โครงการสมมนาทางวิชาการ
ั
ื่
เรอง
้
เสนทางความรูสูความเปนเลิศดานการปรบวงดนตรไทย
้
่
็
ั
้
ี
่
ภีมพล แทนสงค ์
ี
วรากร ตรโชควิพุธ
์
ชุติมณฑน สระนาค
ญาติกานต ทองรกษ ์
ั
์
์
์
ั
สนติกานต วงศแหลมทอง
ิ
ั
็
ี
่
่
ึ
โครงการน้เปนสวนหนงของการศกษาตามหลักสูตรดุรยางคศาสตรบณฑิต
ึ
วิทยาลัยดุรยางคศลป ์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ิ
ิ
พ.ศ. 2562
ิ
์
ิ
ลิขสทธของมหาวิทยาลัยมหดล
ิ
ั
โครงการสมมนาทางวิชาการ
เรอง
ื่
่
้
ี
้
็
ั
้
เสนทางความรูสูความเปนเลิศดานการปรบวงดนตรไทย
ในรายวิชาโครงการพิเศษ 1 (Special Project 1)
ึ
ึ
็
่
ั
ได้รบการพิจารณาให้นับเปนส่วนหนงของการศกษา
ี
ิ
ุ
ู
ิ
ตามหลักสตรดรยางคศาสตรบัณฑต (ดนตรไทยและดนตรตะวันออก)
ี
ี
ี่
วันท 30 มนาคม พ.ศ. 2563
จัดท าโดย
ี
นายภมพล แท่นสงค์
นายวรากร ตรโชควิพุธ
ี
นางสาวชตมณฑน์ สระนาค
ุ
ิ
ั
นางสาวญาตกานต์ ทองรกษ์
ิ
ิ
นายสันตกานต์ วงศ์แหลมทอง
.............................................................................
อาจารย์ ดร.ณัฐชยา นัจจนาวากุล
ี่
อาจารย์ทปรกษาโครงการพิเศษ
ึ
.............................................................................
อาจารย์ดวงเดอน หลงสวาสด์ ิ
ื
ี่
ึ
อาจารย์ทปรกษาโครงการพิเศษ
ค
็
ื่
ี
ิ
้
ั
ู
โครงการสัมมนาทางวิชาการ เรอง “เสนทางความรส่ความเปนเลศด้านการปรบวงดนตรไทย”
ู
้
SEMINAR PROJECT: KNOWLEDGE PATH TO SUPERIORITY IN THAI MUSIC
ENSEMBLE IMPROVEMENT
ื
อาจารย์ประจ ารายวิชาโครงการพิเศษ: อาจารย์ ดร.ณัฐชยา นัจจนาวากุล, อาจารย์ดวงเดอน หลงสวาสด์ ิ
บทคัดย่อ
ั
ี
ึ
ึ
ี
ื่
โครงการสัมมนาทางวิชาการคร้งน้มวัตถุประสงค์เพอศกษาแนวทางการฝกซ้อมและการ
่
ื
ี
ิ
ิ
ั
็
ิ
์
ปรบวงดนตรไทย คณะผู้จัดโครงการได้ท าการค้นคว้าข้อมูลเพ่มเตมจากสออนเทอรเนตและเก็บข้อมูลจาก
ุ
ิ
หนังสอต่าง ๆ ของทางห้องสมดจ๋ว บางซอ วทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล โดยมรปแบบการ
ิ
์
ื
ิ
ิ
ิ
ุ
ื
ี
ู
่
ี
็
ิ
ด าเนนงานในลักษณะของการจัดเปนงานสัมมนาทางวิชาการ ท าการเรยนเชญวิทยากรผู้เชยวชาญมา
ี่
ิ
บรรยาย 2 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์เกียรตคณ นายแพทย์พูนพศ อมาตยกุล บรรยายเน้อหาภายใต้หัวข้อ
ื
ิ
ิ
ุ
ั
“เรองเล่าทางประวัตศาสตร ความส าคัญ และคณประโยชน์ของการปรบวงดนตรไทย” และอาจารย์บญช่วย
ิ
ุ
ื
ุ
์
่
ี
่
โสวัตร บรรยายเน้อหาเรอง “แนวทางการปรบวงดนตรไทยทได้รบการถ่ายทอดมาจนถงปจจบัน” ในวันท ี่
ื
ั
ึ
ี
ี
ั
ื
ุ
่
ั
ี
31 มกราคม พ.ศ. 2563 ทผ่านมา ผลการจัดโครงการพบว่า การปรบวงดนตรไทยนั้นมเรองราวในทาง
ั
ื่
่
ี
ี
ั
ื
ี
่
่
่
์
ี
ิ
ุ
ึ
็
ประวัตศาสตรทเกียวโยงกันเปนเหตผลถงความส าคัญของการปรบวงดนตรไทยประเภทต่าง ๆ เพอให้ตรง
ุ
ตามกาลเทศะ วัตถประสงค์การบรรเลง และบทบาทของวงดนตรเหล่านั้นในสังคม องค์ความรเรองทฤษฎ ี
้
ื่
ู
ี
ี่
ุ
ั
ี
ั
ื
ื
ั
ดนตรไทยคอพ้นฐานส าคัญส าหรบการปรบวงดนตรไทยให้มประสทธผลมากทสด และได้รบการยอมรบ
ิ
ิ
ี
ี
ั
ี
ั
่
ในสังคมดนตรไทย โดยผู้ปรบวงและสมาชกในวงดนตรจะต้องมความร ความสามารถ ความเชยวชาญ สั่ง
ี
ู
ิ
ี
้
ี
่
ี
ึ
ี่
ื
ี
์
สมประสบการณทส าคัญทางดนตรไทยตามมาตรฐานทก าหนดจงจะบรรเลงได้กลมกลนสมบูรณ ์
์
ค ำสำคัญ : การปรบวงดนตรไทย /มตความไพเราะทสมบูรณ /การวิพากษ์ วิจารณ์
ิ
ิ
ี่
ั
ี
100 หน้า
ง
กิตติกรรมประกาศ
โครงการฉบับน้ ส าเรจลล่วงได้ด้วยความกรณาจากอาจารย์ดร.ณัฐชยา นัจจนาวากุล
ุ
ี
ุ
็
อาจารย์ประจ ารายวิชา ดศปย ๔๙๓ โครงการพิเศษ ๑ (MSAP 493 Special Project I) และอาจารย์
ึ
ี่
ิ
ดวงเดอน หลงสวาสด์ อาจารย์ทปรกษาโครงการ ทให้โอกาสและมอบประสบการณการท างานใน
ื
์
ี่
็
ึ
ี
ิ
รูปแบบใหม่ทไม่เคยได้ท ามาก่อน ไม่ว่าจะเปนการฝกพิมพ์หนังสอราชการในเบ้องต้น การเรยนเชญ
่
ื
ื
ี
ื่
ี่
ี
ิ
วิทยากรผู้เชยวชาญจากสถาบันอน ๆ การจัดเตรยมงานสัมมนาทางวิชาการ และได้ให้แนวคด
็
ข้อเสนอแนะ ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของการจัดโครงการน้มาโดยตลอดจนเสรจสมบูรณ์
ี
ุ
ึ
ู
็
ลงได้ คณะผู้จัดท าจงขอกราบขอบพระคณเปนอย่างสง
ุ
ุ
ุ
ิ
ขอกราบขอบพระคณ ศาสตราจารย์เกียรตคณ นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล เลขานการ
ิ
้
ุ
และกรรมการมูลนธราชสดา ทให้ความกรณามาเปนวิทยากรรบเชญ และได้ให้ข้อมูลความรต่าง ๆ ท ี ่
ู
ุ
ั
ี่
ิ
ิ
็
่
ื
ั
ั
ไม่อาจได้ยินได้ฟงจากแหล่งข้อมูลอนใดได้ลกซ้งเท่าการได้ฟงจากการเข้าร่วมงานในวันสัมมนา
ึ
ึ
ี
ี่
ุ
ขอขอบพระคณอาจารย์บญช่วย โสวัตร ผู้เชยวชาญดนตรไทย จฬาลงกรณ ์
ุ
ุ
ิ
ิ
ิ
์
มหาวิทยาลัย ณ ส านักบรหารศลปวัฒนธรรม จฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ทให้ความกรณาเดนทางมา
ุ
ี่
ุ
ั
้
ี
เปนวิทยากรรบเชญ พรอมทั้งถ่ายทอดศาสตรและศลปอันมค่ายิ่ง ถอเปนคณปการต่อวงการดนตร ี
์
ิ
์
็
ิ
ื
ู
ุ
็
ิ
ไทยทั้งในแง่ของด้านวิชาการและด้านการปฏบัต ิ
ี
ี
ุ
ขอขอบพระคณอาจารย์รชารด แอนตัน ราล์ฟ อาจารย์ใหญ่ระดับชั้นเตรยมอดมดนตร
ุ
ิ
์
ี
่
ั
ิ
ี่
ื้
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล (YAMP) ทเอ้อเฟอสถานทส าหรบการจัดเตรยมงาน
ื
ุ
ิ
ิ
ี
์
ี
สัมมนาในคร้งน้ โดยไม่เสยค่าใช้จ่ายใด ๆ และการประสานงานช่วยเหลอกันเปนอย่างด ี
ั
ื
็
ี
ุ
ิ
ุ
ี
์
ขอบพระคณอาจารย์ในสาขาดนตรไทยและดนตรตะวันออก วิทยาลัยดรยางคศลป
ี
ิ
ั
ิ
ุ
มหาวิทยาลัยมหดลทกท่าน ทสละเวลาอันมค่ายิ่งในการมาเข้าร่วมงานสัมมนาคร้งน้ ี
ี
่
ี
ี
ุ
ี
่
ิ
่
ุ
ขอบคณร่นพีทก าลังศกษาในระดับชั้นปรญญาโท เพื่อน ๆ ร่นน้อง ในสาขาดนตรไทย
ุ
ึ
ั
ุ
ี
ี
่
ี
ิ
และดนตรตะวันออกทกคนทมาช่วยกันจัดเตรยม ด าเนนงาน และมาร่วมฟงการบรรยายในงาน
ั
ี
็
ุ
สัมมนาคร้งน้ให้ส าเรจลล่วงไปได้ด้วยด ี
ุ
ุ
ี
ุ
สดท้ายน้ขอขอบคณบคลากรทเกียวข้องกับการเดนทางของวิทยากรรบเชญ และพี่ ๆ
่
ี
ิ
ั
ิ
่
์
ี่
พนักงานของวิทยาลัยทมาช่วยจัดเตรยมอปกรณทั้งก่อนและหลังจบงานสัมมนาคร้งน้ ี
ุ
ี
ั
คณะผู้จัดท าโครงการ
จ
สารบัญ
้
หนา
่
บทคัดยอภาษาไทย ค
กิตติกรรมประกาศ ง
สารบัญ จ
่
สารบัญ (ตอ) ฉ
สารบัญภาพ ช
้
่
บทที่ 1 โครงการพิเศษ (Special Project) ในหัวขอเรอง “เสนทางความรูสูความเปนเลิศ
็
ื่
้
้
้
ี
ั
ดานการปรบวงดนตรไทย” 1
ั
1.1 ผู้จัดท ำและรบผิดชอบโครงกำร 1
ุ
1.2 หลักกำรและเหตผล 1
1.3 วัตถประสงค์ 1
ุ
1.4 รปแบบกำรด ำเนนโครงกำร 1
ิ
ู
ิ
1.5 ระยะเวลำในกำรด ำเนนโครงกำร 2
่
์
ี
1.6 ประโยชนทคำดว่ำจะได้รบ 2
ั
ิ
1.7 วิธกำรด ำเนนงำน 2
ี
ั
1.8 ปญหำทพบในโครงกำรและแนวทำงกำรแก้ไข 2
ี่
ั
1.9 งบประมำณและทรพยำกร 3
1.10 สถำนท/ห้อง 3
ี่
1.11 ก ำหนดกำรวันงำนสัมมนำ 3
ี่
1.12 วิทยำกรผู้เชยวชำญ 3
บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวของ 4
้
ี
2.1 แนวคดในกำรปรบวงดนตรไทย 4
ั
ิ
2.2 แบบแผนในกำรผสมวง 7
2.3 แบบแผนกำรผสมวงชนดวงปพำทย์พิธ 7
ิ
ี่
ี
2.4 กลไกกำรปรบวงส่ควำมเปนขนบ 9
ั
ู
็
2.5 แนวคดเชงควำมงำมตำมขนบ 9
ิ
ิ
ฉ
่
สารบัญ (ตอ)
หนา
้
2.6 กระบวนกำรวิเครำะหบรบททเกียวข้อง 10
่
่
์
ิ
ี
ิ
2.7 กลวิธกำรเพิ่มประสทธภำพ 13
ี
ิ
2.8 ควำมสัมพันธระหว่ำงดนตรไทยและวิถชวิตของชำวไทย 14
ี
ี
ี
์
บทที่ 3 ประวัติและผลงานวิทยากร 25
ิ
3.1 ศำสตรำจำรย์เกียรตคณ นำยแพทย์พูนพิศ อมำตยกุล 25
ุ
ุ
3.2 อำจำรย์บญช่วย โสวัตร 27
้
้
ั
บทที่ 4 สมมนาทางวิชาการ เรอง เสนทางความรูสูความเปนเลิศดานการปรบวงดนตรไทย 30
่
้
็
ื
ี
ั
่
4.1 ก ำหนดกำร 30
ุ
4.2 บทบรรยำยจำกเทปบันทกงำนสัมมนำทำงวิชำกำร โดย ศำสตรำจำรย์เกียรตคณ
ึ
ิ
ื
่
ิ
์
นำยแพทย์พูนพิศ อมำตยกุล ในหัวข้อ “เรองเล่ำทำงประวัตศำสตร ควำมส ำคัญ
ุ
ี
และคณประโยชน์ของกำรปรบวงดนตรไทย” 31
ั
ึ
ุ
4.3 บทบรรยำยจำกเทปบันทกงำนสัมมนำทำงวิชำกำร โดย อำจำรย์บญช่วย โสวัตร
ี
ุ
ี
ในหัวข้อ “แนวทำงกำรปรบวงดนตรไทยทได้รบกำรถ่ำยทอดมำจนถงปจจบัน” 40
่
ึ
ั
ั
ั
4.4 ช่วงถำม-ตอบ (Q&A) ท้ำยงำนสัมมนำ 60
้
บทที่ 5 สรุปผลโครงการและขอเสนอแนะ 62
ุ
5.1 สรปผลโครงกำรสัมมนำทำงวิชำกำร 62
ิ
ึ
ั
ี
5.2 สภำพปญหำและกำรแก้ไขปญหำทเกิดข้นในกำรด ำเนนโครงกำร 62
ั
่
5.3 แบบประเมนและข้อเสนอแนะจำกกำรจัดท ำโครงกำร 65
ิ
บรรณานุกรม 68
ภาคผนวก ก 70
ี่
ุ
คณำจำรย์ผู้ควบคมและทปรกษำโครงกำร 71
ึ
ิ
สมำชกผู้จัดท ำโครงกำร 72
ภาคผนวก ข 79
่
ื
รำยชอผู้ลงทะเบยนเข้ำร่วมงำนสัมมนำ 80
ี
ประมวลภำพวันงำนสัมมนำ (วันศกรท 31 มกรำคม พ.ศ. 2563) 83
ี่
ุ
์
ภาคผนวก ค 88
ิ
ึ
บันทกวีดทัศน์บรรยำกำศงำนวันสัมมนำ 89
ช
สารบัญภาพ
ภาพ หนา
้
2.1 วงแตรสังข์ 16
ึ
ุ
ั
2.2 วงกระทั่งแตรมโหระทก (ปจจบัน) 16
2.3 วงขับไม้ 17
ี่
2.4 ลักษณะของปไฉน 17
2.5 ลักษณะของปชวา 17
ี่
ี่
2.6 วงปไฉนกลองชนะ 18
2.7 วงปชวากลองแขก 18
ี่
ี
่
่
ื
ี
2.8 วงปพาทย์พิธเครองค่ ู 19
ี
ี่
ื่
ื่
2.9 เครองดนตรในวงปพาทย์เครองใหญ่ 19
ื
ี
2.10 เครองดนตรในวงปพาทย์เครองใหญ่ 19
่
ื่
่
ี
ี่
2.11 เครองดนตรในวงปพาทย์นางหงส ์ 20
ี
ื่
2.12 เครองดนตรในวงปพาทย์นางหงสเครองใหญ่ 20
์
ื่
่
ี
ี
ื
่
2.13 วงดนตรบรรเลงประกอบการแสดงห่นกระบอก มูลนธจักรพันธ โปษยกฤต 21
ี
ิ
์
ุ
ิ
ุ
ี
ี
ี
ื่
2.14 กลองต๊อก (เครองประกอบจังหวะในดนตรส าเนยงจน) 22
๋
ี
2.15 แตว (เครองประกอบจังหวะในดนตรส าเนยงจน) 22
ี
ื่
ี
2.16 ตัวอย่างภาพการประชันวงปพาทย์ ในวัดพระพิเรนทร เมอป พ.ศ. 2554 23
์
ี
่
ี
่
ื
ี
2.17 ตัวอย่างการประสมวงดนตรร่วมสมัย 23
2.18 ตัวอย่างวงดนตรร่วมสมัย 24
ี
ิ
ุ
2.19 วงดรยางค์เยาวชนซอาเซยนคอนโซแนนท์ (C ASEAN Consonant) 24
ี
ี
ิ
ุ
3.1 ศาสตราจารย์เกียรตคณ นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล 25
4.1 อาจารย์บญช่วย โสวัตร 35
ุ
ิ
์
ิ
ิ
ุ
ี
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 1
บทที่ 1
บทน ำ
1.1 หลักกำรและเหตุผล
ี
่
ี
่
ั
ุ
ในปจจบันมผู้ทสนใจและทก าลังศกษารวมถงการบรรเลงดนตรไทยอยู่จ านวนมาก
ี
ึ
ี
ึ
ี
่
ี
ิ
ิ
ี
ี
ุ
ึ
ู
แต่ยังพบว่านักดนตรไทยหลายกล่มมรปแบบการฝกซ้อมดนตรไทยทไม่เกิดประสทธภาพมาก
ึ
ี
เท่าทควร ทางคณะผู้จัดท าโครงการ นักศกษาระดับชั้นปรญญาตรปท 4 สาขาวิชาดนตรไทยและดนตร ี
่
ี
ี่
ี
ี
ิ
ั
ึ
่
่
ี
ตะวันออกทก าลังศกษาในรายวิชาโครงการพิเศษ (Special Project) ได้เล็งเหนปญหาทเกิดข้น จง
ึ
ึ
็
ี
ิ
้
็
ู
้
ั
ระดมความคดเพื่อจัดท าโครงการในหัวข้อ “เสนทางความรส่ความเปนเลศด้านการปรบวงดนตรไทย”
ี
ู
ิ
ู
ิ
่
ึ
เพือน าตัวอย่างรปแบบ แนวทาง วิธการ แบบแผน เทคนค การสอนและฝกซ้อม จากคร ผู้เชยวชาญมา
ี
ี
่
ู
ื
ี
ี
ปรบ ประยุกต์ใช้ภายในองค์กรและสามารถเผยแพร่แก่ผู้ทสนใจหรอนักดนตรไทยทั่วไปได้
ั
่
ั
ั
้
1.2 ผูจดท ำและรบผิดชอบโครงกำร
่
ี
ึ
ี
ี่
ิ
ี
ี
ึ
ี
นักศกษาระดับชั้นปรญญาตรปท 4 สาขาวิชาดนตรไทยและดนตรตะวันออกทศกษา
ในรายวิชาโครงการพิเศษ ๑ (Special Project I) จ านวน 5 ท่าน ได้แก่
ี
1. นายภมพล แท่นสงค์
ี
2. นายวรากร ตรโชควิพุธ
ิ
ุ
3. นางสาวชตมณฑน์ สระนาค
ั
ิ
4. นางสาวญาตกานต์ ทองรกษ์
ิ
5. นายสันตกานต์ วงศ์แหลมทอง
์
1.3 วัตถุประสงค
ึ
1. เพื่อศกษาแนวทางการฝกซ้อมและการปรบวงดนตรไทยของครผู้เชยวชาญด้าน
ี่
ู
ึ
ั
ี
ี
ดนตรไทย
ี่
2. เพื่อให้ผู้ทสนใจได้รบความรเรองแนวทางการฝกซ้อมและการปรบวงดนตรไทย
ี
ั
ั
ู
้
ึ
ื่
ของครผู้เชยวชาญด้านดนตรไทย
ู
ี่
ี
1.4 รูปแบบกำรด ำเนนโครงกำร
ิ
การสัมมนา :
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทที่ 1 / 2
ุ
(1) ศาสตราจารย์เกียรตคณ นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล บรรยายเน้อหาและ
ื
ิ
ื
่
ี
์
ประสบการณทางดนตร เรอง “เรองเล่าทางประวัตศาสตร ความส าคัญและ
ื่
ิ
์
คณประโยชน์ของการปรบวงดนตรไทย”
ั
ุ
ี
ุ
ื่
(2) อาจารย์บญช่วย โสวัตร บรรยายเน้อหาเรอง “แนวทางการปรบวงดนตรไทย
ื
ั
ี
ี
ั
ุ
ึ
่
ั
ทได้รบการถ่ายทอดมาจนถงปจจบัน”
ิ
1.5 ระยะเวลำในกำรด ำเนนโครงกำร
วันท 8 พฤศจกายน พ.ศ. 2562 – 31 มกราคม พ.ศ. 2563
ิ
ี่
ั
์
้
่
1.6 ประโยชนที่คำดวำจะไดรบ
็
1. ฝกการท างานร่วมกันเปนหมู่คณะ
ึ
ึ
ี่
2. รวบรวมแนวทางการสอนและฝกซ้อมดนตรไทยจากคร/ศลปนผู้เชยวชาญ
ิ
ิ
ี
ู
ี่
ี
3. น าหลักการทได้มาปรบประยุกต์ใช้ภายในองค์กรและเผยแพร่ส่สังคมดนตรไทย
ู
ั
ี
4. บันทกข้อมูลไว้เปนผลงานทสามารถน าไปศกษาต่อยอดได้
็
่
ึ
ึ
ิ
ี
1.7 วิธกำรด ำเนนงำน
ึ
1. สมาชกผู้จัดท าโครงการ (นักศกษาในรายวิชา) อาจารย์ประจ าวิชา และอาจารย์ท ี่
ิ
ปรกษาประจ ารายวิชาโครงการพิเศษ (Special Project) เข้าร่วมประชมเพื่อวางแผน
ุ
ึ
ิ
และก าหนดหัวข้อโครงการ โดยเร่มจากการมอบหมายต าแหน่ง หน้าทของแต่ละฝาย
ี
่
่
2. เขยนร่างโครงการ น าเสนอหลักการและเหตผลให้อาจารย์ประจ าวิชาตรวจสอบ
ุ
ี
3. ตดต่อประสานงาน เชญวิทยากรผู้เชยวชาญมาบรรยายในงานสัมมนา
ิ
ี
ิ
่
ึ
่
ึ
่
ี
4. ศกษาข้อมูลรวมถงเก็บข้อมูลทเกียวข้องจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ี
ิ
่
5. ด าเนนการจัดกิจกรรมสัมมนาทางวิชาการตามแผนโครงการทก าหนดไว้
ุ
ิ
6. สรปผลการด าเนนงาน
7. จัดท ารปเล่มรายงานเพื่อน าเสนอโครงการ
ู
ิ
8. ประเมนผลและรายงานโครงการ
ั
้
1.8 ปญหำที่พบในโครงกำรและแนวทำงกำรแกไข
่
ึ
ี
ิ
ุ
- ด้านบคลากร : การแบ่งภาระงานตามหน้าทของสมาชกแต่ละต าแหน่งในระยะขั้นต้นจนถง
ี
ี
ระยะการเตรยมงานสัมมนายังไม่เหมาะสมเท่าเทยมกัน
ิ
ิ
ุ
ี
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 3
์
ิ
ี
ั
ี
่
ู
่
- แนวทางการแก้ไข : ปรบเปลยนภาระหน้าทการจัดท ารปเล่มโครงการในระยะหลังการสัมมนา
1.9 งบประมำณและทรพยำกร
ั
1. ค่าตอบแทนวิทยากรจ านวน 1 ท่าน ท่านละ 800 บาท/ชั่วโมง × 3 ชั่วโมง
็
ิ
รวมเปนค่าใช้จ่ายทั้งส้น 2,400 บาท
1.10 สถำนที่/หอง
้
์
็
ห้อง PC607 อาคารพัฒนาวิชาชพดนตรส่ความเปนเลศ (YAMP) วิทยาลัยดรยางคศลป
ู
ี
ี
ุ
ิ
ิ
ิ
มหาวิทยาลัยมหดล
ิ
1.11 ก ำหนดกำรวันงำนสมมนำ
ั
์
วันศกรท 31 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 09:00 น. - 12:00 น.
ุ
ี่
่
้
1.12 วิทยำกรผูเชยวชำญ
ี
ุ
1. ศาสตราจารย์เกียรตคณ นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล
ิ
ุ
2. อาจารย์บญช่วย โสวัตร
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 4
บทที่ 2
้
วรรณกรรมที่เกี่ยวของ
ในการจัดท าโครงการสัมมนาทางวิชาการคร้งน้ ทางคณะผู้จัดท าได้ท าการศกษาข้อมูล
ี
ั
ึ
เพิ่มเตมเกียวกับการปรบวงดนตรไทยจากหนังสอต่าง ๆ ทเกียวข้องดังน้ ี
ั
่
ิ
่
่
ี
ี
ื
ี
ั
2.1 แนวคิดในการปรบวงดนตรไทย
ุ
บญช่วย โสวัตร และคณะ (2539 : 1) ความว่า “ลักษณะของแบบแผนดนตรไทยในชาต ิ
ี
ิ
็
ึ
็
่
ไทยเปนชาตหนงทได้สรางสรรค์ผลงานด้านศลปวัฒนธรรมจนเปนเอกลักษณของตนเองมาเปน
ี่
ิ
็
้
์
ึ
ิ
ึ
่
ี
เวลาหลายศตวรรษ วัฒนธรรมแขนงหนงทมคณค่าและแสดงถงสัญลักษณแห่งความเปนชาตไทย
็
ุ
่
ี
์
ื
ี
ี
่
คอ ดนตรไทย ดนตร คอเสยงต่าง ๆ ทเอามาประกอบล าดับกันเปนท านองส าหรบขับรองและ
้
ี
็
ั
ื
ี
ู
็
ี่
บรรเลง เพื่อให้เปนทไพเราะ เสนาะแก่หของผู้ฟง”
ั
ี
ิ
ิ
ิ
็
ี
นอกจากน้อาจารย์ธนต อยู่โพธ์ ยังได้อธบายความหมายของค าว่า “ดนตร” เปน
ื
2 นัยคอ
็
ึ
ี
ี
ี
ึ
ื
้
1. หมายถง “คต” คอ เสยงค าขับรองซงนับเปนดนตร คอ เปน MUSIC เหมอนกัน
ื
่
ื
็
ี
ี
ี
ึ
้
่
ึ
ี
และถ้าหมายถงดนตรในทางขับรองก็ควรเรยกว่า “คตดนตร” ซงตรงกับค าว่า “VOCAL MUSIC”
ื
หรอ “MUSIC OF VOICES”
ี
็
ี
ี
่
่
ึ
ื่
ื
2. หมายถง “วาฑต” คอ เครองดด สี ตี เปา และถ้าเปนดนตรในทางดด สี ตี เปา
ิ
ึ
ก็ควรเรยกว่า “ วาฑตดนตร” ซงตรงกับ “ INSTRUMENTAL MUSIC” หรอ “ MUSIC OF
ิ
ี
่
ี
ื
INSTRUMENTS”
ี
่
ี
้
จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้น พอสรปได้ว่า ดนตรไทย หมายถง เสยงทรอยกรองกัน
ึ
ี
ุ
ุ
็
็
ิ
ี
ุ
่
เปนล าน าท านองเพลงอย่างเปนระเบยบทแสดงถงลักษณะของความเปนไทย ทกชาต ทกสังคมใน
ี
็
ึ
ุ
ิ
ี
ิ
ิ
โลก ย่อมมการสบทอดวัฒนธรรมของตนมาแต่อดตจนปจจบัน ตั้งแต่การเร่มคดประดษฐ์และ
ี
ื
ั
้
่
ื
็
ี
ิ
ู
ิ
สรางสรรค์งานจากรปแบบง่าย ๆ และมการพัฒนาเรอยไปจนกระทั่งปฏบัตใช้จนกลายเปน “แบบ
ี
แผน” สบต่อกันมา เช่น แบบแผนดนตรไทย หรอ THAI CLASSICAL MUSIC แบบแผนของภาษา
ื
ื
สันสกฤต หรอ สันสกฤต CLASSICAL เปนต้น ขนบธรรมเนยมทก าหนดใช้หรอทเคยประพฤต ิ
ื
็
่
ี
ี
ื
ี
่
ิ
ิ
ื
ปฏบัตสบต่อกันมา
ิ
ี
ุ
ิ
ิ
์
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 5
ี
ค าว่า “CLASSICAL” ซงหมายถงส่งทเปนชั้นเอกหรอชั้นสง เปนค าทมความหมาย
็
ิ
ึ
่
็
ี่
ึ
ื
่
ู
ี
ึ
ึ
่
่
่
ื
ี
ตรงข้ามกับค าว่า “PROLETARIAN” ซงหมายถง ชั้นต าหรอกรรมกร เปนทพูดกันอย่างกว้างขวางว่า
็
่
ี
็
็
้
ู
ู
็
ิ
่
ี
ู
ความเปนชั้นสงหมายถง การเปนทรจักหรอนายทนนั้น เปนส่งทถกต้อง แต่ความหมายของมัน
ึ
ื
ุ
่
ี
็
่
ื
่
ี
ี
แตกต่างจาก “MODERN” ซงคนมักจะเข้าใจผิด ยังมค าศัพท์ทใช้มากแต่ไม่เปนทยอมรบคอ ค าว่า
ึ
ั
“FANCIE” ซงตรงกันข้ามกับค าว่า “ARCHAIC” (ล้าสมัย) และตรงกันข้ามกับค าว่า “ROMANTIC”
ึ
่
ึ
ี่
ี่
ุ
ตัวอย่างเช่น จากศตวรรษท 1) ถงศตวรรษท 19 จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้นสามารถสรปได้ว่า
ื
่
ึ
ี
ู
ี
“แบบแผน” และ “CLASSICAL” นั้นหมายถง แบบอย่างทมการจัดระเบยบหรอรปแบบจนม ี
ี
ู
่
ึ
ื
ี
ื
ี
ลักษณะทเรยกว่า ดเลศ หรอ ชั้นสง ซงได้ก าหนดใช้สบต่อกันมา ดังนั้นค าว่า ลักษณะของแบบแผน
ิ
่
ี
ี
ึ
ี
ดนตรไทย จงหมายถง “ลักษณะของดนตรทแสดงถงลักษณะของความเปนไทยโดยมการจัดระเบยบ
็
ี
ี
ี่
ึ
ึ
ี
็
ี
จนมลักษณะทเรยกว่าดเลศหรอชั้นสง และก าหนดให้เปนแบบอย่างสบต่อกันมา” ดนตรไทยแบ่ง
ี
ี
ื
่
ี
ู
ื
ิ
ได้เปน 2 ส่วน ดังน้คอ
ื
็
ี
ี
ิ
1. ดนตรไทยประจ าถ่น
ี
2. ดนตรแบบแผนไทย
ี
ิ
่
ี
็
็
ุ
ี
ี
ดนตรไทย เปนดนตรของชนชาตไทยทมการรวมกล่มเปนสังคมเล็ก ๆ และได้
็
ิ
้
ึ
็
สรางสรรค์สังคมแบบเปนก๊ก เปนเหล่าอยู่เดมจนรวมตัวกันข้นเปนสังคมไทย เพราะฉะนั้นด้วย
็
ี
ี
ลักษณะของพื้นสังคมเดมน้เอง จงเปนเหตให้สังคมไทยใช้ภาษาไทยทมส าเนยงแตกต่างกันไปตาม
่
ุ
ี
ิ
ึ
็
ี
ท้องถ่นทได้มการก่อตัวข้นเปนสังคมย่อย การสรางแบบทางสังคมประจ าถ่นในระดับเพือการผ่อน
ิ
ึ
่
ิ
่
็
ี
ี
้
ึ
ิ
คลาย ในเชงการพักผ่อนจงมักจะเปนไปตามอารมณและความต้องการของบคคลในแต่ละท้องถ่น
ิ
็
ุ
์
่
ิ
็
ื
่
็
้
้
ิ
่
ซงส่วนใหญ่มักจะเปนกิจกรรมในเรองของการรองราท าเพลงเปนพื้น และงานศลปะทนยมสรางข้น
ึ
ี
ึ
ิ
ี
ิ
ื
ประจ าถ่นนั้น ลักษณะทั่ว ๆ ไปก็มได้ด าเนนไปตามระบบหรอกลไกทางดนตร แต่คงด าเนนไปตาม
ิ
ิ
ิ
ิ
ู
็
ั
่
ู
ี
ี
ี
่
สภาพแวดล้อมอันเปนแรงจงใจให้ผู้ทมภมปญญาทจะคดอ่านงานในทางศลปะนั้น เกิดแรงบันดาล
ิ
่
ใจทจะคดหากิจกรรมในเชงศลปะเปนการผ่อนคลายเปนส าคัญ ลักษณะดังกล่าวน้จงเรยกว่า “ดนตร ี
ิ
ิ
ึ
ี
ิ
ี
ี
็
็
ิ
ประจ าถ่น”
ด้วยลักษณะของสังคมไทยนั้น มโครงสรางทางสังคม ทมล าดับชั้นของประชากร
ี
ี
่
ี
้
็
จ าแนกเปนระดับชนชั้นปกครอง และระดับสามัญชนนั้น ระบบทางสังคมของชนชั้นปกครองมักจะ
ึ
็
่
็
เปนผู้สรางสรรค์วัฒนธรรมน าสังคมชนชั้นสามัญชน ด้วยลักษณะดังกล่าวจงส่งผลให้งานทเปน
ี
้
ู
มรดกทางวัฒนธรรมโดยมลักษณะของศลปะเปนรปแบบในการแสดงออกทางวัฒนธรรมรปแบบ
็
ิ
ี
ู
ื
ึ
่
ี
ิ
ี
หนง นับว่ามต้นแห่งการก่อวิวัฒนาการมาจากสังคมของชนชั้นปกครอง หรอทนยมเรยกกันว่า “งาน
่
ี
ในวัง” หรอ “แบบแผนชาววัง” ด้วยเช่นกัน
ื
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 6
งานดนตรไทยในรปแบบทเรยกว่า “ดนตรแบบแผนไทย” นั้นก็ได้มการก่อวิวัฒนา
ี
ี
ี
ู
ี
่
ี
ี
ิ
้
็
ึ
มากข้นตามโครงสรางดังบรบทดังกล่าวข้างต้น ด้วยงานลักษณะทเปนแบบแผนของไทยน้ ี
่
ี
็
็
จะเปนงานทก่อวิวัฒนาการข้นโดยมเกณฑ์ และมาตรฐานในเชงวิชาการเปนตัวก ากับ หรอ
ื
ึ
่
ี
ิ
ึ
ี่
อาจกล่าวได้ว่างานต่าง ๆ ทศลปนดนตรไทยได้สรางสรรค์ข้นไว้นั้น ล้วนแต่เปนงานท ่ ี
็
ิ
ี
้
ิ
ึ
่
ี
ิ
ี
ุ
สรางสรรค์ข้นบนบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์ของวิชาการดรยางค์ไทย ในกล่มทเรยกว่า
้
ุ
ิ
“ดนตรแบบแผน” น้ทั้งส้น
ี
ี
็
ี
ในอดตไม่ว่าจะเปนวิชาการในแขนงใดของไทยล้วนแต่อยู่ในลักษณะของการสบ
ื
ุ
ู
ิ
ทอดวิชาการโดยระบบมขปาฐะทั้งส้น ต่อเมอสังคมไทยได้พัฒนามาส่ยุคแห่งกรง
่
ื
ุ
่
ั
รตนโกสนทรก็ได้รบเอาแบบแผนในเชงการบันทกวิชาการอย่างเปนระบบ ทั้งฝาย
็
ิ
์
ิ
ึ
ั
ู
ี
ึ
็
่
ิ
ตะวันออกและตะวันตกอย่างเปนรปธรรมแล้วจงได้มการบันทกเรองราวในเชงวิชาการใน
ื
ึ
ื่
ึ
ี
สังคมไทยข้นเปนล าดับ ดังทปรากฏในปจจบันโดยเฉพาะเรองของระเบยบแบบแผนในเชง
ิ
ั
ุ
ี่
็
ี
ี
ึ
ิ
ี
วิชาการดนตรไทยนั้น กล่าวได้ว่าวงวิชาการดนตรไทยได้เร่มมการบันทกวิชาการข้นใน
ึ
ุ
ุ
สมัยของกรมศลปากร เปนศูนย์กลางในการท านบ ารงศลปวัฒนธรรมของชาตเปนต้นมา
็
็
ิ
ิ
ิ
ึ
่
ี
ุ
ึ
ิ
และวิชาการต่าง ๆ ทได้ท าการบันทกนั้นก็เปนการบันทกจากระบบมขปาฐะทั้งส้น โดยม ี
็
ี
์
ึ
์
็
ิ
ปรากฏการณในเชงแบบแผนทางดนตรเปนข้อพิสจนกรณศกษาในทางวิชาการแต่ละระบบ
ู
ี
ี
แต่ละลักษณะของดนตรไทย “แบบแผนดนตรไทย” นั้น ในวงวิชาการดนตรไทยได้จ าแนก
ี
ี
่
ี
แบบแผนของดนตรไทย ตามปจจัยทส่งผลให้ผลของการบรรเลงดนตรไทยประเภทต่าง ๆ
ี
ั
ี
ี
มความสมบูรณในสนทรยรส และบรรทัดฐานเชงวัฒนธรรมซงมความหมายไปตามปจจัย
่
ึ
ั
์
ุ
ี
ี
ิ
ี
บรบททางสังคม ผลของการก่อวิวัฒนาการโดยมบรบททางวัฒนธรรมดังกล่าวข้างต้น
ิ
ิ
ส่งผลให้วงวิชาการเกิดการตกตะกอนเชงภมปญญาและพัฒนาการมาส่การหลอมรวม
ู
ั
ิ
ู
ิ
ี
ี
ี
ั
วิชาการข้น ก าหนดเปนแบบแผนโดยมประเภทของวงดนตรและเพลงดนตรเปนปจจัยหลัก
็
ึ
็
ิ
ในการเปนศูนย์รวมแห่งบรบททางวิชาการ เช่น แบบแผนของการบรรเลงมโหร แบบแผน
็
ี
ื่
ของการบรรเลงเครองสาย แบบแผนของการบรรเลงปพาทย์พิธ แบบแผนการบรรเลง
ี่
ี
ื่
เครองสายผสม แบบแผนการบรรเลงปพาทย์นางหงส แบบแผนการบรรเลงปพาทย์
ี่
ี่
์
ี่
ึ
็
่
ดกด าบรรพ์ ตลอดจนแบบแผนการบรรเลงปพาทย์เสภา เปนต้น ซงแบบแผนของการ
ึ
ึ
ี
็
่
บรรเลงดนตรแต่ละประเภทต่างก็มข้อก าหนดเปนการเฉพาะ ซงโดยทั่วไปจะจ าแนก
ี
องค์ประกอบได้ ดังน้ ี
1. แบบแผนในการผสมวง
2. แบบแผนการใช้ระบบการบรรเลง
3. แบบแผนการใช้เพลง
ิ
ุ
ิ
ิ
์
ี
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 7
ิ
4. แบบแผนเชงวัฒนธรรมดนตร ี
2.2 แบบแผนในการผสมวง
ึ
ั
ิ
็
โดยทั่วไปปจจัยทเปนต้นก าเนดของการก าหนดระบบการผสมวงข้นเปนแบบแผน
่
็
ี
ั
็
ึ
ี
นั้นข้นอยู่กับปจจัยของกิจกรรมทางสังคมเปนส าคัญ เช่น แบบแผนวงปพาทย์พิธก็จะม ี
ี
่
กิจกรรมด้านพิธกรรมเปนปจจัยหลัก ส่งผลให้วิชาการดนตรไทยก าหนดแบบแผนในการ
ี
็
ั
ี
ี
ื่
ึ
ี
ื่
่
ี
่
ื่
ิ
็
ผสมวงปพาทย์พิธข้น ประกอบด้วย เครองตและเครองเปา เปนเครองด าเนนท านองภายใต้
การก ากับจังหวะ ด้วยระบบของการควบคมจังหวะย่อยและจังหวะหน้าทับ ซงลักษณะของ
ึ
่
ุ
ื
ึ
ื
ี
ี
่
ี
ิ
่
ี
ี
เสยงดนตรประกอบข้น ด้วยลักษณะของเครองดนตรทก าเนดเสยงจากการสั่นสะเทอนของ
่
ไม้ โลหะ หนังสัตว์ และเสยงของเครองเปาทเกิดจากการสั่นสะเทอนของวัสดทเรยกว่า
ุ
ี
ี
่
่
ื
่
ื
ี
ี
ี
ี
่
ิ
“ล้นป” หรอเครองเปาประเภทใช้ล้น เปนปจจัยในการเกิดเสยง สามารถแสดงให้เหนเปน
ั
ื
็
ิ
่
็
็
ื่
ี
ุ
ื
กล่มของเครองดนตรได้ ดังน้ ี
่
ี
่
2.2.1 เครองดนตรประเภทเสยงเกิดจากการสั่นสะเทอนของไม้ ประกอบด้วย
ื
ื
ี
- ระนาดเอก
- ระนาดท้ม
ุ
ั
- กรบ
ี
ื
่
2.2.2 เครองดนตรประเภทเสยงเกิดจากการสั่นสะเทอนของโลหะ ประกอบด้วย
ี
ื
- ฆ้องวงใหญ่
- ฆ้องวงเล็ก
- ระนาดเอกเหล็ก
ุ
- ระนาดท้มเหล็ก
- ฉ่ง/ฉาบ
ิ
- โหม่ง
2.2.3 เครองดนตรประเภทเสยงเกิดจากการสั่นสะเทอนของหนังสัตว์ ประกอบด้วย
่
ี
ี
ื
ื
- ตะโพน
- กลองทัด
ี่
์
ิ
2.3 แบบแผนการผสมวงชนดวงปพาทยพิธ ี
ี
โดยแบบแผนของการผสมวงปพาทย์พิธนั้น นอกจากแบบแผนในการผสม
ี
่
ี
ึ
เสยงดนตรแล้ว วงวิชาการยังได้ก าหนดแบบแผนของการผสมวงเชงระบบการบรรเลงข้น
ี
ิ
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 8
ึ
่
ึ
่
ี่
ี
็
เปนองค์ประกอบทส าคัญอกประการหนง ซงจ าแนกออกเปน แบบแผนเชงระบบการ
็
ิ
ุ
ี่
ิ
ควบคม และแบบแผนเชงหน้าทในการบรรเลง โดยข้อก าหนดทางวิชาการ ก าหนดให้ม ี
ุ
ี
ุ
ุ
ุ
่
ุ
กล่มผู้น าการบรรเลง กล่มหลักของวง กล่มการตกแต่ง และกล่มควบคมจังหวะ ทส่งผลให้
เกิดการจ าแนกหน้าทการบรรเลงอันได้ก าหนดเปนแบบแผนไว้ ประกอบด้วย
่
ี
็
1. ระนาดเอกและปใน ปฏบัตหน้าทในการเปนผู้น าวงโดยมระนาดเอกเปนผู้น าวง
ี่
ี
็
ิ
ี่
็
ิ
่
็
และเครองเปาเปนผู้ช่วย
ื
่
ี
็
ุ
ิ
่
2. กล่มหลักของวง ก าหนดให้ฆ้องวงใหญ่ท าหน้าทในการด าเนนท านองเปนหลัก
ของวง
ุ
3. กล่มการตกแต่ง ก าหนดให้ระนาดท้ม, ฆ้องวงเล็ก, ระนาดเอกเหล็ก, ระนาดท้ม
ุ
ุ
ิ
เหล็ก ท าหน้าทในการตกแต่งการด าเนนท านองของวง
ี
่
ั
ุ
ิ
ุ
4. กล่มควบคมจังหวะ ก าหนดให้ฉ่ง, ฉาบ, กรบ, โหม่ง ท าหน้าทในการควบคม
ุ
ี่
่
ื
จังหวะย่อยโดยม ฉ่ง เปนหัวหน้า และก าหนดให้เครองหนัง (ตะโพน, กลองทัด) เปนผู้ท า
็
ิ
ี
็
ู
ี
่
ิ
ี
หน้าทก ากับความถกผิดของการบรรเลง และตกแต่งลลาในการด าเนนจังหวะของเพลง
นอกจากแบบแผนการใช้ระบบการบรรเลงแล้ว วงวิชาการดรยางค์ไทยได้ก าหนด
ิ
ุ
ี
็
่
ั
ี
แบบแผนว่าด้วยการใช้เพลงส าหรบวงปพาทย์พิธไว้เปนปจจัยแห่งองค์ประกอบอกส่วน
ี
ั
่
ี
่
ึ
่
่
ึ
หนง ซงเพลงทวงวิชาการก าหนดไว้เปนกรอบเพือการบรรเลง ประกอบด้วยเพลงหน้า
็
พาทย์และเพลงเรองเปนส าคัญ
ื่
็
องค์ประกอบ 3 ประการดังกล่าวข้างต้นแล้วนั้น วงวิชาการดรยางค์ไทยยังได้
ุ
ิ
ึ
ึ
ิ
่
ึ
็
ก าหนดแบบแผนเชงวัฒนธรรมไว้อกประการหนง ซงประกอบข้นเปนกระบวนการท ่ ี
่
ี
็
สะท้อนให้เหนพื้นฐาน แนวคด และค่านยมตามปจจัยทางสังคม อันประกอบด้วย
ิ
ั
ิ
ึ
1. การระลก/ร าลกถงผู้มพระคณ
ึ
ี
ุ
ึ
ิ
2. การด าเนนตามกตกาทางสังคม (การใช้เพลงตามขั้นตอนของการประกอบ
ิ
พิธกรรม)
ี
3. การอ าลา/ล าลา (กระบวนเพลงลา ในการท าบญให้ทาน)
ุ
่
ี
้
็
็
ปจจัยทั้ง 4 ประการน้ เปนลักษณะทวงวิชาการก าหนดข้นเปนโครงสรางของความ
ึ
ี
ั
เปนแบบแผนของวิชาการดนตรไทย ไม่ว่าจะเปนการบรรเลงดนตรประเภทใด ๆ องค์กรท ี่
็
ี
็
ี
ท าหน้าทในการกระท าให้เกิดการบรรเลงนั้น จะต้องด าเนนไปตามกรอบแห่งข้อก าหนด
ิ
ี
่
ุ
ี
ิ
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 9
ิ
์
ิ
้
ตามโครงสรางทางวิชาการ ดังกล่าวข้างต้น นอกจากแบบแผนเชงโครงสรางดังกล่าวน้ ี
้
ี
ี
ั
ปจจัยของความเปนลักษณะเฉพาะของวง ดนตรแต่ละประเภท ย่อมส่งผลให้มความ
็
ี
็
ั
แตกต่างกันในสาระของรายละเอยดด้วย เช่น แบบแผนของวงปพาทย์เสภา อันจะเปนปจจัย
ี่
ี
่
ี
ู
ี
ึ
หลักในการน าไปส่สาระในรายละเอยดทเกียวข้อง โดยประเดนแห่งกรณศกษาทจะได้กล่าว
่
ี
็
่
ึ
ี่
ั
เน้นถงแบบแผนการปรบวงปพาทย์เสภาโดยล าดับไป
่
ั
็
2.4 กลไกการปรบวงสูความเปนขนบ
ึ
ู
ค าว่า “กลไกการปรบวงส่ความเปนขนบ” สามารถจ าแนกความตามการศกษา
็
ั
ึ
ี่
ค้นคว้าได้ ประกอบด้วย “กลไก” หมายถง ระบบทจะให้งานส าเรจตามประสงค์ “การปรบ
ั
็
ุ
ึ
ุ
ี
ื
ั
ี
ื
วง” หมายถงการปรบปรง หรอ ปรงแต่ง หรอตกแต่งการบรรเลงดนตรให้ดข้น ถกต้องตาม
ู
ึ
ู
ั
ิ
็
ี
หลักมาตรฐานและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ จนเปนทนยมและยอมรบกันว่าดและถกต้อง “ขนบ”
ี่
ึ
ี
ี
ึ
หมายถง แบบอย่าง, แผน, ระเบยบ “ขนบ”หมายถง ระเบยบแบบแผน
ุ
เมอน าความหมายของค าส าคัญดังกล่าวข้างต้นมาพิจารณาแล้ว สามารถสรปได้ว่า
ื
่
กลไกการปรบวงส่ความเปนขนบ คอ ระบบการปรบปรงตกแต่งการบรรเลงดนตรไปตาม
็
ั
ั
ี
ู
ื
ุ
ั
็
แบบแผนทวงวิชาการดรยางค์ไทยก าหนดรปแบบไว้เปนมาตรฐาน โดยกรอบทผู้ปรบวง
่
ี่
ี
ุ
ู
ิ
จะต้องใช้บรบททางวิชาการทเกียวข้องมาท าการปรบให้ผลการบรรเลงปรากฏได้ตามเกณฑ์
ั
ิ
ี
่
่
ททางวิชาการก าหนดข้นไว้เปนแบบแผน
ึ
็
่
ี
ิ
2.5 แนวคิดเชงความงามตามขนบ
ี
แนวคดเชงสนทรยภาพเกียวกับความงามของดนตรไทยมลักษณะทแตกต่างกับ
ี
่
ิ
ี
ุ
ิ
่
ี
่
ี
แนวคดเชงความงามของวัฒนธรรมดนตรโดยทั่วไปตรงท วงวิชาการดนตรไทยมแนวคด
ิ
ี
ิ
ิ
ี
ี
ิ
ิ
ในเชงความสมบูรณแห่งความงามไปตามประเภทของวงดนตร และชนดของการใช้เพลง
์
ี
ุ
ี
็
ึ
อันก าหนดไว้เปนแบบแผน ซงไม่สามารถจะส่งผลให้น าเอาสนทรยภาพแห่งความงามของ
่
ื
่
ึ
ึ
การบรรเลงแต่ละประเภทมาตรวจสอบหรอวัดให้ปรากฏถงความยิ่งหย่อนในความงามซง
็
็
กันและกันได้ ซงความงามอันเปนลักษณะเฉพาะตัวดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความเปนแบบ
่
ึ
ิ
แผนข้น โดยวงวิชาการดรยางค์ไทยมความเชอเปนปจจัยแห่งความคาดหวังว่า โดยแบบ
ื
ุ
็
ั
่
ึ
ี
ุ
แผนของการบรรเลงแต่ละประเภท แต่ละชนด จะส่งผลให้เกิดการสนับสนนในเชง
ิ
ิ
ี
์
ั
สนทรยรสทมความสมบูรณได้ตามแต่กรณ อันมลักษณะทสามารถปรบปรนให้สอดคล้อง
ุ
ี
ี
ี่
ี
ี
่
กับการปรบเปลยนสังคมได้อย่างต่อเนอง จนมค ากล่าวไว้โดยทั่วไปในวงวิชาการว่า “ระบบ
ี
่
ื
่
ั
ี
ของการบรรเลงดนตรไทยนั้นสามารถปรบตัวเองให้สอดคล้องกับกาลเทศะได้อย่างไม่มท ่ ี
ั
ี
ี
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 10
ู
ิ
ุ
ี
ิ
ิ
ุ
ส้นสด” ทั้งน้ด้วยวิชาการดรยางค์ไทยได้ก าหนดแบบแผนเชงการบรรเลงไว้ในรปของการ
่
ิ
็
ั
ปรบวงบรรเลงด้วยองค์ประกอบของวิชาการทเกียวข้อง ทมได้ก าหนดไว้เปนการตายตัวว่า
ี
ี
่
่
่
ึ
่
ื
ึ
่
ี
เพลงหนง ๆ นั้นจะต้องใช้เพียงส านวนใดส านวนหนง หรอวิธใดวิธหนงเปนการเฉพาะ
ึ
ี
็
โดยทั่วไปมักจะก าหนดเพียงกรอบหรอขอบเขตไว้เปนเพียงหลักการให้ผู้ทเกียวข้องได้ใช้
ื
่
็
ี
่
ี
ิ
้
่
่
กลไกทางวิชาการเข้าประกอบกับแนวคดทได้สรางสรรค์ไว้เพือการบรรเลงตามกาลเทศะท ี ่
ิ
ิ
็
สมควรและเหมาะสม ภายใต้ปจจัยของล าน า ท านอง และจังหวะ ทศลปนจะพึงใช้เปนหลัก
ั
ี่
ี
ี
้
่
ุ
ึ
ในการปรบเพือสรางสรรค์สนทรยรสให้เกิดข้นเปนสนทรยรสของแต่ละรป แต่ละกรณ
ุ
ี
ู
ั
็
้
2.6 กระบวนการวิเคราะหบรบทที่เกี่ยวของ
ิ
์
ั
การปรบวงดนตรโดยขนบไทยนั้น หมายถงการปรบปรง ตกแต่ง การบรรเลงดนตร ี
ี
ึ
ุ
ั
ู
ุ
ิ
็
ี
่
ึ
่
ไปตามแบบแผนทวิชาการดรยางค์ไทยได้ก าหนดรปแบบไว้เปนมาตรฐานโดยกรอบ ซงได้
มการคดค้นและรวบรวมหลักการต่าง ๆ ในการบรรเลงไว้อย่างละเอยด โดยเรยกส่งต่าง ๆ
ี
ิ
ิ
ี
ี
ึ
่
่
ั
ี
ื
ี
ึ
ี่
เหล่านั้นว่า “ หลักการปรบวง” ซงมเน้อหาสาระทกล่าวถงหลักและวิธการต่าง ๆ ทจะ
ี
ี
ึ
ุ
ึ
สามารถน ามาเสรมสรางการบรรเลงให้มรสแห่งสนทรย์มากยิ่งข้น การศกษาในเรองของ
ี
้
ิ
ื่
่
ั
ิ
็
ี
่
ึ
ี่
็
ี
บรบททเกียวข้องกับการปรบวงดนตรโดยขนบไทยจงเปนส่งส าคัญ เพราะเปนปจจัยทท า
ั
ิ
่
็
่
ี
ให้ทราบถงเรองราวต่าง ๆ ทมส่วนเกียวข้องกับวิชาการนั้น สามารถแบ่งเปน เรองใหญ่ ๆ
ี
ึ
ื
่
่
ื
ื่
ได้ 2 เรอง ดังน้ ี
่
2.6.1 วิชาการทเกียวข้องกับผู้ปรบวง
่
ั
ี
ู
ี
ผู้ปรบวงจะต้องเปนบคลากรทมความร ความสามารถอย่างสง มประสบการณใน
ั
้
ี่
็
์
ู
ุ
ี
เรองของการบรรเลงและการปรบวงมากพอสมควร และสามารถน าเอาวิชาการทเกียวข้อง
่
ื่
่
ั
ี
ั
นั้นเข้ามาด าเนนการปรบวงให้ผลของการบรรเลงนั้น ปรากฏได้ตามเกณฑ์ทวิชาการดร ิ
ี่
ุ
ิ
ี
ึ
้
ิ
ิ
์
็
ุ
ี
ยางคศลปได้ก าหนดข้นไว้เปนแบบแผน รวมทั้งเสรมสรางการบรรเลงให้มรสแห่งสนทรย์
ึ
มากยิ่งข้น
่
ี
ี
2.6.2 วิชาการทเกียวข้องกับวงดนตรและเพลง
่
่
วิชาการทเกียวข้องกับการบรรเลงตามลักษณะของวงดนตร เน้นทบทบาทของวง
ี
่
ี่
ี
ี่
ดนตรนั้น ๆ ว่าใช้ในโอกาสเช่นไร เช่น การบรรเลงวงปพาทย์พิธ ย่อมไม่เหมอนการ
ี
ี
ื
ึ
บรรเลงวงปพาทย์เสภา หรอวงปพาทย์นางหงส ซงมบทบาทต่างไปตาม กาลเทศะ เปนต้น
่
์
ี่
็
ี
ี่
ื
ิ
ุ
ี
ิ
ิ
์
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 11
ี
็
ึ
ี
ุ
ี
ิ
ื่
ความแตกต่างกันน้ มได้ตั้งแต่ เรองของความเรยบน่มนวลไปจนถงความเรว การพลกแพลง
ี
โลดโผน ในเรองของการใช้ความเรวในการบรรเลง ตามลักษณะของวงดนตรนั้น
็
ื่
ี
่
2.6.3 วิชาการทเกียวข้องกับระบบการบรรเลง
่
็
ี
- ระบบการบรรเลงของดนตรไทย จะบรรเลงในแนวทเรยกว่า “เรยวเปนหางหน”
ู
ี่
ี
ี
ู
คอ เร่มจากแนวทอยู่ในระดับช้า แล้วเพิ่มความเรวสงข้นตามล าดับ จนกว่าจะหมดท่อนและ
ึ
ิ
่
็
ี
ื
เพลง
้
้
้
ิ
ิ
- ในการบรรเลงและขับรองนั้น โดยปกตจะให้ผู้ขับรองด าเนนการขับรองก่อนแล้ว
จงให้ดนตรบรรเลงรบสลับกันไปทละท่อนจนจบเพลง โดยมเครองก ากับจังหวะท าหน้าท ี ่
ึ
ั
่
ี
่
ื
ี
ี
ควบคมไปโดยตลอด
ุ
ู
ื่
ู
ื
- เมอบรรเลงจบเพลง สามารถลงจบด้วยวิธ “ทอดลง” “ลงลกหมด” หรอ “ออกลก
ี
ู
ั
ี
ึ
บท” แล้วลงลกหมดอกคร้งหนง ตามแต่ความเหมาะสม
่
ึ
ิ
ี
ทั้งน้ แบบแผนในการใช้ระบบการบรรเลงนั้น ปจจัยส าคัญข้นอยู่กับชนดของวง
ั
ี
็
ี
ู
ึ
็
ดนตรแต่ละประเภทเปนส าคัญ ซงได้มกระบวนการในการบรรเลงเปนรปแบบเฉพาะตัว
่
ี
ตัวอย่างเช่น วงปพาทย์พิธ ได้ก าหนดแบบแผนว่าด้วยการใช้เพลงในกล่มของเพลงหน้า
ี่
ุ
พาทย์และเพลงเรอง วงปพาทย์เสภา ก็ก าหนดให้ใช้เพลงในกล่มของเพลงเสภา เปนต้น
ุ
ื่
็
ี่
่
ี
ึ
ี
ุ
่
ึ
เพลงในกล่มต่าง ๆ ก็ย่อมจะต้องมระบบการบรรเลง ซงมหลักและวิธการซงแตกต่างกัน
ี
ุ
ี
ออกไป เพลงแต่ละกล่มมแบบแผนในการบรรเลงเปนลักษณะเฉพาะตัว
็
่
่
ี
2.6.4 วิชาการทเกียวข้องกับหน้าทของเครองดนตร
่
ื
ี
ี
่
ี
ี
่
ี
ในการบรรเลงดนตรไทยนั้น ได้มการก าหนดหน้าทหลักและวิธการบรรเลงของ
ี
ี่
ี
ื่
่
ื
เครองดนตร แต่ละเครองมอในการบรรเลงรวมวงไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น วงปพาทย์
ื
ื
่
ี
เสภา ก็ได้ก าหนดหน้าทในการบรรเลงของเครองดนตร ประกอบด้วย
ี
่
ี่
ี
ี
่
ื
่
ุ
็
่
- กล่มของเครองดนตรทท าหน้าทเปนผู้น าวง ได้แก่ ระนาดเอก, ปใน
ี
่
ื
ุ
ี
ี
่
ี
็
- กล่มของเครองดนตรทท าหน้าทเปนหลักของวง ได้แก่ ฆ้องวงใหญ่
่
่
- กล่มของเครองดนตรทท าหน้าทตกแต่งการบรรเลง ได้แก่ ระนาดท้ม, ฆ้องวงเล็ก
ุ
ี
ื
่
ี
ุ
ี
่
- กล่มของเครองดนตรทท าหน้าทก ากับจังหวะย่อย ได้แก่ ฉ่ง, ฉาบ, กรบ
่
ั
ุ
ื
ิ
่
ี
ี
่
ี
่
- กล่มของเครองดนตรทท าหน้าทก ากับจังหวะหน้าทับ ได้แก่ กลองสองหน้า
ี
ี
ื
่
ี
่
ุ
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 12
ื
ุ
ี
ี
่
ในแต่ละกล่มเครองดนตรนั้นต่างก็มหลักในการด าเนนท านองในการบรรเลงไป
ิ
ื
ุ
่
ี่
ี
ตามแบบแผนทวิชาการได้ก าหนดไว้ นอกจากนั้นยังมการวางระบบการแบ่งกล่มเครอง
ู
ี
ี่
ดนตรบรรเลงก่อนหลัง (เพลงประเภทลกล้อลกขัด) โดยใช้หลักการให้รวมเครองดนตรทม ี
ื่
ู
ี
ี
ุ
ี
ี
็
ื่
ุ
ี่
็
ี
เสยงแหลมเข้ากล่มกันเปนพวกแรก และรวมเครองดนตรทมเสยงท้มเข้าด้วยกันเปนพวก
ุ
็
หลัง (แบ่งเปนกล่มหน้าและกล่มหลัง)
ุ
่
่
2.6.5 วิชาการทเกียวข้องกับผู้บรรเลง
ี
่
ี
ี
ื
็
่
ึ
ึ
ั
ื
ี
ปจจัยทส าคัญของผู้บรรเลงหรอผู้ทเปนนักดนตรไทยก็คอ การศกษาและการฝกฝน
ผู้บรรเลงจะต้องได้รบการเรยนรตามกระบวนการศกษาตามหลักการทางวิชาการดรยางค์
ั
ิ
ึ
ุ
้
ู
ี
ึ
ิ
ิ
ี
ไทย ทั้งภาคทฤษฎและภาคปฏบัต นอกจากนั้นก็จะต้องมการฝกฝนในด้านทักษะจนเกิด
ี
ุ
ี
ี
ึ
ความช านาญ จากการทดลองฝกฝนของนักดนตรตั้งแต่สมัยโบราณมาจนปจจบันน้ การ
ั
ิ
ี
ื
้
ั
็
คดค้นต่าง ๆ ได้รบการกลั่นกรอง เลอกเฟน จนเกิดเปนทฤษฎในการฝกฝนต่าง ๆ จนนับได้
ึ
ึ
ว่าปจจบันวิชาการทางด้านดรยางค์ไทยสามารถให้การเรยน การสอน และการฝกฝนได้ด้วย
ุ
ุ
ี
ิ
ั
ิ
ี
หลักการทมั่นคง แน่นอน และสัมฤทธ์ผล
่
็
ิ
ี
ี
ในการบรรเลงดนตรไทย ส่งส าคัญคอการบรรเลงร่วมกันเปนวงดนตร ฉะนั้นผู้
ื
ึ
บรรเลงนับเปนปจจัยทส าคัญมากในการด าเนนการปรบวงดนตรไทย จงมความจ าเปนท ี่
ั
ั
ี
ี่
ิ
็
ี
็
่
ี่
ึ
ึ
ื
จะต้องท าการคัดเลอกผู้บรรเลงทมความร ความสามารถ (ซงได้ผ่านกระบวนการศกษา
ู
ี
้
ิ
ิ
้
ู
ึ
ึ
ั
ดังกล่าวข้างต้น มาโดยล าดับ) และสามารถปรบความรสกนกคด ค่านยม ตลอดจน
็
ื
พฤตกรรมต่าง ๆ ให้เปนในแนวทางหรอทศทางเดยวกันได้ ท าให้เกิดความเปนเอกภาพใน
็
ิ
ิ
ี
การบรรเลงรวมวง ดังน้ ี
ิ
ึ
ื
ื่
ั
ิ
- ต้องเปนผู้ได้รบการฝกฝนในการบรรเลงและปฏบัตเครองดนตรในเครองมอของ
็
ื่
ี
ี
ุ
ตนเองมานานพอสมควร รความสามารถของเครองดนตรทตนใช้ว่าให้คณภาพเสยงได้
่
ื
ี
ี
ู
่
้
ื
ิ
ี
ิ
่
เพียงใด ตลอดจนรความสามารถของตนเองว่าสามารถปฏบัตหรอบรรเลงเครองดนตรช้น
ื
ิ
ู
้
นั้น ๆ ให้ได้คณภาพอย่างไร
ุ
ี่
็
ื
ู
- ความร ความสามารถและฝมอของผู้บรรเลงในแต่ละเครองมอ ต้องเปนผู้ทม ี
้
ื
ี
่
ื
ี
ิ
้
ู
ความรความสามารถในเชงวิชาการและฝมออย่างสง เพือเอ้ออ านวยประโยชน์ในการ
ื
่
ื
ู
บรรเลง และการปรบวง
ั
ั
ื
ี่
- การรกษาหน้าทในการบรรเลงของแต่ละเครองมอ ผู้บรรเลงจะต้องรหน้าทและ
่
ู
้
ื
ี
่
ี
ความรบผิดชอบของตนเอง มวินัยในการบรรเลง ไม่ก้าวก่ายหน้าทในการบรรเลงซงกัน
่
ึ
ี
่
ั
และกัน
์
ิ
ิ
ิ
ุ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 13
ี
ึ
ี
้
ี
- ความพรอมเพรยงในการบรรเลงรวมวง หมายถงความพรอมเพรยงตั้งเเต่การตั้ง
้
ี
ึ
ิ
ี
ุ
ต้นของการเตรยมงาน การเตรยมตัวการฝกซ้อม จนกระทั่งส้นสดการบรรเลง จะต้องมวินัย
ี
่
ื
ี
้
มความสามัคค และให้ความร่วมมอร่วมใจกันอย่างมากและอย่างสม าเสมอ มความพรอม
ี
ี
ี
ั
ี
เพรยงในการฝกซ้อม มความพรอมรบผิดชอบต่อหน้าทของตนและส่วนรวม ปฏบัตหน้าท ี่
ิ
ึ
้
ิ
ี
่
ั
ี่
ทได้รบมอบหมาย
- มประสบการณด้านบรรเลงรวมวง ในการด าเนนการปรบวงนั้นสามารถ
ิ
ี
ั
์
ี่
ี
ั
ิ
ึ
ปรบเปลยนวิธการบรรเลงตามความรสกนกคด ค่านยม ตลอดจนพฤตกรรมต่าง ๆ ให้
ิ
ิ
ึ
ู
้
ุ
็
ั
เปนไปตามจดประสงค์ของผู้ปรบวง
็
ี
ื
่
ึ
ั
ื
- ให้ความร่วมมอในเรองของการฝกซ้อมและการปรบวงเปนอย่างด ส่งผลให้การ
ึ
ุ
ิ
ิ
ุ
่
ี
ด าเนนการต่าง ๆ สัมฤทธผลตามจดประสงค์ทก าหนดไว้ จงสามารถสรปได้ว่า
ิ
่
ี
่
ั
์
ี
กระบวนการวิเคราะหบรบททเกียวข้องกับการปรบวงดนตรไทยโดยขนบไทยข้างต้น จะ
ั
เหนได้ว่าบรบทของการปรบวงนั้น ประกอบด้วย 3 ส่วนส าคัญคอ ผู้ปรบวง ผู้บรรเลง และ
ั
ิ
ื
็
ี่
วิชาการทเกียวข้อง (วงดนตรและเพลง)
่
ี
2.7 กลวิธการเพิ่มประสทธภาพ
ิ
ิ
ี
ี
ิ
ค าว่า “กลวิธการเพิ่มประสทธภาพ” สามารถจ าแนกความหมายของค า ตาม
ิ
ุ
ี
ึ
พจนานกรมฉบับราชบัณฑตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ดังน้ “กลวิธ” หมายถง วิธพลกแพลง
ิ
ี
ี
ิ
ี
ิ
ู
้
่
ึ
โดยอาศัยความรความช านาญ “ประสทธภาพ” หมายถง ความสามารถทท าให้เกิดผลในการ
ิ
ึ
่
ึ
้
ี
ิ
งาน ฉะนั้น โดยความหมายรวมจงหมายถง “การใช้วิธการต่าง ๆ เพือเสรมสรางงานนั้น ๆ
ึ
ื
ให้เกิดผลเพิ่มมากข้นหรอสงข้น โดยอาศัยความรความช านาญ” กลวิธการเพิ่ม
ู
ึ
้
ู
ี
็
ี
ิ
ั
ิ
ประสทธภาพ ในการปรบวงดนตร สามารถแบ่งออกเปน 2 ลักษณะ ได้แก่
2.7.1 เชงหลักการ
ิ
ื่
ื
่
ึ
่
ี
ี
ิ
ิ
หมายถง กลวิธการเพิ่มประสทธภาพทว่าด้วยเรองหลักการ ยกตัวอย่างเช่น เมอได้
ั
ก าหนดวิชาการและด าเนนการใช้แล้ว ปรากฏว่าเกิดปญหาข้ ึนกับผู้บรรเลง จะต้อง
ิ
็
ึ
ึ
ี
ิ
ั
ท าการศกษาว่าปญหานั้นเกิดข้นมาอย่างไร และจะด าเนนการแก้ไขด้วยวิธใด เปนการแก้ไข
ี
ิ
ั
ิ
ประสทธภาพของผู้บรรเลงด้วยหลักการ กรณเช่น พบปญหาว่าผู้บรรเลงระนาดเอกนั้น ลง
้
ื
ี
ั
ี
ั
่
ึ
ื่
ไม้ตระนาดโดยททั้งสองมอลงไม่พรอมกัน เมอเกิดปญหาดังน้ข้น จะแก้ไขปญหาอย่างไร
ี
ั
การแก้ไขปญหาก็ต้องพิจารณาว่าหลักการทท าให้การตระนาดให้มอทั้ง 2 ข้างลงพร้อมกันก็
ี
ื
ี
่
้
ี
ี
ื
ึ
คอการ ไล่ระนาด โดยมลักษณะทเรยกว่า “ตฉาก” จงจะสามารถแก้ปญหามอไม่พรอมกัน
ั
ื
ี
ี
่
็
ได้ เปนต้น
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 14
็
จะเหนได้ว่าเปนการแก้ไขปญหาด้วยตัวหลักการของเรองนั้น ๆ ในลักษณะ
็
่
ื
ั
ื
เดยวกันเมอพบปญหาในจดอน ๆ ก็ต้องใช้หลักการต่าง ๆ ของแต่ละเรอง แต่ละประเดนนั้น
่
ี
็
ั
่
ื
ื
ุ
่
ั
ี
เข้าไปช่วยคลคลายปญหาต่าง ๆ ให้บรรลผลส าเรจทตั้งไว้ ลักษณะเช่นน้จัดเปนกลวิธการ
็
ี
่
ุ
็
ี
ี
่
ิ
เพิ่มประสทธภาพในเชงหลักการ
ิ
ิ
2.7.2 เชงจตวิทยา
ิ
ิ
่
หมายถง กลวิธการเพิ่มประสทธภาพทว่าด้วยเรองจตวิทยา เปนกลวิธทใช้ควบค่ไป
ี
ึ
ี
่
ี
ิ
ื
่
ู
ี
็
ิ
ิ
กับการเพิ่มประสทธภาพเชงหลักการ คอ เปนการแก้ไขปญหาโดยใช้จตวิทยา เช่น สราง
ั
็
ื
ิ
ิ
ิ
ิ
้
แรงจูงใจ หรอวางเงอนไขให้ผู้บรรเลงเกิดความรสกทต้องการจะพิสจน์หรอทดลองปฏบัต ิ
ี่
ู
้
่
ื
ึ
ู
ื
ื
ิ
ิ
เปนต้น ลักษณะเช่นน้เปนกลวิธทแฝงอยู่ในลักษณะเชงจตวิทยา เปนส่งทสามารถเข้าไป
่
็
็
ี
ี
ิ
่
็
ิ
ี
ี
ั
็
ช่วยคลคลายปญหานั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น การบรรเลงเพลงรวประลองเสภานั้น เปนเพลงท ี่
ั
ี
่
ี
ึ
้
่
ี
็
ไม่มอัตราจังหวะควบคม จงท าให้การบรรเลงรวมวงเกิดความไม่พรอมเพรยงเปนอันหนง
ุ
ึ
ื
ิ
ิ
ั
ั
อันเดยวกัน การแก้ไขปญหาก็อาจจะใช้กลวิธเชงจตวิทยามาด าเนนการได้คอ ผู้ปรบวงวาง
ี
ี
ิ
ี
็
ี
่
ื
็
เงอนไขโดยให้ใช้การหายใจเปนตัวก าหนดช่องไฟ กลวิธเช่นน้เปนการสรางแรงจงใจให้
ู
้
ี
ื
ึ
ผู้บรรเลงทกคนเกิดความรสกทต้องการจะทดลองหรอพิสจนเงอนไขทผู้ปรบวงได้สรางข้น
้
่
้
ู
ู
ี
ื
ุ
ึ
่
์
ั
่
ึ
่
็
ซงในการพิสจนนั้น ก็จะพบว่าสามารถใช้ให้เกิดผลส าเรจได้ เปนต้น ลักษณะเช่นน้เมอพบ
็
่
ี
์
ื
ู
ื่
่
ี
็
ุ
ี
ั
ปญหาในจดอน ๆ ก็ สามารถใช้กลวิธในลักษณะน้เข้าคลคลายปญหาได้ เช่น ผู้ปรบวงเปนผู้
ั
ั
ี
ื
ิ
ี
็
่
วางเงอนไขในแต่ละจด ส่งเหล่าน้จะเปนส่งทท าให้ผู้บรรเลงเกิดความต้องการทจะท าการ
ี
ุ
่
ิ
่
ี
พิสจนถอเปนกลวิธเพิ่มประสทธภาพเชงจตวิทยา
ิ
ิ
ื
็
ี
ิ
ู
ิ
์
่
์
ั
2.8 ความสมพันธระหวางดนตรไทยและวิถีชวิตของชาวไทย
ี
ี
่
่
ี
์
ี
จากหลักฐานทางประวัตศาสตรทเกียวข้อง พบว่าดนตรไทยปรากฏอยู่ในเหตการณ ์
ุ
ิ
ส าคัญต่าง ๆ ของชาวไทยตั้งแต่กษัตรย์ลงมาจนถงสามัญชนทั่วไป สามารถแบ่งออกเปน
ิ
็
ึ
ี
กล่มหลักได้ ดังน้
ุ
2.8.1 ดนตรประกอบพิธกรรม ได้แก่
ี
ี
ิ
ิ
ี
ี
- พระราชพิธในส่วนของกษัตรย์ ตัวอย่างเช่น พระราชพิธถวายผ้าพระกฐน พระ
ี
ี
่
ราชพิธพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ การประโคมย ายามในงานพระราชพิธพระบรม
ิ
ศพ พระราชพิธสมโภชเดอนและข้นพระอ่ พระราชพิธลงสรงและเฉลมพระปรมาภไธย
ี
ี
ิ
ึ
ื
ู
็
ี
ุ
ี
พระราชพิธโสกันต์ พระราชพิธทรงผนวช งานพระเมร ฯลฯ เปนต้น มการก าหนดระเบยบ
ี
ี
ิ
ุ
ิ
์
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 15
ี
แบบแผนเรองรปแบบการประสมวงไว้โดยจะม ๒ ลักษณะคอ “เครองประโคม” ได้แก่ วง
ู
ี
ื
ื่
ื่
แตรสังข์ วงกระทั่งแตรมโหระทก และ “เครองบรรเลง” ได้แก่ วงขับไม้ (ขับไม้ไกว
ื่
ึ
ี่
ี่
ี่
ี่
บัณเฑาะว์) วงปไฉน/ปชวากลองชนะ วงปชวากลองแขก วงบัวลอย (ตัดกลองจากวงปชวา
ึ
ี
กลองแขกออกไป ๑ ค่ และเพิ่มฆ้องเหม่ง ๑ ใบ จงเรยกเสยงทประสมกันว่า “บัวลอย” ) วงป ี่
ู
ี
่
ี
ื
่
ี
ี่
่
่
ี
ื
ื
ู
ี
่
ี
พาทย์พิธ/ปพาทย์หน้าจั่ว (วงปพาทย์เครองค่หรอวงปพาทย์เครองใหญ่) และวงปพาทย์
่
่
ี
์
นางหงส ซงมลักษณะดังต่อไปน้ ี
ึ
ั
ภาพที่ 2.1 : วงแตรสงข
์
ที่มา : https://www.matichon.co.th/columnists/news_328458 สบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563
้
ื
ั
ประกอบด้วย สังข์ ๔ ขอน แตรงอน ๑๐ คัน และแตรฝร่ง ๑๐ คัน (จ านวนของ
ี
ื
่
ิ
เครองดนตรทั้งวงตามพระราชอสรยยศ)
ิ
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 16
ั
ภาพที่ 2.2 : วงกระทั่งแตรมโหระทึก (ปจจุบัน)
ื
ที่มา : https://img.tnews.co.th/userfiles/images/4(543).jpg สบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563
้
ึ
ั
ประกอบด้วย มโหระทก ๒ ใบ และแตรฝร่ง ๔ คัน
ภาพที่ 2.3 : วงขับไม ้
ที่มา : http://topicstock.pantip.com/isolate/topicstock/2012/10/M12792742/M12792742-1.jpg
สบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563
้
ื
ประกอบด้วย ซอสามสาย ผู้ขับล าน า และผู้ไกวบัณเฑาะว์
ภาพที่ 2.4 : ลักษณะของปไฉน
ี่
ื
ที่มา : https://www.baanjomyut.com/library_4/thailand_instruments/04_12.html สบคนวันที่
้
29 มกราคม พ.ศ. 2563
์
ี
ิ
ิ
ุ
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 17
ี่
ภาพที่ 2.5 : ลักษณะของปชวา
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content/developer1/thaimusic/22_peechawa/web/
้
big3.html สืบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563
ภาพที่ 2.6 : วงปไฉนกลองชนะ
ี่
ที่มา : https://www.matichon.co.th/columnists/news_329686 สบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563
ื
้
ู
ี่
ิ
ประกอบด้วย ปไฉน ๑ เลา เปงมาง ๑ ลก และกลองชนะแดงลายทอง ๔๐ ใบ (ส่วน
่
ุ
ิ
ี
ิ
ี่
ี่
ี่
ั
วงปชวากลองชนะ ใช้ปชวาแทนปไฉน ในปจจบันกรมศลปากรนยมใช้ปไฉนมากกว่า)
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 18
ภาพที่ 2.7 : วงปชวากลองแขก
ี่
ที่มา : http://wongdontrith.blogspot.com/2018/01/blog-post_88.html สบคนวันที่ 29 มกราคม
้
ื
พ.ศ. 2563
ี
ู
ิ
ู
ประกอบด้วย ปชวา ๑ เลา ฉ่ง ๑ ค่ และกลองแขก ๑ ค่ (ตัวผู้และตัวเมย)
ี่
์
่
ี
่
ภาพที่ 2.8 : วงปพาทยพิธเครองคู
่
ี
ื
ื
้
ที่มา : http://www.thailifemusic.com/2009/06/waikru-mahidol/ สบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.
2563
ื
ี
่
ประกอบด้วยเครองดนตรประเภทก ากับจังหวะ ได้แก่ ตะโพน กลองทัด ฉ่ง และเครอง
ิ
ื่
ุ
ิ
ี
ดนตรประเภทด าเนนท านอง ได้แก่ ปใน ระนาดเอก ระนาดท้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก (ในบาง
ี่
ื่
ื
กรณอาจมการตัดเครองดนตร ฆ้องวงเล็กและกลองทัดออก เพื่อความสะดวกในการเคลอนย้ายหรอ
ี
ื่
ี
ี
ความเหมาะสมของงบประมาณ)
ิ
ุ
ิ
ี
์
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 19
ภาพที่ 2.9 และ 2.10 : เครองดนตรในวงปพาทยเครองใหญ
์
ี
ื่
ี่
่
ื่
ื
้
ที่มา : http://thailandclassicalmusic.com/thaimusic/5pinprss.htm สบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.
2563
(หากเปนหน่วยงานราชการจะมการประดับตกแต่งเครองดนตรตามความเหมาะสม)
็
่
ื
ี
ี
ื่
ภาพที่ 2.11 : เครองดนตรในวงปพาทยนางหงส ์
์
ี่
ี
้
ที่มา : https://sites.google.com/site/wngpiphathynaneiy/home/4 สบคนวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.
ื
2563
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 20
ี่
ี
ื่
์
่
ื่
์
ภาพที่ 2.12 : เครองดนตรในวงปพาทยนางหงสเครองใหญ
ื
ที่มา : http://academic.obec.go.th/textbook/web/images/book/1004239_example.pdf สบคน
้
วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563
(เพิ่มระนาดเอกเหล็ก และระนาดท้มเหล็ก)
ุ
ิ
- พิธกรรมในวิถชวิตประชาชน ตัวอย่างเช่น พิธทอดกฐน พิธเทศน์มหาชาต พิธ ี
ี
ี
ี
ี
ิ
ี
ุ
ี
ี
ี
ื
ี
ื
ไหว้คร พิธโกนผมไฟ พิธโกนจก พิธอปสมบทหรอพิธบวช พิธสมรสหรอพิธแต่งงาน พิธ ี
ุ
ี
ู
ี
ื
ในงานศพ ฯลฯ เปนต้น โดยส่วนใหญ่นยมใช้วงปพาทย์ (ไม้แข็งหรอไม้นวม) ตามความ
ิ
่
ี
็
ี
ี
เหมาะสมของแต่ละงานนั้น ๆ ส่วนพิธสมรสสามารถใช้วงมโหรหรอวงเครองสายได้ และ
ื
ื
่
พิธศพในปจจบันนยมใช้วงปพาทย์มอญ
ิ
ี
ั
ุ
ี่
ื
ี่
(ทมา : http://www.finearts.go.th สบค้นวันท 29 มกราคม พ.ศ. 2563,
ี่
ื
http://fineart.tu.ac.th/mainfile/journal/10-2558-1/8.pdf สบค้นวันท 29 มกราคม พ.ศ. 2563
ี่
ี่
ื
และ https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_396790 สบค้นวันท 29 มกราคม
พ.ศ. 2563)
ี
2.8.2 ดนตรประกอบการแสดง
มนตร ตราโมท (2538 : 34) ความว่า “ยกตัวอย่างเช่น การแสดงโขน ละคร จะใช้วง
ี
ปพาทย์ไม้แข็ง วงปพาทย์ไม้นวม วงปพาทย์ดกด าบรรพ์ การแสดงห่นกระบอก ใช้วง
ี่
ี่
ี่
ึ
ุ
ี่
ี่
ู
ั
ู
ปพาทย์ส าหรบบรรเลงประกอบ โดยเพิ่ม “ซออ้” (ผู้บรรเลงซออ้จะต้องมความเชยวชาญใน
ี
ุ
ึ
ด้านของบทเพลงประกอบการแสดงห่นกระบอก) รวมถงกลองต๊อกหรอแตวเข้าไป”
ื
๋
ิ
ิ
ุ
ี
ิ
์
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 21
ิ
์
ี
่
ิ
ั
ภาพที่ 2.13 : วงดนตรบรรเลงประกอบการแสดงหุนกระบอก มูลนธจกรพันธุ โปษยกฤต
้
ที่มา : https://chakrabhand.org/puppetry/index05-07.asp สบคนวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563
ื
ี
ี
ี
๊
ภาพที่ 2.14 : กลองตอก (เครองประกอบจังหวะในดนตรสาเนยงจน)
ื่
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/detail.php?id=226&refer=43 สบคนวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563
้
ื
ี
ื่
ี
ภาพที่ 2.15 : แตว (เครองประกอบจังหวะในดนตรสาเนยงจน)
๋
ี
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/detail.php?id=207 สบคนวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563
้
ื
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 22
ี
2.8.3 ดนตรในลักษณะของการประชน
ั
ี
ิ
ื
ี
โดยส่วนใหญ่เร่มจากการประลองฝมอกันของนักดนตรต่างวง จนเกิดการประชัน
่
ี
ี
่
ั
ุ
ื
ื
ั
่
ี
วง ปพาทย์หน้าพระทนั่งตั้งแต่สมัยรชกาลท ๕-๖ สบต่อมายังปจจบัน แม้ว่าจะหลงเหลออยู่
ี
ู
ี
่
์
เพียงไม่มาก แต่ยังสามารถหาชมได้ทงานไหว้ครประจ าปของวัดพระพิเรนทร (ถนนวรจักร)
ื่
และพื้นทใกล้เคยงอน ๆ
ี
่
ี
์
ี
่
ภาพที่ 2.16 : ตัวอยางภาพการประชนวงปพาทย ในวัดพระพิเรนทร เมื่อป พ.ศ. 2554
ี่
ั
์
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=Y-TBPH4flPI สบคนวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563
ื
้
2.8.4 ดนตรเพื่อความบันเทิง
ี
ี
ุ
ั
เมอพิจารณาจากกระแสทางสังคมของนักดนตรไทยในปจจบันแล้ว โดยส่วนมาก
ื่
่
ื
่
ี
ี
ี
่
ื
ี
ิ
ี
ั
จะมความนยมในเรองของการน าเอาเครองดนตรไทยมาปรบระดับความถของเสยงให้เข้ากับเสยงใน
ทฤษฎทางโน้ตดนตรสากล แล้วบรรเลงผสมรวมกันกับเครองดนตรสากลตามปจจัยด้านทนทรพย์
่
ื
ุ
ั
ี
ี
ี
ั
ิ
ิ
่
ี
ิ
ึ
ี
ของแต่ละวงทมอยู่ ความบันเทงทเกิดข้นล้วนมาจากรสนยมและค่านยมของผู้คนในยุคสมัยหรอ
ื
ี
่
ุ
ื
ั
่
ื
ี
ั
่
ช่วงเวลาต่าง ๆ ทมความชนชอบในการรบฟงบทเพลงประเภทเดยวกันภายในกล่มของตน หรอบท
ี
ี
ี
็
่
ี
เพลงทก าลังมชอเสยงเปนกระแสโด่งดังในแต่ละช่วง
่
ี
ื
ิ
ุ
ิ
ิ
์
ี
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 23
่
ภาพที่ 2.17 : ตัวอยางการประสมวงดนตรรวมสมัย
ี
่
ื
้
ที่มา : http://culturalartcu.blogspot.com/2013/05/blog-post_7405.html สบคนวันที่ 28 มีนาคม
พ.ศ. 2563
่
ี
ภาพที่ 2.18 : ตัวอยางวงดนตรรวมสมัย
่
ื
้
ที่มา : https://pantip.com/topic/34198244 สบคนวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 2 / 24
์
ี
์
ี
ิ
ภาพที่ 2.19 วงดุรยางคเยาวชนซอาเซยนคอนโซแนนท (C ASEAN Consonant)
ที่มา : https://siamrath.co.th/n/95884 สบคนวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563
้
ื
ุ
ี
ิ
์
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 25
ิ
บทที่ 3
ประวัติและผลงานวิทยากร
์
3.1 ศาสตราจารยเกียรติคุณ นายแพทยพูนพิศ อมาตยกุล
์
ภาพที่ 3.1 : ศาสตราจารยเกียรติคุณ นายแพทยพูนพิศ อมาตยกุล
์
์
์
้
ที่มา : www.royin.go.th/?parties=ศาสตราจารยเกียรติคุณ-7 สบคนวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563
ื
ต าแหนง
่
ุ
ิ
- ศาสตราจารย์เกียรตคณระดับ 10
- อดตผู้อ านวยการวิทยาลัยราชสดา มหาวิทยาลัยมหดล (ด ารงต าแหน่ง : 26 กันยายน
ี
ุ
ิ
2536 - 25 กันยายน 2540)
- อดตผู้อ านวยการสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาชนบท
ี
มหาวิทยาลัยมหดล (2530-2536) และอดตหัวหน้าภาควิชา โสต ศอ นาสก คณะ
ิ
ิ
ี
ิ
ิ
์
แพทยศาสตรรามาธบด มหาวิทยาลัยมหดล
ี
ั
สถานภาพงานปจจุบัน
ุ
ึ
ิ
- ข้าราชการบ านาญ ทปรกษาวิทยาลัยราชสดา มหาวิทยาลัยมหดล
ี่
ุ
์
ิ
ิ
ู
ิ
ี
- อาจารย์ประจ าหลักสตรปรญญาเอก สาขาดนตรวิทยา วิทยาลัยดรยางคศลป
มหาวิทยาลัยมหดล
ิ
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 3 / 26
ิ
ุ
ุ
- กรรมการและเลขานการ มูลนธราชสดา
ิ
ี่
ื
(ทมา : https://rs.mahidol.ac.th/thai/about_faculty/teacher-profile/poonpit-amatyakul.html สบค้น
ี่
วันท 20 มกราคม พ.ศ. 2562)
ุ
ื
่
เกิดเมอวันท 4 มถนายน พ.ศ. 2480 เปนบตรคนท 4 ของรอยโทพิศ และนาง
ิ
่
ี
็
ี่
้
ุ
ประเทอง ส าเรจการศกษาแพทย์ศาสตรบัณฑต จากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร (ศิรราช) เมอป พ.ศ.
์
ึ
ิ
ื
ื่
ี
็
ิ
ี
2505 และได้รบประกาศนยบัตรชั้นสงสาขาวิชาห คอ จมูก จากมหาวิทยาลัยเพนซลวาเนย ฟ ิลาเด
ู
ู
ี
ั
ิ
ั
ึ
ิ
็
ึ
ี
ึ
เฟย สหรฐอเมรกา ด้วยความสนใจในด้านการแพทย์ ท่านจงได้ศกษาต่อจนส าเรจการศกษาในระดับ
ั
ื่
ี
่
ปรญญาโท ท าให้มความช านาญสาขาวิชาโสต การสอสารด้วยการพูดและการฟง และงานเกียวกับ
ิ
ี
ิ
ุ
ึ
คนพิการทกประเภท ท่านได้ศกษาดนตรด้วยตนเอง เพราะเหตทว่าชวิตในวัยเยาว์เตบโตอยู่ในวัง
ี
ุ
ี
่
ี
และเคยเปนมหาดเล็กของพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าเหมวดมากว่า 30 ป ี จงได้เรยนรเรองราว
ี
้
ึ
ู
็
ื่
ี
่
ื
เกียวกับพระราชวงศ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรองของดนตรไทยมาจากในวัง ประกอบกับความเปน
่
็
้
คนทมความสนใจในการหาความรเกียวกับดนตรไทย ท่านจงได้เรยนดนตรไทย และเรยนขับรองกับ
ี
ี
่
้
ู
ี
ึ
่
ี
ี
ี
ู
บรมครทมชอเสยงทางด้านดนตรไทยหลายท่าน อาท นายเทวาประสทธ์ ิ พาทยโกศล ครแช่มช้อย
ู
่
ิ
ี
ี
ื
่
ี
ิ
ี
์
ิ
ิ
ิ
ี
ุ
ุ
ดรยพันธ ครสดจตต์ ดรยประณต และอกหลายท่าน
ุ
ู
ี
ี
ี
ิ
ี
ี
ู
ั
ุ
ี
้
่
“ผมยอมรบว่า การเรยนรวิชาดนตรของผมททกวันน้ ได้ดมความรจรง ก็เพราะ
ู
ี
้
ื
ี
ู
ิ
ี
ั
้
์
เรยนจากประสบการณอันแท้จรง จากต าหนักเสด็จฯ คอเรยนจาก “การใช้ห รจักฟง” มากกว่าการ
ู
็
่
ู
้
็
่
ิ
ี
ี
ี
ี่
็
ื
ิ
ี่
ปฏบัตอกอย่าง คอเรยนจาก “ตาทได้เหน” เรยนจากการท “เปนคนใฝรใฝถาม” มาแต่เดก แต่ท ี ่
ี
ื
้
ุ
ิ
ิ
็
ุ
ั
ี
ี
ประเสรฐสดนั้นก็คอความ “เปนผู้มโอกาสด” ได้สัมผัสดนตรทกประเภทพรอมกับ “ได้รบค าอธบาย
ุ
่
ื
ตั้งแต่จ าความได้” โดยเสด็จฯทรงอธบายขยายความประทาน ทรงพระกรณาต่อผมอย่างต่อเนอง
ิ
ื
ิ
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ประการสดท้ายคอส่งวิเศษทพ่อกับแม่ให้ตดตัวมานั้น คอ “ความม ี
ื
ุ
่
ี
ิ
ึ
ี
สมองด ความจ าด เข้าใจง่าย และสามารถผูกเรองราวตดต่อกันได้โดยง่าย อย่างทเรยกว่า “ซมซาบ”
ี
่
ี
ื
่
ี
ิ
ทกล่าวมาน้ เปนส่งส าคัญทช่วยเหลอหล่อหลอมให้ผมมความรความสามารถมาจนถงวันน้ โดยทไม่
ื
ี
่
ู
้
ี
ี
่
่
ี
ิ
ึ
็
ี
ี
ต้องเข้าเรยนในโรงเรยนหรอวิทยาลัยดนตรทไหนเลย” พูนพิศ อมาตยกุล. (2552). เมอลมพัดหวน.
ื
ื่
ี่
ี
ี
ี
ิ
์
ุ
ี
ิ
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 27
์
่
3.2 อาจารยบุญชวย โสวัตร
ภาพที่ 4.1 : อาจารยบุญชวย โสวัตร
่
์
่
์
ื
ที่มา : https://www.facebook.com/pg/อาจารยบุญชวย-โสวัตร-265134476984449/photos/ สบคน
้
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563
ื
่
์
ี
ี
เกิดเมอวันเสารท 16 มกราคม พ.ศ. 2490 ทอ าเภออทัย จังหวัดพระนครศรอยุธยา
่
ุ
ี่
ื
ื
ึ
ุ
ุ
ื
ครอบครวของท่านสบเช้อสายทางด้านดนตรมาแต่คร้ ังบรรพบรษ สบมาถงครชบ โสวัตร ผู้เปน
็
ู
ั
ี
ุ
้
ู
ี
ิ
ี
ี
ี
บดา ซงประกอบอาชพด้านดนตรไทยโดยมวงดนตรไทยเปนของตนเอง ท าให้ได้เรยนรดนตรไทย
ี
ึ
่
ี
็
ี่
ิ
ื่
ิ
ี
ุ
็
จากบดามาตั้งแต่ยังเดก จากนั้นได้เข้าเรยนทวิทยาลัยนาฏศลป กรมศลปากร เครองมอเอกระนาดท้ม
ิ
ื
กับอาจารย์ประสทธ์ ิ ถาวร จนสามารถบรรเลงได้ถงระดับเพลงเชดจน หกชั้น (ทางสชั้น) ได้รบ
ิ
ิ
ึ
ั
ี่
ี
ุ
ิ
่
ึ
ึ
ิ
มอบหมายให้คดวิธด าเนนกระสวนท านองระนาดท้มด้วยตนเอง ระหว่างทศกษาวิชาเอก ยังได้ศกษา
ี
ี
่
ิ
ู
ี
ู
ุ
ี
ิ
วิชาโทด้านการขับรองกับครจ้มล้ม กุลตัณฑ์ ครล้นจ ครอษา สคันธมาลัย ครศรนาฏ เสรมสร และได้
ุ
ู
ิ
ิ
ู
ิ
ิ
้
ุ
ู
ิ
้
ี
ู
์
ู
มโอกาสเพิ่มเตมความรจากครท้วม ประสทธกุล รวมทั้งด้านการพากย์ เสภา กับครประพันธ สคันธ
ิ
ิ
ิ
่
ู
ู
ื
ุ
ิ
ุ
ึ
ี
ี
ชาต และ ครประเวท กุมท นอกจากน้ยังได้ศกษาด้านเครองสายกับครทองด สจรตกุล อกด้วย
ี
่
่
่
ี
ึ
ี
ู
ี
ื
ต่อมาได้มโอกาสศกษาด้านเครองเปากับครเทยบ คงลายทอง จนถงเพลงเดยว และ
ึ
ได้รบคัดเลอกให้ปฏบัตงานเปนข้าราชการชั้นจัตวา ระดับ 2 ตั้งแต่ยังไม่จบการศกษา โดยปฏบัต ิ
ิ
็
ั
ื
ึ
ิ
ิ
ื่
่
ื
็
ิ
เครองเปาเปนเครองมอเอกสบมา จนได้รบราชการทแผนกดรยางค์ไทย กรมศลปากร ภายหลังได้ไป
ุ
ั
ื่
ิ
ื
ี่
ิ
ี
ื
่
ี
ั
ุ
ศกษาเพิ่มเตมทางด้านเครองตอกคร้ง ทั้งระนาดเอก ระนาดท้ม และฆ้องวงใหญ่ กับครสอน วงฆ้อง
ู
ึ
่
ี
ี่
ื่
ทั้งในด้านของเพลงเกรด เพลงเรอง และเพลงเดยว ในขณะเดยวกันก็ยังคงฝกฝนเครองเปาอยู่เสมอ
ึ
็
ื
่
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 3 / 28
ี
ิ
่
ึ
ื่
ึ
ี่
ู
ื่
ึ
โดยเฉพาะ “ปชวา” และได้ศกษาเครองหนังเรอง “บัวลอย” กับครพร้ง ดนตรรส ซงได้เคยศกษา
ความรขั้นพื้นฐานด้านเครองหนังมาก่อนแล้วกับครม ทรพย์เย็น และแม้กระทั่งเครองหนังในวง
ั
ื
ู
้
ิ
่
ื
่
ู
ี่
ึ
ปพาทย์มอญก็ได้ศกษากับครโม ปล้มปรชา ทบ้านศาลาต้นจันทน์
ู
ื
ี่
ี
่
ิ
ิ
ี
ุ
ิ
ู
ผลงานของอาจารย์บญช่วย โสวัตร ทส าคัญได้แก่ ร่วมยกร่างหลักสตรศลปนบัณฑต
็
ี
ุ
ู
ึ
็
ึ
ี
ด้านดรยางค์ไทยให้ผู้ศกษาวิชาดนตรไทยเปนเอก ได้มโอกาสศกษาระดับอดมศกษาเปนหลักสตร
ิ
ึ
ุ
ี่
์
็
ี
ิ
์
ุ
แรกของประเทศไทย ทคณะศลปกรรมศาสตร จฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โดยเปนปูชนยาจารย์ท ี่
ั
ื
ิ
ส าคัญสบมาจนเกษยณอายุราชการ หลังจากนั้นได้รบเชญให้ด ารงต าแหน่ง “ผู้เชยวชาญด้านดนตร ี
ี
ี่
ไทย จฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ณ ส านักบรหารศลปวัฒนธรรม จฬาลงกรณมหาวิทยาลัย สรางสรรค์
้
ิ
ิ
ุ
์
ุ
์
ิ
ผลงานด้านดนตรไทยให้กับสังคมจฬาลงกรณมหาวิทยาลัยสบเนองมามได้ขาด ทั้งด้านงานประพันธ ์
ี
ื
่
ื
ุ
ึ
งานประดษฐ์ งานบรรเลง การบันทกเสยง การถ่ายทอดความร และงานวิจัย นับแต่ป พ.ศ. 2526
้
ู
ิ
ี
ี
ึ
ิ
จนถงปจจบัน คณะศลปกรรมศาสตร จฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. (2556). วงจฬาวาทต. น.1-3
ุ
์
ุ
ั
์
ิ
ุ
ผลงานทางวิชาการดนตรไทย
ี
งานวิจย
ั
์
- วิเคราะหเน้อท านองหลักของเพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา
ื
ี
- ความถของเสยงดนตรไทย
ี่
ี
- ทมาของเพลงสรรเสรญพระบารม ี
ี่
ิ
บทความ
ี
- ดนตรไทยกับสังคมไทย
ี
ิ
- ดนตรไทยปรทรรศน์
- ทมาของปขล่ยเอามอซ้ายข้นข้างบน
ึ
่
ี
ุ
่
ื
ี
ุ
ี
- ดนตรไทยในจฬาฯ ช่วง พ. ศ. 2525 ถงปจจบัน
ึ
ั
ุ
่
- ระบบดนตรทใช้กับการแสดงหนังใหญ่
ี
ี
- ผู้อ่านโองการไหว้ครดนตรไทย
ู
ี
ิ
ู
- การปฏบัตตนของผู้เข้าร่วมพิธไหว้ครดนตรไทย
ิ
ี
ี
ิ
- คณสมบัตของผู้บรรเลงในพิธไหว้คร ู
ุ
ี
ู
ี่
ิ
ี
ี
- การจัดสถานทและเขตปรมณฑลในพิธไหว้ครดนตรไทย
ี
ุ
- คณค่าของดนตรไทย
ี
ได้รบการครอบครให้เปนผู้อ่านโองการไหว้ครดนตรไทยจาก อาจารย์มนตร
ั
็
ู
ี
ู
ิ
ิ
ตราโมท และอาจารย์ประสทธ์ ถาวร
ิ
ุ
ิ
ิ
์
ี
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 29
ั
ิ
ี
์
ิ
ิ
ุ
ี
ิ
ในปพุทธศักราช 2557 ได้รบปรญญาศลปกรรมศาสตรดษฎบัณฑตกิตตมศักด์ ิ
ดนตรไทย จากมหาวิทยาลัยรามค าแหง
ี
ี่
ี่
(ทมา : https://www.cuartculture.chula.ac.th/people/521/ สบค้นวันท 29 มนาคม พ.ศ.2563)
ื
ี
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 4 / 30
บทที่ 4
่
ั
สมมนาทางวิชาการ เรอง เสนทางความรูสูความเปนเลิศดานการปรบวงดนตรไทย
้
ื่
้
้
ี
ั
็
4.1 ก าหนดการ
ื่
ี
้
้
โครงการสัมมนา เรอง “เสนทางความรส่ความเปนเลศด้านการปรบวงดนตรไทย”
็
ิ
ู
ั
ู
ุ
ี่
์
วันศกร ท 31 มกราคม พ.ศ. 2563
เวลา 08.30 น. – 12.00 น.
ี
ณ ห้อง PC607 อาคารพัฒนาวิชาชพดนตรส่ความเปนเลศ (YAMP )
ี
ิ
็
ู
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล
ิ
์
ิ
ุ
เวลา
ี
08.30 - 09.00 น. ลงทะเบยน
09.00 น. พิธเปดการสัมมนา และมอบของทระลกแก่วิทยากร
ิ
ี
ี
ึ
่
ุ
ื่
09.15 - 10.15 น. เปดการอภปราย โดย ศาตราจารย์เกียรตคณ นพ.พูนพิศ อมาตยกุล เรอง
ิ
ิ
ิ
ื
ุ
่
ิ
ั
์
“เรองเล่าทางประวัตศาสตร ความส าคัญ และคณประโยชน์ของการปรบ
วงดนตรไทย”
ี
10.15 - 10.30 น. พักการบรรยาย
ี
10.30 - 11.30 น. การบรรยาย เรอง “แนวทางการปรบวงดนตรไทยทได้รบการถ่ายทอดมา
ั
ื่
ี
ั
่
จนถงปจจบัน” โดย อาจารย์บญช่วย โสวัตร
ั
ึ
ุ
ุ
11.30 - 12.00 น. ซักถามและปดการสัมมนา
ิ
ิ
ุ
ิ
ิ
์
ี
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 31
์
ั
์
4.2 บทบรรยายจากเทปบันทึกงานสมมนาทางวิชาการ โดย ศาสตราจารยเกียรติคุณ นายแพทย
พูนพิศ อมาตยกุล
ื่
่
ั
ี
์
์
้
ในหัวขอ “เรองเลาทางประวัติศาสตร ความสาคัญและคุณประโยชนของการปรบวงดนตรไทย”
็
ื่
่
ี
พูนพิศ อมาตยกุล (2563) กล่าวว่า “ทผมจะเลาตอไปน้เปนเรอง
ี่
่
์
่
ึ
ั
ิ
ี
ี
้
ี
ี่
ประวัตศาสตรของวงดนตรไทยในอดต สมัยกอนถาพูดถงดนตรเนยนะครบเขา
่
ึ
ุ
ุ
่
็
่
ี
ี
ิ
ี
บอกวาเปนวชาวณพก ไมมการจดบันทก ไมมการเขยนต ารา ทกสงทกอยางฝากไว ้
ิ่
่
ิ
ื่
้
ี
ู
่
ั
กับนักดนตรหรอครดนตรหมด เพราะฉะนั้น วาดวยเรองของการปรบวงดนตรเนย
ี
ี
ี่
ื
้
่
ั
ิ
จงไมมใครจะรความจรงกันวามความส าคญอยางไร ประวัตศาสตรเรองการปรบวง
่
ี
ิ
ื่
ู
ี
ั
ึ
่
์
ิ
ั
ดนตรเนยมันเกดในสมัยรชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหวรชกาล
่
ั
ั
้
ี
้
ี่
้
ื
่
่
ื่
ึ่
ิ่
้
้
ท 4 เมอทานมนองชายมาเปนวังหนา คอพระบาทสมเด็จพระปนเกลาเจาอยูหว ซง
็
ี่
้
ี
ั
ิ
ิ
่
ี่
้
่
ั
ื
ิ
อยูทวังหนาในปจจบัน นั่นคอโรงละครแหงชาต แลวก็พพธภัณฑสถานแหงชาต ิ
่
้
ุ
ี
ี
ี
ิ
ี
็
ี
่
ิ
ั้
ั้
นั่นแหละ ทานก็มวงดนตรเปนของทานเพราะทานอยูฝายดนตร มทงง้ว มทงลเก มี
่
่
่
่
ั้
์
ี
้
ี่
ี
่
ี
ิ่
ิ
ทงดนตร มทงปพาทย แลวก็เรมจะมแตรวงทนั่น ทานฝกใฝดนตรจรง ๆ แลวทานก็
ั้
ั
่
ี
่
ี่
้
้
่
ึ่
ึ่
ี
่
ี
ี
ู
ึ่
ู
่
่
่
ไดครคนเกงมาคนหนงชอนายม ซงตอมาเรยกกันวาครมแขกซงก็มบานชองอยูใกล ้
้
ี
ื่
ู
ี่
้
ู
ี่
ี่
่
ิ
้
ิ
ิ่
ิ
กับสถานทททานประสต คอฟาปนเกลาเนยทานประสตทราชวังเดมใกล ๆ กับวัด
ี่
ื
่
้
อรณราชวราราม ใกล ๆ แถวนั้นก็บนถนนอรณอมรนทรเนยเปนถนนของนักดนตร ี
ุ
้
ี่
็
ุ
ิ
์
ี
ั้
่
ิ
้
ิ
ตลอดตั้งแตวัดระฆังโฆสตาราม เปนบานดนตรทงนั้น เลยมาอยูกับพระเจาตากสน
้
็
่
ี
่
่
้
ี่
ครมก็อาจจะมาตั้งแตสมัยนั้นแตวามบานอยูใกลสวนหลวงแลวก็เปนดนตรทนั่น
ู
้
ี
่
่
้
ี
็
พระปนเกลาก็เปนคนซนมาก วงเขาวงออก เมอตอนเปนเด็กแลวก็ไดรจก
ิ่
ื่
ิ่
็
ู
็
้
ั
้
ิ่
้
้
้
กับครมแขก ทานเปนหนมในสมัยรชกาลท 3 แลว ก็ยังคงเลนสนุกสนานอยูจนพระ
ู
่
ี
้
่
็
่
ี่
ั
่
ุ
่
ี
ี่
็
สมเด็จพระนั่งเกลาฯ บนวานองชายคนน้เอาแตเลน พชายก็ไปบวชเปนพระอยูทวัด
้
่
ี่
่
้
่
่
ื่
่
่
สมอรายหรอวัดราชาธราช ทานก็ไมไดฝกใฝเรองดนตรเทาไหร เรองรชกาล
่
่
ั
ั
ื
ื่
ี
่
ิ
้
็
่
้
ุ
ึ
ี
ี
ู
ื่
ี่
่
ี่
ท 4 ท าไมผมถงรเรองน้ด ก็เพราะวาคณทวดของผมเนยทานเปนมหาดเล็กของ
ั
ี่
รชกาลท 4 ทานเกดหลังรชกาลท 4 ไป 1 ปแลวทานโตมาในวังของรชกาลท 4 ตน
ั
ิ
ี่
ี่
่
่
้
ี
ั
้
้
่
ุ
้
ั
ู
ี่
ู
คณทวดผมเนยทานก็เลยไดใกลชดสนทสนม และพวกเราหลายคนก็ไดรจกครม ี
้
้
ิ
ิ
้
่
แขกในยุคนั้น แลวก็เลนดนตรกัน เพราะฉะนั้น เรองราวตาง ๆ ทเกยวของกับ
ื่
ี่
้
ี
ี่
่
้
ครมแขกในระยะตนตอนทอยูกับพระปนเกลาจงออกมาจากค าบอกเลาของญาตใน
ิ่
ี
่
ิ
ู
ึ
่
ี่
้
้
อดต เอางาย ๆ เขาสเรองเนย ทานเปนคนควบคมวงปพาทยไมแข็งแลวก็
ี
้
ู
ุ
้
่
ี่
่
ื่
็
ี่
่
์
่
ึ
่
ิ่
้
่
ุ
พระบาทสมเด็จพระปนเกลาทานก็คดระนาดเหล็กชบเหล็กข้นกอน และตอมาจงม ี
ิ
ึ
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 4 / 32
์
ื่
ี่
ึ
้
่
์
ื่
่
ู
็
ี่
เอกเหล็กตามมาจงท าใหวงปพาทยเครองคกลายเปนวงปพาทยเครองใหญก็เพราะ
้
ื่
ี่
พระปนเกลาเนยแหละ แลวก็เพราะครมแขกนแหละจงท าใหเกดวงปพาทยเครอง
ิ่
ี่
ี
ิ
ู
ี่
้
้
์
ึ
้
ึ
ี
้
ี
ใหญทวังหนา แลวก็สรางเพลงนูนเพลงน้ข้นมาจากสมองของครมแขก
้
้
ู
่
ี่
่
่
่
ึ
ู
้
้
เราก็รอยูแลวไมวาจะเปนชดเครองใหญทงหลายแหลไปจนกระทงถง
่
ื่
ั่
็
ั้
ุ
่
ื
สดทายคอการปรบวงอนยงใหญก็คอเชดจน เอาเปนวาวันหนงเนยทานก็เอาวง
่
ุ
ั
่
่
ี่
ี
ึ่
ื
้
็
ิ
ิ่
ั
่
ื่
ี่
่
ิ่
์
่
ปพาทยเครองใหญบรรเลงเพลงททานแตงไปถวายสมเด็จพระปนเกลา เขาบอกวา
ี่
่
้
้
ึ
้
่
่
เปนเพลงท าข้นใหม มี 2 ทอน พระปนเกลาฟงแลวทรงโปรดมาก เลยบอกวา
ิ่
ั
็
่
ื
ู
ท านองมันดเหลอเกน ตอนนั้นเนยครมแขกนก็เปนคณหลวงประดษฐไพเราะ ครม ี
ี
ิ
ิ
ี่
ู
ี
็
ุ
ี่
ิ่
ิ
แขกอยูทวังหนาเปนหวหนาวง ครมแขกก็นั่งคดวาจะท ายังไงใหพระปนเกลาเนย
ั
ี่
่
ู
ี
ี่
่
้
้
้
้
็
้
ี่
้
ื
ี
้
ี่
ิ
ทรงโปรด ก็เปลยนบทรองมาเอาตอนขุนแผนพานางวันทองหน เดมนรองดวยเน้อ
่
่
ั
ี
ี่
อะไรไมมใครทราบ แตก็ไดเปลยนเน้อรองแลวก็มาปรบในเพลงเชดจนใหมา
ื
้
้
ี
ิ
้
้
ิ
่
้
ั
ั
้
กระชบยงข้น แลวก็ปรบทางบรรเลง เพลงเชดจนจะเปนอยางไรเนยใหฟงอาจารย ์
ี
ึ
ั
ิ่
็
ี่
ั
้
่
ิ
ี่
ี่
้
บุญชวยพูดคงจะเขาใจ วาเพราะการปรบวงเพลงเชดจนนเองเนย แลวก็เปลยนบท
่
ี
ี่
้
รองนั้นใหมในวังหนาเนยท าใหพระบาทสมเด็จพระปนเกลาปล้มพระทยเปนอนยง
ั
่
ิ่
ื
ิ่
้
้
้
ี่
ั
็
จงพระราชทานบรรดาศักด์จากหลวงประดษฐไพเราะ (มี ดุร ิยางกูร) ข้นมาเปนพระ
ึ
ิ
็
ิ
ึ
ี
ื
่
ิ
่
ิ
ประดษฐไพเราะ (มี ดุรยางกูร) ในเวลาเพยง 1 เดอนเทานั้น หมายความวาวันท ี่
่
็
ื
่
ึ่
่
ี่
เทาไหรทพระราชทานต าแหนงหลวงกเดอนหนงตอมา 30 วันเปนพระเลย เพราะ
่
ี่
่
่
ิ
ิ
่
ี่
ี
ื
ี
ื
ั
เพลงเชดจนนไมใชเพราะฝมอการปรบวงเพลงเชดจนหรอ คนก็เรมมองเหนเลยวา
็
ิ่
ี
ี
ี่
ู
ิ
ี่
ครมแขกเนยสามารถทจะดลบันดาลใหเพลงเนยไพเราะงดงามมอารมณสมจรงแลว
้
ี
้
์
ี่
ี่
่
ั้
ิ่
้
้
ิ
ก็คนนสามารถจนตนาการไดจากเพลงวามาก าลังวงนะ เปนการแรกครงแรกเลยท ี่
็
ี
ื
ี
่
ิ่
ทานไมไดใหฉงตฉงฉบ แตใหตเฉพาะ ฉบ ฉบ ฉบ เหมอนกับเสยงมา วง วง วงไป
ั
้
่
่
ิ่
้
ิ่
้
้
ั
ิ่
ิ่
ั
ั
ี
ึ
ี
ั
่
่
้
็
้
ั
อยางนั้น แลวก็เปนการปรบวงของทาน แลวก็เพราะเหตุน้เองเหรอครบจงท าให ้
่
้
ี่
ิ
ุ
ี
้
่
์
สมเด็จเจาพระยาบรมมหาศรสรยวงศ (ชวง บุนนาค) ทอยูทบานสมเด็จเจาพระยา
้
ี่
ในปจจบันคอราชภัฏบานสมเด็จเนยอยากจะมวงปพาทยทดมาก ๆ อยางทครมแขก
่
ี
ู
์
ี่
้
ั
ี
ี
ี่
ี่
ี่
ุ
ื
้
้
เนยท าใหพระปนเกลาแลวก็วงของทานปรบข้นมาทานเปนคนปรบเองท าใหเพลง
ิ่
ี่
้
ั
้
่
ึ
็
่
ั
้
่
ของทานประเสรฐเลศเลอมากเพราะฉะนั้นก็ตองบอกวาสมเด็จเจาพระยาบรมมหา
ิ
่
้
ิ
์
่
ศรสรยวงศ (ชวง บุนนาค) ตอนนั้นยังเปนแคพระยาศรสรยวงศ ตอนรชกาลท 4 ก็ม ี
ิ
ุ
ี
ิ
ุ
ั
็
ี
์
่
ี่
้
ุ
้
้
หนาทในการตอนรบแขกเมอง เพราะวาทานเปนเจาคณกรมทา ทานมหนาท ี่
ื
ี
็
่
่
้
่
่
ั
ี่
ั
ี
ื
ิ
ี่
ิ
ื
้
ั
รบแขกเมองหรอเรอส าเภาทมาจากทางทศตะวันตก ไดแก อนเดย อาหรบ ฝรง
ื
่
ั่
ื
ึ
้
ี
้
ื่
เมอสงสนคาข้นเรอเรยบรอยทานก็จะตองเล้ยงขาวคนเหลาน้ ทานก็ใหลงเรอมาท ี่
ิ
่
่
ี
ื
้
่
้
่
้
ี
์
ิ
ี
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 33
ุ
ิ
้
ี
ึ
ุ
้
้
ี
ิ
้
้
้
ั
่
ื
้
ึ
บานถ าแลวก็เดนเทาข้นไปถงบานทาน ก็คอบานสมเด็จในปจจบันน้แลวก็มละคร
่
์
้
้
ี
ี่
ี
ี
ี
ี่
์
้
้
ี่
ิ
่
้
ใหดู มขาวใหกนมปพาทยใหชม ทานก็อยากจะมปพาทยทดมากเลย นองทานก็จะ
ั
้
่
ี่
ั
ุ
้
ชวยปรบวงแลวก็ยังไมสมใจ ในทสดแลวก็ตอนหลังน้นะครบพระบาทสมเด็จพระ
่
ี
้
ิ่
้
ิ่
ปนเกลาเรมประชวรแลวเนย สมเด็จเจาพระยาก็ไปบอกลูกชายคนโตของพระ
้
ี่
ั
ื
ึ่
ิ่
่
์
์
ื
ปนเกลาซงทานรกมากคอพระองคเจายอดยงยศ หรอพระองคเจายอร์ช วอชงตัน
้
้
ิ่
ิ
้
่
่
้
ี
ลูกชายคนใหญของพระปนเกลา เตรยมตัวครมแขกมาทบานหนอยไดไหมนั่น
ี่
ิ่
้
ู
้
ี
ิ่
ู
็
ุ
ั
แหละครบคอสงททกคนมองเหนวาความสามารถในการปรบวงดนตรของครม ี
่
ี่
ื
ั
ี
ี
่
ี
แขกมความส าคญอยางไร คนระดับชนน าของประเทศจงแยกตัวกัน ครมแขกก็ไป
ั้
ั
ู
ึ
ี๋
์
่
ั
่
ู
ุ
ี่
ี
้
้
้
เพราะวาในสมัยตนรชกาลท 5 เดยวครมแขกเปนคณพระแลวก็อยูกับพระองคเจา
็
่
ั
ื่
ิ่
ุ
้
ิ่
ยอดยงยศลูกชายคณใหญเมอพระปนเกลาตายแลวเนยนะครบก็ไปชวยสมเด็จ
่
ี่
้
ี
้
ี่
เจาพระยาปรบวงดนตรทนั้น
ั
้
้
่
้
นอกจากจะปรบวงใหกับสมเด็จเจาพระยาแลวยังแตงเพลงใหกับสมเด็จ
้
ั
ี
้
ิ
ื
่
่
เจาพระยาอกเพลงคอเพลงพระอาทตยชงดวง แตงใหสมเด็จเจาพระยา ก็แสดงวา
้
์
้
ิ
้
็
่
้
่
่
ี่
่
้
ั
้
่
ั้
ไมใชเฉพาะทานปรบวงเกงไดเปนทตองการของผูหลักผูใหญทงนั้นแตในการแตง
่
่
เพลงก็ยังเกงดวย พระทานแตงมาตั้งแตสมัยวังหนาตั้งเยอะแยะ ทยอยนอกเดยวเปน
่
ี่
็
้
่
่
่
้
ี่
ี่
ุ
้
๊
ทรกันเลยวายอดเยยมทสด ยงทยอยนอก สามชน เวลาเดยวนโอโห ไอเจาคณเอย
ั้
ิ่
้
้
ี่
ี่
ี่
ุ
ู
่
้
ิ
่
้
่
ั
็
์
ั้
ั้
ถาเลน 3 ครงไมเหมอนกันเลย ทงหมดเนยเปนประวัตศาสตรของการปรบวงครง
ี่
ื
ั้
็
ึ่
ั่
ี
ิ
ื
ู
ิ
ิ
ั่
ี
แรกของนายม ดุรยางกูร หรอ ครมแขก ซงเปนคนฝงธน เกดทบรเวณใกลฝงธน
ี่
้
้
สวนหลวงวัดอรณราชวราราม แลวก็ตัวทนั่นอยูกับพระปนเกลาทนั่นแลวก็เปน
้
่
ุ
้
ี่
ิ่
็
ี่
้
ิ
็
ุ
่
ู
ึ่
ี
่
ี่
ู
ี
ั
ู
่
้
ุ
่
ู
ครใหญ เพราะครมแขกเกงนละครบ ครชอย สนทรวาทน ซงเปนครรนใกลเคยงกัน
ื
่
้
ี่
แตบานอยูทสวนมะล ปจจบันคอโรงพยาบาลกลาง ตาบอด 2 ขางก็ตองปรบตัวเอง
่
้
ั
ิ
้
ุ
ั
่
ี
ในการแตงเพลงและปรบวง เพราะฉะนั้นครชอยจงเปนคนท 2 ทมความสามารถใน
ี่
ู
็
้
ั
ึ
ี่
ี
ู
ื
ิ
ี่
่
ั
ั
์
ี
ู
การปรบวงดนตรไทยตอมาจากครมแขก ครชอยมลูกศษยทส าคญคอลูกชายตัวเอง
้
ี
็
ี่
่
้
่
ื
่
คอนายแชม ตอมาเปนพระยาเสนาะดุรยางคแลวก็มลูกศษยคนโตของทานทแกกวา
่
ี
่
์
์
ิ
ิ
่
ี
ี
ื
่
ในชวงประมาณ ปหรอ 2 ปตอมาก็คอพระยาประสานดุรยศัพท (แปลก ประสาน
ื
ิ
์
้
ี่
์
ศัพท) ทงสองคนน้อยูดวยกันทบานครชอยทตาบอด ภรรยาของครูชอย ชอแมไผ ่
ี่
ื่
ั้
ู
ี
้
่
่
้
้
้
ท ากับขาวใหลูกนองในวงกนกันเปนประจ าเลย วันดคนดไฟก็ไหมหมดเลยสวน
ื
้
็
้
ี
้
ี
ิ
ั
้
มะล คนเลนดนตรวงกันเกอบไมทน ครชอยก็หนไฟออกมาเพราะแกแลวและ
ิ
ี
ู
้
ิ่
ี
่
่
ื
่
้
่
ิ
ิ
ิ
ตาบอดดวย ก็มายนอยูตรงใกล ๆ กับวัดเทพศรนทราวาส รมคูคลองนอกเมอง
ื
ื
้
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 4 / 34
่
็
ุ
้
้
ิ
้
ี่
ี่
ั่
ท่านสมภารแสงทอยูทวัดฝงธนเนย ปจจบันวัดนั้นไดสนไปหมดแลว กลายเปนเชง
ี่
ั
ิ
ิ่
ั
ื
้
่
่
ี่
สะพานพระปนเกลา ทานสมภารแสงแหงวัดเนยก็เอาเรอมารบนายชอยตาบอดไป
้
ื
ิ
้
์
ื
่
นายชอยก็เอาลูกชายกับลูกศษยคนโตคอนายแปลกและนายแชมลงเรอไปดวยและ
้
ี
่
ิ
์
ั
้
ลูกศษยอกกองโต ก็ไดสญญากันวาจะมาสอนกับเด็กลูกหลานของบานแสงและ
้
ี
ั
้
่
็
คนฝงธนทวัดนอยทองอยูใหเปนดนตรแลว ก็เพราะครชอยนแหละครบจงปรบวง
ี่
ู
้
ั
ั่
ึ
ี่
้
้
้
ั
้
่
ี่
ี่
ี
่
ดนตรของเด็กบานวัดนอยทองอยูไปประชนทไหนชนะทนั่น ชวงระยะทไป
ี่
้
็
ั
ี่
ประชนทไหนชนะทนั่นโดยฝมอครชอยตาบอดเนย ครูแปลกเปนคนคมวงไป และ
ู
ื
ี่
ุ
ี
ี่
่
้
ุ
่
ื
่
่
ู
ในขณะนั้นเนยลูกชายของทานคอครแชมก็เขาไปอยูในวังหลวง ไปอยูกับคณพระ
ี่
ั
คนหนงซงเปนหวหนาวงดนตรของกรมรชกาลท 4 การปรบวงของครชอยเนย
ึ่
ึ่
ี
ู
้
็
ี่
ั
้
ี่
ั
ี
้
่
ี่
ื่
ี่
ู
ึ
ท าใหชอเสยงเรองการประชันทไหนก็ชนะทนั่นโดงดังไปถงหพระพันปหลวง
ี
ื่
ี่
รชกาลท 5 และรชกาลท 6 สมเด็จพระพันปหลวงก็เหนวาลูกนชอบดนตร จ าเปน
ี่
็
ี
ั
็
่
ั
ี่
ี
ั
ึ
ั
้
ี่
อยางยงทจะหาลงทนเตรยมรบมอ เมอลูกกลับมาจากองกฤษจงใหขาหลวงคน
ื
้
ุ
ิ่
ี
่
ื่
่
้
ื
ี่
ื
้
ี่
โปรดของทาน เปนพหรอปา นกไมออก ลงเรอไปขามไปทวัดนอยทองอยู แลวก็
็
้
้
ึ
่
่
ไปคยกับครชอย คนตาบอดวาขอรบเด็กทงหมดไวในพระราชนูปถัมภ ์
ู
ุ
ั้
้
ิ
้
่
ั
่
่
ื
้
้
้
่
พระราชทานขาวสาร เสอผา เงนทอง แลวบอกวาจองเอาไววาเมอไหรทลูกชายท ี่
ื่
้
ี่
ิ
้
่
ชอพระองคชายโตเนย ไดกลับมาอยูเมองไทย จะใหยายไปอยูกับรชกาล
ั
ี่
้
ื
ื่
่
้
์
้
่
่
่
้
ี่
่
ู
่
ท 6 เพราะวาเด็กพวกน้เลนดนตรเกงแตไมรวาทเกยวเพราะวาการปรบวงของคร ู
ี
่
ั
ี่
่
ี
ี่
้
ุ
ชอยและครแปลก เพราะฉะนั้นตรงน้ละครบคอจดส าคญ
ี
่
ั
ื
ั
ู
ั
ี
ั
้
้
ื่
ิ่
่
เมอพระบาทสมเด็จพระปนเกลาเจาอยูหวกลับมาจากองกฤษประมาณป
่
่
พ.ศ. 2440 กวา ๆ ประมาณ 48 หรอ 49 ผมจ าไมได ทานก็มาประทบทวังสราญรมย์
ี่
ื
้
ั
่
เขาก็คนเด็กจากวัดนอยทองอยูทงหมดมาถวายตัว ก็เลยเปนวงปพาทยประจ าวงของ
่
็
้
้
ี่
ั้
์
่
้
่
่
้
่
ี
ิ่
ทาน เด็กพวกน้เขามาอยูเพราะพระบาทสมเด็จพระปนเกลากอนททานจะเปน
็
ี่
์
ี
้
ิ
์
ี่
พระเจาแผนดนเขาจงเรยกวงปพาทยขาหลวงเดม วงปพาทยขาหลวงเดมก็ดูแล
ี่
ิ
่
ิ
ึ
้
้
ี
ควบคมโดยนายแปลก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหวก็เรยกนายแปลกวา
ุ
่
ั
่
้
้
ี่
ู
ึ่
ครแปลก แลววันหนงเมอครแปลกน าวงเด็กเนยมาบรรเลงเพลงถวายพระเจาอยูหว
่
ั
้
ู
้
ื่
้
ี
่
ี่
รชกาลท 5 ทวังสราญรมย และสงวาเด็กเหลาน้เนยบรรเลงปพาทยไดเขาหดมาก
ั
้
ั่
์
ี่
ี่
์
ี
่
ู
ี่
้
พระมงกุฎเกลาก็กราบบังคมทลพอวาถาอยางนั้นก็ขอพระราชทานบรรดาศักด์ ิ
่
่
ู
่
้
ึ
ใหกับนายทควบคมวงนั่นแหละ นายแปลกจงเปนขุนประสานดุรยศัพท นายแปลก
ิ
้
็
์
ี่
ุ
ั
ี่
ี่
ั
ื
ั
ั
รชกาลท 5 ขอปรบวงดนตรถวายรชกาลท 6 และรชกาลท 5 นั่นเอง นคอ
ี่
ี่
ี
ู
ิ
ุ
้
ประวัตศาสตรส าคญรองลงมาจากครมแขก เพราะฉะนั้นบานครชอย สนทรวาทน
์
้
ี
ิ
ั
ู
ี
ิ
์
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 35
ุ
ิ
่
ี่
ี่
ี
่
ิ
ั่
์
วงปพาทยของสมเด็จพระบรมเด็กเหลาน้กนนอนอยูทวังสราญรมย์ จนกระทง
้
ี
ั
่
ื่
้
ิ
็
่
้
่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหวเปนพระเจาแผนดนเมอปพ.ศ. 2453 ทานก็
ั
ไปส ารวจวังจนทรเกษมซงรชกาลท 5 ลอมก าแพงไวหมดแลวแลวก็รอใหถูก
้
ี่
้
้
้
ั
ึ่
้
ี่
้
้
่
็
น าหนักเพราะทานจะไดไปประทบทนั่น หนไปดูทานก็เหนวาวังจันทรเกษมเนยอยู ่
ี่
ั
ั
่
่
ื
ี
ล าบาก ทหารลอมรอบถามอะไรเกดข้นหรอถาทหารเปนกบฏข้นมาทานก็เอาชวต
้
้
ี
้
ิ
็
ิ
ึ
่
ึ
่
่
ี่
่
ั
ไมรอด ทานก็เลยไมยอมอยูทวังจันทรเกษม แตทานเปลยนวังจันทรเกษมอนนั้นมา
่
ี่
่
่
ี
ึ
ั
เปนโรงเรยนพรานหลวงใชฝกดนตร มาเปนกรมมหรสพของรชกาลท 6 ของทาน
่
ี
็
็
้
ี่
็
ี่
้
ก็เลยไดยายเครองปพาทยจากวังบานหมอซงเปนมหรสพของรชกาลท 5 ทงหมด
้
้
์
ึ่
ี่
ื่
ั
ั้
้
็
้
ี่
ี่
ี่
ั้
้
มาอยูทวังจันทรเกษม เพราะฉะนั้นเด็ก ๆ ทงหมดเนยทเปนวงขาหลวงเดมก็ถูกยาย
ิ
่
ี
่
่
ี่
ื
ี่
ิ
มากนมานอนอยูทโรงเรยนพรานหลวง ทวังจันทรเกษม วังจันทรเกษมตอมาก็คอ
ั
ุ
ี
ิ
ึ
กระทรวงศกษาธการในปจจบันน้
ุ
ทกคนตามผมทนใชไหม ทนั่นก็คอพระยาประสานดุรยศัพทอยูทนั่นกับ
ี่
่
ื
์
่
ี่
ิ
ั
บรรดาเด็ก ๆ ทงหมดแลวทานก็เปนคนปรบวงทงหมด ไปเลนทไหนใคร ๆ ก็ชอบ
่
็
ี่
ั้
ั้
ั
่
้
ิ
ี
็
ิ
ั
้
นอกจากนั้นยังไมพออกครบเจาพระยาธรรมาธกรณาธบด เปนเสนาบดผูดูแล
้
่
ี
ี
้
์
้
ั
กระทรวงวัง ทานก็ตองมวงปพาทยเอาไวส าหรบใชงาน เจาพระยาธรรมาธิกรณา-
้
่
ี่
ี
้
ิ
ิ
ุ
ึ
็
้
์
ิ
ธบดเนย ปจจบันก็เปนบานทอยูรมคลองใกลเชงสะพานกษัตรยศกตอนน้กลายเปน
่
ี่
็
ี่
ี
ิ
ั
ี
้
่
้
ี
กรมพลังงาน ทานก็ใหหาเด็กมาเปนนักดนตรประจ าวงของทาน ในกระบวนน้เด็ก
ี
่
็
ี
ึ่
่
ื่
็
ี่
่
่
ทมาอยูในวงของทานมเด็กตัวเล็ก ๆ อยูคนหนงชอนายเทยบ คงลายทอง เปนคนป ี่
ี
้
ี
ประจ าทนและเด็กอน ๆ อกหลายคน พอเปนวงเรยบรอยแลว ก็ยังบรรเลงแพอยู ่
ี่
้
ื่
้
ี่
ี
็
นั่นเอง ในปพ.ศ. 2466 ไปแขงกับวงของจางวางทว ทปรบวงแพก็เลยตองตาม
ั่
้
่
้
ี่
ี
ั
ั
ั
ั่
้
ุ
เจาคณเสนาะดุรยางคมาปรบวงให เจาคณเสนาะดุรยางคก็มาปรบวงให จนกระทง
้
์
ิ
ิ
ุ
์
้
้
ี่
ี
ี
้
ี่
ี
ึ
ื่
วงน้เปนวงทมชอเสยงจนถงสมัยรชกาลท 7 ทานหมดหนาทไป วงของเสนาบด ี
ี่
ั
่
็
ี
กระทรวงวังก็เลยแตก ครเทยบก็เลยกลับมาอยูบาน ในกลุมของวงน้ทกคนตองไปดู
ุ
้
ี
้
่
่
ู
ี
่
ื
่
ี
มนักดนตรมากมายผมจะไมเสยเวลาเลาเพราะฝมอของพระยาประสานมาชวยปรบ
ั
่
ี
ี
ั้
์
ุ
วงใหเนย ทานจงเคารพทงทงพระยาเสนาะดุรยางคและเจาคณประสานมาก เจาคณ
ี่
ิ
ั้
ุ
้
้
่
ึ
้
ี่
ั
่
ื่
่
ประสานนั้นอายุสน ทานตายเมอปพ.ศ. 2467 กอนรชกาลท 6 ประมาณ 1 ป แตพระ
ี
่
ั้
ี
่
ี่
้
ั
ิ
ั
ี
ี่
่
ยาเสนาะดุรยางคทานก็ท าหนาทในการปรบวงตอมา ทน้ก็จะมาเลาใหฟงในบุคคล
่
้
์
ื
็
่
้
ี่
ิ
้
ั่
ท 3 ตอมาจากบานเนยก็คอบานจางวางทว ปกตเนยเขาเปนคน ‘คมในฝก’ เพราะใน
ั
ี่
ี่
ี
้
ี
บานเขามคนดนตรเยอะ แลวเวลาทเขาจะซอมดนตรทจะไปแขงกับใครเขาก็เงยบ ๆ
้
ี่
่
ี
ี่
้
ี
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 4 / 36
ู
่
่
ี่
้
ไมบอกใคร แตดวยความรททานมอยูกับตัวของจางวางทวนั้นเยอะมากและจางวาง
่
่
้
ี
ั่
่
ี่
ั่
์
็
่
ี
็
้
ทวตอนอายุ 20 ตองเตรยมทหารก็ไมยอมเปนทหาร แตไปสมัครเปนคนปพาทยอยู ่
้
้
ิ
์
์
ในวังบานหมอของเจาพระยาเทเวศรวงศววัฒน ก็เลยไดสนทกับพระยาเสนาะ
้
ิ
้
์
ิ
ื
์
ู
่
ิ
ั้
ดุรยางค หลังจากทลกระหมอมบรพัตรฯ ทรงกลับมาจากเมองนอก ครงแรกทานก็มี
่
ี
ั
ั่
้
็
์
ี
ี่
วงปพาทยโดยใชนักดนตรจากอมพวามาเปนนักดนตร ตอนนั้นจางวางทวไปปรบ
ั
ิ
ุ
้
้
ั
ี่
ื่
้
ุ
วงใหกับเสด็จเตย กรมหลวงชมพรเขตอดมศักด์ ตอนแรกไปฟงเรองวังบานหมอ
ึ่
ั
้
้
ี่
ื่
ิ่
ี่
เนยเรมปลายรชกาลท 5 คนเกงของวังบานหมอคนหนงชอนายเฮาส ถูกเรยกตัวไป
ี
่
์
้
่
็
ั
ี
ี่
ั
ี
เปนนักดนตรประจ าวังไปประชนทไหนก็แพวังบูรพาเพราะวายังปรบวงดนตรไม ่
ั
ึ
่
่
ี่
เพราะ ฉะนั้นกรมหลวงชมพรทานจงตองไปหาบุคคลทมาปรบวงใหทานก็เอา
ุ
้
้
่
จางวางทวมาประจ าอยูทวังของทาน แตเนองจากทานมภารกจเยอะทานจงไมมเวลา
ิ
ึ
ั่
่
่
่
่
ี
ื่
่
ี่
ี
ี
ี
่
่
มาดูวงดนตร หลังจากนั้นวงดนตรก็สลายตัวไป เพราะตอนนั้นทานไปฝายวชาหมอ
ิ
่
่
้
ั่
ี
้
แลวไปเรยนกับหลวงพอ ทานก็เลยหางดนตร จากนั้น จางวางทวก็ไดเขาไปปรบวง
ั
้
ี
่
ุ
ุ
ื
ี
ิ
่
้
ี
ี
ดนตรใหกับวงดนตรของกรมหลวงชมพรเขตอดมศักด์ นก็คอประวัต ิ
ี
่
ั
ทีน้ก็จะเลาใหฟงตอในสมัยรชกาลท 6 ไดมการประชนวงบอยมาก
ี
้
้
ี่
่
่
ั
ั
ิ
ี
ี
หลวงประดษฐ นักดนตรของวงดนตรวังบูรพา เพราะฉะนั้นเวลาซอมในวังบูรพา
้
่
่
้
้
้
่
้
ู
้
่
่
ไมตองปดไมตองบังใครทงนั้น ไมตองแอบซอม ไมตองกลัวคนเขาจะรวาปรบวง
ั้
ั
้
ิ
้
อยางไร แตถาเผอวาวงของสมเด็จชาย จะตองไปข้นเลนประชนกับเขาดวย หลวง
ื่
่
่
่
้
ึ
ั
้
่
่
ิ
่
ั
ั
ี่
่
ิ
้
ั
ั
ประดษฐ ก็เลยมาชวยปรบ ใหปรบไมไดครบ เพราะทนั่นตดอยูกับวังจนทรเกษม
้
ึ
ั
ิ
คอกระทรวงศกษาธการ ซอมเมอไหรคนดนตรในวังจนทรเกษมไดยนหมด สมเด็จ
ื
ี
้
่
ิ
ื่
้
่
ี่
้
ี่
ั้
ี่
้
่
ี
้
่
ี๋
ชายก็เลยไดรบสงวา ‘นักดนตรทงหมด อยาอยูเลยทน เดยวซอทใหม’ แลวทานก็
ื
่
่
ั
ั่
ี
ั้
ไปซอทบางคอแหลม ยายนักดนตรทงหมดไปอยูทนั่น มครูเผอด นักระนาด เปน
ื
้
้
็
่
ื
ี่
ี่
ี
หวหนาใหญ มครรวมไปอยูทนั่นและอน ๆ หลวงประดษฐก็ลงเรอไปอยูทนั่น
ี่
ี
ิ
ี่
ู
ั
่
่
ื่
้
ื
่
ึ
่
ั
่
ั
ี่
ี่
ก็ตองไปปรบถงปากแมน าเพราะไมตองการใหคนทอยูในวังจนทรเกษมเนยทเปน
้
้
้
็
ี่
้
่
ครหลวงไดยนวาปรบวงอยางไร เพราะฉะนั้นจงเกดวงปพาทยวังบางคอแหลมข้น
่
ู
ึ
ึ
้
ี่
ิ
ิ
ั
่
์
ุ
ี่
ั
ั้
ื่
้
้
้
้
เพราะตองแยกตัวออกไปกับวงขางนอกทนั่นและก็ไดไปประชนกันครงสดทายเมอ
่
ป ีพ.ศ. 2474 จะเลาใหฟงวาเขานัดกันยังไงในปพ.ศ. 2474 เขานัดกันเอาเพลงบุหลัน
ั
่
้
ี
ั
ั
ิ
ุ
้
ู
้
ตั้งใหทกวงไปปรบเพลงบุหลันมาแลวมาประชนในวันครบรอบวันประสต 48 ป ี
ึ่
่
ี
ี
ั
่
ี่
็
้
ี่
ี่
ี
ี
ุ
ของกรมหลวงลพบุรราเมศวร์ทวังแดง ซงเปนสถานททเรยกไดวาปจจบันน้เรยกวา
์
ั้
ิ
ั
ี
่
ิ
ิ
์
่
ส านักงานทรพยสนสวนของพระมหากษัตรย ในการปรบครงนั้นไมมการตัดสน
ั
้
ี
ิ
ครบวาวงไหนปรบไดดแตหลวงประดษฐก็จดใหบุหลันเปนทางของวงน้ จางวาง
ั
ั
ั
ี
้
่
่
็
ี
์
ิ
ิ
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 37
ุ
ั
ั้
ี่
ี
ี่
้
ู
ั่
ิ
ิ
่
ู
ทวก็จะมบุหลันทางของทลกระหมอมบรพัตรแลวนละครบทมันเกดลดรปสองชน
่
์
ี
ของบุหลันลงมาเปนเพลงทปจจบันเรยกกันวาเพลง เขมรชมจนทร นแหละก็คอ
ั
ี่
ื
ุ
่
ั
็
ี่
ั
ั
ิ
ื
็
ื
ั่
ึ
์
ี
ฝมอจางวางทวในการปรบวงเพลงบุหลันจงเกดเปนเขมรชมจนทรคอบุหลัน
ิ่
สองชนออกมาได เพราะฉะนั้นการปรบวงเนยมันเรมจะมาเขมงวดมากในสมัย
ั
ั้
ี่
้
้
ี่
ั
ี
้
่
ิ
่
ี
ั
ั
รชกาลท 6 แขงขันชงดกันเพราะวามการประชนกันแลวแอบปรบวงกันเอง
่
์
ู
้
ี
ี่
้
ทีน้ตอมาทลกระหมอมอษฎางคฯ นองคนทสองของพระมงกุฎเกลาฯ
่
ั
้
ลูกพระพันปเหมอนกัน ไดครองวังสวนกุหลาบ ก็ไดภรรยาสวย ราละครสวยมาก
ี
้
ื
้
้
ั
ื่
้
่
ชอแมแผ้ว แมแผ้วก็ไดก็ข้นมาเปนสะใภหลวงไดรบพระราชทานสายสะพายสชมพู
ี
็
ึ
่
ั
เรยกวาหมอมแผ้วราชสมาละครสวยมาก ทลกระหมอมอษฎางคฯ ไดพูดวา เมยฉน
่
ั
ี
ู
ี
่
์
่
ี
้
่
ี
ั
่
ี
้
ี่
ี่
ี
่
่
คนน้ราละครสวยตั้งแตหวจรดตน หมายความวาเทาเนยเวลาทจะยาง จะเหยยบ
ี่
้
่
่
จะกระดก หรอจะผลัดเทาเนย ก็สวยไมมใครสในกระบวนการประเทา ทานก็บอก
ื
้
ู
ี
้
้
วาเวลาแมแผ้วราละครเนย คนชอบแอบดูทาน เพราะฉะนั้นใหข้นไปราขางบน
่
้
ี่
่
่
ึ
ี่
้
่
่
ึ
ี
้
่
้
็
ั้
ชน 2 ไมใหคนเหน กลัวคนมาแอบดูวาแมแผ้วเนย ประตนยังไงถงไดสวย แลว
์
ู
ี่
หมอมแผ้วก็ไดเลาวาเวลาทจะซอมละครนั้นทลกระหมอมอษฎางคฯ พูดวา ‘แม ่
่
ั
่
่
่
้
่
้
แผ้วจา เมอยเทาไหม ผัวจะนวดให’ วธนวดผมจะไมเลาวาเจาฟาเขาท ายังไงกับเมย
ี
่
้
่
๋
ื่
้
ี
ิ
้
่
้
ทลกระหมอมอษฎางคฯ ก็ไดเลาใหผมฟงวาทานหวงมาก เพราะหวงมาก
ั
่
่
้
ั
้
่
ู
่
์
ึ
ึ
จงตองยกวงดนตรข้นไปบรรเลงชน 2 เพราะฉะนั้นการปรบวงเนยมันมาเขมงวด
ี
ั้
ี่
้
้
ั
่
ี่
ั
ี่
กันมากในสมัยรชกาลท 6 หลวงประดษฐก็ตองมาปรบวงทน แตการปรบวงของ
ั
ั
ี่
้
ิ
ี่
์
่
้
ิ
ั
้
้
ั
ั
่
หลวงประดษฐเนยไมไดปรบวงส าหรบแขงขันประชนดวยวงปพาทยไมแข็ง
ี่
ี่
่
ิ
ั
ื
้
เหมอนกับทไปปรบใหกับวังแดง หรอไปปรบใหกับวังบูรพาภรมย แตเปนการปรบ
ื
ั
์
็
้
ั
์
ั
ู
วงส าหรบบรรเลงละครโดยเฉพาะ เปนวงปพาทยไมนวม ทลกระหมอมอษฎางคฯ
่
้
ี่
์
ั
็
ื
่
ิ
่
้
่
จะเลนตับนางลอย หลวงประดษฐก็บอกวาอยาใหเหมอนวงอนเขาเลย เพราะฉะนั้น
ื่
่
ี
ี่
้
้
ู
ึ
เพลงในตับนางลอยมี 2 เพลงเนย รสกจะมสรอยเพลงกับเพลงทองยอน
ื
็
ี่
หลวงประดษฐเปลยนหมดเลย 4 ทอนไมเหมอนกันหมดเลยนั่นเพราะเปนการปรบ
ั
ิ
่
่
ื่
ู
่
วงเพอจะเปนการเลนตับนางลอยถวายทลกระหมอมอษฎางคฯ เพราะฉะนั้นการ
่
์
็
ั
ิ
่
่
้
้
้
ปรบวงกอใหเกดเพลงใหมในการปรบวงใชสมองในการ นอกจากท าใหเพลงเพราะ
ั
ั
ั
เพลงเปนระเบยบแลวชนะประชนแลวเนยยังไดเพลงใหมเขามาดวย ประชนเรอง
้
ี
่
้
ี่
้
็
้
ั
ื่
้
่
์
ั
่
ี
ื่
บุหลันก็ออกมาเปนเขมรชมจนทร จะเลนละครราสมัยกอนเขามละครราเรอง
็
ี
ิ
็
่
่
ื
ี่
ตับนางลอย หลวงประดษฐก็ท าเพลงใหมถวาย เอาละ นคอความเปนมาในอดตของ
็
ั
ิ
ั
่
วธการเรองความส าคญของการปรบวงเปนประวัต ผมจะขอวางเอาไวแคน้เปนแค ่
็
ี
ี
ื่
ิ
้
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 4 / 38
ื่
ี
่
่
ั้
ั
้
ี่
ื
่
่
้
เรองราวใหทานทงหลายไดสบตอไปวา มันมการปรบวงอะไร ทไหน อยางไร
ุ
บอกไดค าเดยวเลยในสมัยรชกาลท 9 มันมการประชนกันทกป วัดพระพเรนทร์ก็
้
ั
ิ
ี่
ี
ี
ั
ี
ี่
์
นัดกันมาวาใครอยากมาบรรเลงอะไรทไหน วงปพาทยของครสมภพ ข าประเสรฐ
ี่
่
ิ
ู
้
ิ
ี่
ั
ก็ปรบวงมาเพอจะไปเลนทนั่น ครประชต ข าประเสรฐ ก็มาเปนคนรอง ไดนัก
ื่
็
ิ
ู
่
้
ั
์
ั
ั้
ื
ึ่
ี
ระนาดเอกจากการปรบวงครงนั้นชอนายสมนก ศรประพันธ คอการปรบวงทหนง
ึ
ื่
ิ
้
่
์
ุ
มันก็ไดอะไรมาหลายอยางเปนประวัตศาสตร นอกจากคณสมภพ ข าประเสรฐ ก็ม ี
ิ
็
ี
ี่
่
ิ
ิ
ู
ิ
ี
วงดุรยประณต วงดุรยประณตนหลายครมากเดมทเรยนตั้งแตครศุข ดุรยประณต
ิ
ี
ี
ี
ู
่
็
้
่
็
พอคนตั้งวงเปนคนปรบวงเพราะวาเปนนักปพาทยทมาจากวังบานหมอ ทางรอง
้
์
ั
ี่
ี่
้
ิ
่
้
้
ุ
้
่
้
ั
่
ไมตองส ไมตองเขาใครออกใครเลย ชนะเลศไปหมดทกการแขงขัน เวลาปรบวงน ี่
ู
้
ี
้
ื
ั
ี
่
ั
คนรองคอหวแหวน เพราะอะไร มลูกสาวคนแรกไมไดหดดนตรเลยเอาไปท านา
้
็
่
้
เสรจแลวพอก็เลยหนออกจากบานไปรบผูหญงใหม่ เมยเขาเลยสาบานเอาไววา
่
ิ
ี
้
ั
ี
้
้
้
ี
ี่
ิ
ั
ื่
้
้
ี
็
้
่
เพราะไมมนักรองผัวฉนเลยไปตดนักรองทบานอน ขอใหมลูกออกมาเปนนักรอง
ุ
้
้
้
ิ
่
้
็
็
ทกคน ลูกสาวคนนักรองออกมาก็เปนนักรองวงศลปากร แชมชอยก็เปนนักรอง
ี
ี
ั
้
ิ
ี
่
ทศนย ดุรยประณตก็เปนนักรองหมด เพราะค าอธษฐานของแมแถม ตอนน้ก็ม ี
็
ิ
์
ุ
้
่
ิ
้
ื่
นักรองกลับมาจากกรมศลปากรตาง ๆ นานา ในทสดเรองการขับรองของบาน
ี่
้
้
ู
่
ี
ิ
ี
ิ
ดุรยประณตเขาไมตองพงพาอาศัยใคร เพราะฉะนั้นครโชต ดุรยประณต จงตองไป
ิ
้
ึ
ึ่
้
ิ
ั
ิ
ิ
ั
ู
ี
็
ู
ี
ั
้
เรยนวธการปรบวงมาเปนคนปรบวง ถาจะประชนครโชตก็ตองมาดู แลวครโชตก็ม ี
้
ี
นอง 2 คนคอชนแลวก็นองอกคนหนง ทงหมดน้ผมรจกหมดเลยเพราะวาทาน
ั้
ี
่
ู
ั
ั้
ื
้
้
้
่
้
ึ่
ั
ั้
เหลาน้เวลาปวยแลวมาตายก็อยูกับผมทงนั้น ก็ลองไปเปดฟงวาการปรบวงของ
ั
้
่
่
่
ี
่
ิ
้
ู
็
ิ
ี่
ี
ิ
็
ี
้
ุ
ดุรยประณตเปนอยางไร และทายทสดน้หลังจากทครโชตตายแลว หมัดก็เปนคน
ี่
่
ั
็
ิ
้
่
ั
่
่
ี
ื
ปรบวง แตท าเปนหรอเปลา แบบวาเชญครมนตรมาฟง ถาจะถามครมนตรวาอะไร
ู
่
ู
ี
่
ี
ั
่
ู
้
ิ
มันออนไปบางเพราะวาครมนตรก็เปนนักปรบวงคนส าคญของกรมศลปากร
็
ั
่
็
ี
หลวงประดษฐไพเราะเนยเปนบุคคลทสรางบุคคลไวในทางดนตรไมใชแตเพยง
่
ี่
ิ
้
ี
ี่
์
้
่
ั
ู
้
่
ื
ฝมอ แตทานท าองคความรในการปรบวงไวเยอะ เพราะฉะนั้นคนอยางครรวมเนยก็
์
่
้
ี
ู
ี่
่
ี่
ี
่
์
ิ
ไปท าวงอยูทราชบุร คนอยางอาจารยประสทธ์ ถาวร ก็ยงไปใหญอยูในวทยาลัย
ิ
ิ
ิ
่
่
่
่
ั
ิ
ี่
นาฏศลป รบรองวาอาจารยบุญชวยคงไมปฏเสธในเรองน้ วดทศนหลายตอนทเก็บ
่
ั
่
ี
ี
ี
์
์
่
ิ
ื่
ื
ั
่
่
้
่
ี่
เอาไววาทานพูดถงเรองการปรบวงอยางไร แลวก็พชายของอาจารยบุญชวยก็คอ
่
้
์
ื่
ึ
้
้
ี
ี
็
่
อาจารยเชอ เปนคนตระนาด นองชายอาจารยบุญชวยก็เปนคนตฆอง อนน้ก็เปน
์
ี
ั
็
์
ื
้
็
ั
ฝมอการปรบวงของอาจารยประสทธ์ ผมเนยไมไดสนใจเรองการปรบวงเลยตงแต ่
้
่
่
ี
ื
ิ
ั
์
่
ื
ี
ั
ิ
้
ื
ั่
ี่
้
เด็กจนกระทงมาท าหนาทเปนกรรมการสรางงานถวายสมเด็จพระเทพฯ คอ
็
้
์
ิ
ิ
ิ
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 39
ี
ุ
็
ี
้
ั
ึ
ี
่
ประลองเพลง ประเลงมโหร ตั้งแตปพ.ศ. 2529 จงไดเหนความส าคญของการ
้
ั
่
่
็
่
ปรบวงเพราะวาเราจะเหนทนทเลยวาเด็กแพเพราะครปรบวงไมเปน เด็กชนะเพราะ
ั
ู
็
ี
ั
ู
ี
ื่
ั
ึ
ครปรบวงด นั่นผมจงหนมาสนใจเรองการปรบวง ทมาพูดวันน้จะมาพูดเรอง
ี่
ี
ั
ื่
ั
ุ
ี่
ิ
่
ั
ั
์
ประวัตศาสตรของการปรบวง บัดน้มาถงจดของรชกาลท 9 แลววาการประลอง
ี
ึ
้
่
ั่
เพลง ประเลงมโหรมการปรบวงอยางไร เออมการปรบวงส าคญข้นมา จนกระทงม ี
ั
ั
ี
ี
ั
ี
ึ
ุ
คนสามารถเขยนวทยานพนธ เขยนเอกสาร เวลาน้มคณะครศาสตรจฬาฯ ขอ
์
ิ
ี
ี
ี
ี
์
ุ
ิ
ี่
ื่
่
่
้
่
่
ต าแหนงศาสตราจารย ในเอกสารทขอต าแหนงนั้นมอยูเลมหนงวาดวยเรองการ
ี
่
ึ่
์
่
่
่
ั
็
ิ
้
้
่
ี
็
ั
ปรบวง แสดงใหเหนวาการปรบวงดนตรไมใชเรองธรรมดาตอไปแลว เปนวชาการ
ื่
่
้
ั
ี่
้
ี
ื่
้
ทตองเรยนแลว แลวจะหาใครสอน ถาปรบวงเครองสายก็ตองไปหาวาละครเขาท า
้
้
์
์
้
่
์
ื่
ั
้
ี่
ึ
ี
ยังไง ถาจะถามเรองวงปพาทยก็ตองถามอยางเง้ย ปพาทยดกด าบรรพปรบวงยังไงก็
ี่
้
ื่
่
้
่
้
ู
่
ึ่
ี
ี
ตองถามอยางน้ ซงเวลาน้มเยอะแลวแตไมมากความรเรองการปรบวง เพราะฉะนั้น
ั
ี
พวกคณทมาเรยนมาฟงในเรองน้ เรองการปรบวงถอวาเปนมหาบุญลาภอนยงใหญ ่
ั
ิ่
่
ั
ื่
ี
ั
ี
ื
ุ
ื่
ี่
็
่
ิ
้
ื
ู
้
ิ
ี่
่
้
ึ่
ั
์
ทจะไดฟงคนซงรเทคนคในการปรบวงอยางแทจรงคออาจารยบุญชวย ผมขอ
ั
้
้
์
่
อนุญาตยกมอไหวอาจารยบุญชวยดวยความเคารพวาอาจารยบุญชวยเปนศษยเกา
็
ิ
ื
่
่
์
่
์
ิ
่
่
ิ
ุ
ของมหาวทยาลัยมหดล อาจารยบุญชวยเปนมหาบัณฑตทางดนตรรนท 1 ของ
์
ี
ิ
ี่
็
มหาวทยาลัยมหดล พรอมกับอาจารยณรงคชย อาจารยเจยบ อาจารยปบ และอน ๆ
ื่
ี๊
์
ิ
์
้
ั
์
ี๊
ิ
์
์
ึ
ั
อกหลายคนดวยกัน เพราะฉะนั้นผมจงขอกอดอาจารยบุญชวยสกครน้ อาจารยได ้
่
ี
้
ี
์
่
ู
้
ี
ื
ี่
่
ลดตัวลงมาเรยนหนังสอกับพวกเราทมหดล ตองใชค าวาลดตัวลงมาเพราะอาจารย ์
้
ิ
ี
่
ี่
ี่
เนย ‘เต็ม’ อยูแลว แตผมเนยไปกราบไหวเรยนทานมาเรยนปรญญาโททน ี่
ี่
ิ
้
่
้
่
ี
้
เพราะฉะนั้นผมจงปล้มจน ณ บัดน้ไมหาย เพราะฉะนั้นผมใชบุญใชคณใชกรรม
ี
ึ
้
ื
้
ุ
่
ี่
่
ื
้
่
ู
่
่
็
่
ี
่
หรออะไรตาง ๆ กับครบุญชวยไมมวันหมด ไมวาจะเปนอะไรททานพูดออกมาถา
้
็
ี
ิ
้
ั
ั
ผมจ าไดผมจะท า เพราะฉะนั้นจบแลวประวัตความเปนมาของการปรบวง อดเสยง
้
ี
็
ไวดวยเพราะผมไมเคยพูดทไหนมากอน พูดใหมหดลเปนทแรก เวลาทผมอดเสยง
้
ั
่
ิ
้
ี่
่
ี่
ี่
ื
็
้
่
อะไรแบบน้มันกลายเปนเงนเปนทองเพราะวามันจะมคนมาซอเอาไปใสในยู
ิ
ี
ี
่
็
้
่
ิ
ู
้
ิ่
ทบ (YouTube) ผมก็จะขายกนบางเพราะวาผมเรมจนแลว”
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 4 / 40
์
ั
4.3 บทบรรยายจากเทปบันทึกงานสมมนาทางวิชาการ โดย อาจารยบุญชวย โสวัตร
่
่
ั
ั
้
้
ั
ี
่
ในหัวขอ “แนวทางการปรบวงดนตรไทยทีไดรบการถายทอดมาจนถึงปจจุบัน”
ุ
์
ิ
บญช่วย โสวัตร (2563) กล่าวว่า “วทยานพนธ ของอาจารยวชาการไดม ี
ิ
์
ิ
้
ื่
่
้
ี
์
่
ี
่
้
ี
เรองราวตาง ๆ ท าการคนควาอยางมหลักฐานและมขอมูลมขอประจกษตาง ๆ
้
ั
้
ื่
ั
ี่
ั
ิ
็
ื่
่
อยางเปนเหตุผลในเชงกระบวนการวจย เรองทคณหมอเลาเรองการจดวง ถาแปลค า
ิ
ุ
่
้
้
่
วาปรบวงคอการซอมรวมอยูในนั้นดวยการฝกอยูในนั้นดวยก็เหนจะแปลในมตทท ี่
ี่
้
ื
่
ิ
ั
็
่
้
ิ
ึ
ี่
์
้
ั
่
้
ั
ั
ิ
ิ
่
่
ุ
คณหมอเลาใหฟงในเชงประวัตศาสตร การจดวงตามแนวทางททานนั้นเลาใหฟง
้
ู
้
ึ
ื่
์
่
ุ
่
ไดแตถาอาจจะพูดถงเรององคความรในเชงของทฤษฎการปรบปรงในหลักแหง
ั
ิ
้
ี
ิ
่
้
็
ศาสตรของดุรยางคศาสตรไทยมันเปนคนละอยาง ปรบก็คอปรบซอมก็คอซอมฝกก็
์
์
ึ
ื
ั
้
ั
ื
ี่
่
ื่
ึ
ื
ี
ี่
ี
้
ื
้
็
คอฝกฝนก็คอฝนมันเปนคนละเรองกันมันมรายละเอยดปลีกยอยทเกยวของแลว
่
ี
ี
้
่
็
เรองใครแพใครชนะตาง ๆ เหลาน้มันก็เปนอกหลายเหตุผล เพราะฉะนั้นทานก็จะ
่
ื่
่
ู
ี่
้
ิ
ั
้
้
ิ
้
่
เลาใหรไวในประวัตศาสตรทส าคญก็แลวกันนะครบแตเอาเปนขอยุตไมไดตอง
้
์
่
ั
็
้
้
ิ
ึ
ิ
้
์
น าไปสผลของการวเคราะห กอนวจยกอนตองมการท ากระบวนการศกษาใน
ี
่
่
่
ั
ู
ี
ุ
ี
่
วชาชพของดุรยางคไทยนั้นเนยตองมครบทกระดับแลว เพราะสวนมากเนยจะเอา
้
์
ิ
ิ
้
ี่
ี่
่
้
่
่
ี
่
่
้
้
่
ไปอางกันวาคนน้วาอยางโนนคนโนนวาอยางน้คนนั้นวาอยางนั้นแหละ แลว
้
่
ี
้
่
์
้
ั
่
่
้
ี
ู
ั
การศกษาในปจจบันน้ก็เอาแตไปสมภาษณและ แลวไมรจะสมภาษณยังไงแลวไมร ้ ู
์
ุ
ึ
ั
่
ี
ุ
่
้
ั
ู
สมภาษณใครก็ไมรเพราะมหลายเหตุผลแตเวลาเราไปสมภาษณเราจะเอามาสรป
ั
์
์
่
ยังไงก็ไมรอกเพราะฉะนั้นเราจะมาจากขอเท็จจรงไดไหมยกเวนเสยแตวาหาไมได ้
้
ิ
ู
ี
ี
่
้
่
้
้
่
้
้
ี่
่
ี
ี
ู
อกแลวในโลกน้ยังจะพอมแคมนุษยทยังพอมความรอยูก็ใหเหตุผลและก็ให ้
์
ี
้
่
ี
่
ประสบการณโดยการเลาใหฟงพอสมเหตุสมผลแตเรมตนตองเรยนกันใหไดแกน
้
้
ี
้
่
ั
้
ิ่
่
้
์
์
ี่
้
้
้
สาระและขอเท็จจรงทางวชาการดวยการเรมตนดวยการสมภาษณเนยมัน ไมนาจะ
ิ
ิ่
่
ิ
้
ั
่
โอเคเทาไหร ผมชวยงานอยูทสถาบันบัณฑตพัฒนศลปพอมาไดชวยงานทนก็ถูก
ี่
้
่
ี่
ิ
่
ี่
่
่
์
่
ิ
้
็
ั
ั
์
์
้
ก าหนดมาใหสมภาษณเปนอนมากก็มาขอสมภาษณเราก็ตองใหสมภาษณในฐานะ
ั
ั
์
้
์
ี่
ิ
ิ
ั
์
็
ั
ั
ทเปนบุคลากรสถาบันบัณฑตพัฒนศลปมาสมภาษณอาจารยครบมาขอสมภาษณ ์
์
หนอยครบถามในเรองอะไรเวลาตาง ๆ สรปวาไดเรอง ยกตัวอยางเชนเรามา
ื่
ุ
ื่
ั
่
่
่
่
้
่
้
์
้
ั
้
ี่
้
ั
์
สมภาษณอาจารยแลวและถามบอกวาแลวสมภาษณเนยออกไปใชท าอะไรใชใน
์
่
ิ
ิ
ิ
ั
ั
เรองอะไรท างานวจยครบท างานวจยหวขออะไรท างานวจยวเคราะหผลงานของ
ั
ั
ิ
้
ั
ื่
์
ิ
ิ
ุ
ี
ิ
์
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 41
์
ื่
่
ี่
ึ่
ั
่
ี่
์
์
ั
ทานอาจารยอน ซงมันไมสมควรทจะมาสมภาษณผมควรทจะไปสมภาษณกับคนท ี่
่
ื่
่
้
ั
์
์
่
ั
้
่
ั
่
์
ตองการจะสมภาษณแตไมใชวาจะเอาผมมาสมภาษณในหวขอของอาจารยทานอน
้
ี
็
ั
นก็เปนกรณหนงทอยากจะเลาใหฟง ในฐานะทพวกเราเปนชาวดนตรไทยทสนใจ
ึ่
่
ี่
็
ี
ี่
ี่
ี่
็
ิ
ี
่
้
ภูมปญญาของชาตส าคญของสาขาน้ ก็ขอรองวาจะลงความเหนใด ๆ ก็ตามก็ตองม ี
ั
ั
้
ิ
ั
ิ
การผานกระบวนการการศกษาในปจจบันนั้นเรามกระบวนสมบูรณแลวท าการวจย
ึ
่
์
ี
ุ
ั
้
ิ
ุ
่
ี
้
แลวก็ยังยุตไมไดการท าการวจยแลวตองมการเขาสระบบของการประชมวชาการ
ั
้
้
้
่
ู
้
ิ
ิ
้
็
ี
้
อก ประชมวชาการเสรจเรยบรอยแลวเนยก็ตองไปใหความเหนอยางเปนองค์รวม
้
่
ี่
ุ
็
ี
้
ิ
็
ึ
ี
่
ี
่
ื
่
ี
ั
นะครบเพราะวามันตางกับในอดต ในอดตนั้นเราไมมระบบอะไรเลย เราจงถอเอา
ู
้
้
ู
วาครคนไหนบอกก็ถอเปนทสดแลว เมอกอนเนยครเขาก็อยูในจรยธรรมจรง ๆ ถา
ี่
ุ
ิ
็
ื
่
ื่
ิ
่
ี่
่
ื่
่
่
ู
้
็
ื
่
่
ู
่
้
ู
่
้
้
ู
ใครไมรครก็จะไมบอกครก็จะบอกวาไมรถารเปนอนแนนอน เมอกอนเขาก็ถอกัน
ู
ั
็
ู
ั
เชนนั้น เปนอนยุตถาครคนไหนบอก ก็เปนอนยุต ิ
้
ิ
่
ั
็
ั
ิ
่
ี
ุ
ื
ี
้
ปจจบันน้บางทโหมโรงเชาโหมโรงเย็นยังไมแมนเลยเราก็จะถอวสาสะ
่
เปนผูมคณวุฒมันจะไดยังไง มันไมนอยไปหรอ นะครบก็ฝากไวดวยนะครบยังไงก็
ื
้
ุ
ี
ิ
ั
้
้
้
็
้
่
ั
ั
มาเรองของการปรบวงดนตรไทย ตามทไดรบมอบหมายในหวขอการปรบวงดนตร ี
้
ั
ื่
ี่
ั
้
ี
ั
ั
ื
ึ่
ั
ั
้
ุ
ั
่
ึ
่
่
ี่
ไทยทไดรบการถายทอดมาจนถงปจจบัน ค าส าคญก็คอหนงรบสองถายสามทอ
ี่
่
รบหนารบถายเนยถายมันเปนยังไงก็ไมรแลวทอดก็เปนยังไงก็ไมรเพราะฉะนั้น
้
ั
็
ั
่
่
้
่
้
ู
้
็
ู
่
ั
ั
ตัวการส าคญทจะตองรใหแน ๆ ก็คอจะตองประจกษจรง ๆ วารบนะ มันรบยังไง
้
ิ
่
้
่
้
ั
้
ู
ั
ี่
์
ื
้
ี่
้
ั
็
ี
ี่
ั
่
่
่
้
ถายเนยถายยังไง ทอดยังไงตองใหชดเจนนะครบแตยังไงก็เปนหวขอทตั้งไดดนะ
ั
้
ื่
ั
ั
่
้
ั
ื่
์
ครบ ขอชมเชยฝายจดท านะครบ เรองของทฤษฎดุรยางคไทยวาดวยเรองของการ
ี
่
ิ
่
ี
ั
ปรบวงดนตรไทย เหตุทตองพูดตรงน้เนย ทจรงก็ไมเหนจะตองพูด แตพูดอกก็ได ้
้
ี่
ี
ี่
่
ิ
ี่
็
ี
้
ี
ึ
ุ
ึ
่
่
วา ณ บัดน้จนถงปจจบันน้มันมกระแสผูควบคมการศกษาตั้งแตในระดับมหาลัย
ุ
้
ี
ี
ั
้
่
จนถงระดับดุษฎบัณฑตเขาอางวาดนตรไทยไมมทฤษฎ ผมอยูในวงการวชาชพน้ ี
ี
่
ี
ี
ี
่
ิ
ิ
ึ
ี
ี่
โครงการสัมมนาทางวิชาการ บทท 4 / 42
ึ
่
่
ู
่
็
้
้
ิ
่
่
้
ี
ั้
ี
ผมไมเหนใครเขารสกเชนนั้น เขาก็ราเรยนกันมาดวยกับทฤษฎทงสน แตวา
ี
ี
ู
ุ
่
ู
่
่
หลักสตรทางน้โดยตรงกระบวนการ กลไกควบคมหลักสตรตาง ๆ เหลาน้กลาวอาง
้
้
ี
่
ี
ิ
ี
ี
ึ
่
่
้
ิ
ั
่
ี
้
วาดนตรไทยไมมทฤษฎแลวถามวามอะไร มแตแนวคดผมไดยนข้นผมก็ตองหนไป
็
ั
้
็
่
็
้
่
ถามเพราะเหนวาเออเพราะเปนระดับผูใหญและเปนหวหนาคนทางนั้นก็เลยถาม
์
์
ี
บอกวาแลวอาจารยเรยนจบมาจากไหนและจบสาขาอะไร แลวอาจารยจบมาได ้
่
้
้
ี
่
ี
ี
ี
ื่
้
้
่
่
ยังไงในเมอจบสาขาดนตรและดนตรไทยไมมทฤษฎแลวแตจบมาไดยังไง สงผล
ู
ู
เสยไปถงสถาบันทจบมาดวยใหความรยังไงวาทฤษฎไมมเนยใหความรกันยังไงน ี่
ี
้
ี่
้
้
ี
ี่
่
้
่
้
ี
ึ
้
ึ
่
้
้
ี
์
ิ
เปนเหตุผลทวาท าไมผมถงจะตองข้นวาค าวาทฤษฎดุรยางคไทยก็เพอทจะย าวาใหม ี
ื่
่
ึ
่
ี่
่
็
ี่
เพอทจะยนยันใหทราบวาตามทผมไดศกษาเลาเรยนมาจากฐานกรมศลปากรทรบ
ี่
ี
ี่
้
ึ
่
ั
ิ
่
ื
ื่
้
ี่
่
่
ี
ชวงมาจากกรมมหรสพมแตในอดตนั้นยังไมเปนทฤษฎทเปนนามธรรมทให ้
่
ี
็
ี
ี่
ี่
็
ิ
ี่
็
่
่
ึ
ู
ิ
ั
การศกษาควบคกันมากับภาคทกษะและภาคปฏบัต เหตุทมันเปนเชนนั้นเนยก็
ี่
ี
ี
่
่
็
ื
ี
ี
ื
เพราะวานักดนตรไทยนั้นไมมใครเขยนหนังสอเปนมคนทเขยนหนังสอเปนก็คอ
็
ื
ี่
ี
ครมนตร ตราโมท จบการศกษาในระดับมัธยมหกของโรงเรยนพรานหลวงและ
ี
ี
ู
ึ
ี
่
้
ี
่
จากพระมงกุฎเกล้าฯ แลวจะเอาใครเขยนไมมหรอกไมมใครเขยนหรอกและนัก
ี
ี
ี่
่
ื
ึ
ิ
ี
ี
ี
ิ
ิ
ึ
ดนตรทมวุฒทางการศกษาทจบม.3 อกทานหนงก็คอครประสทธ์ ถาวร ทานจบ
ู
ี่
่
่
์
ิ
ี
็
่
ั้
ี
ี
มัธยมสามของโรงเรยนนาฏดุรยางค มสองทานทงสองทานน้ก็เปนคนทดูแล
่
ี่
้
ื่
ี
้
ึ่
่
ิ
ี
วชาชพภายใตงานของกรมศลปากรครมนตรทานไดเขยนหนังสอส าคญเลมหนงชอ
ั
ี
่
ู
ิ
ื
ี
็
้
์
้
ิ
ดุรยางคศาสตร ในฐานะขาราชการของกรมศลปากร และเปนผูทมความสามารถใน
ิ
ี่
ี
ี
การเขยนหนังสอ คณมนตรเขยนหนังสอดมากนะครบบางทความเปน ม.6 ของ
็
ื
ี
ั
ุ
ื
ี
ี
้
ู
้
ทานก็อาจจะสปรญญาเอกไดเลย
ิ
่
่
่
็
้
่
ั
ี่
็
ี่
ี
ั
น้เปนเลมส าคญและเปนเลมแรกแลวเลมแรกนแหละครบหลังจากทขยาย
่
ี
็
การศกษาไปสอดมศกษานับตั้งแตปพ.ศ. 2526 ทประจกษเปนเรองเปนราวตาง ๆ ท ี่
์
็
ู
ึ
ี่
ั
่
ื่
ุ
่
ึ
ิ
ิ
็
ี่
จฬาลงกรณมหาวทยาลัยคณะศลปกรรมศาสตรก็เพราะหนังสอเลมน้ทเปนสวนท ี่
ี
ุ
ื
่
์
์
่
็
้
็
ั
้
ไปขยายและก็เปนสวนทท าใหบรรดาผูทเปนศาสตราจารยดานปจจบันน้ใชกันอยูน้ ี
้
ี
่
ี่
์
ุ
้
ี่
ี
็
ื
้
ี
ั้
ก็มาจากหนังสอเลมน้ทงนั้นแหละ นะครบก็อยากจะเรยนใหทราบวามันเปนการ
่
ั
่
ี
้
ิ่
่
ื
็
ิ
้
ขยายตัวโดยการเพมเตมอะไรตาง ๆ แลวก็เดยวเจาหนังสอเลมน้นอกจากจะเปน
ี๋
่
่
่
้
ื
้
ทมาของหนังสอตาง ๆ ไมเวนแมแตเอกสารของราชบัณฑต เพราะฉะนั้นเวลา
่
ิ
ี่
ิ
ี
ิ
์
วิทยาลัยดรยางคศลป มหาวิทยาลัยมหดล ดศ.บ. (ดนตร) / 43
ุ
ิ
ึ
ื
ี่
่
ี
่
่
่
ื
ุ
้
ี
ุ
การศกษาทจะอานหนังสอก็ดหาขอสรปก็ดชวยล าดับหนังสอหนอยวาคณภาพ
่
่
หนังสอนั้นอยูตรงไหนอยางไรบรรทดฐานเปนอยางไรในฐานะของหลักการศกษา
ื
ึ
ั
่
็
่
้
่
่
่
่
ี
ั
ขั้นตนขั้นรองและอนไหนอยางไรก็ชวยดูตออกหนอย แตวาผมไมคอยหนักใจนะ
่
่
่
้
ื่
่
่
ครบผมเชอในกระบวนการศกษาในระดับของคนควาวจยเพราะการถวงดุลตาง ๆ
ึ
้
ิ
ั
ั
้
จะเกดข้นไดแตปจจบันน้ก็ยังหนักใจอยูกับผลงานวจยบางงานนะครบ
ิ
่
่
ึ
ั
ุ
ี
ั
ั
ิ
ื่
้
ี่
ึ
้
ี
ี
ี
พอมาถงตรงน้เสรจเรยบรอยเนยเนองจากจะย าดวยขอความตรงน้ก็มความ
้
้
ี
็
็
ื
ี
้
จ าเปนจะตองใหค าจ ากัดความน้เลยนั่นก็คอแปลคออะไรผมใหความจ ากัดความวา
้
ื
้
่
ู
ิ
ี
ี่
ิ
ั้
็
ิ
ั
เปนกลวธการปรบกระบวนการบรรเลงเขาสมตความไพเราะทสมบูรณครงน้ ี
์
่
้
ื่
ุ
็
ี่
ั
้
ขณะน้ถาใครไมเคยไดฟงการใหความเหนเกยวกับเรองปรชญาสนทรยศาสตรของ
ี
้
้
่
ั
์
ี
่
็
ี
ึ
ื
ี
่
ั
ื
ู
้
้
ดนตรไทยก็จะรสกวาอะไรเหรอเปนยังไงหรอเขาใจหรอเปลานะครบขณะน้เวลาน้ ี
่
ี
้
ี่
ิ
้
่
ไมมากก็ลองดูเขาคราว ๆ กอนนะครบทจรงดนตรมดทความไพเราะ ผูใหวาทะค า
้
ี
ี
ี่
ั
่
ิ
ี
ื
ั
้
็
ุ
่
์
ึ
น้คอหลวงประดษฐไพเราะ ศร ศลปบรรเลง ถาเปนเชนน้ในวงการศกษาปจจบัน
ิ
ี
้
้
็
ยอมตองถามตอไปวา ครหลวงประดษฐไพเราะเปนคนรคนแรกหรอไง เรองความ
่
่
่
ื่
ื
ิ
์
ู
ู
์
ี่
ไพเราะของดนตรเนย ค าตอบไมควรจะใช เพราะวาในยุคของครหลวงประดษฐนั้น
่
ู
ี
ิ
่
่
่
เนยก็มทานเจาคณพระยาตาง ๆ กอนหนานั้นอกมากมายโดยเฉพาะคนส าคญทคร ู
ี
่
่
ี่
ี่
้
ี
ุ
ั
้
่
ี่
ิ
่
หมอเลามานั้นเนยก็คอ พระประดษฐไพเราะ พระประดษฐฯ นั้นเปนเจาแหง
ื
้
ิ
็
ู
์
วชาการเลยนะครบแลวก็เปนไปไมไดวาครหลวงประดษฐจะสนทกับครคนส าคญ
ิ
่
ิ
้
้
ู
ั
ิ
่
็
ั
ิ
่
ี่
่
้
็
ู
่
ี่
่
ตาง ๆนั้นในยุคของทานอยูหลังแตวาครหลวงประดษฐนั้นเนยเปนผูทใหวาทกรรม
่
้
์
น้ผานครประสทธ์ ถาวรซงเปนลูกศษยของทาน แลวครประสทธ์ตอนนนมาสบ
ิ
ิ
ู
ิ
ิ
่
่
้
ั
็
ู
่
์
ิ
ี
้
ึ
ื
์
ี่
็
้
่
้
์
สานองคความรทางดานดนตร ีไทยเปนหลักใหแกโรงเรยนนาฏดุรยางค ทกลายมา
ู
้
ี
ิ
ิ
์
ั
็
์
็
ิ
ุ
ิ
ู
ิ
ี
เปนสถาบันบัณฑตพัฒนศลปในปจจบันน้ คณครประสทธ์เปนศษยเอกของคร ู
ิ
ุ
ิ
หลวงประดษฐ ทานไดสอนหลักการตาง ๆ และเปนพยานคนส าคญของส านัก
้
่
็
์
ั
่