The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี (ฉบับเต็ม)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 116, 2022-08-21 23:52:26

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี (ฉบับเต็ม)

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี (ฉบับเต็ม)

มหาเวสสันดร

ชาดก
กัณฑ์มัทรี

ครูพิจิพร สำเนียงเย็น

มหาเวสสันดรชาดก

กัณฑ์มหาชาติ 13 กัณฑ์
1000 คาถา

1. กัณฑ์ทศพร

พระอินทร์ประทานพร

10 ประการแก่

พระนางผุสดี

2. กัณฑ์หิมพานต์

พระเวสสันดร

พระราชทานช้างเผือก

ชาวเมืองโกรธแค้นให้


เนรเทศไปอยู่เขา

วงกต

3. กัณฑ์ทานกัณฑ์

พระเวสสันดร

พระราชทานม้าและ

ราชรถ แก่พราหมณ์ ที่

ตามมาขอนอกเมือง

4. กัณฑ์วนประเวศน์

สี่กษัตริย์ต้องเดินดง

ตั้งพระทัยมุ่งตรงสู่เขา


วงกต เพื่อจะทรง

บำเพ็ญพรตเป็ นฤาษี

5. กัณฑ์ชูชก

ชูชกได้นางอมิตตา

ลูกสาวเพื่อนมาเป็ น

เมีย แทนเงินและทอง

ตนที่พ่อแม่นางนำไป


ใช้หมด

6. กัณฑ์จุลพน

ชูชกชูกลักพริกโกหก

พรานเจตบุตรว่า

เป็ นกล่องใส่สาสน์

ของพระเจ้า
กรุ งสญชัย

7. กัณฑ์มหาพน

อจุตฤาษีหลงเชื่อ

คารมของชูชกเจ้าเล่ห์


เลยบอกทางไป
สู่เขาวงกต

8. กัณฑ์กุมาร

พระเวสสันดรตรัส

เรียกลูกกัณหาชาลี

ขึ้นจากสระ เพื่อนำไป


ให้ทานแก่ชูชก

9. กัณฑ์มัทรี

พระนางมัทรีทรง

ประนมกรทูลวอนไหว้


เทพเจ้า 3 สัตว์ที่มา

กั้นทางไว้

10. กัณฑ์สักกบรรพ

พระอินทร์จำแลงเป็ น

พราหมณ์ มาขอ

นางมัทรี แล้วถวาย

คืนและประสาทพร 8


ประการ

11. กัณฑ์มหาราช

เทวดาจำแลงเป็ นพระ

เวสสันดรและนางมัทรี

มาอุ้มชูสองกุมารให้


เสวยนมด้วยเมตตา

12. กัณฑ์ฉกษัตริย์

ทั้งหกกษัตริย์ถึง

วิสัญญีภาพสลบลง

เมื่อได้พบหน้ากัน ณ

พระอาศรมที่เขาวงกต

13. กัณฑ์นครกัณฑ์

หกกษัตริย์นำ

พยุหโยธาเสด็จกลับสู่


พระนคร แล้วขึ้น

ครองนครเชตุดรแทน


พระราชบิดา

มหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี

กัณฑ์ที่ 9 มีคาถา 90 คาถา

ผู้แต่ง
เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

ชื่อเดิม หน บุญหลง
แต่งมหาเวสสันดรชาดก

2 กัณฑ์ คือ กัณฑ์กุมาร

และ กัณฑ์มัทรี

จุดประสงค์ ในการแต่ง
“แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์ สั่งสอนประชาชน

ใช้ในการเทศน์ มหาชาติ”

"เทศน์ มหาชาติ"

แปลว่า ชาติที่ยิ่งใหญ่

เพราะเป็ นชาติสุดท้าย ก่อน

ตรัสรู้เป็ นพระพุทธเจ้า ซึ่ งได้

บำเพ็ญทานบารมีที่เรียกว่า
ปรมัตถบารมี คือ บุตรทานบารมี

ลักษณะคำประพันธ์ "ร่ายยาว"

ร่ายยาว ไม่จำกัดจำนวนวรรค และจำนวนคำใน

แต่ละวรรค แต่ต้องมีสัมผัส

ตัวอย่าง

... “สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง พระพักตร์เธอฟูมฟองนอง

ไปด้วยน้ำพระเนตรเธออโศกา จึ่งตรัสว่า โอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะ

มิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้เลย
พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุด

ละห้อย ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะติดตาม

เจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือก

ตัวอยู่ยั้วเยี้ย...

เพลงประจำกัณฑ์

เพลง “ทยอยโอด”

ใช้ประกอบกริยาร่ำไห้ของ
นางมัทรี เมื่อตามหาพระโอรส


และพระธิดาไม่พบ

เรื่องย่อ นางมัทรีไม่เจอลูกเลย

ร้องไห้
พระเวสสันดร ยกกัณหาชาลี

ให้พราหมณ์ ชูชก นางมัทรีคลายเศร้าเพราะ

โกรธสามี
นางมัทรีไปเก็บผลไม้ในป่ า

เกิดลางสังหรณ์ เลยรีบกลับ
พระเวสสันดรบอกความจริง

อาศรม แก่นางมัทรี

สัตว์ 3 ชนิดเข้ามาขวางทาง

เพื่อยื้อเวลา

เนื้อเรื่อง

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

“…เฒ่าก็พาสองกุมารพะงางามไปทางกันดาร ควรจะสงสารแสน

อนาถอนาถา ด้วยพระลูกเจ้าเป็ นกำพร้า พรากพระชนนีแต่

น้อย ๆ ยังไม่วายนมพราหมณ์ ยิ่งขู่ข่มเข่นเขี้ยวคำรามตีต้อน

ให้ด่วนเดิน ตามป่ ารกระหกระเหิน
หอบหิ้วแล้วไห้โหย มีแต่เสียงเธอ
โอดโอยสะอื้นร้องรำพัน สั่งทุกเส้น
หญ้าก็หวั่น ๆ วังเวงวิเวกป่ าหิมพานต์…”

“…ส่วนเทพยเจ้าทั้งสามก็อำลาลีลาศผาดแผลง จำแลงเป็ น

พญาไกรสรราชผาดแผดเสียงสนั่น ดั่งสายอสนีลั่นตลอดป่ า
องค์หนึ่งเป็ นพยัคฆพญาเสือโคร่งคำรนร้อง
องค์หนึ่งเป็ นเสือเหลืองเนื่องคะนอง

ย่องหยัดสะบัดบาทต่างองค์ ก็
กระทำสีหนาทน่ าพิลึกแสยงขน…”

“…ปางนั้นส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรเทพกัญญา จำเดิม

แต่พระนางเธอลีลาล่วงลับพระอาวาส พระทัยนางให้หวั่น

หวาดพะวงหลัง ตั้งแต่พระทัยเป็ นทุกข์ถึงพระเจ้าลูกมิลืม

เลย เดินพลางทางเสวยพระโศกพลาง พระนัยเนตรทั้งสอง

ข้างไม่ขาดสายพระอัสสุชล …”

น้ำตา

เกิดลางร้ายกับมัทรี

“…พลางพิศดูผลาผลในกลางไพรที่นางเคยได้อาศัยทรงสอย

อยู่เป็ นนิตย์ผิดสังเกต เหตุไฉนไม้ที่ผลเป็ นพุ่มพวง
ก็กลายกลับเป็ นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร แถวโน้นก็

แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลงถัดนั่นก็สายหยุดประยงค์ และ

ยมโดยพระพายพัดก็ร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้

เก็บดอกมาร้อยกรองไปฝากลูก เมื่อวันวานก็เพี้ยนผิดพิสดาร

เป็ นพวงผล ผิดวิกลแต่ก่อนมา…”

“…ทั้งแปดทิศก็มืดมิดมัวมนทุกแห่งหน ทั้งขอบฟ้ าก็ดาษ

แดงเป็ นสายเลือดไม่เว้นวายหายเหือดเป็ นลางร้ายไปรอบ

ข้าง พระนัยนเนตรก็พร่าง ๆอยู่พรายพร้อย ในจิตใจของ

แม่ยังน้อยอยู่นิดเดียว ทั้งอินทรีย์ก็เสียว ๆ สั่นระรัวริกแสรก

คานบันดาลพลิกพลัดลงจากพระอังสา ทั้งขอน้อยในหัตถา

ที่เคยถือ ก็เลื่อนหลุดลงจากมือไม่เคยเป็ นเห็นอนาถ เอ๊ะ

ประหลาดหลากแล้วไม่เคยเลย…”

คำถามชวนคิด

จากลางร้ายที่เกิดขึ้นกับมัทรีทั้ง 9 เหตุการณ์
สะท้อนอะไรเกี่ยวกับสังคมไทย

“…โอ้อกเอ๋ยมหัศจรรย์จริง ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ่ง ๆ
ราชสีห์
กรอมพระทัย เป็ นทุกข์ถึงพระลูกรักทั้งสอง
เสือโคร่ง
เสือเหลือง
คน เดินพลางนางก็รีบเก็บผลาผลแต่ตามได้

ใส่กระเช้าสาวพระบาทบทจรดุ่มเดินมาโดย

ด่วน พอประจวบจวนพญาพาฬมฤคราช
สะดุ้งพระทัยไหวหวาดวะหวีดวิ่งวนแวะเข้า

ข้างทาง พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดั่งตี

ปลา ทรงพระกันแสงโศกาไห้พิไรร่ำว่ากรรม

เอ๋ยกรรม…”

“…ทั้งเวลาก็เย็นลงเย็นลงไร ๆ จะค่ำแล้ว ยังไม่เห็นหน้าพระลูก

แก้วของแม่เลย อกเอ๋ยจะทำไฉนดี จึ่งจะได้วิถีทางที่จะครรไล

พระนางจึ่งปลงหาบคอนลงวอนไหว้แล้วอภิวาทน์
ข้าแต่พญาพาฬมฤคราชอันเรืองเดช
ท่านก็เป็ นพญาสัตว์ในหิมเวศวนาสณฑ์
จงผินพักตร์ปริมณฑลทั้งสามรา

มารับวันทนาน้ อมไปด้วยทศนัขเบญจางค์ …”

“…แห่งน้องนางนามชื่อพระมัทรีน้องก็กลายเป็ นกัลยาณี หน่อ

กษัตริย์มัททราชสุริยวงศ์ อนึ่งน้องเป็ นเอกองค์อัครบริจาริกากร

แห่งพระเวสสันดรราชฤๅษีอันจำจากพระบุรีมาอยู่ไพร น้องนี้ก็

ตั้งใจสุจริตติดตามมาด้วยกตเวที อนึ่งพระสุริยศรีก็ย่ำสนธยา

สายัณห์แล้ว เป็ นเวลาพระลูกแก้วจะอยากนมกำหนดเสวย พระเจ้า

พี่ของน้องเอ๋ยพระสามรา ขอเชิญกลับไปยังรัตนคูหาห้องแก้ว แล้ว

จะได้เชยชมซึ่ งลูกรักและเมียขวัญ อนึ่งน้องนี้จะแบ่งปันผลไม้ให้

สักกึ่ง ครึ่งหนึ่งน้องจะขอไปฝากพระหลานน้อย ๆ ทั้งสองรา…”

“…ส่วนเทพเจ้าทั้งสามองค์ ได้ทรงฟั ง ลุกขึ้น
พระเสาวนีย์ พระมัทรีเธอไหว้วอนขอ

หนทาง พระพักตร์นางนองด้วย

น้ำพระเนตร เทพพระเจ้าก็สังเวชในวิญญาณ ก็พากันอุฏฐาการ


คลาไคลให้มรคาแก่นางพระยามัทรีพอแจ่มแจ้งแสงศศิธรนางก็


ยกหาบคอนขึ้นใส่บ่าเปลื้องเอาพระภูษามาคาดพระถันให้


มั่นคงวิ่งพลางนางทรงกันแสงพลางยะเหยาะเหย่าทุกฝีย่างไม่


หย่อนหยุด…”

“…พักหนึ่งก็ถึงที่สุดบริเวณพระอาวาสที่พระลูกเจ้าเคยประพาสแล่น

เล่น ประหลาดแล้วแลไม่เห็นก็ใจหาย ดั่งว่าชีวิตนางจะวางวายลงทันที
จึ่งตรัสเรียนว่าแก้วกัณหาพ่อชาลีของแม่เอ่ย แม่มาถึงแล้วเหตุไฉน

พระลูกแก้วจึ่งมิมาเล่าหลากแก่ใจแต่ก่อนแต่ไรซิ พร้อมเพรียงเจ้าเคย

วิ่งระรี่เรียงเคียงแข่งกันมาคอยรับพระมารดาทรงพระสรวลสำรวลร่า

ระรื่นเริงรีบเอาขอคานแล้วก็พากันกราบกรานพระชนนี พ่อชาลีเจ้า

เลือกเอาผลไม้ แม่กัณหาฉะอ้อนวอนไห้ว่าจะเสวยนม ผทมเหนือ

พระเพลาพลางฉอเลาะแม่นี้ต่างๆ ตามประสาทารกเจริญใจ…”

เปรียบเทียบ แสดงให้เห็นถึงวิธี

เลี้ยงลูกของมัทรี

“…มีอุปไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนอง ปองที่ว่าจะชมแม่เมื่อ

สายัณห์ โอพระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ยากย่างเท้าลง

เหยียบดิน รินก็มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอมเจ้าเคยฟังแต่เสียงพี่เลี้ยงเขาขับ

กล่อมบำเรอด้วยดุริยางค์ ยามบรรทมธุลีลมก็มิได้พัดมาแผ้วพาน แม่สู้

พยาบาลบำรุ งเจ้าแต่เยาว์มา เจ้ามิได้ห่างพระมารดาสักหายใจ โอความ

เข็ญใจครั้งนี้นี่เหลือขาดสิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัวต้องไปหามาเลี้ยง

ลูกเลี้ยงผัวทุกเวลา แม่มาสละเจ้าไว้เป็ นกำพร้าทั้งสององค์…”

หงส์ทอง ต้นจิก

“…เสมือนหนึ่งลูกหงส์เหมราชปักษิน ปราศจากมุจลินท์ไปตกคลุกใน


โคลนหนอง สิ้นสีทองอันผ่องแผ้ว แม่กลับมาถึงแล้วได้เชยชมชื่น

สบาย ที่เหนื่อยยากก็เสื่อมหายคลายทุกข์ทุเลาลง ลืมสมบัติทั้งวงศาใน


วังเวียง โอแต่ก่อนเอยแม่เคยได้ยินแต่เสียงเจ้าเจรจาแจ้ว ๆ อยู่ตรงนี้

นั่นก็รอยเท้าพ่อชาลี นี่ก็บทศรีแม่กัณหาพระมารดายังแลเห็น โน่นก็

กรวดทรายเจ้ายังรายเล่นเป็ นกอง ๆสิ่งของทั้งหลายเป็ นเครื่องเล่นยัง

เห็นอยู่ แต่ลูกรักทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย…”

“…นางก็กลับเข้าไปทูลพระราชสามีด้วยสงสัยว่า พระพุทธเจ้าข้า

ประหลาดใจกระหม่อนฉัน อันสองกุมารไปอยู่ไหนไม่แจ้งเหตุ หรือ

พากันไปเที่ยวลับพระเนตรนอกตำแหน่ง สิงห์สัตว์ที่ร้ายแรงคะนอง

ฤทธิ์มาพานพบขบกัดตัดชีวิตพระลูกข้าพาไปกินเป็ นอาหาร ถึง

กระนั้นก็จะพบพานซึ่ งกเลวระร่าง มิเลือดก็เนื้อจะเหลืออยู่บ้างสักสิ่ง

อัน แต่พอแม่ได้รู้สำคัญว่าเป็ นหรือตาย สุดที่แม่จะมุ่งหมายสุด

ประมาณแล้ว…”

มัทรีถามพระเวสสันดร
ด้วยความสงสัย

เปรียบเทียบความรู้สึกเจ็บปวด

ของมัทรี จากการกระทำของ

พระเวสสันดร

“…บังคมทูลพระสามีก็มิได้ตรัสแต่สักนิดสักหน่อยหนึ่ง ท้าวเธอก็

ขึงขังตึงพระองค์ ดูเหมือนพระขัดเคืองเต็มเดือดด้วยอันใดนางก็เศร้า

สร้อยสลดพระทัย ดั่งเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บจิตนี่เหลือทน

อุปมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำยังแพทย์เอายาพิษมาวางซ้ำให้

เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไม่รอดไปสักกี่วัน พระคุณเอ่ยวาสนามัทรีไม่

สมคะเนแล้วพระทูลกระหม่อมแก้วจึ่งชิ งชังไม่พฤกษาลดาวัลย์ ย่อม

จะอาสัญลงเพรพูดจา…”

เปรียบเทียบความรู้สึก
เจ็บปวดของมัทรี
จากการที่ลูกหายไป

“…ทั้งลูกรักดังแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนา
อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเป็ น

เที่ยงแท้ ถ้าแม้นพระองค์ไม่ทรงเลี้ยงมัทรีไว้ จะนิ่งมัธยัสถ์ตัดเยื่อ

ใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่กเลวระร่างซากศพของมัทรี อัมโทรม

ตายกายกลิ้งอยู่กลางดง เสียเป็ นมั่นคงนี้แล้วแล…”

จุดประสงค์ ของพระ “…สมเด็จพระราชสมภาร

เวสสันดรคือต้องการ เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอ

ให้มัทรีหายเศร้า แล้ว แสนวิโยคโศกศัลย์สุดกำลัง

เปลี่ยนเป็ นโกรธแทน ถึงแม้นจะมิตรัสกับนางมั้ง

จะมิเป็ นการ จำจะเอา

โวหารการหึงเข้ามาหักโศก

ให้เสื่อมลง…”

“…เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองมาทาบทับ


ประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้ า ใครได้เห็น


เป็ นขวัญตาเต็มจะหลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณ์ ชายให้


เชยชื่น จะนั่งนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง

พร้อมด้วยเบญจางคจริตรู ปจำเริญ

โฉมประโลมโลกล่อแหลมวิไลลักษณ์ นักเรียนคิดว่าจากบท

ประกอบด้วยเชื้อศักดิ์สมมุติวงศ์ ประพันธ์น้ำเสียงของ


พงศ์กษัตรา …” พระเวสสันดร
เป็ นอย่างไร

ด่าให้หายเศร้า

“…เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่ าน่าสงสารปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้
ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาดแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง

ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา ทำเป็ น

บีบน้ำตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้แยบคายความคิดหญิงถ้าแม้น

เจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ เหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วัน

ไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจรนอนตามสนุกใจ ชมนกชมไม้

ในไพรวันสารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธ์วิทยาธรคนธรรพ์ เทพารักษ์

ผู้มีพักตร์อันเจริญ เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้ …”

พระเวสสันดรด่าว่ามัทรี
ด้วยการเปรียบเทียบ

“…หรือเจ้าปะผลไมประหลาด รสสดสุกทรามเสวยไม่เคยกิน เจ้า

ฉวยชิ มชอบลิ้นก็หลงฉันอยู่จึ่งช้ าอุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะ

ว่อนเที่ยวซับซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบดอกไม้อันวิเศษต้อง

ประสงค์ หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้าได้หน้า

แล้วลืมหลังไม่แลเหลียว…”

ไม่รอบคอบ ประมาท

“…พระพุทธเจ้าข้าควรมิควรสุดแท้แต่จะทรงพระกรุ ณาโปรดที่

โทษานุโทษเป็ นล้นเกล้า ด้วยข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเวลาค่ำ

ทั้งนี้เพราะเป็ นกระลีขึ้นในไพรวัน พฤกษาทุกสิ่งสารพันก็

แปรปรวนทุกประการ…”

มัทรีทูลความจริง
แก่พระเวสสันดร

“…ช่างค้อนติงปริภาษณาได้ลงคอ
มัทรีเปรียบเทียบ

ไม่คิดเลย พระคุณเอ่ยถึงพระองค์
ความจงรักภักดีที่ตน

จะสงสัยก็น้ำใจของมัทรีนี้กตเวที
มีต่อพระเวสสันดร

เป็ นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ทางที่ทดแทน
อุปมาแม้นเหมือนสีดาอันภักดีต่อ

สามีรามบัณฑิต ปานประหนึ่งว่า

ศิษย์กับอาจารย์…”

“…เมื่อสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี


กรายทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าวเธอ

จะได้ปราศรัยก็ไม่มี พระนางยิ่งหมองศรี

โศกกำสรดสะอึกสะอื้นถวายบังคมคืนออก


มาเที่ยวแสวงหาพระลูกรักทุกหนแห่ง

กระจ่างแจ้งด้วยแสงพระจันทร์ส่องสว่าง

พื้นอัมพรประเทศวิถีนางเสด็จจรลีไปหยุด


ยืนในภาคพื้นปริมณฑลใต้ต้นหว้า…”

“…อนิจจาเอ่ยเห็นแต่ไทรทองถัดกันไป กิ่งก้านใบราก

ห้อยยื่นระย้า เจ้าเคยมาห้อยโหนโยนชิงช้าชวนกันแกว่ง

ไกว แล้วเล่นไล่ปิ ดตาเร้นแทบหลังบริเวณพระอาวาส เจ้า

เคยมาประพาสสรงสนานในสระศรี โบกขรณี ตำแหน่งนอก

พระอาวาส นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ จึ่งตรัสว่าน้ำ

เอ๋ยเคยมาเปี่ยมขอบเป็ นไร จึ่งขอดขุ่นลงหมอง…”

มัทรีออกตามหาลูกบริเวณ

ที่ลูกเคยไปเล่น

“…นางก็เสด็จครรไลล่วงตำบลเที่ยวค้นหาพระ

ลูกตามลำเนาเนินป่ า ทุกสุ่มทุมพุ่มพฤกษา

สูงยูงยางใหญ่ไพรระหง พนัสแดนดงเย็นยะ

เยือกเงียบสงัดเหงา ได้ยินแต่เสียงดุเหว่า

ละเมอร้องก้องพนาเวศ พระกรรณเธอสังเกต

ว่าสองดรุ ณเยาวเรศเจ้าร้องขานอยู่แว่ว ๆให้

หวาดว่าสำเนียงพระลูกแก้วเจ้าขานรับ

พระมารดา นางเสด็จลีลาเข้าไปดู เห็นหมู่

สัตว์จตุบาทกลาดกลุ้มเข้าสุมนอนนางก็ยิ่ง

สะท้อนถอนพระทัยเทวษครวญเสด็จด่วน ๆ…”

บทอาขยาน

“…จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยมิดึกดื่นจวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้ว
กระไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิวอกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุด

ละห้อยทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้สุดที่แม่จะติดตามเจ้าไปในยามนี้

ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงีย

เหงาเงียบทุกรวงรังแต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศทั่วประเทศ

ทุกราวป่ า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทราบฟัง

สำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้องสุดฝีเท้าที่แม่จะเยื่องย่องยกย่างลง

เหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิดจะได้พานพบประสบรอย

พระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลยจึ่งตรัสว่าเจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแม่เอย

หรือว่าเจ้าทิ้งขว้างวางจิตไปเกิดอื่น เหมือนแม่ฝันเมื่อคืนนี้แล้วแล…”


Click to View FlipBook Version