สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล
สมัยรัตนโกสิ นทร์ตอนต้น
เสนอ
อาจารย์ชนกนาถ พูลสวัสดิ์
จัดทำโดย
1. นางสาวพรรษชล หมินหมัน รหัสนักศึ กษา 6241104001
2. นายณัฐกานต์ ลีงาล่าห์ รหัสนักศึ กษา 6241104004
3. นางสาวธนภรณ์ ขุนนา รหัสนักศึ กษา 6241104014
4. นางสาวจิรัชญา ดวงมุสิก รหัสนักศึ กษา 6241104019
5. นางสาวสุวนันท์ เมืองกลิ่น รหัสนักศึ กษา 6241104032
นักศึ กษาคณะครุศาสตร์ สาขาสังคมศึ กษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล
เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการเมืองการปกครองไทย รหัสวิชา 1161202 ปีการศึ กษา 2564
คำนำ
E-book เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่ งของวิชา
การเมืองการปกครองไทย เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ใน
เรื่อง รูปแบบการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ทั้งประวัติความเป็นมา และเหตุการณ์ยุคสมัยของสมัย
รัตนโกสินทร์ และได้ศึกษาอย่างเข้าใจ เพื่อเป็นประโยชน์
กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า E-book เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ กับผู้
อ่าน หรือนั กเรียน นั กศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้ อยู่
หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอ
น้ อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วย
สารบัญ
เรื่อง หน้ า
- อาณาจักรรัตนโกสินทน์ ตอนต้น กรุงรัตนโกสินทร์ 1
สมัยฟื้ นฟูบ้านเมือง รัชกาลที่ 1-3
- ลักษณะของราชธานี ใหม่ 2
- การปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น 3-4
- การปรับปรุงกฎหมาย
- การฟื้ นฟูเศรษฐกิจ 4
- การปรับปรุงการจัดเก็บรายได้ภายในประเทศเพิ่มเติม 5-6
- ผู้มีบทบาทสนั บสนุนการค้ากับต่างประเทศ
- การฟื้ นฟูด้านสังคมและวัฒนธรรม 7
- การควบคุมกำลังคน 8
- โครงสร้างชนชั้นของสังคมไทย 8
- บทบาทของชาวจีนในสังคมไทย 8
- การทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา 9
- การฟื้ นฟูขนบธรรมเนี ยมประเพณี วัฒนธรรม และศิลปกรรม 10
- ความสัมพันธ์กับประเทศใกล้เคียง 11-12
- การสงครามกับพม่า 13-14
- ความสัมพันธ์กับลาว 15
- ความสัมพันธ์กับล้านนาไทย 16
- ความสัมพันธ์กับเขมร 16
- ความสัมพันธ์กับญวน 17
- ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู 17
- ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก 18
- ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส 19
- ความสัมพันธ์กับอังกฤษ 20
- ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา 21
- การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาของประเทศตะวันตก 22
- อ้างอิง 23
- ภาคผนวก 24
1
อาณาจักรรัตนโกสิ นทร์
สมัยฟื้ นฟูบ้านเมือง รัชกาลที่ 1-3
(ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น พ.ศ.2325-2394)
การสถาปนากรุงเทพฯเป็นราชธานี เมื่อขึ้นครองราชย์ใน
พ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรด
เกล้าฯ ให้ย้ายราชธานี ใหม่จากกรุงธนบุรีมายังฝั่ งตะวันออก (ฝั่ งซ้าย
ของแม่น้ำเจ้าพระยา) และสร้างกรุงเทพฯเป็นราชธานี ขึ้น ณ ที่แห่งนี้
เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯทรงย้ายราชธานี
1.พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้ง 2 ด้าน
คือ วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดโมฬีโลกยาราม (วัดท้าย
ตลาด) จึงยากแก่การขยายพระราชวัง
2.ความไม่เหมาะสมด้านภูมิประเทศ เนื่ องจากฝั่ งตะวันตก หรือ
ราชธานี เดิมเป็นท้องคุ้ง อาจถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งพังได้ง่าย แต่ฝั่ งตะวัน
ออก (กรุงเทพฯ) เป็นแหลมพื้นดินจะงอกขึ้นเรื่อย ๆ
3.ความเหมาะสมต่อการขยายเมืองในอนาคต พื้นที่ฝั่ งตะวัน
ออกเป็นที่ราบลุ่มกว้างขวางสามารถขยายตัวเมืองไปทางเหนื อและ
ตะวันออกได้
4.กรุงธนบุรีไม่เหมาะทางด้านทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ กล่าวคือ
มีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลาง เปรียบเสมือนเมืองอกแตก เมื่อใดที่ข้าศึก
ยกทัพมาตามลำแม่น้ำก็สามารถตีถึงใจกลางเมืองได้โดยง่าย
2
ลักษณะของราชธานี ใหม่
กรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ใหม่ของไทย สร้างขึ้นโดยเลียนแบบ
กรุ งศรีอยุธยากำหนดพื้นที่เป็นสามส่ วนคือ
1.บริเวณพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย วังหลวง วังหน้ า วังใน
พระบรมมหาราชวัง (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) และรวมทั้งทุ่งพระเมรุ
(ท้องสนามหลวง)
2.บริเวณที่อยู่อาศัยภายในกำแพงเมือง อาณาเขตกำแพงเมืองประตู
เมืองและป้อมปราการ สร้างขึ้นตามแนวคลองรอบกรุง ได้แก่ คลองบาง
ลำพู และคลองโอ่งอ่าง
3.บริเวณที่อยู่อาศัยภายนอกกำแพงเมือง เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มี
บ้านเรือนราษฎรตั้งอยู่ด้านนอกของคลองรอบกรุง มีคลองขุดในรัชกาล
ที่ 1 คือคลองมหานาค
การปกครองในสมัยรัตนโกสิ นทร์ตอนต้น
ในสมัยรัชกาลที่ 1-3 พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดใน
การปกครองประเทศ การจัดระเบียบการปกครองยังคงยึดถือตามแบบ
อย่างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีดังนี้
1.การปกครองส่วนกลาง มีเสนาบดีทำหน้ าที่บริหารราชการ ได้แก่
1.1 สมุหกลาโหม มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ทั้งทหาร
และพลเรือนมียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยามหาเสนา ใช้ตราคชสีห์
เป็นตราประจำตำแหน่ ง
1.2 สมุหนายก มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนื อ ทั้งกิจการ
ทหารและพลเรือนมียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยาจักรี หรือเจ้าพระยา
บดินทร์เดชานุชิต ใช้ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ ง
1.3 เสนาบดีจตุสดมภ์ เป็นตำแหน่ งรองลงมา ประกอบด้วย
(1) กรมเวียง หรือกรมเมือง เสนาบดี คือ พระยายมราช
มีหน้ าที่ดูแลกิจการทั่วไปในพระนคร
(2) กรมวัง เสนาบดี คือ พระยาธรรม มีหน้ าที่ดูแล
พระราชวังและตั้งศาลชำระความ
(3) กรมคลัง หรือกรมท่า เสนาบดี คือ พระยาราชภักดี,
พระยาศรีพิพัฒน์ หรือพระยาพระคลัง มีหน้ าที่ด้านการเงิน การคลัง และ
การต่างประเทศ
(4) กรมนา เสนาบดี คือ พระยาพลเทพ มีหน้ าที่ดูแลไร่นา
หลวง และเก็บภาษีข้าว
3
2. การปกครองส่วนภูมิภาค หรือการปกครองหัวเมือง
2.1 หัวเมืองฝ่ายเหนื อ (รวมทั้งหัวเมืองอีสาน) อยู่ในความรับผิด
ชอบของสมุหนายก หั้วเมืองฝ่ายเหนื อแบ่งตามฐานะตามระดับความสำคัญ
ดังนี้
(1) หัวเมืองชั้นใน (หัวเมืองจัตวา) อยู่ไม่ห่างไกลจากราชธานี มี
เจ้าเมืองหรือ“ผู้รั้ง”เป็นผู้ปกครอง
(2) หัวเมืองชั้นนอก (เมืองชั้นตรี โท เอก) มีขุนนางชั้นสูงหรือ
พระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้ปกครอง ได้แก่ เมืองพิษณุโลก นครสวรรค์
พิจิตร ฯลฯ
2.2 หัวเมืองฝ่ายใต้ ขึ้นสังกัดสมุหกลาโหม นั บตั้งแต่เมือง
เพชรบุรีลงไป จนถึงนครศรีธรรมราช ไชยา พังงา ถลาง และสงขลา
เป็นต้น มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นนอกทั้งสิ้น
2.3 หัวเมืองชายฝั่ ทงทะเลตะวันออกของอ่าวไทย เป็นหั้วเมือง
ชั้นนอก ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ สาครบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี
ฯลฯ อยู่ในความรับผิดชอบของพระคลัง หรือกรมท่า
4
3.การปกครองประเทศราช
3.1 ฐานะของประเทศราช คือ เมืองของชนต่างชาติต่างภาษา มี
กษัตริย์ของตนเองเป็นผู้ปกครอง มีหน้ าที่ต้องส่งเครื่องราช
บรรณาการมาถวายตามกำหนด และส่งทหารมาช่วยเมื่อเมืองหลวงมี
ศึกสงคราม
3.2 ประเทศราชของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีทั้งดินแดน
ล้านนา ลาว เขมร และหั้วเมืองมลายู ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงแสน หลวง
พระบาง เวียงจันทร์ จำปาศักดิ์ เขมร ปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน ฯลฯ
การปรับปรุ งกฎหมาย
1. กฎหมายตราสามดวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
โปรดเกล้าฯให้รวบรวมและชำระกฎหมายเก่าที่ใช้กันมาตั้งแต่ครั้งกรุง
ศรีอยุธยา และคักลอดไว้ 3 ฉบับ ทุกฉบับประทับตราคชสีห์ ตรา
ราชสีห์ และตราบัวแก้ว จึงเรียกว่ากฎหมายตราสามดวง
2.กฎหมายตราสามดวง หรือประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 ใช้เป็น
หลักปกครองประเทศมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนที่ จะมีการปฏิรูป
กฎหมายไทยและการศาลให้เป็นระบบสากล
5
การฟื้ นฟูเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเริ่มฟื้ นตัวในตอน
ปลายรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา และเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยรัชกาล
ที่ 3ผลผลิตทางการเกษตรและการค้าทางเรือสำเภากับต่างประเทศ
ขยายตัวขึ้นมาก รายได้ของประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มี
ที่มา 2 ทางดังนี้
1. รายได้จากการค้ากับต่างประเทศ มี 5 ประเภทได้แก่
1.1 การค้าสำเภาหลวง เป็นรายได้หลักที่สำคัญของสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้นโดนพระคลังสินค้า (หน่ วยงานของรัฐ ขึ้นอยู่กับ
กรมคลัง หรือกรมท่า) ทำหน้ าที่แต่งเรือสำเภาหลวงบรรทุกสินค้าไป
ขายยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศจีน รองลงมา คือ ชวา มลายู
และอินเดีย
1.2 กำไรจากการผูกขาดการค้า เป็นรายได้ของรัฐที่ทมีมาตั้งแต่
สมัยอยุธยาโดยพระคลังสินค้า เป็นผู้ควบคุมการซื้อขายสินค้าผูกขาด
และสินค้าต้องห้าม หรือทำหน้ าที่เป็นคนกลางระหว่างพ่อค้าไทยกับ
พ่อค้าชาวต่างประเทศ
(1) สินค้าผูกขาด คือ สินค้าที่รัฐ (พระคลังสินค้า) เป็นผู้
ซื้อขายแต่เพียงผู้เดียวเพื่อความมั่นคงของประเทศ ห้ามมิให้ราษฎรซื้อ
ขายสินค้าประเภทนี้ ได้แก่ อาวุธปืน กระสุนปืน ดินปะสิว
(2) สินค้าต้องห้าม คือ สินค้าที่หายาก มีราคาแพง และ
เป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เช่น งาช้าง รังนก หนั งกวาง และไม้
ฝาง ราษฎรไทยต้องนำมาขายให้แก่ทางราชการก่อน มิให้นำไปขายให้
พ่อค้าต่างประเทศโดยตรง
(3) อำนาจของพระคลังสินค้า พระคลังสินค้ามีอำนาจ
เลือกซื้อสินค้าจากเรือสำเภาชาวต่างประเทศได้ก่อนพ่อค้าเอกชน เรียก
ว่า การเหยียบหัวตะเภา เช่น เครื่องแก้ว พรม ผ้าแพร ฯลฯ สำหรับ
สินค้าต้องห้าม พ่อค้าไทยกับพ่อค้าขายต่างประเทศจะซื้อขายกั้น
โดยตรงไม่ได้ แต่ต้องซื้อขายผ่านพระคลังสินค้า ซึ่งททำกำไรให้รัฐ
อย่างมากในฐานะพ่อค้าคนกลาง
6
1.3 ภาษีปากเรือหรือ ภาษีเบิกร่อง เป็นค่าธรรมเนี ยมซึ่งเก็บ
จากเรือสินค้าของชาวต่างประเทศที่เข้ามาจอดเทียบท่าในไทย โดยเก็บ
ตามขนาดความกว้างของปากเรือ (หรือส่วนกว้างที่สุดของเรือ) คิด
อัตราภาษีเป็นวา เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 เก็บจากเรือสินค้าอังกฤษวา
ละ 1700 บาท เป็นต้น
1.4 ภาษีสินค้าขาเข้า เรียกเก็บจากพ่อค้าชาวต่างประเทศที่นำ
สินค้าเข้ามาขายในไทย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 2 เรียกเก็บจากพ่อค้าชาติ
ตะวันตกร้อยละ 8 ของราคาสินค้าเป็นต้น
1.5 ภาษีสินค้าออก เรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกในอัตราที่แตก
ต่างกันตามประเภทของสินค้า เช่น ข้าวสาร หาบละ 1 สลึง และน้ำตาล
หาบละ 2 สลึงเป็นต้น
2.รายได้ภายในประเทศ
เป็นรายได้ของรัฐที่ได้จากภาษีอากรภายในประเทศและมีมา
ตั้งแต่สมัยอยุธยา มี 4 ประเภท คือ
2.1 จังกอบ คือ ภาษีค่าผ่านด่าน เรียกเก็บจากพ่อค้าที่นำสินค้า
บรรทุกใส่ยานพาหนะและเดนทางผ่านด่านขนอน (ที่ตั้งเก็บภาษี) ทั้ง
ทางบกและทางน้ำ ในอัตรา 10 หยิบ 1
2.2 อากร คือ ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎรในการประกอบ
อาชีพต่างๆ เช่น อากรสวน อากรต้มกลั่นสุรา อากรค่าน้ำ (การจับสัตว์
น้ำ) และอากรค่ารักษาเกาะ (การเก็บไข่เต่าและรังนก) เป็นต้น
2.3 ส่วย คือ สิ่งของหรือเงินที่ราษฎรนำมาทดแทนแรงงานหรือ
ทดแทนการเข้าเวรรับราชการ ถ้าเป็นสิ่งของได้แก่ ดีบุก พริกไทย มูล
ค้างคาว ฯลฯ
2.4 ฤชา คือ ค่าธรรมเนี ยมที่ทางราชการเรียกเก็บจากราษฎร
เป็นค่าบริการที่ทางราชการจัดทำให้ เช่น การออกโฉนดที่ดิน หรือ
เงินค่าปรับไหมที่ฝ่ายแพ้คดีจะต้องจ่ายให้แก่ฝ่ายชนะ ซึ่งรัฐจะเก็บครึ่ง
หนึ่ งเป็นค่าฤชา
7
การปรับปรุ งการจัดเก็บรายได้ภายในประเทศเพิ่ มเติม
การจัดเก็บภาษีอากร ประเภทจังกอบ อากร ส่วย และฤชา เป็น
รายได้ภายในประเทศที่มีมาตั้งแต่สมันอยุธยา ครั้นในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการปรับปรุงการจัดเก็บรายได้ภายในประเทศ
เพิ่มเติมดังนี้
1. เงินค่าผูกปี้ ข้อมือจีน เป็นเงินที่ชาวจีนต้องเสียเพื่อทดแทน
การถูกเกณฑ์แรงงานเริ่มมีตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 2 (คนละ 1.50 บาท
ต่อ 3 ปี) ผู้เสียค่าราชกาลดังกล่าวแล้วจะได้รับการผูกปี้ ข้อมือด้วยไหมสี
แดง
2. เงินค่าราชการ เป็นเงินที่ไพร่หรือราษฎรชายชาวไทยต้องจ่าย
แทนการเข้าเวรรับราชการ (แต่เดิมจ่ายเป็นสิ่งของ แทนการถูกเกณฑ์
แรงงาน เรียกว่า ไพร่ส่วย) ในสมใยรัชกาลที่ 3 กำหนดให้จ่ายตนละ เ8
บาทต่อปี ซึ่งเป็นผลดีต่อราษฎร ทำให้มีเวลาประกอบอาชีพส่วนตัวมาก
ขึ้น
3. การเดินสวน เดินนา คือ การแต่งตั้งเจ้าหน้ าที่ออกไปสำรวจ
ที่นาและที่สวนของราษฎรเพื่อเตรี่ยมจัดเก็บค่าอากรสวน อาการนาใน
แต่ละปี ในสมัยรัชกาลที่ 2 ค่าอากรมิได้เก็บเป็นเงินแต่เก็บเป็นข้าว
เปลือกแทน ที่เรียกว่า “หางข้าว”
4. ระบบเจ้าภาษีนายอากร เป็นระบบการจัดเก็บภาษีอากรที่มีใน
สมัยรัชกาลที่ 3 โดยทางราชการใช้วิธีเปิดประมูลตำแหน่ งเจ้าภาษีใน
ท้องที่หนึ่ งๆ เอกชนผู้ได้รับตำแหน่ งจะเป็นตัวแทนของทางราชการใน
การผูกขาดการเก็บภาษีอากรต่างๆจากราษฎรในท้องที่นั้ นๆรายได้
ส่วนหนึ่ งส่งให้ทางราชการ และส่วนที่เหลือเป็นผลกำไรของเจ้าภาษี
ข้อเสียของระบบเจ้าภาษีนายอากร ผู้ประมูลตำแหน่ างเจ้าภาษี
นายอากรได้ ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวจีน มักขูดรีดภาษีประเภทต่างๆ
จากราษฎรมากเกินไป ทำให้ราษฎรเดือดร้อน ต่อมาถูกยกเลิกไปใน
สมัยรัชกาลที่ 4
8
ผู้มีบทบาทสนั บสนุนการค้ากับต่างประเทศ
1. พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เสนาบดีกรมท่า (กรมพระคลัง)
ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีบทบาทส่งเสริมการค้าทางเรือสำเภากับต่างประเทศ
โดยเฉพาะกับประเทศจีน จนได้รับขนานนามว่า “เจ้าสัว”
2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์
เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่ งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงให้การสนั บสนุน
การฟื้ นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างจริงจัง เป็นผลให้การค้าขายกับต่าง
ประเทศขยายตัวอย่างกว้างขวางกว่า 2 รัชกาลแรก
การฟื้ นฟูด้านสังคมและวัฒนธรรม
สภาพสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนิ นชีวิตของผู้คน ยังคงลักษณะที่คล้ายกับการดำเนิ นชีวิตของคน
ไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยพยายามรักษารูปแบบทางวัฒนธรรม ประเพณี
เดิมในสมัยอยุธยาไว้
2. ประชาชนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในสังคมชนบท มีลักษณะเป็นสังคม
เกษตรกรรม ครอบครัวคนไทยเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ มีสมาชิกใน
ครอบครัวมากและยึดระบบอาวุโส
3. ความแตกต่างในฐานะของบุคคลในสังคม มีการแบ่งชนชั้น เช่นเดียวกับ
สมัยอยุธยาเรียงตามลำดับ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ไพร่
และทาส สำหรับพระสงฆ์ถือว่าเป็น ชนชั้นพิเศษ ได้รับการเคารพนั บถือ และ
สามารถเปลี่ยนแปลงเข้าออกได้ง่ายกว่าชนชั้นอื่นๆ
การควบคุมกำลังคน
1. การควบคุมกำลังคนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงอาศัยระบบไพร่
สมัยอยุธยาเป็นพื้นฐาน เนื่ องจากเมื่อแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ใหม่ๆ ต้อง
ประสบปัญหาการขาดแคลนกำลังคนเป็นอย่างมาก เพื่อใช้ป้องกันบ้านเมือง
และการก่อร่างสร้างราชธานี แห่งใหม่ การควบคุมกำลังคนโดยใช้ระบบไพร่จึง
มีความสำคัญมาก
2. ระบบไพร่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลดการควบคุมที่เข้มงวดลง
เนื่ องจากการค้ากับต่างประเทศขยายตัว ความจำเป็นต้องให้แรงงานมีเวลา
ประกอบอาชีพอิสระเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิตภาคเกษตรกรรม
สำหรับการส่งออก การเกณฑ์แรงงานไพร่จึงลดเวลาลง เช่น สมัยรัชกาลที่ 2
ลดเหลือเพียงปีละ 3 เดือนเท่านั้ น
9
โครงสร้างชนชั้นของสั งคมไทย
ในสมัยรัตนโกสิ นทร์ตอนต้นโครงสร้างชนชั้นของสั งคมไทยยังคงคล้าย
กับสมัยอยุธยา ประกอบด้วย 2 ชนชั้นใหญ่ๆ คือชนชั้นปกครอง (พระมหา
กษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ) และชนชั้นผู้อยู่ใต้
ปกครอง(ไพร่และทาส) ซึ่งแบ่งการพิจารณาเป็น 5 ชนชั้นโดยละเอียด
ดังนี้
1 . พระมหากษัตริย์ เป็นชนชั้นสูงสุดของสังคมไทย แต่บทบาทของพระมหา
กษัตริย์ในสมัยนี้ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราษฎร
มากขึ้น ลักษณะของความเป็นเทวราชาตามคติความเชื่อของศาสนาพรามณ์
ลดลงและมีลักษณะเป็นธรรมราชาตามหลักพรพุทธศาสนาเข้าแทนที่ เช่น
รัชกาลที่ 2 ทรงห้ามทหารยิงลูกตาราษฎรที่มองพระมหากษัตริย์ขณะเสด็จ
พระราชดำเนิ นผ่าน
รัชกาลที่ 3 โปรดฯให้ราษฎรตีกลองถวายฎีการ้องทุกข์ได้
2. พระบรมวาศานุวงศ์ หรือ เจ้านาย เป็นชนชั้นที่สืบเชื้อสายจากรพมหา
กษัตริย์ ตำแหน่ งของพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่
มีอำนาจรองลงมาจากพระมหากษัตริย์คือ กรมพระราชวังบวรสถาน
มงคล(วังหน้ า) ซึ่งเป็นตำแหน่ งมหาอุปราช
3. ขุนนาง หรือข้าราชการ ทำหน้ าที่บริหาราชการและควบคุมราษฎรแทน
พระมหากษัตริย์
4. ไพร่ คือ ราษฎรชาวไทย ทั้งชายและหญิง เป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุด
ในสังคมไทย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และต้องถูกเกณฑ์
แรงงานหรือเข้าเวรรับราชการ
5. ทาส เป็นชนชั้นต่ำสุดของสังคม ไม่มีอิสระภาพ ต้องทำงานให้นายเงิน
ของตนแต่ไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้ารับราชการเหมือนไพร่
10
บทบาทของชาวจีนในสั งคมไทย
ใ นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นชาวจีนอพยพเป็นชนกลุ่มน้ อยในสังคมไทยมี
บทบาทสำคัญดังนี้
1 . อาชีพส่วนใหญ่ของชาวจีน คือ การค้าขาย ทางราชการให้การสนั บสนุน
ทั้งการค้าขายภายในราชอาณาจักรและการค้ากับต่างประเทศ โดยให้สิทธิ
เดินทางและตั้งถิ่นฐานได้ทั่ว พระราชอาณาจักร และไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน
ชาวจีนจึงเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในสมัยรัตนโกสิ นทร์
ตอนต้นอย่างมาก
2 . ชาวจีนมีความสามารถในการสะสมทุนทรัพย์และความมั่งคั่งทาง
เศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จึงมีความสัมพันธ์กับเจ้านายและขุนนางไทย ใน
ลักษณธอุปถัมภ์เกื้อกูลผลประโยชน์ กัน เช่น การได้รับการแต่งตั้งให้เป็น
เจ้าภาษีนายอากร หรือการเกี่ยวดองเป็นเครือญาติโดยการสมรส ทำให้
ฐานะทางสั งคมของคนจีนสูงขึ้น
11
การทะนุบำรุ งพระพุทธศาสนา
ใ นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงสนพระทัย
ทะนุบำรุงกิจการพระศาสนาให้รุ่งเรือง นั บเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญของ
ยุคสมัยนี้ สรุปได้ดังนี้
1. การสังคายนาพระไตรปิฎก ใน พ.ศ.2331 รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯให้ชำระ
สะสางคัมภีร์พระไตรปิฎก จัดหมวดหมู่พระธรรมวินั ยให้เป็นระเบียบและให้
จารึกลงใบลาน คัดลอกเป็นพระไตรปิฎกฉบับหลวง เรียกว่า พระไตรปิฎก
ฉบับทองใหญ่ หรือฉบับทองหีบ
2. การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์และกวดขันพระธรรมวินั ย รัชกาลที่
1 โปรดเกล้าฯให้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองสงฆ์ขึ้นหลายฉบับ ช่วยให้
ความวุ่นวาย สับสน และแตกแยกความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ ซึ่งมีมาตั้งแต่
ปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้สิ้นสุดลงและในสมัยรัชกาลที่ 2 โปรด
เกล้าฯให้กวดขันความประพฤติของพระสงฆ์ ถ้ารูปใดย่อหย่อนในพระธรรม
วินั ยก็ให้จับสึกเสีย
3.การส่งสมณฑูตไปลังกา ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีการแลกเปลี่ยนสมณฑูต
ไทยกับลังกา เพื่อตรวจสอบกิจการของพระศาสนาทั้งสองฝ่าย มีการนำหน่ อ
พระศรีมหาโพธิ์จากลังกา 6 ต้น มาปลูกในไทย และในสมัยรัชกาลที่ 3 พระ
สงฆ์ไทยได้เดินทางไปตรวจสอบพระไตรปิฎหฉบับของลังกา เพื่อชำระแก้ไขให้
ถูกต้องตรงกัน
4.การสถาปนาธรรมยุตินิ กาย ในสมัยรัชกาลที่ 3 สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ
(รัชกาลที่4)ได้เสด็จออกผนวชและศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉานได้ทรง
ประกาศตั้งฝ่ายคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ เรียกว่าฝ่ายธรรมยุตินิ กาย เมื่อ พ.ศ.2372
ส่วนคณะสงฆ์ที่มีอยู่เดิม เรียกว่า ฝ่ายมหานิ กาย ซึ่งยังคงมีอยู่ถึงปัจจุบัน
12
5. การสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์วัด รัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หรือ รัชกาลที่ 3 มีการสร้าง และ ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่ารงๆ รวมถึง 53
วัด มากกว่าในรัชกาลก่อนๆเนื่ องจากเศรษฐกิจดี
5.1วัดพระศรีรัตนศาสดาราม รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้สฯให้สร้างขึ้น เป็น
วัดในเขต พระบรมมหาราชวัง และเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต
5.2วัดสุทัศน์ เทพวราราม สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 เช่นเดียวกัน เป็นที่
ประดิษฐานของ พระศรีศากยมุนี หรือ พระโต
5.3วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นวัดเก่า มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ 2
ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 1 และ รัชกาลที่ 3 เป็นที่รวบรวมสรรพวิชาแขนงต่างๆ
ทั้งวิชาแพทย์แผนโบราณ ยาแก้โรคตำราหมอนวด และบทกวีนิ พนธ์ต่างๆ
โดยจารึกไว้บนแผ่นศิลาตามเสา และผนั งรอบบริเวณวัด เพื่อให้ประชาชน
ศึกษาค้นคว้า วัดพระเชตุพนฯ จึงได้ชื่อว่าเป็นวิทยาลัยแก่งแรกของไทย
5.4วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดเก่าที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา รัชกาลที่ 2
โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะและสร้างพระอุโบสถใหม่ มีพระปรางค์องค์ใหญ่ที่มี่
ความสวยงามเป็นที่เลื่องลือมาจนถึงปัจจุบัน
13
การฟื้ นฟูขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และศิ ลปกรรม
1 .การฟื้ นฟูความเจริญรุ่งเรืองสมัยรัตนโกสินทร์ให้เทียบเท่ากรุงศรีอยุธยา
รัชกาลที่ 1-3 ทรงมีพระราโชบายที่จะสร้างกรุงเทพฯ ราชธานี แห่งใหม่ให้ใหญ่
โตสวยงามเช่นเดียวกับกรุงเก่า เพื่อธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย
ให้เป็นมรดกแก่คนรุ่นหลัง
1.1การสร้างพระราชวังและวัดวาอารามได้ยึดถือตามแบบอย่าง
สถาปัตยกรรมในสมัยอยุธยาใช้แผนผังพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยาเป็น
หลัก
1.2ประเพณี การสร้างวัดในเขตพระบรมมหาราชวังคือวัดพระศรีรัตน
ศาสดารามทำนองเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่กรุงศรีฯใช้ประกอบพระราช
พิธีทางศาสนา โดยไม่มีพระสงฆ์ จำพรรษา
2. การฟื้ นฟูพระราชพิธีต่างๆที่เคยมีมาในสมัยอยุธยา ที่สำคัญ ได้แก่ พระราชพิธี
บรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์ สัตยา
พระราชพิธีพืชมงคลพระราชพิธีตรียังปวาย(โล้ชิงช้า)และพระราชพิธีวิสาขบูชา
เป็นต้น
3 .งานสถาปัตยกรรมมีความเจริญรุ่งเรืองสวยงามประณีตเสมอกับสมัยกรุง
ศรีอยุธยา ได้แก่
3.1พระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
3.2วัดประจำองค์พระมหากษัตริย์ ได้แก่ วัดพระเชตุพนฯ (รัชกาลที่ 1) วัด
อรุณราชวราราม (รัชกาลที่ 2) และวัดราชโอรสฯ(รัชกาลที่ 3)
14
4. งานศิลปกรรมแขนงอื่นๆ เป็นผลงานของ”ช่างสิบหมู่” เช่น เครื่อง
ราชูปโภคขององค์พระมหากษัตริย์ เรือพระที่นั่ งสุพรรณหงส์ ราชรถ ตู้
พระไตรปิฏกลายรดน้ำ และเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ ฯลฯ
5. งานจิตกรรม งานจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงเลียน
แบบสมัยอยุธยา ดังจะเห็นได้จากภาพวาดในพระอุโบสถหรือพระวิหาร
ของวัดวาอารามต่างๆ ซึ่งมักเป็นภาพเทพชุมนุม ภาพพุทธประวัติ หรือ
ทศชาติชาดก เป็นต้น
5.1 งานจิตกรรมมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 3 มี
ผลงานปรากฏอยู่มาก แต่จะมีอิทธิพลของศิลปะจีนแทรกเข้ามา เนื่ องจาก
มีการค้าขายติดต่อกับจีนตลอดรัชกาล
5.2 จิตรกรเอกสมัยรัชกาลที่ 3 คือ หลวงวิจิตรเจษฎา (ครูทองอยู่)
และ คงแป๊ะ (ครูคง) มีผลงานปรากฎที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดอรุณ
ราชวราราม วัดสุทัศน์ เทพวรารามปละวัดบางยี่ขัน
6. นาฏศิลป์และดนตรีไทย มีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 2
เพราะ ทรงเป็นกวีและศิลปิน จึงทรงพระทัยให้การทะนุบำรุงอย่าง
จริงจัง
7. งานส่งเสริมวรรรณกรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราชสำนั กมี
ฐานะเป็นศูนย์กลางชุมนุมวรรณกรรมและกวี มีทั้งองค์พระมหากษัตริย์
เจ้านาย และกวีสามัญชน เช่น รัชกาลที่ 2 และสุนทรภู่ เป็นต้น ซึ่งมีผล
งานทั้งบทละคร เสภา นิ ราศ กาพย์ และกลอน
15
ความสั มพันธ์กับประเทศใกล้เคียง
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศใกล้เคียง ในสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนต้นมีปรากฏหลักฐานเป็น 3 ลักษณะดังนี้
1. ความสัมพันธ์ในฐานะเป็นมิตรไมตรีต่อกัน
ประเทศที่เป็นมิตรต่อไทย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ จีน มี
ความสัมพันธ์ทางด้านการค้า ฝ่ายไทยส่งเครื่องราชบรรณการไปถวาย
กับพระเจ้ากรุงจีน เพื่อให้จีนอำนวยความสะดวกทางด้านการค้า ฝ่าย
ไทยส่งเครื่องราชบรรณการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน เพื่อให้จีนอำนวย
ความสะดวกทางการค้าให้ ที่เรียกว่า “จิ้มก้อง” การค้าทางเรือสำเภา
ระหว่างประเทศทั้งสองดำเนิ นไปด้วยดีตลอดมา
2. ความสัมพันธ์ในฐานะเป็นคู่สงครามกัน
2.1 พม่า ในสมัยรัตนโกสินทร์ ไทยกับพม่าทำสงครามกันถึง 10
ครั้ง ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยกับพม่า คือ สงครามเก้าทัพ
พ.ศ.2328
2.2 ญวน ไทยกับญวนทำสงครามยื้ดเยื้อเป็นเวลานานถึง 14 ปีโดยมี
สาเหตุเกิดจากการแข่งขันขยายอำนาจในดินแดนเขมร
3. ความสัมพันธ์ที่มีต่อประเทศราช
3.1 เขมร ไทยได้ปกครองเขมรเป็นประเทศราชตั้งแต่ในสมัย
รัชกาลที่ 1
3.2 ลาว ในสมัยรัชกาลที่ 1 และ รัชกาลที่ 2 ไทยปฏิบัติต่อลาว
อย่างเป็นมิตรในฐานะพี่บ้านเมืองน้ อง
3.3 ล้านนา รัชกาลที่ 1 ทรงดำเนิ นนโยบายปกครองล้านนา
อย่างเป็นมิตรเพื่อผูกใจให้จงรักภักดีต่อกรุงเทพ ฯ
3.4 หัวเมืองมลายู ในสมัยรัชกาลที่ 1 ไทยต้องยกย่องกองทัพไป
ปราบปรามหัวเมืองมลายูที่ตั้งแข็งเมืองเป็นอิสระ
16
การสงครามกับพม่า
1.ในสมัยรัตนโกสินทร์ ไทยกับพม่าทำสงคราม รวมทั้งสิ้น
10 ครั้ง เฉพาะในรัชกาลที่ 1มีถึง 7 ครั้ง
2.สงครามระหว่างไทยกับพม่าครั้งสำคัญคือ สงคราม 9 ทัพ
พ.ศ. 2328 โดยพม่ายกทัพมาถึง9ทัพ
3.ผลของสงคราม 9 ทัพ ส่งผลทางด้านจิตวิทยาทำให้คน
ไทยเลิกกลัวพม่า ทหารและประชาชนมีขวัญกำลังใจดี มีความเชื่อ
มั่นในตัวผู้นำและมีความกล้าหาญในการสู้ กับพม่า
4.สงครามท่าดินแดง พ.ศ. 2329 เป็นสงครามระหว่างไทย
พม่าที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ ง โดยพระเจ้าปะดุงต้องการแก้ตัวจากการ
ปราชัยในคราวสงคราม 9 ทัพ
5.สงครามไทยกับพม่าสิ้นสุดลงในสมัยรัชกาลที่ 3 เนื่ องจาก
พม่ามีกรณี พิพาทเรื่องพรมแดนกับอังกฤษและเกิดสงคราม
ระหว่าง พ.ศ.2367-2369
ความสั มพันธ์กับลาว
1. ลาวมีฐานะเป็นประเทศราชของไทย ในสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนต้น อาณาจักรหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ ตก
อยู่ในอำนาจของไทยโดยเจ้าเมืองลาวทั้งสามพยายามแยกตัวเป็น
อิสระ
2. กบฏเจ้าอนุวงค์ พ.ศ. 2369 ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีข่าวลือว่า
อังกฤษเตรียมจะทำสงครามกับไทย เข้าอนุวงค์แห่งนครเวียน
จันทน์ จึงฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาตีในไทยทางหัวเมืองภาคอีสาน
ขณะที่เดินทัพมาถึงนครราชสี มา
17
ความสั มพันธ์กับล้านนาไทย
1. หัวเมืองล้านนาไทยเป็นประเทศราชของไทยมาตั้งแต่ใน
สมัยกรุงธนบุรี ได้แก่ เมืองเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ฝาน น่ าน และ
เชียงแสน พม่าจะใช้ล้านนาเป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหารหรือฐาน
ที่มั่นในการรุกรานในไทย
2. การดำเนิ นนโยบายผูกความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับล้าน
นาไทย รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยากาวิละ เป็น
พระเจ้าเชียงใหม่ มีความสัมพันธ์เสมือนหนึ่ งเป็นพระญาติของรา
ชวงค์จักรี
ความสั มพันธ์กับเขมร
1. เขมรเป็นประเทศราชของไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 สภาพ
การเมืองภายในของเขมรมักประสบปัญหาความยุ่งยากอันเกิดจาก
การแย่งชิงอำนาจในหมู่เจ้านายเขมรอยู่
2. เขมรเริ่มตีตัวออกห่างไทยในสมัย รัชกาลที่ 2 ในรัชกาลที่
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เขมรมีปัญหาขัดแย้ง
กันเอง กรุงเทพฯจึงจึงส่งกองทัพเข้าไปรักษาสถานการณ์
3. เขมรยังตกอยู่ในอำนาจของไทย ในสมัยรัชกาลที่ 3 นั กอง
ด้วง ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายไทยให้เป็น สมเด็จพระหริรักษ์
รามาธิบดี พระเจ้ากรุงกัมพูชา ใน พ.ศ.2391
18
ความสั มพันธ์กับญวน
1. ไทยกับญวนแข่งขันกันขยายอำนาจในเขมร มีการทำ
สงคราม 3 ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยืดเยื้อกินเวลานานถึง 14 ปี
(พ.ศ. 2376 – 2388) เป็นสงครามในแผ่นดินเขมรทั้งหมด
2. รัชกาลที่ 2 ทรงอุปการะองเชียงสือ เนื่ องจากเกิดกบฏไก
เซินขึ้นในดินแดนญวน รัชกาลที่ 1 โปรด ฯ ชุบเลี้ยงไว้ และส่ง
กองทัพไปช่วยปราบปรามกบฏ 2 ครั้ง (พ.ศ. 2326 – 2327) แต่ไม่
สำเร็จ
3. องเชียงสือ หลบหนี ออกจากกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2327
และกลับไปกู้บ้านเมืองได้สำเร็จใน พ.ศ.2345 ดดยได้รับการ
สนั บสนุนจากฝรั่งเศส องเชียงสือได้สถาปนาเป็นกษัตริย์ ทรง
พระนามว่า พระเจ้าเวียตนามยาลอง และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย
ตลอดรัชกาลที่ 1
4. ไทยกับญวนเริ่มบาดหมางในรัชกาลที่ 2 เมื่อเจ้านายเขมร
ขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกัน ฝ่ายที่นิ ยมญวนหลบหนี ไปพึ่งญวน และ
ขอกำลังจากญวนมาช่วยเป็นสาเหตุให้ไทยกับญวนต้องเผชิญหน้ า
กัน ทำสงครามรบพุ่งกันในดินแดนเขมรครั้งใหญ่ๆ ถึง 3 ครั้ง
ไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะกันเด็ดขาด
19
ความสั มพันธ์กับหัวเมืองมลายู
1. รัชกาลที่ 1 ยกทัพไปตีเมืองปัตตานี หัวเมืองมลายู ได้แก่
ปัตตานี ไทรบุรี กลันตันและตรังกานู เคยเป็นประเทศราชของไทยมา
ตั้งแต่สมัยอยุธยา ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ใน พ.ศ. 2301 จึงแข็ง
เมืองไม่ยอมอ่อนน้ อม รัชกาลที่ 1 จึงโปรดฯ ให้ยกทัพไปตีเมือง
ปัตตานี หัวเมืองมลายูอื่นๆ เกิดความเกรงใจจึงยอมอ่อนน้ อมเป็น
ประเทศราชของไทยดังเดิม
2. หัวเมืองมลายูก่อกบฏหลายครั้ง ตลอดรัชสมัยตอนต้น เกิด
กบฏในหัวเมืองมลายูหลายครั้ง แต่ทัพไทยจากกรุงเทพฯ ยกกำลังไป
ปราบได้ทุกครั้ง ไทยต้องดำเนิ นนโยบายลดอำนาจสุลต่านแต่ละ
เมืองให้น้ อยลง และสร้างเสริมความเข้มแข็งหัวเมืองปักษ์ใต้ เช่น
เมืองสงขลา และนครศรีธรรมราช ฯลฯ เพื่อให้คอยควบคุมหัวเมือง
มลายูมิให้คอยก่อการกบฏ
20
ความสั มพันธ์กับประเทศตะวันตก
1. ลักษณะความสัมพันธ์ยังไม่ขยายตัวมากนั ก ในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศตะวัน
ตกยังไม่แน่ นแฟ้น เนื่ องจากฝ่ายไทยมีความหวาดระแวงเกรงภัย
คุกคามจากชาติตะวันตก และยังไม่เห็นถึงความสำคัญของการ
ค้าขายกับชาติตะวันตกมากนั ก
2. ประเทศสำคัญ 3 ประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย
ได้แก่ โปรตุเกส อังกฤษและสหรัฐอเมริกา สินค้าที่ไทยต้องการ
จากประเทศตะวันตกมากที่สุดในขณะนั้ น คือ อาวุธปืน
21
ความสั มพันธ์กับโปรตุเกส
โปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่การค้าของโปรตุเกสในไทยไม่เจริญ
ก้าวหน้ ามากนั ก เมื่อเปรียบเทียบกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
สมัยรัชกาลที่ 1 โปรตุเกสแต่งทูตอัญเชิญพระราชสาสน์ มาเจริญ
ไมตรีต่อไทยเมื่อ พ.ศ. 2329 และขอตั้งโรงสินค้าที่กรุงเทพฯ ทางฝ่าย
ไทยให้การต้อนรับอย่างดี
สมัยรัชกาลที่ 2 ฝ่ายไทยซื้ออาวุธปืนจากโปรตุเกสไว้คอย
ป้องกันพระนครจำนวนหนึ่ งและอนุญาตให้พ่อค้าชาวโปรตุเกตเข้ามา
ค้าขายในเมืองไทยและตั้งสถานกงสุลในกรุงเทพฯ ได้ คาโลส เดอ ซิล
เวรา เป็นกงสุลประจำเมืองไทยเป็นคนแรก ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็น
“หลวงอภัยพานิ ช”
22
ความสั มพันธ์กับอังกฤษ
ความสั มพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษในสมัยรัตนโกสิ นทร์ตอนต้น
มีทั้งด้านการค้าและการเมือง
1. สมัยรัชกาลที่ 1 พระยาไทรบุรีให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก (ปีนั ง)
เพื่อหวังพึ่งอังกฤษให้พ้นจากอำนาจของไทย ฝ่ายอังกฤษเมื่อรู้ว่าเป็นดิน
แดนที่อยู่ในความปกครองของไทยจึงส่ง ฟรานซิสไลท์ เป็นทูตมาเจริญ
ไมตรีด้วย และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาราชกปิตัน” ซึ่ง
เป็นชาวยุโรปคนแรกในสมัยรัตนโกสิ นทร์ที่ได้รับเกียรติดังกล่าว
2. สมัยรัชกาลที่ 2 อังกฤษส่งทูตชื่อ จอห์น ครอเฟิร์ต มาเจรจา
ตกลงเรื่องการค้าใน พ.ศ. 2364 โดยขอให้ไทยเก็บสินค้าขาเข้าในอัตราที่
แน่ นอน และยกเลิกการผูกขาดของพระคลังสินค้า และขอให้ไทยยอมรับ
อธิปไตยของไทรบุรี
การเจรจาของทั้งสองฝ่ายไม่ประสบควาสำเร็จ เพราะสาเหตุ ดังนี้
(1) ไทยไม่ต้องการสูญเสียผลประโยชน์ จาการผูกขาดการค้า
(2) ไทยไม่ยอมรับเอกราชอธิปไตยของเมืองไทรบุรีตามที่อังกฤษ
ร้องขอ
(3) ความไม่เข้าใจในวัฒนธรรมประเพณีระหว่างกันและกัน
(4) ความไม่เข้าใจในภาษา ต้องใช้ล่ามแปล ทำให้การสื่อความหมาย
คลาดเคลื่อนไป
3. สมัยรัชกาลที่ 3 ไทยกับอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการทำสัญญา
ทางการค้าระหว่างกันที่เรียกว่า“สัญญาเบอร์นี ”เมื่อ พ.ศ. 2369 ถือว่าเป็น
สนธิสั ญญาฉบับแรกที่ไทยกับประเทศตะวันตกในสมัยรัตนโกสิ นทร์
ส่วนใหญ่เน้ นผลประโยชน์ ทางด้านการค้าเป็นสำคัญ และเป็นสัญญาที่
ฝ่ายไทยไม่เสี ยเปรียบ
สาระสำคัญของสั ญญาเบอร์นี
(1) กำหนดอัตราภาษีปากเรือให้แน่ นอน เก็บวันละ 1,700 บาท
(2) อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษค้าขายสินค้าได้ทั่วราชอาณาจักร
(3) ห้ามนำฝิ่ นเข้ามาขายในไทย และห้ามนำข้าวเปลือก ข้าวสาร ออก
นอกพระราชอาณาจักร
(4) พ่อค้าอังกฤษต้องยอมรับและปฏิบัติตามกฎหมายและประเพณี
ไทย
(5) อังกฤษต้องยอมรับสิทธิและอธิปไตยของไทยเหนื อไทรบุรี
กลันตัน และ ตรังกานู
23
ความสั มพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
1. การติดต่อการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาเริ่มอย่างเป็น
ทางการในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยพ่อค้าอเมริกันชื่อ กัปตันเฮล เดินทางเข้า
มาค้าขายในกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2364 ได้นำปืนคาบศิลามาถวาย 500
กระบอก จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงภักดีราชกปิตัน”
2. มิชชันนารีชาวอเมริกันรุ่นแรกเดินทางเข้ามาเผยแพร่คริสต์
ศาสนาในเมืองไทย เมื่อ พ.ศ. 2371 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้นำวิทยาการ
สมัยใหม่ของโลกตะวันตกเข้ามาเผยแพร่
3. สนธิสัญญาทางการค้าฉบับแรกที่ทำกับสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ.
2375 เอดมันด์ รอเบิร์ตส์ เป็นทูตเข้ามาเจรจาทางการค้ากับไทย โดยยึด
เอาสนธิสัญญาเบอร์นี ที่ไทยทำกับอังกฤษเป็นหลักในการเจรจา
24
การเจรจาแก้ไขสนธิสั ญญาของประเทศตะวันตก
1. การขอแก้ไขสนธิสัญญาของประเทศสหรัฐอเมริกา ใน
พ.ศ. 2393 โจเซฟ บัลเลสเตียร์ เป็นทูตอเมริกัน เข้ามาเจรจาขอ
แก้ไขสนธิสัญญาที่ทำไว้กับไทย เช่น ขอลดอัตราภาษีปากเรือ ขอให้
ไทยยกเลิกระบบผูกขาดการค้า และเสนอขอตั้งสถานกงสุล
อเมริกันในเมืองไทย เป็นต้น แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
2. การเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาของรัฐบาลอังกฤษ ใน
พ.ศ. 2393 อังกฤษได้แต่งตั้งให้ เซอร์เจมส์ บรุค เดินทางเข้ามา
เจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นี ที่ทำไว้กับไทยเช่นเดียวกัน เช่น
ขอให้ลดภาษีปากเรือ และขอให้ไทยยกเลิกระบบผูกขาดการค้า
ให้ซื้อขายสินค้ากันได้โดยเสรี เป็นต้น แต่ก็ไม่บรรลุข้อตกลงเช่น
เดียวกัน
3. สาเหตุที่การเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาของอังกฤษและ
สหรัฐอเมริกาต้องล้มเหลว เนื่ องจากรัฐบาลไทย ในตอนปลาย
สมัยรัชกาลที่ 3 ดำเนิ นนโยบายต่อประเทศตะวันตกอย่าง
ระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้น
4. ผลของการเจรจาที่ล้มเหลว เซอร์เจมส์ บรุค เป็นทูต
อังกฤษคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลอังกฤษโดยตรง มิใช่
ทูตที่ส่งมาจากผู้สำเร็จราชการที่อินเดียเหมือนคนก่อนๆ ได้เสนอ
ให้รัฐบาลอังกฤษใช้นโยบายเรือปืนบีบบังคับไทยในการเจรจา
ครั้งต่อไป
25
อ้างอิง
- ประวัติศาสตร์ไทย.https://sites.google.com/a/srisawat.ac.th
/prawatisastr-thiy/home/smay-ratnkosinthr-txn-tn.ค้นหาเมื่อวันที่ 23
มีนาคม 2565.
- บา้ นจอมยุทธ.https://www.baanjomyut.com/library_2
/the_early_rattanakosin_period/03.html.ค้นหาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม
2565.
ภาคผนวก
26
27
โปรเเกรม MENTIMETER
การปกครองในสมัยรัตนโกสิ นทร์มีรู ปแบบการปกครองใด
โปรเเกรม CANVA เรื่อง ดินเเดนรัตนโกสินทร์น่ารู้
โปรเเกรม MENTIMETER สิ่ งที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เรื่อง ดินแดนรัตนโกสินทร์น่ารู้