ดยการใชก้ ลอ้ ง
จลุ ทรรศน์ (light microscope) ทก:ี าํ ลงั ขยาย 400 เทา่ หรอื ทก:ี าํ ลงั ขาย 1000 เทา่ โดยดผู า่ น oil immersion
การเพาะเชอ/ื ยสี ต์กส็ ามารถทําไดแ้ ต่ไม่ไดบ้ ่งบอกว่าเชอ/ื ทเ:ี พาะขน/ึ เป็นสาเหตุของโรคทแ:ี ทจ้ รงิ
เน:ืองจากเช/อื Malassezia spp. หลายชนิดท:เี ป็น normal flora บนผวิ หนัง การเพาะเช/อื สามารถทําได้
โดยใชอ้ าหาร Mycosel agar หรอื อาจใช้ Sabouraud dextrose agar ในอาหารเล/ยี งเช/อื ควรเตมิ sterile
olive oil เน:ืองจากเชอ/ื Malassezia spp. สว่ นใหญ่(ยกเวน้ M. pachydermatis) ตอ้ งการไขมนั หรอื น/ํามนั
ในการเจริญเติบโต บ่มอาหารเล/ียงเช/ือท:ีอุณหภูมิ 30oC เป็นเวลาประมาณ 1 สปั ดาห์ โคโลนีของ
28
Malassezia spp.จะคอ่ นขา้ งเลก็ สคี รมี นูน และมนั วาว ซง:ึ ไมส่ ามารถแยกสปีชสี ไ์ ด้ แต่ถา้ ตอ้ งการแยกสปี
ชสี ต์ ้องทดสอบทางชวี เคมี เพ:อื ดูความสามารถของเช/อื เช่น Cremophor EL assimilation, การเจรญิ ใน
อาหารเล/ียงเช/ือท:ีไม่มีไขมนั (lipid-free medium), esculin degradation, catalase production และการ
เจรญิ ของเชอ/ื ในอาหาร Dixon agar ท:ี 38oC เป็นตน้
การทดสอบทาง histopathology นนั/ มขี อ้ จาํ กดั ในการตรวจวนิ ิจฉยั เน:ืองจากกระบวนการทาํ ชน/ิ
เน/ือนนั/ มผี ลทาํ ใหส้ ญู เสยี ชนั/ stratum corneum ซง:ึ ถา้ สตั วเ์ ป็นโรคผวิ หนงั ทเ:ี กดิ จากเชอ/ื ยสี ตช์ นิดน/ีจรงิ จะ
ทําให้ไม่เห็นยีสต์ท:ีมีอยู่เป็นจํานวนมากในชนั/ น/ี แต่จะพบวิการ irregularly hyperplastic, spongiotic
superficial, perivascular to interstitial dermatitis with parakeratotic hyperkeratosis ซ:ึงไม่ใช่วิการท:ี
จาํ เพาะ
ภาพท$ี 1 แสดงลกั ษณะทาง microscopic features ของเชอ/ื Malassezia spp.
(ทม$ี า : http://content.answcdn.com/main/content/img/elsevier/vet/gr256.jpg)
การป้องกนั และควบคมุ โรค
จดุ ประสงคเ์ พอ:ื ลดปรมิ าณของเชอ/ื บรเิ วณผวิ หนงั ควรวนิ ิจฉยั และควรหลกี เลย:ี งจากปัจจยั เสยี งท:ี
ทําให้เกิดโรคให้มากท:ีสุด เพ:อื ลดการเพม:ิ จํานวนและก่อโรคของเช/ือ ส่วนในด้านการรกั ษานัน/ แบ่ง
ออกเป็น 2 แบบคอื ถ้าเป็นโรคท:เี กดิ เฉพาะจุด หรอื บางบรเิ วณของร่างกาย มกั ทําการรกั ษาเฉพาะจุด
(topical therapeutic options) เช่นการใชแ้ ชมพู ครมี หรอื การจุ่มแช่ ยาทป:ี ระกอบดว้ ย miconazole หรอื
ketoconazole, selenium sulfide และ chorhexidine และในกรณีทเ:ี ป็นทวั: ทงั/ ตวั มกั ทาํ การรกั ษาดว้ ยการ
ใหย้ า ketoconazole และการรกั ษาแบบใหมค่ อื การให้ ketoconazole รว่ มกบั itraconazole ในกรณีทเ:ี ป็น
cutaneous infection ในสนุ ขั ทเ:ี กดิ จากเชอ/ื M. pachydermatis มกั ใหผ้ ลดี
Trichosporon beigelii
Trichosporon beigelii เ ป็ น เ ช/ือ ท:ีอ ยู่ ใ น phylum Ascomycota, order Sporidiales, family
Sporidiobolaceae พบได้ในดนิ น/ํา ผกั สตั ว์เล/ยี งลูกด้วยนม และสตั ว์ปีก มปี ระมาณ 17 สปีชสี ์ ซ:งึ T.
beigelii เป็นตวั ท:สี ําคญั ท:สี ุดและก่อให้เกดิ โรคในสตั ว์ โดยก่อให้เกดิ piedra และก่อให้เกดิ โรคเต้านม
อกั เสบทร:ี ุนแรงในโคนมอกี ดว้ ย Piedra คอื การตดิ เชอ/ื ราทข:ี น หรอื ผม โดยพบไดน้ ้อย มรี ายงานในมา้
และลงิ พบวา่ เกดิ การสรา้ งตุ่มเลก็ ๆ (small nodules) มสี ขี าวจนถงึ น/ําตาลอ่อน ทบ:ี นเสน้ ขนบรเิ วณแผงคอ
(mane) และหาง(tail) ของสตั ว์
พยาธกิ ําเนิดของโรคเรม:ิ ทช:ี นั/ cuticle ของเสน้ ขน และเกดิ ตุ่มเลก็ ๆขน/ึ ตามการเจรญิ เตบิ โตของ
เซลลย์ สี ต์ เชอ/ื ทาํ ลายเสน้ ขนทาํ ใหเ้ สน้ ขนแตกหกั และ/หรอื ออ่ นแอ และเป็นผลทาํ ใหข้ นรว่ งในทส:ี ดุ
29
การวนิ ิจฉยั ทาํ ไดโ้ ดยสอ่ งตรวจขนสตั วโ์ ดยใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ วธิ กี ารคอื ตดั เสน้ ขนทส:ี งสยั วา่ มกี าร
ตดิ เชอ/ื รา (เหน็ เป็นตุ่มเลก็ ๆสขี าวจนถงึ น/ําตาลอ่อนเกาะอยทู่ เ:ี สน้ ขน) นํามาทาํ 10%KOH preparation คอื
ย่อยด้วย 10%KOH จะเห็นสายรา และ arthrospores รอบๆเส้นขนชัดเจนยิ:งข/ึน และอาจเห็น
blastospores ไดใ้ นบางครงั/
และอาจทําการเพาะเช/ือจากตัวอย่างท:ีสงสยั ว่าติดเช/ือราเพ:ือยืนยนั ผล โดยใช้ Sabouraud
dextrose agar (SDA) หรือ potato dextrose agar (PDA) เ ช/ือ T. beigelii ถูกยับยั/ง กา ร เ จ ริญโ ดย
cycloheximide ดงั นนั/ อาหารทม:ี สี ว่ นผสมของ cycloheximide เช่น Mycosel จงึ ไมส่ ามารถนํามาเพาะเชอ/ื
ชนิดน/ีได้ เชอ/ื ทเ:ี พาะบนอาหารแลว้ ถกู นําไปบม่ เพาะท:ี 25-30oC นานประมาณ 5-7 วนั โดยโคโลนีของเชอ/ื
น/ีมลี กั ษณะเป็น yeastlike colony สคี รมี ผวิ หน้าจะเหย:ี วย่น และนูนตรงกลางเม:อื บ่มเพาะนานขน/ึ และ
โคโลนีเกาะตดิ กบั อาหารเล/ยี งเช/อื แน่นมากเม:อื อายุมากขน/ึ เช่นเดยี วกนั เม:อื เล/ยี งในอาหาร cornmeal
tween80 ทอ:ี ุณหภูมิ 25 องศาเซลเซยี สเป็นเวลา 72 ชวั: โมง Trichospron spp. จะสรา้ ง pseudohyphae
และ hyphae ปรมิ าณมาก ส่วน blastoconidia เป็นแบบ unicellular และมรี ูปร่างหลายแบบ การสร้าง
arthroconidia เป็นลกั ษณะเฉพาะของเชอ/ื ราชนิดน/ี ซง:ึ arthroconidia เป็น unicellular และอาจมลี กั ษณะ
เป็นทรงสเี หลย:ี มลกู บาศก์ คลา้ ยถงั เบยี ร์ หรอื อาจมลี กั ษณะเป็นทรงยาว กไ็ ด้
Geotrichum candidum
Geotrichum candidum เป็นเช/อื ราท:อี ยู่ใน phylum Ascomycota, order Saccharomycetales,
family Endomycetaceae เช/อื ชนิดน/ีสามารถพบได้ทวั: ไปทงั/ ในดนิ และซากพชื ซากสตั ว์ นอกจากน/ียงั
สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จากนม และผิวหนังของมนุษย์ โดยเช/ือยีสต์มีหลายสปี ชีส์แต่ตัวท:ีมี
ความสาํ คญั และก่อโรคในสตั วเ์ ลอ/ี ยคลานและสตั วค์ รง:ึ บกครง:ึ น/ําคอื Geotrichum candidum ซง:ึ ก่อใหเ้ กดิ
วกิ ารทผ:ี วิ หนงั ชนั/ cutaneous
โดยเชอ/ื G. candidum เป็นเชอ/ื ทพ:ี บว่ามรี ายงานการก่อโรคในสตั วเ์ ล/อื ยคลานและสตั วค์ รง:ึ บก
ครง:ึ น/ํา น้อยมากทก:ี ่อโรคในสตั วเ์ ลย/ี ง (เชน่ สนุ ขั แมว สกุ ร โคกระบอื และมา้ ) วกิ ารทเ:ี กดิ ขน/ึ ทผ:ี วิ หนงั ชนั/
cutaneous ไดแ้ ก่ การแยกของชนั/ ผวิ หนงั (discrete), การเกดิ ตุ่มเลก็ ๆ(nodular), การเกดิ กอ้ นตุ่มขน/ึ ในชนั/
dermoepidermal (well-circumscribed dermoepidermal masses) ซ:ึงมกั เกิดข/นึ บรเิ วณเหนือศรษี ะและ
บรเิ วณ dorsal caudolumbar ซง:ึ เรยี กวา่ geotrichosis
กลไกพยาธกิ ําเนิดของ geotrichosis ในสตั วย์ งั ไม่ทราบดนี ัก แต่พบว่าในมนุษยพ์ บการบอบช/าํ
ของผวิ หนัง และการทภ:ี ูมคิ ุม้ กนั ถูกกด หรอื การทเ:ี ป็นภูมคิ ุม้ กนั บกพร่องปัจจยั โน้มนําทําใหเ้ กดิ โรคน/ีได้
งา่ ย
ลักษณะทางกายภาพของเช/ือพบว่าเร:ิมแรกเช/ือมีลักษณะภายนอกเป็ น yeast colony
เจรญิ เตบิ โตรวดเรว็ ท:ี 25oC ต่อมาผวิ เน/ือจะมลี กั ษณะแหง้ powdery to cottony สขี าวถงึ ครมี สว่ นลกั ษณะ
ทางกลอ้ งจุลทรรศน์ พบว่าบางครงั/ เช/อื สามารถสรา้ ง arial mycelia สายราใส มผี นังกนั/ หอ้ ง สายราเป็น
ท่อนๆ พบ arthroconidia มีลักษณะเป็ นส:ีเหล:ียมมุมฉาก ไม่พบ blastoconidia, conidiophores และ
pseudohyphae
30
Piedraia spp.
เช/ือ Piedraia spp. เป็ นเช/ือราท:ีก่อให้เกิดโรคในมนุ ษย์ ซ:ึงเป็ นราท:ีจัดอยู่ใน phylum
Ascomycota เช/ือราจีนัสน/ีอยู่ในกลุ่มราดําซ:ึงสามารถพบได้ในดินในพ/ืนท:ีเขตร้อน ราชนิดน/ีเป็นราท:ี
สามารถย่อยชนั/ keratin ได้ (keratinolytic fungi) เช/อื ในจนี ัสน/ีมี 2 สปีชสี ์ ไดแ้ ก่ P. hortae ซ:งึ ทําใหเ้ กดิ
โรค black piedra ในมนุษย์ และ P. quintanihae ซง:ึ ยงั ไมพ่ บวา่ ก่อโรค แต่สามารถแยกไดจ้ ากลงิ ชมิ แพน
ซี
โดยวกิ ารของโรคคอื พบตุ่มเลก็ ๆสนี /ําตาลหรอื ดาํ ซง:ึ ตุ่มเลก็ ๆเหลา่ น/ีประกอบดว้ ย ascostromata
เป็นส่วนของ fruiting body ซง:ึ มี asci และ ascospore ปรมิ าณมาก โดยตุ่มเลก็ ๆเหล่าน/ีจะตดิ กบั เสน้ ผม
อย่างแน่น โดยคนทต:ี ดิ เชอ/ื น/ีส่วนใหญ่แลว้ อาจไม่แสดงอาการเป็นเวลาหลายปี แต่อย่างไรกต็ ามในรายท:ี
รนุ แรงผลจากการทเ:ี สน้ ผมออ่ นแอจะทาํ ใหเ้ กดิ หกั ของเสน้ ผมในทส:ี ดุ
เชอ/ื ชนิดน/ีเป็นเชอ/ื ทเ:ี จรญิ เตบิ โตชา้ โคโลนีมขี นาดเลก็ ผวิ หน้ามรี อยยน่ และลกั ษณะผวิ เน/ือเป็น
แบบกํามะหย:ี สดี า้ นหน้าเป็นสนี /ําตาลเขม้ ถงึ ดํา ส่วนสดี า้ นใต้โคโลนีมสี ดี ํา ลกั ษณะทางกลอ้ งจุลทรรศน์
พบว่าเป็นสายราสเี ขม้ ชนิดมผี นังกนั/ พบเซลล์ลกั ษณะคลา้ ย chlamydoconidium (chlamydoconidium-
like cells) แทรกอยู่ และพบ ascostromata สีดํา มีลักษณะกลม หรืออาจมีรูปร่างไม่แน่นอน แต่ละ
ascostromata ประกอบดว้ ย ascus และภายใน ascus ประกอบดว้ ย 8 ascospores
Dermatophytes
เชอ/ื ราทก:ี ่อโรคระบบผวิ หนงั ชนั/ นอกยงั ประกอบดว้ ยเชอ/ื รากลุ่ม dermatophyte ซง:ึ แบ่งออกเป็น
3 กลุ่มใหญ่ (แบ่งตามความชอบโฮสต์ และท:ีอยู่อาศยั ตามธรรมชาติ) โดยทงั/ 3 กลุ่มน/ีคือ zoophilic
species คอื เชอ/ื ทเ:ี ป็นเชอ/ื ก่อโรคในสตั วแ์ ละสตั วป์ ีก แต่สามารถตดิ มายงั มนุษยไ์ ดโ้ ดยการสมั ผสั กบั สตั วท์ :ี
มเี ช/อื เหล่าน/ีอยู่, geophilic species คอื เช/อื ทอ:ี ยู่อาศยั ในดนิ และ anthropophilic species เป็นเช/อื ทโ:ี ดย
สว่ นใหญ่แลว้ กอ่ โรคในมนุษย์ แต่กพ็ บไดแ้ ต่เป็นสว่ นน้อยมากทก:ี ่อโรคในสตั ว์
Anthropophilic Geophilic Zoophilic
Epidermophyton
floccosum Microsporum gypseum M. canis
Trichophyton rubrum
T. schoenleinii M. nanum M. equinum
T. tonsurans M. persicolor M. gallinae
T. violaceum M. vabreuseghemii T. metagrophytes
M. audouinii M. cookei T. simii
M. megninii T. verrucosum
31
เชอ/ื รากลุม่ dermatophytes ทก:ี อ่ ใหเ้ กดิ โรคในสตั วไ์ ดแ้ ก่ Microsporum spp., Trichophyton
spp. สว่ น Epidermophyton spp. กพ็ บไดเ้ ชน่ กนั พบไดน้ ้อยมากแต่กส็ ามารถพบวา่ กอ่ โรคไดใ้ นสนุ ขั
Dermatophytosis เป็นโรคทเ:ี กดิ จากเชอ/ื รากลุ่ม dermatophytes ทส:ี ามารถตดิ ต่อกนั ไดโ้ ดยการ
สัมผัสสัตว์ท:ีเป็ นโรคหรือสัตว์ท:ีมีเช/ือ หรือจากสิ:งปูรองท:ีมีเช/ือปนเป/ื อน โดยเช/ือท:ีเป็ น geophilic
dermatophyte อาศยั อยู่ในดนิ ไม่ถูกทําลายโดยแบคทเี รยี ในดนิ เน:ืองจากทผ:ี นังเซลล์ของเช/อื ราเหล่าน/ีมี
ฤทธเิ¦ ป็น antibacterial substances ทําใหเ้ ชอ/ื เหล่าน/ีสามารถดํารงชวี ติ อยู่ไดใ้ นดนิ สตั วส์ ามารถตดิ เชอ/ื
ไดจ้ ากการสมั ผสั ดนิ ทม:ี กี ารปนเป/ือนของเช/อื เหล่าน/ี โดย macroconidia ทอ:ี ยู่บนขนของสตั ว์มบี ทบาท
สาํ คญั ทาํ ใหส้ ตั วเ์ กดิ การตดิ เชอ/ื zoophilic dermatophyte เป็นปรสติ ทผ:ี วิ หนงั ของสตั วซ์ ง:ึ สามารถเกาะตดิ
กบั ขน ผม หรอื รงั แคไดแ้ น่น ปัจจยั โน้มนําทท:ี าํ ใหเ้ กดิ โรคไดแ้ ก่ อากาศทร:ี อ้ น และชน/ื การบาดเจบ็ ชอก
ช/าํ ของผวิ หนงั และภาวะทุพโภชนาการหรอื การขาดสารอาหาร การเปลย:ี นแปลงสภาพของผวิ หนงั เป็น
ตน้
อาการของ dermatophytosis หรอื กลากนนั/ ค่อนขา้ งหลากหลายทงั/ น/ีขน/ึ อยกู่ บั สายพนั ธุข์ องเชอ/ื
ทก:ี ่อโรค หรอื สภาวะภูมคิ ุม้ กนั ของโฮสต์ ส่วนใหญ่แลว้ สตั วจ์ ะแสดงอาการขนร่วง เป็นผ:นื แดง ผวิ หนัง
เป็นสะเกด็ และลอกหลุด เกดิ วกิ ารเป็นวงแหวน เป็นผด หรอื ตุ่มน/ําใส โดยอาการทเ:ี กดิ จากการตดิ เช/อื
Trichophyton spp. นัน/ มคี วามรุนแรงมากกว่าการติดเช/ือ Microsporum spp. เน:ืองจากมกี ระบวนการ
อกั เสบเขา้ มาเกย:ี วขอ้ ง
โรคกลากในแมวมกั เกดิ จากเชอ/ื M. canis โดยเชอ/ื น/ีมแี มวเป็นแหลง่ อมโรคหรอื กกั โรค แมวทต:ี ดิ
เชอ/ื มกั ไม่แสดงอาการ และมกั ทําใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ชนิดน/ีในมนุษยโ์ ดยเฉพาะในเจา้ ของแมว โดยถา้ เกดิ
วกิ ารขน/ึ มกั เกดิ ทบ:ี รเิ วณศรษี ะ อาการเรม:ิ จากการทม:ี ตี อขนขน/ึ (เกดิ จากขนหกั ) เป็นวง ขนรว่ ง เกดิ รงั แค
รขู มุ ขนอกั เสบ และขนร่วงทวั: ร่างกาย อาการเหล่าน/ีมกั พบในลูกแมวซง:ึ การสรา้ งภูมคิ ุม้ กนั ยงั ไม่สมบูรณ์
นกั หรอื อาจพบในแมวทอ:ี ายมุ ากและมภี าวะภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง
โรคกลากในสุนัขมกั เกดิ จากเช/อื M. canis, M. gypseum, T. mentagrophytes โดยสตั ว์มกั เกดิ
วกิ ารเป็นวงเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางกวา้ งประมาณ 2.5 เซนตเิ มตรซง:ึ อาจพบไดใ้ นทุกๆส่วนของร่างกาย แต่มกั
พบทบ:ี รเิ วณหน้า ขอ้ ศอก และอุง้ เทา้ ขนเปราะ แตกหกั งา่ ย ผวิ หนงั แหง้ เป็นสะเกด็ ลอก และเป็นสะเกด็
แผลได้ และในกรณกี ารตดิ เชอ/ื ทร:ี นุ แรงอาจพบเป็น kerion หรอื สงั กะตงั ซง:ึ เป็นวกิ ารทเ:ี กดิ จากการตดิ เชอ/ื
T. mentagrophytes และมกี ารอกั เสบร่วมดว้ ยโดยทาํ ใหเ้ กดิ การบวมของผวิ หนงั เกดิ แผลหลุม และหนอง
ได้
โรคผวิ หนงั ในมา้ มกั เกดิ จากเชอ/ื T. equinum, M. gypseum โดยพบวกิ ารผวิ หนงั เป็นสะเกด็ แหง้
มากมายหลายๆจดุ ของผวิ หนงั สตั ว์ อาจเกดิ การอกั เสบและการสรา้ ง exudates ซง:ึ ทาํ ใหข้ นพนั และตดิ กนั
ทาํ ใหเ้ กดิ วกิ ารทเ:ี รยี กว่า “moth-eaten” โดยการตดิ เชอ/ื จะทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ทเ:ี รอ/ื รงั และไมแ่ สดงอาการ
แสดงอาการอกั ครงั/ เมอ:ื สตั วเ์ กดิ ความเครยี ด
โรคกลากในโคกระบอื นัน/ เป็นโรคทพ:ี บไดบ้ ่อย โดยมกั เกดิ จากเช/อื T. verrucosum โดยในลูก
สตั วไ์ วต่อการเกดิ โรคมากกว่าสตั วท์ โ:ี ตเตม็ ทแ:ี ลว้ อุบตั กิ ารณ์สูงในฤดูหนาว อาจเน:ืองจากสตั วม์ กี ารอยู่
อยา่ งแออดั เพมิ: โอกาสทส:ี ตั วส์ มั ผสั กบั สตั วท์ เ:ี ป็นพาหะไดง้ า่ ย โดยวกิ ารเป็นวงกระจายทวั: ผวิ หนงั ผวิ หนงั
เกดิ สะเกด็ และขนร่วง ผวิ หนงั หลุดลอก อาจพบการอกั เสบทร:ี ุนแรงได้ สตั วอ์ าจแสดงอาการคนั และอาจ
เกดิ การตดิ เชอ/ื แบคทเี รยี แทรกซอ้ นตามมาได้
โรคกลากในแกะ เป็นโรคท:พี บได้บ่อย เกิดจากเช/อื T. verrucosum แกะติดโรคน/ีได้จากการ
สมั ผสั กบั สตั วท์ ต:ี ดิ เชอ/ื เป็นพาหะ หรอื อาจเกดิ จากการสมั ผสั กบั อุปกรณ์ทม:ี กี ารปนเป/ือนของเชอ/ื ได้ วกิ าร
32
ทพ:ี บคอื เกดิ สะเกด็ สะเกด็ แผล ขนร่วงโดยเฉพาะทบ:ี รเิ วณหน้า และหู ขนทค:ี อลอกออก โดยขนาดของ
วกิ ารคอ่ นขา้ งหลากหลายมตี งั/ แต่ขนาดเทา่ ปลายเขม็ จนถงึ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางกวา้ งประมาณ 3 น/ิว
โรคกลากในสตั วป์ ีก พบวา่ เกดิ จากเชอ/ื M. gallinae โดยการตดิ เชอ/ื กลากในสตั วป์ ีกน/ีมกั เรยี กวา่
favus หรอื white comb ซ:งึ ไก่ตวั ผูท้ :ตี ดิ โรคน/ีมกั เกดิ วกิ ารเป็นจุดขาวๆบรเิ วณหงอน และวกิ ารมขี นาด
ใหญ่ขน/ึ เรอ:ื ยๆจนกลายเป็นแผน่ สขี าวคลุมทวั: บรเิ วณหงอน
โรคกลากในสกุ ร มกั เกดิ จากเชอ/ื M. nanum, M. gypseum, M. canis, T. mentagrophytes ปัจจยั
โน้มนําได้แก่ พนั ธุ์สุกร อายุ ความหนาแน่นของคอก ความช/นื และความสะอาดของคอกสุกร วกิ ารท:ี
เกดิ ขน/ึ ไดท้ วั: รา่ งกาย โดยเกดิ การอกั เสบเป็นจุดวงๆผวิ หยาบๆ เรมิ: แรกเป็นจุดเลก็ ๆ แต่ต่อมามกี ารขยาย
เป็นวงกวา้ งขน/ึ เรอ:ื ยๆ ผวิ หนงั ทแ:ี ดงจะมกี ารลอกของผวิ หนงั ตามมา แต่ไมเ่ กดิ การรว่ งของขน วกิ ารเหลา่ น/ี
หายเองภายใน 2-3 เดอื น แต่อาจทง/ิ รอ่ งรอยของการเคยเป็นโรคกลากไวบ้ นผวิ หนงั
พยาธิกาํ เนิดของโรคกลาก
เรมิ: จากการทเ:ี ชอ/ื เขา้ มาทผ:ี วิ หนงั โดยเฉพาะผวิ หนงั ทม:ี กี ารบาดเจบ็ บอบช/าํ หรอื เกดิ แผลถลอก
เช/อื กลุ่มน/ีไม่เขา้ ไปทําลายเซลล์ท:มี ชี วี ติ หรอื ในบรเิ วณท:ๆี เกดิ การอกั เสบได้ สปอร์ของเช/อื เขา้ ไปเพมิ:
จํานวน และเจรญิ เตบิ โตในชนั/ stratum corneum และมกี ารสรา้ งเอนไซม์ ซ:งึ เอนไซมเ์ หล่าน/ีเป็น major
virulence factors ทท:ี าํ ใหเ้ ชอ/ื ก่อโรค และก่อความรนุ แรงได้ โดยทาํ ใหผ้ วิ หนงั เกดิ สะเกด็ และเกดิ การหลุด
ลอกของผวิ หนงั สว่ นขนทม:ี กี ารตดิ เชอ/ื จะแหง้ เปราะและหกั งา่ ย
การวินิ จฉัย
โรคน/ีสามารถวนิ ิจฉัยไดจ้ ากการดูอาการของสตั ว,์ การตรวจขนทเ:ี กดิ โรคโดยใช้ Wood’s lamp
(ตรวจไดเ้ ฉพาะเชอ/ื M. canis), KOH preparation และการเพาะแยกเชอ/ื รา
ควรทําการตรวจสอบเพ:อื ยนื ยนั การวนิ ิจฉัยดว้ ยการตรวจหาเช/อื โดยการใช้ Wood’s lamp ซ:งึ
เช/ือ M. canis สามารถเรืองแสงสีเขียวภายใต้ลําแสงอัลตร้าไวโอเล็ตท:ีความยาวคล:ืนสูง แต่เช/ือ
dermatophytes ชนิดอ:นื ทก:ี ่อโรคในสตั วม์ กั ไมส่ ามารถเรอื งแสงได้ สว่ นการทาํ wet mount เพอ:ื ดลู กั ษณะ
ของเชอ/ื ภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์สามารถทาํ ไดโ้ ดยการทาํ hair, skin หรอื nail scraping และนํามายอ่ ยดว้ ย
10%KOH(10% potassium hydroxide preparation) พบสายรา และ arthrospore รอบๆเสน้ ขนสตั วท์ เ:ี กดิ
วกิ าร (ectothrix formation)
สว่ นการเพาะแยกเชอ/ื รานนั/ ควรทาํ การเพาะเลย/ี งเชอ/ื ราใน Dermatophyte test medium (DTM)
ซง:ึ เป็นอาหารชนิด selective และ differential และมสี ว่ นผสมของ cycloheximide, chloramphenicol หรอื
gentamicin ซ:งึ ป้องกนั การเจรญิ ของเช/อื ราปนเป/ือนและเช/อื แบคทเี รยี นอกจากน/ียงั มี phenol red เป็น
indicator นําอาหารเล/ียงเช/ือไปบ่มเพาะท:ีอุณหภูมิ 25-30oC ต้องติดตามผลทุกสปั ดาห์ เป็นเวลา 4
สปั ดาห์ ถา้ เชอ/ื สาเหตุเป็น dermatophytes จะเกดิ การยอ่ ยสลายโปรตนี และผลคอื มี ammonium ion ทาํ
ให้ pH ในอาหารเลย/ี งเชอ/ื สงู ขน/ึ เปลย:ี นสอี าหารจากสเี หลอื งใหเ้ ป็นสแี ดง
• Microsporum spp.
เชอ/ื ชนิดน/ีมกี ารเจรญิ ตงั/ แต่ชา้ ไปจนถงึ เรว็ ซ:งึ แตกต่างกนั ในแต่ละสปีชสี ์ เม:อื เชอ/ื เจรญิ ไดเ้ ตม็ ท:ี
แล้วอาจมเี สน้ ผ่าศูนย์กลางตงั/ แต่ «-¬ เซนตเิ มตร สดี า้ นหน้าโคโลนีมหี ลากหลายตงั/ แต่สขี าวไปจนถงึ สี
น/ําตาล หรอื สเี ลอื งไปจนถงึ สนี /ําตาลเหลอื ง แลว้ แต่ชนิดของเชอ/ื ว่าอย่ใู นสปีชสี ใ์ ด ส่วนดา้ นหลงั โคโลนีก็
33
เชน่ กนั มตี งั/ แต่สเี หลอื งไปจนถงึ สนี /ําตาลแดง ซง:ึ จากการดลู กั ษณะโคโลนีของเชอ/ื ไมส่ ามารถแยกชนิดของ
เช/อื ได้เน:ืองจากมลี กั ษณะค่อนขา้ งหลากหลายซ:ึงแต่ละสปีชสี ์มคี วามสามารถในการเจรญิ ให้โคโลนีท:ี
แตกต่างกนั การทาํ hair perforation test และความสามารถของเชอ/ื ในการเจรญิ บนอาหาร rice grains ท:ี
-® องศาเซลเซยี ส จะชว่ ยในการแยกชนิดของ Microsporum spp. แต่ละสปีชสี ไ์ ด้
สว่ นลกั ษณะทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์พบวา่ เชอ/ื จนี สั น/ีมลี กั ษณะเป็นสายราทม:ี ผี นงั กนั/ หอ้ ง ลกั ษณะของ
conidiophore คล้ายกับลักษณะของสายรา มีการสร้าง macroconidia และ microconidia โดย
macroconidia ผนงั ขรขุ ระ ผนงั เซลลม์ ที งั/ บาง และหนา แลว้ แต่ชนิดของสปีชสี ์ เซลลเ์ ป็นแบบ multicellular
ซง:ึ มตี งั/ แต่ ¯-«° เซลล์ ลกั ษณะคลา้ ยกระสวย ส่วน microconidia เป็นเซลล์เดย:ี วๆ กระจายเดย:ี วๆ ผนัง
เซลลเ์ รยี บใส ผนงั บาง รปู รี
• Trichophyton spp.
เชอ/ื ชนิดน/ีเป็นเชอ/ื ทเ:ี จรญิ เตบิ โตชา้ จนถงึ อาจเจรญิ เตบิ โตแบบเรว็ ปานกลาง ทงั/ น/ีขน/ึ อยกู่ บั ชนิด
ของสปีชสี ์ ลกั ษณะผวิ เน/ือของโคโลนีมนั glabrous จนถงึ cottony สผี วิ ดา้ นหน้าโคโลนีมสี ขี าวจนถงึ
เหลอื งออ่ นหรอื มว่ งแดง สว่ นสดี า้ นใตโ้ คโลนีมสี จี าง สเี หลอื ง น/ําตาล หรอื อาจเป็นสนี /ําตาลแดง ลกั ษณะ
ทางกลอ้ งจลุ ทรรศน์พบวา่ เป็นสายราแบบมผี นงั กนั/ ลกั ษณะของ conidiophore คลา้ ยสายรา เชอ/ื สามารถ
สรา้ ง macro-และ microconidia ได้ โดยลกั ษณะของ macroconidia นนั/ เป็นโคนิเดยี ทม:ี ขี นาดใหญ่
ภายในมกี ารแบง่ กนั หอ้ งอาจมี ¯ หรอื มากกวา่ นนั/ รวมกนั เป็น macroconidia (แลว้ แต่สปีชสี ข์ องเชอ/ื ) โดย
มรี ปู รา่ งเป็นทรงกระบอก หรอื อาจมลี กั ษณะรปู รา่ งเหมอื นซกิ าร์ ผนงั เซลลเ์ รยี บ ซง:ึ อาจบางหรอื หนากไ็ ด้
แลว้ แต่สปีชสี ์ สว่ น microconidia พบวา่ เป็นเซลลเ์ ดย:ี วๆ เรยี งตวั แบบกระจาย หรอื อาจอยรู่ วมกนั เป็น
กลมุ่ กไ็ ด้ ลกั ษณะของ microconidia เป็นเซลลท์ ค:ี อ่ นขา้ งกลม หรอื รๆี ซง:ึ พบปรมิ าณมากกวา่
macroconidia
Subcutaneous mycoses
Subcutaneous mycoses เป็นการตดิ เชอ/ื ราทม:ี วี กิ ารทค:ี อ่ นขา้ งกวา้ ง คอื อาจมวี กิ ารลามไปถงึ ชนั/
ลกึ ของผวิ หนัง กลา้ มเน/ือ กระดูก และเน/ือเย:อื เกย:ี วพนั (connective tissue) ซง:ึ มกั จะเกย:ี วขอ้ ง หรอื เป็น
ผลมาจากการบาดเจบ็ ของผวิ หนัง โดยเชอ/ื สาเหตุมกั พบในดนิ หรอื พชื ผกั ทเ:ี น่าเสยี ในธรรมชาติ เม:อื เชอ/ื
ไปอยู่บนผิวหนังแล้วจะก่อให้เกิดการติดเช/ือ และต่อมน/ําเหลืองบริเวณนัน/ โดยการติดเช/ือแบบ
แพร่กระจายทวั: ร่างกายนัน/ พบไดน้ ้อย เช/อื ทก:ี ่อใหเ้ กดิ subcutaneous mycoses นัน/ อาจเป็นราดํา หรอื
สายราใส หรอื อาจเป็นราสองรปู วกิ ารอาจสบั สนกบั การตดิ เชอ/ื แบคทเี รยี เช่นการเกดิ โรค actinomycotic
mycetoma, mycobacteriosis เป็นตน้ แต่การรกั ษาโรคเหล่าน/ีมกั ตอบสนองต่ ่อการใหย้ าปฏชิ วี นะ แต่การ
ตดิ เชอ/ื ราทช:ี นั/ ใตผ้ วิ หนงั นนั/ ยากต่อการรกั ษา ดงั นนั/ จาํ เป็นอยา่ งยง:ิ ทสี ตั วแพทยค์ วรหาเชอ/ื สาเหตุทก:ี ่อโรค
จรงิ ๆ เพอ:ื จะไดไ้ หก้ ารรกั ษาทถ:ี กู ตอ้ ง โดยโรคทม:ี กั พบไดแ้ ก่ sporotrichosis, epizootic lymphangitis และ
โรคทม:ี สี าเหตุจากราดํา ซง:ึ ไดแ้ ก่ chromoblastomycosis, eumycotic mycetoma, phaeohyphomycosis,
bovine nasal granuloma
34
Sporotrichosis
เป็นโรคทเ:ี กดิ จากเชอ/ื ราในจนี ัส sporotrix ซง:ึ อย่ใู น phylum Ascomycota ซง:ึ ในจนี ัสน/ีมสี มาชกิ
ทงั/ หมด 3 สปีชสี แ์ ละตวั ทส:ี าํ คญั และก่อใหเ้ กดิ โรคคอื Sporothrix schenckii ซง:ึ เป็นเชอ/ื สาเหตุทส:ี าํ คญั ทก:ี ่อ
โรคในสตั ว์ เชอ/ื ชนิดน/ีเป็นราดําและเป็นราสองรูปโดยจะเป็นรูปยสี ต์ทอ:ี ุณหภูมิ 37 OC และเป็นสายราท:ี
อุณหภมู ิ 25OC เชอ/ื ชนิดน/ีพบไดท้ วั: ไป โดยพบไดใ้ นดนิ พชื ผกั สด หรอื อาจเป็นซากพชื ผกั ตะไครน่ /ํา และ
ไมท้ เ:ี น่าเป:ือยผพุ งั เมอ:ื สตั วไ์ ดร้ บั conidia เขา้ ไปยงั ผวิ หนงั โดยอาจไดร้ บั ทางบาดแผล ซง:ึ อาจเป็นการถกู
ขอมคี มทม:ิ ตาํ หรอื แมลงกดั ซง:ึ สว่ นใหญ่จะทาํ ใหเ้ กดิ โรคบรเิ วณผวิ หนงั ทไ:ี ดร้ บั เชอ/ื ทาํ ใหเ้ กดิ วกิ ารบรเิ วณ
ชนั/ ใตผ้ วิ หนงั และอาจแพรก่ ระจายทวั: รา่ งกายบา้ งเลก็ น้อย
Sporotrichosis เป็นโรคทพ:ี บไดบ้ ่อยทงั/ ในคน และสตั ว์ ซง:ึ ไดม้ รี ายงานพบในสนุ ขั แมว มา้ ลา ลอ่
หมู สตั ว์ปีก แกะ และโคกระบือ โดยท:กี ล่าวมาแล้วมรี ายงานโรคน/ีในสุนัขมากท:ีสุด โดยโรคในสุนัข
(canine sporotrichosis) มกั พบเป็นหน:ึงใน 3 ของกลุม่ อาการดงั น/ีคอื cutaneous disease, disseminated
disease และ lymphocutaneous disease โดยสองแบบแรกพบได้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ท:ีพบจะเป็น
lymphocutaneous disease โดยวกิ ารจะเรม:ิ ท:จี ุดท:ไี ด้รบั เช/อื เกิดเป็นตุ่มหนองในชนั/ ใต้ผวิ หนัง ต่อมา
กลายเป็นแผลเป:ือย และมกี ารสมานแผล แต่เม:อื มกี ารลุกลามของโรคไปตามท่อน/ําเหลอื งจะทําใหเ้ กดิ
วกิ ารทต:ี ่อมน/ําเหลอื ง โดยทว:ี กิ ารเหลา่ น/ีไมไ่ ดท้ าํ ใหส้ ตั วแ์ สดงอาการเจบ็ หรอื คนั แต่อยา่ งใด
feline sporotrichosis มกั พบมากในแมวเพศผู้ท:อี าศยั อยู่นอกบ้าน โดยวกิ ารเรมิ: จากการมี
บาดแผลเปิดเลก็ ๆซง:ึ มกั พบบรเิ วณหวั หรอื โคนหาง ต่อมาจะเป็นตุ่ม ตุ่มหนอง แผลเป:ือย หรอื เน/ือตาย
และอาจแพรก่ ระจายไปต่างรางกายกไ็ ด้
ในมา้ มกั พบเป็นตุ่มแขง็ (ซ:งึ อาจมขี นาดตงั/ แต่ 1-5 เซนตเิ มตร) อยู่ตามท่อน/ําเหลอื งซ:งึ มกั พบ
บรเิ วณขาดา้ นใน (medial surface of the legs)
โรค sporotrichosis น/ีเป็นโรคทส:ี ามารถตดิ ต่อมายงั คนได้ (zoonotic) คนอาจตดิ โรคไดจ้ ากการ
สมั ผสั โดยตรงกบั วกิ าร หรอื ผ้าพนั บาดแผลนัน/ คนท:เี ป็นโรคส่วนใหญ่มกั ติดจากแมวท:เี ล/ียงโดยไม่มี
บาดแผลหรอื รอยข่วนใดๆ โดยแมวท:ีติดเช/อื จะมกี ารปล่อยเช/อื ราออกมาในของเหลวจากวกิ าร และ
อุจจาระของมนั เราสามารถพบเชอ/ื S. schenckii จากแมวบา้ นไดโ้ ดยทแ:ี มวเหลา่ นนั/ ไมไ่ ดแ้ สดงอาการใดๆ
ของโรค sporotrichosis สว่ น canine sporotrichosis นนั/ จดั เป็น minimal zoonotic importance เน:ืองจาก
มเี ชอ/ื ปรมิ าณน้อยทอ:ี ยใู่ นเน/ือเยอ:ื ของสนุ ขั ทเ:ี ป็นโรค
พยาธกิ ําเนิดของโรค เรมิ: จากมกี ารเจรญิ และเพม:ิ จาํ นวนของ conidia ของเชอ/ื ราในบาดแผลซง:ึ
อาจเกดิ จากการตดิ เชอ/ื โดยตรงจากบาดแผลสด หรอื การปนเป/ือนของสปอรข์ องเชอ/ื ในบาดแผลทม:ี อี ยกู่ ่อน
แล้ว หลงั จากนัน/ mycelial form หรอื saprophytic form จะเปล:ยี นเป็น yeast form หรอื parasitic form
ซ:งึ เป็นผลมาจากอุณหภูมขิ องร่างกายทม:ี ากกว่าอุณหภูมขิ องสงิ: แวดล้อม และเกดิ ตุ่มแดงแขง็ บรเิ วณท:ี
ได้รบั เช/อื ตุ่มเหล่านัน/ อาจเป็นฝีก้อนเลก็ ๆ (microabcess) และ granulomas การตดิ เช/อื จะมกี ารแพร่ะ
กระจายไปตามทอ่ น/ําเหลอื ง เกดิ ตุ่ม และต่อมาอาจแตก มกี ารระบายของหนองทอ:ี ยภู่ ายในออกมา ขาสตั ว์
อาจบวมเน:ืองจาก lymphangitis แต่ cutaneous form ท:ไี ม่มกี ารอกั เสบของต่อมน/ําเหลอื งกอ็ าจพบได้
virulence factor ของ S. schenckii ไดแ้ ก่ thermotolerance, extracellular enzymes และ adhesion โดย
การท:ีเช/ือสามารถเจริญได้ที 37 OC ทําให้เช/ือสามารถรุกรานและทําลายเน/ือเย:ือชัน/ ลึกๆได้ acid
phosphatase ทส:ี รา้ งจาก yeast, mycelia และ conidia ของเชอ/ื ทาํ ใหส้ ามารถทนอยใู่ นเซลล์ macrophage
ได้ ทงั/ yeast cell และ conidia สามารถเกาะกบั extracellular protein, fibronectin โดยองคป์ ระกอบของ
35
cell wall มบี ทบาทต่อความรนุ แรงของเชอ/ื รา เน:ืองจากพบวา่ เชอ/ื ราทก:ี ่อความรนุ แรงจะมสี ว่ นของ สดั สว่ น
ของน/ําตาล rhamnose-mannose ทผ:ี นงั เซลลแ์ ตกต่างจากชนิดทไ:ี มม่ คี วามรนุ แรง
การวินิจฉัยโรคนัน/ ทําได้โดยการใช้หลายๆวิธีในการพิสูจน์ การพิสูจน์โดย microscopic
examination จากการยอ้ มดตู วั อย่างโดยตรงจะเหน็ ยสี ตล์ กั ษณะรๆี กําลงั แบ่งตวั อย่มู ากมาย อาจเรยี กได้
ว่าเป็น cigar bodies แต่จะไม่เหน็ ในตวั อย่างจากสุนัขหรอื มา้ ทต:ี ดิ เชอ/ื น/ี การตรวจจากการยอ้ มสชี น/ิ เน/ือ
(histologic examination) จากการทํา biopsy ตวั อย่างช/นิ เน/ือจากผวิ หนังชนั/ subcutaneous ท:มี วี กิ ารก็
เป็นวธิ ที ค:ี ่อนขา้ งไวพอสมควร แต่อาจสบั สนเชอ/ื ชนิดน/ีกบั เชอ/ื ยสี ต์ตวั อ:นื ๆได้ สุดทา้ ยควรทําการยนื ยนั
โดยการเพาะเชอ/ื รา
S. Schenckii สร้างโคโลนีภายใน 2-7 วนั บน Sabouraud dextrose agar ท:อี ุณหภูมหิ ้อง โดย
โคโลนีทเ:ี ป็น mold form จะมสี คี รมี ผวิ หน้าย่น และลกั ษณะคลา้ ยหนงั และจะกลายเป็นสดี าํ หรอื เทาเงนิ
เม:อื อายุมากขน/ึ ดา้ นใตโ้ คโลนีมสี นี /ําตาลเขม้ สว่ น yeast form จะมโี คโลนีสขี าว หรอื ครมี มนั เมอ:ื ดผู า่ น
กลอ้ งจุลทรรศน์ mold form จะเหน็ ลกั ษณะโคนีเดยี เลก็ ๆ รปู ร่างรี อาจมสี ใี สหรอื สเี ขม้ กไ็ ด้ โดย conidia
เรยี งตวั เดย:ี วๆตามสายรา หรอื อาจเหน็ เป็นคลา้ ยๆกลบี ดอกไมท้ ป:ี ลายของ conidiophore อนั สนั/ ๆ
การควบคมุ และป้องกนั
เชอ/ื ชนิดน/ีไวต่อแสงแดด และคอ่ นขา้ งทนต่อความแหง้ พอสมควร ควรระมดั ระวงั เรอ:ื งการสมั ผสั
สตั วเ์ ลย/ี งอยา่ งใกลช้ ดิ ควรสวมถุงมอื ทุกครงั/ ทจ:ี บั สตั ว์ และควรลา้ งมอื ใหส้ ะอาดทุกครงั/ ทส:ี มั ผสั สตั ว์ น/ํายา
ลา้ งมอื ควรมฤี ทธฆิ¦ า่ เชอ/ื รา เชน่ chlorhexidine หรอื povidone-iodine
การรกั ษาโรค sporotrichosis ในสุนัข แมวและมา้ นัน/ มกั ใหก้ นิ potassium หรอื sodium iodide
และ iodides ยงั คงเป็นการรกั ษาอนั ดบั แรกของการติดเช/อื ในม้า อย่างไรก็ตามแมวนัน/ ไวต่อพษิ ของ
iodide บางตวั ไมส่ ามารถรกั ษาดว้ ย iodide ได้ อาจทาํ การรกั ษาโดยให้ ketoconazole แทน และปัจจุบนั
itraconazole เป็น drug of choice ของการรกั ษาในสุนัข และแมว สตั ว์จะมอี าการดขี น/ึ เม:อื ทําการรกั ษา
ตดิ ต่อกนั ประมาณ 3-4 สปั ดาห์
Epizootic lymphangitis
เช/อื สาเหตุคอื เช/อื Histoplasma capsulatum var. farciminosum เป็นราสองรูป อยู่ใน phylum
Ascomycota ก่อใหเ้ กดิ epizootic lymphangitis ทพ:ี บไดใ้ นมา้ ลา และล่อ โรคน/ีพบได้ในแอฟรกิ าตอน
เหนือ ยุโรป อนิ เดยี และรสั เซยี ส่วนการดํารงชวี ติ ของเชอ/ื ชนิดน/ียงั คงไม่ทราบแน่ชดั แต่การตดิ เชอ/ื นัน/
สามารถเกดิ ไดโ้ ดยผา่ นผวิ หนงั ทม:ี บี าดแผล หรอื โดนแมลงกดั พบวกิ ารทเ:ี ป็นตุ่มๆ และอาจเป็นแผลเป:ือยท:ี
อยู่จํากดั บรเิ วณชนั/ ใต้ผวิ หนัง และตามท่อน/ําเหลอื ง โดยเฉพาะตามลําคอ และขา ไม่ค่อยพบว่ามกี าร
แพร่กระจายของโรคไปยงั อวยั วะภายใน วนิ ิจฉัยโดยการทํา wet mounts ซ:งึ การตรวจจากสงิ: ส่งตรวจ
โดยตรงจะเหน็ ยสี ต์ลกั ษณะเหมอื นลูกแพร์(pear-shaped)กําลงั แตกหน่อ(budding) ซ:งึ มกั พบมากอยู่ใน
เซลล์ neutrophilsหรอื macrophages
โคโลนีของ mycelial form โตเตม็ ท:ี เมอ:ื อายุประมาณ 8 สปั ดาหบ์ นอาหารเลย/ี งเชอ/ื และบ่มเพาะ
ทอ:ี ุณหภูมิ 25 OC โคโลนีมขี นาดเลก็ แบน สเี ทา เม:อื ดูลกั ษณะผ่านกลอ้ งจุลทรรศน์พบสายราแบบมผี นัง
กัน/ ผนังหนา อาจพบ chlamydospores และ arthrospores ในขนั/ ตอนการวินิจฉัยควรทําการเปล:ียน
mycelial form ใหเ้ ป็น yeast form จะใชเ้ วลาค่อนขา้ งนานประมาณ 4 สปั ดาหบ์ ่มเพาะบนอาหาร Hartley
digest agar ท:ีอุณหภูมิ 37 OC ในสภาวะท:ีมีก๊าซ CO2 ประมาณ 10-20% และการตรวจช/ินเน/ือ
(histopathologic examination)จากการตดั ชน/ิ เน/ือ(biopsy) ในตุ่มทย:ี งั ไมแ่ ตก
36
Chromoblastomycosis
โรคน/ีเป็นโรคท:พี บไม่บ่อยนักในสตั ว์ เป็นอาการท:เี กดิ การตดิ เช/อื ของเน/ือเย:อื ของผวิ หนังชนั/
subcutaneous หรอื cutaneous ค่อนขา้ งเรอ/ื รงั และลุกลามอยา่ งชา้ ๆ มสี าเหตุจากการตดิ เชอ/ื ราดาํ เช่น
Phialophora spp., Fonsecaea spp., Exophiala spp. และ Cladosporium spp. โดยพบการแบ่งตวั ของ
เซลล์ทงั/ แบบแนวตงั/ และแนวนอน (muriform cells)และมผี นังหนา เซลล์กลมสนี /ําตาล เรยี กว่า sclerotic
bodies ขนาดประมาณ 5-12 ไมครอน
เช/อื ราเพม:ิ จํานวนเข้ามาในบาดแผลท:ผี วิ หนัง เพมิ: จํานวน และลุกลามเน/ือเย:อื จนทําให้เกิด
chromoblastomycosis ลกั ษณะคลา้ ยหดู คอื เป็นเน/ือย:นื ออกมาจากผวิ หนัง เน/ือแน่น อาจมกี ารแตกของ
ตุ่ม ซง:ึ จาํ กดั อยเู่ ฉพาะทบ:ี รเิ วณเทา้ หรอื ขาเทา่ นนั/
Eumycotic mycetomas
คาํ ว่า mycetoma นัน/ อาจมสี าเหตุจากการตดิ เชอ/ื รา หรอื แบคทเี รยี กไ็ ด้ ถา้ เกดิ จากเชอ/ื ราจะใช้
คาํ ว่า eumycotic mycetomas ขณะทก:ี ารตดิ เชอ/ื ในกลุ่ม filamentous bacteria จะใชค้ าํ ว่า actinomycotic
mycetomas โดยโรค eumycotic mycetomas เป็นโรคท:มี กั เกดิ จากราในกลุ่มราดําพวก Bipolaris spp.,
Curvularia spp. แ ล ะ Pseudallescheria spp. ซ:ึง มัก พ บ ว่ า เ กิด ร่ ว ม กับ ก า ร ติด เ ช/ือ ร า ใ น ก ลุ่ ม
dermatophytes การดาํ เนินไปของโรคเป็นไปอยา่ งชา้ ๆ และเกดิ ขน/ึ เฉพาะท:ี สว่ นใหญ่วกิ ารจะเกดิ บรเิ วณ
เทา้ หรอื บรเิ วณ abdomen ลกั ษณะคลา้ ยๆเน/ืองอกขนาดใหญ่และมรี เู ปิด รเู ปิด หรอื รอยแตกอาจเกดิ การ
สมาน (heal) เกิด tissue fibrosis และทําให้เห็นเหมอื นเป็นก้อนเน/ืองอก ซ:ึงเป็นลกั ษณะของ chronic
mycetomas ซ:งึ อาจเกดิ ขน/ึ ได้กบั ขาทงั/ ส:ขี า้ งของสตั ว์ และอาจเกดิ การรุกรานของเช/อื ไปสู่ periosteum
และทาํ ใหเ้ กดิ osteomyelitis ได้
การจําแนกว่าโรคน/ีเป็น mycetoma นัน/ จะต้องตรวจพบลกั ษณะท:สี ําคญั 3 ลกั ษณะ ได้แก่ 1.
การบวมของผวิ หนงั (swelling) 2. การเกดิ รู รอยแตกหรอื ช่องของกอ้ นบวมนนั/ (fistulas) และ 3. การพบ
granins or granule ซง:ึ เป็นเมด็ เลก็ ๆทป:ี ระกอบดว้ ยการรวมกนั อยขู่ องสายรา (mycelium) ของโคโลนีของ
เชอ/ื ราอยใู่ นของเหลวทอ:ี ยใู่ นตุ่มพองนนั/
อาการของ mycetoma นัน/ ทําให้เกิดการบวมของผิวหนังชนั/ subcutaneous และมีช่องทาง
ระบายจากด้านใน ตุ่มท:บี วมนัน/ อาจมขี นาด รูปร่าง ลกั ษณะความแน่นของเน/ือ และสอี าจแตกต่างกนั
ขน/ึ อยกู่ บั ชนิดของเชอ/ื สาเหตุ ตุ่มอาจมสี ขี าว ดาํ หรอื เหลอื งกไ็ ด้
โรคน/ีมรี ายงานพบในสตั วห์ ลายๆชนิด สว่ นโรคผวิ หนงั และ osteomyelitis พบรายงานนสนุ ขั และ
มา้ และการแพรก่ ระจายของโรคในรา่ งกายกพ็ บมรี ายงานดว้ ยเชน่ กนั
Phaeohyphomycosis
เชอ/ื ราทเ:ี ป็นสาเหตุของ phaeohyphomycosis เหลา่ น/ีไมไ่ ดท้ าํ ใหเ้ กดิ grain หรอื granule ดงั เชน่
mycetoma และไมพ่ บ sclerotic bodies ดงั เชน่ chromoblastomycosis
Phaeohyphomycosis อาจพบท:ี cornea, subcutaneous, cutaneous หรอื อาจแพร่กระจายทวั:
รา่ งกายกเ็ ป็นได้ แต่แบบทเ:ี ป็น subcutaneous จะเป็นแบบทพ:ี บไดบ้ ่อยทส:ี ดุ สาเหตุเกดิ จากราดาํ หลายๆ
ชนิด ได้แก่ Alternaria spp., Bipolaris spp., Cladophialophora spp., Cladosporium spp., Exophiala
spp., Phaeoacremonium spp., Curvularia spp. และ Phialophora spp. ซง:ึ ราเหล่าน/ีเม:อื เจรญิ เตบิ โตใน
37
ร่างกายสตั วจ์ ะเหน็ สายราผนังสเี ขม้ (อาจเหน็ เป็นสดี ําหรอื น/ําตาลเขม้ ) , สายราเทยี ม (pseudohyphae)
หรอื yeast cell หรอื อาจพบหลายๆรปู แบบในสงิ: ส่งตรวจ อาการของโรคพบว่าเกดิ การสรา้ งตุ่มหนอง ฝี
หรอื อาจคลา้ ยตุ่มเน/ืองอกและเมอ:ื มกี ารแตกออกจะกลายเป็นแผลหลุมตน/ื ๆได้ พบมรี ายงานของโรคน/ีใน
สนุ ขั และแมว และมกั พบสว่ นของลาํ ตวั ดา้ น ventral รมิ ฝีปาก เทา้ ขา และหน้าอก
Bovine nasal granuloma
ลกั ษณะคอื เกดิ กอ้ นบวมคลา้ ยเน/ืองอกบรเิ วณดา้ นในโพรงจมกู และ trachea ของโคกระบอื
ซง:ึ เกดิ จากการตดิ เชอ/ื ราดําไดแ้ ก่ Bipolaris spp. และ Curvularia spp. ทําใหส้ ตั วม์ อี าการหายใจลําบาก
เสียงหายใจพร่า และพบน/ํามูกใสหรืออาจขุ่นเหนียวจากรูจมูกทัง/ สองข้าง (bilateral serous-to-
mucopurulent nasal discharge)
การตรวจพสิ จู น์โรคอาจทาํ ไดโ้ ดยการส่องตรวจโดยใช้ endoscopy ส่องเขา้ ไปทางจมกู เหน็ เป็น
ตง:ิ เน/ือสชี มพูย:นื เขา้ มาในโพรงจมูก หรอื การส่องตรวจโดยการบดตวั อย่างของตง:ิ เน/ือนัน/ และย่อยดว้ ย
KOH จะพบสายราดํา หรืออาจพบสายราใสได้ แต่โอกาสน้อย หรืออาจพบเซลล์กลมๆ ซ:ึงอาจเป็น
chlamydospores ควรทาํ การยนื ยนั ดว้ ยการเพาะเชอ/ื ราโดยใชช้ น/ิ ของตง:ิ เน/ือละลายใน Roccal D solution
เจอื จาง 1:2500 เทา่ ใชเ้ วลาประมาณ 15 นาที หลงั จากนนั/ ทาํ การบด และตดั ตะกอนทไ:ี ดห้ ลายๆครงั/ ดว้ ย
อุปกรณ์ทป:ี ราศจากเชอ/ื และนําตะกอนทไ:ี ดไ้ ปเพาะบน Sabouraud dextrose agar หรอื Potato dextrose
agar ทไ:ี ม่มยี าปฏชิ วี นะ และนําไปบ่มเพาะทอ:ี ุณหภูมิ 25-30 OC เป็นเวลา 3-5 วนั มกั พบเช/อื Bipolaris
spp. และ Curvularia spp. เชอ/ื ทงั/ สองชนิดเป็นเชอ/ื ทเ:ี จรญิ อย่างรวดเรว็ และใหโ้ คโลนีสขี าวต่อมาโคโลนี
เปล:ยี นเป็นสเี ขยี วมะกอก น/ําตาล หรอื ดํา และด้านใต้โคโลนีมสี ดี ํา/เขม้ เม:อื นําไปส่องตรวจด้วยกล้อง
จลุ ทรรศน์พบสายราแบบมผี นงั กนั/ สนี /ําตาล
ไม่พบการตดิ ต่อของโรคเม:อื สมั ผสั กบั สตั วท์ เ:ี ป็นโรค หรอื สมั ผสั กบั ตง:ิ เน/ือของสตั วท์ เ:ี ป็นโรค แต่
มกั เกดิ การตดิ เช/อื โดยธรรมชาตจิ ากการทม:ี บี าดแผลและเกดิ การตดิ เช/อื จากเช/อื ราดําดงั กล่าวเขา้ ไปใน
เน/ือเยอ:ื ของผวิ หนงั ชนั/ subcutaneous และพบวกิ ารดงั ทไ:ี ดก้ ลา่ วไปแลว้ ในขา้ งตน้
38
Systemic mycoses
systemic mycosis หรอื โรคตดิ เชอ/ื ราทวั: ทงั/ ระบบ หรอื ทวั: รา่ งกาย หมายถงึ การตดิ เชอ/ื ราทแ:ี ละมี
การลกุ ลามของเชอ/ื ราไปยงั อวยั วะภายในต่างๆของรา่ งกาย โดยมกั ทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ในคนหรอื สตั วท์ :ี
มภี มู คิ มุ้ กนั ต:าํ หรอื ภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง แต่กอ็ าจกอ่ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ไดใ้ นคนหรอื สตั วท์ แ:ี ขง็ แรงและ
ภมู คิ มุ้ กนั ปกติ
เชอ/ื ราทม:ี กั เป็นสาเหตุไดแ้ ก่ Blastomyces dermatitidis, Coccidiodes spp., Cryptococcus
neoformans และ Histoplasma capsulatum ซง:ึ เชอ/ื แต่ละชนิดมคี ณุ สมบตั ทิ างชวี เคมี และลกั ษณะทาง
กายภาพ ความสามารถในการการรกุ ราน host และก่อใหเ้ กดิ โรคแตกต่างกนั ในกลุม่ น/ีมเี ชอ/ื ทเ:ี ป็น
thermally dimorphic fungi ซง:ึ ไดแ้ ก่ Blastomyces dermatitidis และ Histoplasma capsulatum คอื เป็น
ยสี ตท์ อ:ี ุณหภมู ิ 37oC และเป็นสายราทอ:ี ุณหภุมิ 25oC
โดยเชอ/ื เหลา่ น/ีสามารถผา่ นกระบวนการทาํ ลายจากระบบภมู คิ มุ้ กนั ของ host ได้ และก่อใหเ้ กดิ
โรค อนั ไดแ้ ก่ Blastomycosis, coccidioidomycosis, cryptococcosis และ histoplasmosis โดยการตดิ เชอ/ื
มกั เรม:ิ จากระบบทางเดนิ หายใจกอ่ น โดยการหายใจเอาสปอรข์ องเชอ/ื เขา้ ไป หลงั การเจรญิ เพม:ิ จานวนท:ี
ปอดแลว้ จงึ มกี ารแพรก่ ระจายไปทวั: รา่ งกาย
Blastomycosis
Blastomyosis คอื โรคทเ:ี กดิ จากการเกดิ การตดิ เชอ/ื Blastomyces dermatitidis ซง:ึ เป็นเชอ/ื ราทอ:ี ยู่
ในไฟลมั Ascomycota พบไดท้ วั: ไปทวั: โลก ทงั/ ในดนิ และไม้ ทาํ ใหเ้ กดิ โรคในคนไดซ้ ง:ึ พบไดใ้ นทวปี ยโุ รป
อเมรกิ าใต้ เอเชยี และแอฟรกิ า โดยมกั พบเชอ/ื ปรมิ าณมากในอเมรกิ าเหนือ ซง:ึ มกั ทาํ ใหเ้ กดิ systemic
mycosis โฮสตข์ องเชอ/ื คอื มนุษย์ และสนุ ขั แต่กม็ รี ายงานการตดิ เชอ/ื ไดใ้ นแมว มา้ ลงิ aquatic mammals
โคกระบอื ferret หมาป่า หมขี วั/ โลก กวาง สงิ โต เสอื และคา้ งคาวผลไม้ พบเชอ/ื ไดใ้ นสง:ิ แวดลอ้ มทช:ี น/ื มรี ม่
เงา ซง:ึ ไดแ้ กด่ นิ บรเิ วณเลา้ ไก่ อุจจาระนกพริ าบ และระบบทางเดนิ หายใจของสนุ ขั ทป:ี ่วยจากการตดิ เชอ/ื
Blastomyces dermatitidis
อาการของโรคน/ีแบง่ ออกเป็น 2 แบบ ไดแ้ ก่แบบเป็นทวั: ระบบ(systemic or disseminated form)
และแบบเฉพาะทผ:ี วิ หนงั (cutaneous form)
โรค blastomycosis ในคนนนั/ มคี วามชกุ ประมาณ 0.5-4 รายต่อประชากร 100,000 คน ซง:ึ มกั
แสดงอาการทร:ี ะบบทางเดนิ หายใจ และน/ําหนกั อาจลด โดยถา้ เกดิ การตดิ เชอ/ื ระยะตน้ ทร:ี ะบบทางเดนิ
หายใจมกั ไมแ่ สดงอาการ คอื มกี ารจาํ กดั บรเิ วณของการตดิ เชอ/ื โดยระบบภมู คิ มุ้ กนั เพอ:ื ไมไ่ หเ้ กดิ การตดิ
เชอ/ื ลุกลามไปยงั อวยั วะอน:ื ๆ แต่ถา้ ในระยะต่อมาเกดิ การลกุ ลามของโรค จะเกดิ อกั เสบแบบ
pyogranulomatous ซง:ึ มกั พบทป:ี อดและอาจพบทอ:ี วยั วะอน:ื ๆได้
โรค blastomycosis ในสนุ ขั นนั/ มกั พบการตดิ เชอ/ื หลายระบบรว่ มกนั เชน่ พบอาการหายใจลาํ บาก
เบอ:ื อาหาร ซมึ ขากระเผลก และอาจมวี กิ ารทผ:ี วิ หนงั การเกดิ วกิ ารทต:ี ากพ็ บไดโ้ ดยพบอาการกระจกตาขนุ่
กระจกตาอกั เสบ เยอ:ื ตาขาวอกั เสบ หรอื สตั วอ์ าจตาบอดได้ ซง:ึ อาการทต:ี ามกั พบประมาณ 30-40% ของ
สนุ ขั ทเ:ี ป็น systemic blastomycosis ในสนุ ขั เพศผอู้ าจพบการอกั เสบของต่อมลกู หมากได้
39
ความชกุ ของ Blastomycosis ในแมวคอ่ นขา้ งต:าํ กวา่ ในสนุ ขั โดยการแสดงอาการของโรคคลา้ ย
กบั ในสนุ ขั และอาจพบการอกั เสบแบบ pyogranulomatous ในระบบต่างๆได้ มกั พบวกิ ารทป:ี อดและตา
และอาจพบการเกดิ น/ํามกู ไอ น/ําหนกั ลด และผอมแหง้ ได้
ไมค่ อ่ ยพบ blastomycosis ในมา้ พบรายงานเพยี ง 2 ครงั/ โดยเชอ/ื ทาํ ใหเ้ กดิ pyogranulomatous
pneumonia, pleuritis, peritonitis และ cutaneous abcessation
พยาธิกาํ เนิดของโรค
สตั วไ์ ดร้ บั สปอร์ หรอื สายของเชอ/ื ราโดยการหายใจ ซง:ึ สว่ นของเชอ/ื ราฝังตวั ในปอด ทบ:ี รเิ วณถุง
ลม (alveoli) เชอ/ื รา(ในรปู ของ mold)มกี ารเปลย:ี นแปลงกลายเป็นรปู แบบยสี ต์ มกี ารแบง่ ตวั เพม:ิ จาํ นวนโดย
การแตกหน่อ (budding) สตั วบ์ างตวั อาจแสดงอาการทางระบบทางเดนิ หายใจได้ ถา้ สตั วไ์ ดร้ บั สปอรข์ อง
เชอ/ื ปรมิ าณมาก หรอื สตั วม์ ภี าวะภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ งจะมผี ลทาํ ใหเ้ กดิ การแพรข่ องเชอ/ื ไปตามกระแสเลอื ด
หรอื การแพรไ่ ปตามระบบทอ่ น/ําเหลอื งและทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ในหลายระบบตามมาเชน่ ระบบผวิ หนงั
กระดกู ต่อมน/ําเหลอื ง ตา ระบบประสาทสว่ นกลาง และระบบสบื พนั ธไุ์ ด้ โดยการตดิ เชอ/ื ดงั กลา่ วจะทาํ ให้
เกดิ การอกั เสบอยา่ งรนุ แรง โดยเกดิ การเคลอ:ื นทเ:ี ขา้ มาของเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวชนิด neutrophil และ
mononuclear cell ปรมิ าณมากบรเิ วณทเ:ี กดิ การอกั เสบนนั/ โดยยสี ตส์ ามารถเจรญิ ไดท้ งั/ ในและนอกเซลล์
เมด็ เลอื ดขาว
การวินิ จฉัย
ทาํ ไดโ้ ดยการวเิ คราะหเ์ ซลลจ์ ากการทาํ fine-needle aspiration หรอื touch preparation พบ
ลกั ษณะของยสี ตใ์ นสง:ิ สง่ ตรวจ สง:ิ สง่ ตรวจควรเป็นของเหลวทไ:ี ดจ้ ากการ draining tract หรอื วกิ าร น/ําลา้ ง
ทอ่ ทางเดนิ หายใจ ของเหลวจาก anterior chamber (จากตา) prostatic fluid และการเจาะต่อมน/ําเหลอื ง
เป็นตน้ โดยยสี ตม์ ขี นาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 5-20 ไมครอน ไมม่ แี คปซลู (enencapsulated) ผนงั
หนา และพบวา่ การแต่หน่อของยสี ตช์ นิดน/ีใหฐ้ านกวา้ ง(broad based budding yeast) (ตาํ แหน่งทต:ี ดิ กนั
ระหวา่ งเซลลแ์ มก่ บั เซลลล์ กู )
เน:ืองจากเชอ/ื B. dermatitidis นนั/ ไมส่ ามารถมชี วี ติ อยใู่ นวกิ ารไดย้ าวนาน ดงั นนั/ ควรทาํ การเพาะ
เชอ/ื จากตวั อยา่ งโดยทนั ทถี า้ สงสยั วา่ สาเหตุเกดิ จากเชอ/ื ชนิดน/ี และเน:ืองจากคนหรอื สตั วส์ ามารถตดิ เชอ/ื รา
ชนิดน/ีไดใ้ นขณะทเ:ี ป็น mycelial form ดงั นนั/ การเพาะเชอ/ื ควรทาํ ดว้ ยความระมดั ระวงั ในตเู้ พาะเชอ/ื ทเ:ี ป็น
biological safety cabinet โดยรปู แบบทเ:ี ป็นทงั/ ยสี ตแ์ ละmoldไวต่อการถกู ทาํ ลายดว้ ย cycloheximide
ดงั นนั/ อาหารทน:ี ํามาเพาะเลย/ี งเชอ/ื ราชนิดน/ีตอ้ งไมม่ ี cycloheximide ผสมอยู่ เชอ/ื ชนิดน/ีเจรญิ เตม็ ทใ:ี น 2
สปั ดาห์ แต่ถา้ เชอ/ื ไมข่ น/ึ ควรทาํ การเลย/ี งต่อไปจนถงึ 8 สปั ดาห์ ทอ:ี ุณหภมู ิ 25-30oC
โคโลนีของ mycelial form จะมลี กั ษณะแบน คลา้ ยหนงั สตั ว์ จนถงึ แบบฟูคลา้ ยขนสตั ว์ สขี าว หรอื
สแี ทน อาจพบวา่ มวี งรศั มรี อบศนู ยห์ ลางโคโลนีได้ เมอ:ื อายมุ ากขน/ึ โคโลนีจะมสี แี ทนน/ําตาลและดา้ นใต้
โคโลนีมกี ารสรา้ งรงควตั ถุสแี ทน อาจเหน็ เป็นลกั ษณะคลา้ นหนามแหลมเลก็ ๆบนผวิ หน้าของโคโลนีนนั: คอื
arial mycelia หรอื สายราอากาศนนั: เอง เมอ:ื ดลู กั ษณะผา่ นกลอ้ งจลุ ทรรศน์พบวา่ เป็นสายราใสแบบมผี นงั
กนั/ กา้ นชสู ปอรส์ นั/ และไมม่ กี ารแตกแขนง สว่ นโคนีเดยี มลี กั ษณะเป็นเซลลร์ ปู รหี รอื กลมอยเู่ ดย:ี วๆบนกา้ น
ชสู ปอร์ ลกั ษณะของ yeast form นนั/ พบวา่ โคโลสมี นั วาว (yeast colony) และอาจมลี กั ษณะยน่ ของผวิ หน้า
อาหาร โคโลนีมสี แี ทนถงึ ครมี เมอ:ื ดลู กั ษณะของยสี ตภ์ ายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์พบวา่ เป็นยสี ตท์ ม:ี กี ารแบง่ ตวั
เพมิ: จาํ นวนโดยการแตกหน่อฐานกวา้ ง (broad-based budding yeast) ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 8-
12 ไมครอน ผนงั/ สองชนั/ เซลลย์ สี ตม์ ลี กั ษณะกลม
40
การควบคมุ และป้องกนั
สามารถทาํ ไดโ้ ดยการพฒั นาดา้ นสาธารณสขุ โดยการใหค้ วามรผู้ เู้ ลย/ี งสตั วแ์ ละแนะนําความเสย:ี ง
ต่อการตดิ เชอ/ื และการเกดิ blastomycosis โดยเฉพาะในพน/ื ทท:ี เ:ี คยเกดิ โรค การรกั ษาในสนุ ขั โดยใชย้ า
Amphotericin B และ itraconazole พบวา่ ใหผ้ ลดแี ละปลอดภยั และเน:ืองจากสตั วแพทยม์ คี วามเสย:ี งต่อ
การตดิ เชอ/ื ชนิดน/ีเน:ืองจากทาํ งานใกลช้ ดิ กบั สตั ว์ ดงั นนั/ สตั วแพทยค์ วรความใหค้ วามสาํ คญั และระมดั ระวงั
ในการสมั ผสั กบั สตั วโ์ ดยเฉพาะสตั วท์ ป:ี ่วยเป็นโรคน/ี
Coccidioidomycosis
Coccidioidomycosis เป็นโรคตดิ เชอ/ื ราทเ:ี กดิ จากเชอ/ื Coccidioides spp. ซง:ึ สตั วเ์ ลย/ี งลกู ดว้ ยนม
หลายชนิดสามารถตดิ และเป็นโรคน/ีได้ พบบอ่ ยในคน สนุ ขั มา้ และลามะ พบไดบ้ า้ งใน โคกระบอื แกะ สกุ ร
แมว ลาแคระ สตั วฟ์ ันแทะในทะเลทราย ปลาโลมาหวั ขวด สงิ โตทะเล นาก (sea otter) สงิ โตภเู ขา ตวั นิ:ม
(armadillo) สนุ ขั ป่า(coyote) เสอื เบงกอล(Bengal tiger) ลงิ chinchilla และงู
เชอ/ื น/ีเป็นเชอ/ื ทม:ี คี วามรนุ แรงมากทส:ี ดุ โดยในปี 1982, Wienicke ไดร้ ายงานวา่ เชอ/ื น/ีก่อใหเ้ กดิ
โรคในคนและในเบอ/ื งตน้ คดิ วา่ สาเหตุคอื เชอ/ื โปรโตซวั แตต่ ่อมาในปี 1900 ไดค้ น้ พบและจดั เชอ/ื ชนิดน/ีอยู่
ในจนี สั Coccidioides จนถงึ ปัจจบุ นั เชอ/ื ชนิดน/ีทาํ ใหเ้ กดิ โรค San Joaquin Valley fever, Valley fever,
desert disease หรอื rheumatism และ Posadas disease ซง:ึ ทางราชการของสหรฐั อเมรกิ าจดั เชอ/ื ชนิดน/ี
วา่ เป็นอาวธุ สงครามทผ:ี กู้ ่อการรา้ ยสามารถนําไปใชไ้ ด้ (a potential of bioterorists) เชอ/ื ชนิดน/ีจดั อยใู่ น
วงค์ (family) เดยี วกบั เชอ/ื Blastomyces dermatitidis แต่อยคู่ นละจนี สั โดยในจนี สั Coccidioides น/ีมี 2 สปี
ชสี ์ ไดแ้ ก่ C. posadasii ซง:ึ คน้ พบบรเิ วณ Texus, Arizona, South & Central America สว่ น C. immitis
คน้ พบไดเ้ ฉพาะทบ:ี รเิ วณ San Joaquin Valley ใน California
เชอ/ื ชนิดน/ีอาศยั อยใู่ นดนิ ทแ:ี หง้ แลง้ ในแถบอเมรกิ า Maxico กวั เตมาลาม อารเ์ จนตนิ า ปารากวยั
โคลมั เบยี และเวเนซุเอลา่ ดาํ รงชวี ติ อยใู่ นดนิ ทเ:ี ป็นดา่ ง (alkaline soil) ซง:ึ มปี รมิ าณเกลอื และคารบ์ อเนต
สงู โดย mycelial form อยใู่ นดนิ เจรญิ ไดด้ ที บ:ี รเิ วณผวิ หน้าของดนิ ในชว่ งอากาศรอ้ นและแหง้ การเจรญิ
ในดนิ นนั/ ตอ้ งมกี ารแยง่ กนั เจรญิ กบั เชอ/ื อน:ื ๆ เชน่ Penicillium Janthinellum และ Bacillus subtilis ซง:ึ เจรญิ
ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ในชว่ งหน้าฝน ซง:ึ อาจทาํ ใหต้ รวจหาเชอ/ื ในดนิ ไมพ่ บ สายราสรา้ ง arthrospore ทาํ ใหต้ ดิ
เชอ/ื ได้ (infective arthrospore) ซง:ึ อาจปลวิ มากบั ลม หรอื อากาศมายงั พน/ื ทอ:ี :นื ๆไดโ้ ดยมากบั ลมพายุ หรอื
ลมมรสมุ และทาํ ใหค้ นและสตั วเ์ ป็นโรคได้
มากกวา่ 50% ในคนทไ:ี ดร้ บั เชอ/ื ไมแ่ สดงอาการ แต่ถา้ แสดงอาการจะพบตงั/ แต่มอี าการคลา้ ย
ไขห้ วดั จนถงึ การเป็นปอดบวมทร:ี นุ แรงได้ นอกจากน/ีเชอ/ื อาจมกี ารแพรก่ ระจายไปยงั ระบบอน:ื ๆได้ และ
ทาํ ลายเน/ือเยอ:ื ต่างๆ เชน่ กระดกู ขอ้ ผวิ หนงั และระบบประสาทสว่ นกลาง ถา้ มกี ารตดิ เชอ/ื ในผปู้ ่วย
ภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ งนนั/ มกั ตายในทส:ี ดุ
อุบตั กิ ารณ์การเกดิ โรคน/ีในสนุ ขั คอ่ นขา้ งสงู โดยอาจเน:ืองจากนิสยั ของสนุ ขั ทช:ี อบสดู ดมกลนิ: และ
ชอบขดุ คยุ้ ดนิ โดย 80% ของสนุ ขั ทต:ี ดิ เชอ/ื แสดงอาการทางระบบทางเดนิ หายใจ มกี ารตดิ เชอ/ื ทป:ี อด สว่ น
อกี 20% มกั มกี ารแพรข่ องเชอ/ื ไปตามกระแสเลอื ด เกดิ การตดิ เชอ/ื ไดใ้ นอวยั วะต่างๆตามมาได้ ซง:ึ การ
แสดงอาการของโรคในสนุ ขั นนั/ คอ่ นขา้ งกวา้ ง มอี าการตงั/ แต่หายใจลาํ บาก(dyspnea) เบอ:ื อาหาร
(anorexia) ไอ(cough) น/ําหนกั ลด(weight loss) ขาเจบ็ (lameness) เกดิ ฝีทอ:ี วยั วะต่างๆ(abscesses) เยอ:ื
หมุ้ สมองอกั เสบ(meningitis) และทอ้ งเสยี เป็นชว่ งๆ (intermittent diarrhea) เป็นตน้
41
ในโคกระบอื พบวา่ มกั เกดิ pulmonary coccidoidal granuloma คอื พบตุม่ เลก็ ๆทป:ี อด เน:ืองจาก
มกั เกดิ self-limiting เน:ืองจากกระบวนการทางภมู คิ มุ้ กนั สามารถจาํ กดั เชอ/ื ใหอ้ ยแู่ คใ่ นปอด จาํ กดั บรเิ วณ
ไดแ้ คใ่ นต่อมน/ําเหลอื ง bronchial lymphnode และ mediastinal lymphnode ไมเ่ กดิ การแพรก่ ระจายของ
เชอ/ื ไปตามอวยั วะต่างๆ สว่ นในมา้ และลามะ พบวา่ มกั เกดิ โรคแบบแพรก่ ระจายทวั: รา่ งกาย ไปตามอวยั วะ
ต่างๆ (disseminated coccidioidomycosis)
พยาธิกาํ เนิดของโรค
เรม:ิ จากการทค:ี นหรอื สตั วห์ ายใจสดู เอาสว่ นของ arthroconidia ซง:ึ เป็นระยะตดิ ต่อของโรคเขา้ ไป
ในระบบทางเดนิ หายใจ โดย arthroconidia มขี นาดประมาณ 2-3x4-5 ไมครอน และเกดิ การฝังตวั ของ
arthroconidia ทบ:ี รเิ วณเน/ือเยอ:ื ปอด ในสภาวะทป:ี อดมกี ๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ อุณหภมู ิ 37 องศา
เซลเซยี ส และมี phagocytic cells arthrosporeจงึ มกี ารเปลย:ี นแปลงเป็น multinucleated spherule และมี
การเพม:ิ จาํ นวนสปอรภ์ ายในอยา่ งมากมาย (endosporulation) โดยผนงั เซลลข์ อง spherule ทาํ หน้าทเ:ี ป็น
geminal center ต่อมาเกดิ การแตกของ spherule และ endospore ทอ:ี อกมานนั/ จะกลายเป็น spherule
อนั ใหมต่ ่อไป โดยการเกดิ โรคเรม:ิ จากทป:ี อดก่อน สว่ นใหญ่เชอ/ื ถกู กาํ จดั โดยระบบภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกาย
แต่ในบางกรณอี าจเกดิ การแพรข่ องเชอ/ื ไปตามระบบเลอื ดหรอื ระบบน/ําเหลอื ง จงึ ทาํ ใหเ้ กดิ การตดิ เชอ/ื ท:ี
อวยั วะและเน/ือเยอ:ื ต่างๆของรา่ งกายได้
การวินิ จฉัย
การเกบ็ ตวั อยา่ งสง่ ตรวจซง:ึ ไดแ้ ก่ หนองหรอื ของเหลวจากวกิ าร น/ําทไ:ี ดจ้ ากการลา้ งหลอดลม
หรอื การตดั ชน/ิ เน/ือสว่ นกระดกู หรอื ต่อมน/ําเหลอื ง เป็นตน้ และเบอ/ื งตน้ ควรทาํ wet mount โดยการนํา
ตวั อยา่ งมายอ่ ยใน 10% โปแตสเซยี มไฮดรอกไซด์ ซง:ึ จะพบ spherule ขนาดใหญ่ประมาณ 10-100
ไมโครเมตร รปู รา่ งกลม ผนงั หนาตงึ สองชนั/ ภายในมี endospore อยปู่ รมิ าณมากขนาดประมาณ 2-5
ไมโครเมตร นอกจากน/ีแลว้ อาจทาํ การวนิ ิจฉยั ไดโ้ ดยการเพาะเชอ/ื ราจากตวั อยา่ งสง่ ตรวจทม:ี วี กิ าร ระยะ
mold form หรอื mycelial form นนั/ เป็นระยะตดิ ต่อ อาจตดิ มาถงึ ผปู้ ฏบิ ตั กิ ารได้ ดงั นนั/ ควรทาํ การเพาะเชอ/ื
ควรทาํ ดว้ ยความระมดั ระวงั และควรทาํ การเพาะเลย/ี งเชอ/ื ราชนิดน/ีในหลอดอาหาร(tube) ไมค่ วรเพาะเลย/ี ง
ในจานอาหารเลย/ี งเชอ/ื (plate) เชอ/ื ชนิดน/ีเจรญิ ไดใ้ นอาหารเลย/ี งเชอ/ื ราโดยทวั: ไป และสามารถเจรญิ ไดใ้ น
อาหารเลย/ี งเชอ/ื ทม:ี ี cycloheximide ดว้ ย
ลกั ษณะโคโลนีของเชอ/ื ในตอนเรมิ: แรกมลี กั ษณะผวิ เน/ือแบบคลา้ ยหนงั สตั ว์ (membranous) สี
ขาว มนั วาว ต่อมาลกั ษณะผวิ เน/ือเปลย:ี นเป็นฟูคลา้ ยขนสตั ว์ (cottony) และเป็นสแี ทน น/ําตาล เทา หรอื
ชมพู สว่ นลกั ษณะภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ พบวา่ สายราเป็นแบบใส ไมแ่ ตกสาขา และมผี นงั กนั/ หอ้ ง ผนงั
ของสายราหนา สว่ น arthroconidia มลี กั ษณะคลา้ ยถงั เบยี ร์ อยเู่ รยี งสลบั กบั เซลลว์ า่ งๆ และมผี นงั เซลล์
บาง
การวนิ ิจฉยั อน:ื ทท:ี าํ ไดเ้ ชน่ การตรวจทางซรี มั: วทิ ยา ซง:ึ ใชใ้ นการยนื ยนั โรค นอกจากน/ีอาจทาํ กา
รวนิ ิยฉยั ไดโ้ ดยการทาํ histopathology, เทคนิกทางอณูชวี วทิ ยา (molecular biotechnology) และการ
ตรวจทางผวิ หนงั (skin testing)
การควบคมุ และป้องกนั
การเขา้ ใจในระบาดวทิ ยาของเชอ/ื สามารถชว่ ยในการลดปัจจยั เสย:ี งทท:ี าํ ใหเ้ กดิ โรคได้ เชน่ การ
เขา้ ใจวา่ โรคน/ีตดิ ไดโ้ ดยการสดู หายใจเอาสว่ นของระยะตดิ เชอ/ื คอื arthroconidia ทอ:ี ยใู่ นอากาศเขา้ ไป
42
ดงั นนั/ ควรงดกจิ กรรมทม:ี คี วามเสย:ี งต่อการสดู เอา arthroconidia เหลา่ น/ีเป็นตน้ การทาํ วคั ซนี ในพน/ื ทท:ี :ี
เคยมกี ารระบาดของโรคกน็ ่าจะเป็นการลดการเกดิ โรคได้ ปัจจบุ นั ไดม้ กี ารผลติ วคั ซนี โดยใช้ spherule ซง:ึ
ปัจจบุ นั อยใู่ นขนั/ ตอนการพฒั นาวคั ซนี การป้องกนั การแพรก่ ระจายของโรคไปยงั อวยั วะอน:ื ๆทาํ ไดโ้ ดย
การรกั ษาโดยใชย้ าตา้ นเชอ/ื รากลุม่ azole
Cryptococcosis
โรค cryptococcosis เกดิ จากเชอ/ื รา Cryptococcus neoformans อยใู่ นกลมุ่ yeast เชอ/ื ชนิดน/ีเป็น
เชอ/ื รากอ่ โรคตามระบบเพยี งชนิดเดยี วทส:ี ามารถสรา้ งแคปซลู ได้ และในจนี สั น/ีมสี มาชกิ ประมาณ 30 สปี
ชสี ์ แต่มเี พยี ง C. neoformans เพยี งตวั เดยี วเทา่ นนั/ ทก:ี ่อโรคในคน และสตั ว์ เมอ:ื ปี 1800 พบเชอ/ื น/ีเป็นครงั/
แรกในน/ําจากลกู พชี (peach juice) และใหช้ อ:ื วา่ Saccharomyces neoformans แต่ต่อมาไดเ้ ปลย:ี นเป็น
cryptococci ซง:ึ อยใู่ น phylum Basidiomycota, order Sporidiales, family Sporidiobolaceae โดยเชอ/ื น/ียงั
แบง่ ออกไดเ้ ป็น 4 serotype (A-D) ซง:ึ แบง่ ตามปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ การตกตะกอนกบั capsular antigen
(capsular agglutination reaction)ซง:ึ แบง่ ได้ 4 serotype ไดแ้ ก่ serotype A คอื C. neoforman var. grubii,
serotype B และ C คอื C. neoformans var. gattii และ serotype D คอื C. neoformans var. neoformans
เชอ/ื C. neoformans var. neoformans และ C. neoformans var.grubii เป็นเชอ/ื ทพ:ี บมากใน
สง:ิ แวดลอ้ ม และพบไดท้ วั: โลก ยสี ตอ์ าศยั อยใู่ นดนิ และพบเป็นจาํ นวนมากในของเสยี จากนก (อุจจาระนก)
โดยเฉพาะนกพริ าบ พบวา่ นกพริ าบเป็นตวั กกั โรคทส:ี าํ คญั ในชมุ ชนเมอื ง(urban area) โดยเชอ/ื เจรญิ ไดด้ ใี น
สภาวะทม:ี ี creatine สงู และยงั สามารถพบเชอ/ื ไดใ้ นผลไมห้ มกั และไม้ สว่ นใหญ่เชอ/ื กอ่ โรคในผปู้ ่วยหรอื
สตั วป์ ่วยทม:ี คี วามบกพรอ่ งทางระบบภมู คิ มุ้ กนั
เชอ/ื C. neoformans var. gattii เป็นเชอ/ื ทพ:ี บไดม้ ากในเขตรอ้ น รอ้ นชน/ื เคยมรี ายงานการตดิ เชอ/ื
ท:ี ออสเตรเลยี นิวกเี นีย ประเทศในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ แคลฟิ อรเ์ นียตอนใต้ แมกซโิ ก ควิ บา บราซลิ
อารเ์ จนตนิ า อุรกุ วยั สเปน อติ าล:ี โปรตุเกส เคนยา โดยพบในเขตเฉพาะทม:ี ตี น้ ยคู าลปิ ตสั (Eucalyptus
species)อยเู่ ทา่ นนั/ โดยพบวา่ ซากไมข้ องตน้ ยคู าลปิ ตสั นนั/ มเี ชอ/ื ชนิดน/ีอยเู่ ป็นจาํ นวนมาก โดยเชอ/ื ชนิดน/ี
สามารถกอ่ ใหเ้ กดิ โรคในผปู้ ่วย หรอื สตั วป์ ่วยทม:ี สี ขุ ภาพแขง็ แรง และภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกายอยใู่ นระดบั ปกติ
การก่อโรคในแมว มกั กอ่ ใหเ้ กดิ โรคแบบทวั: รา่ งกาย (systemic fungal infection) โดยโพรงจมกู
เป็นอวยั วะแรกของการตดิ เชอ/ื ในแมว และเมอ:ื มกี ารรกุ รานของเชอ/ื ถา้ อยใู่ นสว่ น rostral portion พบวา่ จะ
ทาํ ใหเ้ กดิ mycotic rhinitis สตั วจ์ ะแสดงอาการจาม(sneezing) มนี /ํามกู (nasal discharge) ถา้ มกี ารรกุ ราน
ถงึ facial bone อาจทาํ ใหเ้ กดิ การบดิ เบย/ี งของโพรงจมกู ถา้ การตดิ เชอ/ื อยใู่ นสว่ น caudal portion จะไม่
เกดิ mycotic rhinitis แตม่ กี ารรกุ รานของเชอ/ื ราไปยงั olfactory bulb และสง่ ผลใหเ้ กดิ meningitis ตามมา
และถา้ เกดิ การแพรก่ ระจายของเชอ/ื ราทวั: รา่ งกายอาจมผี ลทาํ ใหเ้ กดิ วกิ ารทผ:ี วิ หนงั และดวงตาได้
ถา้ สามารถวนิ ิจฉยั ไดใ้ นระยะตน้ (จากอาการทาง nasal, respiratory หรอื cutaneous lesion)
และใหก้ ารรกั ษาในระยะตน้ การพยากรณ์โรคจะดี (favorable) แต่ถา้ เชอ/ื มกี ารรกุ รานถงึ ระบบประสาท
สว่ นกลาง หรอื มกี ารแพรก่ ระจายของเชอ/ื ไปยงั อวยั วะต่างๆ การพยากรณ์โรคจะไมด่ ี (grave)
โรคน/ีพบไมบ่ อ่ ยในสนุ ขั เมอ:ื เทยี บกบั แมว โดยสนุ ขั ทม:ี กั ตดิ โรคมกั เกดิ ในสนุ ขั ทเ:ี ป็น pure breed
อายปุ ระมาณ 1-7 ปี โดยมกั ตดิ เชอ/ื ทร:ี ะบบทางเดนิ หายใจ เน/ือเยอ:ื ดวงตา ผวิ หนงั ต่อมน/ําเหลอื งบรเิ วณ
ผวิ หนงั และระบบประสาทสว่ นกลาง
43
การเกดิ cryptococcosis ในมา้ พบไมบ่ อ่ ย มกั ทาํ ใหเ้ กดิ เยอ:ื หมุ้ สมองอกั เสบ อาจเกดิ nasal
granuloma การตดิ เชอ/ื ทป:ี อดอาจทาํ ใหแ้ มม่ า้ แทง้ และเกดิ granulomatous pneumonia ในมา้ ทโ:ี ตเตม็ ท:ี
โดยเชอ/ื ตดิ ทร:ี ะบบทางเดนิ หายใจ และทาํ ใหเ้ กดิ rhinitis และ nasal granuloma ตามมาได้ โดยสตั วแ์ สดง
อาการหายใจลาํ บาก มนี /ํามกู และกลนื อาหารลาํ บาก(dysphagia)
สว่ นในสตั วป์ ีกกพ็ บไมบ่ อ่ ยเชน่ เดยี วกนั มรี ายงานพบในนกป่า และ exotic bird โดยเชอ/ื ทาํ ให้
เกดิ granulomatous lesion ทต:ี บั มา้ ม และปอด และทาํ ใหเ้ กดิ การอกั เสบของระบบทางเดนิ อาหารและตบั
ได้
เชอ/ื ชนิดน/ีเป็นเชอ/ื ก่อโรคแบบฉวยโอกาสในคน และโรคน/ีมคี วามชกุ สงู มาก โดยเฉพาะในคนทม:ี ี
ความบกพรอ่ งทางระบบภมู คิ มุ้ กนั เชน่ อยใู่ นภาวะทภ:ี มู คิ มุ้ กนั ต:าํ รา่ งกายออ่ นแอ หรอื ไดร้ บั ยาทม:ี ผี ลไปกด
การทาํ งานของระบบภมู คิ มุ้ กนั โดยการก่อโรคจะคอ่ นขา้ งรนุ แรงในผปู้ ่วยทร:ี ะบบภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง
พยาธิกาํ เนิดของโรค
คนหรอื สตั วห์ ายใจเอายสี ตเ์ ขา้ ไป ซง:ึ วธิ นี /ีเป็นทางปกตทิ เ:ี ชอ/ื สามารถเขา้ ไปไดใ้ นรา่ งกายไดง้ า่ ย
ทส:ี ดุ แต่สตั วอ์ าจไดร้ บั ยสี ตจ์ ากทางอน:ื ๆไดเ้ ชน่ การตดิ เชอ/ื เขา้ ทางบาดแผล หรอื การกนิ ฝ่นุ ผงทม:ี เี ชอ/ื
ปนเป/ือนอยู่ เป็นตน้ เมอ:ื ยสี ตเ์ ขา้ มาทางระบบทางเดนิ หายใจ เขา้ มาถงึ ปอด เกดิ การฝังตวั ทถ:ี ุงลม และการ
สรา้ งแคบซลู เกดิ ขน/ึ และอาจมกี ารแพรก่ ระจายของเชอ/ื ไปยงั อวยั วะต่างๆโดยไปตามกระแสเลอื ด หรอื ไป
กบั ทอ่ น/ําเหลอื ง หรอื อาจเกดิ การแพรก่ ระจายของเชอ/ื เขา้ ไปยงั ระบบประสาทสว่ นกลางซง:ึ เป็นผลมาจาก
การทาํ ลาย cribriform plate คนหรอื สตั วท์ ก:ี าํ ลงั ป่วยหรอื ภมู คิ มุ้ กนั ต:าํ จะไวต่อการตดิ โรค มกี ารศกึ ษา
วจิ ยั พบวา่ การทเ:ี ชอ/ื สามารถหลบหลกี หรอื เอาชนะระบบภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกายจนกอ่ ใหเ้ กดิ โรคได้
เน:ืองจากเชอ/ื มกี ารสรา้ ง virulence facetor ซง:ึ ไดแ้ ก่
แคปซูล ซ:ึงเป็ น virulence factor ตัวหลักซ:ึงประกอบด้วย glucoronoxylmannan และ
polysaccharide เป็นหลกั โดยปกตแิ ล้วเม:อื อยู่ในสง:ิ แวดล้อมแคปซูลมขี นาดไม่ใหญ่มาก และการสรา้ ง
แคปซูลถูกจํากดั เม:อื อยู่ในสง:ิ แวดลอ้ มทม:ี เี กลอื หรอื น/ําตาลทม:ี คี วามเขม้ ขน้ มากแต่เม:อื อยู่ในร่างกายของ
มนุษย์ หรอื สตั วแ์ คปซูลจะหนา และทําใหเ้ ชอ/ื มขี นาดใหญ่เกนิ กว่าจะถูกทําลายโดย phagocytic cell ใน
ระยะการตดิ เชอ/ื พบว่าเชอ/ื มกี ารแบ่งตวั เพมิ: จํานวนและปล่อยออกมาในกระแสเลอื ด และ cerebrospinal
fluid จาํ นวนมาก ซง:ึ capsular antigen เป็นสว่ นสาํ คญั ทช:ี ว่ ยในการวนิ ิฉยั โรคได้
phenoloxidase activity สง่ ผลใหเ้ กดิ การสรา้ ง melanin (ซง:ึ ยงั ไมท่ ราบกลไกทช:ี ดั เจนนกั ) แต่มนั
เป็นสารทท:ี าํ ลาย free radical ซง:ึ อาจใชใ้ นการปกป้องยสี ตจ์ ากการทาํ ลายโดย neutrophil การวจิ ยั ใน
หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารพบวา่ ยสี ตท์ เ:ี ป็น melanized yeast cell จะไมถ่ กู ทาํ ลายโดย Amphotericin B
Phospholipase เป็นเอนไซมท์ ใ:ี ชใ้ นการทาํ ลายผนงั เซลลข์ องเซลลโ์ ฮสตซ์ ง:ึ ยสี ตใ์ ชใ้ นการบุกรกุ
เน/ือเยอ:ื โฮสตไ์ ดง้ า่ ยขน/ึ นอกจากน/ียสี ตย์ งั สามารถสรา้ ง mannitol ซง:ึ ทาํ ใหเ้ กดิ สมองบวมน/ํา (brain
edema) และการรบกวนการทาํ ลายจากเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว
การวินิ จฉัยโรค
ทาํ ไดห้ ลายวธิ ี เชน่ การเพาะแยกเชอ/ื รา การวเิ คราะหเ์ ซลลโ์ ดยใชน้ /ําในรา่ งกายไปตรวจ
วเิ คราะห(์ cytologic examination) การตรวจเน/ือเยอ:ื (histological examination) โดยจะเหน็ ยสี ตเ์ ลก็ ๆ
จาํ นวนมากซง:ึ สามารถแยกไดจ้ าก B. dermatitidis ไดโ้ ดย Cryptococcus spp. จะไมเ่ หน็ broad-base of
attachment การวเิ คราะหท์ างซรี มั: วทิ ยา(serological test) โดยการตรวจหา capsular antigen และการ
ตรวจดเู ซลลจ์ ากวกิ ารโดยการทาํ impression smear และทาํ การยอ้ มสี india ink จะพบยสี ตท์ ส:ี รา้ งแคปซลู
44