47 Playing, Case Studies, Creative Scenarios and Simulations, Think-Pair-Share, Discovering Plate Boundaries, Peer Revie, Discussion, Problem solving using real data, , Just in time teaching, Game based Learning ฯลฯ บทบาทของครูในการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แนวทาง Active Learning ครูผู้สอนต้องออกแบบกิจกรรมที่สะท้อนการ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ และเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง โดยดำเนินการดังนี้ 1. สร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี กับผู้สอนและ เพื่อนในชั้นเรียน 2. ลดบทบาทการสอน และการให้ความรู้โดยตรง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดระบบการ เรียนรู้ แสวงหาความรู้ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง 3. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เป็นพลวัต (มีการเคลื่อนไหว/การขับเคลื่อน) ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในทุกกิจกรรม กระตุ้นให้ผู้เรียนค้นพบความสำเร็จในการเรียนรู้ สามารถนำความรู้ ความเข้าใจไป ประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และคิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ โดยเชื่อมโยงกับ สภาพแวดล้อม ใกล้ตัว ปัญหาของชุมชน สังคม หรือประเทศชาติ 4. จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน วางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการ เรียนรู้อย่างชัดเจน รวมถึงเนื้อหาและกิจกรรม 5. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากวิธีการสอนที่หลากหลาย 6. เปิดใจกว้างยอมรับในความสามารถ การแสดงออกและการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน 7. ผู้สอนควรทราบว่าผู้เรียนมีความถนัดที่แตกต่างกัน และทราบความรู้พื้นฐานของผู้เรียน ปลายเปิดกระตุ้นการเรียนรู้แทนการบอกกล่าว ครูต้องศึกษาและรู้จักข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อแสดง บทบาทให้เหมาะสมในการท าให้เกิด Active Learning กับนักเรียนเป็นรายคน ดังนี้ 8. ผู้สอนควรสร้างบรรยากาศในการเรียน ให้ผู้เรียนกล้าพูด กล้าตอบและมีความสุขในการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมมากที่สุด ครูผู้สอนต้องพยายามสร้างลักษณะการ เรียนรู้เชิงรุกให้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยจะต้องให้ผู้เรียนได้เข้าใจและรู้ว่าในขณะที่กำลังเรียนรู้นั้น ผู้เรียนจะต้องมี ลักษณะดังนี้ 1. รู้ว่าตัวเองจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง รู้สิ่งที่จะเรียน 2. สิ่งที่จะเรียนรู้นั้น เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียนไปแล้วอย่างไร 3. สิ่งที่จะเรียนรู้นั้น สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับความเป็นไปของโลกปัจจุบันอย่างไร 4. ผู้เรียนต้องรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าข้อเท็จจริงหรือข้อความรู้ที่ได้รับรู้นั้น ถูกต้องแน่นอน 5. ผู้เรียนจะต้องกลับไปตรวจสอบการบ้าน หรือสิ่งที่ค้นคว้าใหม่ ว่าได้คำตอบที่ถูกต้อง หรือไม่ หรือตอบ ถูกต้องตรงกับคำถามข้อไหน
48 6. สามารถสอบถามความรู้เพิ่มเติมจากผู้อื่น หรือทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้ได้คำตอบ ก่อนที่จะสรุป คำตอบสุดท้าย โดยต้องฟังหรือหาคำตอบให้ได้มาอย่างสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะสรุปนำเสนอ บทบาทของครูในฐานะเป็นผู้กระตุ้นการเรียนรู้ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) ได้กล่าวถึง บทบาทสำคัญของครูในขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ว่า ครูจะต้องแสดงบทบาทต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ขึ้น โดยครูจะต้องเป็น ผู้สังเกตการทำงานของนักเรียน ครูต้องสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ โดยใช้คำถามปลายเปิดกระตุ้นการเรียนรู้ แทนการบอกกล่าว ครูต้องศึกษาและรู้จักข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อแสดง ทบาทให้เหมาะสมในการทำให้ เกิด Active Learning กับนักเรียนเป็นรายคน ดังนี้ บทบาทของครูในฐานะผู้กระตุ้นการเรียนรู้ 1. ใช้คำถามกระตุ้นการเรียนรู้ คำถามที่ใช้ในการกระตุ้นการเรียนรู้นั้น ต้องเป็นคำถามที่มีลักษณะ เป็นคำถามปลายเปิด เพื่อให้ผู้เรียนได้อธิบาย โดยขึ้นต้นว่า “ทำไม” หรือ ลงท้ายว่า “อย่างไรบ้าง” “อะไรบ้าง” “เพราะอะไร” 2. ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกต ครูจะต้องคอยสังเกตว่า ผู้เรียนแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไรขณะปฏิบัติ กิจกรรมเพื่อหาทางชี้แนะ กระตุ้น หรือยับยั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 3. สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้การตั้งคำถาม เมื่อผู้เรียนสามารถตั้งคำถามได้ จะทำให้ผู้เรียนรู้จักถาม เพื่อค้นคว้าข้อมูล รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และร่วมแสดงความคิดเห็นของตนเองในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนรู้
49 4. ให้คำแนะนำเมื่อผู้เรียนเกิดข้อสงสัย ครูจะต้องเป็นผู้คอยแนะนำ ชี้แจง ให้ข้อมูลต่างๆ หรือ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ใกล้ตัวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้เรียนเชื่อมโยงไปสู่ความรู้ด้านอื่นๆ ในขณะทำ กิจกรรมเมื่อผู้เรียนเกิดข้อสงสัย หรือคำถาม โดยไม่บอกคำตอบ 5. เปิดโอกำสให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบด้วยตนเอง สังเกตและคอยกระตุ้นด้วยคำถามให้ผู้เรียนได้คิด กิจกรรมที่อยากเรียนรู้และหาคำตอบในสิ่งที่สงสัยด้วยตนเอง 6. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ ตามความคิดและความสามารถของตนเอง เพื่อให้ผู้ได้ใช้จินตนาการและความสามารถของตนเองในการคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ การจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) Active Learning หรือการเรียนรู้เชิงรุก เป็นการจัดการเรียนรู้ที่สามารถตอบสนองต่อการจัดการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจำเป็นที่จะต้องลดบทบาทของผู้สอน แต่เพิ่มบทบาทของผู้เรียนให้มากยิ่งขึ้น เป็นการจัดการ เรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือทำ และได้คิดในสิ่งที่ทำลงไปเพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ตรงให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน โดยผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูด้วยการลงมือทำกิจกรรมร่วมกันทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน จากนั้น ก็สร้างองค์ความรู้ขึ้นจากสิ่งที่ได้ลงมือทำนั้นผ่านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน การอภิปรายและการสะท้อน คิดเพื่อสร้างความหมายกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ Active Learning จะมีขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่ 1. ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2. ขั้นให้เห็นสถานการณ์ท้าทาย 3. ขั้นอภิปรายสะท้อนความคิด 4. ขั้นร่วมผลิตองค์ความรู้ 5. ขั้นช่วยกันดูสะท้อนเรื่อง โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เช่น การอภิปรายกลุ่มย่อย การแสดงบทบาทสมมติ การแสดงละคร การใช้สถานการณ์จำลอง การใช้กรณีศึกษา การอ่านและการเขียนอย่างกระตือรือร้น การทำงาน กลุ่มเล็กๆ และการใช้เกมเพื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ Active Learning กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การเรียนรู้แบบใฝ่รู้ (Active Learning) เป็นการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะความคิดระดับสูงอย่างมี ประสิทธิภาพช่วยให้ผู้เรียนวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินข้อมูลในสถานการณ์ใหม่ได้ดีในที่สุดจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดแรงจูงใจจนสามารถชี้นำตลอดชีวิตในฐานะผู้ฝักใฝ่การเรียนรู้ ธรรมชาติของการเรียนรู้แบบ Active Learning ประกอบด้วยลักษณะสำคัญต่อไปนี้ 1. เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งลดการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนให้น้อยลงและพัฒนาทักษะให้เกิดกับ ผู้เรียน 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนโดยลงมือกระทำมากกว่านั่งฟังเพียงอย่างเดียว
50 3. ผู้เรียนมีส่วนในกิจกรรม เช่น อ่านอภิปรายและเขียน 4. เน้นการสำรวจเจตคติและคุณค่าที่มีอยู่ในผู้เรียน 5. ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดระดับสูงในการวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินผลการนำไปใช้ และ 6. ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรับข้อมูลป้อนกลับจากการสะท้อนความคิดได้อย่างรวดเร็ว การเรียนรู้แบบใฝ่รู้ ถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ต้องการกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายที่จะช่วยให้ ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองผ่านการจัดการตนเองให้ความรู้ และช่วยพัฒนาเพื่อนร่วมชั้นซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ พัฒนาความรู้ความเข้าใจ และทักษะที่หลากหลายเป็นกระบวนการที่ประณีตรัดกุม และผู้เรียนได้รับประโยชน์ มากกว่าการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับความรู้อาจนำมาขยายความให้เห็นเป็นลักษณะสำคัญของการจัดการเรียน การสอนแบบ Active Learning ได้ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมองได้แก่การคิดการแก้ปัญหาและการนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ 2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้การสร้างปฎิสัมพันธ์ร่วมกัน ร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกันการมีวินัยในการทำงานการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟังคิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็นผู้จัดระบบ การเรียนรู้ด้วยตนเอง 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง 8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศและหลักการความคิด รวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง 10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์การสร้างองค์ความรู้และการสรุปทบทวนของผู้เรียน การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากการเรียนรู้แบบใฝ่รู้ มีส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ การมีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ (Appealing Materials) ผู้เรียนมีโอกาสลงมือปฏิบัติ (Opportunities for Manipulation) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเลือกกิจกรรม และกลวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง (Choices for Children) ผู้เรียนได้สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำกับผู้อื่น การเรียนรู้ที่กระตือรือร้นการประเมินการจัดห้องเรียน กำหนดการประจำวันปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา การจัดการเรียนการสอน ซึ่งการเรียนรู้แบบใฝ่รู้จะมี ความยืดหยุ่นสูงสามารถปรับวิธีการใช้กิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งทำได้มากกว่าการสอนแบบ บรรยายนั่นเอง
51 การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ความท้าทายด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษที่ 21 เป็น เรื่องสำคัญของกระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคมอย่าง ทั่วถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสำหรับ การออกไปดำรงชีวิตในโลก นั่นคือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ที่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการ เรียนรู้เพื่อให้เด็กมีความรู้ ความสามารถ และทักษะจำเป็น ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการ จัดการเรียนการสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ซึ่ง วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21) ได้กล่าวถึง ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ดังนี้ สาระวิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย ภาษาแม่ และภาษาสำคัญของโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์ โดยวิชาแกนหลักนี้จะ นำมาสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือหัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลัก และ สอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลัก อันได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness) ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy) ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy) และความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกการทำงานที่มี ความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการ แก้ปัญหา การสื่อสารและการร่วมมือ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีเนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อ และเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ ปฏิบัติงาน ได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ดังนี้ ความรู้ด้านสารสนเทศ ความรู้เกี่ยวกับสื่อและความรู้ด้าน เทคโนโลยี ทักษะด้านชีวิตและอาชีพในการดำรงชีวิตและทำงาน ในยุคปัจจุบันให้ประสบความสำเร็จ นักเรียน จะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญ คือ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Accountability) ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Responsibility) ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ การเรียนรู้ 3R x 7C ทักษะการเรียนรู้ 3R คือ 1. อ่านออก (Reading) 2. เขียนได้ ((W)Riting) และ 3. คิดเลขเป็น ((A)Rithemetics)
52 ส่วนทักษะการเรียนรู้ 7C ประกอบด้วย 1. ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) 2. ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) 3. ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์(Cross-cultural Understanding) 4. ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork and Leadership) 5. ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information, and Media Literacy) 6. ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT Literacy) และ 7. ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้(Career and Learning Skills) กระบวนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ในโลกจริงหรือชีวิตจริง การเรียนวิชาในห้องเรียนยังเป็นการเรียนแบบสมมติ “ดังนั้นครูเพื่อศิษย์จึงต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์” ได้เรียนในสภาพที่ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด ครูเพื่อศิษย์ต้อง เปลี่ยนเป้าหมายการเรียนรู้ของศิษย์จากเน้นเรียนวิชาเพื่อได้ความรู้ ให้เลยไปสู่การพัฒนาทักษะที่สำคัญต่อชีวิตใน ยุคใหม่ ย้ำว่าการเรียนรู้ยุคใหม่ต้องเรียนให้เกิดทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งหน้าที่ของครูเพื่อศิษย์จึง ต้องเปลี่ยนจากเน้น “สอน” หรือสั่งสอนไปทำหน้าที่จุดประกายความสนใจใฝ่รู้ (inspire) แก่ศิษย์ ให้ศิษย์ได้ เรียนจากการลงมือปฏิบัติ (learning by doing) และศิษย์งอกงามทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 นี้ จากการลงมือปฏิบัติของตนเป็นทีมร่วมกับเพื่อนนักเรียน เน้นการงอกงามทักษะในการเรียนรู้ และค้นคว้าหาความรู้ มากกว่าตัวความรู้ ครูเพื่อศิษย์ต้องเปลี่ยนแนวทางการทำงานจากทำโดดเดี่ยวคนเดียว เป็นทำงานและเรียนรู้จาก การทำหน้าที่ครูเป็นทีม กระบวนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มี 3 ลักษณะ คือ 1. กระบวนการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ 2. กระบวนการเรียนรู้ผ่านการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ 3. การเรียนรู้แบบขั้นบันได (IS) 1. กระบวนการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติเป็นแนวคิดหรือความเชื่อที่สนับสนุนให้คนเราปฏิบัติสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพ ด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะจนถึงการ เรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะเชื่อว่าหากคนเราได้กระทำจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ผู้เรียนจะสนุกสนานที่จะสืบค้นหาความรู้ต่อไป มีความสุขที่จะเรียน มีลักษณะดังนี้
53 1.1 การเรียนรู้ผ่านการทำงาน (Work-based Learning) การเรียนรู้แบบนี้เป็นการจัดการเรียน การสอนที่ส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดพัฒนาการทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เนื้อหาสาระ การฝึกปฏิบัติจริง ฝึกฝน ทักษะทางสังคม ทักษะชีวิต ทักษะวิชาชีพการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง โดยสถาบันการศึกษามักร่วมมือกับ แหล่งงานในชุมชน รับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน ตั้งแต่การกำหนดวัตถุประสงค์ การกำหนดเนื้อหา กิจกรรม และวิธีการประเมิน 1.2 การเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-based Learning) การเรียนรู้ด้วยโครงงานเป็นการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นการให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษา สำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น โดยครูเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ความรู้ (teacher) เป็นผู้อำนวย ความสะดวก (facilitator) หรือผู้ให้คำแนะนำ (guide) ทำหน้าที่ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทำงานเป็น ทีม กระตุ้น แนะนำ และให้คำปรึกษา เพื่อให้โครงการสำเร็จลุล่วง ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยโครงงาน สิ่งที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนรู้ด้วย PBL จึงมิใช่ตัวความรู้ (knowledge) หรือวิธีการหาความรู้ (searching) แต่เป็นทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (learning and innovation skills) ทักษะชีวิตและประกอบอาชีพ (Life and Career skills) ทักษะด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารและเทคโนโลยี (Information Media and Technology Skills) การออกแบบโครงงานที่ดีจะกระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าอย่างกระตือรือร้นและผู้เรียนจะได้ฝึก การใช้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และแก้ปัญหา (critical thinking & problem solving) ทักษะการสื่อสาร (communicating) และทักษะการสร้างความร่วมมือ (collaboration) ประโยชน์ที่ได้สำหรับครูที่นอกจากจะเป็น การพัฒนาคุณภาพด้านวิชาชีพแล้ว ยังช่วยให้เกิดการทำงานแบบร่วมมือกับเพื่อนครูด้วยกัน รวมทั้งโอกาสที่จะได้ สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนด้วย ขั้นตอนที่สำคัญในการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน STEP 1 การเตรียมความพร้อม ครูเตรียมมอบหมายโครงงานโดยระบุในแผนการสอน ใน ชั้นเรียนครูอาจกำหนดขอบเขตของโครงงานอย่างกว้างๆ ให้สอดคล้องกับรายวิชา หรือความถนัดของนักเรียน และ เตรียมแหล่งเรียนรู้ ข้อมูลตัวอย่าง เพื่อเป็นแนวทางให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม สามารถใช้เว็บไซต์ หรือ โปรแกรม Module ในการ update ข้อมูลแหล่งเรียนรู้ และการกำหนดนัดหมายต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ได้ STEP 2 การคิดและเลือกหัวข้อ ให้นักเรียนเป็นผู้สร้างทางเลือกในการออกแบบโครงงาน เอง เพื่อเปิดโอกาสให้รู้จักการค้นคว้าและสร้างสรรค์ความรู้เชิงนวัตกรรม ครูอาจให้ผู้เรียนทบทวนวรรณกรรมที่ เกี่ยวข้องก่อน เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกหัวข้อ การทำงานเป็นทีม กระตุ้นให้เกิด brain storm จะทำให้เกิด ทักษะ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะการสื่อสาร และทักษะการสร้างความร่วมมือ STEP 3 การเขียนเค้าโครง การเขียนเค้าโครงของโครงงาน เป็นการสร้าง mind map แสดงแนวคิด แผน และขั้นตอนการทำโครงงาน เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมองเห็นภาระงาน บทบาท และระยะเวลาในการ ดำเนินงาน ทำให้สามารถปฏิบัติโครงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
54 STEP 4 การปฏิบัติโครงงาน นักเรียนลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ในเค้าโครงของ โครงงาน ถ้ามีการวางเค้าโครงเอาไว้แล้ว นักเรียนจะรู้ได้เองว่าจะต้องทำอะไรในขั้นตอนต่อไป โดยไม่ต้องรอถามครู ในระหว่างการดำเนินการครูผู้สอนอาจมีการให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดหรือร่วมแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กับนักเรียน STEP 5 การนำเสนอโครงงาน นักเรียนสรุปรายงานผล โดยการเขียนรายงาน หรือการ นำเสนอในรูปแบบอื่นๆ เช่น แผ่นพับ โปสเตอร์จัดนิทรรศการ รายงานหน้าชั้น ส่งงานทางเว็บไซต์หรืออีเมล ถ้ามี การประกวดหรือแข่งขันด้วยจะทำให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นมากขึ้น STEP 6 การประเมินผลโครงงาน การประเมินโครงงานควรมีการประเมินผลการเรียนรู้ โดยหลากหลาย เช่น นักเรียนประเมินตนเอง ประเมินซึ่งกันและกัน ประเมินจากบุคคลภายนอก การประเมินจะไม่ วัดเฉพาะความรู้หรือผลงานสุดท้ายเพียงอย่างเดียว แต่จะวัดกระบวนการที่ได้มาซึ่งผลงานด้วยการประเมินโดย ครูหลายคนจะเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูด้วยกันอีกด้วย 1.3 การเรียนรู้ผ่านกิจกรรม (Activity-based Learning) ในการยึดหลักการให้ผู้เรียนสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง “Child Centered” การเรียนโดยการปฏิบัติจริง (Learning by Doing) และปฏิบัติเพื่อให้เกิด การเรียนรู้และแก้ปัญหาได้ Doing by Learning จึงถูกนำมาใช้อย่างจริงจังในการปฏิรูปการศึกษาของไทย การเรียนรู้ชนิดนี้เอง ที่มีผู้ตั้งฉายาว่า “สอนแต่น้อย ให้เรียนมากๆ Teach less..Learn More” การเรียนแบบ Learning by Doing นั้นใช้ “กิจกรรม Activity” เป็นหลักในการเรียนการสอน โดยการ “ปฏิบัติจริง Doing” ในเนื้อหาทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ปฏิบัติ คุณครูเป็นพี่เลี้ยงและ เทรนเนอร์ แต่กิจกรรมที่นำมาใช้นี้ต้องมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เนื้อหานั้นๆ มีจุดมุ่งหมาย สนุก และน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจนก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย ดังนั้น คุณครูจึงเป็น “นักออกแบบกิจกรรม Activity Designer” มืออาชีพ ที่สามารถ “มองเห็นภาพกิจกรรม” ได้ทันที 1.4 การเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหา (Problem-based Learning) เป็นรูปแบบการเรียนอีกรูปแบบ หนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และรู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีมของผู้เรียน โดยผู้สอนมีส่วนร่วมน้อยแต่ก็ท้าทาย ผู้สอนมากที่สุด กระบวนการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จะจัดผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย ขนาดประมาณ 8 -10 คน โดยมีครูหรือผู้สอนประจำกลุ่ม 1 คน ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนการการเรียนรู้ (facilitator) ประกอบด้วยขั้นตอน ต่าง ๆ ดังนี้ 1) เมื่อผู้เรียนได้รับโจทย์ปัญหา ผู้เรียนจะทำความเข้าใจหรือทำความกระจ่างในคาศัพท์ที่ อยู่ในโจทย์ปัญหานั้น เพื่อให้เข้าใจตรงกั 2) การจับประเด็นข้อมูลที่สำคัญหรือระบุปัญหาในโจทย์ 3) ระดมสมองเพื่อวิเคราะห์ปัญหา อภิปรายหาคำอธิบาย แต่ละประเด็นปัญหาว่าเป็น อย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ความเป็นมาอย่างไร โดยอาศัยพื้นความรู้เดิมเท่าที่ผู้เรียนมีอยู่ 4) ตั้งสมมติฐานเพื่อหาตอบปัญหาประเด็นต่างๆ พร้อมจัดลำดับความสำคัญของสมมติฐาน ที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผล
55 5) จากสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ผู้เรียนจะประเมินว่าเขามีความรู้เรื่องอะไรบ้าง มีเรื่องอะไรที่ยังไม่ รู้หรือขาดความรู้ และความรู้อะไรจำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อพิสูจน์สมมติฐาน ซึ่งเชื่อมโยงกับโจทย์ปัญหาที่ได้ ขั้นตอนนี้ กลุ่มจะกำหนดประเด็นการเรียนรู้ (learning issue) หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (learning objective) เพื่อจะไป ค้นคว้าหาข้อมูลต่อไป 6) ค้นคว้าหาข้อมูลและศึกษาเพิ่มเติมจากทรัพยากรการเรียนรู้ต่างๆ เช่น หนังสือตำรา วารสาร สื่อการเรียนสอนต่างๆ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน อินเทอร์เน็ต หรือปรึกษา อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาสาขาเฉพาะ พร้อมทั้งประเมินความถูกต้อง 7) นำข้อมูลหรือความรู้ที่ได้มาสังเคราะห์ อธิบาย พิสูจน์สมมติฐาน และประยุกต์ให้ เหมาะสมกับโจทย์ปัญหา พร้อมสรุปเป็นแนวคิดหรือหลักการทั่วไป ขั้นตอนที่ 1-5 เป็นขั้นตอนภายในกระบวนการกลุ่มในห้องเรียน ขั้นตอนที่ 6 เป็นกิจกรรมของ ผู้เรียนรายบุคคลนอกห้องเรียน และขั้นตอนที่ 7 เป็นกิจกรรมที่กลับมาในกระบวนกลุ่มอีกครั้ง 1.5 การเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือวิธีวิจัย (Research-based Learning) การเรียนรู้ที่เน้นการวิจัยถือได้ว่าเป็นหัวใจของบัณฑิตศึกษา เพราะเป็นการเรียนที่เน้นการแสวงหาความรู้ด้วย ตนเองของผู้เรียนโดยตรง เป็นการพัฒนากระบวนการแสวงหาความรู้ และการทดสอบความสามารถทางการเรียนรู้ ด้วยตนเองของผู้เรียน ซึ่ง สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเติม (2540) ได้เสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ การวิจัยเป็นฐานไว้ 4 รูปแบบ ดังนี้ 1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย คือการให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทำวิจัยในระดับ ต่างๆ เช่น การทำการทดลองในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ การศึกษารายกรณี (Case Study) การทำโครงงาน การทำวิจัยเอกสาร การทำวิจัยฉบับจิ๋ว (Baby Research) การทำวิทยานิพนธ์ เป็นต้น 2) การสอนโดยให้ผู้เรียนร่วมทำโครงการวิจัยกับอาจารย์หรือเป็นผู้ช่วยในโครงการวิจัย (Under Study Concept) ในกรณีนี้ผู้สอนต้องเตรียมโครงการวิจัยไว้รองรับเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ทำวิจัย เช่น ร่วมเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะมีข้อเสียที่ผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้กระบวนการทำวิจัย ครบถ้วนทุกขั้นตอน 3) การสอนโดยให้ผู้เรียนศึกษางานวิจัย เพื่อเรียนรู้องค์ความรู้ หลักการและทฤษฎีที่ใช้ใน การวิจัยเรื่องนั้นๆ วิธีการตั้งโจทย์ปัญหา วิธีการแก้ปัญหา ผลการวิจัย และการนำผลการวิจัยไปใช้และศึกษาต่อไป ทำให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการทำวิจัยมากขึ้น 4) การสอนโดยใช้ผลการวิจัยประกอบการสอน เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้ว่า ทฤษฎี ข้อความรู้ใหม่ๆ ในศาสตร์ของตนในปัจจุบันเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างศรัทธาต่อผู้สอนรวมทั้งทำให้ ผู้สอนไม่เกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องสอนเนื้อหาเดิมๆ ทุกปี 2. กระบวนการเรียนรู้ผ่านการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์เพราะการสื่อสารเป็นกระบวนการส่งหรือ ถ่ายทอดเรื่องราว ข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ เหตุการณ์ ต่าง ๆ จากผู้สอนยังไปผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ดังนี้
56 2.1 การฝึกทักษะในการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) โดยใช้เทคนิค สุนทรียสนทนา (Dialogue) เป็นการฝึกทักษะการฟังอย่างลึกซึ้งทำให้รู้จักตนเองมากขึ้น ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังผู้อื่นพูดอย่างตั้งใจ ฟังให้มาก พูดให้น้อยลง ไม่พูดแทรกขณะอีกฝ่ายกำลังพูด ทำให้ฟังและได้ยินมากขึ้น เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานหรือการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี 2.2 การฝึกทักษะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค Communities of Practice หรือ CoP ซึ่งเป็นการดึงความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลออกมา เพื่อแลกเปลี่ยนและทำให้เกิดการเรียนรู้ 2.3 การฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม เรียนรู้แบบกลุ่ม ปฏิบัติงานกลุ่ม เป็นวิธีสอนที่ครูมอบหมาย ให้นักเรียนทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม ร่วมมือกันศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหาหรือปฏิบัติกิจกรรมตาม ความสามารถ ความถนัด หรือความสนใจ เป็นการฝึกให้นักเรียนทางานร่วมกันตามวิธีแห่งประชาธิปไตย 2.4 การฝึกทักษะการใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร ใช้เทคโนโลยีเพื่อวิจัย จัดระบบ ประเมิน และ สื่อสารสารสนเทศ ใช้เครื่องมือสื่อสาร เชื่อมโยงเครือข่าย (คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นมีเดีย ฯลฯ) และ social network อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อเข้าถึง (access) จัดการ (manage) ผสมผสาน (integrate) ประเมิน (evaluate) และสร้าง (create) สารสนเทศ เพื่อทำหน้าที่ในเศรษฐกิจฐานความรู้ปฏิบัติตามคุณธรรมและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 3. การเรียนรู้แบบขั้นบันได (IS) กระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุผลตามที่คาดหวังนั้น มีมากมายหลายวิธี กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจที่ครูสามารถนำไปปรับใช้ ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามบริบทและธรรมชาติของวิชา โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ มีขั้นตอนดังนี้ ขั้น L1 การตั้งประเด็นคำถาม/สมมติฐาน (Learning to Question) เป็นการฝึกให้ผู้เรียน รู้จักคิด สังเกต ตั้งข้อสงสัย ตั้งคำถามอย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ ขั้น L2 การสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้และสารสนเทศ (Learning to Search) เป็นการฝึก แสวงหาความรู้ ข้อมูล และสารสนเทศ จากแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลาย เช่น ห้องสมุด อินเตอร์เน็ตหรือจากการ ปฏิบัติทดลอง เป็นต้น ขั้น L3 การสรุปองค์ความรู้ (Learning to Construct) เป็นการฝึกนำความรู้และสารสนเทศ หรือข้อมูลที่ได้จากการอภิปราย การทดลอง มาคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปเป็นองค์ความรู้ ขั้น L4 การสื่อสารและการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ (Learning to Communicate) เป็นการฝึกให้ความรู้ที่ได้มานำเสนอและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดความเข้าใจ ขั้น L5 การบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Learning to Serve) เป็นการนำความรู้สู่การปฏิบัติ ซึ่งผู้เรียนจะต้องมีความรู้ในบริบทรอบตัวและบริบทโลกตามวุฒิภาวะที่เหมาะสม โดยจะนำองค์ความรู้ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ จะเห็นได้ว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ครูต้องยึดความสมดุลจึงจะส่งผลให้การจัดการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป้าหมายการเรียนในศตวรรษที่ 21 คือ การปูพื้นฐาน ความรู้
57 และทักษะสำหรับการมีชีวิตที่ดีในภายหน้า ลักษณะของการเรียนรู้จึงเป็นสมดุลระหว่างคุณลักษณะในตารางฝั่งซ้าย และขวา 15 ประการ ดังนี้ ขึ้นกับครู/ครูเป็นตัวตั้ง(Teacher-directed) เด็กเป็นหลัก (Leaner-centered) สอน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ ทักษะ เนื้อหา กระบวนการ ทักษะพื้นฐาน ทักษะประยุกต์ ข้อความจริงและหลักการ คำถามและปัญหา ทฤษฎี ปฏิบัติ หลักสูตร โครงการ ช่วงเวลา ความต้องการ เหมือนกันทั้งห้อง (One-size-fits-all) เหมาะสมรายบุคคล (Personalized) แข่งขัน ร่วมมือ ห้องเรียน ชุมชนทั่วโลก ตามตำรา ใช้เว็บ สอบความรู้ ทดสอบการเรียนรู้ เรียนเพื่อโรงเรียน เรียนเพื่อชีวิต จากตารางข้างต้นครูต้องใช้ทั้งแนวทางฝั่งขวาและฝั่งซ้ายอย่างสมดุล คือ ต้องยึดถือแนวทาง both-and (ไม่ใช่ either - or) ซึ่งเป็นแนวทางของระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว ยิ่งนับวันสมดุลนี้ จะให้น้ำหนัก ซีกขวามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปสมองเด็กก็เปลี่ยนด้วย สาหรับพลังการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ งานที่เน้นความรู้ เครื่องมือดิจิตัล วิถีชีวิต ผลการวิจัยด้านการเรียนรู้ และความต้องการทักษะในการ ดำรงชีวิตสมัยใหม่ ได้แก่ การแก้ปัญหา ความสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร การร่วมมือความยืดหยุ่น และอื่นๆ พลังเหล่านี้เรียกร้องให้การเรียนรู้ในโรงเรียนต้องให้น้ำหนักซีกขวามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นครูต้องเรียนรู้ ทดลองวิธีปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลา โดยครูกับครูจะต้องมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมกันเป็นชุมชนการเรียนรู้ ครูเพื่อศิษย์ เพื่อที่ครูจะได้ไม่เดียวดาย มีเพื่อนร่วมทาง ร่วมอุดมการณ์ ร่วมเรียนรู้และบากบั่น จะเห็นได้ว่า การเรียนรู้แบบใฝ่รู้กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มีแนวคิดและลักษณะของการจัดการ เรียนรู้คล้ายกัน นั่นคือ ต้องมีความสัมพันธ์ มีขั้นตอนและกระบวนการที่เป็นลำดับ ที่ผู้เรียนสามารถมีส่วนร่วมกับ การเรียนการสอนได้ เช่น การกำหนดปัญหาที่ผู้เรียนสนใจ การทำกิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์และ สามารถบูรณาการกับรายวิชาอื่นๆ ได้ด้วยตนเอง และการสอนที่ถือว่ามีประสิทธิภาพนั้น ครูต้องมีคุณสมบัติ มากกว่าการเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สอน (Instructor) ครูต้องมีลักษณะของผู้ที่สามารถชี้แนะการเรียนรู้ (Learning Coaching) และสามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำนักเรียนท่องเที่ยวไปสู่โลกแห่งการเรียนรู้ได้(Learning Travel Agent) ซึ่งบทบาทของครูจากยุคสมัยก่อนจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อก้าวสู่ยุคแห่งศตวรรษที่ 21 เนื่องจากครูในโลก
58 ยุคใหม่ต้องมีความรอบรู้มากกว่าการเป็นผู้ดูแลรายวิชาที่สอนเท่านั้น แต่ครูมีบทบาทของการเพิ่มพูนความรู้แก่ นักเรียน เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งไอซีทีได้เข้ามามีบทบาททางการศึกษาและเป็นส่วน หนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก ไอซีทีในปัจจุบันจึงไม่ใช่เป็นเพียงแหล่งข้อมูลข่าวสารเท่านั้น ครูจึงต้องคิดว่า จะบูรณาการการจัดการเรียนรู้ให้เข้ากับไอซีทีได้อย่างไร ซึ่งคุณลักษณะของครูในยุคศตวรรษที่ 21 หรือเรียกว่า eTeacher จะประกอบด้วย 9 คุณลักษณะที่ครูพึงปฏิบัติ มีดังนี้ 1. Experience คือ มีประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Internet , e-Mail การใช้ CD 2. Extended คือ มีทักษะการค้นหาความรู้ได้ตลอดเวลา เพราะ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต สามารถใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงที่ไหนก็ได้ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการหาความรู้ด้วยเทคโนโลยี 3. Expanded คือ การขยายผลของความรู้นั้นสู่นักเรียน ประชาชนทั่วไป และชุมชน สามารถถ่ายทอดความรู้ลง CD , VDO โทรทัศน์หรือบน Web เพื่อให้เกิดการเพิ่มความรู้ที่เป็นประโยชน์ของ บุคลากรโดยรวม 4. Exploration คือ สามารถเลือกเนื้อหาที่ทันสมัย เอกสารอ้างอิง ค้นคว้าทั้งสาระและบันเทิง เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำมาออกแบบการเรียนการสอน 5. Evaluation คือ เป็นนักประเมินที่ดี สามารถใช้เทคโนโลยีในการประเมินผล 6. End-User คือ เป็นผู้ใช้ปลายทางที่ดี เช่น สามารถ Browse ไป Web Site ที่มีคุณค่า บนอินเทอร์เน็ตและเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างหลากหลาย 7. Enabler คือ สามารถใช้เทคโนโลยีสร้างบทเรียน และเนื้อหาเพิ่มเติมมาใช้ในการประกอบการเรียน การสอน สามารถใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์มาสร้างบทเรียน อย่างน้อยที่สุดก็สามารถสร้างการนำเสนอเนื้อหาด้วย Power Point เป็นการจูงใจให้นักเรียนสนใจในการเรียนมากขึ้น หรือการใช้ Authoring tool ต่างๆ มาสร้าง บทเรียนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ 8. Engagement คือ ครูที่ร่วมมือกันแลกเปลี่ยนความเห็น หาแนวร่วม เพื่อให้เกิดชุมชน เช่น การคุย กันบน Web ทำให้มีความคิดใหม่ๆ มีข้อเสนอแนะ เกิดชุมชนครูบน Web 9. Efficient and Effective คือ ครูที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จะต้องเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีได้ อย่างคล่องแคล่ว เป็นผู้ผลิต ผู้กระจาย และผู้ใช้ความรู้ การศึกษาที่ดีสำหรับคนยุคใหม่และมีคุณภาพ จะต้องเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ของศิษย์ไปอย่างสิ้นเชิง และบทบาทของครูอาจารย์ก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ครูที่รักศิษย์ เอาใจใส่ศิษย์ แต่ยังใช้วิธีสอนแบบเดิมๆ จะไม่ใช่ครูที่ทำประโยชน์แก่ศิษย์อย่างแท้จริง กล่าวคือ ครูที่มีใจแก่ศิษย์ยังไม่พอ ครูเพื่อศิษย์ต้องเปลี่ยนจุดสนใจ หรือจุดเน้นจากการสอน ไปเป็นเน้นที่การเรียน (ทั้งของศิษย์ และของตนเอง) ต้องเรียนรู้และปรับปรุงรูปแบบการ เรียนรู้ที่ตนจัดให้แก่ศิษย์ด้วย ครูเพื่อศิษย์ต้องเปลี่ยนบทบาทของตนเองจาก“ครูสอน”(Teacher) ไปเป็น “ครูฝึก” (Coach) หรือ “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้” (Learning Facilitator) และต้องเรียนรู้ทักษะในการทำหน้าที่
59 นี้ โดยรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องที่เรียกว่า PLC (Professional Learning Community) การนิเทศเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก่ (Active Learning) กรอบแนวคิดการนิเทศ่ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้ ประยุกต์ใช้ทักษะ เชื่อมโยงและ สร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาหรือ ประกอบอาชีพใน อนาคต สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มีทักษะการคิดเชิงระบบ และพัฒนา ตนเองเต็มความสามารถโดยในหลักการจัดการเรียนการสอนนั้น ครูต้องลดบทบาทในการ สอนและการให้ ข้อความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรง แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดความกระตือรือร้นในการจะ ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น และอย่างหลากหลาย จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมอภิปราย มีโอกาสฝึกทักษะการสื่อสาร มีการนำเสนองานทางวิชาการ เรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง รวมทั้งมีการฝึกปฏิบัติใน สภาพจริง มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ต่างๆ จนเกิดเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful Learning) การนิเทศการศึกษา การนิเทศการศึกษาเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการให้คำแนะนำ ปรับปรุง และพัฒนาบุคลากรให้มี ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ดังนั้น การดำเนินการนิเทศการศึกษาหรือการนิเทศการสอน จึงมี ความสำคัญ ดังที่ วัชรา เล่าเรียนดี (2555: 3) ได้กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาต้องเป็นความร่วมมือกัน ของบุคลากรทุกฝ่าย เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ คุณภาพการศึกษาและคุณภาพผู้เรียน ซึ่งผู้ศึกษาจะนำเสนอเนื้อหา สาระดังนี้ ความหมายการนิเทศการศึกษา มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย และเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษาไว้ ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540: 1) ได้ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษา ไว้ว่า การนิเทศการศึกษา คือ การที่ผู้นิเทศใช้กระบวนการกระตุ้น ยั่วยุ ท้าทาย ริเริ่มร่วมคิด ร่วมทำ สนับสนุน ให้มี การพัฒนาคุณภาพของนักเรียนตามความจำเป็นของการพัฒนาโดยผ่านครูและผู้บริหารโรงเรียน ชาญชัย อาจินสมาจาร (2547: 7) ได้สรุปความหมายของการนิเทศการเรียนการสอนว่าเป็นกระบวนของ การทำงานกับครูเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนในชั้นเรียนเพื่อให้มีประสิทธิผล ผู้นิเทศต้องใช้ความรู้ของการจัด องค์กร ภาวะผู้นำ การสื่อความหมายและหลักการสอน ในขณะที่เขาทำงานกับครูในชั้นเรียนและปรับปรุงการเรียน การสอนโดยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน อัญชลี โพธิ์ทอง (2549: 66) ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษา หมายถึง การชี้แจง การแสดง หรือ การจำแนกเกี่ยวกับการเล่าเรียน การฝึกฝน และการอบรม
60 วัชรา เล่าเรียนดี (2556: 3) ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ว่า เป็นกระบวนการปฏิบัติงาน ร่วมกันระหว่างผู้ให้การนิเทศหรือผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ เพื่อที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษา และการจัดการเรียนการสอนของครูเพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิผลในการเรียนของ นักเรียน แฮร์ริส (1985: 10 - 12) ได้กล่าวว่าการนิเทศการศึกษา คือ การกระทำใด ๆ ที่บุคลากรในโรงเรียน กระทำต่อนักเรียนและสิ่งต่าง ๆ ในโรงเรียน เพื่อรักษามาตรฐานหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนการสอนภายใต้ ระเบียบแบบแผน อำนวยความสะดวกแก่การสอนให้พัฒนายิ่งขึ้น และมุ่งให้เกิดประสิทธิผลในด้านการสอนเป็น สำคัญ จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า การนิเทศการศึกษามีเป้าหมายหลัก คือ คุณภาพการศึกษาที่มีตัวบ่งชี้ ที่สำคัญ คือ ศักยภาพของนักเรียนที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครูและ ผู้ทำหน้าที่นิเทศ เช่น ผู้บริหาร ครูวิชาการ ศึกษานิเทศก์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง มีการกำหนดวัตถุประสงค์และ ขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของครู ที่ส่งผล ถึงการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนเป็นสำคัญ หลักการนิเทศการศึกษา การนิเทศการศึกษาที่ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยหลักการที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและ ยุคสมัย ซึ่งได้มีนักการนิเทศการศึกษาหลายท่าน เสนอไว้ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2543: 9) กล่าวถึงการนิเทศการศึกษาที่มี ประสิทธิภาพ จะต้องอาศัยหลักการต่าง ๆ ดังนี้ 1. หลักการผู้นำ (Leadership) คือ การโน้มน้าวให้บุคคลทำกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มเป็นไปตาม เป้าประสงค์ 2. หลักความร่วมมือ (Cooperation) คือ การกระทำร่วมกันและรวมพลังทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหา ด้วยกัน โดยยอมรับและยกย่องผลของความร่วมมือในการปรับปรุงการเรียนการสอนจากหลายฝ่ายและทำหน้าที่ ความรับผิดชอบชัดแจ้งในการจัดองค์การการประเมินผล ตลอดจนการประสานงาน 3. หลักการเห็นใจ (Considerateness) คือ การนิเทศการศึกษาจะต้องคำนึงถึงบุคคลที่ร่วมงานด้วย ความเห็นใจ จะทำให้ตระหนักคุณค่าของมนุษยสัมพันธ์ 4. หลักการสร้างสรรค์ (Creativity) คือ การนิเทศการศึกษาจะต้องให้ครูเกิดพลังคิดริเริ่มสิ่งใหม่ หรือ ทำงานด้วยตนเองได้ 5. หลักการบูรณาการ (Integration) เป็นกระบวนการซึ่งรวมสิ่งต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายให้สมบูรณ์ มองเห็นได้ 6. หลักการมุ่งชุมชน (Community) เป็นการแสวงหาปัจจัยที่สำคัญในชุมชนและการปรับปรุงปัจจัย เหล่านั้นเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น 7. หลักการวางแผน (Planning) หมายถึง กระบวนการวิเคราะห์ซึ่งเกี่ยวกับการแสวงผลในอนาคต การกำหนดจุดประสงค์ที่ต้องการล่วงหน้า การพัฒนาทางเลือกเพื่อปฏิบัติให้บรรลุถึงจุดประสงค์และการเลือกทาง ปฏิบัติให้เหมาะสมที่สุด
61 8. หลักการยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ความสามารถที่จะถูกปรับเปลี่ยนได้และพร้อมอยู่เสมอที่ จะสนองความต้องการต่อสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป 9. หลักการวัตถุวิสัย (Objectivity) หมายถึง คุณภาพที่เป็นผลมาจากหลักฐานตามสภาพความจริง มากกว่าความเห็นส่วนบุคคล 10. หลักการประเมิน (Evaluation) หมายถึง การหาความจริงโดยการวัดที่แน่นอน และใช้หลายๆ วิธีการ สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดเชียงราย (2545: 3) กล่าวถึง หลักการนิเทศการศึกษาไว้ดังนี้ 1. ถูกต้องตามหลักวิชาการ การนิเทศการศึกษาที่ดีควรจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์และนโยบายที่วาง ไว้ควรเป็นไปตามความจริงและกฎเกณฑ์ที่แน่นอน 2. เป็นวิทยาศาสตร์ การนิเทศการศึกษาควรเป็นไปอย่างมีระเบียบมีการปรับปรุงและประเมินผล การนิเทศควรมาจากการรวบรวมข้อมูลและการสรุปผลอย่างมีประสิทธิภาพเป็นที่น่าเชื่อถือ 3. เป็นประชาธิปไตย การนิเทศการศึกษาจะต้องเคารพในความแตกต่างของบุคคล เน้นความร่วมมือ ร่วมใจกันในการดำเนินงาน และใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานเพื่อให้งานนั้นไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ 4. เป็นการสร้างสรรค์ การนิเทศการศึกษาควรเป็นการแสวงหาความสามารถพิเศษของบุคคล แล้วเปิดโอกาสให้ได้แสดงออกและพัฒนาความสามารถเหล่านั้นอย่างเต็มที่ 5. มุ่งสร้างเสริมความเชื่อมั่นในความสามารถของครูและนำ ไปสู่การเพิ่มพูนประสิทธิภาพใน การทำงานของครูให้สูงขึ้น 6. ตั้งอยู่บนรากฐานของการมุ่งพัฒนาวิชาชีพ มากกว่าที่จะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 7. มุ่งสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง กระตุ้นให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันและช่วยให้ครูเกิดความรู้สึก ว่าพบวิธีที่ดีกว่าเดิมในการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ 8. จุดมุ่งหมายสูงสุดของการนิเทศการศึกษา คือมุ่งหาทางช่วยให้เด็กเกิดความรู้ความสามารถตาม ความมุ่งหมายของการศึกษา วินัย เกษมเศรษฐ์ (มปป.: 2 – 3) ได้กล่าวไว้ว่า การนิเทศการศึกษาที่มีประสิทธิภาพจะต้องอาศัย หลักการต่าง ๆ ดังนี้ 1. หลักสภาพผู้นำ (Leadership) คือ การใช้อิทธิพลของบุคคลที่จะทำให้กิจกรรมต่างๆ ของกลุ่ม เป็นไปตามเป้าประสงค์ 2. หลักความร่วมมือ (Cooperation) คือ การกระทำร่วมกัน และรวมพลังทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหา ด้วยกัน โดยยอมรับและยกย่องผลของความร่วมมือในการปรับปรุงการเรียนการสอนจากหลายฝ่าย และทำหน้าที่ และความรับผิดชอบชัดแจ้งในการจัดองค์การ การประเมินผล ตลอดจนการประสานงาน 3. หลักการเห็นใจ (Considerateness) คือ การนิเทศการศึกษาจะต้องคำนึงถึงตัวบุคคลที่ร่วมงาน ด้วยการเห็นใจ จะทำให้ตระหนักในคุณค่าของมนุษยสัมพันธ์ 4. หลักการสร้างสรรค์ (Creativity) คือการนิเทศการศึกษา จะต้องทำให้ครูเกิดพลังที่จะคิดเริ่มสิ่ง ใหม่ๆ แปลกๆ หรือทำงานด้วยตนเองได้ 5. หลักการบูรณาการ (Integration) เป็นกระบวนการซึ่งรวมสิ่งกระจัดกระจายให้สมบูรณ์มองเห็นได้
62 6. หลักการมุ่งชุมชน (Community) เป็นการแสวงหาปัจจัยที่ส าคัญในชุมชน และการปรับปรุงปัจจัย เหล่านั้น เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น 7. หลักการวางแผน (Planning) หมายถึง กระบวนการวิเคราะห์ซึ่งเกี่ยวกับการแสวงผลในอนาคต การกำหนดจุดประสงค์ที่ต้องการล่วงหน้า การพัฒนาทางเลือกเพื่อปฏิบัติให้บรรลุถึงจุดประสงค์และการเลือกทาง ปฏิบัติให้เหมาะสมที่สุด 8. หลักการยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ความสามารถที่จะถูกเปลี่ยนแปลงได้ และพร้อมอยู่เสมอ ที่จะสนองความต้องการสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป 9. หลักวัตถุวิสัย (Objectivity) หมายถึง คุณภาพที่เป็นผลจากหลักฐานตามสภาพความจริงมากกว่า ความเห็นบุคคล 10. หลักการประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การหาความจริงโดยการวัดที่แน่นอน และหลาย อย่าง จากที่เสนอมาแล้วนั้น พอจะสรุปได้ว่า หลักการนิเทศมีเป้าหมายอยู่ที่คุณภาพของนักเรียน โดย ดำเนินการผ่านตัวกลางคือครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิบัติงาน ควรมีความถูกต้องเป็นจริง มีจุดมุ่งหมาย นโยบายที่แน่นอน ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งประชาธิปไตย กระบวนการนิเทศนั้นควรเป็นวิทยาศาสตร์ มีการรวบรวม และสรุปผลการดำเนินงานรวมถึงข้อมูลต่าง ๆ อย่างถูกต้อง เชื่อถือได้ กิจกรรมการนิเทศการศึกษา กิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการนิเทศการศึกษา เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการปฏิบัติงานของ ครู ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินการนิเทศบรรลุเป้าหมาย กิจกรรมการนิเทศมีมากมาย ซึ่งผู้นิเทศสามารถเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของการนิเทศแต่ละครั้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ครูและนักเรียน (Harris, 1985: 71 – 86, อ้างถึงในวัชรา เล่าเรียนดี, 2555: 13 - 16; และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2553: 15 – 51) ได้เสนอกิจกรรมการนิเทศไว้สอดคล้องกัน ดังนี้ 1. การบรรยาย (Lecturing) เป็นกิจกรรมที่เน้นการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจของผู้นิเทศไปสู่รับการ นิเทศ ใช้เพียงการพูดและการฟังเท่านั้น 2. การบรรยายโดยใช้สื่อประกอบ (Visualized Lecturing) เป็นการบรรยายที่ใช้สื่อเข้ามาช่วย เช่น สไลด์ แผนภูมิ แผนภาพ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฟังมีความสนใจมากยิ่งขึ้น 3. การบรรยายเป็นกลุ่ม (Panel presenting) เป็นกิจกรรมการให้ข้อมูลเป็นกลุ่มที่มีจุดเน้นที่การให้ ข้อมูลตามแนวความคิดหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 4. การให้ดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ (Viewing film and television) เป็นการใช้เครื่องมือที่สื่อทาง สายตา ได้แก่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิดีโอเทป เพื่อทำให้ผู้รับการนิเทศได้รับความรู้และเกิดความสนใจมากขึ้น 5. การฟังคำบรรยายจากเทป วิทยุ และเครื่องบันทึกเสียง (Listening to tape, radio recordings) กิจกรรมนี้เป็นการใช้เครื่องบันทึกเพื่อนำเสนอแนวความคิดของบุคคลหนึ่งไปสู่ผู้ฟังคนอื่น 6. การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ (Exhibiting materials and equipments) เป็นกิจกรรมที่ช่วยในการฝึกอบรมหรือเป็นกิจกรรมสำหรับงานพัฒนาสื่อต่างๆ
63 7. การสังเกตในชั้นเรียน (Observing in classroom) เป็นกิจกรรมที่ทำการสังเกตการปฏิบัติงานใน สถานการณ์จริงของบุคลากร เพื่อวิเคราะห์สภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งจะช่วยให้ทราบจุดหรือจุดบกพร่อง ของบุคลากรเพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานและใช้ในการพัฒนาบุคลากร 8. การสาธิต (Demonstrating) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ที่มุ่งให้ผู้อื่นเห็นกระบวนการและวิธีการ ดำเนินการ 9. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interviewing) เป็นกิจกรรมสัมภาษณ์ที่กำหนด จุดประสงค์ชัดเจนเพื่อให้ได้ข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ 10. การสัมภาษณ์เฉพาะเรื่อง (Focused interviewing) เป็นกิจกรรมการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยจะทำการสัมภาษณ์เฉพาะโรงเรียนที่ผู้ตอบมีความสามารถจะตอบได้เท่านั้น 11. การสัมภาษณ์แบบไม่ชี้นำ (Non-directive interview) เป็นการพูดคุยและอภิปรายหรือการแสดง แนวความคิดของบุคคลที่สนทนาด้วย ลักษณะการของการสัมภาษณ์จะสนใจกับปัญหา และความสนใจของผู้รับ การสัมภาษณ์ 12. การอภิปราย (Discussing) เป็นกิจกรรมที่ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งเหมาะสมกับ กลุ่มขนาดเล็ก มักใช้ร่วมกับกิจกรรมอื่น ๆ 13. การอ่าน (Reading) เป็นกิจกรรมที่ใช้มากกิจกรรมหนึ่ง สามารถใช้ได้กับคนจำนวนมาก เช่น การอ่านข้อความจากวารสาร มักใช้ร่วมกับกิจกรรมอื่น 14. การวิเคราะห์ข้อมูลและการคิดคำนวณ (Analyzing and calculating) เป็นกิจกรรมที่ใช้ใน การติดตามประเมินผล การวิจัยเชิงปฏิบัติการและการควบคุมประสิทธิภาพการสอน 15. การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นกิจกรรรมที่เกี่ยวข้องกับการเสนอแนวความคิดวิธีการ แก้ปัญหาหรือใช้ข้อแนะนำต่างๆ โดยให้สมาชิกแต่ละคนแสดงความคิดโดยเสรี ไม่มีการวิเคราะห์หรือวิพากษ์ วิจารณ์แต่อย่างใด 16. การบันทึกวิดีโอและการถ่ายภาพ (Videotaping and photographing) วิดีโอเทปเป็นเครื่องมือที่ แสดงให้เห็นรายละเอียดทั้งภาพและเสียง ส่วนการถ่ายภาพมีประโยชน์มากในการจัดนิทรรศการ กิจกรรมนี้มี ประโยชน์ในการประเมินผลงานและการประชาสัมพันธ์ 17. การจัดทำเครื่องมือและแบบทดสอบ (Instrumenting and testing) กิจกรรมนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ แบบทดสอบและแบบประเมินต่าง ๆ 18. การประชุมกลุ่มย่อย (Buzz session) เป็นกิจกรรมการประชุมกลุ่มเพื่ออภิปรายในหัวข้อเรื่องที่ เฉพาะเจาะจง มุ่งเน้นการปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มมากที่สุด 19. การจัดทัศนศึกษา (Field trip) กิจกรรมนี้เป็นการเดินทางไปสถานที่แห่งอื่น เพื่อศึกษาดูงานที่ สัมพันธ์กับงานที่ตนปฏิบัติ 20. การเยี่ยมเยียน (Intervisiting) เป็นกิจกรรมที่บุคคลหนึ่งไปเยี่ยมและสังเกตการทำงานของอีกบุคคล หนึ่ง 21. การแสดงบทบาทสมมติ (Role playing) เป็นกิจกรรมที่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของบุคคล กำหนดสถานการณ์ขึ้นแล้วให้ผู้ทำกิจกรรมตอบสนองหรือปฏิบัติตนเองไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น
64 22. การเขียน (Writing) เป็นกิจกรรมที่ใช้เป็นสื่อกลางในการนิเทศเกือบทุกชนิด เช่น การเขียนโครงการ นิเทศ การบันทึกข้อมูล การเขียนรายงาน การเขียนบันทึก ฯลฯ 23. การปฏิบัติตามคำแนะนำ (Guided practice) เป็นกิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติในขณะที่ปฏิบัติมีการ คอยดูแลช่วยเหลือ มักใช้กับรายบุคคลหรือกลุ่มขนาดเล็ก 24. การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เป็นการประชุมที่เน้นให้ผู้เข้าประชุมมีความรู้ความเข้าใจ และทักษะทั้งทางด้านทฤษฎีและด้านปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยสามารถนำไปพัฒนางานให้มีคุณภาพ 25. การศึกษาเอกสารทางวิชาการ เป็นการมอบหมายเอกสารให้ผู้รับการนิเทศไปศึกษาค้นคว้าเรื่องใด เรื่องหนึ่ง แล้วนำความรู้นั้นมาถ่ายทอดให้แก่คณะครู 26. การสนทนาทางวิชาการ เป็นการประชุมครูหรือกลุ่มผู้สนใจในเรื่องราว ข่าวสารเดียวกัน โดย กำหนดให้มีผู้นำสนทนาคนหนึ่ง นำสนทนาในเรื่องที่กลุ่มสนใจ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจแนวทางปฏิบัติงาน เทคนิควิธีการแก่คณะครูในสถานศึกษา 27. การสัมมนา เป็นการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ เพื่อสรุปข้อคิดเห็น และหา แนวทางในการปฏิบัติงานร่วมกัน 28. การอบรม เป็นการให้ครูเข้าศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในวิชาชีพ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ครูมีความ ตื่นตัวทางวิชาการ และนำความรู้ความสามารถที่ได้จากการอบรมไปใช้พัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ 29. การให้คำปรึกษาแนะนำ เป็นการพบปะกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ เพื่อช่วยแก้ปัญหาทั้ง ด้านส่วนตัวและการปฏิบัติงาน หรือช่วยแนะนำส่งเสริมให้การปฏิบัติงานประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น การให้ คำปรึกษาแนะนำดำ เนินการได้ทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม 30. การสังเกตการสอน เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเรียนการสอนมาสังเกต พฤติกรรมการสอนของครูในขณะที่ทำการสอน เพื่อให้ครูสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงการสอนให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้ข้อมูลย้อนกลับจากการสังเกตการสอนของผู้นิเทศ เยาวพา เดชะคุปต์ (2542: 114 - 116) ได้เสนอรูปแบบกิจกรรมการนิเทศการศึกษาตามลักษณะของ วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็น 5 ประเภท คือ 1. การนิเทศการศึกษาแบบปล่อยปละละเลย 1.1 ใช้วิธีตรวจ และประมาณค่าว่าดีเลวเพียงใด 1.2 ไม่มีการแนะแนวทางให้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น 1.3 ถ้าไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นก็ไม่เอาใจใส่ ถือว่าครูทำงานไปได้โดยราบรื่นแล้ว 1.4 ถ้าเกิดเหตุร้ายแรงก็ไล่ออกปล่อยให้ครูสอนไปตามวิธีที่ครูถนัดหรือเห็นว่าเหมาะสม 2. การนิเทศการศึกษาแบบบังคับ 2.1 มุ่งเปลี่ยนแปลงการสอนและตัวครู 2.2 มีตารางสอน และหลักสูตรวางไว้ตายตัว 2.3 ตรวจดูเสมอ ๆ ว่าปฏิบัติตามกฎ และข้อบังคับที่วางไว้ 2.4 ถ้าครูจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมก็ให้เรียนวิชาที่ผู้บังคับบัญชาเลือกให้เข้าเรียน 2.5 ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการสอนของครู คือผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ตัวครู
65 2.6 วิธีการสอนและหนังสือ ตลอดจนแนวความรู้ที่ให้เด็กเป็นไปตามแบบที่ผู้บังคับบัญชาวางไว้ ผู้สอนไม่มีหน้าที่ที่จะพิจารณาความมุ่งหมายของการสอนเพราะผู้บังคับบัญชาได้เลือกวิธีการไว้ให้แล้ว 3. การนิเทศการศึกษาแบบฝึก 3.1 ผู้นิเทศรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องฝึกอบรมครูให้สอนหรือปฏิบัติงานตามแนวที่ตน หรือผู้บังคับ บัญชาของตนวางไว้ 3.2 วิธีสอนเป็นวิธีที่ผู้นิเทศเลือกไว้แล้ว 3.3 ผู้นิเทศไม่ได้ดูตามความต้องการของครูผู้สอน แต่ดูความต้องการของสถานศึกษา หรือหน่วยงาน ศึกษานั้นเป็นใหญ่ 3.4 ผู้รับการนิเทศไม่จำเป็นต้องคิดหาวิธีของตนขึ้นใช้เอง เพราะมีวิธีการที่ได้รับฝึกจากศึกษานิเทศก์ นั้นแล้ว 4. การนิเทศการศึกษาแบบแนะแนว คือ การนิเทศการศึกษาที่ทำให้ครูเจริญงอกงาม โดยวิธีแนะแนว ทางให้ครูหาทางช่วยตัวเอง เห็นปัญหา และวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเองให้ครูได้แสดงความสามารถที่มีอยู่ และนำมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาโดยใช้หลักแนะแนวทางที่ครูทำต่อนักเรียนในชั้น เพื่อสร้างให้ผู้รับการนิเทศเจริญงอกงามให้เต็ม ความสามารถ สิ่งที่เหมือนและต่างกันระหว่างการนิเทศการศึกษาแบบฝึกหัดกับแบบแนะแนว คือ 4.1 ทั้งสองแบบนั้นเชื่อว่าผู้นิเทศ หรือผู้บังคับบัญชามีความรู้มากกว่า 4.2 แบบแนะแนวนั้นผู้นิเทศดูความต้องการของผู้รับการนิเทศด้วย แต่แบบฝึกนั้นเพ่งเล็งความ ต้องการของหน่วยงานเป็นสำคัญ 4.3 ทั้งสองแบบเพ่งเล็งตัวครู และขีดวงจำกัดแต่ในการปรับปรุงตัวครูและวิธีการสอนของครู 5. การนิเทศการศึกษาแบบผู้นำตามระบอบประชาธิปไตย คือ การนิเทศการศึกษาที่ถือหลักปฏิบัติตาม ลักษณะประชาธิปไตย คือผู้นิเทศวางตนเป็นผู้ร่วมงานดำเนินงานโดย 5.1 เคารพในสิทธิ หน้าที่ และเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ทุกคน 5.2 ร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติงาน แบ่งงานกันทำและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแก่กัน 5.3 ดำเนินวิธีการตัดสินที่จะทำอะไรหรือเว้นการกระทำสิ่งใดโดยใช้เหตุผลเป็นข้อตัดสินใช้วิธีพิสูจน์ หลักฐานและข้อเท็จจริงแห่งเหตุและผลนั้นตามหลักวิทยาศาสตร์ จากกิจกรรมการนิเทศการศึกษา สรุปได้ว่า ในการนิเทศการศึกษาแต่ละครั้ง ควรเลือกใช้กิจกรรม การนิเทศให้เหมาะสมกับสภาพและปัญหาของสถานศึกษา และให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้กิจกรรมแต่ละ ชนิดอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนิเทศ ขนาดกลุ่มของผู้รับการนิเทศ และประสบการณ์หรือ ประโยชน์ที่ผู้รับการนิเทศได้รับเป็นสำคัญ การนิเทศการจัดการเรียนรู้ การนิเทศการจัดการเรียนรู้ หรือการนิเทศการสอนเป็นเรื่องย่อย (subset) ของการนิเทศการศึกษา การนิเทศการสอนเป็นกระบวนการปรับปรุงงาน พันธกิจในชั้นเรียน และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการในโรงเรียน โดยเป็นการทำงานโดยตรงกับครูผู้สอน การนิเทศการจัดการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารงานโรงเรียน จุดมุ่งหมายจะเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนการสอน ซึ่งเป็นความคาดหวังของโรงเรียน การนิเทศการเรียนรู้ไม่ใช่ หน้าที่ของศึกษานิเทศก์เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นหน้าที่ของผู้นำในการจัดการเรียนสอนทุกคน นับตั้งแต่ผู้บริหาร
66 โรงเรียน ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน ตลอดจนครูทุกคน ซึ่งต้อง ช่วยกันรับผิดชอบเพื่อช่วยให้โรงเรียนบรรลุเป้าหมายตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ การนิเทศการจัดการเรียนรู้ ส่งเสริม ให้เกิดการพัฒนาทางวิชาชีพ ดังนี้ 1. ช่วยให้ครูเข้าใจวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา หน้าที่ของโรงเรียนในการพัฒนาการศึกษาไปสู่ วัตถุประสงค์นั้น ภารกิจของศึกษานิเทศก์ และผู้บริหาร มิใช่คอยเน้นแต่เรื่องเทคนิคและการสอน การคิดค้น ระเบียบวิธีสอนเท่านั้น หากแต่ยังต้องมุ่งเสริมสร้างความเจริญเติบโตของนักเรียนโดยรอบด้าน คือ ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ ด้านร่างกาย ด้านสังคม ด้านสุนทรียภาพ ด้านมโนภาพ และด้านสร้างสรรค์ด้วยเหมือนกัน 2. ช่วยให้ครูได้เข้าใจในความต้องการของเยาวชนและปัญหาต่างๆ ของเยาวชน และช่วยจัดสนองความ ต้องการของเยาวชนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตลอดจนช่วยแก้ไข และป้องกันภัยอันจะพึงมีแก่เยาวชน ช่วยให้ครู ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก ความต้องการของเด็กในแต่ละวัยย่อมแตกต่างกัน แนวความคิด ของเด็กและผู้ใหญ่มักจะเดินสวนทางกันเสมอ เพราะผู้ใหญ่เองก็ลืมสภาพของตน เมื่อตอนเป็นเด็ก ผู้นิเทศจะต้อง พยายามช่วยกระตุ้นเตือนให้ครูรู้จักให้กำลังใจแก่เด็กนักเรียน เข้าใจปัญหา ของเด็กวัยต่าง ๆ และเข้าใจความ ต้องการของเด็กด้วย 3. ช่วยสร้างครูให้มีคุณลักษณะเป็นผู้นำ ลักษณะผู้นำที่ดีคือช่วยเสริมสร้างความสามัคคี รู้จักทำงาน ร่วมกัน ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างบ้านกับโรงเรียน มีความรับผิดชอบมีความเพียรพยายาม ทำงานในหน้าที่ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากนี้ครูต้องมีความรู้ในเรื่องต่อไปนี้ 3.1 ปรัชญาการศึกษา วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา 3.2 หลักสูตรและประมวลการสอน 3.3 พัฒนาการของเด็กและจิตวิทยา 3.4 วิธีสอน 3.5 ประเมินผล 3.6 บริหารการศึกษาและนิเทศการศึกษา 4. ช่วยเสริมขวัญกำลังใจของครูให้เข้มแข็ง และรวมหมู่คณะให้เป็นทีม เพื่อปฏิบัติงาน ร่วมกันด้วย กำลังสติปัญญาเพื่อบรรลุจุดประสงค์เดียวกัน ขวัญและกำลังใจเป็นเรื่องของจิตใจ ด้านปรับปรุงการสอนและ ส่งเสริมความเจริญงอกงามของครู 5. ช่วยพิจารณาความเหมาะสมของงานให้ตรงกับความสามารถของครูแต่ละคน เมื่อมอบงานนั้นๆ ให้ครู ก็ควรช่วยประคับประคองให้ครูผู้นั้นใช้ความสามารถของตนปฏิบัติงานให้ก้าวหน้า ช่วยค้นหาคุณลักษณะที่ดีเด่นใน ตัวครูแล้วส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น 6. ช่วยครูให้พัฒนาการสอนของตน สนับสนุนให้ครูได้พิจารณาวิธีสอนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ว่า ตรงไหนเข้มแข็ง และตรงไหนเป็นจุดอ่อนซึ่งจะต้องแก้ไข อันอาจใช้ Check List หรือ Rating form โดยอาศัย หลักเกณฑ์วิชาหลักการสอน ส่วนการเลือกเนื้อหา การสร้างโครงการสอน การทำและการใช้อุปกรณ์ การสอน
67 ตลอดจนเครื่องมือโสตทัศนศึกษา และสื่อการสอน การใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ การให้งานและ การควบคุมนั้นมีข้อควรระวัง ดังนี้ 6.1 ไม่พยายามยัดเยียดความคิดเห็นแก่ครู ไม่พยายามฝืนให้ครูทำตามแบบที่ตนชอบ เพราะครูแต่ละ คนต่างมีความคิดเห็นเป็นของตน และมีแบบอย่างการทำงานตามแบบของตนเอง ผู้นิเทศจึงควรทำงานร่วมกับครู โดยให้ครูได้รู้จักใช้ความสามารถของตนเองเป็นสำคัญ 6.2 หลีกเลี่ยงการกรอกคำแนะนำจำนวนมากในการพัฒนาปรับปรุงการสอน จนครูรับไม่ไหว คือ ทั้งมากและยาก 7. ช่วยฝึกครูใหม่ให้เข้าใจงานในโรงเรียน และงานอาชีพครู ครูใหม่แม้จะได้รับการฝึกอบรม ทางวิชาการ มาเป็นอย่างดี แต่ยังขาดประสบการณ์ในงานธุรการต่างๆ การช่วยฝึกครูใหม่ อาจจะทำก่อนโรงเรียนเปิด ทั้งด้าน ธุรการ และการปกครองชั้น รวมทั้งด้านสังคมและการทำงานร่วมกัน 8. ช่วยประเมินผลงานของครู โดยอาศัยความเจริญงอกงามของเด็กไปตามแนวทางที่ได้ตกลงกันไว้ การประเมินผลงานของครูมีหลักเกณฑ์ เช่น บันทึกการสังเกตหรือสังเกตในเวลาที่ครูเข้าประชุม หลักฐานการแสดง ความคิดริเริ่ม การวางตน ความขยันหมั่นเพียร ทัศนคติปริมาณ และคุณภาพของงาน เป็น ต้นแบบให้ครูวัดตนเอง หรือนักเรียนวัดครูในด้านการสอนความมุ่งหมายในการวัดผลเพื่อจะได้ทราบว่า 8.1 อะไรบ้างที่ก้าวหน้า และก้าวหน้าไปในระยะใด 8.2 อะไรบ้างที่หยุดนิ่ง 8.3 อะไรบ้างที่ถอยหลัง ทั้งข้อ 8.2 และ 8.3 น ามาวิเคราะห์มูลเหตุ หาทางแก้ไข แต่ละมูลเหตุเพื่อให้การเรียนรู้ของนักเรียน ดีขึ้น ตามลำดับ 9. เพื่อช่วยครูค้นหาปัญหาในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน ช่วยครูวางแผนการสอนให้เหมาะสมในการสอน ครั้งหนึ่งๆ การเรียนรู้ของเด็กในวิชาเดียวกัน ครูสอนอย่างเดียวกัน การเรียนรู้ย่อมแตกต่างกันเป็นคนๆ ไป เด็กที่ เรียนรู้ได้น้อยกว่าเด็กส่วนมากนั้นเป็นเพราะอะไร ครูบางคนมองหาจุดแตกต่างนี้ไม่พบ หรือบางทีก็ปล่อยปัญหา ของเด็กผ่านไปโดยไม่คิดจะหาวิธีแก้ไข สิ่งนี้ผู้นิเทศต้องช่วยครูร่วมกันวางแผนการสอนและแก้ไขปัญหาให้เหมาะสม 10. ช่วยในด้านประชาสัมพันธ์ บอกเล่าและชี้แจงให้ชุมชนและท้องถิ่นทราบถึงความเคลื่อนไหวของ การศึกษาที่โรงเรียนได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้สร้างความเข้าใจ และให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือโรงเรียน การประชาสัมพันธ์อาจจะเป็นได้ทั้งการติดต่อเป็นส่วนตัว การเยี่ยมเยียน การกีฬา อาศัยวัด (พระ) การจัดตั้ง สมาคมครู-ผู้ปกครอง จัดปาฐกถา ห้องสมุดประชาชนเมื่อชุมชนเข้าใจกิจกรรมต่างๆ ที่ โรงเรียนจัดขึ้น เพื่อความ เจริญงอกงามของบุตรหลานแล้ว ก็จะเกิดศรัทธา ให้ความร่วมมือทั้งกำลังใจ กำลังกาย และกำลังทรัพย์ 11. ช่วยป้องกันครูให้พ้นจากการถูกใช้งานจนเกินขอบเขต และช่วยป้องกันครูจากการถูกตำหนิติเตียน หรือถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม หน้าที่ของครูนอกจากหน้าที่ทางการสอนแล้ว ยังจะต้องให้ ความช่วยเหลืองาน อื่น ๆ หากการทำงานนั้นโดยสมัครใจก็ไม่สู้มีปัญหา ถึงกระนั้นก็อาจทำให้เสียเวลาที่จะปฏิบัติงานสอนเด็กและ ทรุดโทรมทั้งกำลังวังชา ทำให้การทำงานประจำคือ งานสอนพลอยบกพร่องไปด้วย
68 การนิเทศการเรียนรู้มีความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาครู โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ ดังนี้ 1. การส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทางอาชีพ ได้แก่ 1.1 การประชุมต่างๆ การจัดอบรม สัมมนา และจัด Workshop 1.2 การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ครูได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์ในด้านวิชาการและส่งเสริมให้เกิดการ แลกเปลี่ยนความคิดทางการศึกษา 1.3 การไปเยี่ยมชมสถาบันอื่นๆ และศูนย์ฝึกทดลองต่างๆ 1.4 ทำการทดลองหลักสูตร หนังสือเรียน และวิธีสอน 2. การส่งเสริมความก้าวหน้าในการพัฒนาอาชีพของครู ได้แก่ 2.1 ให้ครูได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ 2.2 ให้ทดลองกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้สนใจอยากจะทำ 2.3 ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาชีพ (Professional Association) เพื่อส่งเสริมให้ครูสนใจในกิจกรรมของสมาคมอาชีพครูเหล่านั้น ทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ 2.4 ส่งเสริมครูที่มีความสามารถพิเศษในทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ 3. การปรับปรุง พัฒนาคุณภาพการสอนของครู ได้แก่ 3.1 พิจารณาคัดเลือกครูที่มีคุณภาพเข้าทำการสอน 3.2 มอบหมายงานที่ตรงกับความสามารถของครู 3.3 ทำการสาธิตการสอนที่ดีให้แก่ครู 3.4 จัดให้มีโอกาสได้สังเกตการสอน ประชุม สัมมนา เพื่อศึกษาปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการสอน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนครูและสังเกตการสอนระหว่างโรงเรียน จุดมุ่งหมายปลายทางของการนิเทศการจัดการเรียนรู้ ควรเป็นการนิเทศครูในห้องเรียนโดยตรง กระบวนการนิเทศ 1. การเตรียมการนิเทศ 1.1 สำรวจข้อมูลสารสนเทศเพื่อการนิเทศ 1) ข้อมูล สารสนเทศ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ วัสดุอุปกรณ์ ห้องสมุด รวมถึงแหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกสถานศึกษา 2) ข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (NT/O-NET) 3) ข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวกับครู เช่น จำนวนครู คุณวุฒิการศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ รายวิชา ที่สอน ผลงานทางวิชาการ การจัดแผนการเรียน/ชั้นเรียน สื่อ อุปกรณ์การสอน แหล่งข้อมูลเรียนรู้ 4) ข้อมูลด้านการจัดการเรียนรู้ เช่น ลักษณะและวิธีการสอน ตารางสอน การมีส่วนร่วมของ นักเรียน การใช้ตำราเรียน สื่อการสอน การประเมินผลการเรียนการสอน การรายงานผลการเรียน การสอนซ่อม เสริม วิธีและการใช้เครื่องมือประเมิน
69 1.2 องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการ นิเทศติดตาม ซึ่งมีองค์ความรู้ 4 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่่1 ่นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเป้าหมายของการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก ประเด็นที่่2 การบริหารจัดการการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วย 1) สารสนเทศด้านการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และนวัตกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) รูปแบบ/วิธีการ/กระบวนการ/ขั้นตอน/ เทคนิค เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เชิงรุก และ 3) การส่งเสริม สนับสนุนครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ประเด็นที่่3 แนวทางการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 1) การเลือกกิจกรรม รูปแบบ วิธีการที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อบูรณาการใน แผนการเรียนรู้ โดยใช้ สื่อ เทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นผู้เรียนอย่างเหมาะสม 2) การเสริมสร้างสมรรถนะและทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะ วิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ 3) การวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ประเด็นที่่4 การสังเกตชั้นเรียน ประเด็นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2. การวางแผนการนิเทศ การวางแผนการนิเทศเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) มีดังนี้ 2.1 ประชุมผู้เกี่ยวข้อง เช่น ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ ของโรงเรียน และครูผู้สอน 2.2 จัดทำปฏิทินการนิเทศ แผนการนิเทศ สื่อ เครื่องมือนิเทศ 2.3 ดำเนินการนิเทศ โดยใช้เทคนิคการนิเทศหลากหลาย เช่น เทคนิคการนิเทศตามสถานการณ์ เทคนิคการนิเทศแบบชี้แนะสะท้อนคิดและเป็นพี่เลี้ยง (Reflective Coaching and Mentoring) เทคนิคการนิเทศ แบบสนทนากลุ่ม เทคนิคการสอนแนะ (Coaching Techniques) เทคนิคการนิเทศแบบกัลยาณมิตร 2.4 กำหนดระยะเวลานิเทศ ภาคเรียนละ 2 ครั้ง หรือตามความเหมาะสม 3. การดำเนินการนิเทศ เริ่มด้วยการเตรียมความพร้อม พัฒนา สร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ ตามหลักการสำคัญในการนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน
70 ของครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3 โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE บูรณาการร่วมกับ NKP1 TAG TEAM กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE สงัด อุทรานันท์ (อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2555: 20 - 21) เสนอกระบวนการนิเทศการศึกษาที่เห็นว่า สอดคล้องกับสังคมไทย 5 ขั้นตอน ซึ่งเรียกกันว่า “PIDRE” คือ 1. การวางแผนการนิเทศ (Planning – P) เป็นขั้นตอนที่ผู้บริหาร ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศ จะทำการ ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อให้ได้มาซึ่งปัญหาและความต้องการจำเป็นที่จะต้องมีการนิเทศ รวมทั้งวางแผนถึงขั้นตอน การปฏิบัติเกี่ยวกับการนิเทศที่จัดขึ้น 2. ให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Informing – I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะ ดำเนินการว่าจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอนในการดำเนินงานอย่างไร และจะ ดำเนินการอย่างไรถึงจะให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ขั้นตอนนี้จำเป็นทุกครั้งสำหรับการเริ่มการนิเทศที่จัดขึ้น ใหม่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม และมีความจำเป็นสำหรับงานนิเทศที่ยังเป็นไปอย่างไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ถึงขั้นที่ พอใจ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องทบทวนให้ความรู้ในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง 3. การดำเนินการนิเทศ (Doing – D) ประกอบด้วยการปฏิบัติงาน 3 ลักษณะ คือ การปฏิบัติงานของ ผู้รับการนิเทศ การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ 4. การสร้างเสริมกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ (Reinforcing – R) เป็นขั้นตอนของการเสริมแรงของ ผู้บริหาร ซึ่งให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจ และบังเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานขั้นนี้อาจดำเนินไปพร้อม ๆ กับที่ผู้รับการนิเทศกำลังปฏิบัติงาน หรือ การปฏิบัติงานได้เสร็จสิ้น 5. การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating – E) เป็นขั้นตอนที่ผู้นิเทศทำการประเมินผลการดำเนินงานที่ ได้ดำเนินการผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศหากพบว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างหนึ่ง อย่างใดที่ทำให้การดำเนินงานไม่ได้ผล สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาจจะทำได้โดยการให้ ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่ปฏิบัติใหม่อีกครั้ง ในกรณีที่ผลงานที่ได้ยังไม่ถึงขั้นน่าพอใจ หรือให้ดำเนินการปรับปรุงการ ดำเนินงานทั้งหมดในกรณีที่การดำเนินงานไม่ได้ผล แต่ถ้าประเมินผลแล้วประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งไว้ และต้องการ จะดำเนินการนิเทศต่อไปก็สามารถทำได้เลยไม่ต้องให้ความรู้ในเรื่องที่ปฏิบัติอีก การดำเนินการนิเทศตาม กระบวนการจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งจนกว่าจะบรรลุตามจุดประสงค์ที่วางไว้ หรือสามารถพัฒนาผู้รับ การนิเทศได้ตามที่ต้องการ หากบรรลุผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายแล้วต้องการหยุดกระบวนการทำงาน ก็ถือว่าการ นิเทศในเรื่องนั้นได้สิ้นสุด สรุปได้ว่ากระบวนการนิเทศการศึกษา เป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องเป็นระบบ สรุปได้ว่า กระบวนการนิเทศการศึกษา คือ วิธีการทำงานอย่างมีขั้นตอน เป็นระบบเพื่อแก้ปัญหาการ จัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และพัฒนากระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล โดยการ พัฒนาครูให้เป็นครูมืออาชีพและนักเรียนมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยและ ให้ถึงขีดสุดของศักยภาพ ซึ่งจากสภาพ การปฏิบัติงานของการนิเทศในครั้งนี้ ผู้นิเทศจึงเลือกกระบวนการนิเทศแบบPIDRE มาใช้ในการนิเทศติดตามการ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในสังกัดเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 บูรณาการร่วมกับ “ NKP1 TAG TEAM” ในครั้งนี้
71 “องคกรแหงการเรียนรูมุงสูคุณภาพผูเรียน” โดยใชรูปแบบ “ NKP1 TAG TEAM” กระบวนการพัฒนาคุณภาพงานรูปแบบ TEAM ในการนิเทศการศึกษา ปีงบประมาณ 2565 -2566 กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ใช้กระบวนการพัฒนาคุณภาพงานรูปแบบ TEAM ในการนิเทศการศึกษา ผ่านการดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม ต่างๆ เพื่อสร้างคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ดังนี้ T : Training หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ส่งเสริมการ พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะในการปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่อย่างมี ประสิทธิภาพ E : Empowerment หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ส่งเสริม สนับสนุน ให้ขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรัก สามัคคี สร้างแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาร่วมกัน A : Analysis and report หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครพนม เขต 1 มีกระบวนการ วิเคราะห์ สรุปและรายงานผลการปฏิบัติงาน เพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุง แก้ไข หรือพัฒนาต่อยอด เพื่อให้การ ดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น M : Mentoring and coaching หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 นิเทศ ติดตาม ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษา เพื่อดึงศักยภาพของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ถูกต้องและสมบูรณ์ เป็นไปตามเป้าหมายของการจัดการศึกษา โดยมีรูปแบบ การนิเทศที่หลากหลาย
72 บทที่ 3 วิธีการ ขั้นตอนการดำเนินงาน กระบวนการนิเทศ 1. การเตรียมการนิเทศ 1.1 สำรวจข้อมูลสารสนเทศเพื่อการนิเทศ 1) ข้อมูล สารสนเทศ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ วัสดุอุปกรณ์ ห้องสมุด รวมถึงแหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกสถานศึกษา 2) ข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (NT/O-NET) 3) ข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวกับครู เช่น จำนวนครู คุณวุฒิการศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ รายวิชาที่ สอน ผลงานทางวิชาการ การจัดแผนการเรียน/ชั้นเรียน สื่อ อุปกรณ์การสอน แหล่งข้อมูลเรียนรู้ 4) ข้อมูลด้านการจัดการเรียนรู้ เช่น ลักษณะและวิธีการสอน ตารางสอน การมีส่วนร่วมของนักเรียน การใช้ตำราเรียน สื่อการสอน การประเมินผลการเรียนการสอน การรายงานผลการเรียน การสอนซ่อม เสริม วิธี และการใช้เครื่องมือประเมิน 1.2 องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการ นิเทศติดตาม ซึ่งมีองค์ความรู้ 4 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่่1 ่นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเป้าหมายของการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก ประเด็นที่่2 การบริหารจัดการการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วย 1) สารสนเทศด้านการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และนวัตกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) รูปแบบ/วิธีการ/กระบวนการ/ขั้นตอน/ เทคนิค เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เชิงรุก และ 3) การส่งเสริม สนับสนุนครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ประเด็นที่่3 แนวทางการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 1) การเลือกกิจกรรม รูปแบบ วิธีการที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อบูรณาการใน แผนการเรียนรู้ โดยใช้ สื่อ เทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นผู้เรียนอย่างเหมาะสม 2) การเสริมสร้างสมรรถนะและทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะ วิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ 3) การวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ประเด็นที่่4 การสังเกตชั้นเรียน ประเด็นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
73 2. การวางแผนการนิเทศ การวางแผนการนิเทศเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ดังนี้ 2.1 ประชุมผู้เกี่ยวข้อง เช่น ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ ของโรงเรียน และครูผู้สอน 2.2 จัดทำปฏิทินการนิเทศ แผนการนิเทศ สื่อ เครื่องมือนิเทศ 2.3 ดำเนินการนิเทศ โดยใช้เทคนิคการนิเทศหลากหลาย เช่น เทคนิคการนิเทศตามสถานการณ์ เทคนิคการนิเทศแบบชี้แนะสะท้อนคิดและเป็นพี่เลี้ยง (Reflective Coaching and Mentoring) เทคนิคการนิเทศ แบบสนทนากลุ่ม เทคนิคการสอนแนะ (Coaching Techniques) เทคนิคการนิเทศแบบกัลยาณมิตร 2.4 กำหนดระยะเวลานิเทศ ภาคเรียนละ 2 ครั้ง หรือตามความเหมาะสม 3. การดำเนินการนิเทศ เริ่มด้วยการเตรียมความพร้อม พัฒนา สร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ ตามหลักการสำคัญในการนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยแบบเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3 โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE บูรณาการร่วมกับ NKP1 TAG TEAM กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE กระบวนการนิเทศการศึกษาแบบ“PIDRE” มี5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวางแผนการนิเทศ (Planning – P) เป็นขั้นตอนที่ผู้บริหาร ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศ จะทำการ ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อให้ได้มาซึ่งปัญหาและความต้องการจำเป็นที่จะต้องมีการนิเทศ รวมทั้งวางแผนถึงขั้นตอน การปฏิบัติเกี่ยวกับการนิเทศที่จัดขึ้น 2. ให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Informing – I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะ ดำเนินการว่าจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอนในการดำเนินงานอย่างไร และจะ ดำเนินการอย่างไรถึงจะให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ขั้นตอนนี้จำเป็นทุกครั้งสำหรับการเริ่มการนิเทศที่จัดขึ้น ใหม่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม และมีความจำเป็นสำหรับงานนิเทศที่ยังเป็นไปอย่างไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ถึงขั้นที่ พอใจ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องทบทวนให้ความรู้ในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง 3. การดำเนินการนิเทศ (Doing – D) ประกอบด้วยการปฏิบัติงาน 3 ลักษณะ คือ การปฏิบัติงานของ ผู้รับการนิเทศ การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ 4. การสร้างเสริมกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ (Reinforcing – R) เป็นขั้นตอนของการเสริมแรงของ ผู้บริหาร ซึ่งให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจ และบังเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานขั้นนี้อาจดำเนินไปพร้อม ๆ กับที่ผู้รับการนิเทศกำลังปฏิบัติงาน หรือ การปฏิบัติงานได้เสร็จสิ้น 5. การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating – E) เป็นขั้นตอนที่ผู้นิเทศทำการประเมินผลการดำเนินงานที่ ได้ดำเนินการผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศหากพบว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างหนึ่ง อย่างใดที่ทำให้การดำเนินงานไม่ได้ผล สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาจจะทำได้โดยการให้
74 ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่ปฏิบัติใหม่อีกครั้ง ในกรณีที่ผลงานที่ได้ยังไม่ถึงขั้นน่าพอใจ หรือให้ดำเนินการปรับปรุงการ ดำเนินงานทั้งหมดในกรณีที่การดำเนินงานไม่ได้ผล แต่ถ้าประเมินผลแล้วประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งไว้ และต้องการ จะดำเนินการนิเทศต่อไปก็สามารถทำได้เลยไม่ต้องให้ความรู้ในเรื่องที่ปฏิบัติอีก การดำเนินการนิเทศตาม กระบวนการจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งจนกว่าจะบรรลุตามจุดประสงค์ที่วางไว้ หรือสามารถพัฒนาผู้รับ การนิเทศได้ตามที่ต้องการ หากบรรลุผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายแล้วต้องการหยุดกระบวนการทำงาน ก็ถือว่าการ นิเทศในเรื่องนั้นได้สิ้นสุด สรุปได้ว่ากระบวนการนิเทศการศึกษา เป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องเป็นระบบ สรุปได้ว่า กระบวนการนิเทศการศึกษา คือ วิธีการทำงานอย่างมีขั้นตอน เป็นระบบเพื่อแก้ปัญหาการ จัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และพัฒนากระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล โดยการ พัฒนาครูให้เป็นครูมืออาชีพและนักเรียนมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยและ ให้ถึงขีดสุดของศักยภาพ ซึ่งจากสภาพ การปฏิบัติงานของการนิเทศในครั้งนี้ ผู้นิเทศจึงเลือกกระบวนการนิเทศแบบPIDRE มาใช้ในการนิเทศติดตามการ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในสังกัดเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 บูรณาการร่วมกับ “ NKP1 TAG TEAM” ในครั้งนี้ “องคกรแหงการเรียนรูมุงสูคุณภาพผูเรียน” โดยใชรูปแบบ “ NKP1 TAG TEAM” กระบวนการพัฒนาคุณภาพงานรูปแบบ TEAM ในการนิเทศการศึกษา ปีงบประมาณ 2565 -2566 กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ใช้กระบวนการพัฒนาคุณภาพงานรูปแบบ TEAM ในการนิเทศการศึกษา ผ่านการดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม ต่างๆ เพื่อสร้างคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ดังนี้
75 T : Training หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ส่งเสริมการ พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะในการปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่อย่างมี ประสิทธิภาพ E : Empowerment หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ส่งเสริม สนับสนุน ให้ขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรัก สามัคคี สร้างแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาร่วมกัน A : Analysis and report หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครพนม เขต 1 มีกระบวนการ วิเคราะห์ สรุปและรายงานผลการปฏิบัติงาน เพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุง แก้ไข หรือพัฒนาต่อยอด เพื่อให้การ ดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น M : Mentoring and coaching หมายความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 นิเทศ ติดตาม ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษา เพื่อดึงศักยภาพของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ถูกต้องและสมบูรณ์ เป็นไปตามเป้าหมายของการจัดการศึกษา โดยมีรูปแบบ การนิเทศที่หลากหลาย แนวทางการดำเนินงาน การนิเทศติดตามการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและ การเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในสังกัดเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 แบบ PIDRE บูรณาการร่วมกับ “ NKP1 TAG TEAM” กิจกรรม/ขั้นตอนการดำเนินงาน ระยะเวลา / กระบวนการพัฒนางานรูปแบบ TEAM กระบวนการนิเทศการศึกษาแบบ PIDRE ผู้รับผิดชอบ T : Training 1. จัดทำแผนนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการ เรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในสังกัด เครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครพนม เขต 1 แบบ PIDRE บูรณาการร่วมกับ “ NKP1 TAG TEAM” P - Planing (การวางแผนการนิเทศ) 1. วิเคราะห์ข้อมูลผลการสอบ O-NET , NT, RT ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนใน เครือข่ายคำเตย ทั้ง 8 โรงเรียน 2. จัดทำแผนนิเทศ ติดตามการพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการ เขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1–3 ของโรงเรียนในเครือข่ายคำเตย พฤษภาคม – มิถุนายน 2566 นางจันนทร์เพ็ญ แว่นเตื่อรอง ศึกษานิเทศก์ ผู้รับผิดชอบ
76 กิจกรรม/ขั้นตอนการดำเนินงาน ระยะเวลา / กระบวนการพัฒนางานรูปแบบ TEAM กระบวนการนิเทศการศึกษาแบบ PIDRE ผู้รับผิดชอบ 2. แต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายการนิเทศ ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน รอง ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูวิชาการ ครูอาวุโส/ครู แกนนำ/ครูต้นแบบ ที่สามารถทำหน้าที่นิเทศการ สอนได้ 3. จัดตั้งกลุ่มไลน์ “นิเทศอ่าน & เขียนภาษาไทย AL เครือข่ายคำเตย” ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหาร สถานศึกษา ครูวิชาการ ครูผู้สอนชั้นประถม ศึกษา ปีที่ 1-3 ศึกษานิเทศก์ 4. สร้าง Padlet การนเทศ ติดตามการพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของ ครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 เครือข่ายคำ เตย ด้วยรูปแบบการนิเทศแบบ PIDRE 5. ส่งเอกสารการจัดการเรียนการสอนเชิงรุก (Active Learning) ทาง Padlet (กระดาน อัจฉริยะ หรือกระดานแสดงความคิดเห็น) เพื่อให้ สมาชกในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น ได้ศึกษา 3. แต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายการนิเทศ ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน รอง ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูวิชาการ ครูอาวุโส/ ครูแกนนำ/ครูต้นแบบ ที่สามารถทำหน้าที่ นิเทศการสอนได้ ศึกษานิเทศก์รับผิดชอบ เครือข่าย และศึกษานิเทศก์ที่รับผิดชอบ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 4. จัดตั้งกลุ่มไลน์“นิเทศอ่าน & เขียน ภาษาไทย AL เครือข่ายคำเตย” ซึ่งประกอบ ด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการ ครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 และ ศึกษานิเทศก์ I - Informing (ให้ความรู้ก่อนการนิเทศ) 1. จัดส่งเอกสารการจัดการเรียนการสอนเชิง รุก (Active Learning) ทาง Padlet (กระดานอัจฉริยะ หรือกระดานแสดงความ คิดเห็น) เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนได้ศึกษาก่อนทำการนิเทศ 2. สื่อสารทำความเข้าใจกระบวนการนิเทศ แบบ PIDRE ผ่านช่องทางไลน์ที่ตั้งขึ้น 3. จัดส่งแผนนิเทศ ติดตามการพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการ เขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ของโรงเรียนในสังกัดเครือข่ายคำเตย มิถุนายน - กรกฎาคม 2566 E : Empowerment - แลกเปลี่ยนเรียนรู้ - ยกย่องเชิดชูผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากร ทางการศึกษา และสถานศึกษาที่มีการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) R - Reinforcing : การสร้างเสริมกำลังใจ แก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ - ยกย่องชมเชย - แลกเปลี่ยนเรียนรู้ - ยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สอน ผู้บริหาร กันยายน 2566
77 กิจกรรม/ขั้นตอนการดำเนินงาน ระยะเวลา / กระบวนการพัฒนางานรูปแบบ TEAM กระบวนการนิเทศการศึกษาแบบ PIDRE ผู้รับผิดชอบ - มอบเกียรติบัตร สถานศึกษา และศึกษานิเทศก์เครือข่ายการ นิเทศฯ โดยมอบเกียรติบัตร A : Analysis and report 1. สรุปรายงานผลการนิเทศ ติดตามการพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของ ครูผู้สอน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 เครือข่ายคำ เตย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครพนม เขต 1 2. เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ E - Evaluating : การประเมินผลการนิเทศ 1. สะท้อนผลการนิเทศ (AAR) 2. ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ปรับปรุงแก้ไข วิธีการจัดการเรียนการสอนในส่วนที่จะต้อง แก้ไข เติมเต็ม เพื่อการจัดการเรียนรู้ และการ นิเทศ ติดตามฯ อย่างต่อเนื่อง - กันยายน 2566 นางจันทร์เพ็ญ แว่นเตื่อรอง และ คณะกรรมการ ตามคำสั่งฯ - ตุลาคม. 2566 นางจันทร์เพ็ญ แว่นเตื่อรอง M : Mentoring and coaching 1. นิเทศ ติดตามฯ โดยคณะกรรมการ ตามคำสั่งฯ 2. ให้คำแนะนำ ปรึกษา 3. โค้ช และเป็นพี่เลี้ยง D - Doing : การดำเนินการนิเทศ 1. นิเทศ ติดตามฯ โดยคณะกรรมการ ตามคำสั่งฯ 2. ให้คำแนะนำ ปรึกษา 3. โค้ช และเป็นพี่เลี้ยง มิถุนายน – กันยายน 2566 คณะกรรมการ ตามคำสั่งฯ
78 ปฏิทินการนิเทศ กิจกรรม/แนวดำเนินการ ระยะเวลา เครื่องมือ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ ตุลาคม. 2565 ถึง พฤศจิกายน 2565 - การสอบถาม สัมภาษณ์อย่างไม่เป็น ทางการ แบบ Face to Face 2. วิเคราะห์ข้อมูลผลการทดสอบต่างๆ ของโรงเรียน ในเครือข่ายคำเตย ได้แก่ ผลการทดสอบ O-NET, RT และ NT พฤษภาคม 2566 รายงานผลการทดสอบ O-NET, RT และ NT 3. เขียนแผนนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการ เรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอน ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 – 3 เครือข่ายคำเตย สพป. นครพนม เขต 1 มิถุนายน 2566 แผนนิเทศ ติดตามการพัฒนาคุณภาพการ เรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของ ครูผู้สอน ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 – 3 เครือข่ายคำเตย 4. แต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายการนิเทศ ติดตาม การพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยเชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของ ครูผู้สอน ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1–3 เครือข่ายคำเตย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู วิชาการ ครูต้นแบบ/ครูแกนนำ ของโรงเรียนใน เครือข่ายคำเตย และศึกษานิเทศก์รับผิดชอบ เครือข่าย และศึกษานิเทศก์รับผิดชอบกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย สพป.นครพนม เขต 1 มิถุนายน 2566 คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายการ นิเทศ ติดตามฯ ของโรงเรียนในเครือข่ายคำ เตย อำเภอเมืองนครพนม 5. ปฏิบัติการนิเทศ โดยใช้กระบวนการพัฒนางาน แบบ NKP1 TAG TEAN และกระบวนการนิเทศแบบ PIDRE กรกฎาคม 2566 ถึง กันยายน 2566 - แบบสังเกตการสอน - แบบประเมินการเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) - แบบนิเทศ ติดตามฯ 6. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ สะท้อนผลการนิเทศ ติดตามฯ 7. ยกย่องเชิดชูเกียรติ มอบเกียรติบัตร กันยายน 2566 - เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยใช้ กลุ่มไลน์ และ Padlet - เกียรติบัตร 8. สรุป และรายงานผลการนิเทศ ติดตามฯ กันยายน 2566 - เอกสารรายงานผลการนิเทศ ติดตามฯ
79 บทที่ 4 เครื่องมือนิเทศ ติดตามแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ด้านการอ่านและการเขียน ของครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ........................................................ แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ของครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม โรงเรียน ............................................................. ชื่อครูผู้สอน .......................................................... ชั้นประถมศึกษาปีที่ ............................ แผนการสอนที่ .......... เรื่อง ..................................................................................................................... ชื่อหน่วยการเรียนรู้............................................................................................................ เวลา ...............ชั่วโมง ที่ รายการประเมิน ระดับคุณภาพ 5 4 3 2 1 1 หน่วยการเรียนรู้มีความสมบูรณ์ เหมาะสม และมีรายละเอียดที่สอดคล้อง สัมพันธ์กัน 2 แผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องสัมพันธ์กับหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ มี องค์ประกอบสำคัญครบถ้วน ร้อยรัดสัมพันธ์กัน 3 การเขียนสาระสำคัญในแผนการจัดการเรียนรู้ถูกต้อง 4 จุดประสงค์การเรียนรู้มีความชัดเจน ครอบคลุมเนื้อหาสาระ 5 จุดประสงค์การเรียนรู้สามรถพัฒนาผู้เรียนด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ และเจตคติ 6 จุดประสงค์การเรียนรู้เรียงลำดับจากพฤติกรรมที่ง่ายไปหาพฤติกรรมที่ยาก 7 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ และเนื้อหาสาระ และ เหมาะสมกับคาบเวลา 8 กิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการปฏิบัติ จริง (Active Learning) และสามารถปฏิบัติจริงได้ 9 กิจกรรมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมกระบวนการคิดของนักเรียน 10 กิจกรรมการเรียนรู้สอดแทรกคุณะรรมและค่านิยมที่ดีงาม 11 วัสดุอุปกรณ์ สื่อและแหล่งเรียนรู้มีความหลากหลาย เหมาะสมกับเนื้อหา สาระ ผู้เรียนได้ใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเอง 12 มีการวัดและประเมินผลการเรียนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
80 หมายเหตุ 5 หมายถึง คุณภาพดีเยี่ยม 4 หมายถึง คุณภาพดีมาก 3 หมายถึง คุณภาพดี 2 หมายถึง คุณภาพพอใช้ 1 หมายถึง คุณภาพปรับปรุง
81 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม 1. ด้านจุดประสงค์การเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน /กระบวนการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ด้านสื่อการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ด้านการวัดและประเมินผล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. (ลงชื่อ) ....................................................................... ผู้นิเทศ (.........................................................................) ................../................................../................ สิ่งที่ได้ดำเนินการแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (ลงชื่อ) ..................................................................... ครูผู้สอน (.........................................................................) ................../................................../................
82 แบบประเมินการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ของครูผู้สอนภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนในเครือข่ายคำเตย อำเภอเมืองนครพนม สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 โรงเรียน ............................................................................................... ชื่อครูผู้สอน .......................................................... ชั้นประถมศึกษาปีที่ ................................. แผนการสอนที่ .......... เรื่อง ..................................................................................................................... ชื่อหน่วยการเรียนรู้............................................................................................................ เวลา ...............ชั่วโมง ที่ รายการประเมิน ระดับคุณภาพ 5 4 3 2 1 1 ด้านจุดประสงค์การเรียนรู้ / เป้าหมายการจัดการเรียนรู้ 1.1 วางแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 1.2 กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นไปตามหลักสูตรและเหมาะสม มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2 ด้านเนื้อหา 2.1 เนื้อหาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.2 เนื้อหาส่งเสริมให้นักเรียนเกิดแนวคิดที่ต้องเรียนรู้ฝึกฝนด้วยตนเอง และมีความถูกต้องตามหลัก วิชาการ 2.3 จัดลำดับเนื้อหาเหมาะสมกับช่วงวัย และระดับชั้นของผู้เรียน 3 ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำ 3.1 มีการตรวจสอบความรู้เดิมของผู้เรียน เช่น คำถาม แบบฝึก ฯลฯ 3.2 มีกิจกรรมสนับสนุนผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้และช่วยเหลือผู้เรียนที่ยังขาดพื้นฐานความรู้ได้เหมาะสม ขั้นสอน 3.3 กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครู และระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง 3.4 กิจกรรมการเรียนรู้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการปฏิบัติจริง มีความท้าทาย และมีระดับความยากง่าย เหมาะสมกับช่วงวัย ซึ่งสามารถสะท้อนการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ 3.5 ครูเป็นผู้ชี้แนะ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการบูรณาการทักษะต่าง ๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง 3.6 ครูมีคำถามกระตุ้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ หรือการคิดเพื่อแก้ปัญหา ขั้นสรุป 3.7 กิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการสื่อสาร การสรุปผลการเรียนรู้ เช่น การนำเสนอ แผนที่ ความคิด หรือเสนอแนวทางในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน 4 ด้านสื่อการเรียนรู้ 4.1 มีการเลือกใช้สื่อที่หลากหลายในการจัดการเรียนรู้ สอดคล้องเหมาะสมกับจุดประสงค์ เนื้อหา 4.2 มีสื่อที่สามารถใช้ในการทบทวนบทเรียน ตอบสนองการเรียนรู้ที่หลากหลาย และมีการเลือกใช้สื่อ ประกอบการจัดการเรียนรู้จาก DLTV / DLIT
83 ที่ รายการประเมิน ระดับคุณภาพ 5 4 3 2 1 5 ด้านการวัดและประเมินผล 5.1 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของตนเอง และเพื่อนร่วมในชั้นเรียน 5.2 มีวิธีการประเมินผลระหว่างการเรียนรู้ที่หลากหลาย เน้นการประเมินผลตามสภาพจริง โดยมีการสังเกต ค้นหาข้อผิดพลาดในการปฏิบัติเพื่อให้การประเมินผลสอดคล้องกับจุดประสงค์ หรือเป้าหมายการสอน สรุปผลการประเมิน …………………………. คำอธิบายการประเมินระดับคุณภาพของการปฏิบัติเพื่อการจัดการเรียนรู้ 5 หมายถึง คุณภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับ ดีมาก 4 หมายถึง คุณภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับ ดี 3 หมายถึง คุณภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับ ปานกลาง 2 หมายถึง คุณภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับ พอใช้ 1 หมายถึง คุณภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับ ควรปรับปรุง หมายเหตุหากไม่มีการปฏิบัติในกิจกรรมดังกล่าว ไม่ต้องลงคะแนนการประเมินข้อนั้น ๆ เกณฑ์เปรียบเทียบระดับคุณภาพการปฏิบัติ คุณภาพระหว่าง 65 - 80 หมายถึง เกณฑ์อยู่ในระดับ ดีเยี่ยม คุณภาพระหว่าง 49 - 64 หมายถึง เกณฑ์อยู่ในระดับ ดีมาก คุณภาพระหว่าง 33 - 48 หมายถึง เกณฑ์อยู่ในระดับ ดี คุณภาพระหว่าง 17 - 32 หมายถึง เกณฑ์อยู่ในระดับ พอใช้ คุณภาพระดับ ต่ำกว่า 16 หมายถึง เกณฑ์อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง สรุป คะแนนคุณภาพ = ……………………………….. (คะแนนรวม) อยู่ในระดับคุณภาพ ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง
84 บันทึกเพิ่มเติม จุดเด่นในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จุดควรพัฒนา นิเทศการสอน/สังเกตการสอน วันที่ .............. เดือน ....................................... พ.ศ. ........................ (ลงชื่อ) ................................................................ ผู้รับการนิเทศการสอน (......................................................................) (ลงชื่อ) ............................................... ผู้นิเทศการสอน (ลงชื่อ) ............................................... ผู้นิเทศการสอน (......................................................) (.....................................................) ตำแหน่ง ....................................................................... ตำแหน่ง ....................................................................... (ลงชื่อ) ............................................... ผู้นิเทศการสอน (ลงชื่อ) ............................................... ผู้นิเทศการสอน (......................................................) (.....................................................) ตำแหน่ง ....................................................................... ตำแหน่ง .......................................................................
85 บรรณานุกรม ชาญชัย อาจินสมาจาร. (2547: 7). การนิเทศการศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เคแอนด์พีบุค. วัชรา เล่าเรียนดี. (2556: 3). ศาสตร์การนิเทศการสอน และการโค้ช การพัฒนาวิชาชีพ : ทฤษฎีกลยุทธ์สู่การ ปฏิบัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 12). นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม. สงัด อุทรานันท์. (2530). การนิเทศการศึกษา หลักการ ทฤษฎี และปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มิตรสยาม. . (2538). การนิเทศการศึกษา หลักการ ทฤษฎี และปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มิตรสยาม. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2559). คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน ตามนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่ม เวลารู้”. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. หน่วยศึกษานิเทศก์. (2562). แนวทางการนิเทศบูรณาการโดยใช้พื้นที่เป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาสู่ การนิเทศภายในโรงเรียนโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐานเพ่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน “2562 ปีทองแห่ง การนิเทศภายใน ห้องเรียนเป็นฐานเพื่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน”. กรุงเทพฯ : หน่วยศึกษา นิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. . (2562). แนวทางการนิเทศเพื่อพัฒนาและส่งเสรมการจัดการเรียนรู้เชงรุก (Active Learning) ตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้. เอกสารหมายเลข 1/2562. กรุงเทพฯ : หน่วยศึกษา นิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. . (2566). การนิเทศภายในสถานศึกษา. เอกสารลำดับที่ 2/2566. กรุงเทพฯ : หน่วยศึกษา นิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. อัญชลี โพธิ์ทอง. (2549: 66). การนิเทศการศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. Harris, B.M. (1985). Supervisory Behavior in Education. New Jersey : Prentice Hall.