The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แผนนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม ปีการศึกษา 2566

คำนำ แผนนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมือง นครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ปีการศึกษา 2566 จัดทำขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของศึกษานิเทศก์รับผิดชอบเครือข่าย และการพัฒนางานตามข้อตกลง (PA : Performance Agreement) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของ นางจันทร์เพ็ญ แว่นเตื่อรอง ตำแหน่ง ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ปีการศึกษา 2566 ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารการศึกษา ศึกษานิเทศก์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จันทร์เพ็ญ แว่นเตื่อรอง (นางจันทร์เพ็ญ แว่นเตื่อรอง) ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ ก


สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมา และความสำคัญ 1 วัตถุประสงค์ 2 เป้าหมาย 2 ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ 3 ข้อมูลทั่วไปของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย 3 ข้อมูลผลการทดสอบ/ประเมินผล ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย ปีการศึกษา 2565 13 บทที่ 2 แนวคิด หลักการ ทฤษฎี 24 แนวคิดของการขัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 24 ความหมายของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 25 ความสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 25 ลักษณะของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 25 ลักษณะกิจกรรมที่เป็นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 26 รูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 27 บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 47 Active Learning กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 49 การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 51 กระบวนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 52 การนิเทศเพื่อพัฒนา และส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 59 กรอบแนวคิดการนิเทศ 59 ความหมายของการนิเทศการศึกษา 59 หลักการนิเทศการศึกษา 60 กิจกรรมการนิเทศการศึกษา 62 การนิเทศการจัดการเรียนรู้ 65 กระบวนการนิเทศ 68 กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE 70 กระบวนการพัฒนาคุณภาพรูปแบบ TEAM ในการนิเทศการศึกษา 71 ข


สารบัญ (ต่อ) บทที่ 3 วิธีการ ขั้นตอนการดำเนินงาน 72 กระบวนการนิเทศ 72 การวางแผนการนิเทศ 73 การดำเนินการนิเทศ 73 กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE 73 กระบวนการพัฒนาคุณภาพงานรูปแบบ TEAM ในการนิเทศการศึกษา 74 แนวทางการดำเนินงาน 75 ปฏิทินการนิเทศ 78 บทที่ 4 เครื่องมือนิเทศ 79 แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 79 แบบประเมินการนเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 82 บรรณานุกรม 85 ค


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ ภาษานับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสาร องค์ประกอบของภาษาคือ การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้คนในสังคมมีความเข้าใจที่ดีต่อกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข การเรียนการสอนภาษาไทย ในระดับประถมศึกษามุ่งให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางภาษาทั้งทางด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน สามารถใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารถึงการรับรู้ และถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นักการศึกษายังเห็นความสำคัญของวิชาภาษาไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นพื้นฐานของการเรียนวิชาอื่นๆ อีกด้วย ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติที่คนไทยใช้ติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน ทั้ง 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนจำนวนหนึ่งมีความบกพร่องทางการ เรียนรู้ด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากสมองซีกซ้ายบกพร่อง หรือมีความยากลำบากในการ จัดกระทำข้อมูล นักเรียนจะแสดงพฤติกรรมด้านการอ่าน ดังนี้ อ่านช้า อ่านเสียงผิดเพี้ยน ประสมคำไม่ได้ จำ รายละเอียดของคำไม่ได้ อ่านข้ามคำที่อ่านไม่ได้ อ่านตกหล่น หรืออ่านเพิ่มคำ ผันเสียงวรรณยุกต์สับสน หรือผัน ไม่ได้ อ่านเสียงดังอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ แทนที่คำที่อ่านไม่ออกด้วยคำอื่น อ่านตะกุกตะกัก ต้องสะกดไปด้วยระหว่าง ที่อ่าน อ่านกลับคำ สับสนมาตราตัวสะกดต่าง ๆ อ่านคำควบกล้ำไม่ได้ สับสนเสียงสระโดยเฉพาะสระประสม สระ ลดรูป ขาดสมาธิในการเรียน ด้านการเขียน นักเรียนจะเขียนช้า เขียนตัวอักษรกลับหลัง วนหัวพยัญชนะหลายรอบ สะกดคำผิดบ่อยแม้แต่คำง่าย ๆ เขียนแล้วลบบ่อย เขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง เขียนเพิ่มหรืออาจเขียนตกหล่น วางสระ และวรรณยุกต์ไม่ถูกที่ เขียนตัวอักษรสลับกัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้นักเรียนเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน ถึงแม้นักเรียนจะมีระดับสติปัญญาเหมือนนักเรียนปกติอื่นๆ ก็ตาม แต่หากนักเรียนกลุ่มนี้ได้รับความช่วยเหลือให้ เกิดการเรียนรู้ที่เหมาะสมสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน และในสองปีที่ผ่านมานักเรียนอยู่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) ทำให้เกิดสภาวะการรณ์ถดถอยทางการเรียนรู้ ทำให้การจัดการเรียนการสอนทำได้ไม่เต็มที่ นักเรียน มีความรู้ไม่สมภูมิชั้น นักเรียนมีปัญหาในการอ่านและเขียนภาษาไทย โดยเฉพาะนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 - 3 ดังนั้น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 จึงทำการนิเทศติดตามการพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รับผิดชอบ และ จัดทำในประเด็นท้าทายด้วยการนิเทศติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 เพื่อลดภาะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss) ไปด้วย ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน


2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อนิเทศติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3 โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE ร่วมกับ NKP1 TAG TEAM 2. เพื่อสร้างเครือข่ายการนิเทศภายในโรงเรียนอย่างเป็นระบบ 3. มีนวัตกรรมด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1– 3 4. มีครูที่สามารถเป็นแบบอย่างในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน เป้าหมาย เป้าหมายเชิงผลผลิต (Output) 1. ร้อยละ 100ของครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1- 3 ได้รับการนิเทศ โดยใช้กระบวนการ นิเทศแบบ PIDRE ร่วมกับ NKP1 TAG TEAM 2. ร้อยละ 80ของครูผู้สอนภาษาไทยจัดการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก ด้านการอ่านและ การเขียน 3. ร้อยละ 80ของครูผู้สอนภาษาไทย มีนวัตกรรมด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1– 3 4. ร้อยละ 80ของครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3เครือข่ายคำเตยใช้และพัฒนานวัตกรรม การอ่านและการเขียนภาษาไทย เป้าหมายเชิงผลลัพธ์ (Outcome) 1. ศึกษานิเทศก์มีแผนนิเทศการศึกษาที่สามารถปฏิบัติได้ตามแผนที่กำหนดไว้ 2. ครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- 3ในเครือข่ายคำเตยได้รับการนิเทศติดตามโดยใช้ กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE ร่วมกับ NKP1 TAG TEAM ตามแผนนิเทศการศึกษาที่กำหนดไว้ 3. ครูผู้สอนภาษาไทย มีนวัตกรรมในการสอนอ่านและเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1- 3 4. ครูผู้สอนภาษาไทยสามารถจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ นวัตกรรมการอ่านและเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3 5. ศึกษานิเทศก์มีรูปแบบการนิเทศที่ผู้รับการนิเทศพึงพอใจ มีคุณภาพและเป็นแบบอย่างในการนิเทศ 6. สร้างเครือข่ายการนิเทศภายในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ในเครือข่ายและนอกเครือข่ายเพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุกด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- 3


3 ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) เชิงปริมาณ 1. ครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ได้รับการนิเทศติดตามด้วยกระบวนการนิเทศ แบบ PIDRE บูรณาการกับ nkp1 TAG TEAM ร้อยละ 100 2. ครูผู้สอนภาษาไทยมีนวัตกรรมการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 – 3 อย่างน้อยร้อยละ 80 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3 เชิงคุณภาพ 1. ครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 -3 ได้รับการนิเทศติดตามอย่างสม่ำเสมอ 2. ครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 สามารถจัดการเรียนการสอนภาษาไทย แบบเชิงรุก (Active Learning) 3. ครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 มีนวัตกรรมการอ่านและการเขียนภาษาไทย 4. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสูงขึ้น กลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับผลประโยชน์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 พื้นที่ดำเนินการ โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครพนม เขต 1 ข้อมูลทั่วไปของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย จำนวนโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครพนม เขต 1 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 จำนวน 8 โรงเรียน ประกอบด้วย 1. โรงเรียนบ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 2. โรงเรียนบ้านดอนแดงเจริญทอง 3. โรงเรียนบ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 4. โรงเรียนบ้านโพนป่าหว้าน


4 5. โรงเรียนบ้านหนองดินแดง 6. โรงเรียนบ้านวังไฮหนองกุง 7. โรงเรียนบ้านทุ่งมน 8. โรงเรียนบ้านหนองยาว ทำเนียบผู้บริหารโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม ที่ ชื่อ - สกุล รูปภาพ ตำแหน่ง / โรงเรียน เบอร์โทรศัพท์ 1 นายรักชาติ คนยัง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 095 757 9940 2 นางสาววิชยา โคตรภู ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดอน แดงเจริญทอง 065 397 8993 3 นายนิวัตร มะสุใส รองผู้อำนวยการโรงเรียน บ้านดอนแดงเจริญทอง 098 226 9497 4 นายธรรศ จิตรจักร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโพนค้อ โพนสวรรค์ 095 660 9050


5 ที่ ชื่อ - สกุล รูปภาพ ตำแหน่ง / โรงเรียน เบอร์โทรศัพท์ 5 น.ส.อมรรัตน์ แก่นสาร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนอง ดินแดง 090 343 3313 6 นางสาวพัชรินทร์ เดชบุรัมย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโพนป่า หว้าน 085 756 5889 7 น.ส.จินตนา ไกรษร ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านวังไฮหนองกุง รักษาการในตำแหน่งโรงเรียน บ้านวังไฮหนองกุง 089 570 1126 8 นางมยุรีย์ สมศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทุ่งมน 089 571 6802 9 น.ส.รษิกา วัฒนมาลี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองยาว 091 861 9782


6 ข้อมูลสารสนเทศบุคลากรที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาของเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ปีการศึกษา 2566 (บางส่วน)


7 ข้อมูลนักเรียนรายโรง จำแนกรายชั้น ปีการศึกษา 2565 (249 โรงเรียน) ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2565) (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2565) ข้อมูลนักเรียนรายโรง จำแนกรายชั้น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนใน เครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ที่ โรงเรียน นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา รวม หมายเหตุ ป.1 ป.2 ป.3 1 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 19 26 26 71 2 บ้านดอนแดงเจริญทอง 19 15 22 56 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 24 13 21 58 4 บ้านโพนป่าหว้าน 5 3 8 16 5 บ้านหนองดินแดง 5 2 1 8 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 8 10 28 7 บ้านทุ่งมน 6 3 12 21 8 บ้านหนองยาว 4 2 6 12 รวมทั้งหมด 92 72 106 270 (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2565)


8 ข้อมูลนักเรียนรายโรง จำแนกรายชั้น ปีการศึกษา 2565 (248 โรงเรียน) ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2566) ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2566 ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2566 ข้อมูลนักเรียนรายโรง จำแนกรายชั้น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนใน เครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ที่ โรงเรียน นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา รวม หมายเหตุ ป.1 ป.2 ป.3 1 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 28 18 22 68 2 บ้านดอนแดงเจริญทอง 15 17 16 48 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 20 21 13 54 4 บ้านโพนป่าหว้าน 6 5 3 14 5 บ้านหนองดินแดง 5 5 3 13 6 บ้านวังไฮหนองกุง 13 11 7 31 7 บ้านทุ่งมน 6 6 2 14 8 บ้านหนองยาว 5 4 2 11 รวมทั้งหมด 98 87 68 253 ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2566


9 ข้อมูลครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม ที่ ชื่อ - สกุล ตำแหน่ง เบอร์โทรศัพท์ โรงเรียน ระดับชั้นที่สอน 1 นางนันทิยา ตักโพธิ์ ครูชำนาญการพิเศษ บ้านคำเตยฯ ป.1 2 นางรุจาภา ปั้นเปล่ง ครูชำนาญการพิเศษ 08 7866 7284 บ้านคำเตยฯ ป.2 3 นางกัญจนา สุริยนต์ ครูชำนาญการพิเศษ 08 7870 8647 บ้านคำเตยฯ ป.3 4 นางสุฑารัฐ หอมจัด ครูชำนาญการพิเศษ 08 6232 9446 บ้านดอนแดงเจริญทอง ป.1 5 นางรัตน์วรินทร์ นพคุณวงศ์ ครู 08 4990 9382 บ้านดอนแดงเจริญทอง ป.2 6 น.ส.กุลณิตา น้อยโส ครู 09 5663 3159 บ้านดอนแดงเจริญทอง ป.3 7 นางราวรรณ์ สุขรี ครูชำนาญการพิเศษ 09 8473 9259 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ ป.1 8 น.ส.ดรุณี สุทธะมา ครูอัตราจ้าง 09 5516 1572 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ ป.2 9 น.ส.กัญญาลักษณ์ ศรีเพชร ครู 06 1152 8584 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ ป.3 10 นางสุกานดา นาคพงษ์ ครูชำนาญการพิเศษ 08 5757 1076 บ้านโพนป่าหว้าน ป.1 11 นางสุกานดา นาคพงษ์ ครูชำนาญการพิเศษ 08 5757 1076 บ้านโพนป่าหว้าน ป.2 12 น.ส.ลักขณา สุริพุธ ครูอัตราจ้าง 08 8328 4186 บ้านโพนป่าหว้าน ป.3 13 น.ส.ศันสนีย์ แก้วบัวบัด ครูอัตราจ้าง 06 3248 2598 บ้านหนองดินแดง ป.1 14 น.ส.ศันสนีย์ แก้วบัวบัด ครูอัตราจ้าง 06 3248 2598 บ้านหนองดินแดง ป.2 15 น.ส.ศันสนีย์ แก้วบัวบัด ครูอัตราจ้าง 06 3248 2598 บ้านหนองดินแดง ป.3 16 น.ส.ปวีณา ตาสี ครูอัตราจ้าง 06 4481 9203 บ้านวังไฮหนองกุง ป.1 17 น.ส.ปนัดดา สีสา ครู 09 10891321 บ้านวังไฮหนองกุง ป.2 18 น.ส.รัชชา มูลสุวรรณ ครู 06 3247 1963 บ้านวังไฮหนองกุง ป.3 19 นางพัสดา แสนมิตร ครูชำนาญการพิเศษ 08 0766 7754 บ้านทุ่งมน ป.1 20 นายนวพล สมจี ครู 09 5772 2628 บ้านทุ่งมน ป.2 21 นางชุตินาถ ปิ่นมุณี ครูชำนาญการพิเศษ 08 9570 1272 บ้านทุ่งมน ป.3 22 น.ส.ธันยพร วงศ์พาน ครู 08 8030 6282 บ้านหนองยาว ป.1 23 น.ส.ธันยพร วงศ์พาน ครู 08 8030 6282 บ้านหนองยาว ป.2 24 น.ส.นวลอนงค์ เขื่อนสุวรรณ์ ครู 06 1048 2278 บ้านหนองยาว ป.3


10 ทำเนียบครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม ครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 นางราวรรณ์ สุขรี รร.บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ โทร. 09 8473 9259 นางสุฑารัฐ หอมจัด รร.บ้านดอนแดงเจริญทอง โทร. 08 6232 9446 นางนันทิยา ตักโพธิ์ รร.บ้านคำเตยฯ โทร. นางสุกานดา นาคพงษ์ รร.บ้านโพนป่าหว้าน โทร. 08 5757 1076 นางพัสดา แสนมิตร รร.บ้านทุ่งมน โทร. 08 0766 7754 น.ส.ธันยพร วงศ์พาน รร.บ้านหนองยาว โทร. 08 8030 6282 น.ส.ปวีณา ดาสี รร.บ้านวังไฮหนองกุง โทร. 06 4481 9203 น.ส.ศันสนีย์ แก้วบัวบัด รร.บ้านหนองดินแดง โทร. 06 3248 2598


11 ครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 นางรุจาภา ปั้นเปล่ง รร.บ้านคำเตยฯ โทร. 08 7866 7284 นางรัตน์วรินทร์ นพคุณวงศ์ รร.บ้านดอนแดงเจริญทอง โทร. 08 4990 9382 น.ส.ดรุณี สุทธะมา รร.บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ โทร. 09 5516 1572 นางสุกานดา นาคพงษ์ รร.บ้านโพนป่าหว้าน โทร. 08 5757 1076 นางชุตินาถ ปิ่นมุณี รร.บ้านทุ่งมน โทร. 08 9570 1272 น.ส.ธันยพร วงศ์พาน รร.บ้านหนองยาว โทร. 08 8030 6282 น.ส.ปนัดดา สีสา รร.บ้านวังไฮหนองกุง โทร. 06 4481 9203 น.ส.ศันสนีย์ แก้วบัวบัด รร.บ้านหนองดินแดง โทร. 06 3248 2598


12 ครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 น.ส.กัญญาลักษณ์ ศรีเพชร รร.บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ โทร. 06 1152 8584 น.ส.ลักขณา สุริพุธ รร.บ้านโพนป่าหว้าน โทร. 08 8328 4186 น.ส.กุลณิตา น้อยโส รร.บ้านดอนแดงเจริญทอง โทร. 09 5663 3159 น.ส.ศันสนีย์ แก้วบัวบัด รร.บ้านหนองดินแดง โทร. 06 3248 2598 น.ส.รัชชา มูลสุวรรณ รร.บ้านวังไฮหนองกุง โทร. 06 3247 1963 นายนวพล สมจี รร.บ้านทุ่งมน โทร. 09 5772 2628 น.ส.นวลอนงค์ เขื่อนสุวรรณ์ รร.บ้านหนองยาว โทร. 06 1048 2278 นางกัญจนา สุริยนต์ รร.บ้านคำเตยฯ โทร. 08 7870 8647


13 ข้อมูลผลการทดสอบ/ประเมินฯ ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมือง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ........................................................................................... ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ตาราง 1 แสดงค่าเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ปีการศึกษา 2565 ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ในภาพรวม ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 24 46.27 18.98 28.65 24.35 2 บ้านคำเตยฯ 15 58.85 23.92 34.50 29.17 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 19 55.04 23.58 35.00 24.01 4 บ้านหนองดินแดง 4 43.13 26.00 40.63 20.31 5 บ้านโพนป่าหว้าน 6 53.71 17.33 34.58 22.92 6 บ้านวังไฮหนองกุง 7 45.21 22.29 32.50 25.89 7 บ้านทุ่งมน 8 48.72 30.06 23.13 24.22 8 บ้านหนองยาว 3 55.17 26.00 25.83 25.00 รวม 86 50.76 23.52 31.85 24.48 จากตาราง 1 ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ปีการศึกษา 2565 ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ในภาพรวม ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย ดังนี้ ค่าเฉลี่ยกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เท่ากับ 50.76 ค่าเฉลี่ยกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เท่ากับ 23.52 ค่าเฉลี่ยกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เท่ากับ 31.85 และค่าเฉลี่ยกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รายวิชาภาษาอังกฤษ เท่ากับ 24.48


14 ตาราง 2 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย กับค่าเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และค่าเฉลี่ย ระดับประเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ค่าเฉลี่ย เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย เครือข่าย เขตพื้นที่ ประเทศ เขตพื้นที่ ประเทศ ภาษาไทย 50.76 50.42 53.89 0.34 -3.13 คณิตศาสตร์ 23.52 25.24 28.06 -1.72 -4.54 วิทยาศาสตร์ 31.85 36.19 39.34 -4.34 -7.49 ภาษาอังกฤษ 24.48 32.61 37.62 -8.13 -13.14 จากตาราง 2 เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย กับค่าเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่และ ค่าเฉลี่ยระดับประเทศ พบว่า ค่าเฉลี่ยกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเขตพื้นที่ คิดเป็น 0.34 แต่มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าระดับประเทศ ส่วนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าระดับเขตพื้นที่ และต่ำกว่าระดับประเทศ ผลการประเมินความสามารถด้านการอ่าน (การอ่านออกเสียง และการอ่านรู้เรื่อง) ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม ตาราง 3 แสดงคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านออกเสียง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยระดับเขต พื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถ ด้านการอ่านออกเสียง โรงเรียน เขตพื้นที่ ประเทศ 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 17 62.70 75.74 77.38 2 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 18 73.55 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 22 73.72 4 บ้านหนองดินแดง 5 79.20 5 บ้านโพนป่าหว้าน 5 80.00 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 76.44 7 บ้านทุ่งมน 6 94.66 8 บ้านหนองยาว 4 71.50 รวม 87 76.47


15 จากตาราง 3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านออกเสียงของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าระดับเขต พื้นที่คิดเป็น 0.73 แต่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าระดับประเทศ คิดเป็น 0.91 แผนภูมิ 1 เปรียบเทียบผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านออกเสียง ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยระดับเขต พื้นที่และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ตาราง 4 แสดงคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านรู้เรื่อง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และคะแนนระดับประเทศ ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถ ด้านการอ่านรู้เรื่อง โรงเรียน เขตพื้นที่ ประเทศ 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 17 94.23 76.23 77.19 2 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 18 65.44 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 22 61.36 4 บ้านหนองดินแดง 5 82.40 5 บ้านโพนป่าหว้าน 5 88.40


16 ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถ ด้านการอ่านรู้เรื่อง โรงเรียน เขตพื้นที่ ประเทศ 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 84.22 7 บ้านทุ่งมน 6 82.33 8 บ้านหนองยาว 4 75.50 รวม 87 79.24 จากตาราง 4 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านรู้เรื่อง ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าระดับเขต พื้นที่คิดเป็น 3.01 และมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าระดับประเทศ คิดเป็น 2.05 แผนภูมิ 2 เปรียบเทียบผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านรู้เรื่อง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ 94.23 65.44 61.36 82.4 88.4 84.22 82.33 75.5 0 10 20 30 40 50 60 70 80 90 100 ผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านรู้เรื่องของโรงเรียนกับคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ


17 ตาราง 5 แสดงคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถด้านการอ่าน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ที่ โรงเรียน นร.เข้า สอบ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมิน ความสามารถด้านการอ่าน (การอ่านออกเสียง และการอ่านรู้เรื่อง) โรงเรียน เขตพื้นที่ ประเทศ 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 17 78.47 76.70 77.28 2 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 18 69.50 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 22 67.54 4 บ้านหนองดินแดง 5 80.80 5 บ้านโพนป่าหว้าน 5 84.20 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 80.33 7 บ้านทุ่งมน 6 88.50 8 บ้านหนองยาว 4 73.50 รวม 87 77.86 จากตาราง 5 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถด้านการอ่าน (การอ่านออกเสียง และ การอ่านรู้เรื่อง) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมือง นครพนม มีคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านสูงกว่าระดับเขตพื้นที่ คิดเป็น 1.16 และ สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ คิดเป็น 0.58


18 แผนภูมิ 3 เปรียบเทียบผลการประเมินความสามารถด้านการอ่าน (การอ่านออกเสียง และการอ่านรู้เรื่อง) ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ 78.47 69.5 67.54 80.8 84.2 80.33 88.5 73.5 0 1 0 2 0 3 0 4 0 5 0 6 0 7 0 8 0 9 0 100 ผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านของโรงเรียนกับคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ


19 ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ตาราง 6 แสดงคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และความสามารถด้านภาษาไทย ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ คามสามารถด้าน (เฉลี่ย) คณิตศาสตร์ ภาษาไทย รวม 2 ด้าน 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 20 49.60 59.20 54.40 2 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 26 56.66 64.93 60.80 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 21 38.64 44.52 41.58 4 บ้านหนองดินแดง 1 75.00 72.00 73.50 5 บ้านโพนป่าหว้าน 8 61.00 72.35 66.67 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 46.00 68.27 57.13 7 บ้านทุ่งมน 12 84.87 78.81 81.84 8 บ้านหนองยาว 6 83.00 87.16 85.08 รวม 104 61.85 68.41 65.12 จากตาราง 6 คะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และความสามารถด้านภาษาไทย ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละความสามารถด้านคณิตศาสตร์ เท่ากับ 61.85 คะแนนเฉลี่ย ร้อยละความสามารถด้านภาษาไทย เท่ากับ 68.41 รวมคะแนนสองด้านเฉลี่ยร้อยละ เท่ากับ 65.12 แผนภูมิ 4 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และความสามารถด้านภาษาไทย ของโรงเรียนใน เครือข่าย คำเตย อำเภอ เมือง นครพนม 5 8 6 0 6 2 6 4 6 6 6 8 7 0 คณติ ศาสตร์ภาษาไทย รวม 2 ดา้น คะแนนเฉลยี่


20 ตาราง 7 แสดงคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และความสามารถด้านภาษาไทย (รวม 2 ด้าน) โรงเรียนในเครือข่าย คำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ คะแนนเฉลี่ย 2 ด้าน ระดับ โรงเรียน เขตพื้นที่ ประเทศ 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 20 54.40 56.29 52.50 2 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 26 60.80 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 21 41.58 4 บ้านหนองดินแดง 1 73.50 5 บ้านโพนป่าหว้าน 8 66.67 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 57.13 7 บ้านทุ่งมน 12 81.84 8 บ้านหนองยาว 6 85.08 รวม/เฉลี่ย 104 65.13 จากตาราง 7 คะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และความสามารถด้านภาษาไทย รวม 2 ด้าน ของโรงเรียนใน เครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และคะแนนเฉลี่ย ร้อยละความสามารถด้านภาษาไทย รวม 2 ด้าน มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าระดับเขตพื้นที่คิดเป็น 8.84 และมีคะแนน เฉลี่ยสูงกว่าระดับประเทศ คิดเป็น 12.63 แผนภูมิ 5 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และความสามารถด้านภาษาไทย (รวม 2 ด้าน) โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับเขตพื้นที่ และคะแนน เฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ


21 54.5 60.8 41.58 73.5 66.67 57.13 81.84 85.08 0 10 20 30 40 50 60 70 80 90 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละของโรงเรียนในเครือข่ายค าเตย กับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ ตาราง 8 แสดงคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ด้านคณิตศาสตร์ โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับ เขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ คะแนนเฉลี่ยด้านคณิตศาสตร์ระดับ โรงเรียน เขตพื้นที่ ประเทศ 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 20 49.60 53.84 49.12 2 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 26 56.66 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 21 38.64 4 บ้านหนองดินแดง 1 72.00 5 บ้านโพนป่าหว้าน 8 61.00 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 46.00 7 บ้านทุ่งมน 12 84.87 8 บ้านหนองยาว 6 83.00 รวม/เฉลี่ย 104 61.47 จากตาราง 8 คะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม พบว่า


22 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละด้านคณิตศาสตร์สูงกว่ากับคะแนนเฉลี่ย ร้อยละระดับเขตพื้นที่คิดเป็น 7.63 และสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ คิดเป็น 12.35 แผนภูมิ 6 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ ตาราง 9 แสดงคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านภาษาไทย ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ย ร้อยละระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ ที่ โรงเรียน นร.เข้าสอบ คะแนนเฉลี่ยด้านภาษาไทยระดับ โรงเรียน เขตพื้นที่ ประเทศ 1 บ้านดอนแดงเจริญทอง 20 59.20 58.74 55.86 2 บ้านคำเตย (คำเตยราษฎร์ร่วมจิต) 26 64.93 3 บ้านโพนค้อโพนสวรรค์ 21 44.52 4 บ้านหนองดินแดง 1 75.00 5 บ้านโพนป่าหว้าน 8 72.35 6 บ้านวังไฮหนองกุง 10 68.27 7 บ้านทุ่งมน 12 78.81 8 บ้านหนองยาว 6 87.16 รวม/เฉลี่ย 104 68.05 49.6 56.66 38.64 7 2 6 1 4 6 84.87 8 3 0 1 0 2 0 3 0 4 0 5 0 6 0 7 0 8 0 9 0 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ด้านคณิตศาสตร์ โรงเรียนในเครือข่ายค าเตย อ าเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับเขต พื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ


23 จากตาราง 9 คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านภาษาไทย ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม พบว่า มีคะแนนเฉลี่ย ด้านภาษาไทยสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับเขตพื้นที่คิดเป็น 9.31 และสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับ ประเทศ คิดเป็น 12.19 แผนภูมิ 7 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านภาษาไทย ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม กับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ ตาราง 7 แสดงคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพ 59.2 64.93 44.52 75 72.35 68.27 78.81 87.16 0 10 20 30 40 50 60 70 80 90 100 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ความสามารถด้านภาษาไทย ของโรงเรียนในเครือข่ายค าเตย อ าเภอเมือง นครพนม กับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับเขตพื้นที่ และคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศ


24 บทที่ 2 แนวคิด หลักการ ทฤษฎี การนิเทศติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการ อ่านและการเขียน ของครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในสังกัดเครือข่ายคำเตย อำเภอเมือง นครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE บูรณาการร่วมกับ NKP1 TAG TEAM ผู้นิเทศได้ศึกษาทฤษฎี หลักการ แนวคิดจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำเนินการนิเทศติดตาม ประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ❖ แนวคิดของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ❖ ความหมายของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ❖ ความสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ❖ ลักษณะของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ❖ รูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ❖ Active Learning กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ❖ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การนิเทศการศึกษา ❖ ความหมายการนิเทศการศึกษา ❖ หลักการนิเทศการศึกษา ❖ กิจกรรมการนิเทศการศึกษา ❖ กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE แนวคิดของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในชั้นเรียน สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความ สะดวก (Facilitator) สร้างแรงบันดาลใจ ให้คำปรึกษา ดูแล แนะนำ ทำหน้าที่เป็นโค้ชและพี่เลี้ยง (Coach & Mentor) แสวงหาเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful learning) ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ได้ มีความข้าใจในตนเอง ใช้สติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ ผลงานนวัตกรรมที่บ่งบอกถึงการมีสมรรถนะสำคัญในศตวรรษที่ 21 มีทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ตามระดับช่วงวัย


25 ความหมายของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) คือ การเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับการเรียน การสอน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking) ด้วยการวิเคราะห์ สังเคราะห์และ ประเมินค่า ไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ตั้งคำถาม และถาม อภิปรายร่วมกัน ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคำนึงถึงความรู้เดิม และความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับ ความรู้ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ ความสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 1. Active Learning ส่งเสริมการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทำของผู้เรียน การมีวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ ผู้เรียนจะมีโอกาส มีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง และมีการใช้วิจารณญาณในการคิดและ ตัดสินใจในการปฏิบัติกิจกรรมนั้น มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้กำกับทิศทางการเรียนรู้ ค้นหาสไตล์การเรียนรู้ของตนเอง สู่การเป็นผู้รู้คิด รู้ตัดสินใจด้วยตนเอง (Metacognition) เพราะฉะนั้น Active Learning จึงเป็นแนวทางการ จัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความคิดขั้นสูง (Higher order thinking) ในการมีวิจารณญาณ การวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การประเมิน ตัดสินใจ และการสร้างสรรค์ 2. Active Leaning สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความร่วมมือใน การปฏิบัติงานกลุ่มจะนำไปสู่ความสำเร็จในภาพรวม 3. Active Learning ทำให้ผู้เรียนทุ่มเทในการเรียน จูงใจในการเรียน และทำให้ผู้เรียน แสดงออกถึง ความรู้ความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมอย่างกระตือรือร้นในสภาพแวดล้อม ที่ เอื้ออำนวย ผ่านการใช้กิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ให้อย่างหลากหลาย ผู้เรียนเลือกเรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ ตาม ความสนใจ และความถนัดของตนเอง เกิดความรับผิดชอบและทุ่มเทเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ 4. Active Learning ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเชิงบวกทั้งตัวผู้เรียน และตัวครู เป็นการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ผู้เรียนจะมีโอกาสได้เลือกใช้ความถนัด ความสนใจ ความสามารถที่เป็น ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) สอดรับกับแนวคิดพหุปัญญา (Multiple Intelligence) เพื่อแสดงออกถึงตัวตนและศักยภาพของตัวเอง ส่วนครูผู้สอนต้องมีความตระหนักที่จะปรับเปลี่ยนบทบาท แสวงหา วิธีการ กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้างศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ครูเกิดทักษะใน การสอนและมีความเชี่ยวชาญในบทบาท หน้าที่ ที่รับผิดชอบ เป็นการพัฒนาตน พัฒนางาน และพัฒนาผู้เรียนไป พร้อมกัน ลักษณะของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ลักษณะของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีดังนี้ 1. เป็นการพัฒนาศักยภาพการคิด การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดระบบการเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้โดยมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในรูปแบบ ของความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 4. เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ สู่ทักษะการคิดวิเคราะห์และประเมินค่า


26 5. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความมีวินัยในการทำงานร่วมกับผู้อื่น 6. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ และการสรุปของผู้เรียน 7. ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง จากลักษณะการเรียนรู้แบบ Active Learning ดังกล่าว จึงควรมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กัน ดังนี้ 1. จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหาและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. จัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3. จัดให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. จัดให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ ร่วมกัน สร้างร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงานและการแบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบในภารกิจต่าง ๆ 6. จัดกระบวนการเรียนที่สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็นผู้จัดระบบ การเรียนรู้ด้วยตนเอง 7. จัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง 8. จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศและหลักการ ความคิดรวบ ยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง 10. จัดกระบวนการสร้างความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุป ทบทวนของ ผู้เรียน ลักษณะกิจกรรมที่เป็นการเรียนรู้เชิงรุก 1. กระบวนการเรียนรู้ที่ลดบทบาทการสอนและการให้ความรู้โดยตรงของครู แต่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมสร้างองค์ความรู้ และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2. กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้นำความรู้ ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ สามารถ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า คิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ พัฒนาทักษะกระบวนการคิดไปสู่ระดับที่สูงขึ้น 3. กิจกรรมเชื่อมโยงกับนักเรียน กับสภาพแวดล้อมใกล้ตัว ปัญหาของชุมชน สังคม หรือ ประเทศชาติ 4. กิจกรรมเป็นการนำความรู้ที่ได้ไปใช้แก้ปัญหาใหม่ หรือใช้ในสถานการณ์ใหม่ 5. กิจกรรมเน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างมีเหตุมีผล มีโอกาสร่วมอภิปรายและนำเสนอ ผลงาน 6. กิจกรรมเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนด้วยกัน


27 รูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนในลักษณะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) มีวิธีการจัดการเรียนรู้หลากหลายวิธี เช่น - การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) - การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) - การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ฯลฯ อย่างไรก็ตามรูปแบบ วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้ มีพื้นฐานมาจากแนวคิดเดียวกัน คือ ให้ผู้เรียน เป็นผู้มีบทบาทหลักในการเรียนรู้ของตนเอง ข้อสังเกต 1. เนื่องจากการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) มีรากฐานมาจากแนวคิดทางการศึกษาที่เน้น การสร้างองค์ความรู้ใหม่ (Constructivist) โดยผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้จากข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ด้วยการนำไป ประกอบกับประสบการณ์เดิมในอดีต นอกจากนี้ ยังมีมิติกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง 2 มิติ ได้แก่ กิจกรรมด้านการรู้คิด (Cognitive Activity) และกิจกรรมด้านพฤติกรรม (Behavioral Activity) ผู้นำไปใช้อาจเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การเรียนรู้แบบนี้ คือรูปแบบที่เน้นความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรม (Behavioral Active) โดยเข้าใจว่า ความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรมจะทำให้เกิดความตื่นตัวในกิจกรรม ด้านการรู้คิด (Cognitively Active) ไปเอง จึงเป็นที่มาของการประยุกต์ใช้ผิดๆ ว่าให้ผู้สอนลดบทบาทความเป็นผู้ให้ความรู้ลง เป็นเพียงผู้อำนวยความ สะดวกและบริหารจัดการหลักสูตร โดยปล่อยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เองอย่างอิสระจากการทำกิจกรรมและการ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เรียนด้วยกันเองตามยถากรรม โดยผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้พัฒนามิติด้านการรู้คิด 2. ความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรมอาจไม่ก่อให้เกิดความตื่นตัวในกิจกรรมด้านการรู้คิดเสมอไป การที่ผู้สอนให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว เช่น การฝึกปฏิบัติและการ อภิปรายในกลุ่ม ของผู้เรียนเอง โดยไม่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านการรู้คิด เช่น การลำดับความคิดและการจัดองค์ความรู้ จะทำให้ประสิทธิผลของการเรียนรู้ลดลง 3. กรณีการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบที่ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมและค้นพบความรู้ด้วยตนเองนี้ไปใช้ กับการพัฒนาการเรียนรู้ตามลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จะเหมาะกับการพัฒนาในขั้น การทำความเข้าใจ การนำไปประยุกต์ใช้ และการวิเคราะห์ ขึ้นไปมากกว่าขั้นให้ข้อมูล ความรู้ เพราะเป็นการ เสียเวลามาก และไม่บรรลุผลเท่าที่ควร โดยสรุป การจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน โดยการนำเอาวิธีการ สอนเทคนิค การสอนที่หลากหลายมาใช้ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน ชั้นเรียน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้สอน เป็นการจัดการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ทักษะและเชื่อมโยงองค์ความรู้นำไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาหรือ ประกอบอาชีพในอนาคต และถือเป็นการจัดการเรียนรู้ประเภทหนึ่งที่ส่งเสริมให้ ผู้เรียนมีคุณลักษณะสอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน


28 ในที่นี้ จึงเสนอรูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของ ผู้เรียน ดังต่อไปนี้ รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากแนวคิดในการจัดการเรียนการ สอนที่เผยแพร่ในปลายศตวรรษที่ 20 ที่เรียกว่า การเรียนรู้ที่เน้นบทบาท และการมีส่วนร่วมของผู้เรียน หรือ “การ เรียนรู้เชิงรุก” (Active Learning) ซึ่งหมายถึง รูปแบบการเรียนการสอน ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ และบทบาทในการเรียนรู้ของผู้เรียน "ใช้กิจกรรมเป็นฐาน" หมายถึง นำกิจกรรมเป็นที่ตั้งเพื่อที่จะฝึกหรือ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนด ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความตื่นตัวและกระตือรือร้นด้านการรู้คิด 2. กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้จากตัวผู้เรียนเองมากกว่าการฟังผู้สอนในห้องเรียน และการท่องจำ 3. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่องนอกห้องเรียนด้วย 4. ได้ผลลัพธ์ในการถ่ายทอดความรู้ใกล้เคียงกับการเรียนรู้รูปแบบอื่น แต่ได้ผลดีกว่าในการพัฒนา ทักษะด้านการคิด และการเขียนของผู้เรียน 5. ผู้เรียนมีความพึงพอใจกับการเรียนรู้แบบนี้มากกว่ารูปแบบที่ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับความรู้ ซึ่งเป็นการ เรียนรู้แบบตั้งรับ (Passive Learning) 6. มุ่งเน้นความรับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนรู้โดยผ่านการอ่าน เขียน คิด อภิปราย และ เข้าร่วม ในการแก้ปัญหา และยังสัมพันธ์กับการเรียนรู้ตามลำดับขั้นการเรียนรู้ของบลูม ทั้งในด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย หลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 1. ให้ความสนใจที่ตัวผู้เรียน 2. เรียนรู้ผ่านกิจกรรมการปฏิบัติที่น่าสนใจ 3. ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้อ านวยความสะดวก 4. ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียน 5. ไม่มีการสอบ แต่ประเมินผลจากพฤติกรรม ความเข้าใจ และผลงาน 6. เพื่อนในชั้นเรียนช่วยส่งเสริมการเรียน 7. มีการจัดสภาพแวดล้อม และบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิด และเสริมสร้างความ มั่นใจใน ตนเอง


29 ประเภทของกิจกรรมในการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน มีหลากหลายกิจกรรม การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมนั้นๆ ว่ามุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ หรือพัฒนาในเรื่องใด สามารถจำแนก ออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1. กิจกรรมเชิงสำรวจ เสาะหา ค้นคว้า (Exploratory) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวบรวม สั่งสม ความรู้ ความคิดรวบยอด และทักษะ 2. กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์(Constructive) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวบรวม สั่งสมประสบการณ์ โดยผ่าน การปฏิบัติ หรือการท างานที่ริเริ่มสร้างสรรค์ 3. กิจกรรมเชิงการแสดงออก (Expressional) ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวกับ การนำเสนอ การเสนอผลงาน กิจกรรมการเรียนรู้ที่นิยมใช้จัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน - การอภิปรายในชั้นเรียน (class discussion) ที่ใช้ได้ทั้งในห้องเรียนปกติ และการอภิปราย ออนไลน์ - การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) - กิจกรรม “คิด-จับคู่-แลกเปลี่ยน” (think-pair-share) - เซลการเรียนรู้ (Learning Cell) - การฝึกเขียนข้อความสั้น ๆ (One-minute Paper) - การโต้วาที (Debate) - การแสดงบทบาทสมมุติ (Role Play) - การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์ (Situational Learning) - การเรียนแบบกลุ่มร่วมแรงร่วมใจ (Collaborative learning group) - ปฏิกิริยาจากการชมวิดิทัศน์ (Reaction to a video) - เกมในชั้นเรียน (Game) - แกลเลอรี่ วอล์ค (Gallery Walk) - การเรียนรู้โดยการสอน (Learning by Teaching) ฯลฯ รูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์(Experiential Learning) การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) หรือการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์เชิงประจักษ์ เป็นการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมหรือการปฏิบัติ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจเชิงนามธรรมโดยผ่านการสะท้อนประสบการณ์ การคิดวิเคราะห์ การสรุปเป็น หลักการ ความคิดรวบยอด และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ 1. เป็นการเรียนรู้ที่ผ่านประสบการณ์เชิงประจักษ์จากกิจกรรม หรือการปฏิบัติของผู้เรียน


30 2. ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง และเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากบทบาทการมีส่วน ร่วมของผู้เรียน 3. มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง และระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน 4. ปฏิสัมพันธ์ที่มีทำให้เกิดการขยายตัวของเครือข่ายความรู้ที่ทุกคนมีอยู่ออกไปอย่างกว้างขวาง 5. อาศัยกิจกรรมการสื่อสารทุกรูปแบบ เช่น การพูด การเขียน การวาดรูป การแสดงบทบาทสมมุติ การนำเสนอด้วยสื่อต่างๆ ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดการแลกเปลี่ยน การวิเคราะห์ และสังเคราะห์การเรียนรู้ วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์(Experiential Learning Cycles) วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 4 องค์ประกอบ คือ ประสบการณ์รูปธรรม การสะท้อนประสบการณ์จากกิจกรรมและอภิปราย การสรุปความคิดรวบยอด หลักการ องค์ความรู้ การทดลอง/ประยุกต์ใช้ความรู้ ซึ่งการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ควรมีครบทั้ง 4 องค์ประกอบ แม้บาง คนจะชอบ/ถนัด หรือมีบางองค์ประกอบมากกว่า เช่น ไม่ชอบหรือไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือไม่นำ ประสบการณ์จากการปฏิบัติมาร่วมอภิปราย ผู้เรียนจะขาดการมีทักษะในองค์ประกอบอื่น ฉะนั้น ผู้เรียนควรได้รับ การกระตุ้นส่งเสริมให้มี่ทักษะการเรียนรู้ครบทุกด้าน และควรมีพัฒนาการการเรียนรู้ให้ครบทั้งวงจร หรือ ทั้ง 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. ประสบการณ์รูปธรรม (Concrete Experience) เป็นขั้นตอนแรกของการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะได้รับ ประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่ผู้สอนกำหนดไว้ การเรียนรู้ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ กิจกรรมอาจเป็นการทดลอง การอ่าน การดูวีดิทัศน์การฟังเรื่องราว การพูดคุยสนทนา การทำงานกลุ่ม เกม บทบาทสมมุติ สถานการณ์จำลอง และการนำเสนอผลการปฏิบัติเงื่อนไขสำคัญ คือ ผู้เรียนมีบทบาทหลักในการ


31 กิจกรรม (Do, Act) 2. การสะท้อนประสบการณ์จากกิจกรรม และอภิปราย (Reflective Observation and Discussion) หรือ Reflect เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะมีการสะท้อนคิด แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกของตนเองจาก ประสบการณ์ในการปฏิบัติกิจกรรม และแลกเปลี่ยนกับสมาชิกในกลุ่ม (Discussion) ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ถึงความคิด ความรู้สึกของคนอื่นที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่กว้างขวางขึ้น และผลของการสะท้อน ความคิดเห็น หรือการอภิปรายแลกเปลี่ยน หรือการย้อนกลับ จะทำให้ได้แนวคิดหรือข้อสรุปที่มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้เรียนจะรู้สึกว่าตัวเองได้มีส่วนร่วมในฐานะสมาชิกคนหนึ่ง มีคนฟังเรื่องราวของตนเอง และได้มีโอกาส รับรู้เรื่องของคนอื่น ทำให้สัมพันธภาพในกลุ่มผู้เรียนเป็นไปด้วยดี 3. การสรุปความคิดรวบยอด หลักการ องค์ความรู้(Abstract Conceptualization) เป็นขั้นที่ ผู้เรียนร่วมกันสรุปข้อมูล ความคิดเห็น จับหลักขององค์ความรู้ ที่ได้จากการสะท้อนความคิดเห็น และ อภิปรายใน ขั้นที่ 2 ในขั้นนี้ครูอาจใช้คำถามกระตุ้นผู้เรียนให้ช่วยกันสรุปข้อคิดเห็น กรณีที่กิจกรรมนั้นเป็นเรื่องของข้อมูล ความรู้ใหม่ ครูอาจเสริมข้อมูล ข้อเท็จจริงในประเด็นนั้นๆ เพิ่มเติม (Adding) โดยการอธิบาย บอกกล่าว การให้ อ่านเอกสาร การดูวีดิทัศน์ ฯลฯ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนสามารถสรุปเป็น หลักการ ความคิดรวบ ยอด หรือองค์ความรู้ใหม่ได้อาจให้ผู้เรียนสรุปโดยการเขียนบันทึกสรุปผลการเรียนรู้ การเขียนแผนภาพมโนทัศน์ (Mind Mapping) การเสนอแผนภาพ แผนภูมิโดยใช้ Graphic Organizers การสรุปเป็นกรอบงาน (Framework) ตัวแบบ หรือแบบจำลองความคิด (Model) 4. การทดลอง/ประยุกต์ใช้ความรู้(Active Experimentation / application) ในขั้นนี้ผู้เรียน จะต้องนำความคิดรวบยอด องค์ความรู้ หรือข้อสรุปที่ได้จากขั้นตอนที่ 3 ไปทดลอง ประยุกต์ใช้ กิจกรรมการเรียน การสอนส่วนมากมักจะขาดองค์ประกอบการทดลอง/ประยุกต์ใช้แนวคิด ซึ่งถือว่าเป็น ขั้นตอนสำคัญที่ผู้สอนจะได้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รู้จักการประยุกต์ใช้ความรู้ และนำไปใช้ได้จริง กิจกรรมที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ความรู้ เช่น การทำโครงงาน การจัดกิจกรรมเผยแพร่ข้อมูลความรู้ การจัดกิจกรรม รณรงค์(Campaign) ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้เชิงประสบการณ์ จำเป็นต้องจัดกิจกรรมให้ครบวงจรทั้ง 4 องค์ประกอบ เพราะองค์ประกอบทั้ง 4 มี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง อย่างลื่นไหล ต่อเนื่อง ส่งผลถึงกัน การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ให้ได้ผลดีนั้น ควรจะฝึกผู้เรียนให้มีทักษะต่อไปนี้ คือ 1. ผู้เรียนต้องมีความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมกับการเรียน ไม่ใช่ตั้งใจจะมาเป็นผู้รับ “ป้อน” ความรู้อย่าง เดียว 2. ผู้เรียนต้องได้รับการฝึกเรื่องกระบวนการสะท้อนคิด (Reflection) มาพอสมควร 3. ผู้เรียนควรได้ฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ analytical เเละ conceptualization skill มาก่อน โดยเฉพาะ หากเป็นการเรียนรู้เชิงเทคนิคที่มีความซับซ้อน เช่น การเรียนวิชาเเพทย์ จำเป็นที่ระบบการศึกษาจะต้อง มีช่วงเวลาที่ฝึกฝนนักเรียนให้มีทักษะนี้มาตั้งเเต่เริ่มแรก 4. ผู้เรียนควรได้รับการฝึก decision making เเละ problem solving skills เพื่อจะได้เป็นกลไก สำคัญในการสรุป เเละเลือกใช้องค์ความรู้ที่ได้ใหม่นี้ในอนาคต


32 สรุป การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ หรือ Experiential Learning Model (ELM) เป็นวงจรการ เรียนรู้ ที่มี 4 ขั้นตอน เริ่มต้นตั้งเเต่การให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติ ให้ได้ฝึกการสะท้อนคิด ให้ฝึกมีการสรุปหลักการ เหตุผลจนเกิด เป็นความรู้ใหม่ของตน เเละขั้นตอนสุดท้ายคือ การฝึกการนำเอาความรู้ใหม่ไปลองปฏิบัติอีกครั้ง การที่ให้ผู้เรียนได้ ฝึกฝนกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้บ่อยขึ้น เเละมีความชำนาญขึ้น จะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้เรียนต่อไปใน อนาคต รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งสมมติฐาน สาเหตุและกลไกของการเกิดปัญหานั้น รวมถึงการค้นคว้า ความรู้พื้นฐานที่ เกี่ยวข้องกับปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาต่อไป โดยผู้เรียนอาจไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ มาก่อน แต่อาจใช้ความรู้ ที่ผู้เรียนมีอยู่เดิมหรือเคยเรียนมา นอกจากนี้ยังมุ่งให้ผู้เรียนใฝ่หาความรู้เพื่อแก้ไข ปัญหา ได้คิดเป็น ทำเป็น มีการ ตัดสินใจที่ดี และสามารถเรียนรู้การทำงานเป็นทีม โดยเน้นให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำ ทักษะจากการเรียนมาช่วยแก้ปัญหาในชีวิต การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยเริ่มจากการได้ประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปัญหา ผ่านกระบวนการคิด และการสะท้อนกลับไปสู่ความรู้และ ความคิดรวบยอด อันจะนำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ต่อไป การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานยังเป็นการตอบสนองต่อ แนวคิด constructivism โดยให้ผู้เรียนวิเคราะห์หรือตั้งคำถามจากโจทย์ปัญหา ผ่านกระบวนการคิดและสะท้อน กลับ เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนในกลุ่ม เน้นการเรียนรู้ที่มีส่วนร่วม นำไปสู่การค้นคว้าหาคำตอบหรือสร้าง ความรู้ใหม่บนฐานความรู้เดิมที่ผู้เรียนมีมาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานยังเป็นการสร้าง เงื่อนไขสำคัญที่ส่งเสริมการเรียนรู้ กล่าวคือ 1. การเรียนรู้สิ่งใหม่จะได้ผลดีขึ้น ถ้าได้มีการเชื่อมโยงหรือกระตุ้นความรู้เดิมที่ผู้เรียนมีอยู่ 2. การเรียนรู้เนื้อหาที่ใกล้เคียงสถานการณ์จริงหรือมีประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปัญหาจะทำให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้ดีขึ้น 3. เนื่องจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นการเรียนกลุ่มย่อย การได้แสดงออก แสดงความคิดเห็น หรือ อภิปรายถกเถียงกันจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจและเรียนรู้สิ่งนั้นได้ดีขึ้น การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นรูปแบบ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลก เป็นบริบทของการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิด วิเคราะห์และคิดแก้ปัญหา รวมทั้งได้ความรู้ตามศาสตร์ในสาขาวิชาที่ตนศึกษาไปพร้อมกันด้วย การเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการแก้ไขปัญหาเป็นหลัก สิ่งสำคัญในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน คือ ปัญหา เพราะปัญหาที่ดีจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ความสนใจและภูมิหลังของผู้เรียน เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่อง ใกล้ตัวมากกว่าเรื่องไกลตัว สนใจสิ่งที่มีความหมายและความสำคัญต่อตนเองและเป็นเรื่องที่ตนเองสนใจใคร่รู้ ดังนั้น การกำหนดปัญหาจึงต้องคำนึงถึงตัวผู้เรียนเป็นหลักรวมถึงสภาพแวดล้อม และ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอก


33 โรงเรียนที่เอื้ออำนวยต่อการแสวงหาความรู้ของผู้เรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบนี้จะเน้นการส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิดวิจารณญาณ คิดวิเคราะห์คิดสังเคราะห์คิดสร้างสรรค์ เป็นต้น วัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์ที่ดาดหวังจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ได้แก่ 1. ได้ความรู้ที่สอดคล้องกับบริบทจริงและสามารถนำไปใช้ได้ 2. พัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การให้เหตุผล และนำไปสู่การแก้ปัญหา 3. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง 4. ผู้เรียนสามารถทำงานและสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 6. ความคงอยู่ (retention) ของความรู้จะนานขึ้น ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 1. ใช้ปัญหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงเป็นตัวกระตุ้นการแก้ปัญหาและเป็นจุดเริ่มต้นในการ แสวงหาความรู้ ปัญหาที่เหมาะสมกับการนำมาจัดกิจกรรมควรมีลักษณะ ดังนี้ - เป็นเรื่องจริงเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ของ ผู้เรียนหรือผู้เรียนอาจมีโอกาสเผชิญกับปัญหานั้น - ท้าทาย กระตุ้นความสนใจ อาจตื่นเต้นบ้าง เป็นปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนตายตัว เป็น ปัญหาที่มีความซับซ้อน คลุมเครือ หรือผู้เรียนเกิดความสับสน - เป็นปัญหาที่พบบ่อย มีความสำคัญ มีข้อมูลประกอบเพียงพอสาหรับการค้นคว้าได้ฝึกทักษะ การตัดสินใจโดยข้อเท็จจริง ข้อมูลข่าวสาร ตรรกะ เหตุผล และตั้งสมมติฐาน - เชื่อมโยงความรู้เดิมกับข้อมูลใหม่ สอดคล้องกับเนื้อหา/แนวคิดของหลักสูตร มีการสร้าง ความรู้ ใหม่ บูรณาการระหว่างบทเรียน นำไปประยุกต์ใช้ได้ - ปัญหาซับซ้อนที่ก่อให้เกิดการทำงานกลุ่มร่วมกัน มีการแบ่งงานกันทำ โดยเชื่อมโยงกันไม่ แยกส่วน เหมาะสมกับเวลา เกิดแรงจูงใจในการแสวงหาความรู้ใหม่ - ชักจูงให้เกิดการอภิปรายได้กว้างขวาง ปัญหาที่เป็นประเด็นขัดแย้ง ข้อถกเถียงในสังคมที่ยังไม่มี ข้อยุติ เป็นปลายเปิด ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีหลายทางเลือก/หลายคำตอบ สัมพันธ์กับสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้ว มีข้อพิจารณาที่แตกต่าง แสดงความคิดเห็นได้หลากหลาย - ปัญหาที่สร้างความเดือดร้อน เสียหาย เกิดโทษภัยเป็นสิ่งที่ไม่ดีหากใช้ข้อมูลโดยลำพัง คนเดียว อาจทำให้ตอบปัญหาผิดพลาด - ปัญหาที่มีการยอมรับว่าจริง ถูกต้อง แต่ผู้เรียนไม่เชื่อจริง ไม่สอดคล้องกับความคิดของ ผู้เรียน - ปัญหาที่อาจมีคำตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคำตอบได้หลายทาง ครอบคลุมการเรียนรู้ที่กว้างขวาง หลากหลายเนื้อหา - ปัญหาที่มีความยากความง่ายเหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน


34 - ปัญหาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ทันที ต้องการการสำรวจ ค้นคว้าและการรวบรวมข้อมูล หรือ ทดลองดูก่อน ไม่สามารถที่จะคาดเดาหรือทำนายได้ง่ายๆ ว่าต้องใช้ความรู้อะไร - ปัญหาที่ส่งเสริมความรู้ด้านเนื้อหาทักษะ สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษา - ใช้สื่อหลากหลายรูปแบบในการระบุปัญหา เช่น ข้อความบรรยาย รูปภาพ วีดีทัศน์สั้นๆ ข้อมูล จากผลการทดลองในห้องปฏิบัติการ ข่าว บทความจากหนังสือพิมพ์ วารสาร สิ่งพิมพ์ 2. บูรณาการเนื้อหาความรู้ในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น 3. เน้นกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นระบบ 4. เรียนเป็นกลุ่มย่อย โดยมีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สนับสนุนและกระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมกันสร้าง บรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในกลุ่ม 5. ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ และเรียนโดยการกำกับตนเอง (Self-directed learning) กล่าวคือ - สามารถประเมินตนเองและบ่งชี้ความต้องการได้ - จัดระบบประเด็นการเรียนรู้ได้อย่างเที่ยงตรง - รู้จักเลือกและใช้แหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสม - เลือกกิจกรรมการศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหา ที่ตรงประเด็น มีประสิทธิภาพ - บ่งชี้ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องได้ และคัดแยกออกได้อย่างรวดเร็ว - ประยุกต์ใช้ความรู้ใหม่เชิงวิเคราะห์ได้ - รู้จักขั้นตอนการประเมิน กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหา จัดสถานการณ์ต่าง ๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และมองเห็นปัญหา สามารถกำหนดสิ่งที่เป็นปัญหาที่ผู้เรียนอยากรู้ อยากเรียนเกิดความสนใจที่จะค้นหาคำตอบ 1. จัดกลุ่มผู้เรียนให้มีขนาดเล็ก (ประมาณ 3-5 /8-10 คน) 2. ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ โดยลักษณะของปัญหาที่นำมาใช้ ควรมีลักษณะ คลุมเครือไม่ชัดเจน มีวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย อาจมีคำตอบได้หลายคำตอบ โดยคำนึงถึงการเชื่อมโยง ความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม ความซับซ้อนของปัญหาจากง่ายไปสู่ยาก ระดับและประสบการณ์ผู้เรียน เวลาที่ กำหนดให้ผู้เรียนใช้ดำเนินการ และแหล่งค้นคว้าข้อมูล ขั้นที่ 2 ทำความเข้าใจกับปัญหา ปัญหาที่ต้องการเรียนรู้ ต้องสามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ปัญหาได้ 3. ผู้เรียนทำความเข้าใจหรือทำความกระจ่างในคำศัพท์ที่อยู่ในโจทย์ปัญหานั้น เพื่อให้เข้าใจ ตรงกัน


35 4. ผู้เรียนจับประเด็นข้อมูลที่สำคัญหรือระบุปัญหาในโจทย์วิเคราะห์หาข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ความจริงที่ปรากฏในโจทย์ แยกแยะข้อมูลระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น จับประเด็นปัญหา ออกเป็นประเด็น ย่อย 5. ผู้เรียนระดมสมองเพื่อวิเคราะห์ปัญหา อภิปราย แต่ละประเด็นปัญหาว่าเป็นอย่างไร เกิดขึ้นได้ อย่างไร ความเป็นมาอย่างไร โดยอาศัยพื้นความรู้เดิมเท่าที่ผู้เรียนมีอยู่ 6. ผู้เรียนร่วมกันตั้งสมมติฐานเพื่อหาคำตอบปัญหาประเด็นต่างๆ พร้อมจัดลำดับความสำคัญของ สมมติฐานที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผล 7. จากสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ผู้เรียนจะประเมินว่ามีความรู้เรื่องอะไรบ้าง มีเรื่องอะไรที่ยังไม่รู้ หรือ ขาดความรู้ และความรู้อะไรจำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อพิสูจน์สมมติฐาน ซึ่งเชื่อมโยงกับโจทย์ปัญหาที่ได้ขั้นตอนนี้กลุ่ม จะกำหนดประเด็นการเรียนรู้หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อจะไปค้นคว้าหาข้อมูลต่อไป ขั้นที่ 3 ดำเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองด้วยวิธีการหลากหลาย 8. ผู้เรียนค้นคว้าหาข้อมูล และศึกษาเพิ่มเติมจากทรัพยากรการเรียนรู้ต่างๆ เช่น หนังสือตำรา วารสาร สื่อการเรียนการสอนต่างๆ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน อินเทอร์เน็ต หรือ ปรึกษา ผู้รู้ในเนื้อหาเฉพาะ เป็นต้น พร้อมทั้งประเมินความถูกต้องโดย - ประเมินแหล่งข้อมูล ความถูกต้อง เชื่อถือได้ของข้อมูล - เลือกนำความรู้ที่เกี่ยวข้องมาเชื่อมโยงว่าตรงประเด็นเพียงพอที่จะแก้ปัญหาอย่างไร - หาประเด็นความรู้เพิ่มเติม ถ้าจำเป็น - สรุป เตรียมสื่อ เลือกวิธีนำเสนอผลงาน ขั้นที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ค้นคว้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน 9. ผู้เรียนนำข้อมูลหรือความรู้ที่ได้มาสังเคราะห์ อธิบาย พิสูจน์สมมติฐานและประยุกต์ให้ เหมาะสมกับโจทย์ปัญหา พร้อมสรุปเป็นแนวคิดหรือหลักการทั่วไปโดย - นำเสนอผลงานกลุ่มด้วยสื่อหลากหลาย - สะท้อนความคิด ให้ข้อมูลย้อนกลับ อภิปราย ทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระหว่างกลุ่มถึงกระบวนการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การเชื่อมโยง การสร้างองค์ความรู้ใหม่ - สรุปภาพรวมเป็นความรู้ทั่วไป ขั้นที่ 5 สรุปและประเมินค่าหาคำตอบ 10. ผู้เรียนแต่ละกลุ่ม สรุปผลงานของกลุ่มตนเอง และประเมินผลงานว่าข้อมูลที่ศึกษา ค้นคว้ามี ความเหมาะสม หรือไม่เพียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคิดภายในกลุ่มของตนเองอย่างอิสระ ทุกกลุ่มช่วยกัน สรุปองค์ความรู้ ในภาพรวมของปัญหาอีกครั้ง 11. ประเมินผลจากสภาพจริง โดยดูจากความสามารถในการปฏิบัติ บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 1. ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก หรือผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ


36 2. เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ มิได้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยตรง 3. ใช้ทักษะการตั้งคำถามที่เหมาะสม 4. กระตุ้นและส่งเสริมกระบวนการกกลุ่มให้กลุ่มดำเนินการตามขั้นตอนของการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน 5. สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนและเน้นให้ผู้เรียนตระหนักว่าการเรียนรู้เป็นความรับผิดชอบของ ผู้เรียน 6. กระตุ้นให้ผู้เรียนเอาความรู้เดิมที่มีอยู่มาใช้อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น 7. สนับสนุนให้กลุ่มสามารถตั้งประเด็นหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้/แก้ปัญหาได้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของกิจกรรมที่ครูกำหนด 8. หลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นหรือตัดสินว่าถูกหรือผิด 9. ส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง รวมทั้งเป็นผู้ประเมินทักษะของผู้เรียนและ กลุ่มพร้อมการให้ข้อมูลย้อนกลับ


37 รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning )


38 การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ( Project-Based Learning ) หมายถึง การเรียนรู้ที่จัด ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้แก่ผู้เรียนเหมือนกับการทำงานในชีวิตจริงอย่างมีระบบ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้มีประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการหาความรู้ความจริงอย่างมีเหตุผล ได้ทำการทดลอง ได้พิสูจน์สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง รู้จักการวางแผนการทำงาน ฝึกการเป็นผู้นำ ผู้ตาม ตลอดจนได้พัฒนากระบวนการ คิดโดยเฉพาะการคิดขั้นสูง และการประเมินตนเอง โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นเพื่อนำความสนใจที่เกิดจากตัวผู้เรียนมาใช้ ในการทำกิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเอง นำไปสู่การเพิ่มความรู้ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติ การฟัง และการ สังเกตจากผู้รู้ โดยผู้เรียนมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม ที่จะนำมาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มีการเขียน กระบวนการจัดทำโครงงาน และได้ผลการจัดกิจกรรมเป็นผลงาน แบบรูปธรรมนอกจากนี้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ โครงงานเป็นฐานยังเน้นการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ชีวิตขณะที่เรียน ได้พัฒนาทักษะต่างๆ ซึ่ง สอดคล้องกับหลักพัฒนาการตามลำดับขั้นความรู้ ความคิดของบลูมทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการคิดสร้างสรรค์ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ โครงงานเป็นฐานถือได้ว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจากผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติเพื่อฝึกทักษะ ต่าง ๆ ด้วยตนเองทุกขั้นตอน โดยมีครูเป็นผู้ให้การส่งเสริม สนับสนุน ลักษณะสำคัญของจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน 1. ยึดหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำงานตามระดับ ทักษะที่ตนเองมีอยู่ 2. เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นบทบาท และการมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Active Learning) 3. เป็นเรื่องที่ผู้เรียนสนใจและรู้สึกสบายใจที่จะทำ 4. ผู้เรียนได้รับสิทธิในการเลือกว่าจะตั้งคำถามอะไร และต้องการผลผลิตอะไรจากการทำ โครงงาน 5. ครูทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์และจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน สนับสนุนการแก้ไข ปัญหาและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน 6. ผู้เรียนกำหนดการเรียนรู้ของตนเอง 7. เชื่อมโยงกับชีวิตจริง สิ่งแวดล้อมจริง 8. มีฐานจากการวิจัย ศึกษา ค้นคว้า หรือองค์ความรู้ที่เคยมี 9. ใช้แหล่งข้อมูล หลายแหล่ง 10. ฝังตรึงด้วยความรู้และทักษะต่าง ๆ 11. สามารถใช้เวลามากพอเพียงในการสร้างผลงาน 12. มีผลผลิต


39 ประเภทของโครงงาน โครงงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน อาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ โครงงานที่แบ่งตามระดับการให้คำปรึกษาของครู และโครงงานที่แบ่งตามลักษณะกิจกรรม ดังนี้ 1. โครงงานที่แบ่งตามระดับการให้คำปรึกษาของครูหรือระดับการมีบทบาทของผู้เรียน 1) โครงงานประเภทครูนำทาง (Guided Project)


40 2) โครงงานประเภทครูลดการนำทาง - เพิ่มบทบาทผู้เรียน (Less – guided Project)


41 3) โครงงานประเภทผู้เรียนนำเอง ครูไม่ต้องนำทาง (Unguided Project) 2. โครงงานที่แบ่งตามลักษณะกิจกรรม 1) โครงงานเชิงสำรวจ (Survey Project) ลักษณะกิจกรรมคือผู้เรียนสำรวจและรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็น หมวดหมู่และนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ต้องการศึกษาได้ ชัดเจนยิ่งขึ้น


42 2) โครงงานเชิงการทดลอง (Experiential Project) ขั้นตอนการดำเนินงานของโครงงานประเภทนี้จะประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การกำหนด จุดประสงค์ การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดำเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและการสรุป 3) โครงงานเชิงพัฒนาสร้างสิ่งประดิษฐ์แบบจำลอง (Development Project) เป็นโครงงานเกี่ยวกับการประยุกต์องค์ความรู้ ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือ ศาสตร์ด้านอื่น ๆ มาพัฒนาสร้างสิ่งประดิษฐ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ แบบจำลอง เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ อาจจะเป็น ด้านสังคม หรือด้านวิทยาศาสตร์ หรือการสร้างแบบจำลองเพื่ออธิบายแนวคิดต่างๆ 4) โครงงานเชิงแนวคิดทฤษฎี(Theoretical Project) เป็นโครงงานนำเสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของสูตรสมการ หรือคำอธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอได้ตั้งกติกาหรือข้อตกลงขึ้นมาเอง แล้วนาเสนอทฤษฎี หลักการหรือ แนวคิด หรือ จินตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนั้น หรืออาจจะใช้กติกาหรือข้อตกลงเดิมมาอธิบายก็ได้ ผลการ อธิบายอาจจะใหม่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจจะขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม หรืออาจจะเป็นการขยายทฤษฎีหรือ แนวคิดเดิมก็ได้ การทำโครงงานประเภทนี้ต้องมีการศึกษาค้นคว้าพื้นฐานความรู้ ในเรื่องนั้นๆ อย่างกว้างขวาง 5) โครงงานด้านบริการสังคมและส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม (Community Service and Social Justice Project) เป็นโครงงานที่มุ่งให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าประเด็นที่เป็นปัญหา ความต้องการในชุมชนท้องถิ่น และดำเนินกิจกรรมเพื่อการให้บริการทางสังคม หรือร่วมกับชุมชน องค์กรอื่นๆ ในการแก้ปัญหา หรือพัฒนาในเรื่อง นั้นๆ 6) โครงงานด้านศิลปะและการแสดง (Art and Performance Project) เป็นโครงงานที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า นำความรู้ที่ได้จากการเรียนตามหลักสูตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านภาษาและสังคม มาต่อยอดสร้างผลงานด้านศิลปะและการแสดง เช่น งาน ศิลปกรรม ประติมากรรม หนังสือการ์ตูน การแต่งเพลง ดนตรี แสดงคอนเสิร์ต การแสดงละคร การสร้าง ภาพยนตร์สั้น ฯลฯ 7) โครงงานเชิงบูรณาการการเรียนรู้ เป็นโครงงานที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนบูรณาการเชื่อมโยงความรู้จากต่างสาระการเรียนรู้ตั้งแต่ สองสาขาวิชาขึ้นไป มาดำเนินการแก้ปัญหา หรือสร้างประเด็นการศึกษาค้นคว้า ทั้งในแง่มิติเชิงประวัติศาสตร์ ทักษะการประกอบอาชีพข้ามสาขาวิชา การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม ที่ต้องนำความรู้ต่างสาขามาประยุกต์ใช้ การคิดค้นสร้างนวัตกรรมจากการบูรณาการความรู้ ฯลฯ


43 กระบวนการและขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน มีกระบวนการและขั้นตอนแตกต่างกันไป ตามแต่ละทฤษฎี ในที่นี้ขอนำเสนอแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นงาน ที่เหมาะสมกับบริบท การจัดการศึกษาของไทย คือ แนวคิดที่ 1 การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงาน ของ สำนักงานเลขาธิการสภา การศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ (2550) แนวคิดที่ 2 การจัดการเรียนรู้ตามโมเดลจักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ นายแพทย์วิจารณ์ พาณิช (2555) และ แนวคิดที่ 3 การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานที่ได้จาก โครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน : จาก ประสบการณ์ ความสำเร็จของโรงเรียนไทย ของดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557) มีรายละเอียด ดังนี้ แนวคิดที่ 1 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้นำเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ไว้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ 1. ขั้นนำเสนอ หมายถึง ขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ กำหนดสถานการณ์ ศึกษา สถานการณ์ เล่นเกม ดูรูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการตั้งคำถามเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ที่กำหนดในแผนการ จัดการเรียนรู้แต่ละแผน เช่น สาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรและสาระการเรียนรู้ที่เป็นขั้นตอนของโครงงานเพื่อใช้ เป็นแนวทางในการวางแผนการเรียนรู้ 2. ขั้นวางแผน หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารือ ข้อสรุปของกลุ่ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ 3. ขั้นปฏิบัติหมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผลที่เกิดขึ้นจากการ วางแผนร่วมกัน 4. ขั้นประเมินผล หมายถึง ขั้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผู้สอน ผู้เรียนและเพื่อนร่วมกันประเมิน แนวคิดที่ 2 การจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบจักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ วิจารณ์ พาณิช (2555 : 71-75) ซึ่งแนวคิดนี้ มีความเชื่อว่า หากต้องการให้การเรียนรู้มีพลังและฝังในตัวผู้เรียนได้ ต้องเป็นการ


44 เรียนรู้โดยการลงมือทำเป็นโครงการ (Project) ร่วมมือกันทำเป็นทีม และทำกับปัญหาที่มีอยู่ในชีวิตจริง ซึ่งส่วนของ วงล้อมี 5 ส่วน ประกอบด้วย Define Plan Do Review และ Presentation ดังรูป โมเดล จักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL 1. Define คือ ขั้นตอนการระบุปัญหา ขอบข่าย ประเด็นที่จะทำโครงงาน เป็นการสร้าง ความเข้าใจระหว่างสมาชิกของทีมงานร่วมกับครู เกี่ยวกับคำถาม ปัญหา ประเด็น ความท้าทายของโครงงาน คือ อะไร และเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อะไร 2. Plan คือ การวางแผนการทำโครงงาน ครูก็ต้องวางแผนในการทำหน้าที่โค้ช รวมทั้งเตรียม เครื่องอำนวยความสะดวกในการทำโครงงานของผู้เรียน เตรียมคำถามเพื่อกระตุ้นให้คิดถึงประเด็นสำคัญบาง ประเด็นที่ผู้เรียนอาจมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือจนทีมงานขาดโอกาสคิดเอง แก้ปัญหาเอง ผู้เรียนที่เป็นทีมงานก็ต้องวางแผนงานของตน แบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ การประชุมพบปะระหว่างทีมงาน การแลกเปลี่ยนข้อค้นพบแลกเปลี่ยนคำถาม แลกเปลี่ยนวิธีการ ยิ่งทำความเข้าใจร่วมกันไว้ ชัดเจนเพียงใด งานในขั้นต่อไป (Do) ก็จะสะดวกเลื่อนไหลดีเพียงนั้น 3. Do คือ การลงมือทำ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหา การประสานงาน การทำงานร่วมกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทำงานภายใต้ทรัพยากรจำกัด ทักษะในการค้นหา ความรู้เพิ่มเติม ทักษะในการทำงานในสภาพที่ทีมงานมีความแตกต่างหลากหลาย ทักษะการทำงานในสภาพ กดดัน ทักษะการบันทึกผลงาน ทักษะในการวิเคราะห์ผล และแลกเปลี่ยนข้อวิเคราะห์กับเพื่อนร่วมทีม เป็นต้น ในขั้นตอน Do นี้ ครูจะได้มีโอกาสสังเกตทำความรู้จักและเข้าใจผู้เรียนเป็นรายคน และเรียนรู้ หรือฝึกทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล สนับสนุน กำกับ และโค้ชด้วย


45 4. Review คือ ผู้เรียนจะทบทวนการเรียนรู้ว่าโครงงานได้ผลตามความมุ่งหมายหรือไม่ รวมถึง ทบทวนว่างานหรือกิจกรรม หรือพฤติกรรมแต่ละขั้นตอนได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง ทั้งขั้นตอนที่เป็น ความสำเร็จและ ความล้มเหลว เพื่อนำมาทำความเข้าใจ และกำหนดวิธีทำงานใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งเอาเหตุการณ์ระทึกใจ หรือเหตุการณ์ที่ภาคภูมิใจ ประทับใจมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ขั้นตอนนี้เป็นการเรียนรู้ แบบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือ เรียกว่า AAR (After Action Review) 5. Presentation ผู้เรียนนำเสนอโครงงานต่อชั้นเรียน เป็นขั้นตอนที่ให้การเรียนรู้ทักษะอีก ชุดหนึ่งต่อเนื่องกับขั้นตอน Review เป็นขั้นตอนที่ทำให้เกิดการทบทวนขั้นตอนของงานและการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น อย่างเข้มข้น แล้วเอามานำเสนอในรูปแบบที่เร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ ทีมงานอาจสร้างนวัตกรรม ในการ นำเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนำเสนอเป็นการรายงานหน้าชั้น มีสื่อประกอบ หรือจัดทำวีดิทัศน์ หรือ นำเสนอเป็นละคร เป็นต้น การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ได้จากโครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริม ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน : จากประสบการณ์ความสำเร็จของโรงเรียนไทย ของดุษฎี โยเหลาและคณะ แนวคิดที่ 3 การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ได้จากโครงการสร้างชุดความรู้ เพื่อสร้างเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21ของเด็กและเยาวชน:จากประสบการณ์ความสำเร็จของโรงเรียนไทย ของดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557) มี 6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557 : 20-23)


46 1. ขั้นให้ความรู้พื้นฐาน ครูให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำโครงงานก่อนการเรียนรู้ เนื่องจากการทำโครงงานมีรูปแบบและขั้นตอนที่ชัดเจนและรัดกุม ดังนั้น ผู้เรียนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงงานไว้เป็นพื้นฐาน เพื่อใช้ในการปฏิบัติขณะทำงานโครงงานจริงในขั้นแสวงหา ความรู้ 2. ขั้นกระตุ้นความสนใจ ครูเตรียมกิจกรรมที่จะกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน โดยต้องคิด หรือเตรียมกิจกรรมที่ดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการทำโครงงานหรือกิจกรรมร่วมกัน โดยกิจกรรมนั้นอาจเป็นกิจกรรมที่ครูกำหนดขึ้น หรืออาจเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีความสนใจต้องการจะทำอยู่แล้ว ทั้งนี้ในการกระตุ้นของครูจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสนอจากกิจกรรมที่ได้เรียนรู้ผ่านการจัดการเรียนรู้ของครูที่ เกี่ยวข้องกับชุมชนที่ผู้เรียนอาศัยอยู่หรือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 3. ขั้นจัดกลุ่มร่วมมือ ครูให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกันแสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการกลุ่มในการ วางแผนดำเนินกิจกรรม โดยนักเรียนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรียนของตนเอง โดยระดมความคิด และ หารือแบ่งหน้าที่เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน หลังจากที่ได้ทราบหัวข้อสิ่งที่ตนเองต้องเรียนรู้ในภาคเรียนนั้น ๆ เรียบร้อยแล้ว 4. ขั้นแสวงหาความรู้ในขั้นแสวงหาความรู้มีแนวทางปฏิบัติสาหรับผู้เรียนในการทำกิจกรรม ดังนี้ 4.1 นักเรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมโครงงานตามหัวข้อที่กลุ่มสนใจผู้เรียนปฏิบัติหน้าที่ของ ตนตามข้อตกลงของกลุ่ม พร้อมทั้งร่วมมือกันปฏิบัติกิจกรรม โดยขอคำปรึกษาจากครูเป็นระยะ เมื่อมีข้อสงสัยหรือ ปัญหาเกิดขึ้น 4.2 ผู้เรียนร่วมกันเขียนรูปเล่ม สรุปรายงานจากโครงงานที่ตนปฏิบัติ 5. ขั้นสรุปสิ่งที่เรียนรู้ครูให้ผู้เรียนสรุปสิ่งที่เรียนรู้จากการทำกิจกรรม โดยครูใช้คำถามถาม ผู้เรียนนำไปสู่การสรุปสิ่งที่เรียนรู้ 6. ขั้นนำเสนอผลงาน ครูให้ผู้เรียนนำเสนอผลการเรียนรู้ โดยครูออกแบบกิจกรรม หรือจัด เวลาให้ผู้เรียนได้เสนอสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้น และผู้เรียนอื่น ๆ ในโรงเรียนได้ชมผลงานและ เรียนรู้กิจกรรมที่ผู้เรียนปฏิบัติในการทำโครงงาน การประเมินผล 1. ประเมินตามสภาพจริง โดยผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลว่ากิจกรรมที่ทำไปนั้น บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร ปัญหาและอุปสรรคที่พบคืออะไรบ้าง ได้ใช้วิธีการแก้ไข อย่างไร ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการทำโครงงานนั้นๆ 2. ประเมินโดยผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนช่วยประเมิน ผู้สอนหรือครู ที่ปรึกษาประเมิน ผู้ปกครองประเมิน บุคคลอื่นๆ ที่สนใจและมีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ที่นำเสนอข้างต้น ครูผู้สอนหรือผู้จัดกิจกรรมอาจใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้อื่นๆ เช่น Peer Instruction, Class Debate Role-


Click to View FlipBook Version