2
รายงาน
เร่อื ง ศกึ ษาและวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถ่นิ ภาคใต้
เสนอ
คุณครสู ายฝน โหจันทร์
โดย
นางสาวอรทัย พงษ์สวัสด์ิ ชั้นม.๖/๓ เลขที่ ๑๒
นางสาวปุษยา จุฑาธรรม ชนั้ ม.๖/๓ เลขท่ี๑๓
นางสาววรรณนภา แย้มศักด์ิ ชัน้ ม.๖/๓ เลขท่ี๑๔
นางสาวชลดิ ากร พุทธภมู กิ ลุ ช้นั ม.๖/๓ เลขท่ี๑๖
นางสาวจุฬาลกั ษณ์ จรรยาประเสรฐิ ชัน้ ม.๖/๓ เลขที่๓๓
รายงานนีเ้ ปน็ ส่วนหนึ่งของวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน (ท๓๓๑๐๒)
ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
โรงเรียนมารยี ์อปุ ถัมภ์ อ.สามพราน จ.นครปฐม
ก
คำนำ
รายงานเรื่องการศึกษาและวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ท33101 ชั้น
มัธยมศึกษา ปีที่ ๖ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ศึกษาและวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ โดยมี
ขอบเขตเนื้อหาดังต่อไปนี้ ความหมายของวรรณกรรม ที่มาและความสำคัญของวรรณกรรม ลักษณะของ
วรรณกรรม หลักการวิเคราะห์วรรณกรรม รูปแบบวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ ประเภทวรรณกรรม อิทธิพลของ
วรรณกรรมทสี่ ง่ ผลต่อความเชือ่ และวฒั นธรรม และภาษาท่ีใชใ้ นวรรณกรรมท้องถิน่ ภาคใต้
ทางคณะผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำรายงานเนื่องมาจากเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ทางคณะผู้จัดทำได้
ศึกษาค้นคว้าข้อมูลในการทำรายงาน ทั้งทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ และงานวิจัยต่างๆ ทั้งนี้คณะผู้จัดทำหวังเป็น
อย่างยิ่งว่ารายงานฉบบั น้จี ะเปน็ ประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิม หากมขี อ้ เสนอแนะประการใดคณะผู้จัดทำ
ขอนอ้ มรบั และขออภยั มา ณ ท่นี ี้ด้วย
คณะผ้จู ดั ทำ
๒๐/๐๙/๒๕๖๕
สารบัญ ข
เร่ือง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
บทนำ ๑
๑.วรรณกรรม
๒-๓
-ความหมายของวรรณกรรม ๓-๖
-ความสำคัญของวรรณกรรม ๖-๙
-ลกั ษณะของวรรณกรรม
๒.หลกั การวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณกรรม ๑๐
-ความหมายการวิเคราะห์วรรณกรรม ๑๐-๑๔
-การวิเคราะหล์ ักษณะเด่นของวรรณกรรม ๑๔-๑๖
๓.รูปแบบวรรณกรรมทอ้ งถ่นิ ภาคใต้
๔.ภาษาท่ใี ชใ้ นวรรณกรรมท้องถน่ิ ภาคใต้ ๑๖-๑๘
-ภาษาทใ่ี ช้ในวรรณกรรมท้องถน่ิ ภาคใต้ ๑๘-๒๑
๕.ประเภทวรรณกรรมแบง่ ออกเปน็ ๕ประเภท ๒๑-๒๗
๖.อิทธิพลของวรรณกรรมที่ส่งผลตอ่ ความเช่ือและ
วฒั นธรรม ๒๘
บทวิเคราะห์ ๒๙
บทสรปุ ๓๐-๓๒
บรรณานกุ รม ๓๓
ภาคผนวก
๑
บทนำ
วรรณกรรมเป็นมรดกทางวัฒนธรรมทีส่ ำคัญ เพราะเป็นเครื่องส่อแสดงถึงความเจริญของสังคมหรือชาตบิ ้านเมือง
แต่ะยุคสมัย ประชาชนมีความเป็นอยู่ มีความคิดเห็นและมีความรู้สึกอย่างไรย่อมมองเห็นได้จากวรรณกรรมท้งั สิน้
การศึกษาวรรณคดไี ทยสมยั ก่อนถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในวงแคบ ส่วนใหญเ่ ปน็ เพียงการศกึ ษาวรรณคดภี าคกลาง ซ่ึง
เป็นเพียงวรรณคดีในราชสำนักของเมืองหลวงแต่ละสมัยเท่านั้น ไม่ได้ครอบครุมเรื่องราวของคนส่วนใหญ่ใน
ประเทศอย่างแท้จริง ดังที่สุธิวงศ์ พงส์ไพบูลย์ได้กล่าวไว้ว่า “หนังสือวรรณคดีไทยถูกจำกัดจำนวนไว้ตามผู้เขียน
ตำราประวัติวรรณคดีไทยเสนอรายชื่อเอาไว้ให้ บางยุคเพียง๒-๓เล่มเท่านั้นและยังเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าทาง
วรรณคดีเพียงเลก็ น้อยอีกหลายเล่ม” นอกจากนี้ ปราณี ขวญั แก้ว ไดก้ ล่าวไวว้ า่ “การศกึ ษาวรรณคดีของเรามักอยู่
ในวงจำกัด กลา่ วคอื ในวงวรรณคดแี บบฉบบั เท่านนั้ สว่ นวรรณคดที ้องถ่นิ ยังไม่มีผู้ศึกษาค้นควา้ กันอย่างจริงจัง ทั้ง
ทีว่ รรรคดีเหล่าน้ีมคี ณุ ค่าควรแก่การศกึ ษา อาจอำนวยประโยชน์ในดา้ นความเขา้ ใจชวี ิต สังคม วัฒนธรรม ประเพณี
ตลอดจน ภาษาในท้องถิ่นใต้เป็นอย่างดี ปัจจุบันวรรณกรรมท้องถิ่นหรือวรรณกรรมพื้นบ้านได้รับความสนใจมาก
ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง เพราะวรรณกรรมท้องถิ่นเป็นบันทึกหรือจดหมายของสังคมแต่ละท้องถิ่น เป็น
หลักฐานทางภาษาของชาติ และเปน็ แหลง่ รวบรวมปรากฏการณท์ างวัฒนธรรมในสังคมเปน็ อยา่ งดี การศึกษาหรือ
หรอื ใหค้ วามสนใจวรรณกรรมพ้ืนบ้าน จงึ เท่ากับเป็นการศึกษาเน้ือหา หรือเรอื่ งราวในวิชาสังคมศาสตร์และมนุษย์
สาสตร์ทางหนึง่ โดยใช้เนอ้ื หาทางวรรณกรรมอันเป็นเสมือนกระจกเงาท่ีมีคุณค่าอย่างแท้จริง ภาคใต้เป็นดินแดนที่
มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมพื้นบ้านมาช้านาน การสร้างสรรค์วรรณกรรมรุ่นเก่าๆชำรุดสูญ
หายไปหมด ท่ีคงอยู่ส่วนมากก็ชำรุดส่วนใหญ่มีอายุราว ๖๐ ถึง ๑๕๐ ปีเท่านั้น การศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมจาก
ทอ้ งถิ่น จึงเป็นเร่ืองจำเปน็ ทค่ี วรเร่งศกึ ษากอ่ นทจี่ ะสูญหายไป ซ่งึ สามารถติดตามไดจ้ ากรายงานเลม่ น้ี
๒
๑.วรรณกรรม
๑.๑ ความหมายวรรณกรรม
ก้องฟา้ นครพิงค์ , (๒๕๖๒) ได้กลา่ ววา่ วรรณกรรมหมายถึง งานเขียนที่แต่งข้ึนหรืองานศิลปะ ที่เป็น
ผลงานอันเกิดจากการคิด และจินตนาการ แล้วเรียบเรยี ง นำมาบอกเลา่ บนั ทึก ขับร้อง หรอื สื่อออกมาด้วยกลวธิ ี
ตา่ งๆ โดยทั่วไปแลว้ จะแบง่ วรรณกรรมเป็น ๒ ประเภท คอื วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมทบี่ นั ทึกเปน็
ตัวหนังสอื และวรรณกรรมมุขปาฐะ อันได้แก่วรรณกรรมที่เล่าด้วยปาก ไมไ่ ด้จดบนั ทึก ดว้ ยเหตนุ ้ี วรรณกรรมจงึ มี
ความหมายครอบคลุมกวา้ ง ถึงประวตั ิ นิทาน ตำนาน เรอ่ื งเลา่ ขำขนั เรื่องสั้น นวนิยาย บทเพลง คำคม เปน็ ตน้
วรรณกรรมเป็นผลงานศิลปะท่ีแสดงออกดว้ ยการใช้ภาษา เพือ่ การส่อื สารเรื่องราวให้เข้าใจระหวา่ งมนุษย์ ภาษา
เป็นส่ิงทีม่ นุษย์คดิ คน้ และสร้างสรรค์ข้ึนเพื่อใช้สอื่ ความหมาย เร่อื งราวตา่ ง ๆ ภาษาที่มนษุ ยใ์ ชใ้ นการสื่อสารได้แก่
ภาษาพูด โดยการใชเ้ สียง ภาษาเขยี น โดยการใช้ตวั อักษร ตวั เลข สัญลกั ษณ์ และภาพ ภาษาทา่ ทาง โดยการใช้
กริ ยิ าทา่ ทาง หรือประกอบวัสดุอยา่ งอืน่ ความงามหรือศลิ ปะในการใชภ้ าษาขึน้ อยกู่ ับ การใชภ้ าษาให้ถกู ต้อง
ชัดเจน และ เหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากน้ี ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่ง ให้เกิดความ
เหมาะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากน้ี ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุภาพ ข้ึนมาใชไ้ ด้อยา่ งเหมาะสม
แสดงใหเ้ ห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศทางการใช้ภาษาทค่ี วรดำรงและยดึ ถือต่อไป ผูส้ รา้ งสรรค์งานวรรณกรรม เรยี กว่า
นกั เขียน นกั ประพนั ธ์ หรือ กวี วรรณกรรมไทย แบง่ ออกได้ ๒ ชนดิ คือ ร้อยแกว้ เป็นข้อความเรียงท่แี สดงเน้ือหา
เรอื่ งราวต่าง ๆ รอ้ ยกรอง เปน็ ข้อความทมี่ ีการใช้คำทส่ี ัมผัส คลอ้ งจอง ทำให้สัมผสั ได้ถึงความงามของภาษาไทย
ร้อยกรองมีหลายแบบ คือ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน และรา่ ย
(๒๕๕๓)วรรณกรรม (Literature) หมายถึง วรรณคดีหรอื ศิลปะ ทีเ่ ป็นผลงานอันเกดิ จากการคิด และ
จนิ ตนาการแล้วเรียบเรียง นำมาบอกเล่า บนั ทกึ ขับร้อง หรือสอ่ื ออกมาดว้ ยกลวธิ ตี า่ งๆ โดยทวั่ ไปแล้ว จะแบง่
วรรณกรรมเป็น ๕ ประเภท คอื วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมที่บนั ทึกเปน็ ตัวหนังสือ และวรรณกรรมมขุ
ปาฐะ อนั ได้แก่ วรรณกรรมทีเ่ ลา่ ดว้ ยปาก ไม่ได้จดบันทึก วรรณกรรมท่ีได้รบั การยกย่องว่าแต่งได้ดเี รยี กวา่
"วรรณคดี" สำหรบั วรรณคดนี ้ันตอ้ งเปน็ วรรณกรรม แตว่ รรณกรรมไมจ่ ำเปน็ ต้องเปน็ วรรณคดี
คำนิยาม "วรรณกรรม คือภาษาศิลป์ ท่สี ร้างจนิ ตนาการ ใหอ้ ารมณ์ ใหค้ วามรู้และความเพลิดเพลิน" ซ่งึ ปัจจุบัน
วรรณกรรมมงุ่ เน้นทคี่ วามรู้ และความเพลดิ เพลนิ ของผ้อู า่ น สว่ นภาษาศลิ ป์นั้นจะเป็นแบบใดก็ได้ วรรณกรรมมี
ความหมายครอบคลุมถงึ งานเขนี ต่างๆดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. งานเขยี นทวั่ ๆไป เป็นงานที่ไม่จำเปน็ ต้องศิลปะหรือกลวธิ ใี นการเขียน เช่น ตำรา เอกสารทางวชิ าการ เป็นตน้
๓
๒.งานเขยี นท่ีต้องมีคุณคา่ ทางวรรณศลิ ป์ จะเป็นงานเขียนประเภทใดก็ได้ แตต่ ้องแต่งอย่างมีศลิ ปะมีความ ประนตี
งดงาม มีกลวธิ สี ร้างอารมณ์สะเทือนใจ และทำให้ผ้อู า่ นเกิดอารมณค์ ลอ้ ยตาม งานเขยี นทีม่ ีคุณคา่ ทางวรรณศิลป์
เชน่ นวนยิ าย เร่ืองส้ัน บทละคร บทความ สารคดี เป็นต้น
(๒๕๔๒)ความหมายของวรรณกรรมตามนยิ ามของผู้ร้ทู างดา้ นวรรณกรรมมีมากมายในตำราตา่ ง ๆ ใน
ท่นี ี้จะตอบแบบ "เล่าใหม่"โดยองิ ความร้ตู ามตำรา
ความหมายอย่างกวา้ ง ก็คือ อะไรก็ได้ทม่ี นุษย์ส่ือสารผา่ นภาษาอย่างมีคุณคา่ ไมว่ ่าจะเปน็ เรอ่ื งแต่ง ตำรา บทความ
ขา่ วหนังสือพิมพ์ หรืองานเขยี นในส่ือสง่ิ พิมพช์ นิดตา่ ง ๆ (หนังสอื พิมพ์จึงได้รับการขนานนามว่าเปน็ วรรณกรรมเรง่
รีบ เพราะต้องรบี เสนอขา่ วแข่งกบั เวลา) ฯลฯ แม้แตค่ ำพูดปราศรัย สนุ ทรพจน์ การเล่านิทานหรอื ตำนานด้วยปาก
เปล่า ปริศนาคำทาย คำพังเพย ผญา ฯลฯ หรือการเลน่ เพลงที่ว่ากนั สด ๆ อยา่ งเพลงพ้นื บา้ นหรอื ทศ่ี ัพทแ์ สงทาง
วิชาการเรยี กว่า "เพลงปฏิพากย์" อย่างเพลงฉอ่ ย ลำตัด อีแซวฯลฯ ก็เปน็ วรรณกรรม (มชี อ่ื เรียกเฉพาะวา่
วรรณกรรมมุขปาฐะ หมายถงึ วรรณกรรมชนิดที่ถ่ายทอด บอกเลา่ ด้วยปากเปล่า ถ้าใช้ตวั อกั ษรมาถา่ ยทอดด้วยการ
เขียน จดจารจารกี ก็เรยี กวา่ วรรณกรรมลายลักษณ์) ท่ีกลา่ วมาทง้ั หมดคือวรรณกรรมในความหมายอย่างกว้าง
ความหมายอย่างแคบของวรรณกรรม กค็ ือ เร่ืองแต่ง หรอื งานประพนั ธ์หนังสือท่ีมวี รรณศลิ ปห์ รือมีศลิ ปะการ
ประพันธอ์ ย่างท่เี ราคุน้ เคยกนั ดี อาทิ นวนยิ าย เรือ่ งสน้ั บทกวี บทละครฯลฯ เป็น Fiction (เร่อื งแต่งหรอื บันเทงิ คดี)
ไมใ่ ช่ Non-fiction (เรื่องของข้อเทจ็ จรงิ หรอื สารัตถคด)ี อย่างบทความ สารคดี ข่าวฯลฯ ทเ่ี ป็นวรรณกรรมใน
ความหมายอย่างกวา้ ง
ส่วนวรรณกรรมพ้นื บ้าน คอื เรือ่ งเลา่ เร่ืองแต่งเฉพาะแต่ละท้องถ่ิน เช่น ตำนานสถานที่ พงศาวดารการสรา้ ง
บา้ นแปงเมืองของท้องถนิ่ ต่าง ๆ ตำนานวรี บรุ ษุ พน้ื บา้ นฯลฯ ตวั อย่างวรรณกรรมทอ้ งถนิ่ ท่ีพอจะคุน้ ชอื่ ของ
ภาคเหนอื กเ็ ชน่ คา่ วซอเรื่องหงสห์ นิ ภาคอสี านมี เสยี วสวาด ตำนานผาแดงนางไอ่ พญาคันคาก ภาคกลางมี ไกร
ทอง ภาคใตม้ พี ระมาลยั คำกาพย์ ฯลฯ
จากการศึกษาความหมายของวรรณกรรมสรุปไดว้ า่ งานเขียนทีแ่ ตง่ ขึน้ หรืองานศิลปะ ท่ีเป็นผลงานอัน
เกดิ จากการคดิ และจินตนาการ แล้วเรยี บเรียง นำมาบอกเลา่ บันทึก ขับร้อง หรือส่อื ออกมาด้วยกลวิธีตา่ งๆ
นอกจากความหมายแล้ววรรณกรรมยงั มคี วามสำคญั ดังน้ี
๑.๒ ความสำคญั ของวรรณกรรม
พทิ ยา วอ่ งกลุ , (๒๕๔๐) กล่าวว่า วรรณกรรมมใิ ช่เป็นแตเ่ พยี งสอ่ื อยา่ งเดยี ว หากสง่ิ ท่แี ฝงลึกลงไปใน
ชอ่ งไฟระหว่างตวั อกั ษร ยังสะท้อนให้เห็นถงึ ความต้ืนลกึ หนาบางทางภมู ปิ ัญญาของผู้เขียน และลึกลงไปใน
๔
ภูมปิ ญั ญานั้นก็คอื ความจรงิ ใจทผ่ี เู้ ขียนสะท้อนต่อตวั เองและตอ่ ผ้อู า่ น วรรณกรรมเป็นสว่ นหนง่ึ ของชีวิตมนุษย์ ชาติ
ทีเ่ จริญแลว้ ทกุ ชาตจิ ะตอ้ งมวี รรณกรรมเป็นของตัวเอง และวรรณกรรมจะมีมากหรือน้อย ดีหรือเลว กแ็ ล้วแตค่ วาม
เจริญงอกงามแห่งจิตใจของชนในชาตินน้ั ๆ วรรณกรรมเป็นเครือ่ งช้ใี หร้ วู้ ่า ชาตใิ ดมคี วามเจริญทางวัฒนธรรมสูงแค่
ไหนและยุคใดมีความเจรญิ สูงสุด ยคุ ใดมีความเสื่อมทรามลง เพราะฉะน้ันวรรณกรรมแต่ละชาติ จึงเปน็ เครอ่ื งช้ีวดั
ได้ว่า ยคุ ใดจิตใจของประชาชนในชาติ มีความเจรญิ หรอื เส่ือมอย่างไรดว้ ยเหตุนี้ วรรณกรรมจึงเปน็ เคร่ืองมือส่ือสาร
ความรู้สกึ นึกคิดถ่ายทอดจิตนาการและแสดงออกซ่ึงศิลปะอันประณีตงดงาม การศึกษาหรอื อา่ นวรรณกรรมแตล่ ะ
เรอื่ งทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพสังคม วัฒนธรรม การเมอื ง และเศรษฐกจิ ของยุคสมยั ทีผ่ ู้ประพันธ์ได้สะท้อนผา่ น
มุมมองของตนออกมา รวมท้ังทำใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจความรู้สึกนึกคดิ ของผู้คนท่มี ตี ่อสภาพการณเ์ หล่านัน้ ด้วย
Olan Lekcharuthas , (๒๕๕๘) กลา่ ววา่ ความสำคัญของวรรณกรรม
๑. ชว่ ยเพ่ิมความเขา้ ใจและความซาบซง้ึ ในคณุ ค่าของวรรณคดี
๒. ได้ความรูเ้ กี่ยวกับภาษาและลกั ษณะอกั ขระวธิ ีสมัยต่าง ๆ
๓. ได้ความรู้เก่ยี วกบั ความสัมพันธก์ ับตา่ งประเทศสมัยตา่ ง ๆ
๔. ไดค้ วามรูเ้ ก่ียวกบั วฒั นธรรม สภาพสังคม และเหตุการณบ์ ้านเมือง ควบคู่กนั ไปกับวิวฒั นาการของวรรณคดีใน
สมยั ตา่ ง ๆ
๕. กวสี อดแทรกคติ คำสอน และศีลธรรม ไว้ในเนอ้ื เรื่องบ้าง ถ้อยคำบรรยายบ้าง ในถ้อยคำสนทนาบ้าง ผู้อา่ นรับ
คติ ขอ้ คิดทดี่ ีงามไปโดยไมร่ ตู้ ัว
๖. ผู้อ่านจะไดร้ บั ความรู้เพ่ิมขึ้นไดข้ ้อคดิ ขยายทศั นคตใิ ห้กว้างขวางขึ้น
๗. ทำให้ผ้อู ่านเข้าใจธรรมชาตขิ องมนุษยใ์ นเร่ืองความรสู้ กึ และอารมณต์ ่าง ๆ ของตัวละคร ท้งั ความดีใจ ความ
เสยี ใจ ความโกรธ ความรกั ความกลัว เปน็ ต้น ทำให้ผอู้ า่ นเกดิ อารมณ์คล้อยตามหรืออารมณส์ ะเทือนใจไปด้วย
๘. วรรณคดที ำหน้าทีส่ ืบต่อวัฒนธรรมของชาติ จากคนรุ่นหนง่ึ ไปส่อู ีกรุ่นหน่ึง วรรณคดีจะสอดแทรกวฒั นธรรม
ชีวติ ความเปน็ มนุษย์ ประเพณตี ่าง ๆ ของสังคม
๙. คุณคา่ ในดา้ นสภาพชีวิตสมยั บรรพบุรุษ
ทำให้ผอู้ า่ นไดท้ ราบสภาพชวี ิต ความเปน็ อยู่ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ของผคู้ นและบา้ นเมืองในสมยั นัน้ และบางเร่ือง กวีได้
นำเร่ืองราวทางประวตั ศิ าสตร์มาเป็นข้อมูลในการแตง่ ซงึ่ ผูอ้ า่ นสามารถนำมาเปรยี บเทยี บกับเหตุการณใ์ น
ชวี ติ ประจำวนั ได้
๕
๑๐. คณุ ค่าในด้านศิลปะอื่น ๆ
วรรณคดแี ต่ละเร่ืองยังใหค้ วามรคู้ วามเพลดิ เพลินแกผ่ อู้ า่ นในดา้ นศิลปะต่าง ๆ เช่น สถาปัตยกรรม จติ รกรรม เพลง
ละคร ภาพยนตร์ เป็นต้น
ธวชั บณุ โณทก (๒๕๒๗) ได้กลา่ วถึงความสำคญั ของวรรณกรรม โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ ๆ ดงั น้ี
๑. ปัจเจกบคุ คล คอื วรรณกรรมให้สารประโยชนต์ ่อบุคคลอนั เป็นหนว่ ยหนงึ่ ของสังคม
๑.๑ สง่ เสริมการเรยี นรู้และฝกึ ทักษะ สง่ เสริมปลกู ฝงั นสิ ยั รักการอา่ น และฝึกทักษะในการอ่าน
ส่งเสริมในการเรียนรู้ทางด้านภาษา และชว่ ยใหม้ ีโอกาสฝกึ ทักษะ สง่ เสรมิ ใหร้ ้จู ักใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์
๑.๒ ให้ความบันเทิงใจ เพลิดเพลิน สนุกสนานไปตามเนื้อเร่อื ง สะเทือนใจ สะเทือนอารมณ์ ท้ังอารมณ์
รัก โกรธ แคน้ สงสาร และสมใจ เป็นตน้
๑.๓ ประเทืองปัญญา ชใ้ี ห้เห็นสภาพของชวี ิตมนุษย์ในสังคม ให้ประสบการณจ์ ำลองชีวิตในแง่มุมตา่ ง
ๆ ชีวิตท่สี มบรู ณ์พูนสุข ยากแค้นอบั เฉา ถกู กดข่ี จองเวร อาภัพอบั โชค เปน็ ตน้
๒. การสร้างสรรค์สงั คม วรรณกรรมมีส่วนใหค้ วามสำนึกของสังคม หรือมโนทัศนร์ ่วมของสังคม โดยวิธี
เสนอแนวคดิ ต่อผู้อา่ นโดยสว่ นรวม เป็นการปลูกฝงั ทัศนคติต่อสงั คมแก่ผู้อ่าน และมกี ลวธิ ีในการนำเสนอในรปู แบบ
ตา่ ง ๆ เพ่ือให้ผู้อ่านเห็นพ้องกบั แนวคดิ ที่ผ้ปู ระพันธ์เสนอมาในรปู วรรณกรรม หรอื ให้ผู้อ่านเลอื กรูปแบบของสงั คม
ตามทศั นะของตนเองรวมมากับการบันเทิงใจในวรรณกรรมดว้ ย ซง่ึ เป็นตวั เรง่ เรา้ สง่ เสริมใหผ้ ้อู า่ นอนั เป็นหนว่ ย
หน่งึ ของสังคมยอมรบั แนวคิดเหลา่ นน้ั และมมี โนทศั นร์ ว่ มต่อสงั คม คือ
๒.๑ กฎเกณฑ์ต่อสังคม อันได้แก่ ศีลธรรม กรอบจารตี ประเพณี และธรรมนิยมต่าง
๒.๒ มีความรบั ผิดชอบตอ่ สังคมในฐานะเปน็ หน่วยหนง่ึ ของสังคมน้ัน
๒.๓มโนทศั น์เกี่ยวกับการเปลยี่ นแปลงของสงั คมวรรณกรรมได้เสนอแนวคิดรว่ มของการ
เปลย่ี นแปลงทางด้านสังคมโดยไม่หยดุ นงิ่ เพื่อไปสสู่ ภาพของสงั คมมนุษยท์ ด่ี ีกวา่
๒.๔ เสนอแนวคิดร่วมในการเปล่ยี นแปลงสังคมไปส่สู ภาพท่ดี กี วา่ และชะลอการเปลี่ยนแปลงท่ี
นำไปสู่สภาพชีวิตเลวลง หรือชะลอการเปลยี่ นแปลงท่ีคนเพยี งกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงพยายามผลักดันจะใหเ้ ป็นไปแต่ไม่ใช่
มโนทศั น์รว่ มของสังคม
๒.๕ เสนอแนะ เรง่ เร้ามโนคติของปจั เจกบุคคลให้พยายามปรบั ตวั เข้ากับการเปลยี่ นแปลงพัฒนา
ทางด้านสงั คมอนั ไมเ่ คยหยดุ นิ่ง
๖
ดงั นั้นวรรณกรรมจึงเป็นมรดกของสังคม เปน็ สว่ นหนง่ึ ของวฒั นธรรมทีแ่ สดงเอกลักษณ์ของความเป็น
ชาติ และเป็นเครอ่ื งบ่งชี้ความเปน็ อารยะชองชนในชาติ ดงั คำกล่าวทีว่ ่า "วรรณคดีเป็นอารยะธรรมชนดิ ท่ไี ม่รูจ้ ักสญู
หาย" ดงั เช่น วรรณคดีกรีก วรรณคดโี รมัน ปัจจบุ ันนี้ยงั คงมีอยู่ แมว้ า่ อาณาจักรเหลา่ นจี้ ะพินาศไปแล้วก็ตาม
ความสำคัญของวรรณกรรมสรปุ ได้ว่า วรรณกรรมเป็นสว่ นหนึ่งของชวี ิตมนษุ ย์ ทเ่ี จรญิ แล้วทุกชาติ
จะตอ้ งมวี รรณกรรมเปน็ ของตัวเอง วรรณกรรมเปน็ เครื่องช้ีให้รวู้ ่า ชาติใดมีความเจรญิ ทางวฒั นธรรมเพยี งใด และ
นอกจากความสำคัญวรรณกรรมมลี กั ษณะดังนี้
๑.๓ ลักษณะวรรณกรรม
เบญจวรรณ ประจักษเ์ ลิศวิทยา , (๒๐๑๓) กล่าววา่
๑.เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกนั มาจากมขุ ปาฐะ คือ เปน็ การเลา่ สืบต่อกันมาจากปากต่อปากและแพรห่ ลาย
กนั อยใู่ นกลมุ่ ชนท้องถน่ิ ๒. เปน็ แหลง่ ข้อมลู ทบี่ นั ทึกข้อมูลด้านขนบธรรมเนยี มประเพณขี องกลุ่มชนท้องถน่ิ อนั เป็น
แบบฉบบั ให้คนยุคต่อมาเช่ือถือและปฏิบัติตาม
๓.มกั ไมป่ รากฏชอ่ื ผู้แตง่ เพราะเปน็ เร่ืองท่ีบอกเล่าสบื ต่อกันมาจากปากตอ่ ปาก๔. ใชภ้ าษาท้องถ่ิน ลักษณะถ้อยคำ
เปน็ คำง่ายๆ สอ่ื ความหมายตรงไปตรงมา
๕. สนองความต้องการของกล่มุ ชนในทอ้ งถนิ่ เชน่ เพ่อื ความบันเทงิ เพอ่ื อธิบายสิง่ ที่คนในสมยั น้นั ยงั ไม่เขา้ ใจ เพือ่
สอนจริยธรรมขนบธรรมเนียมประเพณแี ละพฤตกิ รรมดา้ นต่างๆ
วรรณกรรมทงั้ ๔ ภาค
๑.ใช้ภาษาถิ่นและตัวอักษรท้องถิน่ แต่เดมิ วัดเป็นศนู ย์กลางของการศึกษา ในท้องถิน่ วรรณกรรมท้องถ่ินในยคุ ทใี่ ช้
ระบบการคัดลอกดว้ ยมือใช้ตวั อักษรของถนิ่ ในการ บนั ทกึ ตวั อกั ษรที่ใชบ้ ันทึกในแต่ละภาคมคี วามตา่ งกัน และมี
ประวตั ิเกา่ แก่เชน่ เดียวกบั อกั ษร ที่เราใชอ้ ยู่ปจั จุบัน๒.ใชร้ ูปแบบคำประพันธท์ ้องถ่ิน วรรณกรรมทั้ง ๔ ภาค สว่ น
ใหญ่เป็น ร้อยกรองมากกว่าร้อยแก้ว คำประพันธท์ ใ่ี ชเ้ รยี งร้อยถ้อยคำเข้าดว้ ยกัน มีลีลาคลอ้ งกับสำเนียง ภาษา
ทอ้ งถนิ่ และเออ้ื ต่อการออกเสยี งเปน็ ทำนอง รูปแบบคำประพนั ธท์ ใ่ี ช้แตง่ วรรณกรรม จึงแตกต่างกันไปตามความ
นิยมของแต่ละภาค
๓.ใช้รปู แบบการประพันธค์ ลา้ ยคลึงกนั สว่ นใหญ่เปน็ เรื่องราวทางศาสนา ไดแ้ ก่ นิทานชาดกและวรรณกรรมคำสอน
วรรณกรรมส่วนใหญม่ ุ่งสอนจรยิ ธรรมแก่สังคม โดยยึด หลักธรรมทางพทุ ธศาสนาควบคไู่ ปกับการให้ความบันเทิง
๔. วรรณกรรมนิทานนิยายแบบนิยายชีวิตเป็นวรรณกรรมท่ีชาวท้องถิ่นนยิ มมาก นอกจากอ่านหรือเลา่ ส่กู ันฟังแลว้
ยังนำไปแสดงในรูปแบบของละครพ้ืนบ้าน วรรณกรรม ชนิดนี้ จำลองชวี ิตครอบครัวท่อี าจจะเกิดขนึ้ กบั ใครก็ได้ มี
๗
หลายรส มีท้งั รัก โศก ตัดพ้อตอ่ วา่ และสอนคติธรรม๕. รายละเอยี ดในวรรณกรรมสะท้อนวฒั นธรรมท้องถิน่ เช่น
ฉากภูมิประเทศ ชวี ติ ความเป็นอยู่ ประเพณี คา่ นยิ มต่าง ๆ จะสะท้อนวฒั นธรรมของ ทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ
Douglas Williams , (๒๕๖๒) กล่าวว่า ลกั ษณะของงานวรรณกรรม ถือว่าเปน็ ศลิ ปะทางดา้ นภาษา
ท่ีบอกเลา่ เร่ืองราวตา่ งๆ สะท้อนถึงสภาพสังคมวัฒนธรรมร่วมเพศถงึ ขนบธรรมเนียมประเพณีและคำสอนท่ีมมี า
ตัง้ แต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งลกั ษณะเด่นของวรรณกรรมไทยในปจั จบุ นั มี ๔. ประการดังนี้
๑.รปู แบบของวรรณกรรมไทยมีรปู แบบการแต่งที่ขยายตวั มากย่งิ ข้นึ หลดุ ออกไปจากกรอบเดิมๆเมื่อสมยั ก่อนดงั นี้
การเขียนร้อยกรอง ในปัจจบุ นั น้ีจะค่อนข้างม่งุ เนน้ การนำเสนอข้อคดิ เหน็ หรือความคดิ มากกวา่ ความไพเราะ
สวยงามทางด้านภาษาและวรรณศิลป์ของรอ้ ยกรองสมัยก่อนดังนน้ั การเขียนร้อยกรองในสมัยน้จี งึ ค่อนขา้ งมี
ลกั ษณะทส่ี นั้ ไมเ่ ครง่ ครัดทางดา้ นฉนั ทลักษณ์และไมส่ นใจขนบธรรมเนียมในการแตง่ นยิ มใช้ถ้อยคำภาษางา่ ยๆเปน็
ภาษาพูดสอื่ ความหมายชดั เจนให้ผ้อู า่ นเขา้ ใจ
เรื่องสนั้ เปน็ รปู แบบการเขยี นบันเทงิ คดีทไี่ ด้รบั ความนิยมอยา่ งกวา้ งขวางจากผูอ้ ่านส่วนใหญ่แลว้ จะมีขนาดสนั้ เป็น
เรื่องสมมุตเิ หตุการณ์และสถานทีใ่ นเร่อื งใหม้ คี วามสมจรงิ
นวนยิ ายเป็นรปู แบบการเขียนบนั เทงิ คดีแบบใหมแ่ ต่มขี นาดยาวและผแู้ ต่งสามารถกำหนดตวั บคุ คลเหตุการณ์
สถานท่ีต่างๆโดยไมจ่ ำกดั แนวการเขยี นแบบนี้แบ่งออกเป็นแนวพาฝันแนวชวี ิตครอบครัวแนวจติ วทิ ยาแนวลูกทุ่ง
แนวราชสำนักและแนวการเมือง ซ่งึ ถา้ หากแบ่งตามแนวการเขียนทางตะวันตกกจ็ ะประกอบด้วยแนวโรแมนตกิ
แนวสจั นิยม แนวธรรมชาตนิ ิยมและแนวสัจนยิ มใหมเ่ ปน็ ต้น
บทละครพดู เปน็ บทละครที่ได้รบั อิทธิพลมาจากตะวันตกในสมัยรชั กาลท่ี ๕ ซ่งึ มีทง้ั บทละครแปลและบทละคร
แปลงรวมไปถึงบทละครทคี่ นไทยเราคิดแต่งข้ึนมาเองซ่ึงในปจั จบุ นั นี้บทละครไม่ได้ม่งุ เน้นเขียนเพ่ือไปใช้แสดงจรงิ
แตม่ งุ่ เนน้ เพือ่ ใช้เป็นเครอื่ งมือในการสื่อสารความคิดของผูแ้ ต่งสง่ ออกไปยังผูอ้ ่านเท่านน้ั
เปน็ การเขียนร้อยแกว้ ท่ีมงุ่ เน้นข้อเท็จจรงิ มากกวา่ ความเพลิดเพลนิ
๒. แนวคดิ หรือปรชั ญาของเรื่อง เปน็ การนำเสนอแนวคิดตามแนวปรัชญาของวรรณกรรมตะวันตกโดยเฉพาะอย่าง
ย่งิ วรรณกรรมประเภทนวนิยายเรอ่ื งส้นั รวมไปถึงบทละครพูด
๓. เนื้อหาของงานวรรณกรรมไทยปัจจบุ ันจะเป็นเร่ืองราวของสามัญชนซ่ึงโดยส่วนใหญแ่ ล้วจะมชี ีวติ ตามสภาพ
ความเปน็ อยู่ของสังคมปจั จบุ ันไมน่ ยิ มกล่าวถึงเร่ืองของนรกสวรรค์มากนัก แตจ่ ะพดู ถึงเรือ่ งที่ใกลต้ ัวของผู้อ่านไมว่ า่
จะเปน็ การเมืองสภาพเศรษฐกิจและสังคมซึ่งสะท้อนสภาพวถิ ีชวี ิตของคนในปัจจุบนั มากข้ึน
๘
๔. กลวิธีในการแต่งวรรณกรรมปจั จบุ ันนีม้ กี ารเขยี นชวนให้นา่ ตดิ ตามอย่างมากมาย ไม่วา่ จะเป็นการยกตวั อยา่ ง
สุภาษิตคำคม มกี ารดำเนนิ เร่ืองใหม้ ีความน่าสนใจและนา่ ติดตาม ตวั ละครต่างๆผลดั กันเลา่ เรื่อง การใช้สัญลกั ษณ์
ต่างๆ เพอื่ การนำเสนอแนวความคิด และใช้วิธีการปิดเร่อื งซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ รวมไปถึงการปิด
เรอ่ื งแบบหักมมุ หรือพลิกความคาดหมาย โดยการใช้กลวธิ ีตา่ งๆ เหลา่ นเ้ี ราลว้ นแต่ไดร้ ับอิทธิพลการเขยี นมาจาก
ทางตะวนั ตกทง้ั ส้ิน
(๒๕๕๓) ลักษณะของวรรณกรรมไทย
๑.รปู แบบ วรรณกรรมไทยปัจจุบันมีรูปแบบการแต่งท่ีขยายตวั มากขนึ้
๑.)ร้อยกรอง ปัจจุบันมงุ่ เนน้ การนำเสนอ ข้อคดิ เหน็ หรอื ความคิด มากกว่าเสนอความไพเราะงดงาม
ตามหลักวรรณศลิ ปข์ องร้อยกรองสมัยก่อน จงึ มีลักษณะทสี่ นั้ ไม่เคร่งครัดในด้านฉันทลักษณ์และไมส่ นใจธรรม
เนียมนิยมในการแตง่ นิยมใช้ถ้อยคำง่ายๆ ภาษาพูดทมี่ ีความแจ่มชัด สอื่ ความคดิ ท่กี ร้าวแข็งและรุนแรง เนอื้ หา
สะท้อนสภาพสังคม
๒.)เรื่องสัน้ รปู แบบการเขยี นบันเทงิ คดีแบบใหมท่ ีไ่ ด้รบั ความนิยมจากผอู้ ่านอย่างกว้างขวางมีลกั ษณะ
เปน็ ร้อยแก้วเรื่องสมมติที่มีขนาดสั้น เหตุการณ์และสถานที่ในเร่อื งมลี ักษณะสมจรงิ มากที่สดุ ซึ่งแบ่งไดห้ ลายแนว
เช่น แนวสัญลักษณ(์ Symbolism) แนวธรรมชาตินิยม(Maturalism) แนวอัตถภิ าวะนิยม(Existentialism)
๓.)นวนยิ าย เปน็ รูปแบบการเขยี นบันเทงิ คดีแบบใหมแ่ ต่มีขาดยาวกว่า เพราะผแู้ ต่งสามารถกำหนด
ตัวบุคคล เหตุการณ์และสถานท่ใี นเรอื่ งโดยไมจ่ ำกดั ซึง่ แนวการเขียนแบ่งเปน็ หลายแบบเช่น แนวพาฝัน แนวชวี ิต
ครอบครวั แนวจิตวิทยา แนวลูกทุง่ แนวราชสำนกั และแนวการเมือง
หากแบง่ ตามแนวปรัชญาตะวันตก แนวโรแมนตกิ (Romanticism) แนวสัจนิยม(Realism) แนวสัจนิยมใหม่(Neo-
Realism) แนวธรรมชาตนิ ิยม(Naturalism)
๔.)บทละครพูด บทละครท่ีไดร้ ับอิทธิพลจากตะวันตกในสมัย ร.๕ บทละครสมยั ใหม่มีท้ังเป็นบทละคร
แปล บทละครแปลง และบทละครท่ีคนไทยคดิ แตง่ ข้ึนมาเอง บทละครปัจจบุ ันจงึ มไิ ด้มุ่งเขียนเพ่ือนำไปใชแ้ สดง
จริงๆ หากแต่มุ่งเขียนขึน้ เพื่อให้บทละครเป็นเครอ่ื งมอื ในการสอ่ื สารความคดิ ของผู้แตง่ ไปยงั ผู้อา่ น
๕.)เป็นการเขยี นร้อยแกว้ ท่ีม่งุ เน้นข้อเทจ็ จริงหรือความคิดเหน็ เปน็ อนั ดับแรก เน้นความ
เพลิดเพลินเปน็ รอง สารคดีแยกประเภทได้หลายแบบ เชน่ แบ่งตามขนาดของสารคดี ได้แก่ บทความ บท
บรรณาธกิ าร และสารคดขี นาดยาว แบง่ ตามลักษณะเน้ือหาออกเป็น ๒ ประเภท คอื สารคดเี ชิงวทิ ยาศาสตร์
แขนงตา่ งๆ เชน่ จติ วทิ ยา วิทยาศาสตร์ และสารคดปี ระเภทประวตั ิศาสตร์ กบั สารคดีเชงิ บันทึกประสบการณ์ เช่น
๙
สารคดที ่องเท่ียว สารคดีชวี ประวัติ แบ่งตามลกั ษณะการเขยี น เช่น บทความ เรยี งความ และสารคดีประเภท
เรื่องเลา่ จากประสบการณ์
๒.แนวคดิ หรือปรชั ญาของเร่ือง
วรรณกรรมไทยปัจจุบันนิยมนำเสนอแนวคิดตามแนวปรัชญาของวรรณกรรมตะวนั ตก โดยเฉพาะ
วรรณกรรมประเภทนวนยิ าย เร่อื งส้นั บทละครพดู เป็นตน้
๓.เนอ้ื หา
เนื้อหาวรรณกรรมไทยปัจจุบันจะเปน็ เรอ่ื งราวของสามญั ชน ซ่ึงมสี ภาพชีวิตความเป็นอยู่ในสังคม
เสมือนจรงิ โดยมฉี ากในท้องเร่ืองเปน็ ภาพจำลองของสังคมปัจจบุ ัน ไม่นิยมกล่าวถงึ เรื่องนรกสวรรค์ แตห่ ันมา
กลา่ วถงึ เรื่องราวต่างๆท่ีเปน็ เร่ืองใกล้ตวั ผูอ้ ่านแทน เชน่ เรอื่ งการเมือง กฎหมาย เศรษฐกจิ การธนาคาร เปน็ ต้น
๔.กลวธิ ีในการแต่ง
ปัจจุบนั วรรณกรรมไทยมกี ลวธิ กี ารแต่งท่ีชวนให้น่าตดิ ตามอยา่ งมากมาย เช่นการเปดิ เร่ืองอาจเริม่
จากการ ยกตัวอย่างสภุ าษิตคำคม มีการดำเนินเรือ่ งท่ีน่าสนใจ การใหต้ วั ละครต่างๆผลดั กันเลา่ เรอ่ื ง การใช้
สัญลกั ษณต์ ่างๆเสนอแนวคดิ และการปดิ เรอื่ งท่ใี ชว้ ิธกี ารปดิ ใหผ้ อู้ า่ นเกิดความประทับใจ การปดิ แบบหักมุมหรือ
พลกิ ความคาดหมาย โดยกลวธิ ตี า่ งเหล่าน้ี ไทยเราไดร้ ับอิทธจิ ากกลวิธกี ารแต่งของตะวันตกมาทั้งนั้น
ลกั ษณะของวรรณกรรมท่ีศกึ ษาสรปุ ว่า ลกั ษณะของวรรณกรรมเป็นมรดกทางวฒั นธรรมทส่ี บื ทอดกนั
มาจากมุขปาฐะหรือการพูดแบบปากต่อปากเปน็ แหลง่ ข้อมูลทบ่ี ันทึกข้อมูลด้านขนบธรรมเนียมประเพณีของกล่มุ
ชนทอ้ งถน่ิ ปฏบิ ัตติ ามสนองความต้องการของกล่มุ ชนในทอ้ งถ่นิ จากการศกึ ษาลักษณะของวรรณกรรมแลว้
สำหรบั หลกั การวเิ คราะหผ์ วู้ ิเคราะห์จะตอ้ งอาศยั การวิเคราะห์และพิจารณามคี วามรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองที่จะ
วเิ คราะห์
๑๐
๒.หลกั การวเิ คราะห์และวิจารณ์วรรณกรรม
๒.๑ ความหมายการวเิ คราะหว์ รรณกรรม
อลงกรณ์ พลอยแก้ว(๒๕๖๔) การวิเคราะหแ์ ละวจิ ารณว์ รรณคดีหรือวรรณกรรม คือการพิจารณา
วรรณกรรมโดยแบง่ เปน็ แต่ละหวั ข้อ ตั้งแต่ รูปแบบการประพันธ์ การดำเนนิ เรือ่ ง เค้าโครงเรอ่ื ง การผูก และการ
คลายปม การใชส้ ำนวนโวหาร การสื่ออารมณ์ ลลี า และสำนวนการประพนั ธ์ คุณคา่ ด้านเนอื้ หาสาระ ความรู้ที่
สอดแทรกอยใู่ นเร่ือง คติ ข้อคิดทแี่ ฝงไว้ เป็นตน้ แล้วประเมนิ คณุ คา่ ของวรรณกรรมนั้นๆ วา่ มขี ้อเดน่ ในด้านใดบา้ ง
หรือมขี ้อด้อยด้านใดการวเิ คราะหล์ ักษณะเด่นของวรรณกรรม
วรรณกรรม คือ งานประพันธ์ทกุ รูปแบบ ทัง้ ทีเ่ ปน็ ตัวหนังสือหรอื วรรณกรรมลายลกั ษณ์ และที่เปน็ เรื่องราวทเ่ี ล่าสืบ
ตอ่ กันมาโดยมไิ ด้จดบันทกึ หรือวรรณกรรมมุขปาฐะ ดงั นีแ้ ลว้ วรรณคดจี ึงเป็นวรรณกรรมรูปแบบหน่งึ นนั่ เอง โดยที่
วรรณคดคี อื วรรณกรรมที่ไดร้ ับการยกย่องว่ามคี ุณค่าทางวรรณศลิ ป์ หรอื ประพันธ์ได้ดี
การวิเคราะหล์ กั ษณะเดน่ ของวรรณคดีและวรรณกรรม มดี ังน้ี
๑.วเิ คราะหร์ ูปแบบคำประพันธ์ พจิ ารณาลักษณะคำประพนั ธว์ า่ เปน็ รอ้ ยแกว้ หรือร้อยกรอง เปน็ รอ้ ยกรอง
ประเภทใด
๒.วเิ คราะห์เนอื้ หาว่ามลี กั ษณะอย่างไร กลา่ วถงึ เรื่องราวใดหรือส่งิ ใด องค์ประกอบตา่ งๆ ของเรื่องมีการ
ประสานกนั อย่างกลมกลนื หรือไม่ ตรงตามขอ้ เท็จจรงิ หรือมีความสมจริงหรอื ไม่
๓.วิเคราะหด์ ้านวรรณศิลป์ การใช้สำนวนโวหาร พิจารณาถึงความไพเราะสละสลวย วรรณคดีและวรรณกรรมทด่ี ี
จะตอ้ งมีวรรณศิลป์ มีการใช้โวหารต่างๆ มกี ารเลน่ เสียงคำสมั ผัสนอกสมั ผสั ใน มีการเลน่ คำในรปู แบบต่างๆ หรือมี
การเลน่ กลอักษร
๔.วิเคราะหก์ ารใชภ้ าษาสอื่ อารมณ์ วรรณคดีและวรรณกรรมท่สี อ่ื อารมณไ์ ดด้ ี จะทำใหผ้ อู้ ่านเกดิ อารมณส์ ขุ หรือ
เศร้ารว่ มไปกับตวั ละครอยา่ งลกึ ซ้งึ
๕.วิเคราะห์คณุ ค่าทางสงั คม วรรณคดแี ละวรรณกรรมท่ดี ีจะสะท้อนภาพของสังคม อาจเปน็ เหตกุ ารณจ์ ริงในอดีต
จากพงศาวดาร ประวัตศิ าสตร์ หรอื อาจเปน็ ภาพสังคมท่สี มมติขนึ้ มาเพ่ือสะทอ้ นสังคมจรงิ ๆ ใหเ้ ห็นวถิ ีชวี ติ ค่านิยม
ของผคู้ นในยคุ สมยั ต่างๆ วา่ มีลกั ษณะอย่างไร
๒.๒การวเิ คราะห์ลกั ษณะเด่นของวรรณคดีและวรรณกรรม
การวิเคราะห์วรรณกรรม(2560)การวเิ คราะหว์ รรณกรรม คือการพิจารณาตรวจตรา แยกแยะประเมนิ
ค่า ซงึ่ จะเกดิ ประโยชนต์ อ่ ผวู้ ิเคราะหใ์ นการนำไปแสดงความคดิ เห็น อภปิ รายข้อเทจ็ จริงใหผ้ ้อู ืน่ ทราบ
๑๑
วธิ กี ารวิเคราะห์
๑.ความเป็นมาของหนังสอื และผ้แู ตง่
๒.ลักษณะคำประพันธ์ ลักษณะของคำประพนั ธ์ที่ผปู้ ระพันธใ์ ช้ในการนำเสนอเนื้อหา เชน่ -กาพย์ มกั ใชแ้ ต่งเปน็
ทำนองเลา่ เร่ือง มีจำนวนคำตามชนดิ ของกาพย์
-กลอน มักใช้แตง่ เพือ่ แสดงอารมร์ ความคดิ เห็น เลา่ เรื่อง มีสัมผสั ระหวา่ งวรรและบท
-โคลง นิยมใช้โคลงแต่งทงั้ เร่ือง บงั คบั จำนวนคำในวรรคสัมผัส บงั คบั เอกโท
๓.เรอ่ื งย่อ
๔.เน้ือเรอ่ื ง เชน่ โครงเรือ่ ง ฉาก ลักษณะการเดนิ เรื่อง การใช้ถ้อยคำ ทัศนะหรอื่ งมุมมองของผู้เขียน เปน็ ตน้
๕.แนวคดิ จดุ ม่งุ หมาย เจตนาของผเู้ ขยี นทีฝ่ ากไว้ในเรือ่ ง
๖.คณุ ค่าของวรรณกรรม เป็นการพิจารณาองคป์ ระกอบทุกส่วน โดยใช้วิธแี ยกแยะรายละเอยี ดตา่ งๆ โดยทวั่ ไปจะ
วิเคราะหแ์ ละวจิ ารณ์กวา้ งๆ ๔ ประเดน็ คือ
๑) คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์ ซง่ึ อาจทำใหผ้ อู้ ่านเกิดอารมณ์ ความรสู้ กึ และ
จินตนาการตามรส ความหมายของถ้อยคำและภาษาท่ีผแู้ ต่งเลอื กใช้ เพอ่ื ให้มคี วามหมายกระทบใจผอู้ ่าน แบ่งเปน็
๑.อปุ มา การเปรียบเทยี บสิ่งหนึง่ เหมือนอีกสง่ิ หนง่ึ
๒.อปุ ลักษณ์ การเปรียบส่งิ หนึ่งเป็นอีกสง่ิ หนึ่ง
๓.บุคคลวัต สมมตุ สิ ่งิ ต่างๆที่ไมใ่ ชม่ นุษย์ ให้มากริ ิยาความรูส้ ึกเหมือนมนุษย์
๔.อตพิ จนห์ รืออธิพจน์ พดู ผดิ ไปจากจริง อาจเกนิ ความเปน็ จริง(เรียกว่าอติพจน์) หรอื นอ้ ยกวา่ ความเปน็ จรงิ
(เรียกวา่ อวพจน์)
๕.สทั พจน์ เปน็ การเลียนเสยี งธรรมชาติ
๖.ปฏิพจน์ การเปรยี บเทียบคำที่มีความหมายตรงข้ามหรือขดั แย้งกัน
นอกจากนี้ยังมลี ลี าการถา่ ยทอดอารมณ์ความรู้สึกตา่ งๆ
๑.เสาวรจนี(ชมโฉม) คือการพูดชมความงาม
๒.นารีปราโมทย์(โอโ้ ลม) คือการใชค้ ำพดู แสดงความรกั การเก้ยี วพาราสี
๑๒
๓.พโิ รธวาทัง(บรภิ าษ) คือการแสดงความโกรธ
๔.สลั ปงั คพสิ ยั (ครำ่ ครวญ) คือการแสดงความโศกเศร้าเสียใจ
๒) คุณค่าด้านเน้อื หาสาระ แนวความคิดและกลวธิ ีนำเสนอ
๓) คุณค่าด้านสงั คม วรรณคดแี ละวรรณกรรมจะสะท้อนใหเ้ หน็ สภาพของสงั คมและวรรณคดที ี่ดีสามารถ
จรรโลงสงั คมไดอ้ ีกดว้ ย
๔) การนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำวนั ผู้อ่านสามารถนำแนวคดิ และประสบการณจ์ ากเรื่องที่อา่ นไป
ประยุกต์ใช้หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวนั ได้
การวเิ คราะห์วรรณกรรม(๒๕๕๒)การวิเคราะห์วรรณกรรมมหี ลักเกณฑ์การปฏิบัติอย่างกวา้ ง ทัง้ นี้เพ่ือให้
ครอบคลุมงานเขยี นทกุ ประเภท แต่ละประเภท ผวู้ ิเคราะหต์ ้องนำแนวการวเิ คราะห์ไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกบั งาน
เขียนแต่ละชนิ้ งานซง่ึ มลี ักษณะแตกตา่ งกันไป ซ่ึงประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (๒๕๔๕ : ๑๒๘) ไดใ้ หห้ ลักเกณฑ์
กว้าง ๆ ในการวิเคราะห์วรรณกรรม ดงั น้ี
๒.๑ ความเปน็ มาหรือประวตั ขิ องหนงั สือและผู้แต่ง เพอื่ ชว่ ยให้วเิ คราะหใ์ นสว่ นอ่ืน ๆ
๒.๒ ลกั ษณะคำประพันธ์
๒.๓ เร่ืองย่อ
๒.๔ เน้อื เร่ือง ให้วเิ คราะหเ์ ร่ืองในหัวข้อต่อไปนต้ี ามลำดบั โดยบางหวั ข้ออาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ตามความ
จำเปน็ เช่น โครงเร่ือง ตัวละคร ฉาก วธิ กี ารแต่ง ลกั ษณะการเดนิ เรอ่ื ง การใชถ้ ้อยคำ สำนวนในเรอื่ งทว่ งทำนองการ
แตง่ วธิ ีคดิ สร้างสรรค์ ทศั นะหรือมุมมองของผเู้ ขียน เป็นต้น
๒.๕ แนวคิด จุดมงุ่ หมาย เจตนาของผู้เขียนท่ีฝากไว้ในเรื่อง ซงึ่ ต้องวเิ คราะห์ออกมาก
๒.๖ คุณคา่ ของวรรณกรรม โดยปกติแบง่ ออกเปน็ ๕ ดา้ นใหญ่ ๆ และกว้าง ๆ เพ่ือความครอบคลุมในทุก
ประเดน็ ซ่ึงผู้วเิ คราะห์ตอ้ งไปแยกหัวขอ้ ย่อยให้สอดคล้องกบั ลกั ษณะ ของหนังสือที่จะวเิ คราะหน์ ัน้ ๆ ตามความ
เหมาะสม
๓. การวิเคราะห์คณุ คา่ ของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
ความหมายของการวิเคราะห์วรรณคดแี ละวรรณกรรม การวิเคราะห์ หมายถึง การพิจารณาองคป์ ระกอบทุกสว่ น
โดยวิธแี ยกแยะรายละเอยี ดต่าง ๆ ตัง้ แต่ถ้อยคำสำนวน การใชค้ ำ ใชป้ ระโยค ตลอดจนเน้ือเร่ืองและแนวคดิ ทุก
อยา่ งทป่ี รากฏอยู่ในขอ้ เขยี นน้ัน เม่ือวิเคราะหส์ ว่ นประกอบได้แล้ว จึงวจิ ารณ์ต่อไป
๑๓
การวิจารณ์ หมายถึง การพจิ ารณาเทคนิคหรอื กลวิธีท่ีแสดงออกมาน้นั ให้เห็นว่านา่ คิด น่าสนใจ น่าตดิ ตาม มชี นั้ เชงิ
ยอกย้อนหรอื ตรงไปตรงมา องค์ประกอบใดมีคุณค่า น่าชมเชย องค์ประกอบใดนา่ ทว้ งติงหรือบกพร่องอย่างไร การ
วจิ ารณ์สง่ิ ใดจึงตอ้ งใช้ความรู้ มีเหตผุ ล มีหลกั เกณฑ์ และมีความรอบคอบดว้ ย
การวิจารณ์งานประพันธ์ หมายถึง การพจิ ารณากลวธิ ตี า่ ง ๆ ทุกอยา่ งทปี่ รากฏในงานเขียน ซงึ่ ผู้เขียนแสดงออกมา
อย่างมีช้ันเชิง โดยผวู้ จิ ารณ์จะตอ้ งแสดงเหตผุ ลทีจ่ ะชมเชย หรือชีข้ ้อบกพร่องใด ๆ ลงไป
วิธีวิเคราะหแ์ ละวจิ ารณง์ านประพนั ธ์
ตามปกตแิ ล้วเมื่อจะวจิ ารณส์ ิ่งใด จำเปน็ ต้องเริ่มวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ใหเ้ ข้าใจ ชดั เจนเสียกอ่ นแล้วจึง
วจิ ารณ์แสดงความเห็นออกมาอยา่ งมเี หตุผล ให้นา่ คิด นา่ ฟังและ
เป็นคำวิจารณท์ ่ีนา่ เชื่อถือได้
การวิจารณ์งานประพนั ธ์สำหรบั ผเู้ รียนท่ีเร่มิ ต้นฝึกหัดใหม่ ๆ นน้ั อาจต้องใช้เวลาฝึกหัด มากสักหน่อย อ่าน
ตวั อยา่ งงานวจิ ารณ์ของผู้อนื่ มาก ๆ และบ่อย ๆ จะชว่ ยไดม้ ากทเี ดียว เม่อื ตัวเราเร่ิมฝกึ วจิ ารณง์ านเขยี นใด ๆ อาจจะ
วิเคราะห์ไมด่ ี มเี หตผุ ลนอ้ ยเกินไป คนอื่นเขาไม่เหน็ ดว้ ย เราก็ควรยอ้ นกลับมาอ่านเขียนนนั้ ๆ อีกคร้งั แลว้ พจิ ารณา
เพิม่ เติม วิธีวิเคราะห์ วิจารณง์ านประพนั ธ์จึงมลี กั ษณะดังน้ี
การวิเคราะห์และวจิ ารณง์ านประพนั ธเ์ ทา่ ท่พี บเห็นทวั่ ๆ ไป นักวิจารณน์ ยิ มพิจารณากว้าง ๆ ๔ ประเด็น
๑) คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ป์ คอื ความไพเราะของบทประพันธ์ ซึ่งอาจทำใหผ้ ู้อ่านเกิดอารมณ์ ความรสู้ ึกและ
จินตนาการตามรส ความหมายของถ้อยคำและภาษาทผ่ี ู้แต่งเลอื กใช้
เพ่ือให้มีความหมายกระทบใจผ้อู า่ น
๒) คุณคา่ ด้านเน้ือหาสาระ แนวความคดิ และกลวธิ นี ำเสนอท้งั ๒ ประเดน็ น้ี จะอธบิ าย และยกตัวอย่าง
ประกอบพอเข้าใจ โดยจะกลา่ วควบกันไปทง้ั การวเิ คราะห์และการวิจารณ์
๓) คณุ ค่าด้านสงั คม วรรณคดีและวรรณกรรมจะสะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพของสงั คมและวรรณคดีท่ีดีสามารถ
จรรโลงสังคมได้อีกดว้ ย
๔) การนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวนั ผอู้ ่านสามารถนำแนวคิดและประสบการณ์จากเรื่องที่อ่านไป
ประยุกต์ใช้หรือแกป้ ัญหาในชีวิตประจำวนั ได้
๓.๑ การพจิ ารณาคุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์
๑๔
วรรณศลิ ปเ์ ป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญซึ่งชว่ ยส่งเสริมให้วรรณกรรมมีคณุ ค่านา่ สนใจ คำวา่ “วรรณศลิ ป์”
หมายถงึ ลกั ษณะดีเดน่ ทางด้านวธิ ีแตง่ การเลือกใช้ถอ้ ยคำ สำนวน ลลี า
ประโยค และความเรียงต่าง ๆ ท่ปี ระณีต งดงาม หรอื มีรสชาตเิ หมาะสมกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างดี วรรณกรรมที่ใช้
วรรณศิลป์ช้นั สูงนน้ั จะทำให้คนอ่านไดร้ ับผลในทางอารมณ์ความรสู้ กึ เช่น เกดิ ความสดชืน่ เบกิ บาน ขบขนั
เพลดิ เพลิน ขบคิด เศร้าโศก ปลกุ ใจ หรืออารมณ์อะไร ก็ตามท่ีผเู้ ขียนตอ้ งการสรา้ งให้เกดิ ข้นึ ในตัวผอู้ ่าน นนั่ คือ
วรรณศลิ ปใ์ นงานเขยี น ทำให้ผ้อู า่ น เกิดความรู้สึกในจิตใจและเกดิ จินตนาการสรา้ งภาพคิดในสมองได้ดี
การวเิ คราะหง์ านประพนั ธ์จึงควรพิจารณาวรรณศิลป์เปน็ อันดับแรกแล้วจึงวจิ ารณ์วา่ มคี ุณคา่ หรือน่าสนใจเพียงใด
หากงานประพนั ธ์นั้นเป็นประเภทบทรอ้ ยกรอง ผอู้ ่านท่ีจะวเิ คราะหว์ ิจารณ์ ควรมีความรบู้ างอย่าง เชน่ รู้บงั คบั การ
แต่งบทร้อยกรองร้วู ธิ ีใช้ภาษาของกวี รวู้ ิธีสรา้ งภาพฝนั หรือความคดิ ของกวี เป็นต้น ความรดู้ ังกลา่ วนี้จะช่วยให้
เขา้ ใจบทร้อยกรองได้มากขน้ึ
จากการศึกษาหลักการวิเคราะห์และวจิ ารณ์วรรณกรรมสรุปได้ว่าการพจิ ารณาคุณคา่ วรรณศิลปเ์ ป็น
องค์ประกอบท่สี ำคญั ซึง่ จะช่วยสง่ เสริมใหว้ รรณกรรมตา่ งๆมีคุณคา่ นา่ สนใจทำให้คนอ่านไดร้ บั ผลในทางอารมณ์
ความรสู้ ึก เช่น เกดิ ความสดชื่น เบกิ บาน ขบขนั เพลดิ เพลิน ขบคิด เศรา้ โศก ปลุกใจ หรืออารมณอ์ ะไร กต็ ามที่
ผู้เขียนต้องการสรา้ งให้เกดิ ขึ้นในตวั ผูอ้ ่าน น่นั คือ วรรณศิลป์ในงานเขยี น ทำให้ผอู้ ่าน เกดิ ความรสู้ ึกในจติ ใจและเกิด
จินตนาการสร้างภาพคดิ ในสมองได้ดี นอกจากหลักการวเิ คราะหแ์ ละวิจารณ์วรรณกรรมแลว้ ยงั ต้องใชร้ ปู แบบ
วรรณกรรมยังมลี ักษณะตา่ งกันดงั น้ี
๓.รูปแบบวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้
รปู แบบวรรณกรรมท้องถน่ิ ภาคใต้(๑๕๔๓)วรรณกรรมพืน้ บา้ นภาคใต้ แบ่งได้เปน็ ๓ รปู แบบ คือ วรรณกรรมที่
ได้รับอิทธพิ ลจากวรรณกรรมพน้ื บ้านภาคกลาง วรรณกรรมท่ีสร้างสรรคข์ ึ้นเอง และวรรณกรรมเบด็ เตลด็ แตล่ ะ
รูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
วรรณกรรมท่ไี ด้รบั อิทธิพลจากวรรณกรรมพน้ื บา้ นภาคกลาง
วรรณกรรมท่ีได้รบั อิทธพิ ลจากวรรณกรรมพื้นบ้านภาคกลาง หมายถงึ วรรณกรรมท่ีคดั ลอกตน้ ฉบับมาจากภาค
กลาง แตผ่ ู้คัดลอกนำมาปรับปรงุ หรอื เปล่ยี นแปลงเน้ือเรอ่ื งบางตอนตามความคิดเหน็ ของตน โดยยงั คงฉันทลักษณ์
เดยี วกบั ต้นฉบบั แต่มสี ำนวนภาษาทอ้ งถ่นิ ปะปนอยูบ่ ้าง เชน่ พระรถเสนคำกาพย์ สบุ นิ กุมาร จันทโครพ รามเกยี รต์ิ
ลกั ษณวงศ์ อุณรทุ เปน็ ตน้
วรรณกรรมทส่ี ร้างสรรค์ขึ้นเอง
๑๕
วรรณกรรมรปู แบบน้ี เปน็ วรรณกรรมท่ีกวีพนื้ บา้ นภาคใตน้ ำโครงเรื่องจากนทิ านในทอ้ งถิ่นหรอื นำโครงเรอ่ื งมาจาก
ภาคกลาง แตป่ ระพนั ธ์ขึน้ ใหมด่ ว้ ยด้วยฉันทลักษณท์ ้องถน่ิ เช่น ชาลวนั คำกาพยส์ ุวรรณสนิ สัปดนคำกาพย์ สงั ข์
ทองคำกาพย์ พระแสงสุริยฉายคำกาพย์ พระวรเนตรคำกาพย์ เปน็ ต้น
วรรณกรรมเบด็ เตล็ด
วรรณกรรมรูปแบบน้ี ได้แก่ ตำรา เชน่ ตำราดลู ักษณะสตรี ตำราดูลักษณะสัตว์ ตำรายา ตำราโชคชะตาราศี
แบบเรยี นท่คี ัดลอกมาจากภาคกลาง เช่น จนิ ดามณี ประถม ก กา ปฐมมาลา
วรรณกรรมพื้นบ้านภาคใต้
แบง่ เปน็ ๓ รปู แบบ ดงั น้ี
๑. วรรณกรรมทไ่ี ดร้ บั อิทธพิ ลจากวรรณกรรมพ้นื บา้ นภาคกลาง
หมายถงึ วรรณกรรมท่ีคัดลอกต้นฉบับมาจากภาคกลาง แต่ผคู้ ัดลอกนำมาปรับปรงุ หรือเปลี่ยนแปลงเนอื้ เรื่องบาง
ตอนตามความคิดเห็นของตน โดยยงั คงฉันทลักษณ์เดียวกับต้นฉบับ แต่มสี ำนวนภาษาทอ้ งถิ่นช่น รามเกยี รต์ิ อุณรุท
๒. วรรณกรรมทสี่ ร้างสรรค์ข้ึนเอง
วรรณกรรมรูปแบบนี้ เป็นวรรณกรรมที่กวีพืน้ บ้านภาคใต้นำโครงเรื่องมาจากภาคกลาง แตป่ ระพนั ธ์ข้นึ ใหม่
ด้วยฉนั ทลกั ษณ์ทอ้ งถิน่ เช่น สงั ข์ทองคำกาพย์
๓. วรรณกรรมเบด็ เตล็ด
วรรณกรรมรปู แบบนไี้ ดแ้ ก่ตำราตา่ งๆ หรือ แบบเรียนทีค่ ดั ลอกมาจากภาคกลาง เชน่ จินดามณี เป็นต้น
รปู แบบและเนื้อหาวรรณกรรมภาคใต้(๒๕๖๑)
รูปแบบของวรรณกรรมภาคใต้ยุคการพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๕๒๐ รูปแบบ คือ ประเภทของวรรณคดีที่จำแนก
แตกต่างกันไป ครอบคลมุ ถงึ รูปแบบคำประพนั ธ์และภาษาท่ีใช้ รูปแบบมไี วเ้ พอ่ื เป็นวธิ กี ารสำหรบั แสดงเนื้อหา การ
ทราบรูปแบบช่วยให้ผู้อ่านเห็นขอบข่ายและพัฒนาการของงาน ทั้งช่วยให้ทราบว่าจะหวังและอ่านงานประพันธ์
นั้นๆ เพื่ออะไร (Peck & Coyle, ๒๐๐๒) สำหรับการศึกษารูปแบบของวรรณกรรมภาคใต้ยุคการพิมพ์ ผู้วิจัยมุ่ง
ศึกษารูปแบบคำประพันธ์ เพราะพบว่ามีลักษณะที่แปลกแตกต่างไปจากวรรณกรรมภาคใต้สมัยโบราณอย่างเห็น
เดน่ ชัด ผู้แตง่ ใช้รปู แบบของร้อยกรองทั้งหมด มกั สอดแทรกภาษาไทยถ่ินใตเ้ พ่ือให้เอ้ือต่อการออกเสียงเป็นทำนอง
ท้องถิ่นใต้ ซึ่งพบว่าวรรณกรรมภาคใต้กลุ่มนี้มีรูปแบบคำประพันธ์ที่หลากหลาย ได้แก่ ๑) รูปแบบคำประพันธ์
ประเภทกลอนเพลงยาว ส่วนใหญ่แต่งเป็นนิราศ เช่น นิราศไปวัดเขาพัง นิราศพรมนิราศไปจังหวัดตรงั นิราศพระ
๑๖
ธาตุนคร และนริ าศชืน่ โดยใช้คำในแต่ละวรรคประมาณ ๗ - ๙คำ และเน้นแตง่ ตามแบบแผนฉนั ทลกั ษณ์ของกลอน
เพลงยาวสุนทรภู่ คือ นิยมให้มีสัมผัสในเป็นคู่ๆ ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะ เพียงแต่การใช้คำอาจไม่
สละสลวยเทา่ ๒) รปู แบบคำประพันธป์ ระเภทกลอนสภุ าพ ไดแ้ ก่ เรอื่ งรักทแ่ี สนเศร้า เรื่องนางปฏาจารา วาตภัยคำ
กลอน พระพุทธทำนายคำกลอน มาตุภูมิที่ข้ารัก องคุลีมาลแผลงฤทธิ์ สองกุมารคำกลอนเมืองสิด (ขุนแกล้ว)
แหมะเว คำกลอนสอนใจคนจน คติคำกลอนเตือนเพื่อน สุภาษิตสอนชู้ชายโสด คำกลอนสอนใจ และประสิทธิพร
กลอน โดยขึ้นต้นด้วยวรรคสดับ ส่วนการใช้คำในแต่ละวรรคก็ใช้ประมาณ ๗-๙ คำและยังคงเน้นการสัมผัสใน
เหมือนกลอนของสุนทรภู่ ๓) รูปแบบคำประพันธ์ประเภทฉันท์ มักเป็นผลงานของผู้ที่ได้รับการศึกษาจากเมือง
หลวงเช่น คม ภิรมยาภรณ์ แต่งเรื่องโทษผิดกาเมคำฉันท์ หรือขุนมนตรีบริรักษ์ แต่งเรื่องประวตั ิพระพุทธไสยาศน์
๔) รูปแบบคำประพนั ธ์ประเภทผสม มักแตง่ โดยใช้รปู แบบคำประพันธช์ นิดตา่ งๆ ต้งั แต่ ๒ ชนิดขนึ้ ไป เช่น แต่งด้วย
คำประพันธ์ประเภทกลอนผสมกับกาพย์ กลอนผสมกับโคลง ดังเรื่องลานอโศกของกามนติ ทีแ่ ต่งด้วยโคลงผสมกับ
กลอน โดยเรม่ิ ต้นด้วยโคลงตามดว้ ยกลอนสภุ าพ ปดิ ทา้ ยด้วยกลอนหก และ ๕) รปู แบบคำประพันธป์ ระเภทกลอน
ท้องถิ่น มีทั้งแต่งโดยใช้กลอนส่ี กลอนเพลงบอกและกลอนกำพรัดโนรา เช่น นิทานสาธกเข็ญจะศีลคำกลอนเพลง
กะบอก และคำกลอนมโนหร์ าขี้เมา
จากการศึกษารูปแบบวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้สรุปได้ว่า รูปแบบวรรณกรรมของภาคใต้นั้นแบ่งออกเป็น
สามรูปแบบดังนี้ คือวรรณกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมพื้นบ้านภาคกลาง วรรณกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้น
เอง และวรรณกรรมเบ็ดเตล็ด นอกจากนี้วรรณกรรมและแยกเป็นต่างๆได้และยังทำให้เห็นถึงภาษาที่ใช้ใน
วรรณกรรมได้ ดงั น้ี
๔. ภาษาที่ใชใ้ นวรรณกรรมท้องถนิ่ ภาคใต้
ภาษาที่ใช้ในวรรณกรรมภาคใต้ (๒๕๔๒) วรรณกรรมท้องถิน่ ภาคใต้ ในที่นี้หมายถึงเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับ
ภาคใต้และที่ได้บันทึกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร โดยผ้บู ันทึกมีเจตนาจะใหส้ ่งิ เหลา่ นี้คงอยยู่ าวนาน และสามารถสบื สาน
สาระตอ่ ไปในภายภาคหน้าได้ด้วยการอา่ นหรือฟังผู้อ่นื อา่ นวรรณกรรมทอ้ งถิ่น รวมท้ังเรื่องราวทม่ี ีโครงเร่ือง มีนาฏ
การของตัวละคร และเรื่องราวที่ไม่มีโครงเรื่องและไม่มีตัวละคร แต่ต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่รวมถึง
วัฒนธรรมท่ีบอกเลา่ กันดว้ ยปากเปลา่ หรือทีเ่ รียกกนั วา่ มุขปาฐะ โดย
วรรณกรรมทอ้ งถ่ินภาคใต้มอี งค์ประกอบสำคัญ คอื
๑) สงิ่ ท่ีใชจ้ ารหรือใช้เขยี น
๒) ตัวอักษรและอกั ขรวิธี
๓) ภาษา
๑๗
๔) เนอื้ หาทน่ี ำมาบนั ทกึ
๕) ผู้แตง่ หรอื ผ้สู ร้างสรรค์ หรอื ผกู้ ำหนดเนื้อหา
๖) องคป์ ระกอบอื่น ๆ
ภาษาทใ่ี ชใ้ นวรรณกรรมทอ้ งถิ่นภาคใต้มดี ังน้ี
๑) ภาษาบาลีและสันสกฤต ในศิลาจารึกใช้ภาษาบาลี เมื่อต้องบันทึกเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น พระ
อภธิ รรม
๒) ใช้ภาษาไทยปนขอมในวรรณกรรมทีต่ ้องการให้แพร่หลายในความนิยมศรัทธา มีทั้งหนังสือที่เก่ียวกับความเชื่อ
การประกอบพิธกี รรม และนิทานประโลมโลกบางเร่ือง เชน่ เรอื่ งไชยเชษฐ์ (คำกาพย์) บดุ ขาว ฉบับจังหวดั สรุ าษฎร์
ธานี ตำราดูลักษณะชายหญิง เรื่องที่นั่งชายที่นั่งหญิง (คำกาพย์) และหนังสือบุดขาว ฉบับอำเภอเทพา จังหวัด
สงขลา เป็นต้น
๓) ใชภ้ าษาไทย ได้แก่ หนังสอื ประเภทตำรายา หนงั สอื สวด นิทานประโลมโลก ตำราความรู้ทว่ั ไป เช่น พงศาวดาร
พระธรรมเทศนา พระศรีสุธน สบุ นิ ยันต์ ฤกษย์ าม ฯลฯ
ชะเอม แก้วคล้าย (๒๕๖๒) พัฒนาการอักษรที่ใช้บันทึกวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้หมายถึงการ
เปลี่ยนแปลงของอักษรที่ใช้บันทึกวรรณกรรมในท้องถิ่นภาคใต้ เมื่อคำว่า วรรณกรรมหมายถึงงานประพันธ์ทุก
ชนิดจำเปน็ ต้องย้อนกลบั ไปดูวรรณกรรมเก่าแกท่ ส่ี ุดในภาคใต้ ได้แก่ ศิลาจารึกสมุดไทยใบลานและเอกสารเอกสาร
อ่ืน ๆ จึงจับประเด็นการเปลย่ี นแปลงอักษรทใี่ ช้บันทึกวรรณกรรมในภาคใต้ได้ดังนี้ อักษรปัลลวะเปน็ อักษรที่บันทึก
วรรณกรรมเก่าแก่ที่สุดในภาคใต้ มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒ บันทึกด้วยภาษาสันสกฤต มีเนื้อหา
เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธพบที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดปัตตานีจงั หวัดพัทลงุ และจังหวัดสุ
ราษฎร์ธานี อักษรปัลลวะที่บันทึกวรรณกรรมเป็นภาษาทมิฬพบที่จังหวัดพังงา ต่อมาอักษรปัลลวะได้กลายรูป
เรียกว่า อักษรหลังปัลลวะ ปรากฏครั้งแรกเมื่อพ.ศ. ๑๓๑๘ ที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนกระท่ัง
พ.ศ.๑๗๒๖ ได้พบจารึกอักษรขอมโบราณที่ฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง อำเภอไชยา เป็นอักษรที่พัฒนามาจาก
อกั ษรหลังปลั ลวะจนถงึ พ.ศ.๑๗๗๓อกั ษรขอมโบราณไดพ้ ฒั นามาเปน็ อักษรขอมแบบท้องถิ่นภาคใตโ้ ดยเฉพาะ
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรมภาคใต้ (๒๕๓๓) ภาคใต้เป็นดินแดนที่มีอารยรรมและเป็นศูนย์กลาง
ของคนหลายชาติหลายภาษามาแต่โบราณ ทำให้ชนหลายชาติอพยพเข้ามาสัมพันธ์และตั้งถิ่นฐานปะปนกับ
ชาวเมือง เป็นเหตุให้เลือดเนื้อเชื้อสาย ของคนภาคใต้อยู่ในลักษณะผสมผสาน ในยุคที่ชาวอินเดียเข้ามาติดต่อ
ค้าขายได้นำอารยธรรมและ ศิลปวิทยาการเข้ามาด้วย โดยเฉพาะทางตัวอักษรและภาษา ดังปรากฏหลักฐานจาก
ศลิ าจารึก หลายหลักในภาคใต้ทร่ี บั อารยธรรมทางตวั อกั ษรและภาษาจากอนิ เดีย
๑๘
สว่ นทเ่ี ก่ียวกับวรรณกรรมภาคใต้ มีวรรณกรรมมขุ ปาฐะอยู่เป็นจำนวนมาก ทัง้ ถอ้ ยคำ สำนวน คำพังเพย เพลงร้อง
เรอื นทิ าน และบทสวดทีใ่ ช้ในพธิ กี รรมของชาวบา้ น
ลักษณะการบันทึกวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ มีวิธีการสะกดการันต์หรืออักขรวิธีเป็นของตนเองโดยเฉพาะ
วรรณกรรมที่บนั ทึกลงไว้ในหนงั สอื บดุ มหี ลายประเภท
การแพรก่ ระจายของวรรณกรรมทอ้ งถิน่ ใต้ วรรณกรรมทอ้ งถิ่นภาคใตท้ บี่ นั ทึกในหนังสอื บดุ เป็นวรรณกรรมทม่ี ีการ
แพรก่ ระจาย ถ่ายทอด หรือสบื ทอดจากคนรุน่ หนง่ึ ไปสูค่ นอกี รนุ่ หนึง่ ด้วยวธิ กี ารบันทกึ ไวเ้ ป็นอักษร
จากการศึกษาภาษาที่ใช้ในวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้สรุปได้ว่า ภาษาที่ใช้ในวรรณกรรมท้องถ่ิน
ภาคใต้นั้นมีการใช้หลายภาษา เช่น ภาษาบาลีและสันสกฤตและใช้ภาษาไทยปนขอมเพื่อต้องการให้แพร่หลายใน
ความนิยมศรัทธา ลักษณะของวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ มีวิธีการสะกดการันต์หรืออักขรวิธีเป็นของตนเอง
โดยเฉพาะ อกี ทงั้ ยงั มอี ักษรปลั ลวะเปน็ อักษรทบ่ี ันทกึ วรรณกรรมเก่าแก่ท่ีสุดในภาคใต้
๕. ประเภทวรรณกรรมแบ่งออกเป็น๕ประเภท
ประเภทวรรณกรรมเพลงพืน้ บ้านภาคใต้
พรรณี วัฒนายากร (๒๕๕๒) เพลงพื้นบ้านภาคใต้มีค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ แต่ยังรักษารูปแบบ
พื้นเมืองได้มาก นิยมเล่นกันเองตามเทศกาลต่างๆ โดยไม่มีการรับจ้างแสดง และไม่ถือเป็นอาชีพ เพลงพื้นบ้าน
ภาคใต้ที่สำคัญๆ ได้แก่ เพลงเรือ เพลงบอก เพลงนา เพลงกล่อมนาคหรือแห่นาค และเพลงร้องเรือหรือเพลงชา
นอ้ งซ่งึ เป็นเพลงกล่อมเด็ก
๑.เพลงเรือ
เปน็ เพลงพื้นบ้านประเภทหน่ึง ใช้เล่นในเรอื นยิ มเล่นในเดือนสบิ เอ็ด หรอื เดือนสบิ สองหลงั ออกพรรษาแล้ว ภาคใต้
จะมีงานประเพณีชักพระหรือแห่พระ ผู้เล่นเพลงเรือเป็นชาวบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเลสาบ เช่น
อำเภอไชยา อำเภอเกาะสมุย อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอหาดใหญ่ อำเภอเมืองฯ อำเภอรัตภูมิ
จังหวัดสงขลา และจังหวัดชุมพร การเล่นเพลงเรือ มีเรือเพลงฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยเริ่มต้นร้องกลอนไหว้ครู
กอ่ น จากน้ันกว็ ่ากลอน ชกั ชวนเรือเพลงอีกฝา่ ยให้มาร้องเล่นกัน แลว้ ร้องโต้ตอบกันด้วยปฏภิ าณไหวพรบิ ทงั้ ในเชิง
เกี้ยวพาราสี โต้คารมอย่างเผ็ดร้อน และกระเซ้าเย้าแหย่กัน มักนำเอาเหตุการณ์บ้านเมือง หรือสภาพแวดล้อมมา
สอดแทรกในเนื้อร้อง เพื่อใหเ้ กิดอารมณ์ขัน หรือเสยี ดสปี ระชดประชันกัน ในระหวา่ งทีร่ ้องเพลงเรือนั้น ผู้พายต้อง
พายให้เขา้ กับจังหวะของเพลงด้วย
๒.เพลงบอก
๑๙
เป็นเพลงพื้นบ้านที่นิยมเล่นในวันสงกรานต์ (ก่อนหรือหลังก็ได้) เพื่อบอกความหรือประกาศวันสงกรานต์ว่า ปีนี้
นาคให้นำ้ กต่ี วั วันใดเปน็ วันธงชยั วันอธบิ ดี ฯลฯ เพลงบอกอาจเลน่ ในงานบญุ ต่างๆ หรอื งานประจำปกี ไ็ ด้
๓.เพลงนา
เพลงพื้นบ้านของชาวชุมพร ใช้ร้องเล่นเมื่อจับกลุ่มเดินไปนา และร้องระหว่างเกี่ยวข้าว ลักษณะคำประพันธ์เป็น
กลอนสุภาพ แต่วรรคหนึ่งอาจมี ๙ - ๑๑ คำแล้วแต่เนื้อความที่ร้อง และใช้สัมผัสท้ายวรรคเป็นเสียงเดียวกันท่ี
เรียกว่า กลอนอา กลอนอี การร้องเพลงนาต้องมีคู่ขับร้องด้วยคนหนึ่ง ผู้ร้องนำต้นบทเรียกว่า แม่เพลง คู่ขับร้อง
เรียกวา่ ทา้ ยไฟ และเม่ือร้องจบบทหนึ่งอาจเปลี่ยนกนั เปน็ แมเ่ พลง หรอื ทา้ ยไฟก็ได้
๔.เพลงกล่อมนาค หรอื เพลงแหน่ าค
เป็นเพลงพืน้ บา้ นของชาวไทยพทุ ธแถบแหลมสทิงพระ จังหวัดสงขลา ใชร้ ้องกลอ่ มนาคตอนแหน่ าคออกจากบ้านไป
วัด และตอนแห่เวียนรอบพระอุโบสถ นอกจากร้องเพื่อความสนุกสนานครื้นเครง เนื้อหาของบทเพลงยังเป็นการ
อบรมสั่งสอนนาคก่อนเข้าบรรพชาอุปสมบท ขอความเป็นสิริมงคลจากเทวดา และบางตอนก็ร้องล้อเลียนนาค
เก่ียวกับหญงิ คนรักด้วย คณะเลน่ เพลงกลอ่ มนาคมีแม่เพลง ๑ - ๒ คน และลกู คู่ ๕ - ๑๐ คน เดินลอ้ มตวั นาค และ
ร้องเพลงกลอ่ มไปตลอดทางจนถงึ พระอุโบสถ มแี บบแผนการรอ้ งนำและรอ้ งรบั
๕.เพลงร้องเรือ หรือเพลงชานอ้ ง
เป็นเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้ ใช้ร้องกล่อมเด็กให้นอนหลับ ลักษณะคำประพันธ์เป็นกลอนชาวบา้ น โดยทั่วไป ๑
บท มี ๘ วรรค ในแต่ละวรรค มี ๔ - ๑๐ คำ แล้วแตเ่ น้ือความ และบางเพลงอาจมีความยาวถึง ๓๐ วรรค เพลงรอ้ ง
เรือ หรือเพลงชาน้อง ส่วนมากร้องเกร่ินนำด้วยคำว่า "ฮาเอ้อ" และจบท้ายวรรคแรกด้วยคำว่า "เหอ" เนื้อหาสาระ
เป็นการขบั กล่อมให้เด็กนอนหลบั เรว็ และหลับสนทิ ด้วยความอบอนุ่ ท้งั กายและใจ หลายบทได้สอดแทรกคำสอน
ในการประพฤติปฏบิ ตั ิตน ปลูกฝงั คณุ ธรรม และสะทอ้ นเร่อื งราวท่เี กดิ ขึ้นในสงั คมด้วย
บญุ เสริม แก่นประกอบ (๒๕๔๓)
เพลงกลอ่ มเด็ก ชื่อของเพลงกล่อมเดก็ ภาคใต้ ซงึ่ มชี ือ่ เรียก ๔ อยา่ ง คอื
๑) เพลงร้องเรือ สันนิษฐานว่าการที่เรียกเช่นนี้ อาจเป็นเพราะลักษณะของเปลผ้าที่ผูกเป็นรูปคล้ายเรือ คือเอา
ปลายของผืนผ้าทั้ง ๒ ข้าง รวบผูกด้วยเชือกแขวนห้อยไว้ แล้ววางตัวเด็กให้นอนตรงส่วนกลาง เปลจึงดูมีท้องลึก
ส่วนกลางกวา้ ง หัวท้ายเรียวสอบเขา้ ไปคล้ายลำเรอื
๒) เพลงชาน้อง หรือ เพลงช้าน้อง “ชา” มาจากคำบูชา เป็นทำนองร้องขับสดุดีอย่าง “ชาขวัญข้าว” ซึ่งเป็นการ
สดุดีแม่โพสพ การ “ชานอ้ ง” คงหมายถงึ การสดุดี “ แม่ซื้อ” ซ่งึ เชอ่ื กนั วา่ เปน็ ผที ีช่ ว่ ยปกปักรกั ษาทารก
๒๐
๓) เพลงเสภา คำ “เสภา” น้ี ปรากฏว่าได้พบหลักฐานจากบทเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ในหลายท้องที่ เช่น จังหวัด
พทั ลุง สงขลา นครศรีธรรมราช เรียงเพลงกล่อมเดก็ อยา่ งหนึง่ วา่ “เสภา”
๔) เพลงน้องนอน บางถ่นิ เรียกเพลงกล่อมเด็กตรง ๆ วา่ เพลงนอ้ งนอน การท่ีเรยี กช่ือตา่ งกันเช่นน้ี สงั เกตได้ว่า ถ้า
เป็นการขับกล่อมให้เด็กนอนหลบั มักเรียกว่า “เพลงชาน้อง” ถ้ามุ่งถึงการขับร้องท่ัว ๆ ไป มักเรียกวา่ “เพลงร้อง
เรือ” แตถ่ ้านำเอาเพลงกลอ่ มเดก็ ไปเลน่ เปน็ ทำนองกลอนสดหรือเป็นบทปฏิภาณ ทีม่ กั เรยี กวา่ “เพลงเสภา”
วิเคราะห์วิธีการใช้ถ้อยคำในเพลงพ้นื บ้านภาคใต้ ประเภทเพลงกล่อมเด็ก
ประเภทของเพลงพื้นบา้ น(๓๐ มกราคม ๒๕๕๙)
๑.เพลงเรอื
เปน็ เพลงพืน้ บ้านประเภทหนึ่ง ใชเ้ ล่นในเรือ นยิ มเล่นในเดอื นสิบเอ็ด หรือเดอื นสบิ สองหลังออกพรรษาแลว้ ภาคใต้
จะมีงานประเพณีชักพระหรือแห่พระ ผู้เล่นเพลงเรือเป็นชาวบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเลสาบ เช่น
อำเภอไชยา อำเภอเกาะสมุย อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอหาดใหญ่ อำเภอเมืองฯ อำเภอรัตภูมิ
จังหวัดสงขลา และจังหวัดชุมพร การเล่นเพลงเรือ มีเรือเพลงฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยเริ่มต้นร้องกลอนไหว้ครู
กอ่ น จากนนั้ กว็ ่ากลอน ชักชวนเรอื เพลงอกี ฝ่ายใหม้ าร้องเลน่ กัน แล้วร้องโต้ตอบกนั ดว้ ยปฏิภาณไหวพรบิ ทง้ั ในเชิง
เกี้ยวพาราสี โต้คารมอย่างเผ็ดร้อน และกระเซ้าเย้าแหย่กัน มักนำเอาเหตุการณ์บ้านเมือง หรือสภาพแวดล้อมมา
สอดแทรกในเนื้อร้อง เพอื่ ให้เกิดอารมณ์ขัน หรอื เสียดสีประชดประชันกัน ในระหว่างทร่ี ้องเพลงเรือน้ัน ผู้พายต้อง
พายให้เขา้ กับจงั หวะของเพลงดว้ ย
๒.เพลงบอก
เป็นเพลงพื้นบ้านที่นิยมเล่นในวันสงกรานต์ (ก่อนหรือหลังก็ได้) เพื่อบอกความหรือประกาศวันสงกรานต์ว่า ปีน้ี
นาคให้น้ำกี่ตวั วันใดเปน็ วนั ธงชัย วันอธบิ ดี ฯลฯ เพลงบอกอาจเลน่ ในงานบุญต่างๆ หรอื งานประจำปกี ็ได้
๓.เพลงนา
เพลงพื้นบ้านของชาวชุมพร ใช้ร้องเล่นเมื่อจับกลุ่มเดินไปนา และร้องระหว่างเกี่ยวข้าว ลักษณะคำประพันธ์เป็น
กลอนสุภาพ แต่วรรคหนึ่งอาจมี ๙ - ๑๑ คำแล้วแต่เนื้อความที่ร้อง และใช้สัมผัสท้ายวรรคเป็นเสียงเดียวกันท่ี
เรียกว่า กลอนอา กลอนอี การร้องเพลงนาต้องมีคู่ขับร้องด้วยคนหนึ่ง ผู้ร้องนำต้นบทเรียกว่า แม่เพลง คู่ขับร้อง
เรยี กวา่ ท้ายไฟ และเมื่อร้องจบบทหนึ่งอาจเปล่ียนกันเป็นแมเ่ พลง หรอื ท้ายไฟกไ็ ด้
๔.เพลงกลอ่ มนาค หรอื เพลงแห่นาค
๒๑
เป็นเพลงพืน้ บา้ นของชาวไทยพุทธแถบแหลมสทงิ พระ จงั หวดั สงขลา ใช้รอ้ งกลอ่ มนาคตอนแหน่ าคออกจากบ้านไป
วัด และตอนแห่เวียนรอบพระอุโบสถ นอกจากร้องเพื่อความสนุกสนานครื้นเครง เนื้อหาของบทเพลงยังเป็นการ
อบรมสั่งสอนนาคก่อนเข้าบรรพชาอุปสมบท ขอความเป็นสิริมงคลจากเทวดา และบางตอนก็ร้องล้อเลียนนาค
เก่ยี วกบั หญิงคนรักด้วย
๕.เพลงร้องเรือ หรอื เพลงชานอ้ ง
เป็นเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้ ใช้ร้องกล่อมเด็กให้นอนหลับ ลักษณะคำประพันธ์เป็นกลอนชาวบ้าน โดยทั่วไป ๑
บท มี ๘ วรรค ในแตล่ ะวรรค มี ๔ - ๑๐ คำ แล้วแตเ่ น้ือความ และบางเพลงอาจมคี วามยาวถึง ๓๐ วรรค เพลงร้อง
เรือ หรือเพลงชาน้อง ส่วนมากร้องเกร่ินนำด้วยคำว่า "ฮาเอ้อ" และจบท้ายวรรคแรกด้วยคำว่า "เหอ" เนื้อหาสาระ
เป็นการขบั กล่อมให้เด็กนอนหลบั เรว็ และหลับสนทิ ดว้ ยความอบอุ่น ทง้ั กายและใจ หลายบทได้สอดแทรกคำสอน
ในการประพฤติปฏิบตั ิตน ปลูกฝงั คุณธรรม และสะท้อนเรอ่ื งราวที่เกิดขึน้ ในสงั คมด้วย
จากการศกึ ษาประเภทวรรณกรรมเพลงพนื้ บ้านภาคใต้ สรปุ ไดว้ า่ มี ๕ ประเภท เพลงเรือ เพลงบอก เพลง
นา เพลงกล่อมนาคหรือแห่นาค เพลงร้องเรือ หรือเพลงชาน้อง สะท้อนวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น และมี
อิทธิพลของวรรณกรรมท่ีส่งผลต่อความเชอื่ และวฒั นธรรมของคน ในชมุ ชน
๖.อทิ ธิพลของวรรณกรรมที่ส่งผลตอ่ ความเชอ่ื และวฒั นธรรม
นิพัทธ์ แยม้ เดช,(๒๕๕๙)ศาสนาพราหมณก์ ับระบบความเช่ือในสังคมไทยศาสนาพราหมณเ์ ปน็ ศาสนา
ท่ีมอี ิทธิพลอยา่ งสงู ต่อวิถีชีวิตของชาวอนิ เดยี เมื่อชาวอนิ เดยี เดนิ ทางเข้ามาส่ภู มู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตต้ งั้ แต่
สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์จากการแลกเปลย่ี น สนิ ค้า ดังทีพ่ บโบราณวัตถปุ ระเภทลกู ปัดหนิ สีและลูกปัดแกว้ ซึ่งชาว
อินเดยี เหล่านั้นได้นาระบบวัฒนธรรมความเชือ่ ของตนเองมาเผยแพร่ในภมู ภิ าคเอเชียอาคเนยด์ ว้ ย ดงั ตัวอย่างใน
ดา้ นพธิ กี รรมที่ เหน็ ไดช้ ัด คอื การปรับเปลีย่ นการฝงั ศพมาเปน็ การเผาศพตามความเชื่อของพราหมณค์ ติความเช่ือ
ของศาสนาพราหมณท์ ่เี ขา้ มาผสมผสานกับความเชอ่ื ของผู้คนในท้องถิน่ ปรากฏลทั ธกิ ารบชู าศวิ ลึงค์ เทวรูปของ
พราหมณ์ในด้านภาษาทีม่ ีคายืมภาษาบาลีสันสกฤตปะปนกับภาษาในท้องถ่ินและการเซน่ สรวงสงั เวยแดเ่ ทพเจ้า
อนง่ึ ความเชื่อทางศาสนายังมีสว่ นอยา่ งย่ิงสาหรบั แนวคดิ สิทธธิ รรมทางการเมอื ง คือ การยกหวั หน้าเผ่าเป็นสมมติ
เทพซง่ึ มคี ุณสมบตั ขิ องความเป็นเทพชว่ ยเสรมิ สร้างอำนาจในการปกครองของสถาบนั กษตั ริย์ใหม้ ีอานาจเหนือ
มนุษย์โดยทั่วไปตลอดท้งั อิทธิพลด้านศลิ ปกรรม สถาปตั ยกรรม ดา้ นตวั อักษรและวรรณกรรม ซงึ่ ปรากฏร่องรอย
และเปน็ หลกั ฐานแสดงอิทธิพลของชาวอนิ เดียอย่างชัดเจน (วรพร ภูพ่ งศ์พันธ์และคณะ,๒๕๕๗:๕๙-๘๘)ส่วน
ดินแดนประเทศไทยนบั ตั้งแต่โบราณกป็ รากฏอทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์อยา่ งตอ่ เนื่องดังหลกั ฐานด้านจารึก
ภาษาสันสกฤตของพระเจา้ มเหนทรวรมนั พุทธศตวรรษที่๑๑ พบบรเิ วณปากแมน่ า้ มลู และถา้ หมาไนอำเภอโขงเจยี ม
จังหวัดอุบลราชธานีระบุถงึ การประดิษฐานศวิ ลึงค์เพ่ือเป็นเครื่องหมายแหง่ ชัยชนะของพระเจ้ามเหนทรวรมนั
๒๒
(จริ พัฒนป์ ระพนั ธ์วิทยา,๒๕๔๗:๓๙) อทิ ธิพลของศาสนาพราหมณ์ท่ีตงั้ มน่ั ในดนิ แดนประเทศไทยปรากฏให้เห็น
เด่นชดั ข้นึ เมอ่ื มกี ารกอ่ ตัง้ กรงุ สโุ ขทัยเปน็ ราชธานมี ีหลกั ฐานจารึกในยุคน้ีกลา่ วถึงการกอ่ สร้างเทวาลยั มเี ทวรูปของ
พระผ้เู ป็นเจา้ ประดิษฐานในเทวาลัยการบวงสรวงแดเ่ ทพการประกอบพธิ ีกรรมโดยพราหมณ์(มนตรีมเี นียม,๒๕๓๔:
๗๒)คร้ันมาถงึ สมยั กรงุ ศรีอยุธยากษตั ริย์อยธุ ยาเฉลิมพระนามวา่ สมเด็จพระรามาธิบดีเพ่ือส่อื ให้เห็นสถานะของ
กษัตริย์ เปน็ พระนารายณ์อวตารมาปราบยุคเข็ญในโลก(เก้ือพนั ธ์ุ นาคบปุ ผา,๒๕๔๒:๑๖)รวมทั้งการประกอบ
พิธีกรรมเพอ่ื ความสริ มิ งคลโดยพราหมณป์ ระจาราชสานักมีบทบาทอย่างเข้มขน้ เพอ่ื เชิดชูกษตั รยิ ใ์ หม้ ีคุณสมบตั ิ
ประดุจดังเทพเพอื่ ให้ประชาชนรับทราบโดยท่วั กนั (พิธีกรรมและประเพณี, ๒๕๕๒:๒๕๙)เช่นพระราชพธิ ีบรม
ราชาภิเษกพระราชพิธถี ือนา้ พระพิพฒั น์สัตยาพระราชพิธตี รียัมปวายฯลฯพธิ ีบางอย่างนอกจากเป็นสงิ่ ทสี่ ืบทอดใน
ราชสานกั แลว้ ยังไดร้ ับความนิยมในหม่รู าษฎรดว้ ยเช่นพระ ราชพิธจี องเปรยี ง ในเดือนสิบสอง ประชาชนทว่ั ไปนิยม
ตกแตง่ โคมลอยและมีการเล่นมหรสพซึ่งต่อมาในเดอื นน้ีมกี ารประดิษฐ์กระทงเพ่ือบชู าพระแม่คงคาสืบทอดมา
จนถงึ ปจั จบุ นั ต่อมาในสมัยกรุงธนบรุ ีและกรงุ รตั นโกสนิ ทร์อิทธิพลของศาสนาพราหมณผ์ สมผสานกบั ศาสนาพุทธ
เปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกันมีท้งั พระสงฆ์และพราหมณ์ประกอบพิธกี รรมรว่ มกนั ดังความตอนหนง่ึ ในพระราชพิธสี ิบสอง
เดอื นพระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ท่ีวา่ “ชาวพระนครถือศาสนาพราหมณ์ ครั้นเมื่อ
รับศาสนาพุทธมาถือ พธิ ใี ดที่เคยทามาแต่กอ่ น และไมข่ ัดกับหลักพระพุทธศาสนากย็ งั หาอาจทจ่ี ะละท้ิงการบชู า
บวงสรวงไปได้ไมแ่ ละการพระราชพธิ ีใดซ่ึงมีแตศ่ าสนาพราหมณ์อย่างเดียวก็เพ่ิมเติมการพระราชกศุ ลเจือเข้าไปจึง
เป็นการทาทั้งในศาสนาพทุ ธและพราหมณ์ดังนี้”
(พระราชพธิ สี ิบสองเดือน,๒๕๐๓:๔)เพราะฉะน้นั ความเชอื่ ศาสนาพราหมณ์ท่ีไหลเวยี นอย่ใู นสังคมไทยต้งั แต่อดตี
จนถึงปจั จบุ นั สะท้อนโลกทัศน์ของคนไทยทม่ี ีความสัมพนั ธ์ต่อศาสนาพราหมณอ์ ย่างลกึ ซึ้งศาสนาพราหมณ์มี
บทบาทต่อการดารงชีวิตของคนไทยแทบทุกด้าน
ศาสนาพราหมณ์กับอทิ ธิพลความเช่อื ในการสร้างสรรคว์ รรณคดีไทยวรรณคดีไทยจานวนมากมภี ูมิหลงั สัมพนั ธก์ ับ
คติความเชอ่ื ในศาสนาพราหมณอ์ ยา่ งแน่นแฟน้ ท้ังนี้เพราะศาสนาพราหมณ์มบี ทบาทต่อวิถชี ีวิตของคนไทยมาทุก
ยคุ ทกุ สมยั ในบทความนผ้ี ้เู ขียนมงุ่ อภิปรายวรรณคดีไทยในขอบเขตสมัยสุโขทยั จนกระท่ังถึงสมัยรตั นโกสนิ ทร์
ตอนตน้ เป็นหลักโดยยกตัวอย่างจากวรรณคดีไทยบางเรอื่ งอิทธิพลความเช่อื ในศาสนาพราหมณ์ทส่ี ่งผลต่อการ
สร้างสรรคว์ รรณคดีไทยเปน็ ขอบเขตทีก่ ว้างขวางและละเอียดลึกซึง้ ผเู้ ขยี นจะจากัดรายละเอียดใน๔หวั ข้อ ไดแ้ ก่
๑) การนำเสนอเทพตามตานานเทวปกรณมั ในศาสนาพราหมณ์
๒) การนำเสนอวรรณคดีอินเดีย โดยสอดแทรกในเนื้อหา
๓)การนำเสนอวรรณคดอี ินเดียทดี่ ดั แปลงมาเปน็ เนื้อเร่ืองตามความคดิ ของกวีไทย
๒๓
๔)การนำเสนอพธิ กี รรมของศาสนาพราหมณเ์ นอ่ื งจากรายละเอยี ดทผี่ เู้ ขียนจาแนกดังกล่าวเปน็ คตคิ วามเชอ่ื ใน
ศาสนาพราหมณท์ ีป่ รากฏชัดเจนทีส่ ุดอนงึ่ ข้อปลีกย่อยต่างๆอาทิรูปแบบจักรวาลวทิ ยาทป่ี รากฏในไตรภมู ิพระร่วง
อดุ มคติในดา้ นความงามและความประพฤติท่ีปรากฏในวรรณคดไี ทยประเภทตา่ งๆกน็ ับว่าเปน็ อทิ ธิพลจากศาสนา
พราหมณเ์ ช่นเดยี วกนั เพียงแตค่ ติความเชื่อดงั กล่าวน้สี ว่ นหน่ึงผสมหลอมรวมกับคติพระพทุ ธศาสนาหรือคา่ นยิ มใน
ท้องถน่ิ ของไทยลงไปดว้ ย รายละเอียดท้ัง ๔ หัวข้อ มดี งั นี้
๑.การนำเสนอเทพตามตานานเทวปกรณมั ในศาสนาพราหมณ์
๒.การนำเสนอวรรณคดีอนิ เดียโดยสอดแทรกในเน้อื หา
๓.การนำเสนอวรรณคดีอินเดียท่ีดัดแปลงมาเป็นเนื้อเร่ืองตามความคิดของกวไี ทย
๔.การนำเสนอพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์
ดังกลวธิ ีการแต่งบทกวขี องพราหมณค์ ือ
๑) การนำตำนานของเทพเจ้าตามเทวปกรณมั ในศาสนาพราหมณ์ โดยนาเสนอรายชอื่ เทพรวมทง้ั บทบาทของเทพ
ปรากฏสอดแทรกในเนื้อหาวรรณคดี แนวคิดน้ีปรากฏในสมัยสุโขทัยให้เห็นบา้ งแลว้ มี กลา่ วถึงเทพเจ้าในจารกึ เชน่
จารึกวดั ปา่ มะม่วงและไตรภมู ิพระรว่ งในสมัยอยธุ ยา วรรณคดีลลิ ิตโองการแช่งน้ายวนพา่ ยโคลงด้นั ปรากฏรายชอื่
เทพเจ้าอย่างเขม้ ข้นและวรรณคดสี มัยรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้นมกี ารสืบทอดการอ้างถงึ เทพเจา้ สบื เน่ืองต่อกนั มา
แนวคดิ น้ีสะท้อนให้เหน็ ความเช่อื ที่ฝงั รากลกึ ในสงั คมไทยถึงความนอบน้อมและศรัทธาต่อเทพของพราหมณ์
๒) กลวิธกี ารนำเสนอวรรณคดอี ินเดียโดยสอดแทรกในเนอื้ หาเพอ่ื ยำ้ ใหเ้ ห็นความแพร่หลายของวรรณคดีเรอ่ื งนัน้ นา่
สังเกตด้วยวา่ วรรณคดอี ินเดียที่กวไี ทยนามากลา่ วอ้างในงานของตนเปน็ วรรณคดเี ร่ืองเอกของอินเดยี คือมหากาพย์
รามายณะและมหาภารตะวรรณคดีทง้ั สองเรื่องมีสถานภาพเป็นคมั ภีร์อันศักดิส์ ทิ ธขิ์ องศาสนาพราหมณ์การถึงกวี
ไทยอ้างคัมภีร์อนั ศักดิ์สิทธ์ขิ องพราหมณ์ทาให้งานนพิ นธ์มีความลึกซึ้งยงิ่ ขึ้น
๓)การทกี่ วนี ำเสนอวรรณคดีอนิ เดียทด่ี ดั แปลงมาเป็นเนื้อเรอื่ งตามความคิดของกวีไทยเพอ่ื ปรับให้เข้ากับระบบ
ความคดิ ในสังคมไทยดงั เร่ืองพระรามหรือรามเกียรตห์ิ ลายสานวนท่กี วีสร้างเนือ้ เร่ืองในบรรยากาศความคดิ ความ
เชือ่ อย่างไทยอาทบิ ทละครรามเกียรติห์ ลากหลายสานวน อนง่ึ กลอนบทละครเรื่องรามเกียรติ์บางสานวนทเี่ ป็นพระ
ราชนิพนธ์ของพระเจ้าแผ่นดินนน้ั แฝงด้วยพระราชประสงค์และพระราชอัธยาศัยของพระเจ้าแผน่ ดินพระองค์น้นั
ดว้ ย
๔)กวนี ำเสนอพิธีกรรมของศาสนาพราหมณเ์ พ่ือสะท้อนความเปน็ แบบแผนของพระราชพธิ ีและความศกั ดส์ิ ิทธิ์
สูงส่งของพธิ ีกรรมเน่ืองจากพิธีกรรมในสังคมไทยล้วนไดร้ ับอิทธพิ ลมาจากศาสนาพราหมณก์ วจี ึงอา้ งถงึ พธิ กี รรม
ของศาสนาพราหมณ์เพื่อสะท้อนแบบแผนของพิธีกรรมอยา่ งเปน็ รูปธรรมกล่าวไดว้ ่ากวีไทยนำอทิ ธพิ ลความเชือ่ ของ
๒๔
ศาสนาพราหมณม์ าเปน็ แนวคิดสาคญั ของการเล่าเรอื่ งวรรณคดีไทยอน่ึงการนำเสนอในประเดน็ ท่ีอภิปรายมาน้ียงั มี
อกี หลายมิติท่ีสมควรขยายผลการศกึ ษาใหล้ ะเอยี ดลึกซึง้ ยิ่งขน้ึ อนั จะทาให้ประจกั ษถ์ ึงแนวคิดของศาสนาพราหมณ์
ในวรรณคดไี ทยอยา่ งลกึ ซ้ึงต่อไป
วัศรนนั ทน์ ชูทัพ,(๒๐๑๘)วรรณศลิ ปใ์ นวรรณกรรมกับการบอกเล่าเร่ืองราวปกั ษใ์ ต้วรรณกรรมเปน็
ผลงานท่ีแตง่ ขนึ้ หรือเป็นงานศิลปะทีเ่ ปน็ ผลอนั เกิดจาก ความคดิ และจินตนาการที่เรียงร้อยเป็นเร่ืองราวแล้วบอก
เลา่ บันทกึ ขับรอ้ งหรือส่ือ ออกมาดว้ ยกลวธิ ีต่างๆ ศิลปะท่ใี ชใ้ นการเรียบเรียง ปรงุ แตง่ เรือ่ งราวนเี้ รยี กกนั ว่า
วรรณศิลป์
วรรณศิลปหรอื ศลิ ปะในการแต่งหนังสือAnumarnratchathon และ Satchaphan กลา่ วถึงองค์ประกอบตรงกันวา่
มีด้วยกนั ๖ ประการ ๑.อารมณ์สะเทือนใจ
๒.ความนกึ คดิ และจนิ ตนาการ
๓.การแสดงออก
๔.ทว่ งทำนองการแต่ง
๕.กลวิธกี ารแตง่
๖.องคป์ ระกอบ เมื่อนำองค์ประกอบของวรรณศิลป์มาวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องจากคุณปแู่ ละบทเพลงแตก่ ่อนทำ
ใหม้ องเหน็ วรรณศลิ ป์ในวรรณกรรม ดงั นี้
เรอื่ งจากคณุ ปู่ วรรณกรรมเรื่องนีเ้ มื่ออ่านจบสิ่งหนงึ่ ท่ผี ูอ้ ่านสมั ผัสไดค้ ือ ความเปน็ ท้องถน่ิ นิยมของผู้แต่ง เพราะใน
การถา่ ยทอดประเดน็ ตา่ งๆ ผเู้ ขียนไดก้ ลน่ั กรองถอ้ ยคำออกมาเล่าด้วยความภาคภมู ใิ จท่ีตนได้เกดิ บนแผน่ ดนิ ปักษ์
ใต้ อารมณส์ ะเทือนใจอันเกิดจากความภาคภมู ิใจน้ีได้ทำให้ อุดร บวรสุวรรณ ลงมือ บันทกึ เรือ่ งราวปักษ์ใต้ไว้ใน
เรื่องเล่าจากคุณปู่ อย่างเข้มขน้ ความมุ่งหวังของ ผู้เขียนอีกประการคอื ต้องการให้วรรณกรรมเร่ืองนี้เป็นแหลง่
เรยี นรเู้ รอื่ งราวปกั ษ์ใต้ผูเ้ ขยี นจงึ นำเสนอเนื้อหาในวรรณกรรมเปน็ แบบสารคดีเรื่องจากคุณปูจ่ ึงเป็นวรรณกรรมที่อยู่
ก้ำก่งึ ระหวา่ งบนั เทิงคดีและสารคดีPetchkeaw(๑๙๙๙,pp.๑๑-๑๒) ไดอ้ ธบิ ายว่าวรรณกรรมรปู แบบนจ้ี ะมีความ
กำ้ กึง่ คือ มเี นื้อหาเปน็ สารคดี แต่มีกลวธิ กี ารเขียนการใช้รูปแบบการเขยี นสำนวนภาษาเปน็ บันเทิงคดวี รรณกรรม
รปู แบบนเี้ รยี กไดว้ า่ เปน็ “สาระก่ึงบันเทงิ คดีหรือสาระบนั เทงิ คดี” จากการศกึ ษา พบว่านอกจากผู้เขียนมุ่งหวังให้
วรรณกรรม เรือ่ งจากคณุปู่เป็นคลังความรู้เรื่อง ภาคใต้แล้วผูเ้ ขียนยังอยากจะใชว้ รรณกรรมเปน็ สื่อกลางในการ
ปลกู ฝังให้เยาวชนรุ่นหลงั รักในถน่ิ ฐานบ้าเกดิ โอ๋ เอก เทศ จงึ เป็นตัวละครเด็กท่ผี ูเ้ ขยี นสมมตใิ หเ้ ป็นตวั แทนของ
เยาวชนร่นุ หลงั ทีก่ ำลงั เรวี นรูเ้ รอ่ื งราวปักษ์ใตด้ ้วยความสนใจใคร่รูผ่ ่านเร่ืองเล่าจากคุณปู่ จนกระทัง่ เด็กท้งั ๓ คน
เกดิ ความภาคภูมิใจในแผน่ ดนิ ปติ ุภูมจิ ะเห็นวา่ อารมณ์สะเทือนใจและความรูส้ ึกนึกคิดของ อุดร บวรสุวรรณ เป็น
๒๕
พลงั สำคญั ในการผลักดนั ให้แสดงออกผ่าน “ภาษา” มาสผู่ อู้ ่าน ภาษาจึงเปน็ เคร่ืองมอื สำคัญทผี่ ู้แต่งใชใ้ นการ
ถ่ายทอดใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจและหย่ังเห็นความเป็นปักษใ์ ต้ โดยแสดงออกผา่ นการบรรยายให้ผอู้ า่ นมองเหน็ ภาพ ร้สู ึก
แล้วคลอ้ ยไป ตามตัวอักษรอย่างตรงไปตรงมา อย่างเช่น เม่ือผแู้ ต่งต้องการให้ผู้อ่านได้ร้เู รื่อง พนั ธ์ไุ ม้พ้นื บ้านภาคใต้
กบ็ รรยายอยา่ งตรงไปตรงมาว่า“มะมว่ งหมิ พานต์เปน็ พชื ทีอ่ ยใู่ นตระกลเู ดยี วกับมะม่วงธรรมดาจงึ เรียกกนั วา่
มะม่วงนำหน้า มะม่วงหมิ พานตเ์ ป็นไม้ยืนต้นที่ข้ึนได้โดยท่ัวไปแมส้ ภาพดินนนั้ จะเป็นดินจืด ดินเคม็ หรอื แม้แต่ดนิ
เหนียวและทรายลว้ น มะม่วงหิมพานต์กข็ น้ึ งอกงามเจริญเติบโตไดด้ ี ดังนัน้ มะม่วงหมิ พานต์ จึงปลกู ง่าย โตเร็ว โรค
และแมลงรบกวนน้อย มะมว่ งหิมพานตน์ ิยม ปลูกกนั มากในจงั หวัดทางภาคใต้ เชน่ นครศรีธรรมราช สงขลา ซง่ึ แต่
ละ ท้องถิน่ เรียกชื่อมะม่วงหมิ พานต์ต่างกนั ออกไป ไมค่ ่อยจะมีใครจะเรยี ก วา่ มะม่วงหิมพานต์ สว่ นใหญ่เรียกว่า ญา
รว่ ง ทา้ ยล่อ ท้ายลอ่ หมายถึง โผล่ทางสว่ นทา้ ย โดยเฉพาะคำว่า ล่อ คือ โผล่ เช่น ล่อหัวกค็ ือโผล่ หวั เลด็ ลอ่ และ
ลูกหัวครก เน่ืองจากทางภาคใต้ นยิ มปลูกกนั มากจงึ มี อตุ สาหกรรมภายในบา้ นอย่างหน่งึ เรียกวา่ การทำเมด็
มะม่วงซ่ึง หมายถึง การทำเมล็ดมะมว่ งหิมพานต์ขาย”และเมอื่ ผู่แตง่ ต้องการใหผ้ ู้อ่านมองเห็นความเคล่ือนไหวของ
อารมณ์ก็จะบรรยายอยา่ งตรงไปตรงมา ผา่ นข้อสงสัยของตัวละครเดก็ เชน่ “ป่คู รับท่ีต้นจากทม่ี ีกระบอกแขวนไว้
ด้วยปู่ทำอะไรครบั ” “ปู่ครับทบั ท่ีปู่วา่ เปน็ เครื่องดนตรีนน้ั เหมอื นกับทบั ท่ปี ู่ใช้ปาดงวงตาลทต่ี น้ จากไหมครบั ” “ปู่
ครับ หลงั คาบา้ นปทู่ ำไมกระเบอื้ งไม่เหมือนกับบา้ นลูกเอกเลา่ ครับ” “ปู่ครบั ไม้กวาดที่วา่ นเี้ ขาทำแลว้ ไปส่งทีไ่ หน”
คำถามของโอ๋ เอก เทศ ทำให้มองเห็นอารมณ์ความรู้สึกอนั เกิดจากความสงสัยใคร่รู้ อยากรู้อยากเห็นของเดก็ ซ่ึง
อารมณ์ดงั กลา่ วสะท้อนให้เห็นพฤติกรรม คือ การช่างสงั เกต การเปรยี บเทียบ และการสงสัยใครร่ ู้ อนั เกดิ จากความ
อยากรู้ อยากเหน็ ซ่ึงเปน็ นามธรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำถามอนั ก่อใหเ้ กิดการเคล่ือนไหวของอากัปกริ ยิ าและท่สี ำคัญ
คำถามนน้ี ำไปสู่การเดนิ เรอ่ื งเพอ่ื บอกเล่าเรื่องราวปักษใ์ ต้ท่วงทำนองการแตง่ หรือสไตล์การเขียนของ อดรุ บวรสวุ
รรณ ปรากฏเดน่ ชัดว่าผู่แตง่ มุ่งเนน้ ใหว้ รณกรรม เร่ืองจากคุณปอู่ ่านเขา้ ใจงา่ ย การเลอื กใชค้ ำในการส่ือความจึงเปน็
คำงา่ ยๆ บอกเลา่ อยา่ งตรงไปตรงมาแม้ในเนอ้ื เร่ืองจะปรากฏคำภาษาถิน่ ใตบ้ ้างแตผ่ ้แู ต่งกไ็ ด้อธิบายความหมายใหผ้ ู่
อา่ นเขา้ ใจอยา่ งกระจา่ งชดั อดรุ บวรสวุรรณ นำเสนอเนอื้ หาโดยการเล่าเรอ่ื งไปตามลำดับเหตุการณ์ โดยมีตัวละคร
คณุ ปู่และหลานชายสามคนเป็นตวั ละครหลกั ในการดำเนนิ เรือ่ งฉาก และบรรยากาศในทอ้ งเรื่องเขม้ ขน้ ไปด้วย
ความเปน็ ปักษ์ใตโ้ ดยบรรยายผา่ นพนั ธ์ุไม้พืน้ บา้ นอาหารพ้นื บ้านหตั ถกรรมพ้นื บา้ นและการแสดงพื้นบา้ นประเดน็
เหล่าน้ี ผแู้ ต่งนำเสนออย่างเข้มขน้ อดั แนน่ ไปดว้ ยสาระความรตู้ ามรูปแบบสารคดี ดา้ น การดำเนินเรื่องผแู้ ต่งใช้การ
จำลองเหตุการณ์ซึ่งสามารถจำแนกได้ ๓ รปูแบบ คอื
๑ผแู้ ตง่ เลา่ ผา่ นประสบการณ์ตรงของคณุ ปู่
๒ผูแ้ ตง่ เล่าผา่ นประสบการณ์ ตรงของตัวละครอ่ืน
๒๖
๓ผูแ้ ตง่ เลา่ ผ่านประสบการณ์ตรงของโอ๋ เอก เทศ ที่ไดไ้ ป พบเห็นเรยี นรู้ และสมั ผสั กบั เรอ่ื งน้นั ๆ โดยตรงการ
สร้างสรรคว์ รรณกรรม เรื่องนป้ี ระสบการณ์ตรงของผ้แู ต่งจึงเป็นวัตถุดิบสำคัญ ซง่ึ ผู้แต่งเองก็ได้กลัน่ ประสบการณ์
ออกมาเลา่ ไดอ้ ย่างเข้มขน้ สมจริง มีชวี ิตชวี า เรือ่ งจากคุณปู่ จงึ เปน็ วรรณกรรมชัน้ เย่ยี มอกี เรื่องหนึ่งของนักเขยี น
ภาคใต้ แต่ก่อนเป็นวรรณกรรมเพลงเพอื่ ชวี ติ เมื่อวิเคราะห์จะมองเห็นวา่ บทเพลงนีเ้ ปน็ นวัตกรรมแห่งยุค กลา่ วคือ
การสร้างสรรค์ บทเพลง แต่ก่อนวงนาคอน ได้นำเอาความเป็นพนื้ บา้ นภาคใตโ้ ดยเฉพาะมโนราห์ มาผสมผสานไว้
อยา่ งเข้มขน้ และเม่ือพจิ ารณาด้านวรรณศิลปก์ ็จะเหน็ ศิลปะของการประกอบสรา้ งทางวรรณกรรม ดงั นี้
๑.อารมณส์ ะเทอื นใจศภุกรวงศเม์ ฆเปน็ ศลิ ปนิ แดนใต้ท่ีสรา้ งสรรคบ์ ทเพลง ข้นึ เพราะความรักในถิ่นฐานบา้ นเกดิ
อารมณ์อันเกิดจากความรกั ในแผน่ ดิน มาตุภูมจิ งึ เปน็ พลงั ผลกั ดันให้ ศุภกร วงศ์เมฆ เขียนบทเพลงนข้ี ้นึ อย่างสำนึก
รัก ในบา้ นเกดิ โดยไดน้ ำเอาองค์ความรูท้ ่เี กิดจากการสั่งสมจากพนื้ เพถ่ินกำเนิด คือ อำเภอปากพนัง จังหวัด
นครศรธี รรมราช มาเป็นวตั ถุดบิ สำคญั สำหรบั แต่งเพลง ซึ่งกล่าวไดว้ า่ บทเพลงนศ้ี ลิ ปินไดก้ ลนั่ ประสบการณ์ออกมา
เลา่ เนอื้ หาของบทเพลง แต่ก่อนนำเสนอผา่ นการบอกเลา่ ผู้แตง่ มวี ัตถุประสงคส์ ำคญั คือเพอื่ ต้องการใหผฟู้ ังไดร้ ับรู้
เข้าใจเรอื่ งราวปกั ษ์ใต้ได้มองเหน็ วิถีชีวิตของคนปักษ์ใต้ในอดตีพรอ้ มกนั น้ีก็เพ่ีอปลูกฝังให้คนรนุ่ หลงั รักและ
ภาคภมู ิใจในถ่ินฐานบา้ นเกดิ บทเพลงน้ีผแู้ ตง่ แฝงแนวคดิ อนุรกั ษ์นิยมไว้ดว้ ย
๒.การแสดงออกการแสดงออกเป็นหวั ใจสำคญั ในการนำพาอารมณ์ความรู้ ของศิลปนิ มาสู่ผ้ฟู ัง ศุภกร วงศ์เมฆ ได้
แสดงออกผา่ นภาษาในบทเพลง ทำให้ มองเห็นอารมณ์ความรู้สกึ นึกคดิ ของเขาที่ส่งมายงั ผ้ฟู งั อย่างเช่น เมือ่
ต้องการ เล่าใหม้ องเห็นภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินของจังหวดั นครศรธี รรมราชก็จะเล่าอย่าง ตรงไปตรงมาว่า
“ทั้งภูมิปญั ญาท้องถิ่นของใชข้ องกนิ แตก่ ่อน หมากจากหมาถั้งสาดนอน สานชะลอมคอ้ มไก่ ขุดคลองปลกู ข้าว สร้าง
เล้าเลี้ยงวัวควาย มงี านครง้ั ใดเขาใชว้ วั ควายน้นั แหละผกู แขก”และเม่ือต้องการบรรยายให้ร้สู ึกถึงความเคล่อื นไหว
ของอารมณ์ ซึง่ ใน บทเพลง แต่ก่อน ปรากฏอารมณ์
อารมณ์หดหู่ใจอันเกดิ จากศบิ ปินมองเหน็ สภาพสังคมชนบทและวิถีของชาวบา้ นเปลยี่ นไป ดงั ปรากฏใน บทเพลง
“ตอนนีเ้ ร่ืองราว ทพี่ ่อเฒ่าแก่เล่าใหฟ้ ัง มแี ตเ่ พยี งความหลัง กับของท่ี พังแต่ก่อน ข้าวของมนั แพงจนสิ้นแรงคนคอน
วฒั นธรรมเสื่อมคลอน ประเพณีมนั สูญหาย ผ้คู นทำบาป ธรรมชาติหายไป นาทท่ี ำก็ทิ้งหาย เหลือแตร่ อยตีนควาย
กับซากคนั ไถเห้ียนเหยี้ น“สาวเหอ ไปแล้วโดเมอื งกรุง เปล่ยี นจากผ้าถุง มานุ่งกางเกงยีนส์ แลว้ ท้ิงใหพ้ ่อเฒา่ แก่
เฝา้ คอย สาวเหอ พอ่ เฒา่ แก่เฝา้ คอยโด หวังหลานนอ้ ย กลับมา กลับจากเมืองฟ้า แล้วกลับมาหาแกม้ัง นะสาวเหอ”
(อิทธพิ ลของวรรณกรรมท่ีมีผลตอ่ ความเชื่อและวัฒนธรรม),๒๕๔๘แนวคิดเกี่ยวกบั ความมั่นคงทาง
สงั คมมนุษย์อาศัยอยรู่ ่วมกันเป็นสงั คม เปน็ ธรรมชาติของการตอ้ งอาศัยพ่งึ พากนั สงั คม ทเี่ ลก็ ที่สดุ คอื สังคม
ครอบครวั รวมตัวเปน็ ชมุ ชน เปน็ เผา่ เปน็ รฐั การรวมตวั ของมนุษย์ทำใหเ้ กดิ ววิ ัฒนาการของอารยธรรมจากรนุ่ สูร่ ุ่น
เกดิ การปรับตัวเพอื่ ให้สังคมอย่รู อดหรือรุง่ เรือง มีความมนั่ คง ปลอดภยั การปฏิสัมพันธร์ ะหว่างสังคมถือเปน็ เรื่อง
๒๗
ปกติในสังคมมนุษย์ เกิดการแลกเปล่ยี นเรียนร้หู รอื อาจเกดิ การกดทบั ทางสงั คมทท่ี าใหอ้ กี สังคมหนง่ึ อ่อนแอลง
ความมน่ั คงทางสงั คมจึงเป็นส่ิงสาคญั ย่ิง ทแี่ ต่ละสงั คมตอ้ งมไี ว้เพ่ือให้สามารถรกั ษาความเป็นอัตลักษณ์ อิสรภาพ
แหง่ ตน หรอื สามารถอยู่ รว่ มกันกบั สงั คมอ่นื อย่างสมดุลโดยทวั่ ไปแล้วเราจะมองความหมายของความมัน่ คง
(Security) ไปทีค่ วามมั่นคงของรัฐหรอื ประเทศจากการรุกรานของศตั รู และเรามักจะเข้าใจความมั่นคงทางสังคม
(Social Security) เฉพาะในมิติดา้ นความปลอดภัยในชวี ติ และทรัพย์สินเพยี งเทาํ นัน้ ความจริงแล้วความมัน่ คงทาง
สงั คมของมนุษย์ยดึ โยงกบั ปจั จยั ต่างๆ หลายดา้ น ดงั ท่สี านกั งานโครงการพฒั นาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP
(๑๙๙๔) ได้เสนอวา่ การบรรลเุ ป้าหมายของการสร้างความมนั่ คงของมนุษย์(Human Security) มอี งคป์ ระกอบ
สาคญั ๗ องค์ประกอบดว้ ยกัน ประกอบด้วย
๑.ความมนั่ คงดา้ นเศรษฐกิจ (Economic Security) หมายถึงหลักประกนั การมรี ายได้ จากการทางาน การได้รบั
ความชว่ ยเหลอื ในด้านการเงนิ และการมีงานทำ
๒.ความมน่ั คงด้านอาหาร (Food Security) หมายถงึ ประชาชนสามารถเข้าถงึ แหลง่ อาหารเลยี้ งชีพท่พี อเพียง ทัง้
ในทางกายภาพและเศรษฐกจิ
๓.ความมน่ั คงดา้ นสุขภาพ (Health Security) หมายถงึ ประชาชนมีสขุ ภาพดี ปลอดจากโรคติดต่อและความเจ็บไข้
ได้ป่วย
๔.ความมัน่ คงดา้ นสิ่งแวดล้อม (Environment Security) หมายถงึ ความสมบูรณข์ องทรพั ยากรบนแผน่ ดนิ ใน
อากาศและแหลง่ นำ้ ท่ีทำให้ประชาชนสามารถต้งั ถ่นิ ฐานและดำรงชวี ิตได้
อยา่ งเหมาะสม
๕.ความมั่นคงส่วนบคุ คล (Personal Security)
หมายถึงประชาชนมคี วามปลอดภยั จากความรุนแรงทางกายภาพ การถูกคุกคามโดยความรุนแรงฉับพลันและไมํ
สามารถคาดการณ์ได้
๖.ความมน่ั คงของชุมชน (Communities Security) หมายถึงความม่นั คงจากการเปน็ สมาชิกของกล่มุ ชมุ ชน
องค์กรทีจ่ ะสามารถสร้างอตั ลักษณ์ทางวฒั นธรรม คํานิยมและกฎเกณฑข์ องชุมชนท่ียึดถือ
๗.ความม่ันคงทางการเมือง (Political Security) หมายถงึ การท่ีประชาชนสามารถมชี วี ิตในสงั คมไดอ้ ย่างมีเกียรติมี
ศกั ด์ิศรีตามหลกั สิทธิมนุษยชนขนั้ พ้ืนฐาน
๒๘
บทวเิ คราะห์
บทวเิ คราะห์วรรณกรรมท้องถนิ่ ภาคใตด้ ้านรูปแบบคำประพนั ธ์เพลงเรือ ใชร้ ปู แบบในการวเิ คราะห์ ดงั น้ี
เพลงเรือสงขลา
ข้ึนขอ้ ตอ่ กล่าว ถงึ สาวทุกวัน
แตง่ ตวั กวดขัน ในวันประชุม
ตมุ้ หพู ่หู ้อย สาวนอ้ ยหนมุ่ หนมุ่
สองเตา้ เตง่ ตุม เหมือนพุ่มมาลา
ถา้ ได้พชี่ าย จะจบู ซ้ายจูบขวา
สาวน้อยงามสรรพ ดบั กายไว้ท่า
ถงึ วันออกษา พ่ีจะพาเจา้ ไป
๑.ดา้ นรูปแบบคำประพนั ธ์ พิจารณาไดว้ ่าวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใตเ้ ปน็ ประเภทเพลงพื้นบ้าน
๒.ดา้ นเนือ้ หา มลี กั ษณะเนื้อเพลงม่งุ ให้ความบันเทิงใจ หนุม่ จบี สาว มุ่งให้เหน็ ถงึ การใชภ้ าษาประจำถิ่น ที่เรียบง่าย
ม่งุ การสื่อความหมายกับผู้อ่าน
๓.ดา้ นวรรณศิลป์ ภาษาทใ่ี ช้เป็นภาษาง่าย ๆ เรยี บ ๆ ม่งุ การสอ่ื ความหมายเป็นสำคัญ ส่วนใหญเ่ ปน็ ภาษาของ
ทอ้ งถ่นิ นนั้ ละเวน้ คำศัพทบ์ าลีสนั สกฤต โวหารนิยมสำนวนทใ่ี ชใ้ นท้องถ่ิน
๔.ดา้ นการใชภ้ าษาสื่ออารมณ์ ส่ืออารมณใ์ ห้ผูฟ้ ังได้คิดตามและเห็นภาพ ทำให้ผู้ฟงั รสู้ กึ สนุกสนานรว่ มไปด้วย
๕.ด้านคุณคา่ ทางสงั คม สะท้อนสงั คมท้องถนิ่ ภาคใต้ใหเ้ หน็ วิถีชวี ิต การพง่ึ พาซึง่ กนั และกนั การผกู มติ ร
จากการศกึ ษาอทิ ธิพลของวรรณกรรมท่ีมีผลต่อความเช่อื และวฒั นธรรมสรุปได้ว่าอิทธิพลของ
วรรณกรรมทำให้คนในชุมชนเหน็ ภาพสะท้อนวถิ ชี ีวติ ของตน เชน่ ศาสนาทตี่ นนับถือ ภาษาประจำถิน่ ของตน เพลง
พน้ื บ้านที่ได้ยนิ ในชมุ ชน การนำวรรณกรรมมาแทรกในความเช่ือและวัฒนธรรมส่งผลใหค้ นในทอ้ งถิ่นเหน็ ความ
เป็นอยู่ของคนในชมุ ชนมากขึ้นและวรรณกรรมที่นำมาสอดแทรกยงั มเี นอ้ื หาท่ใี หค้ วามบันเทงิ และคติธรรมของ
ศาสนาอีกด้วย
๒๙
บทสรุป
วรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ภาคใต้ เปน็ วรรณกรรมเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมท่ีสืบทอดกันมา จากมขุ ปาฐะหรือการพูด
แบบปากต่อปากเปน็ แหล่งข้อมลู ท่ีบันทกึ ข้อมลู ด้านขนบธรรมเนยี มประเพณีของกลุม่ ชน เป็นผลงานอนั เกดิ จาก
การคิด และจินตนาการ แล้วเรียบเรียง นำมาบอกเล่า บันทึก ขบั ร้อง หรือสื่อออกมาดว้ ยกลวธิ ตี ่าง ๆ และภาษาท่ี
ใชใ้ นวรรณกรรมท้องถนิ่ ภาคใต้น้ันมกี ารใช้หลายภาษา เชน่ ภาษาบาลีและสันสกฤตและใชภ้ าษาไทยปนขอมเพอ่ื
ต้องการให้แพรห่ ลายใน ความนยิ มศรัทธา ลักษณะของวรรณกรรมท้องถ่นิ ภาคใต้มีวิธกี ารสะกดการนั ต์หรือ
อกั ขรวิธเี ป็นของตนเอง โดยเฉพาะ อกี ทั้งยังมีอักษรปลั ลวะเป็นอักษรท่ีบันทึกวรรณกรรมเกา่ แกท่ ี่สดุ ในภาคใต้ เป็น
อกี หนึ่งคุณค่ามรดกวฒั นธรรมที่ควรรกั ษาไว้ และมเี อกลักษณเ์ ปน็ ของตัวเอง รวมถึงประเภทวรรณกรรมท้องถ่ิน
ภาคใต้โดยมี5 ประเภท และมีอิทธพิ ลของวรรณกรรมท้องถ่ินภาคใตก้ ารถา่ ยทอดความเช่ือของคนในชมุ ชน
๓๐
บรรณานกุ รม
ความหมายของวรรณกรรม ก้องฟ้า นครพงิ ค์ , (๒๕๖๒) แหลง่ ทม่ี า:
https://www.trueplookpanya.com
ความหมายของวรรณกรรม (๒๕๕๓) แหลง่ ทมี่ า:
https://sites.google.com
ความหมายของวรรณกรรม (๒๕๔๒) แหล่งที่มา:
https://www.happyreading.in.th
ความสำคญั ของวรรณกรรม พิทยา วอ่ งกุล , (๒๕๔๐) แหล่งที่มา:
https://sites.google.com
ความสำคญั ของวรรณกรรม Olan Lekcharuthas , (๒๕๕๘) แหลง่ ที่มา:
https://slideplayer.in.th/slide/3040193/
ธวัช บณุ โณทก (๒๕๒๗) , แหล่งที่มา:
http://64896489.blogspot.com
ลกั ษณะของวรรณกรรม เบญจวรรณ ประจักษเ์ ลิศวทิ ยา , (๒๐๑๓) แหล่งท่มี า:
http://www.satriwit3.ac.th
ลักษณะของงานวรรณกรรม Douglas Williams , (๒๕๖๒) แหลง่ ที่มา:
https://elreydelabaraja.com
ลักษณะของวรรณกรรมไทย , (๒๕๕๓) แหลง่ ที่มา:
https://sites.google.com
การวเิ คราะห์วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม อลงกรณ์ พลอยแกว้ (๒๕๖๔) แหลง่ ที่มา:
https://www.trueplookpanya.com
การวิเคราะหว์ รรณกรรม(๒๕๖๐) แหล่งทม่ี า:
๓๑
https://www.dek-d.com
การวิเคราะหว์ รรณกรรม(๒๕๕๙) แหล่งที่มา:
https://sites.google.com
รปู แบบวรรณกรรมท้องถิน่ ภาคใต้(๒๕๔๓) แหลง่ ท่ีมา:
https://www.baanjomyut.com
วรรณกรรมพน้ื บ้านภาคใต้(๒๕๖๑) แหล่งข้อมูล:
https://sites.google.com
รูปแบบและเนื้อหาวรรณกรรมภาคใต้(๒๕๖๑) แหลง่ ท่ีมา:
https://www.researchgate.net
ภาษาท่ใี ช้ในวรรณกรรมภาคใต้ (๒๕๔๒) แหล่งทีม่ า :
https://naamchoop.com
ชะเอม แกว้ คลา้ ย (๒๕๖๒) แหล่งที่มา :
http://www.thaistudies.chula.ac.th
ความรทู้ วั่ ไปเก่ยี วกับวรรณกรรมภาคใต้ (๒๕๓๓) แหลง่ ที่มา:
https://kb.psu.ac.th
ประเภทเพลงพืน้ บา้ นภาคใต้ บญุ เสรมิ แกน่ ประกอบ (๒๕๔๓) แหลง่ ท่มี า:
https://www.baanjomyut.com
ประเภทของเพลงพื้นบ้าน(๓๐ มกราคม ๒๕๕๙ ) แหลง่ ที่มา:
https://sites.google.com
พรรณี วัฒนายากร (๒๕๕๒) แหล่งทีม่ า:
https://saranukromthai.or.th
๓๒
อทิ ธพิ ลของวรรณกรรมทส่ี ่งผลตอ่ ความเช่อื และวัฒนธรรม นิพทั ธ์ แยม้ เดช (๒๕๕๘-๒๕๕๙;๓-๑๒) แหล่งทีม่ า:
https://so03.tci-thaijo.org
อิทธพิ ลของวรรณกรรมทสี่ ่งผลตอ่ ความเชอ่ื และวฒั นธรรม attakanp , (๒๕๕๕) แหลง่ ทม่ี า:
http://nattakanp.blogspot.com
อิทธิพลของวรรณกรรมทีส่ ง่ ผลต่อความเชื่อและวัฒนธรรม อิทธพิ ลของวรรณกรรมที่ส่งผลต่อความเชอ่ื และ
วฒั นธรรม(วิจยั แนวคิด ทฤษฎี และวรรณกรรมที่เก่ยี วข้อง) แหลง่ ทม่ี า:
https://soreda.oas.psu.ac.th
๓๓
ภาคผนวก
ภาพที่๑-๒ ศกึ ษาหาข้อมูลและทำรายงาน
ภาพท่ี๓ ทำแผ่นผับ