เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคณุ ภาพ ผลการประเมนิ
8 คะแนน ดีมาก ผา่ น
6 - 7 คะแนน ดี ผา่ น
4 - ๕ คะแนน ผ่าน
2 - ๓ คะแนน ปานกลาง ไมผ่ า่ น
๐ - 1 คะแนน พอใช้ ไม่ผ่าน
ปรับปรุง
เกณฑก์ ารประเมินใบงาน เรือ่ ง คำศพั ท์บญั ญัติ
รายละเอยี ดการประเมิน ระดับคะแนน
ความถกู ต้องของคำศพั ท์บัญญัติ ๒๑
คำศพั ท์ทน่ี ำมาตอบจะตอ้ งเปน็ คำ คำศพั ท์ทนี่ ำมาตอบเป็นคำทับศพั ท์
ทบั ศัพท์ครบทัง้ 15 คำ ไม่มีการนำ แตไ่ มค่ รบท้ัง 15 คำ มีบางคำศพั ท์
คำศพั ์ทไ่ี มใ่ ช่คำทับศัพท์มาเตมิ ลง ไม่ใชค่ ำทับศพั ท์ผสมบ้างเลก็ นอ้ ย
ในใบงาน
สามารถสะกดและเขยี นคำทับศัพท์ สามารถสะกดคำทับศพั ท์ได้ถกู ตอ้ ง
ความถกู ตอ้ งของการสะกดคำทับศพั ท์ ได้ถกู ตอ้ งตรงตามท่ีบัญญตั ิใน ตรงตามทบี่ ัญญตั ิในพจนานุกรม
พจนานุกรมครบท้ัง 15 คำ แตอ่ าจจะไม่ครบทั้ง 15 คำ
ความถกู ตอ้ งของศัพท์ภาษาอังกฤษ เขียนศัพทภาษาอังกฤษได้ถูกตอ้ ง เขียนศัพทภาษาองั กฤษได้ถกู ต้อง แต่
ท่นี ำมาทับศพั ท์ ครบถ้วนทั้ง 15 คำ ไม่ครบทง้ั 15 คำ มีผดิ บ้างเล็กนอ้ ย
ความถูกตอ้ งของประเภทคำทับศพั ท์ สามารถเขียนคำทบั ศพั ทไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง สามารถเขียนคำทับศพั ทไ์ ด้ถูกต้อง
ตามประเภทท่ีครูกำหนด ครบทั้ง ตามประเภทที่ครกู ำหนด แตไ่ มค่ รบ
3 ประเภท รวมทัง้ สิ้น 15 คำ ทั้ง 3 ประเภท มผี ิดเล็กน้อย
ผลงานสะอาดเรียบรอ้ ย ไม่มรี อย ผลงานสะอาดเรยี บร้อย มรี อยเปอ้ื น
ผลงานสะอาดเรียบร้อย เป้ือน ตวั หนังสอื ชัดเจนทัง้ เล็กนอ้ ย ตัวหนงั สอื ชัดเจนท้งั
ภาษาไทย - ภาษาองั กฤษ ภาษาไทย - ภาษาองั กฤษ
แผนการจัดการเรียนรู้
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 เร่อื ง โครงสรา้ งประโยค
รหสั วิชา ท ๒๓๑๐๑ ชือ่ รายวชิ า ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย
ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ ภาคเรยี นที่ ๑ เวลา 3 ช่วั โมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 4.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลยี่ นแปลงของภาษา
และพลงั ของภาษา ภูมิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัตขิ องชาติ
ตัวช้ีวัด
ท 4.๑ ม. ๓/2 วิเคราะห์โครงสรา้ งประโยคซับซอ้ น
สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
ช่ัวโมงท่ี 1
ประโยคสามญั คอื ประโยคทปี่ ระกอบไปดว้ ยภาคประธานและภาคแสดง เพยี งประโยค
เดียว ไมม่ อี นปุ ระโยค(ประโยคยอ่ ย)มาขยายภาคประธาน หรอื ภาคแสดง เปน็ ประโยคท่ีมีเพียงใจความ
สำคญั เดียว จึงเรยี กอีกอย่างวา่ “ประโยคความเดียว”
ชว่ั โมงท่ี 2
ประโยคความซอ้ น คอื ประโยคทีป่ ระกอบดว้ ยประโยคความเดยี ว ๒ ประโยคขึ้นไปซอ้ น
กัน โดยมีประโยคหนึ่งเป็นประโยคหลัก(มุขยประโยค) และมปี ระโยคความเดยี วอกี ประโยคหนง่ึ มาขยาย
ประโยคหลัก(อนปุ ระโยค) ซึ่งทำหนา้ ท่ีปรุงแต่งส่วนใดส่วนหน่งึ ของประโยคหลักเพ่อื ให้ไดใ้ จความชัดเจน
ดียง่ิ ขนึ้ ทั้งยังทำใหเ้ นอ้ื ความของประโยคสละสลวยยิง่ ข้นึ อีกดว้ ย
ชวั่ โมงที่ 3
ประโยคความรวม คือ ประโยคย่อยตง้ั แต่ 2 ประโยคขึ้นไปมารวมประโยคเดียวกัน โดยมี
คำสันธานเป็นตวั เชื่อม เมอ่ื นำประโยคมาแยกจะได้ประโยคสามญั ทีม่ ใี จความสมบรู ณ์ 2 ประโยคข้ึนไป
ใชส้ อ่ื ความไดอ้ ย่างอสิ ระ
สาระการเรยี นรู้/เน้อื หายอ่ ย
ชั่วโมงท่ี ๑
ความรู้ (K)
นกั เรียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจในความหมายและชนิดของประโยคสามัญ
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถจำแนกชนดิ ของประโยคสามญั ได้
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นกั เรียนสามารถนำความร้จู ากการเรียนเร่ือง ประโยคสามญั ไปเป็นแนวทาง
ในการเรียนระดับตอ่ ไป
ช่ัวโมงที่ ๒
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมีความรู้ความเขา้ ใจในความหมายและชนดิ ของประโยคความซอ้ น
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นักเรยี นสามารถจำแนกชนิดของประโยคความซอ้ นได้
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรู้จากการเรียนเรอ่ื ง ประโยคความซอ้ น ไปเป็นแนวทางใน
การเรียนระดบั ต่อไป
ช่ัวโมงท่ี 3
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมคี วามรคู้ วามเข้าใจในความหมายและชนดิ ของประโยคความรวม
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรยี นสามารถจำแนกประโยคยอ่ ยในประโยคความรวมได้
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรจู้ ากการเรียนเรือ่ ง ประโยคความรวม ไปเปน็ แนวทางใน
การเรยี นระดบั ต่อไป
จุดเนน้ ส่กู ารพัฒนาคุณภาพผู้เรยี น
ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อา่ นออก)
(W) Riting (เขียนได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)
ทักษะด้านการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและทกั ษะในการแกไ้ ขปัญหา (Critical
Thinking and Problem Solving)
ทกั ษะด้านการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)
ทักษะดา้ นความร่วมมอื การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)
ทักษะด้านการสอ่ื สาร สารสนเทศและรู้เท่าทนั สื่อ (Communications,
Information, and Media Literacy)
ทักษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing
and ICT Literacy)
ทักษะอาชีพ และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปล่ยี นแปลง (Change)
การประเมนิ ผลรวบยอด
ชน้ิ งานหรือภาระงาน
ชว่ั โมงที่ 1
ใบงาน เรื่อง ประโยคสามญั
ชั่วโมงท่ี 2
ใบงาน เรื่อง ประโยคความซอ้ น
ชั่วโมงท่ี 3
ใบงาน เร่ือง ประโยคความรวม
กิจกรรมการเรยี นรู้
ช่ัวโมงที่ 1
ขน้ั นำ
ครูกลา่ วทกั ทายนกั เรยี น และครใู ห้นกั เรียนอ่านขอ้ ความกระดาน จากนั้นครูใช้คำถาม
“ประโยคในภาษาไทย มีโครงสร้างประกอบด้วยอะไร” และ “นักเรียนคิดว่าประโยคทั้ง 2 ประโยคน้ี
ต่างกันหรอื ไม่ อย่างไร” จากนั้นให้นักเรียนแสดงความคดิ เหน็ โต้ตอบกับครู (K)
ข้นั สอน
๑. ครแู จกใบความรูแ้ ละให้ความรู้เรอื่ ง ประโยคสามัญ จากนนั้ ครอู ธบิ ายความหมาย
ของประโยค ชนิดของประโยค ความหมายของประโยคสามัญ ชนดิ ของประโยคสามัญ และครู
ยกตัวอย่างประโยคสามญั หลาย ๆ ประโยคใหน้ กั เรยี นดู เพ่ือให้นกั เรียนเขา้ ใจประโยคสามัญมากขนึ้ (K)
๒. ครูให้นักเรยี นทำใบงาน เรื่อง ประโยคสามัญ โดยใหน้ ักเรียนจำแนกชนดิ
ของประโยค วา่ ประโยคต่อไปนีเ้ ป็นประโยคที่มีกรยิ าวลเี ดียว หรอื มีหลายกริยาวลี (K, P)
๓. ครใู หน้ กั เรยี นออกมานำเสนอหน้าชั้นเรยี นโดยครูจะสมุ่ เพอ่ื เปน็ การแลกเปล่ยี น
เนื้อหาซง่ึ กนั และกัน จากนัน้ ครูและนักเรียนรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพิ่มเติม (P, A)
ข้นั สรปุ
ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ ใบงาน “ประโยคสามัญ” เปน็ กิจกรรมที่ใหน้ ักเรียนจำแนก
ชนดิ ของประโยค ว่าเปน็ ประโยคทม่ี ีกริยาวลเี ดียว หรอื มหี ลายกริยาวลี จากการทำกิจกรรมนักเรียน
สามารถปฏิบตั ิได้อยา่ งถกู ต้อง สะทอ้ นผลได้ว่านกั เรียนมคี วามร้คู วามเขา้ ใจในความหมายและชนดิ ของ
ประโยคสามัญ สามารถจำแนกชนิดของประโยคสามัญ และสามารถนำความร้ทู ่ไี ดจ้ ากการเรยี นเรื่อง
ประโยคสามัญ ไปเป็นแนวทางในการเรยี นระดบั ต่อไป (K, P, A)
ชว่ั โมงท่ี 2
ขั้นนำ
ครูกล่าวทักทายนักเรียน และให้นักเรียนดูข้อความบนกระดาน จากนั้นครูใช้คำถาม
“หากนักเรียนลองแยกประธาน กริยา กรรม จากประโยคน้ี จะเหลอื ขอ้ ความอีกสว่ นหนึง่ นกั เรียนคิดว่า
ข้อความนัน้ ทำหนา้ ทีอ่ ะไร” จากนนั้ ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเหน็ โตต้ อบกับครู (K)
ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบความรู้และให้ความรู้ เรื่อง ประโยคความซ้อน จากนั้นครูอธิบาย
ความหมาย ลักษณะของประโยคความซ้อน ชนดิ ของประโยคความซ้อน จากนนั้ ครูยกตัวอย่างประโยค
ความซ้อนใหน้ ักเรียนดูเพ่อื ให้นักเรยี นเขา้ ใจมากยิ่งขึ้น (K)
๒. ครูให้นักเรียนทำใบงาน เรื่อง ประโยคความซ้อน โดยให้นักเรียนจำแนกชนิดของ
ประโยคความซ้อนตอ่ ไปนี้ (K, P)
๓. ครูใหน้ กั เรยี นออกมานำเสนอหนา้ ชัน้ เรียนโดยครจู ะสมุ่ เพ่ือเป็นการแลกเปลย่ี น
เน้อื หาซงึ่ กันและกนั จากนั้นครูและนกั เรียนร่วมกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพิ่มเติม (P, A)
ขนั้ สรปุ
ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ ใบงาน “ประโยคความซอ้ น” เปน็ กิจกรรมทใี่ หน้ กั เรยี น
จำแนกชนิดของประโยคความซ้อน จากการทำกิจกรรมนักเรยี นสามารถปฏิบัตไิ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
สะทอ้ นผลได้ว่านักเรียนมีความรคู้ วามเข้าใจในความหมายและชนดิ ของประโยคความซ้อน
สามารถจำแนกชนิดของประโยคความ และสามารถนำความรู้ทไี่ ด้จากการเรียนเร่อื ง ประโยคความซอ้ น
ไปเป็นแนวทางในการเรยี นระดับตอ่ ไป (K, P, A)
ช่วั โมงที่ 3
ขั้นนำ
ครูกล่าวทักทายนักเรียน และให้นักเรียนดูข้อความบนกระดาน จากนั้นครูใช้คำถาม
“นักเรียนคิดว่าประโยคที่นักเรียนเห็นบนกระดาน กล่าวถึงเรื่องอะไรบ้าง” จากนั้นให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นโต้ตอบกับครู (K)
ขั้นสอน
๑. ครูแจกใบความรู้และให้ความรู้ เรื่อง ประโยคความรวม จากนั้นครูอธิบาย
ความหมาย ชนิดของประโยคความรวม จากนั้นครูยกตัวอย่างประโยคความรวมให้นักเรียนดูเพื่อให้
นักเรียนเข้าใจมากยงิ่ ขึน้ (K)
๒. ครูให้นกั เรยี นทำใบงาน เรือ่ ง ประโยคความรวม โดยให้นักเรียนจำแนกประโยคย่อย
ในประโยคความรวม (K, P)
๓. ครใู ห้นกั เรียนออกมานำเสนอหนา้ ชัน้ เรยี นโดยครจู ะสุม่ เพอื่ เปน็ การแลกเปลย่ี น
เนือ้ หาซ่ึงกนั และกนั จากนน้ั ครูและนักเรียนรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ (P, A)
ขั้นสรปุ
ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรุปใบงาน “ประโยคความรวม” เปน็ กิจกรรมทีใ่ ห้นกั เรยี น
จำแนกประโยคยอ่ ยในประโยคความรวม จากการทำกิจกรรมนักเรียนสามารถปฏบิ ตั ิไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
สะท้อนผลได้วา่ นกั เรียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจในความหมายและชนิดของประโยคความรวม
สามารถจำแนกประโยคย่อยในประโยคความรวม และสามารถนำความรู้ท่ไี ดจ้ ากการเรยี นเรอ่ื ง ประโยค
ความรวม ไปเป็นแนวทางในการเรียนระดับตอ่ ไป (K, P, A)
การวัดผลประเมินผล เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมิน
ชว่ั โมงท่ี 1 ใบงานเรื่อง ประโยคสามญั ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
รอ้ ยละ ๕๐
วธิ ีการ
เกณฑก์ ารประเมนิ
ประเมนิ ใบงานเรื่อง ประโยคสามญั ใช้วธิ ี ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
วดั ผล จากการทำใบงานของนกั เรยี น ร้อยละ ๕๐
แต่ละคน โดยมปี ระเดน็ ในการวดั ผล ไดแ้ ก่
ความถูกต้องของชนิดประโยคสามัญ และ เกณฑ์การประเมนิ
ผลงานสะอาดเรยี บร้อย (ประเด็นของแตล่ ะ ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
คน) จากน้นั นำผลการประเมนิ มาเปน็ ขอ้ มลู ร้อยละ ๕๐
ในการปรบั ปรงุ และพัฒนานักเรยี น และการ
จัดการเรียนการสอนของครใู นคร้งั ตอ่ ๆ ไป
ชั่วโมงท่ี ๒
วธิ ีการ เคร่ืองมอื
ประเมินใบงานเรื่อง ประโยคความซ้อน ใชว้ ิธี ใบงานเรอื่ ง ประโยคความซ้อน
วดั ผลจากการทำใบงานของนักเรยี นแต่ละคน
โดยมปี ระเดน็ ในการวัดผล ได้แก่ ความถกู ตอ้ ง
ของชนดิ ประโยคสามญั และผลงานสะอาด
เรียบร้อย (ประเด็นของแต่ละคน) จากน้นั นำ
ผลการประเมนิ มาเป็นขอ้ มลู ในการปรับปรุง
และพัฒนานกั เรียน และการจัดการเรียนการ
สอนของครใู นครงั้ ตอ่ ๆ ไป
ช่ัวโมงท่ี 3
วิธกี าร เครื่องมอื
ประเมินใบงานเรอ่ื ง ประโยคความรวม ใช้วิธี ใบงานเรื่อง ประโยคความรวม
วดั ผลจากการทำใบงานของนักเรยี นแตล่ ะคน
โดยมปี ระเดน็ ในการวดั ผล ได้แก่ ความถูกต้อง
ของประโยคย่อย ความถูกต้องของคำเชอื่ ม
และผลงานสะอาดเรยี บรอ้ ย (ประเดน็ ของแต่
ละคน) จากน้ันนำผลการประเมินมาเปน็
ข้อมลู ในการปรับปรุงและพัฒนานักเรียน
และการจดั การเรียนการสอนของครูในครงั้
ตอ่ ๆ ไป
สื่อการเรยี นรู้
ช่วั โมงที่ 1
๑. ใบความรู้ เรือ่ ง ประโยคสามญั
๒. ใบงาน เร่อื ง ประโยคสามญั
ช่วั โมงที่ 2
1. ใบความรู้เรื่อง ประโยคความซอ้ น
2. ใบงานเรือ่ ง ประโยคความซ้อน
ชว่ั โมงที่ 3
1. ใบความรเู้ รือ่ ง ประโยคความรวม
2. ใบงานเร่ือง ประโยคความรวม
ขอ้ เสนอแนะของหัวหนา้ สถานศึกษาหรือผทู้ ี่ไดร้ ับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รับรอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชือ่ ................................................................
(นายสนอง ศรธี รรมา)
วนั ท่.ี ........../...................../...........
บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจัดการเรียนรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปญั หาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปัญหา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงช่อื .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซ้ง)
วนั ท่ี............../......................./...............
ใบความรู้ เรอ่ื ง ประโยคสามญั
ประโยคสามญั คอื ประโยคที่ประกอบไปด้วยภาคประธานและภาคแสดงเพยี งประโยคเดียว
ไมม่ อี นุประโยค(ประโยคยอ่ ย)มาขยายภาคประธาน หรอื ภาคแสดง เป็นประโยคที่มเี พยี งใจความสำคญั
เดียว จงึ เรยี กอกี อย่างวา่ “ประโยคความเดียว”
ชนิดของประโยคสามัญ
๑. ประโยคสามญั ทมี่ ีกรยิ าวลเี ดียว ซ่งึ ในประโยคจะมคี ำกรยิ าเพียงคำเดยี ว ดวั ตวั อย่าง
- ฝนตก
- เขาเตะเกา้ อี้
- พวกเราเดินทางไปยุโรป
- นอ้ งหกล้มเมื่อกีน้ ้ี
๒. ประโยคสามัญหลายกริยาวลี เป็นประโยคสามัญทมี่ หี ลายกรยิ าวลที ำหน้าท่ีเป็น
ภาคแสดงของประธานเดยี วหรือต่างประธาน ประโยคชนิดน้ีไมต่ ้องมคี ำเช่ือมกรยิ าวลีในประโยค
ดังตัวอยา่ ง
1. เหตกุ ารณเ์ กิดพรอ้ มกัน
- นพนง่ั - อ่านหนงั สือพิมพ์ในหอ้ งสมุด
- น้ำนอน - ร้องเพลงในห้องนอน
2. เหตกุ ารณ์เกิดต่อเนื่องกนั
- สายใจวิ่ง - ไป - เปดิ ประตู
- ลดาพับเส้อื เกบ็ - เข้าตู้
3. เหตกุ ารณห์ ลงั เป็นผลของเหตุการณ์แรก
- ลมพัดบ้างพัง
- กระแสนำ้ พดั - พาทอ่ นไม้ลอย - มาในนำ้ โขง
สรุป ประโยคสามัญ = ประโยคท่ีมใี จความสำคัญเดยี ว อาจจะมีคำกริยาเดียว หรือหลาย
กรยิ ากไ็ ด้ แตจ่ ะต้องไม่มีคำเชื่อม
ใบงาน เรอ่ื ง ประโยคสามญั
คำชีแ้ จง ให้นกั เรียนจำแนกชนดิ ของประโยค ว่าประโยคตอ่ ไปนีเ้ ปน็ ประโยคทีม่ ีกรยิ าวลเี ดียว
หรอื มหี ลายกรยิ าวลี
กรยิ าวลเี ดียว หลายกรยิ าวลี
1. พอ่ กำลังรดนำ้ ต้นไม้ ......................................................................
2. สมชายโบกมอื ลาพวกเรา ......................................................................
3. คณุ ปู่เดินไปใส่บาตรหนา้ บา้ น ......................................................................
4. บา้ นสคี รีมหลังน้นั สวย ......................................................................
5. ปูเป้หกล้มเมื่อวานน้ี ......................................................................
6. นกบินไปจกิ อาหารทใี่ ตต้ ้นไม้ ......................................................................
7. ปรชี าเพ่ิงเป็นหวั หน้าห้อง ......................................................................
8. เดก็ หญิงอารนี ั่งในห้องเรียน ......................................................................
9. นิรายืนรอ้ งเพลงอยู่บนเวที ......................................................................
10. เด็กลื่นหกล้มก้นกระแทก ......................................................................
ชอ่ื ...............................................................................ชั้น ม.3 เลขท่ี..............
ใบความรู้ เรือ่ ง ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน คือ ประโยคทีป่ ระกอบด้วยประโยคความเดียว ๒ ประโยคข้นึ ไปซ้อนกัน
โดยมีประโยคหนึ่งเป็นประโยคหลัก(มุขยประโยค) และมีประโยคความเดียวอีกประโยคหนึ่งมาขยาย
ประโยคหลกั (อนุประโยค) ซึ่งทำหน้าทีป่ รงุ แตง่ ส่วนใดสว่ นหนง่ึ ของประโยคหลกั เพือ่ ใหไ้ ดใ้ จความชัดเจน
ดยี ง่ิ ข้นึ ทงั้ ยงั ทำให้เนอ้ื ความของประโยคสละสลวยย่งิ ขึ้นอกี ดว้ ย
อนปุ ระโยค คือ ประโยคย่อยท่ขี ้นึ ตน้ ด้วยคำเชือ่ มอนปุ ระโยค ทำหน้าทไ่ี ดท้ ้งั เป็น “นามวลี”
(เปน็ ประธาน กรยิ า กรรม) เป็นส่วนเติมเตม็ หรือขยายสว่ นใดส่วนหนงึ่ ของประโยคหรือทำหน้าที่เหมือน
วเิ ศษณว์ ลี
ลกั ษณะของประโยคความซอ้ น
๑. เป็นประโยคท่รี วมเอาประโยคความเดียว ๒ ประโยคไวด้ ว้ ยกนั และมีสนั ธานเปน็ คำเชอื่ ม
๒. เมื่อแยกประโยคความซ้อนออกจากกันแล้ว จะมีน้ำหนักหรือความสำคัญไม่เท่ากัน
ประโยคหน่งึ จะเป็นประโยคหลกั อกี ประโยคหนึง่ จะเปน็ ประโยคยอ่ ย
๓. ประโยคยอ่ ยทำหนา้ ท่ีเป็น
- ประธานของประโยค
- กรรมของประโยค
- วเิ ศษณ์ขยายกริยา หรอื วิเศษณ์ของประโยค
- วเิ ศษณ์ขยายประธานหรือกรรม
ชนิดของประโยคความซ้อน
ประโยคความซอ้ นมี ๓ ประเภท ดงั น้ี
๑. ประโยคความซอ้ นที่มนี ามานุประโยค คอื อนปุ ระโยคทท่ี ำหน้าที่เหมือนนามวลี
คือ เป็นประธาน กรรมและส่วนเติมเต็มหรือส่วนเสริม จะมีคำเชื่อม ได้แก่ ที่ ที่ว่า ว่า ให้ นำหน้า
ประโยค
เชน่ - ฉันไมช่ อบให้ใครมาวา่ คุณพอ่ ของเธอ
- ชาวนาได้ยนิ มาวา่ ปนี ี้น้ำจะท่วมหนัก
- คณุ แมไ่ มช่ อบให้ใครมากลา่ วหาลูกโดยไม่มหี ลักฐาน
๒. ประโยคความซอ้ นท่ีมีคณุ านุประโยค คอื อนุประโยคทำหน้าที่ขยายคำนามหรอื ขยาย
สรรพนามท่ีนำมา ข้างหนา้ จะมีคำเช่อื ม ที่ ซงึ่ อัน เปน็ เครื่องเชือ่ ม เช่น
- ท่านท่รี ้องเพลงอวยพรโปรดมารบั รางวัล
- อมรซง่ึ เป็นพนกั งานบรษิ ทั ได้รบั รางวัลลูกดเี ดน่
- เราหวงแหนแผ่นดินไทยอันเปน็ บา้ นเกดิ เมอื งนอนของเรา
** คำทเี่ ชื่อมประโยคหลกั กบั ประโยคย่อยใหเ้ ป็นประโยคความซอ้ นแบบน้ีได้แก่ ที่ ซ่งึ อัน
เราเรยี กวา่ “ประพันธสรรพนาม” หรือ “สรรพนามเช่อื มประโยค”
๓. ประโยคความซอ้ นทมี่ วี เิ ศษณานุประโยค คือ อนุประโยคที่ทำหนา้ ทีอ่ ย่างวเิ ศษณ์วลี
คือ ขยายกริยาวลี จะมีคำสันธาน ได้แก่ เม่ือ, จน, เพราะ, ตาม, ราวกับ, ให้, ทวา่ , ระหวา่ งท,ี่ เพราะ
เหตุวา่ , เหมือน, ดุจดงั , เสมือน, ฯลฯ เป็นตวั เชอ่ื ม เช่น
- คณุ พอ่ ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพอ่ื อนาคตของครอบครวั
- ปลัดอำเภอทำงานหนกั จนป่วยไปหลายวนั
- เธอนอนตวั สัน่ เพราะกลัวเสียงปืน
ขอ้ สังเกต
- ถ้ามีอนปุ ระโยคทำหน้าท่ีเป็นนามหรอื มีคำ “ว่า” อยู่ในประโยค เรียกวา่ นามานปุ ระโยค
- ถ้าอนปุ ระโยคมีคำวา่ “ท่ี” “ซ่งึ ” “อนั ” อยู่หนา้ ประโยค เรยี กวา่ คุณานปุ ระโยค
- ถา้ อนปุ ระโยคมีคำว่า“เม่อื ” “เพราะ” “แมว้ า่ ” อย่หู น้าประโยค เรยี กวา่ วิเศษณานุประโยค
ใบงาน เรอ่ื ง ประโยคความซ้อน
คำช้ีแจง นกั เรียนจำแนกชนิดของประโยคความซอ้ นต่อไปนี้
นามานุประโยค คณุ านปุ ระโยค วิเศษณานปุ ระโยค
1. ฉันไม่ได้บอกเธอว่าเขาเป็นคนฉลาดมาก ......................................................................
2. ฉันเห็นภูเขาซึ่งมีน้ำขงั อยขู่ ้างใต้ ......................................................................
3. คนป่วยกนิ ยาตามหมอส่ัง ......................................................................
4. คนที่ประพฤติดยี อ่ มมคี วามเจรญิ ในชวี ติ ......................................................................
5. ปูเป้ไมช่ อบใหน้ อ้ งชายกินข้าวหกเลอะเทอะ ......................................................................
6. คนทะเลาะกนั กอ่ ความรำคาญใหเ้ พ่ือนบา้ น ......................................................................
7. คุณแมท่ ำงานหนกั จนล้มปว่ ย ......................................................................
8. เด็กหญิงอารนี ั่งในหอ้ งเรียน ......................................................................
9. ผลการทจุ ริตอนั เป็นบ่เกดิ แหง่ หายนะย่อมทำให้เขาหมดความน่าเช่อื ถอื
......................................................................
10.คนที่ใฝร่ ใู้ ฝ่เรยี นเป็นคนทม่ี คี วามรอบรู้ ......................................................................
ชอื่ ...............................................................................ชั้น ม.3 เลขที่..............
ใบความรู้ เรือ่ ง ประโยคความรวม
ประโยคความรวม คือ ประโยคยอ่ ยตั้งแต่ 2 ประโยคข้ึนไปมารวมประโยคเดยี วกนั
โดยมีคำสันธานเปน็ ตัวเชื่อม เม่อื นำประโยคมาแยกจะไดป้ ระโยคสามัญที่มีใจความสมบูรณ์ 2 ประโยค
ขนึ้ ไป ใชส้ ่ือความได้อยา่ งอิสระ
ชนดิ ของประโยคความรวม
๑. ประโยคความรวมที่มีเนื้อความคลอ้ ยตามกนั หรือ อนั วยาเนกรรถประโยค ลักษณะ
สำคญั คือ มีการเชือ่ มประโยคความเดยี วหลายประโยคเขา้ ด้วยกนั ดว้ ยคำสนั ธาน “และ” และอ่ืน ๆ
ในลกั ษณะเดยี วกับคำวา่ “และ” ประโยคความรวมที่มีเนอ้ื ความคล้อยตามกันสว่ นใหญ่มกั เกิดจากการ
ที่ประโยคความเดียวย่อยเหล่านมี้ ีการใช้ภาคประธาน หรือภาคกรยิ ารว่ มกนั ยกตวั อย่างเช่น
- พ่อและแม่ไปตลาดโดยรถยนต์ : เป็นการรวมกันระหวา่ งประโยคความเดยี วสองประโยค
คือ พอ่ ไปตลาดโดยรถยนต์ และ แมไ่ ปตลาดโดยรถยนต์
- เธอทำการบ้านและฟังเพลงไปพรอ้ ม ๆ กนั : เป็นการรวมกันระหว่างประโยคความเดยี ว
สองประโยค คือ เธอทำการบา้ น และ เธอฟังเพลง
๒. ประโยคความรวมทีม่ ใี จความขัดแยง้ หรือ พยตเิ รกาเนกรรถประโยค เป็นประโยค
ความรวมที่ประโยคความเดยี วเปน็ ส่วนประกอบมเี น้ือความไปในทางตรงกนั ข้าม ไดแ้ ก่ ประโยคความ
รวมท่ีใช้สันธาน "แต่" และอืน่ ๆ ในลักษณะเดียวกบั คำวา่ “แต”่ ตัวอยา่ งเช่น
- แมเ่ ปน็ คนจุกจกิ จู้จี้แต่พอ่ ก็อยกู่ บั แม่ได้ : แม่เป็นคนจกุ จิกจจู้ ้ี + พ่ออยู่กบั แมไ่ ด้
- ฉนั ส่ังข้าวผัดแต่เธอกลับสงั่ ก๋วยเตี๋ยวราดหนา้ : ฉันส่ังขา้ วผัด + เธอส่ังก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
- คุณอรซือ้ คอมพวิ เตอร์รุน่ ใหม่ล่ำสดุ ถงึ แมจ้ ะใช้ไมเ่ ป็น : คณุ อรซ้ือคอมพวิ เตอรเ์ ครอื่ งใหม่
ล่าสุด + คุณอรใช้(คอมพวิ เตอร)์ ไม่เปน็
๓. ประโยคความรวมใหเ้ ลือก หรอื วกิ ัลปาเนกรรถประโยค คอื ประโยคความรวมที่
ประกอบดว้ ยประโยคความเดียวสองประโยคซึ่งเชื่อมกนั ด้วย “หรือ” หรืออ่นื ๆ ในลักษณะเดยี วกบั คำ
ว่า “หรอื ” อาจเป็นประโยคบอกเลา่ หรอื ประโยคคำถาม ยกตัวอยา่ งเช่น
- เสดจ็ ให้มาเรยี นถามเสดจ็ ว่าเสด็จจะเสดจ็ หรอื ไมเ่ สด็จ
- พระยาอธกิ ารบดีเสนอใหค้ ุณหญิงกีรตไิ ปเทย่ี วมติ าเกะหรอื ไม่ก็ภเู ขาไฟฟูจิ
๔. ประโยคความรวมทเ่ี ป็นเหตผุ ล หรอื เหตวาเนกรรถประโยค คือ ประโยคความรวมทมี่ ี
เน้ือความเปน็ เหตเุ ป็นผล สว่ นใหญ่มักเชอ่ื มด้วยคำวา่ “จึง” หรอื “เพราะฉะนน้ั ” ยกตวั อย่างเช่น
- ฉนั ทำการบา้ นเสร็จแล้วจึงล้มตวั ลงนอน
- เพราะกอ้ งเกยี รติเป็นคนมีฐานะ เรยาจึงตอ้ งการสานสัมพันธ์
มุมเสริมเตมิ ความรู้
คำสนั ธาน หมายถึง คำที่ใช้เชื่อมคำหรอื ขอ้ ความให้ติดต่อเปน็ เรอ่ื งเดียวกนั ประโยคจะมีความ
กระชับ และสละสลวยข้ึน
ชนิดของคำสนั ธาน
คำสันธานในภาษาไทย ออกเปน็ ๔ ชนดิ ดงั น้ี
๑. คำสันธานทเ่ี ชื่อมใจความคล้อยตามกนั ไดแ้ ก่คำว่า กับ, และ, ก็, ครงั้ ...ก็, เม่ือ...ก็
และ พอ...ก็ เช่น
- พอฝนหยุดตกกบเขยี ดก็รอ้ งสง่ เสยี งระงม
- น้องกับพไี่ ปโรงเรยี น
๒. คำสันธานทีเ่ ชื่อมใจความขดั แย้งกนั ไดแ้ กค่ ำว่า แต่, แตท่ ว่า, ถึง...ก็ และ แม้...ก็
เชน่
- ถึงเขาจะยากจนแต่เขาก็มคี วามสขุ
- เขาว่ิงเรว็ มากแต่วา่ ไมเ่ หนอ่ื ยเลย
๓. คำสนั ธานที่เชอื่ มใจความเป็นเหตเุ ปน็ ผลกัน ไดแ้ ก่คำวา่ ดังนั้น, เพราะฉะน้ัน,
เพราะ...จงึ , ดังนัน้ ...จึง, จึง, ดว้ ย, เหตเุ พราะ และ ฉะนัน้ เชน่
- เพราะเขาขยนั อ่านหนังสือ เขาจงึ สอบผา่ น
- เขาเกยี จคร้านจึงสอบตก
๔. คำสันธานทีเ่ ชื่อมใจความให้เลือกอยา่ งใดอย่างหนึ่ง ไดแ้ กค่ ำวา่ หรอื มฉิ ะนน้ั ไม.่ ..ก็
ไม่เช่นนั้น เชน่
- เธอจะไปกับผมหรือเธอจะไปกบั เขา
- คุณต้องเขา้ หอ้ งสอบกอ่ นเวลา ๙.๐๐ น. มฉิ ะน้ันจะถูกตัดสทิ ธใ์ิ นการสอบ
ใบงาน เร่อื ง ประโยคความรวม
คำชแ้ี จง ให้นักเรยี นจำแนกประโยคย่อยในประโยคความรวมตอ่ ไปน้ี
➢ ตวั อย่าง
พอ่ และแมไ่ ปตลาดโดยรถยนต์ = พอ่ ไปตลาดโดยรถยนต์/แม่ไปตลาดโดยรถยนต์
1. พอ่ และแมไ่ ปตา่ งประเทศ
= .........................................................................................................................................................
2. เขาทุจรติ ในการสอบเขาจึงถูกปรบั ตกทกุ วชิ า
= ........................................................................................................................................................
3. สาชอบกินผลไมร้ สเปรีย้ วและขนมหวาน
= ........................................................................................................................................................
4. เพราะเขาโดนใบเหลืองสองใบ จึงถกู ไล่ออกจากสนาม
= ........................................................................................................................................................
5. เขาสอบได้ทีห่ นง่ึ ตลอด เพราะอ่านหนงั สือจนดกึ
= ........................................................................................................................................................
6. พอคุณครูพดู จบเขากล็ กุ ขึน้
= ........................................................................................................................................................
7. ฉันอยากซอ้ื ตกุ๊ ตาหมีแต่ไมม่ ีเงิน
= .........................................................................................................................................................
8. คณุ อยากเปน็ หมอหรืออยากเป็นทนายความ
= ........................................................................................................................................................
9. หนงั สอื เลม่ นแี้ พง เพราะฉะนน้ั เขาจึงหวงมันมาก
= ........................................................................................................................................................
10. ฉันเป็นหวัด เพราะโดนฝน
= .......................................................................................................................................................
ชื่อ...............................................................................ชนั้ ม.๓ เลขท่ี..............
แบบประเมินใบงาน เรื่อง ประโยคสามญั
นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
ความ
รายชือ่ ถูกต้อง ผลงาน รวม สรุปผล
ของชนิด สะอาด (4 คะแนน)
ประโยค
สามัญ
2121 ผา่ น ไม่ผา่ น
นายกฤตยา ใยปางแก้ว
ด.ช.ณภัทร วระโงน
ด.ช.ณัฐวฒุ ิ วดั แผน่ ลำ
ด.ช.วรี พงษ์ ใยปางแก้ว
ด.ช.นราเทพ ใบแสน
ด.ช.มิตรชัย กันยาตรี
ด.ช.พูนโชค ศรีชัน
ด.ช.บารมี ไมสวุ รรณ
ด.ญ.ลักษิกา เสาเคหา
ด.ญ.กชกร เพง็ ผล
ด.ญ.กัญญานี ใบอุดม
ด.ญ.กัญญาวรี ์ นอ้ ยเวยี ง
ด.ญ.ขวัญฤดี ใบอุดม
ด.ญ.ชลธิชา จูมไม้เมือง
ด.ญ.ฑิฆรรมภร สีแดด
ด.ญ.ธนพร สายอรุ าช
ด.ญ.ปภาวรนิ ทร์ สายอรุ าช
ด.ญ.ปิยพร อังคะฮาด
ด.ญ.อรัชพร จมู ไมเ้ มอื ง
ด.ญ.ขวัญจริ า วรกัน
ด.ญ.ภัทรสุดา ใยปางแก้ว
ด.ญ.สาวิณี ใยปางแกว้
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื ๒ คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม ๔
จงึ จะถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมนิ
4 คะแนน ดีมาก ผ่าน
3 คะแนน ดี ผ่าน
2 คะแนน ผ่าน
1 คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
0 คะแนน พอใช้ ไม่ผ่าน
ปรับปรุง
แบบประเมนิ ใบงาน เรื่อง ประโยคความซอ้ น
นักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
ความ
รายชอ่ื ถูกต้อง ผลงาน รวม สรุปผล
ของชนดิ สะอาด (4 คะแนน)
ประโยค
ความซ้อน
2121 ผ่าน ไมผ่ า่ น
นายกฤตยา ใยปางแก้ว
ด.ช.ณภทั ร วระโงน
ด.ช.ณฐั วฒุ ิ วัดแผน่ ลำ
ด.ช.วีรพงษ์ ใยปางแกว้
ด.ช.นราเทพ ใบแสน
ด.ช.มิตรชยั กนั ยาตรี
ด.ช.พูนโชค ศรีชัน
ด.ช.บารมี ไมสวุ รรณ
ด.ญ.ลักษิกา เสาเคหา
ด.ญ.กชกร เพ็งผล
ด.ญ.กัญญานี ใบอุดม
ด.ญ.กัญญาวีร์ น้อยเวยี ง
ด.ญ.ขวัญฤดี ใบอดุ ม
ด.ญ.ชลธิชา จูมไมเ้ มอื ง
ด.ญ.ฑิฆรรมภร สแี ดด
ด.ญ.ธนพร สายอุราช
ด.ญ.ปภาวรนิ ทร์ สายอรุ าช
ด.ญ.ปิยพร อังคะฮาด
ด.ญ.อรัชพร จูมไมเ้ มือง
ด.ญ.ขวัญจริ า วรกนั
ด.ญ.ภัทรสดุ า ใยปางแก้ว
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๒ คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเต็ม ๔
จึงจะถอื ว่าผ่านเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมนิ
4 คะแนน ดีมาก ผ่าน
3 คะแนน ดี ผ่าน
2 คะแนน ผ่าน
1 คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
0 คะแนน พอใช้ ไม่ผ่าน
ปรับปรุง
แบบประเมินใบงาน เรื่อง ประโยคความรวม
นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3
รายการประเมิน
ชอ่ื -สกุล ความ ูถก ้ตองของประโยค ่ยอย รวม สรุปผล
ความ ูถก ้ตองของคำเ ่ืชอม
ผลงานสะอาดเ ีรยบ ้รอย
๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ 6 ผา่ น ไมผ่ า่ น
นายกฤตยา ใยปางแก้ว
ด.ช.ณภทั ร วระโงน
ด.ช.ณฐั วฒุ ิ วดั แผ่นลำ
ด.ช.วีรพงษ์ ใยปางแก้ว
ด.ช.นราเทพ ใบแสน
ด.ช.มติ รชัย กนั ยาตรี
ด.ช.พนู โชค ศรีชนั
ด.ช.บารมี ไมสวุ รรณ
ด.ญ.ลกั ษกิ า เสาเคหา
ด.ญ.กชกร เพง็ ผล
ด.ญ.กัญญานี ใบอดุ ม
ด.ญ.กัญญาวรี ์ นอ้ ยเวียง
ด.ญ.ขวัญฤดี ใบอดุ ม
ด.ญ.ชลธชิ า จูมไม้เมือง
ด.ญ.ฑิฆรรมภร สแี ดด
ด.ญ.ธนพร สายอรุ าช
ด.ญ.ปภาวรินทร์ สายอุราช
ด.ญ.ปิยพร อังคะฮาด
ด.ญ.อรชั พร จมู ไม้เมอื ง
ด.ญ.ขวัญจริ า วรกัน
ด.ญ.ภัทรสุดา ใยปางแก้ว
ด.ญ.สาวิณี ใยปางแกว้
หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนรอ้ ยละ ๕๐ คอื 3 คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเตม็ 6
จึงจะถอื วา่ ผ่านเกณฑ์
รายละเอยี ดเกณฑก์ ารประเมิน
ใบงาน เรื่อง ประโยคสามญั
รายละเอยี ดเกณฑ์ รายละเอียดการใหค้ ะแนน
การประเมิน
21
ความถกู ต้องของชนิด
ประโยคสามญั สามารถระบชุ นดิ ของประโยค สามารถระบชุ นดิ ของประโยคสามญั
สามญั ไดถ้ ูกตอ้ ง ทง้ั 10 ข้อ ได้ถูกตอ้ ง แต่ไม่ครบทงั้ 10 ขอ้
ผลงานสะอาดเรยี บร้อย
ผลงานสะอาดเรยี บร้อย ไม่มีรอย ผลงานสะอาด แต่ยังไม่เรียบรอ้ ย
ลบ ไมม่ ีคำผดิ เทา่ ท่ีควร มรี อยลบเลก็ น้อย
รายละเอยี ดเกณฑ์การประเมนิ
ใบงาน เร่อื ง ประโยคความซ้อน
รายละเอยี ดเกณฑ์ รายละเอยี ดการใหค้ ะแนน
การประเมิน 21
สามารถระบุชนิดของประโยค สามารถระบชุ นดิ ของประโยคความ
ความถกู ตอ้ งของชนิด ความซ้อนไดถ้ ูกตอ้ ง ทั้ง 10 ขอ้ ซอ้ นไดถ้ กู ต้อง แต่ไม่ครบทงั้ 10 ขอ้
ประโยคความซ้อน
ผลงานสะอาดเรียบรอ้ ย ไม่มีรอย ผลงานสะอาด แต่ยังไม่เรยี บร้อย
ผลงานสะอาดเรยี บรอ้ ย
ลบ ไมม่ คี ำผดิ เท่าที่ควร มีรอยลบเล็กน้อย
รายละเอยี ดเกณฑก์ ารประเมนิ
ใบงาน เรื่อง ประโยคความรวม
รายละเอียดเกณฑ์ รายละเอยี ดการให้คะแนน
การประเมิน
21
ความถูกต้องของประโยค
ย่อย สามารถจำแนกประโยคยอ่ ยจาก สามารถจำแนกประโยคย่อยจาก
ความถูกต้องของคำเชื่อม ประโยคความรวมได้ถูกต้อง และ ประโยคความรวมได้ถูกตอ้ ง และแต่
ผลงานสะอาดเรยี บร้อย ครบทุกประโยค ไมค่ รบทุกประโยค
สามารถจำแนกคำเช่อื มทอ่ี ยใู่ น สามารถจำแนกคำเชื่อมท่อี ย่ใู น
ประโยคได้ครบทุกคำ ประโยคได้ แตไ่ มค่ รบทุกคำ
ผลงานสะอาดเรยี บร้อย ผลงานสะอาด แต่ยงั ไม่เรียบรอ้ ย
ไม่มรี อยลบ ไม่มคี ำผดิ เทา่ ที่ควร มีรอยลบเล็กน้อย
แผนการจดั การเรียนรู้
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ เร่ือง บนั ทกึ การอ่าน
รหสั วชิ า ท ๒๓๑๐๑ ช่ือรายวิชา ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ ภาคเรยี นท่ี ๑ เวลา ๒ ชั่วโมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรแู้ ละความคดิ เพอ่ื นำไปใช้ตัดสนิ ใจ
แกป้ ญั หาในการดำเนนิ ชวี ิตและมีนสิ ัยรกั การอ่าน
ตวั ชีว้ ัด
ท ๑.๑ ม. ๓/๔ อา่ นเรอ่ื งตา่ ง ๆ แลว้ เขียนกรอบแนวคดิ ผงั ความคิด บนั ทกึ ย่อความ
และรายงาน
สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
ชั่วโมงที่ ๑
บนั ทึกการอา่ น คือ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ต่าง ๆ เพ่ือนำมาใช้ในการเขยี นหรอื
เป็นการสรปุ ความร้ทู ีไ่ ด้รบั จากการอา่ น ซ่งึ ผูอ้ า่ นจำเปน็ ต้องมีทักษะการเขยี นสรุปความ ถอดความ
จับใจความสำคญั และการย่อความ การมีระบบการบันทกึ ทดี่ ีจะช่วยให้เราสามารถรวบรวมข้อมูล
ขา่ วสารตา่ ง ๆ จากการอา่ นไปใช้ใหเ้ ป็นประโยชนไ์ ดถ้ ูกต้อง ครบถว้ น ช่วยให้การจัดระเบยี บขอ้ มูลท่ไี ด้
จากการอ่านเปน็ ไปอยา่ งมีระบบ ท้งั ยังชว่ ยให้ผอู้ า่ นเข้าใจและจดจำข้อมลู เหลา่ นนั้ ได้ง่ายกว่าการอ่าน
จากตำราหรอื เอกสาร
ชั่วโมงท่ี ๒
หลกั การบันทึกการอา่ น คอื แนวทางการบันทกึ การอา่ นทผ่ี ูอ้ ่านจะจดบันทึกเนอื้ หาสาระ
ความรู้ หรอื ข้อความสำคัญลงในแบบบันทกึ โดยผู้อ่านจำเปน็ ต้องมีความสามารถในด้านการอ่าน
จับใจความสำคญั มีวธิ กี ารบันทึกทเ่ี ป็นระบบ การเช่ือมโยงหัวข้อสำคัญต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การบันทึก
การอ่านจะทำให้นกั เรยี นมคี วามรู้ ความจำ และสามารถนำหลักการหรือความรูท้ ี่ได้รบั จากการบนั ทึก
ไปปรับใชใ้ นการบนั ทกึ เรือ่ งราวตา่ ง ๆ ในอนาคตได้
สาระการเรยี นรู/้ เนื้อหายอ่ ย
ชวั่ โมงที่ ๑
ความรู้ (K)
นกั เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในความหมายและประโยชน์ของการบนั ทึกการอ่าน
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถอธบิ ายความหมายและประโยชน์ของการบันทกึ การอา่ นไดอ้ ย่าง
ถูกตอ้ ง
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นกั เรียนสามารถนำความรู้จากการเรยี น ไปเปน็ แนวทางในบนั ทึกการอ่านและการ
บันทึกเรือ่ งราวตา่ ง ๆ ในการเรยี นระดับต่อไปได้
ชวั่ โมงที่ ๒
ความรู้ (K)
นักเรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจในหลักการบนั ทึกการอา่ น
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถบันทกึ การอา่ นได้ถกู ต้องตามหลักการ
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรู้จากการบันทกึ การอา่ นไปใช้ในชีวิตประจำวนั และนำ
หลกั การการบนั ทึกการอา่ นไปเป็นแนวทางในการบันทึกเร่ืองราวต่าง ๆ ในการเรยี นระดบั ต่อไปได้
จดุ เนน้ สกู่ ารพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียน
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ( 3R8C )
Reading (อ่านออก)
(W) Riting (เขยี นได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเป็น)
ทักษะด้านการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและทกั ษะในการแก้ไขปัญหา (Critical
Thinking and Problem Solving)
ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
ทกั ษะด้านความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural
Understanding)
ทักษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)
ทักษะดา้ นการสอื่ สาร สารสนเทศและรูเ้ ท่าทนั สื่อ (Communications,
Information, and Media Literacy)
ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing
and ICT Literacy)
ทกั ษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปลย่ี นแปลง (Change)
การประเมินผลรวบยอด
ช้ินงานหรอื ภาระงาน
ชว่ั โมงท่ี ๑
ใบงาน เร่อื ง บันทกึ การอ่าน
ชัว่ โมงท่ี ๒
กิจกรรม บันทึกรักการอ่าน
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ช่วั โมงที่ ๑
ขัน้ นำ
ครกู ลา่ วทกั ทายนักเรยี น แล้วครใู ช้คำถาม“นกั เรยี นมวี ธิ ีการใดบ้างทชี่ ่วยให้นกั เรยี น
สามารถจดจำเรือ่ งราวตา่ ง ๆ ได้” จากนัน้ ให้นักเรยี นแสดงความคิดเหน็ โต้ตอบกับครู (K)
ขนั้ สอน
๑. ครูแจกใบความรู้ให้ความรู้กับนกั เรยี น เร่อื ง บนั ทกึ การอ่าน จากน้นั ครอู ธบิ าย
ความหมายของบนั ทกึ การอ่าน ประโยชนข์ องการบันทึกการอ่าน และครูยกตัวอย่างบันทกึ การอ่าน
เพอื่ ให้นักเรียนเข้าใจถึงความหมายและประโยชน์ของการบนั ทึกการอา่ น (K)
๒. ครูให้นกั เรียนทำใบงาน เร่ือง บันทึกการอา่ น โดยใหน้ ักเรยี นอธิบายความหมาย
ของการบันทึกการอา่ น และบอกประโยชนท์ ี่จะไดร้ บั การบนั ทึกมาให้ถูกต้อง (K, P, A)
๓. ครูให้นกั เรียนออกมานำเสนอหน้าชนั้ เรียน โดยเลือกจากสญั ลกั ษณ์ท่ีครูทำไว้
ดา้ นหลังใบงาน จำนวน ๓ คน จากนน้ั ครูและนกั เรียนรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอียดเพม่ิ เติม (P, A)
ข้นั สรุป
ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปใบงาน “บนั ทึกการอ่าน” เปน็ ใบงานท่ใี ห้นกั เรยี นอธบิ าย
ความหมายและประโยชน์ของการบันทกึ การอ่านใหถ้ กู ต้องตามความเข้าใจ จากการทำใบงานนกั เรยี น
สามารถปฏิบตั ไิ ดอ้ ย่างถกู ต้อง สะท้อนผลไดว้ ่านักเรยี นมีความรู้ความเขา้ ใจในความหมายของการบันทึก
การอ่าน สามารถบอกประโยชนข์ องการบนั ทกึ การอ่านได้ และสามารถนำความรู้ท่ีได้จากการเรียน
เรื่อง บนั ทกึ การอ่าน ไปเปน็ แนวทางในบนั ทกึ การอ่านและการบนั ทึกเรื่องราวต่าง ๆ ในการเรยี นระดบั
ตอ่ ไป (K, P, A)
ชัว่ โมงที่ ๒
ขั้นนำ
ครูกลา่ วทกั ทายนักเรยี น แล้วครูใช้คำถาม“จากชั่วโมงท่แี ลว้ บนั ทกึ การอา่ น
มคี วามหมายและมปี ระโยชน์อย่างไร” จากนัน้ ให้นกั เรียนแสดงความคิดเหน็ โตต้ อบกับครู (K)
ขนั้ สอน
๑. ครแู จกใบความรใู้ ห้ความรกู้ บั นักเรยี น เร่ือง หลักการบันทกึ การอ่าน จากนัน้ ครู
อธิบายความหมายของหลกั การบนั ทึกอา่ น วิธีการบนั ทกึ และครูยกตัวอย่างบนั ทกึ การอา่ น เพ่อื ให้
นักเรียนเขา้ ใจการบันทึกการอ่านท่ถี กู ตอ้ งตามหลักการมากยิง่ ขน้ึ (K)
๒. ครใู ห้นกั เรยี นทำกจิ กรรม เรอ่ื ง บนั ทึกรกั การอา่ น โดยใหน้ กั เรียนบนั ทกึ เรอื่ งราว
ที่ตนเองสนใจมา 3 เร่ือง ซ่ึงจะตอ้ งบนั ทึกให้ถูกตอ้ งตามหลักการ (K, P, A)
๓. ครูใหน้ กั เรยี นออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน โดยเลือกจากการส่มุ รายช่อื
จำนวน 1 คน จากนั้นครูและนกั เรยี นรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอียดเพ่มิ เตมิ (P, A)
ขนั้ สรุป
ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรุปใบกิจกรรม “บันทกึ รักการอ่าน” เป็นกจิ กรรมที่ใหน้ กั เรยี น
บันทกึ ความรู้หรือเนอ้ื หาที่ตนเองไดอ้ า่ น ท้ังจากหนังสอื เรยี น ตำราตา่ ง ๆ ให้ถกู ต้องตามหลักการ
จากการทำกจิ กรรมนกั เรียนสามารถปฏบิ ัติไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง สะทอ้ นผลได้วา่ นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ
ในหลักการบนั ทึกการอา่ น สามารถบันทกึ การอา่ นไดถ้ กู ต้องตามหลักการ และสามารถนำความรู้จาก
การบนั ทึกการอา่ นไปใช้ในชวี ติ ประจำวัน และนำหลักการการบันทกึ การอา่ นไปเปน็ แนวทางในการ
บันทึกเร่อื งราวตา่ ง ๆ ในการเรยี นระดับต่อไปได้ (K, P, A)
การวัดผลประเมนิ ผล เกณฑก์ ารประเมนิ
ชวั่ โมงที่ 1 ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
ร้อยละ ๕๐
วธิ กี าร เครอ่ื งมอื
เกณฑ์การประเมิน
ประเมินใบงาน เรอื่ ง บนั ทึกการอ่าน ใชว้ ิธีวัดผลจาก ใบงานเรือ่ ง บนั ทึกการอา่ น ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
การทำใบงานของนักเรยี นแตล่ ะคน โดยมีประเด็นใน รอ้ ยละ ๕๐
การวัดผล ไดแ้ ก่ ความถูกตอ้ งของความหมาย และ
ความถูกตอ้ งของประโยชนจ์ ากการบันทกึ การอา่ น
(ประเด็นของแต่ละคน) จากนัน้ นำผลการประเมินมา
เป็นขอ้ มลู ในการปรับปรงุ และพัฒนานกั เรียน และ
การจดั การเรียนการสอนของครูในคร้งั
ต่อ ๆ ไป
ชัว่ โมงที่ ๒
วิธีการ เคร่อื งมือ
ประเมินกจิ กรรมบันทึกรกั การอ่าน ใชว้ ิธวี ัดผลจาก กจิ กรรมบันทึกรกั การอ่าน
การทำกิจกรรมของนกั เรียนแต่ละคน โดยมปี ระเดน็
ในการวดั ผล ได้แก่ สามารถเชื่อมโยงหัวข้อสำคัญต่าง
ๆ เข้าด้วยกนั สามารถอ่านแล้วเขา้ ใจได้ง่ายและเขียน
บันทึกด้วยถ้อยคำของตนเอง และบันทึกแหล่งทมี่ า
ของข้อมลู นน้ั ๆ อยา่ งชัดเจน (ประเดน็ ของแต่ละคน)
จากน้นั นำผลการประเมินมาเป็นขอ้ มูลในการ
ปรับปรุงและพัฒนานกั เรียน และการจัดการเรยี น
การสอนของครใู นครง้ั ต่อ ๆ ไป
ส่อื การเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี ๑
๑. ใบความรู้ เรอ่ื ง บันทกึ การอา่ น
๒. ใบงาน เรือ่ ง บันทึกการอ่าน
ชว่ั โมงท่ี 2
1.ใบความรู้ เรอื่ ง หลักการบันทกึ การอา่ น
2. สมดุ บันทกึ รกั การอา่ น
ข้อเสนอแนะของหวั หน้าสถานศึกษาหรือผู้ท่ไี ด้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ................................................................
(นายสนอง ศรีธรรมา)
วนั ที.่ ........../...................../...........
บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจดั การเรียนรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปัญหา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ข้อเสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.................................................
(นายฤทธเิ ดช สกลุ ซ้ง)
วันท่ี............../......................./...............
ใบความรู้
เร่ือง บันทกึ การอา่ น
การอา่ นมีความสำคัญตอ่ ชวี ิตมนุษย์ตง้ั แต่เกดิ จนโต และจนกระทง่ั ถงึ วยั ชรา การอา่ นทำให้
รู้ขา่ วสารข้อมูลต่าง ๆ ท่ัวโลก ซ่งึ ปจั จุบนั เป็นโลกของข้อมลู ข่าวสารต่าง ๆ ทัว่ โลก ทำให้ผอู้ ่านมี
ความสขุ มคี วามหวงั และมคี วามอยากรูอ้ ยากเห็น อันเปน็ ความต้องการของมนุษยท์ กุ คน
การอ่านมีประโยชน์ในการพฒั นาตนเอง คือ พฒั นาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพ
ชวี ติ ทำให้เป็นคนทันสมัย ทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ และมีความอยากรูอ้ ยากเหน็ การท่จี ะพฒั นาประเทศให้
เจรญิ รุ่งเรืองก้าวหนา้ ได้ต้องอาศัยประชาชนท่มี คี วามรู้ความสามารถ ซึ่งความร้ตู า่ ง ๆเหลา่ นีล้ ว้ นไดม้ า
จากการอา่ นนน่ั เอง
บนั ทึกการอ่าน คอื การเก็บรวบรวมข้อมลู จากแหลง่ ตา่ ง ๆ เพ่ือนำมาใช้ในการเขยี น หรือเปน็ การ
สรุปความรู้ทีไ่ ด้รบั จากการอา่ น ซง่ึ ผอู้ า่ นจำเป็นต้องมีทักษะการเขียนสรปุ ความ ถอดความ จบั ใจความ
สำคัญ และการยอ่ ความ
➢ ประโยชน์ของการบันทึกการอา่ น
1. ช่วยให้เข้าใจและจดจำเนือ้ หาที่อ่านไดอ้ ยา่ งง่ายดาย และแมน่ ยำ
2. ชว่ ยให้ผอู้ ่านมรี ะบบการอา่ นท่ดี ี สามารถเรียบเรยี งกระบวนการคดิ
จัดระเบียบขอ้ มูลทไี่ ด้จากการอา่ นเป็นไปอย่างมรี ะบบ
3. ช่วยให้เราสามารถรวบรวมขอ้ มูลข่าวสารต่าง ๆ จากการอา่ นไปใชใ้ ห้เป็น
ประโยชนไ์ ด้ถูกตอ้ ง ครบถ้วน
4. ช่วยใหไ้ ดร้ บั ความบนั เทิงในชวี ติ มากขน้ึ
การเลอื กหนังสอื อา่ น การเลอื กหนังสอื อ่านมคี วามจำเป็นมาก นกั อ่านทดี่ ีจะตอ้ งเปน็ ผ้ทู ่ีรู้จักวธิ เี ลือก
หนงั สืออา่ นใหไ้ ดป้ ระโยชนส์ ูงสดุ แก่การอา่ น โดยพิจารณาวธิ ีเลือกดงั ตอ่ ไปน้ี
1. เลอื กหนังสือที่มีสาระเรื่องราวตรงกบั ความต้องการหรือความจำเปน็ ท่ตี ้องอา่ น
2. เลอื กหนงั สือทีด่ มี ีคุณลกั ษณะ ดังน้ี
2.1. หนงั สือทเี่ ปน็ ทีย่ อมรบั กนั โดยท่ัวไปแล้วว่าดี
2.2. หนังสอื ที่มีกระแสวพิ ากษ์วิจารณ์อย่างกวา้ งขวางว่าดี
2.3. หนังสือท่ีไดร้ ับรางวลั สำคัญๆ ในการประกวดขององคก์ รทีม่ ีคณุ ภาพ
2.4. หนงั สือซ่งึ เขยี นโดยนกั เขยี นที่มีคณุ ภาพเปน็ ท่ียอมรับของแวดวงนกั อ่าน
2.5. หนงั สือที่มคี ุณค่าดพี ร้อมทุกดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นเนอื้ หา ด้านความคดิ ด้านกลวธิ ี
ด้านทางภาษา ด้านรูปแบบและการนำเสนอ
2.6. หนงั สอื ทไี่ ด้รบั การยอมรบั ศกึ ษาสืบทอดกนั มาทกุ ยคุ ทุกสมัย
2.7. เลือกหนงั สือท่ีจะไม่โน้มนำไปในทางเสอ่ื มทง้ั ปวง
ใบความรู้
เรอื่ ง หลกั การบนั ทกึ การอ่าน
หลักการบันทกึ การอ่าน คือ แนวทางการบันทึกการอา่ นที่ผู้อ่านจะจดบนั ทกึ เน้ือหาสาระ
ความรู้ หรือขอ้ ความสำคญั ลงในแบบบันทกึ โดยผู้อ่านจำเป็นตอ้ งมีความสามารถในด้านการอ่าน
จบั ใจความสำคญั มีวิธกี ารบนั ทึกทเ่ี ปน็ ระบบ การเช่ือมโยงหวั ข้อสำคัญต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การบนั ทกึ
การอ่านจะทำใหน้ กั เรียนมคี วามรู้ ความจำ และสามารถนำหลักการหรือความรู้ท่ไี ดร้ บั จากการบนั ทึก
ไปปรบั ใช้ในการบนั ทกึ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ในอนาคตได้
หลกั การบันทึกการอา่ น มดี งั นี้
1. ผ้บู ันทกึ ต้องสามารถเชอ่ื มโยงหัวข้อสำคญั ต่าง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั
2. เนือ้ หาท่ีบนั ทกึ จะตอ้ งอ่านแล้วเข้าใจได้งา่ ย และเขยี นบนั ทกึ ด้วยถ้อยคำของตนเอง
3. บนั ทึกแหลง่ ทมี่ าของข้อมลู น้นั ๆ อย่างชัดเจน ได้แก่
3.1 ชื่อเร่ือง ให้นักเรยี นบันทึกชอ่ื เรอื่ งช่ือตอนหรอื ตง้ั ชือ่ บทชือ่ ตอนทนี่ ักเรยี นอ่าน
3.2 ช่อื หนงั สือ ใหน้ ำมาจากบรรณานกุ รมหนา้ ปกใน
3.3 ชื่อผู้แตง่ ใหน้ ำมาจากบรรณานกุ รมหน้าปก
3.4 สำนักพิมพ์ ให้นำมาจากบรรณานกุ รมหน้าปก
3.5 ปที ี่พิมพ์ ใหน้ ำมาจากบรรณานกุ รมหนา้ ปก
ตวั อย่าง
บนั ทกึ รักการอา่ น
วันท่ี ๒๒ เดอื น กุมภาพนั ธุ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
ชอ่ื หนังสือ : อุทยานแหง่ ชาตภิ กู ระดึง
ชือ่ เรอื่ ง : อทุ ยานแห่งชาติภูกระดึง
ช่ือผูแ้ ตง่ : ฉตั รชัย แสนใจ
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ คุรสุ ภาลาดพรา้ ว พมิ พ์คร้ังท่ี ๑ ปที พ่ี มิ พ์ : 2550
สาระสำคัญ
อทุ ยานแห่งชาติภูกระดงึ ตั้งอยู่ทีอ่ ำเภอภกู ระดึง ในจังหวัดเลย เป็นหนง่ึ ในแหล่ง
ท่องเทย่ี วทมี่ ีชือ่ เสียงมากทส่ี ุดในประเทศไทย เนือ่ งจากมีธรรมชาติทีส่ วยงาม ในแต่ละปีจงึ มีคนมาเท่ยี ว
เฉล่ียหลายหมนื่ คน โดยเฉพาะในช่วงวนั หยดุ ยาวมักมนี กั ทอ่ งเท่ยี วขึน้ ไปพักผ่อนบนภกู ระดึงจำนวนมาก
ภูกระดึงไดร้ บั การจดั ตงั้ เปน็ ป่าสงวนแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ และเป็นอุทยานแหง่ ชาติเม่อื วนั ท่ี ๗
ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยเป็นอุทยานแหง่ ชาตลำดับที่ ๒ ถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ครอบคลมุ พน้ื ที่ ๓๔๘.๑ ตารางกโิ ลเมตร ( ๒๑๗,๕๗๕ ไร่ ) ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหนิ ทราย
ยอดตดั โดยมีทรี่ าบบนยอดภกู ระดงึ ประมาณ ๖๐ ตารางกิโลเมตร (๓๗,๕๐๐ ไร่ ) มีความสูงอยูร่ ะหว่าง
๔๐๐ - ๑,๒๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล จุดสูงสดุ อยทู่ ีบ่ ริเวณ "คอกเมย" มีความสูง ๑,๓๑๖ เมตร
ใบงาน
เร่ือง บันทึกการอ่าน
คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนอธิบายความหมายและประโยชน์ของบนั ทึกการอา่ นมาโดยสังเขป
บนั ทึกการอา่ น คือ ........................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ประโยชนข์ องบันทึกการอ่าน มดี ังนี้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ตง้ั ใจทำนะครบั
รายละเอยี ดเกณฑ์การประเมิน
ใบงาน เรอื่ ง บนั ทกึ การอา่ น
รายละเอียดเกณฑ์ 1 รายละเอยี ดการให้คะแนน 4
การประเมนิ สามารถอธบิ าย
ความหมายของ 23 สามารถอธิบาย
1. ความถกู ต้องของ การบนั ทกึ การอา่ น ประโยชน์ของการ
ความหมาย ได้อย่างถูกต้อง สามารถอธบิ าย บันทึกการอา่ น
ครอบคลมุ ความหมายของ ไมไ่ ด้ หรืออธิบาย
2. ความถูกตอ้ งของ การบันทกึ การอา่ น ได้แค่ 1 ข้อ
ประโยชน์ สามารถอธบิ าย ไดแ้ ต่ยังไม่ค่อย
ประโยชน์ของการ ถกู ต้องและ
บันทกึ การอ่านได้ ครอบคลมุ
อยา่ งถกู ตอ้ ง
ครบถ้วนทั้ง 4 ข้อ สามารถอธบิ าย สามารถอธิบาย
ประโยชน์ของการ ประโยชนข์ องการ
บนั ทึกการอา่ นได้ บันทกึ การอ่านได้
แต่ไมค่ รบถว้ น แต่ไมค่ รบถว้ น
อธิบายได้แค่ 3 ขอ้ อธบิ ายได้แค่ 2 ข้อ
รายละเอียดเกณฑก์ ารประเมิน
ใบกิจกรรม เร่ือง บันทกึ รักการอ่าน
รายละเอยี ดเกณฑ์ รายละเอยี ดการใหค้ ะแนน
การประเมิน
12
1. สามารถเช่อื มโยง
หวั ขอ้ สำคญั ตา่ ง ๆ สามารถเช่ือมโยงหวั ขอ้ ต่าง ๆ และลำดบั สามารถเชอ่ื มโยงหัวขอ้ ต่าง ๆ ลำดบั
เข้าด้วยกนั
เหตุการณ์ หรือเรียบเรยี งเร่ืองราวให้เขา้ เหตุการณ์ หรอื เรียบเรียงเรือ่ งราวให้เข้า
2. สามารถอา่ นแลว้
เขา้ ใจไดง้ ่ายและเขยี น กันได้อยา่ งสมบูรณ์ กันได้ แตย่ งั ติดขดั เลก็ น้อย
บันทึกดว้ ยถอ้ ยคำของ
ตนเอง สามารถเขียนบันทึกใหผ้ ู้ทอ่ี า่ นเข้าใจง่าย สามารถเขยี นบนั ทกึ ให้ผู้ท่ีอา่ นเข้าใจงา่ ย
3. บันทกึ แหล่งทม่ี า ไม่ซับซอ้ น ใช้ภาษาได้ถกู ตอ้ ง เขยี น ไม่ซบั ซอ้ น แตใ่ ช้ภาษาถูกตอ้ ง คำไม่
ของข้อมลู นน้ั ๆ
อย่างชัดเจน บันทึกด้วยถ้อยคำของตนเอง ราบร่ืน สละสลวย เขียนบันทกึ ด้วยถอ้ ยคำของ
ตนเอง
สามารถเขียนบันทกึ โดยระบุแหลง่ ทีม่ า สามารถเขยี นบันทกึ โดยระบุแหลง่ ทีม่ าได้
อย่างครบถว้ น ทั้งชือ่ เรอ่ื ง ช่ือหนังสือ แต่ยังไมค่ รบถ้วน ขาดขาดขอ้ ใดหรือขอ้
ช่อื ผู้แตง่ สำนกั พิมพ์ และปีทพ่ี มิ พ์ หน่ึง
แผนการจดั การเรียนรู้
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 12 เรอ่ื ง ประโยคที่ซบั ซอ้ น
รหัสวชิ า ท ๒๓๑๐๑ ชอื่ รายวิชา ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ ภาคเรยี นท่ี ๑ เวลา 3 ชั่วโมง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 4.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษา
และพลงั ของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ขิ องชาติ
ตวั ชี้วัด
ท 4.๑ ม. ๓/2 วเิ คราะหโ์ ครงสร้างประโยคซับซอ้ น
สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
ชว่ั โมงที่ 1
ประโยคสามัญที่ซบั ซอ้ น คือ ประโยคสามัญที่มีสว่ นขยายประธาน กริยาหรือกรรม
เพียงบทใดบทหนง่ึ หรอื หลายบทก็ได้ เพอื่ ให้ประโยคนั้นมคี วามหมายทชี่ ัดเจนมากยง่ิ ขน้ึ ซง่ึ การซบั ซ้อน
นนั้ จะมกี ารซบั ซอ้ นท้งั ส่วนภาคประธานและภาคแสดง
ชว่ั โมงที่ 2
ประโยครวมทซ่ี บั ซ้อน คอื ประโยคความรวมทม่ี ีใจความสำคัญตงั้ แต่ 2 ใจความสำคญั
ขนึ้ ไปโดยมสี นั ธานเปน็ ตัวเชอื่ ม ซึ่งประโยคความรวมทีซ่ บั ซอ้ นจะมสี ่วนขยายมาขยายประธาน กริยา
กรรม หรืออาจมปี ระโยคสามญั เพิม่ เข้าไปในประโยคอกี เพ่ือให้ประโยคนนั้ มคี วามหมายชัดเจนมากข้ึน
ชวั่ โมงท่ี 3
ประโยคซอ้ นท่ซี บั ซอ้ น คือ ประโยคความซอ้ นทีป่ ระกอบด้วยประโยคยอ่ ยหรอื
อนุประโยคมากกว่า 1 ประโยค ประโยคยอ่ ยทเี่ พิ่มขน้ึ อาจจะเป็นประโยคสามญั ที่ซับซ้อน ประโยคซ้อน
หรือประโยครวมก็ได้
สาระการเรียนร/ู้ เนอื้ หายอ่ ย
ชว่ั โมงที่ ๑
ความรู้ (K)
นักเรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจในความหมายและชนดิ ของประโยคสามญั ทซ่ี ับซ้อน
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถสรา้ งประโยคสามัญทซี่ บั ซอ้ นได้
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
นกั เรียนสามารถนำความรู้จากการเรียนเรอ่ื ง ประโยคสามัญทซ่ี ับซอ้ น ไปเปน็ แนวทาง
ในการเรียนระดับต่อไป
ชว่ั โมงท่ี ๒
ความรู้ (K)
นักเรยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจในความหมายและชนดิ ของประโยครวมทซี่ บั ซ้อน
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถจำแนกประโยคย่อยในประโยคมรวมท่ซี ับซอ้ นได้
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นักเรยี นสามารถนำความรจู้ ากการเรียนเรือ่ ง ประโยครวมทซ่ี ับซ้อน ไปเป็นแนวทาง
ในการเรยี นระดบั ตอ่ ไป
ชว่ั โมงที่ 3
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจในความหมายและชนดิ ของประโยคซ้อนท่ซี ับซอ้ น
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถสร้างประโยคซ้อนท่ซี บั ซอ้ นได้
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
นกั เรยี นสามารถนำความร้จู ากการเรียนเรอื่ ง ประโยคซอ้ นทซ่ี บั ซ้อน ไปเป็นแนวทาง
ในการเรยี นระดับต่อไป
จดุ เนน้ สู่การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี น
ทักษะในศตวรรษที่ 21 ( 3R8C )
Reading (อ่านออก)
(W) Riting (เขียนได้)
(A) Rithemetics (คิดเลขเปน็ )
ทักษะด้านการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและทกั ษะในการแกไ้ ขปัญหา (Critical
Thinking and Problem Solving)
ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)
ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural
Understanding)
ทกั ษะดา้ นความร่วมมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผู้นำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership)
ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร สารสนเทศและรเู้ ท่าทนั สอ่ื (Communications,
Information, and Media Literacy)
ทักษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร (Computing
and ICT Literacy)
ทกั ษะอาชีพ และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)
ทกั ษะการเปลยี่ นแปลง (Change)
การประเมินผลรวบยอด
ชนิ้ งานหรือภาระงาน
ชว่ั โมงที่ 1
ใบงาน เร่อื ง ประโยคสามญั ทีซ่ ับซ้อน
ชั่วโมงท่ี 2
ใบงาน เรอื่ ง ประโยครวมที่ซบั ซ้อน
ชว่ั โมงท่ี 3
ใบงาน เรอื่ ง ประโยคซ้อนท่ีซับซ้อน
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชัว่ โมงที่ 1
ขั้นนำ
ครกู ล่าวทกั ทายนักเรยี น และครใู ห้นกั เรยี นอ่านขอ้ ความกระดาน จากน้ันครูใช้คำถาม
“จากประโยคบนกระดาน คำวา่ สุนัขพนั ธ์เชาเชาของคุณแดง อธิบายสว่ นใด” จากน้ันใหน้ ักเรยี น
แสดงความคิดเห็นโต้ตอบกับครู (K)
ขั้นสอน
๑. ครแู จกใบความรูแ้ ละให้ความร้เู ร่อื ง ประโยคสามัญทีซ่ บั ซอ้ น จากนั้นครอู ธบิ าย
ความหมายของประโยคที่ซับซ้อน ประโยคสามญั ที่ซบั ซ้อน ชนดิ ของประโยคสามญั ท่ซี ับซอ้ น และครู
ยกตัวอย่างประโยคสามัญที่ซับซอ้ นใหน้ กั เรียนดู เพ่อื ให้นักเรียนเขา้ ใจประโยคสามญั ทซี่ ับซ้อนมากข้ึน
(K)
๒. ครูให้นกั เรียนทำใบงาน เร่อื ง ประโยคสามัญท่ีซบั ซ้อน โดยใหน้ กั เรียนนำคำขยาย
ในวงเล็บไปวางไว้หลังประธานในประโยคสามญั (K, P)
๓. ครใู หน้ กั เรียนออกมานำเสนอหนา้ ช้ันเรียนโดยครูจะสุม่ เพ่ือเปน็ การแลกเปลี่ยน
เน้อื หาซง่ึ กนั และกัน จากนน้ั ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั เสนอแนะรายละเอยี ดเพิม่ เตมิ (P, A)
ขนั้ สรปุ
ครูและนักเรยี นร่วมกนั สรุปใบงานประโยคสามัญทซ่ี ับซอ้ น เปน็ กิจกรรมที่ให้นักเรียน
สรา้ งประโยคสามัญท่ซี บั ซ้อน โดยการนำคำขยายท่คี รูกำหนดให้ไปวางไวห้ ลงั ประธาน จากการ
ทำกิจกรรมนักเรียนสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกตอ้ ง สะท้อนผลได้ว่านักเรียนมคี วามรู้ความเข้าใจ
ในความหมายและชนิดของประโยคสามญั ท่ซี ับซ้อน สามารถสรา้ งประโยคสามัญที่ซับซอ้ น และสามารถ
นำความรทู้ ่ีไดจ้ ากการเรียนเร่อื ง ประโยคสามัญที่ซบั ซ้อน ไปเป็นแนวทางในการเรยี นระดับตอ่ ไป (K, P,
A)
ชั่วโมงที่ 2
ข้ันนำ
ครูกล่าวทักทายนักเรียน และให้นักเรียนดูข้อความบนกระดาน จากนั้นครูใช้คำถาม
“จากประโยคบนกระดาน นักเรียนคิดว่าเขากล่าวถึงอะไรบ้าง” จากนั้นให้นักเรยี นแสดงความคิดเห็น
โตต้ อบกับครู (K)
ขน้ั สอน
๑. ครูแจกใบความรู้และให้ความรู้ เร่อื ง ประโยครวมทซ่ี บั ซ้อน จากนัน้ ครูอธบิ าย
ความหมาย ชนิดของประโยครวมทซ่ี บั ซ้อน จากนนั้ ครูยกตัวอย่างประโยครวมที่ซับซ้อน ใหน้ ักเรยี นดู
เพือ่ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจมากยิง่ ขึ้น (K)
๒. ครใู หน้ กั เรียนทำใบงาน เร่อื ง ประโยครวมทซ่ี ับซอ้ น โดยให้นกั เรยี นจำแนกประโยค
ย่อยในประโยครวมทีซ่ บั ซอ้ นต่อไปน้ี (K, P)
๓. ครใู ห้นกั เรียนออกมานำเสนอหน้าชนั้ เรียนโดยครูจะสุ่ม เพอื่ เปน็ การแลกเปล่ยี น
เนื้อหาซ่ึงกันและกนั จากนั้นครูและนกั เรยี นร่วมกนั เสนอแนะรายละเอียดเพ่มิ เติม (P, A)
ขน้ั สรปุ
ครูและนักเรียนรว่ มกนั สรปุ ใบงาน ประโยครวมทซ่ี ับซอ้ น เปน็ กิจกรรมที่ให้นักเรียน
จำแนกประโยคยอ่ ยในประโยคความรวมท่ซี บั ซ้อน จากการทำกจิ กรรมนกั เรียนสามารถปฏบิ ัตไิ ด้
อย่างถกู ต้อง สะทอ้ นผลได้วา่ นักเรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจในความหมายและชนดิ ของประโยครวม
ทีซ่ บั ซอ้ น สามารถจำแนกประโยคยอ่ ยในประโยครวมท่ซี บั ซอ้ น และสามารถนำความร้ทู ่ีไดจ้ ากการเรียน
เร่อื ง ประโยครวมท่ีซบั ซอ้ น ไปเป็นแนวทางในการเรยี นระดับต่อไป (K, P, A)
ชวั่ โมงท่ี 3
ขั้นนำ
ครูกล่าวทักทายนักเรียน และให้นักเรียนดูข้อความบนกระดาน จากนั้นครูใช้คำถาม
“นักเรียนคิดว่าประโยค 2 ประโยคที่เห็นบนกระดาน แตกต่างกันอย่างไร ” จากนั้นให้นักเรียนแสดง
ความคดิ เห็นโตต้ อบกับครู (K)
ข้นั สอน
๑. ครูแจกใบความร้แู ละให้ความรู้ เรือ่ ง ประโยคซ้อนทีซ่ ับซ้อน จากนั้นครอู ธบิ าย
ความหมาย ชนดิ ของประโยคความรวมทซ่ี ั จากน้ันครูยกตัวอยา่ งประโยคความซอ้ นท่ซี ับซอ้ นให้นักเรียน
ดูเพอื่ ให้นักเรียนเข้าใจมากย่งิ ข้ึน (K)
๒. ครใู ห้นักเรยี นทำใบงาน เรื่อง ประโยคความซ้อนที่ซับซอ้ น โดยใหน้ ักเรยี น
นำกล่มุ คำที่ครกู ำหนดให้ ไปสร้างเปน็ ประโยคท่ซี บั ซอ้ น (K, P)
๓. ครูใหน้ กั เรยี นออกมานำเสนอหน้าชนั้ เรียนโดยครจู ะสุม่ เพ่ือเปน็ การแลกเปลี่ยน
เนือ้ หาซง่ึ กันและกนั จากนัน้ ครูและนักเรยี นรว่ มกนั เสนอแนะรายละเอียดเพิ่มเติม (P, A)
ข้ันสรุป
ครูและนักเรยี นร่วมกันสรปุ ใบงาน ประโยคความซอ้ นท่ีซับซอ้ น เป็นกจิ กรรมทใ่ี ห้
นกั เรยี นนำกลมุ่ คำทค่ี รูกำหนดให้ ไปสร้างเปน็ ประโยคทีซ่ ับซอ้ น จากการทำกิจกรรมนกั เรยี นสามารถ
ปฏิบตั ิไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง สะท้อนผลได้วา่ นักเรยี นมีความรคู้ วามเขา้ ใจในความหมายและชนดิ ของประโยค
ความซอ้ นท่ซี ้อน สามารถสรา้ งประโยคความซ้อนทซ่ี บั ซอ้ น และสามารถนำความรู้ท่ีไดจ้ ากการเรียน
เร่อื ง ประโยคซอ้ นท่ีซบั ซ้อน ไปเปน็ แนวทางในการเรยี นระดับตอ่ ไป (K, P, A)
การวัดผลประเมนิ ผล เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
ชั่วโมงท่ี 1 ใบงานเรื่อง ประโยคสามัญที่ซบั ซ้อน
ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
วิธีการ ร้อยละ ๕๐
ประเมนิ ใบงานเรื่อง ประโยคสามญั ท่ีซับซอ้ น
ใชว้ ธิ ีวัดผลจากการทำใบงานของนกั เรยี นแต่
ละคน โดยมปี ระเด็นในการวัดผล ได้แก่ ความ
ถกู ต้องของตำแหน่งคำ และผลงานสะอาด
เรยี บรอ้ ย (ประเด็นของแต่ละคน) จากนนั้ นำ
ผลการประเมินมาเป็นข้อมูลในการปรับปรงุ
และพัฒนานกั เรียน และการจดั การเรยี นการ
สอนของครูในครงั้ ตอ่ ๆ ไป
ช่วั โมงท่ี ๒ เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน
ใบงานเรื่อง ประโยครวมทีซ่ ับซ้อน
วิธีการ ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
ร้อยละ ๕๐
ประเมินใบงานเรื่อง ประโยครวมทซี่ บั ซ้อน
ใชว้ ิธีวดั ผลจากการทำใบงานของนกั เรยี นแต่
ละคน โดยมีประเดน็ ในการวดั ผล ไดแ้ ก่
ความถูกตอ้ งของประโยคย่อย และผลงาน
สะอาดเรียบรอ้ ย (ประเด็นของแต่ละคน)
จากนั้นนำผลการประเมินมาเปน็ ขอ้ มูล
ในการปรบั ปรุงและพฒั นานกั เรียน และการ
จดั การเรยี นการสอนของครใู นคร้งั ต่อ ๆ ไป
ช่วั โมงที่ 3 เกณฑ์การประเมนิ
ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน
วธิ กี าร เครอื่ งมอื ร้อยละ ๕๐
ประเมินใบงานเรื่อง ประโยคซอ้ นทซ่ี บั ซอ้ น ใบงานเรอ่ื ง ประโยคซอ้ นทซี่ ับซ้อน
ใชว้ ธิ ีวัดผลจากการทำใบงานของนกั เรยี นแต่
ละคน โดยมีประเดน็ ในการวดั ผล ไดแ้ ก่ ความ
ถกู ตอ้ งของประโยค และผลงานสะอาด
เรียบร้อย (ประเดน็ ของแต่ละคน) จากนน้ั นำ
ผลการประเมนิ มาเปน็ ข้อมลู ในการปรับปรุง
และพฒั นานักเรยี น และการจดั การเรียนการ
สอนของครูในคร้ังตอ่ ๆ ไป
สื่อการเรยี นรู้
ชว่ั โมงที่ 1
๑. ใบความรู้ เรอื่ ง ประโยคสามญั ที่ซบั ซอ้ น
๒. ใบงาน เรือ่ ง ประโยคสามญั ท่ีซบั ซอ้ น
ชว่ั โมงที่ 2
1. ใบความรูเ้ รอ่ื ง ประโยครวมที่ซบั ซ้อน
2. ใบงานเรอื่ ง ประโยครวมทซี่ บั ซอ้ น
ชวั่ โมงที่ 3
1. ใบความรู้เรื่อง ประโยคซ้อนทซ่ี บั ซ้อน
2. ใบงานเรอื่ ง ประโยคซ้อนทีซ่ ับซ้อน
ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ สถานศึกษาหรอื ผูท้ ี่ไดร้ ับมอบหมาย (ตรวจสอบ,นเิ ทศ,เสนอแนะ,รบั รอง)
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชือ่ ................................................................
(นายสนอง ศรธี รรมา)
วันท.่ี ........../...................../...........
บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๒. ปัญหาและอปุ สรรค
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๓. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ้ เสนอแนะ
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .................................................
(นายฤทธเิ ดช สกุลซง้ )
วันท.ี่ ............./......................./...............
ใบความรู้ เรอ่ื ง ประโยคสามญั ทซ่ี บั ซ้อน
ประโยคทซี่ ับซอ้ น หมายถึง ประโยคที่เกดิ จากประโยคความเดียว ประโยคความรวม และ
ประโยคความซอ้ น ท่เี พิม่ คำขยายหรอื ขอ้ ความขยาย การรวมประโยคเขา้ กับคำขยาย หรอื รวบรวมท้ัง
ประโยคคสามัญ ประโยคความซ้อนและประโยคความเดยี วเข้าด้วยกันทำใหก้ ลายเปน็ ประโยคซบั ซอ้ น
ขนึ้ แต่สามารถสื่อสารชัดเจน มคี วามหมายที่ทำใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายมากย่งิ ข้ึน และภาษามีความสละสลวย
ประโยคสามัญที่ซับซอ้ น คือ ประโยคสามัญท่มี สี ่วนขยายประธาน กรยิ าหรือกรรม เพียงบท
ใดบทหน่งึ หรือหลายบทกไ็ ด้ เพ่ือให้ประโยคน้นั มีความหมายท่ีชดั เจนมากยิง่ ข้ึน ซง่ึ การซับซ้อนนั้นจะมี
การซบั ซอ้ นทง้ั ส่วนภาคประธานและภาคแสดง
ชนดิ ของประโยคสามัญท่ีซบั ซอ้ น
1. ประโยคสามญั ท่ีซับซ้อนในภาคประธาน คือ ประธานมสี ่วนขยายท่เี ปน็ คำและกล่มุ คำ
ทำใหป้ ระโยคนั้นมีความชัดเจนมากยิง่ ขน้ึ
๑.1 ส่วนขยายเปน็ กล่มุ คำท่ีมีคำบุพบทนำหนา้ เช่น
- เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาของชุมชนเกาะเกรด็ จังหวัดนนทบุรีเปน็ ที่นิยมของนกั ทอ่ งเท่ียว
ชาวตา่ งประเทศ
1.๒ ประธานเป็นกลุ่มคำท่มี ีคำว่า “การ” หรอื “ความ” นำหนา้ เช่น
- การส่งเสริมการออกกำลังกายของผูส้ ูงอายุ ชว่ ยให้สุขภาพแข็งแรงยงิ่ ขึน้
1.๓ ประธานมีส่วนขยายเปน็ คำหรอื กล่มุ คำปะปนกนั เชน่
- สนิ ค้านานาชนดิ หลากหลายรปู แบบจากรา้ นค้าในชมุ ชน แสดงถึงภูมิปัญญาของ
ชาวบา้ นเปน็ อยา่ งดี
๒ ประโยคสามัญที่ซับซ้อนในภาคแสดง คือ ภาคแสดงในประโยคสามัญมคี ำหรอื กลุม่ คำมา
ขยายใหป้ ระโยคมคี วามชดั เจนมากยิง่ ข้ึน
๑.1 กริยาหรอื ตัวแสดงเปน็ กลุ่มคำ เช่น
- ชาวบ้านพยายามจ้องมองดูตน้ ไม้ประหลาดด้วยความสนใจ
1.๒ กริยาหรอื ตวั แสดงมีสว่ นขยายอยู่หลายแหง่ ในประโยค เช่น
- ทุกเชา้ ก่อนเข้าเรียนครตู รวจการแตง่ กายนักเรยี นอยา่ งละเอยี ดหน้าแถว
1.๓ กริยาหรอื ตวั แสดงมีสว่ นขยายตอ่ เนอ่ื งกันหลายทอด เช่น
- นกั เรียนค่อย ๆ จัดดอกกุหลาบใส่แจกันบนโตะ๊ ครู
ใบงาน เรอ่ื ง ประโยคสามญั ทีซ่ ับซ้อน
คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนนำคำในวงเลบ็ ท่ีครูกำหนดใหไ้ ปซบั ซ้อนไวห้ ลงั ประธานในประโยค
1. นักเรยี นกำลงั โตว้ าที (ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3/1)
=............................................................................................................................................
2. หนงั สือมีภาพสวยงาม (นางในวรรณคด)ี
=............................................................................................................................................
3. จดหมายมาถึงแล้ว (จากมลู นธิ ิศภุ นิมติ แหง่ ประเทศไทย)
=...................................................................................................................................
4. บ้านหลังนน้ั สวยมาก (ไม้ทรงไทยของคณุ ปู่ทจี่ งั หวัดอยุธยา)
=.................................................................................................................................
5. ตน้ กลา้ ไดร้ ับรางวลั นักแสดงยอดเยี่ยม (ดารานักรอ้ งชอื่ ดงั )
=..........................................................................................................................................
6. วิทยุกระจายเสียงประกาศข่าวแล้ว (ประเทษไทย)
=............................................................................................................................................
7. ปรีชาเพิ่งเป็นหวั หนา้ หอ้ ง (ลกู ชายของคุณปา้ อารยี า)
=............................................................................................................................................
8. อารกี ำลังกนิ ไอศกรีม (เด็กผหู้ ญิงผมสีน้ำตาล)
=............................................................................................................................................
9. นิรากำลังรอ้ งเพลงอย่บู นเวที (สาวสวยประจำรา้ น)
=..........................................................................................................................................
10. เดก็ ล่นื หกล้มก้นกระแทก (ชายวัยสามขวบ)
=............................................................................................................................................
ชื่อ...............................................................................ช้ัน ม.3 เลขท่ี..............
ใบความรู้ เรือ่ ง ประโยครวมท่ีซบั ซ้อน
ประโยครวมที่ซบั ซ้อน คอื ประโยครวมที่มใี จความสำคญั ตั้งแต่ 2 ใจความสำคัญขึน้ ไปโดยมี
สันธานเป็นตวั เชือ่ ม ซงึ่ ประโยครวมท่ีซับซอ้ นจะมสี ่วนขยายมาขยายประธาน กรยิ า กรรม หรอื อาจมี
ประโยคสามัญเพ่ิมเข้าไปในประโยคอีก เพื่อใหป้ ระโยคนนั้ มีความหมายชัดเจนมากขน้ึ
ชนดิ ของประโยครวมทซี่ ับซ้อน
๒.๑ ประโยครวมที่มีส่วนประกอบเป็นประโยคสามญั ที่ซับซอ้ น มโี ครงสรา้ ง คอื
“ประโยคสามัญท่ซี บั ซ้อน สันธาน ประโยคสามัญที่ซบั ซ้อน” ตวั อยา่ ง
- สุนทรภมู่ ีผลงานมากมาย แต่นักเรียนไดเ้ รียนเพียงเรือ่ งเดยี ว
= สุนทรภู่กวีเอกของไทยมีผลงานมากมาย แต่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เรียนเพียงเรื่องเดียว
- กิตตไิ ดร้ บั รางวลั เยาวชนดีเด่น แต่นภาไม่ไดร้ บี รางวลั
= กิตติประธานชมภาษาไทยไดร้ ับรางวัลเยาวชนดเี ด่น แต่นภาประธานสภานกั เรยี นไม่ไดร้ ับรางวลั
๒.๒ ประโยคความรวมทม่ี สี ว่ นประกอบเปน็ ประโยคความรวม มโี ครงสร้าง คือ
“ประโยคความรวม สันธาน ประโยคความรวม” ตวั อย่าง
- แมวเป็นสตั วเ์ ลี้ยง แต่เสือเปน็ สัตว์ปา่ = แมวและสนุ ขั เป็นสัตว์เล้ียง แต่เส้ือและสงิ โตเป็น
สตั ว์ป่า
เมื่อแยกประโยคย่อยจะได้ประโยคทั้งหมด 4 ประโยค คือ แมวเป็นสัตว์เล้ียง / สุนัขเป็น
สตั ว์เล้ียง / เสือเปน็ สัตว์ป่า / ชา้ งเป็นสตั ว์ป่า
หรอื
- ซดี ีและจิมม่ีสุนขั พนั ธ์ปักกง่ิ ของคุณนำ้ นา่ รกั แต่มามา่ กบั ชิปปแ้ี มวของคณุ นานาไม่นา่ รัก
เมื่อแยกประโยคย่อยจะได้ประโยคทั้งหมด 4 ประโยค คือ ซีดีสุนัขพันธ์ปกั กิ่งของคุณนำ้
น่ารัก / จิมมี่สุนัขพันธ์ปักกิ่งของคุณน้ำน่ารัก / มาม่าแมวของคุณนานาไม่น่ารัก / ชิปป้ีแมวของคุณ
นานาไม่นา่ รัก
ใบงาน เรอื่ ง ประโยครวมทซี่ ับซอ้ น
คำชีแ้ จง นักเรียนจำแนกประโยคยอ่ ยจากประโยคความรวมทีซ่ ับซ้อนตอ่ ไปนี้
1. ฉนั และพี่ต้องไปเรียนหนังสือทโ่ี รงเรยี น แต่พ่อกบั แม่ไปทำงานทีโ่ รงพยาบาล
=...............................................................................................................................................
................................................................................................................................................
2. พอ่ และแม่ไปตา่ งประเทศ แต่พกี่ ับฉนั ต้องเฝ้าบา้ น
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
3. คนไอและเจ็บคอมาหลายวัน ดังนน้ั ฉนั จงึ ต้องกนิ ยาและดม่ื น้ำอุน่ ตามทหี่ มอสั่ง
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
4. เขาชอบกนิ ผลไมร้ สเปรยี้ ว แต่ฉนั ชอบกนิ อาหารรสจัด ดังนน้ั เขาจึงทอ้ งเสีย แตฉ่ ันปวด
ท้อง
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
5. บญุ ตาคนสวนบ้านคุณยายลาออก คณุ ตากับคณุ ยายจงึ ตอ้ งหาลกู จา้ งใหม่
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
6. อิซงั ก้าเปน็ พอ่ ของโบมี และเปน็ หวั หนา้ เผ่า
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
7. คณุ แม่ของชมพทู่ ำงานหนกั ดงั น้นั จึงป่วยบ่อยและรา่ งกายทรุดโทรม
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
8. ฉนั ชอบเรยี นวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แตไ่ มช่ อบเรยี นเลขกบั วิทยาศาสตร์
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ชื่อ...............................................................................ชนั้ ม.๓ เลขที่..............
ใบความรู้ เร่อื ง ประโยคซอ้ นที่ซับซ้อน
ประโยคซ้อนทซ่ี บั ซ้อน คอื ประโยคความซ้อนท่ีประกอบดว้ ยประโยคยอ่ ย หรอื อนุประโยค
มากกว่า 1 ประโยค ประโยคยอ่ ยทเี่ พ่มิ ขน้ึ อาจจะเป็นประโยคสามญั ทซ่ี ับซ้อน ประโยคซ้อน หรือ
ประโยครวมกไ็ ด้
ชนดิ ของประโยคซอ้ นท่ซี บั ซอ้ น
๑. ประโยคหลักหรอื ประโยคย่อยเป็นประโยคความเดียวซับซ้อน
ตัวอย่าง
“นักกีฬากำลังฝกึ ซ้อมอย่กู ลางสนาม ซึ่งเพิง่ สร้างเสร็จเรยี บร้อยเมอ่ื สปั ดาห์ทแี่ ล้ว”
ประโยคหลกั คำเช่ือม ประโยคย่อย
นักกฬี ากำลังฝกึ ซ้อมอยกู่ ลางสนาม ซงึ่ เพิง่ สร้างเสร็จเรยี บร้อยเมือ่ สัปดาห์ที่แล้ว
ภาคประธาน ภาคแสดง คำเชือ่ ม ภาคประธาน ภาคแสดง
นักกฬี า กำลงั ฝึกซอ้ มอยู่ ซึ่ง (สนาม) เพิ่งสรา้ งเสรจ็ เรียบร้อย
กลางสนาม เม่อื สปั ดาห์ทีแ่ ล้ว
๒. ประโยคซ้อน ซงึ่ มสี ่วนประกอบเปน็ ประโยครวม
ตัวอยา่ ง
“ละครพูดเรอ่ื งเหน็ แกล่ ูกทีค่ รูและนกั เรียนแสดงไดร้ บั ความสนใจเป็นอยา่ งมาก”
ประโยคหลัก คำเชอ่ื ม ประโยคยอ่ ย (เป็นประโยคความรวม)
ประโยคสามญั คำเชือ่ ม ประโยคสามญั
บทละครพูดเรือ่ งเหน็ แก่ ที่ ครูแสดง และ นักเรยี นแสดง
ลูกไดร้ บั ความสนใจ
เปน็ อย่างมาก
๓. ประโยคความซ้อน ซ่ึงมีสว่ นประกอบเปน็ ประโยคซอ้ น
ตัวอย่าง
“ครูบอกแก่ลกู ศิษยท์ ้ังหลายว่า เราควรมจี ิตใจเขม้ แข็งอดทนจึงจะตอ่ สกู้ บั อุปสรรค
นานปั การที่เขา้ มารุมล้อมรอบตัวเราได้”
ประโยคหลกั คำเช่อื ม ประโยคยอ่ ย
ครูบอกแกล่ ูก ว่า เราควรมีจิตใจเขม้ แข็งอดทนจงึ จะตอ่ ส้กู บั อุปสรรคนานปั การท่ีเขา้ มารมุ ลอ้ มรอบตัว
ศษิ ยท์ ั้งหลาย เราได้
ประโยคหลัก คำเชื่อม ประโยคย่อย
เราควรมีจิตใจเขม้ แข็ง อดทน จงึ จะต่อสกู้ บั อุปสรรค ที่ เข้ามารมุ ลอ้ มรอบ
นานัปการ ตวั เราได้
ประโยคหลัก คำเช่ือม ประโยคย่อย
เราควรมีจติ ใจ จงึ จะต่อสกู้ บั อุปสรรค
เขม้ แข็ง อดทน นานัปการ
ใบงาน เร่อื ง ประโยคซ้อนทซี่ บั ซ้อน
คำช้ีแจง ใหน้ ักเรียนนำกลมุ่ คำทีค่ รกู ำหนดให้ ไปสร้างเปน็ ประโยคท่ีซบั ซ้อน
1. เขาเดินผา่ นหน้าร้านสะดวกซือ้
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
2. ทีเ่ พ่ิงดำเนนิ การก่อสร้างและยงั ไมแ่ ลว้ เสร็จ
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
3. ลขิ ติ จนั ทร์เป็นละครที่กำลงั ได้รบั ความนิยมในขณะน้ี
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
4. เขาเป็นคนที่จิตใจเขม็ แขง็ ทสี่ ุดเทา่ ทฉี่ ันเคยเจอมา
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
5. พวกเขากำลงั เตะบอลอยใู่ นสนาม
=...............................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ชอ่ื ...............................................................................ชัน้ ม.๓ เลขที่..............
แบบประเมนิ ใบงาน เรื่อง ประโยคสามัญที่ซบั ซ้อน
นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
รายชอ่ื ความถกู ต้อง รวม สรปุ ผล
ของตำแหน่งคำ ผลงานสะอาด
2 1 2 1 4 ผา่ น ไมผ่ า่ น
นายกฤตยา ใยปางแก้ว
ด.ช.ณภัทร วระโงน
ด.ช.ณัฐวุฒิ วัดแผ่นลำ
ด.ช.วรี พงษ์ ใยปางแก้ว
ด.ช.นราเทพ ใบแสน
ด.ช.มิตรชัย กันยาตรี
ด.ช.พูนโชค ศรชี นั
ด.ช.บารมี ไมสวุ รรณ
ด.ญ.ลกั ษิกา เสาเคหา
ด.ญ.กชกร เพง็ ผล
ด.ญ.กัญญานี ใบอดุ ม
ด.ญ.กัญญาวีร์ น้อยเวียง
ด.ญ.ขวัญฤดี ใบอดุ ม
ด.ญ.ชลธิชา จูมไม้เมอื ง
ด.ญ.ฑฆิ รรมภร สีแดด
ด.ญ.ธนพร สายอรุ าช
ด.ญ.ปภาวรินทร์ สายอรุ าช
ด.ญ.ปิยพร อังคะฮาด
ด.ญ.อรชั พร จูมไมเ้ มือง
ด.ญ.ขวัญจริ า วรกัน
ด.ญ.ภัทรสุดา ใยปางแก้ว
ด.ญ.สาวิณี ใยปางแก้ว
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ต้องไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๒ คะแนนขน้ึ ไป จากคะแนนเต็ม ๔
จึงจะถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์
เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์การตัดสินระดบั คุณภาพ ผลการประเมิน
4 คะแนน ดมี าก ผา่ น
3 คะแนน ดี ผา่ น
2 คะแนน ผ่าน
1 คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
0 คะแนน พอใช้ ไม่ผ่าน
ปรับปรงุ
แบบประเมินใบงาน เรื่อง ประโยครวมที่ซบั ซ้อน
นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
รายชือ่ ความถกู ต้องของ ผลงาน รวม สรปุ ผล
ประโยคยอ่ ย สะอาด
2 1 2 1 4 ผา่ น ไมผ่ า่ น
นายกฤตยา ใยปางแก้ว
ด.ช.ณภทั ร วระโงน
ด.ช.ณฐั วฒุ ิ วดั แผ่นลำ
ด.ช.วรี พงษ์ ใยปางแกว้
ด.ช.นราเทพ ใบแสน
ด.ช.มิตรชัย กันยาตรี
ด.ช.พูนโชค ศรีชนั
ด.ช.บารมี ไมสุวรรณ
ด.ญ.ลักษกิ า เสาเคหา
ด.ญ.กชกร เพง็ ผล
ด.ญ.กัญญานี ใบอดุ ม
ด.ญ.กัญญาวีร์ น้อยเวยี ง
ด.ญ.ขวัญฤดี ใบอดุ ม
ด.ญ.ชลธชิ า จูมไม้เมอื ง
ด.ญ.ฑฆิ รรมภร สีแดด
ด.ญ.ธนพร สายอุราช
ด.ญ.ปภาวรนิ ทร์ สายอรุ าช
ด.ญ.ปิยพร อังคะฮาด
ด.ญ.อรชั พร จมู ไมเ้ มือง
ด.ญ.ขวัญจริ า วรกนั
ด.ญ.ภัทรสุดา ใยปางแก้ว
ด.ญ.สาวิณี ใยปางแกว้
หมายเหตุ : เกณฑก์ ารทำใบงาน ต้องไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐ คอื ๒ คะแนนข้ึนไป จากคะแนนเต็ม ๔
จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑ์การตัดสินระดบั คุณภาพ ผลการประเมิน
4 คะแนน ดีมาก ผ่าน
3 คะแนน ดี ผา่ น
2 คะแนน ผ่าน
1 คะแนน ปานกลาง ไมผ่ ่าน
0 คะแนน พอใช้ ไม่ผา่ น
ปรับปรงุ
แบบประเมนิ ใบงาน เรือ่ ง ประโยคซอ้ นทซี่ ับซ้อน
นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
รายชอื่ ความถูกตอ้ ง รวม สรปุ ผล
ของประโยค ผลงานสะอาด
2 1 2 1 4 ผา่ น ไมผ่ า่ น
นายกฤตยา ใยปางแก้ว
ด.ช.ณภทั ร วระโงน
ด.ช.ณัฐวฒุ ิ วัดแผน่ ลำ
ด.ช.วีรพงษ์ ใยปางแกว้
ด.ช.นราเทพ ใบแสน
ด.ช.มิตรชยั กันยาตรี
ด.ช.พูนโชค ศรชี ัน
ด.ช.บารมี ไมสวุ รรณ
ด.ญ.ลักษิกา เสาเคหา
ด.ญ.กชกร เพ็งผล
ด.ญ.กัญญานี ใบอุดม
ด.ญ.กัญญาวรี ์ น้อยเวยี ง
ด.ญ.ขวัญฤดี ใบอุดม
ด.ญ.ชลธิชา จูมไม้เมอื ง
ด.ญ.ฑิฆรรมภร สีแดด
ด.ญ.ธนพร สายอุราช
ด.ญ.ปภาวรินทร์ สายอรุ าช
ด.ญ.ปิยพร อังคะฮาด
ด.ญ.อรัชพร จมู ไม้เมอื ง
ด.ญ.ขวัญจริ า วรกนั
ด.ญ.ภทั รสดุ า ใยปางแก้ว
ด.ญ.สาวิณี ใยปางแก้ว
หมายเหตุ : เกณฑ์การทำใบงาน ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ ๕๐ คือ ๒ คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม ๔
จึงจะถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
เกณฑ์การประเมนิ เกณฑก์ ารตัดสินระดบั คณุ ภาพ ผลการประเมิน
4 คะแนน ดีมาก ผา่ น
3 คะแนน ดี ผา่ น
2 คะแนน ผ่าน
1 คะแนน ปานกลาง ไม่ผ่าน
0 คะแนน พอใช้ ไมผ่ ่าน
ปรบั ปรงุ
รายละเอยี ดเกณฑ์การประเมิน
ใบงาน เรอื่ ง ประโยคสามัญท่ซี บั ซอ้ น
รายละเอียดเกณฑ์ รายละเอียดการให้คะแนน
การประเมิน 2 1
ความถูกตอ้ งของตำแหนง่ คำ สามารถนำคำท่ีครกู ำหนดให้ไป สามารถนำคำทค่ี รกู ำหนดใหไ้ ปซับซ่
ซับซ่วนประธานได้อย่างถูกตอ้ ง วนประธานไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง แต่ไม่
ครบทั้ง 10 ข้อ ครบทง้ั 10 ข้อ
ผลงานสะอาดเรยี บรอ้ ย ผลงานสะอาดเรียบร้อย ไมม่ ี ผลงานสะอาด แตย่ งั ไมเ่ รียบรอ้ ย
รอยลบ ไมม่ ีคำผิด เท่าที่ควร มีรอยลบเลก็ น้อย
รายละเอยี ดเกณฑ์การประเมนิ
ใบงาน เร่ือง ประโยคความซ้อน
รายละเอียดเกณฑ์ รายละเอียดการให้คะแนน
การประเมนิ
21
ความถูกต้องของ
ประโยคยอ่ ย สามารถจำแนกประโยคยอ่ ยจาก สามารถจำแนกประโยคย่อยจาก
ผลงานสะอาดเรียบร้อย ประโยคความรวมทซ่ี บั ซ้อนได้ ประโยคความรวมทซ่ี บั ซอ้ นได้อยา่ ง
อย่างถกู ต้อง ครบถว้ นทกุ ประโยค ถูกต้อง แตไ่ มค่ รบถ้วนทุกประโยค
และสามารถแยกประโยคออกมา และเมือ่ แยกประโยคออกมา บาง
โดยมปี ระธาน กริยา กรรมครบ ประโยคอาจจะประธาน กริยา กรรม
ตามรูปแบบ ไมค่ รบครบตามรูปแบบ
ผลงานสะอาดเรียบร้อย ไม่มี ผลงานสะอาด แตย่ ังไม่เรียบรอ้ ย
รอยลบ ไมม่ ีคำผิด เทา่ ที่ควร มรี อยลบเลก็ น้อย
รายละเอยี ดเกณฑก์ ารประเมนิ
ใบงาน เร่อื ง ประโยคความรวม
รายละเอียดเกณฑ์ รายละเอยี ดการใหค้ ะแนน
การประเมนิ
21
ความถูกต้องของประโยค
สามารถนำกลุ่มคำที่ครูกำหนดให้ สามารถนำกลมุ่ คำที่ครูกำหนดใหไ้ ป
ผลงานสะอาดเรยี บรอ้ ย
ไปสรา้ งเป็นประโยคความซอ้ นท่ี สร้างเป็นประโยคความซอ้ นที่
ซบั ซ้อนได้อย่างครบถว้ นสมบูรณ์ ซับซอ้ นได้ แต่ไมค่ รบถว้ น อ่านแลว้
อ่านแลว้ เขา้ ใจได้ง่าย ถกู ตอ้ งตาม เขา้ ใจได้ยาก และไม่ถกู ตอ้ งตาม
รูปแบบของประโยคความซ้อนท่ี รปู แบบของประโยคความซ้อนท่ี
ซบั ซ้อน ซับซอ้ น
ผลงานสะอาดเรียบร้อย ผลงานสะอาด แตย่ ังไมเ่ รยี บรอ้ ย
ไมม่ ีรอยลบ ไมม่ คี ำผิด เทา่ ท่ีควร มีรอยลบเล็กนอ้ ย
แผนการจัดการเรียนรู้
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๒ เร่ือง สรปุ เนอ้ื หาและวเิ คราะหค์ ุณคา่ จากวรรณคดีพระอภยั มณี
ตอน พระอภัยมณีหนีนางผเี สื้อ
รหสั วิชา ท ๒๓๑๐๑ ชื่อรายวิชา ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ ภาคเรยี นที่ ๑ เวลา 3 ชั่วโมง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทย
อยา่ งเหน็ คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชวี ติ จรงิ
ตวั ช้ีวัด
ท 5.๑ ม. ๓/๑. สรปุ เน้อื หาวรรณคดี วรรณกรรมและวรรณกรรมทอ้ งถนิ่ ในระดับท่ียากย่ิงขึน้
ท 5.1 ม. 3/๒. วเิ คราะหว์ ถิ ีไทยและคุณค่าจากวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่ ่าน
สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
ชวั่ โมงท่ี ๑
การถอดคำประพันธ์ คือ การเกบ็ ความจากคำประพนั ธ์มาเขียนใหมเ่ ป็นภาษารอ้ ยแก้ว
ทส่ี ละสลวย โดยตอ้ งคงเนอ้ื ความเดมิ ไว้ ซ่ึงกอ่ นทน่ี ักเรียนจะสรปุ เนอื้ หาจากวรรณคดไี ด้น้นั จำเป็น
จะตอ้ งถอดความจากรอ้ ยกรองเป็นรอ้ ยแก้วเสียกอ่ น เพื่อให้สะดวกต่อการสรปุ เน้ือหาวรรณคดี
ช่วั โมงที่ ๒
สรปุ เนอ้ื หาวรรณคดี คอื การสรุปเร่อื งราวจากการฟงั หรอื การอา่ น ผฟู้ ังหรอื ผอู้ ่านจะตอ้ ง
จับใจความและสรปุ ใจความสำคญั ของเรื่อง เพอื่ ท่ีจะเปน็ พนื้ ฐานของการพูด หรือการเขียนสรุปความ
ตอ่ ไป โดยจะตอ้ งจับประเดน็ ให้ได้วา่ ใคร ทำอะไร ทีไ่ หน เมื่อไร อยา่ งไร
ชั่วโมงท่ี 3
การวเิ คราะห์คุณค่าจากวรรณคดี คือ การพจิ ารณา แยกแยะและประเมินคา่ โดยแสดง
ความคดิ เหน็ อภิปรายขอ้ เทจ็ จริงให้ผอู้ ่นื ทราบวา่ ใครเป็นผ้แู ต่ง เปน็ เรื่องเกย่ี วกบั อะไร มีประโยชน์
อยา่ งไร มีประโยชน์ตอ่ ใคร ผวู้ ิเคราะห์มีความเห็นอยา่ งไร เร่ืองท่ีอ่านมีคณุ ค่าด้านใด และแต่ละดา้ น
สามารถนำไปประยกุ ตใ์ หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ชีวติ ประจำวันอยา่ งไร
สาระการเรยี นร/ู้ เนอ้ื หายอ่ ย
ชั่วโมงที่ ๑
ความรู้ (K)
นกั เรยี นมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในหลักการถอดคำประพันธ์
ทักษะ/กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถถอดคำประพันธจ์ ากวรรณคดเี รื่องพระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณหี นี
นางผีเสอื้ ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลักการ