การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA ในการคำนวณการวางสูงสุดของบรรจุภัณฑ์ สินค้าบนพาเลท กรณีศึกษาองค์การเภสัชกรรม Application of the VBA package to calculate the maximum placement of product packages on a pallet. Case study of the Government Pharmaceutical Organization ณฐาภพ กลิ่นนาค รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน คณะบริหารธุรกิจ กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ลิขสิทธ์เป็นของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคงธัญบุรี
การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA ในการคำนวณการวางสูงสุดของบรรจุภัณฑ์ สินค้าบนพาเลท กรณีศึกษาองค์การเภสัชกรรม Application of the VBA package to calculate the maximum placement of product packages on a pallet. Case study of the Government Pharmaceutical Organization ณฐาภพ กลิ่นนาค รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน คณะบริหารธุรกิจ กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ลิขสิทธ์เป็นของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคงธัญบุรี
ชื่องานวิจัย การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA ในการคำนวณการวาง สูงสุดของบรรจุภัณฑ์สินค้าบนพาเลท กรณีศึกษาองค์การเภสัช กรรม ชื่อนักศึกษา นายณฐาภพ กลิ่นนาค รหัสนักศึกษา 116310509474-7 ปริญญา บริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตร การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ปีการศึกษา 2566 อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ดร.ปริญ วีระพงษ์ รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต โดยผ่านการพิจารณาจาก คณะกรรมการสอบวิจัย ดังมีรายชื่อต่อไปนี้ อาจารย์ที่ปรึกษา ………………………………………………. ( ดร.ปริญ วีระพงษ์) รายงานวิจัยนี้ได้พิจารณาเห็นชอบโดย ประธานกรรมการ …………...…………………….. ( ผศ.ดร.โชติมา โชติกเสถียร ) กรรมการ …………...……………………............. ( ดร.วรางกูร อิศรางกูร ณ อยุธยา ) ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ก ชื่องานวิจัย การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA ในการคำนวณการวาง สูงสุดของบรรจุภัณฑ์สินค้าบนพาเลท กรณีศึกษาองค์การเภสัช กรรม ชื่อนักศึกษา นายณฐาภพ กลิ่นนาค รหัสนักศึกษา 116310509474-7 ปริญญา บริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตร การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ปีการศึกษา 2566 อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร.ปริญ วีระพงษ์ บทคัดย่อ การศึกษาปัญหาพิเศษฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการสร้างชุดคำสั่ง โปรแกรมจำลอง VBA กรณีศึกษาองค์การเภสัชกรรม เนื่องจากปัญหาระหว่างการเปลี่ยนถ่ายจากคลัง เก่าไปสู่คลังใหม่ทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ซึ่งหนึ่งในปัญหาคือการเปลี่ยนถ่ายบรรจุภัณฑ์จากพาเลทเก่า ไปสู่พาเลทใหม่ ในส่วนของการคำนวณปริมาตสูงสุดในการวางบรรจุภัณฑ์สินค้าบนพาเลท ซึ่งจะมี การคำนวณจากขนาดและน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์ นำมาคำนวณร่วมกับชนาดและน้ำหนักของพาเลท โดยผลลัพธ์จากการคำนวณนั้นจะนำมาเปรียบเทียบกับเงื่อนไข แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาเปรียบเทียบกับ การวางแบบเก่า ดังเช่น PHENOBARBITONE 30 mg มีการวางเพิ่มได้มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 208.04 และ RISPERIDONE GPO-RISPERIDONE TAB1mg6x10's กับ RISPERIDONE 2 mg มีการ วางเพิ่มได้น้อยที่สุดคิดเป็นร้อยละ 25 สำหรับการนำไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อวางบรรจุภัณฑ์สินค้า เมื่อมีการเปลี่ยนพาเลท คำสำคัญ : โปรแกรมสำเร็จรูป VBA / บรรจุภัณฑ์/ พาเลท
ข Title Application of the VBA package to calculate the maximum placement of product packages on a pallet. Case study of the Government Pharmaceutical Organization Student Name Mister Nathaphop Klinnak Degree Bachelor of Business Administration (Logistics Management) Program Logistics and Supply Chain Management Academic Year 2023 Advisor Mr.Prin Weerapong Abstract The purpose of this special issue is to study the creation of a VBA simulation program using a case study of the Government Pharmaceutical Organization. This is due to problems during the transition from the old warehouse to the new warehouse causing more problems. One of the problems is the transfer of packaging from old pallets to new pallets. In terms of calculating the maximum volume for placing product packaging on a pallet. This will be calculated based on the size and weight of the package. To be calculated together with the size and weight of the pallet. The results of the calculation will be compared with the conditions. Then the results were compared with the old paste, such as PHENOBARBITONE 30 mg having the most added paste, accounting for 208.04 percent, and RISPERIDONE GPO-RISPERIDONE TAB1mg6x10's and RISPERIDONE 2 mg having the least pasting, calculated as a percentage. 25 for use in deciding where to place product packages when changing pallets. Keywords: VBA programs / product packaging / pallet
ค กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยได้รับความกรุณาและความช่วยเหลือเป็นอย่างดี จากบุคคลหลายฝ่ายด้วยกัน ผู้เขียนจึงขอกราบขอบพระคุณทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ เริ่มจาก ท่านคณะ อาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งกรุณาเสียสละเวลาให้คำปรึกษาและคำแนะนำ รวมถึงการแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อ ก่อให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินการศึกษาจนปัญหาพิเศษฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณคณะ ลูกจ้างไปจนถึงหัวหน้าในแผนกสำรองผลิตภัณฑ์องค์การ ซึ่งกรุณาเสียสละเวลามาช่วยในการเก็บ ข้อมูลไปจนถีงสอนงานต่างๆ ขอขอบพระคุณคณาจารย์หลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิขาการจัดการโล จิสติกส์และซัพพลายเชนทุกท่าน ที่ได้เสียสละเวลาในการเป็นคณะกรรมการในการสอบและ ตรวจสอบความถูกต้อง พร้อมทั้งให้คำแนะนำต่างๆ เพื่อให้รายงานวิจัยนี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตลอดจนขอขอบพระคุณ ที่กรุณาให้ความร่วมมือให้การสัมภาษณ์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมทั้งการ แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ อันเป็นประโยชน์ยิ่งต่อการจัดทำรายงานวิจัยในครั้งนี้ ณฐาภพ กลิ่นนาค
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก Abstract ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของประโยชน์ 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 1.4 ขอบเขตงานวิจัย 3 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 1.6 กรอบแนวคิด 4 บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 1. ความหมายของคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง 5 1.1 คลังสินค้า ( Warehouse ) 5 1.2 สินค้าคงคลัง ( Inventory ) 9 2. ภาพที่มองเห็นได้พื้นฐานสำหรับการใช้งาน Visual Basic for Applications (VBA) 10 3. ภาษาภาพพื้นฐาน Visual Basic 11 4. การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) 12 5. พาเลท (Pallet) 12 ประโยชน์ของพาเลท 13 6. บรรจุภัณฑ์ (Packaging) 16 บรรจุภัณฑ์โลจิสติกส์ (packaging logistics) จึงมีความสำคัญ 16
จ ประเภทของบรรจุภัณฑ์ 17 ประเภทของบรรจุภัณฑ์โลจิสติกส์ 17 7. ศึกษากลยุทธ์การจัดเก็บสินค้า 18 1. ระบบการจัดเก็บโดยไร้รูปแบบ (Informal System) 18 2. ระบบจัดเก็บโดยกำหนดตำแหน่งตายตัว (Fixed Location System) 18 3. ระบบการจัดเก็บโดยจัดเรียงตามรหัสสินค้า (Part Number System) 19 4. ระบบการจัดเก็บสินค้าตามประเภทของสินค้า (Commodity System) 20 5. ระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว (Random Location System) 20 6. ระบบการจัดเก็บแบบผสม (Combination System) 21 8 ศึกษาการวัดประสิทธิภาพของคลังสินค้า 22 8.1 การวัดประสิทธิภาพของคลังสินค้าสามารถพิจารณาได้หลายแบบ 22 8.2 ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพในการทางานภายในคลังสินค้า (เมธินี ศรีกาญจน์,2555) 23 9. หลักการพาเลโต้ (Pareto) 24 10. การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ (Space Utilization) 25 11. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 27 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา 31 3.1 ขั้นตอนในการวิจัย 32 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 32 3.3 ข้อมูลทั่วไปของบริษัท 33 ข้อมูลสินค้า 33 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 35 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 35 3.6 การเก็บรวบรวมข้อมูล 36 3.7 วิธีการในการแก้ปัญหา 36
ฉ 3.8 วิเคราะห์ปัญหาโดยใช้ Why Why Analysis 37 3.9 แผนผังการประมวลผลภายในการทำงานของโปรแกรมสำเร็จรูป VBA 38 3.10 ขั้นตอนการใช้งาน 39 บทที่ 4 ผลการวิจัย 40 4.1 ผลการออกแบบ และพัฒนาขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมสำเร็จรูป VBA 40 4.2 ผลการออกแบบ และพัฒนาฐานข้อมูลการทำงานของโปรแกรมสำเร็จรูป VBA 40 4.2.1 หน้าตา Userform 40 4.2.2 ตารางแสดงผล 41 4.3 ผลจากการทดลองใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA 42 4.3.1 ข้อมูลของสินค้า 42 4.3.2 ข้อมูลเฉพาะตัวของสินค้า 44 4.3.3 ทดลองใช้โปรแกรมในการเขียน 46 4.3.4 ผลลัพธ์แสดงความแตกต่าง 52 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปราย และข้อเสนอแนะ 56 5.1 สรุปผลการดำเนินงาน 56 5.1.1 สรุปผลการทำงานของโปรแกรมสำเร็จรูป VBA 56 5.1.2 สรุปผลจากการใช้โปรแกรมจำลอง VBA 56 5.2 ข้อจำกัดในการศึกษา 57 5.3 ข้อเสนอแนะ 58 บรรณานุกรม 59 ประวัติผู้ศึกษา 61 ภาคผนวก ก 62 1. ภาษา VB ที่ผู้วิจัยใช้ในการเขียนโค๊ดโปรแกรมสำเร็จรูป VBA 62 2. แผนผังการประมวลผลภายในการทำงานของโปรแกรมสำเร็จรูป VBA 65
ช 3.ขั้นตอนในการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูป VBA 66 ภาคผนวก ข 67
ซ สารบัญภาพ ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิด 4 ภาพที่ 2.1 คลังสินค้า 7 ภาพที่ 2.2 ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า 7 ภาพที่ 2.3 ศูนย์กระจายสินค้า 8 ภาพที่ 2.4 ตัวอย่างการเขียนโค๊ดด้วยภาษา VB 12 ภาพที่ 2.5 Pareto Chart ของสินค้า 25 ภาพที่ 3. 1ขั้นตอนในการวิจัย 32 ภาพที่ 3.2 การวิเคราะห์ Why-Why Analysis 37 ภาพที่ 3.3 แผนผังการประมวลผลใน VBA 38 ภาพที่ 3.4 ขั้นตอนการใช้งาน 39 ภาพที่ 4.1 หน้าตา Userform ที่รับเพิ่มเนื้อหาและรูปแบบการมใช้งาน 41 ภาพที่ 4.2 ตารางแสดงผล 42 ภาพที่ 4.3 การทดลองการเรียงสินค้า 51
ฌ สารบัญตาราง ตารางที่ 2.1 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บโดยไร้รูปแบบ (Informal System) 18 ตารางที่ 2.2 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบจัดเก็บโดยก าหนดต าแหน่งตายตัว (Fixed Location System) 19 ตารางที่ 2.3 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บโดยจัดเรียงตามรหัสสินค้า (Part Number System) 19 ตารางที่ 2.4 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บสินค้าตามประเภทของสินค้า (Commodity System) 20 ตารางที่ 2.5 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้ก าหนดต าแหน่งตายตัว (Random Location System) 21 ตารางที่ 2.6 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บแบบผสม (Combination System) 21 ตารางที่ 3.1 ชื่อของยาและโซนของสินค้า 33 ตารางที่ 4.1 ชื่อของสินค้าและโซนของสินค้า 42 ตารางที่ 4.2 ข้อมูลความกว้าง ความยาว และความสูงและน ้าหนักของสินค้า 44 ตารางที่ 4.3 แสดงการเปรียบเทียบข้อมูลการจัดเรียงแบบเดิมและการวางแบบใช้โปรแกรมส าเร็จรูป VBA ค านวณออกมา 46 ตารางที่ 4.4 ตารางแสดงการเปรียบเทียบความแตกต่างและร้อยละ 52 ตารางที่ 5.1 สินค้าที่มีการวางได้เพิ่มมากสุด 3 อันดับแรก 57 ตารางที่ 5.2 สินค้าที่มีการวางได้เพิ่มได้น้อยสุด 3 อันดับท้าย 57
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของประโยชน์ คลังสินค้า (Warehouse) คือสถานที่หรือพื้นที่ที่ใช้เก็บรักษาสินค้าหรือสินค้าสำเร็จรูปใน ปริมาณมาก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดเก็บสินค้าให้มีการจัดระเบียบและควบคุมอย่างมีระบบ เพื่อ รองรับการจัดจำหน่ายหรือการส่งออกสินค้าในอนาคต คลังสินค้าสามารถใช้ในหลายวัตถุประสงค์ เช่นการจัดเก็บสินค้าในระหว่างการผลิต, การจัดเก็บสินค้าเพื่อการค้า, หรือการจัดเก็บสินค้าเพื่อการ จัดจำหน่ายและกระจายสินค้าไปยังลูกค้า คลังสินค้ามักมีโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อให้สามารถจัดเก็บสินค้าอย่างปลอดภัยและมี ระบบการจัดเก็บและการควบคุมความรู้สึกในระบบสินค้าเพื่อให้สามารถค้นพบและจัดส่งสินค้าได้ อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ คลังสินค้ายังมักมีระบบการบรรทุกและการขนย้ายสินค้าเพื่อให้สามารถส่ง สินค้าจากแหล่งผลิตหรือจากคลังสินค้าไปยังจุดหมายหรือผู้รับสินค้า การนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) เข้ามาร่วมใช้ในคลังสินค้ามีหลายสาเหตุที่ ทำให้ IoT เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการปรับปรุงการจัดการคลังสินค้า การติดตามและควบคุมสินค้า: IoT ช่วยให้สามารถติดตามตำแหน่งและสถานะของ สินค้าอย่างแม่นยำ ซึ่งสามารถช่วยให้คลังสินค้ามีการจัดเก็บสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพและลดความ สูญเสียของสินค้าในกระบวนการจัดจำหน่าย การระบายแบบอัตโนมัติ: IoT ช่วยในการปรับปรุงกระบวนการระบายสินค้าอย่าง อัตโนมัติ ซึ่งทำให้สินค้าถูกจัดเก็บและจัดจำหน่ายตามลำดับการจัดเก็บหรือตามวันหมดอายุ โดยที่ไม่ ต้องมีการจัดระบบด้วยมือ ควบคุมการจัดเก็บสินค้า: IoT ช่วยในการควบคุมการจัดเก็บสินค้าอย่างมี ประสิทธิภาพ โดยระบบคอมพิวเตอร์สามารถควบคุมรถลาก, ระบบยกขน, ระบบอากาศ, และการ จัดเก็บสินค้าให้เกิดความระบายแบบอัตโนมัติ การควบคุมความอุณหภูมิและความชื้น: IoT ช่วยในการควบคุมสภาพแวดล้อมใน คลังสินค้า เพื่อรักษาความอุณหภูมิและความชื้นในระดับที่เหมาะสมสำหรับสินค้าที่ต้องการเก็บรักษา คุณภาพ.
2 ความปลอดภัย: IoT ช่วยในการรักษาความปลอดภัยในคลังสินค้า โดยให้คุณ สามารถตรวจจับสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่น การบุกรุกหรือการเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ควรเข้าถึง การจัดการสินค้าตามความต้องการ: IoT ช่วยในการปรับปรุงการจัดการสินค้าตาม ความต้องการของลูกค้า โดยที่สามารถจัดสินค้าและจำหน่ายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไป ตามความต้องการของลูกค้า การนำ IoT เข้ามาร่วมใช้ในคลังสินค้าช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ คลังสินค้า, ลดค่าใช้จ่าย, ลดความสูญเสียของสินค้า และเพิ่มความปลอดภัยและความระบายแบบ อัตโนมัติในกระบวนการจัดจำหน่ายและจัดการคลังสินค้า ธุรกิจคลังสินค้าเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิวัติ IoT อย่างมาก อย่างที่ ทราบกันดีว่าสำหรับ คลังสินค้าทั่วไป พนักงานหนึ่งคนจะได้รับมอบหมายหน้าที่หลายอย่าง ไม่ว่าจะ เป็นการหยิบสินค้า การบรรจุสินค้าเพื่อจัดส่ง อย่างไรก็ตาม ในคลังสินค้าอัจฉริยะที่มีการติดตั้ง อุปกรณ์ IoT ภารกิจงานเหล่านี้จะดำเนินไปอย่างอัตโนมัติ ทำให้คลังสินค้าทำงานได้อย่างราบรื่นและ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Smart Warehouse ของ Amazon ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องโดยเน้นไปที่ระบบอัตโนมัติของซัพพลายเชน จึงทำให้องค์การเภสัชกรรมได้ สร้างคลังที่รังสิตที่มีการนำระบบ ASRS เข้ามาช่วยในระบบคลังเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของ ลูกค้าได้อย่างแม่นยำขึ้น แต่ก็อาจจะมีการใช้คนงานเข้ามาบ้างบางกิจกรรม เนื่องจากปัจจุบันที่องค์การณ์เภสัชกรรมกำลังจะมีการเปลี่ยนถ่ายจากที่พระราม 6 ไปเป็นที่ รังสิตทำให้ระหว่างการเปลี่ยนถ่ายเกิดปัญหาขึ้นอาทิ เช่น เกิดการสั่งซ้ำ ลูกค้าสับสนว่าจะต้องสั่งยา ด่วนที่ไหน และปัญหาการเปลี่ยนพาเลทสินค้า ในส่วนที่ผู้วิจัยได้มีโอกาสในการฝึกคือคลังสินค้าที่มี ปัญหาในการเปลี่ยนถ่ายพาเลท เนื่องจากการเปลี่ยนพาเลทโดยไม่มีการคำนวนที่แม่นยำและสะดวก จึงทำให้เกิดปัญหาว่า วางได้ไม่คุ้มค่า หรือวางได้เกิน TI - HI จึงมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่องการ VBA ( Visual Basic for Application ) มาใช้ในการแก้ไขปัญหานี้ได้ก็จะสามารถต่อยอดได้ในอนาคตโดย ที่องค์กรไม่ต้องเสียทุนทรัพย์ในการจ้าง out source เพิ่มมากขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างชุดคำสั่งที่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ โดยที่ทำให้สามารถ คำนวนจำนวนกล่องบนพาเลทออกมาได้มีประสิทธิภาพและแม่นยำที่สุดภายใต้เงื่อนไขของสินค้า
3 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เพื่อใช้การวิเคราะห์ผ่านชุดคำสั่งสำเร็จ Excel VBA ในการแก้ไขปัญหาการคำนวนจการ จัดวางกล่องบนพาเรทได้โดยที่ไม่ต้องไปซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป 2. เพื่อเก็บไว้เป็นพื้นฐานในการต่อยอดแก้ปัญหาต่างๆได้ 1.4 ขอบเขตงานวิจัย 1.ขอบเขตด้านเนื้อหา ศึกษาพัฒนการคำนวณปริมาตรการวางบนพาเลทโดยใช้โปรแกรม สำเร็จ VBA ,กลุ่มยาควบคุม 2. ขอบเขตด้านเวลา ระยะเวลาในการทำการศึกษานี้มีระยะเวลาในการทำการศึกษาตั้งแต่ วันที่ 3 กรกฎาคม ถึง 27 ตุลาคม พ.ศ.2566 3.ขอบเขตด้านสถานที่ องค์การเภสัชกรรมคลังพระราม 6 และคลังรังสิต 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ โปรแกรมสำเร็จรูป VBA : โค๊ดที่เขียนขึ้นสำหรับใช้ความนวนหาปริมาตรสูงสุดของพาเลทว่า จะจุได้มากเท่าไหร่ โดยที่มีการใส่ข้อมูลของสินค้าและพาเลทเข้าไปเพื่อให้โปรแกรมสำเร็จรูปคำนวน ออกมาให้ พาเลท (Pallet) : พาเลทที่ใช้เป็นฐานสำหรับการวางบรรจุภัณฑ์เพื่อนำขึ้นไปเก็บบนแร็กวาง สินค้าโดยขนาดที่ใช้ในคลังยาองค์การเภสัชกรรม ปัจจุบันเป็นขนาด 1x1 เมตร แต่เนื่องจากองค์การ จะทำการย้ายไปที่ใหม่และใช้ระบบใหม่จึงต้องเปลี่ยนขนาดพาเลทเป็น 1x1.2 เมตรเพื่อให้สามารถใช้ กับระบบใหม่ได้ บรรจุภัณฑ์ (Packaging) : สิ่งที่ใช้ในการบรรจุผลิตภัณฑ์ต่างๆขององค์การ แบ่งตามลักษณะ บรรจุภัณฑ์ ชั้นนอก เช่น กล่องลูกฟูก ห่อพลาสติก ชั้นใน เช่น กล่องกระดาษ เฉพาะหน่วย เช่น ขวด หลอด แผงยาฝอย
4 1.6 กรอบแนวคิด การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA ในการคำนวณบรรจุภัณฑ์สินค้าบนพาเลท กรณีศึกษาองค์การเภสัชกรรม มีแนวคิดการใช้ VBA ในการแก้ไขปัญหาดังนี้ ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิด
บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในปัจจุบันการนำความรู้และทฤษฎีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ในการพัฒนาระบบต่างๆในงานของ องค์กรนั้นจะเป็นเรื่องที่ช่วยให้งานนั้นออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคำจำกัดความและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องมีดังนี้ 1 ความหมายของคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง 2 ภาพที่มองเห็นได้พื้นฐานสำหรับการใช้งาน Visual Basic for Applications (VBA) 3 ภาษาภาพพื้นฐาน Visual Basic 4 การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) 5 พาเลท (Pallet) 6 บรรจุภัณฑ์ (Packaging) 7 ศึกษากลยุทธ์การจัดเก็บสินค้า 8 ศึกษาการวัดประสิทธิภาพของคลังสินค้า 9 หลักการพาเลโต้ (Pareto) 10 การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ (Space Utilization) 11 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ความหมายของคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง 1.1 คลังสินค้า ( Warehouse ) คลังสินค้า ( Warehouse ) คือ พื้นที่ที่ได้วางแผนแล้วเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้สอย และเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบ ( A planned space for the efficient accommodation and handling of goods and materials ) ( คำนาย อภิปรัชญาสกุล.2547 ) คลังสินค้า ( Warehouse ) เป็นส่วนหนึ่งของระบบโลจิสติกส์ของกิจการซึ่งเก็บสินนค้าคง คลังที่อยู่ในระหว่างจุดกำเนิดกับจุดบริโภค และจัดหาสารสนเทศเพื่อการบริหารในเรื่องสถานะภาพ เงื่อนไข และการจัดเรียงของสินค้าคงคลังที่กำลังเก็บอยู่ ( โภคทรัพย์ พุ่มพวง.2549 ; อ้างอิงมาจาก J R Stock and D M Lambert)
6 คลังสินค้า ( Warehouse ) ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 คำว่า คลังสินค้า หมายความว่า “โรงพักสินค้าที่มั่นคง” ปัจจุบันความหมายคลังสินค้าครอบคลุมถึงสถานที่จัดเก็บ สินค้าทำหน้าที่เป็น จุดพัก จัดเก็บ กระจายการจัดสินค้า หรือ วัตถุดิบ ทั้งในส่วนของการบริหารสินค้า คงคลัง และการบริหารการจัดเก็บ ความหมายโดยรวม คลังสินค้า Warehouse หมายถึง พื้นที่ที่มีการวางแผนไว้แล้วเพื่อให้เกิด การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและการเคลื่อนย้ายสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายขนถ่ายวัตถุดิบและสินค้า โดยคลังสินค้าจะทำหน้าที่ ในการเก็บสินค้าระหว่างกระบวนเพื่อรอช่วยเหลือฝ่ายการผลิตโดยมีการ จัดเก็บและเคลื่อนย้าย เพื่อรอการส่งต่อให้ฝ่ายผลิตและกระจายสินค้า สินค้าที่เก็บในคลังสินค้า (warehouse) สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท - สินค้ารูปหรือสินค้าสำเร็จรูป จะนับรวมถึงสินค้าระหว่างการผลิต สินค้าที่ทำการทิ้งและ วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ - วัตถุดิบ (Material) ซึ่งอยู่ในรูป วัตถุดิบ ส่วนประกอบและชิ้นส่วน ประเภทของคลังสินค้า แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามลักษณะธุรกิจ คือ คลังสาธารณะ (Public Warehouse) และ คลังส่วนตัว (Private Warehouse) -คลังสาธารณะ Public Warehouse คือ คลังสินค้าที่เจ้าของธุรกิจนั้นเปิดขึ้นเพื่อรับเก็บ สินค้าเป็นหลัก เป็นคลังสินค้าที่มีการดูแลรักษาให้โดยเจ้าหน้าที่หรือเป็นคลังเปล่าที่มีการปล่อยให้เช่า แล้วมีการคิดค่าใช้จ่ายในการใช้พื้นที่คลัง เช่น พวกคลังควบคุมอุณหภูมิที่รับจัดเก็บผลไม้แช่แข็งที่มา จากต่างประเทศ โดยที่โรงงานไม่ต้องการลงทุนสร้างคลังควบคุมอุณหภูมิเป็นของตน ก็จะจ้างคลัง ควบคุมอุณหภูมิช่วยจัดเก็บให้ โดยคิดค่าใช้จัดเก็บ เป็นต้น -คลังส่วนตัว Private Warehouse คือ คลังโดยทั่วไปของบริษัทหลายๆแห่ง ได้สร้างคลังใน พื้นที่ของตัวเอง เช่น คลังสินค้าสำเร็จรูป คลังวัตถุดิบ เป็นต้น และใช้ในการจัดเก็บวัตถุดิบหรือสินค้า สำเร็จรูปของบริษัทเท่านั้น การแบ่งประเภทของคลังสินค้าแบ่งตามลักษณะของการใช้งาน - คลังสินค้าสำหรับเก็บรักษาสินค้า Warehouse ทำหน้าที่หลักในการเก็บรักษาสินค้าซึ่ง อาจจะอยู่ในรูปสินค้าสำเร็จรูป หรือวัตถุดิบเพื่อทำการตอบสนองต่อความต้องการของฝ่ายผลิต หรือ ลูกค้า ดังนั้นจะเน้นที่การป้องกันความเสียหาย และการป้องกันการสูญหายของสินค้าเป็นหลัก
7 ภาพที่ 2.1 คลังสินค้า - ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า Cross dock หมายถึงคลังสินค้าที่มีการรับและส่งสินค้าในเวลา เดียวกัน หรือเป็นคลังที่ออกแบบมาอย่างเป็นพิเศษ เพื่อใช้ในการขนถ่ายสินค้าหรือวัตถุดิบจาก พาหนะหนึ่งไปสู่อีกพาหนะหนึ่ง โดยศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า ส่วนใหญ่แล้วมักเหมาะจะเป็นสถานที่ ซึ่งมี ลักษณะเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า ซึ่งจะทำหน้าที่ในการบรรจุและคัดแยกสินค้า โดยศูนย์ เปลี่ยนถ่ายสินค้าจะทำหน้าที่เป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างรูปแบบการขนส่ง ซึ่งอาจเป็นจาก ผู้ขายปัจจัยการผลิตหลายราย แล้วนำมาคัดแยกรวบรวม บรรทุก เพื่อจัดส่งให้ลูกค้าแต่ระราย ซึ่งส่วน ใหญ่จะเป็นร้านผู้ขายปลีก หรือร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะมีความต้องการสินค้าย่อยหลากหลาย ภาพที่ 2.2 ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า
8 - ศูนย์กระจายสินค้า Distribution Center , DC คือ คลังสิน ค้าที่ทำหน้าที่ทั้งในฐานะเป็น คลังสินค้า และเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต Manufacturer กับผู้ขายปลีก Retailers จะเป็นผู้ ให้บริการทางด้านโลจิสติกส์ Logistics Provider ในด้านการจัดการขนส่งสินค้าและการจัดเก็บสินค้า สำเร็จรูปให้กับลูกค้าได้อย่างทันเวลาและถูกต้องตรงตามความต้องการ ศูนย์กระจายสินค้าส่วนใหญ่ จะเป็นของผู้ให้บริการจากภายนอก Third Party Logistics Service Providers (3PLs) จะทำหน้าที่ รับสินค้าจากผู้ผลิตแต่ละรายมาเก็บในคลังสินค้าของตน โดยจะมีการดำเนินการบริหารจัดการในเรื่อง ของการควบคุมปริมาณด้านเทคโนโลยีในการกระจายและจัดส่งสินค้าหรือผู้ผลิตสินค้าโดยรับผิดชอบ งานขนส่งจนสินค้าไปสู่ผู้รับ ภาพที่ 2.3 ศูนย์กระจายสินค้า การแบ่งประเภทของคลังสินค้าตามลักษณะสินค้า -คลังสินค้าทั่วไป ทำหน้าที่เก็บสินค้าหลากหลายที่ไม่ต้องมีการดูแลพิเศษ เช่น สินค้าอุปโภค บริโภคใช้สอยทั่วไป -คลังสินค้าของสด เช่น อาหาร ผัก ผลไม้ และเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ต้องมีการ ดูแลรักษาอุณหภูมิเพื่อรักษาความสดของสินค้า
9 -คลังสินค้าอันตราย เช่น สารเคมี สารพิษ วัตถุระเบิด และเชื้อเพลิง เป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ของคลังสินค้าอันตรายคือการจัดการแยกประเภทของวัตถุอันตรายและการจัดเก็บให้เหมาะสมตาม หลักการทางด้านวิทยาศาสตร์ของวัตถุนั้นๆ คลังสินค้าชนิดนี้จะต้องมีผู้ควบคุมดูแลระบบบำบัดมลพิษ ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคผนวก ข. แสดงถึง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ภาคผนวก ค. แสดงถึงขั้นตอนการสอบขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมดูแลระบบ บำบัดมลพิษ ภาคผนวก ง. แสดงถึงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 นอกจากนี้ดูรายละเอียด เพิ่มเติมจากสมาคมผู้ประกอบวัตถุอันตราย (Hazardous Substances Logistics Association : HASLA) -คลังสินค้าพิเศษ (ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น) คลังประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นคลังสินค้าที่มีขนาด ไม่ใหญ่มากเพื่อใช้เก็บสินค้าที่ส่วนใหญ่อาจจะมีมูลค่าสูง ซึ่งต้องมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้ เหมาะสมกับสินค้า เพื่อรักษาคุณสมบัติที่มีของสินค้าไว้เพื่อให้มีอายุยืนยาว ตัวอย่างสินค้า เช่น เครื่อง เวชภัณฑ์บางชนิด วัคซีน และยา รวมถึงสารเคมีบางชนิดด้วยรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับการดูแลและ การจัดการคลังสินค้าซึ่งกำหนดโดยราชการสามารถหาเพิ่มเติมจากเอกสารดังต่อไปนี้ - คู่มือการปฎิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการคลังสินค้า (2541) - ข้อปฎิบัติของผู้ประกอบการกิจการคลังสินค้า (2537) 1.2 สินค้าคงคลัง ( Inventory ) สินค้าคงคลังหมายถึง วัสดุหรือสินค้าต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมหรือจัดเก็บเอาไว้เพื่อใช้จัด ประโยชน์ในการดำเนินงานผลิตสำหรับขาย หรือการดำเนินการด้านอื่นๆ โดยสินค้าคงคลังมักจัดเป็น สินทรัพย์ประเภทหนึ่งของบริษัท ประเภทของสินค้าคงคลัง 1. Cycle Stock วัสดุคงคลังที่เก็บตามรอบ หรือมีไว้ทดแทนวัสดุหรือสินค้าที่ขาย หรือใช้ใน การผลิต ไว้เพื่อตอบสนองภายใต้เงื่อไขที่แน่นอน 2. Safety or Buffer Stock เป็นสินค้าจำนวนหนึ่งที่เก็บไว้เกินจาก จำนวนสินค้าที่เก็บไว้ ตามรอบปกติเนื่องจากความไม่แน่นอนในความต้องการสินค้า เช่น ช่วงเวลารอคอย หรือ อุปสงค์สูง กว่าการพยากรณ์ 3. Seasonal Stock เป็นการสะสมสินค้าคงคลังไว้จำนวนหนึ่งก่อนที่ฤดูกสลของการขาย สินค้าจะมาถึง มักเป็นสินค้าทางการเกษตร หรือผลิตผลตามฤดูกาล
10 4. Anticipation Stock เป็นวัสดุหรือวัตถุดิบคงคลังที่จัดเก็บเพื่อป้องกันความเสี่ยงของ สถานการณ์ เช่น การนัดหยุดงานการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ การขึ้นราคา หรือความผันผวน ของสภาพทางเศรษฐกิจ เป็นต้น 5.Transit Inventory สินค้าคงคลังระหว่างการขนส่ง สินค้าประเภทนี้ถือว่าเป็นสินค้า ระหว่างทาง (Pipeline Inventory) แม้จะถูกนำออกไปแล้วแต่ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ ประเภทของคลังสินค้าคงคลังภายในโซ่อุปทาน 1. สินค้าคงคลังที่อยู่ในรูปวัตถุดิบ (Raw Material Inventory : RM) 2. สินค้าคงคลังระหว่างการผลิต (Work-In-Process : WIP) 3. สินค้าคงคลังสำเร็จรูป (Finished Goods Inventory : FG) 4. สินค้าคงคลังระหว่างการกระจายสินค้า (Distribution Inventory) 5. สินค้าคงคลังสำหรับการซ่อมบำรุง (Maintenance and Repair Operation Inventory : MRO) 2. ภาพที่มองเห็นได้พื้นฐานสำหรับการใช้งาน Visual Basic for Applications (VBA) VBA ย่อมาจาก Visual Basic for Applications คือภาษาโปรแกรมที่มีการพัฒนาและถูก สร้างขึ้นโดย Microsoft โดย VBA ใช้สำหรับการทำงานอัตโนมัติและการขยายฟังก์ชันของแอปพลิเค ชันของ Microsoft Office เช่น Excel, Word, PowerPoint, และ Access ประเภทเกี่ยวกับ VBA: 1. Automation: VBA ช่วยให้คุณสามารถอัตโนมัติงานที่ซ้ำซากในแอปพลิเคชันของ Microsoft Office ได้ เช่น คุณสามารถเขียนรหัส VBA เพื่อทำการคำนวณที่ซับซ้อนใน Excel, สร้าง รายงานใน Word หรือสร้างฟอร์มที่กำหนดเองใน Access 2. Customization: ด้วย VBA, คุณสามารถปรับแต่งพฤติกรรมของแอปพลิเคชัน Office เพื่อตอบสนองความต้องการของคุณ เริ่มต้นจากการสร้างฟังก์ชันที่กำหนดเอง, เพิ่มรายการเมนูใหม่, หรือแก้ไขอินเตอร์เฟซผู้ใช้ 3.Event-driven: VBA เชื่อมต่อกับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นภายในแอปพลิเคชัน ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเขียนรหัส VBA เพื่อดำเนินการเมื่อผู้ใช้คลิกปุ่ม, เปิดเอกสาร, หรือพิมพ์ใน เซลล์
11 4.IDE (Integrated Development Environment): VBA มาพร้อมกับ IDE ที่มีโปรแกรม สำหรับเขียนรหัส, ดีบักเกอร์และเครื่องมือสำหรับทำงานกับควบคุมและฟอร์ม สภาพแวดล้อมนี้ทำให้ ง่ายต่อการเขียนรหัส VBA, ทดสอบ, และดีบักเชิงหมายถึงความจุข้อความ 5.Syntax: ไวยากรณ์ของ VBA ขึ้นอยู่กับภาษาโปรแกรม Visual Basic ดังนั้นมันเป็นง่าย สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับแนวคิดในการเขียนโปรแกรม มันรวมถึงคุณสมบัติเช่น ตัวแปร, ลูป, คำสั่งเงื่อนไข และอื่น ๆ 6. Cross-application: ในขณะที่ VBA มักจะเป็นที่รู้จักกับ Microsoft Office มันสามารถใช้ ในแอปพลิเคชันอื่น ๆ บน Windows และสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอก, ไฟล์ และ ฐานข้อมูลได้ 7.Security: รหัส VBA สามารถมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้หากไม่รักษาอย่างถูกต้อง ดังนั้นควรระมัดระวังเมื่อรันมาโค VBA จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ Microsoft ได้นำเสนอคุณสมบัติด้าน ความปลอดภัยเพื่อช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ 3. ภาษาภาพพื้นฐาน Visual Basic Visual Basic เป็นภาษารุ่นที่สามในการเขียนโปรแกรมแบบ event-driven programming (การเขียนโปรแกรมที่ขึ้นกับเหตุการณ์) ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องมือพัฒนาจาก Microsoft เปิดตัวครั้ง แรกในปี 1991 และได้รับการพัฒนาให้ดีมากขึ้นจนถึงปี 2008 โดย ภาษา Visual Basic นั้นถูก ออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และง่ายต่อการใช้งาน ภาษา Visual Basic นั้นถูกพัฒนามาจากภาษา Basic ภาษาเขียนโปรแกรมที่เข้าใจง่าย สำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาโปรแกรมแบบ rapid application development (RAD) และ graphical user interface (GUI) การเข้าถึงฐานข้อมูล และอื่นๆ ที่ทำงานภายใต้ .NET Framework ตัวอย่างการเขียน เช่น การแสดงให้เห็นคำว่า Hello Visual Basic ต้องเริ่มต้นด้วย module เพื่อเริ่มต้น ใส่ sub เพื่อเป็นตัวเริ่มหัวข้อย่อยพอเขียนคำสั่งตามที่ต้องการแล้วให้จบด้วย end sub หากมีหวัข้อยย่อยให้ใส่ sub เพิ่มได้ แต่หากจบทุกอย่างที่เราทำแล้วให้จบด้วย end module
12 Module Module1 Sub Main() Console.WriteLine(“Hello Visual Basic!!!”) End Sub ภาพที่ 2.4 ตัวอย่างการเขียนโค๊ดด้วยภาษา VB 4. การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) เป็นการจัดการกระบวนการในการรับ การจัดเก็บ หมายถึง การจัดส่งสินค้าให้ผู้รับเพื่อรอการทำกิจกรรมในการขาย เป็นเป้าหมายหลักใน การบริหาร ดำเนินธุรกิจ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้าก็เพื่อให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และคุ้มค่ากับการลงทุน การควบคุมคุณภาพของการเก็บ และการหยิบสินค้า การป้องกันเพื่อลดการ สูญเสียจากการ ดำเนินงานที่ผิดพลาดเพื่อให้ต้นทุนการดำเนินงานต่ำที่สุด และการใช้ประโยชน์จาก พื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 5. พาเลท (Pallet) พาเลท (Pallet) คือ แท่นสำหรับวางสินค้าเพื่อขนย้ายหรือจัดส่งและวางสินค้าใน สถานที่เก็บสินค้า ลักษณะของพาเลทจะมีช่องไว้สำหรับให้งาของรถยก(Fork Lift) เสียบแท่นสินค้า ขึ้นมา ช่วยให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการเคลื่อนย้าย และยังประหยัดเวลา แถมยังประหยัด ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ลักษณะของพาเลทที่นิยมใช้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.พาเลทแบบใช้ครั้งเดียว (Single Used) วัสดุที่นำมาใช้ทำพาเลท ชนิดนี้มักจะเป็นวัสดุที่มี ราคาถูกและเหมาะสมกับงานที่ใช้ เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย และสามารถทำลายทิ้งได้ง่าย เช่น พาเลท ไม้ หรือพาเลทกระดาษ 2.แบบการใช้หมุนเวียน (Recycle used) เป็นงานที่จะต้องใช้เพื่อการขนส่ง เช่น การขนถ่าย สินค้าจากคลังเก็บสินค้าไปยังหน้าร้านต่าง ๆ แล้วนำพาเลทกลับมาใช้อีกรอบ ซึ่งพาเลท จะต้องมี ความแข็งแรงและมีความทนทานต่อการใช้งานค่อยข้างสูง เช่น พาเลทพลาสติก
13 ประโยชน์ของพาเลท 1.ใช้ในการขนย้ายสินค้าจากคลังเก็บสินค้าไปยังยานพาหนะที่จะใช้ในการขนส่ง เช่น ขนส่ง ทางเรือ ทางอากาศหรือเครื่องบิน และทางรถยนต์ 2.พาเลทกระดาษ พาเลทไม้ และพาเลทพลาสติกหรืออื่นๆ ช่วยให้ระบบการขนย้ายสินค้า เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดเวลาและประหยัดค่าจ่ายในการขนส่ง 3.การใช้พาเลทเป็นแท่นรองรับสินค้า ช่วยลดความเสียหายของสินค้าในระหว่างการขนส่ง หรือระหว่างการเคลื่อนย้ายได้ดี 4.พาเลทกระดาษ และพาเลททำจากวัสดุอื่นๆ ช่วยให้การจัดเก็บภายในคลังสินค้ามีระบบ จัดวางสินค้าเป็นหมวดหมู่ และช่วยเพื่มพื้นที่ในการจัดเก็บให้เป็นระเบียบง่ายต่อการเคลื่อนย้าย 5.ระบบการจัดเก็บสินค้าแบบพาเลท ช่วยให้เกิดความสะดวกในการจัดเก็บและการตรวจนับ สินค้าคงเหลือในคลังทำได้ง่ายขึ้น 6.พาเลทกระดาษที่เหมาะสำหรับใช้ครั้งเดียว ยังเป็นประโยชน์ต่อการกระจายสินค้าจาก คลังสินค้าไปตามบูธ หรือตามงานแสดงสินค้าต่างๆ 7.การเลือกใช้พาเลทแต่ละประเภทให้เหมาะกับลักษณะงาน ยังช่วยในการบริหารต้นทุนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดของพาเลท สามารถแบ่งได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งขนาดตามประเทศที่ นำไปใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามมาตรฐานต่างๆ สามารถแยกขนาดของพาเลทได้ตาม ประเภทที่ นิยมใช้งานได้เป็นหลักๆ ดังต่อไปนี้ - ขนาดEuro pallet เป็นพาเลทแบบเล็ก ขนาดประมาณ 80X120X15 cm ซึ่งเป็นขนาดที่ ใช้สำหรับขนส่ง ขนย้ายเป็นหลัก - ขนาดJapan pallet เป็นพาเลทแบบมาตรฐาน 110X110X15 cm เป็นขนาดที่นิยมในแถบ เอเชีย สำหรับการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ - ขนาดThai pallet เป็นพาเลทแบบที่นิยมใช้ในไทย 100X120X15 cm เป็นขนาดที่นิยมใช้ ทั้งการขนส่ง และ นำไปทำเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่งบ้าน พาเลทมีกี่ประเภท เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม พาเลท(Pallet) เป็นอุปกรณ์สำหรับรองรับ สินค้าที่มีน้ำหนักมากๆ เพื่อให้ง่ายต่อการขนย้าย เพราะ ลักษณะของพาเลทจะเป็นแท่นรูปทรง สี่เหลี่ยม ฐานของพาเลทจะมีช่องว่างสำหรับให้รถยก(รถโฟคลิฟท์) ซึ่งวัสดุในการทำพาเลทก็จะ แตกต่างกันออกไปตามวัสดุที่เลือกใช้ เช่น พาเลทไม้ พาเลทโฟม แท่นพาเลท(เหล็ก) มารู้จักกันว่า พาเลท มีกี่ประเภท และจะเลือกใช้อย่างไรถึงจะเหมาะสม
14 - พาเลทไม้(Wooden Pallets) เป็นพาเลทที่นิยมนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย ใช้งานได้ทนทาน ง่ายต่อการผลิต และ ยังสามารถเลือกประเภทของไม้ ได้หลากหลายอีกด้วย ข้อดีของพาเลทไม้ - มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรับน้ำหนักของได้มาก - หาได้ง่าย และ ง่ายต่อการผลิต - สามารถใช้ซ้ำได้หลายรอบ และ สามารถซ่อมแซ่มได้ง่าย ข้อเสียของพาเลทไม้ - อาจจะเกิดการบิดงอ โก่ง ของไม้ได้ - มีปัญหาเรื่องเชื้อรา แมลงศัตรูพืช ได้ง่าย เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร : การขนส่งสินค้าต่างๆ หรือ นำไปประยุกต์ในการทำ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ เตียง ตู้ ชิงช้า เป็นต้น เนื่องจากเป็นวัสดุที่ค่อนข้างถูก ทำให้ เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด พาเลทโฟม(Foam Pallets) เป็นประเภทของพาเลทที่สามารถใช้งานได้ง่าย มีขนาดเบา สามารถหาวัสดุได้ง่าย และ ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย ข้อดีของพาเลทโฟม - น้ำหนักเบา ทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย - ไม่ต้องกังวลเรื่องของเชื้อรา แมลง และ ความชื้น ข้อเสียของพาเลทโฟม - ไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักได้น้อย - ยากต่อการทำลาย และ ย่อยสลาย เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร : ใช้สำหรับรองคั่นระหว่างของสินค้าแต่ละชั้น สำหรับสินค้าที่ ต้องระวังเสียหายเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณน้อย เนื่องจากโฟมมีราคาถูก พาเลทพลาสติก(Plastic Pallets) เป็นพาเลทอีกประเภทที่สามารถใช้งานได้นาน ทนทานสูง และ ยังเป็นอีกประเภทที่นิยมใช้กันอย่างมากอีกด้วย ข้อดีของพาเลทพลาสติก - มีน้ำหนักเบา แต่มีความทนทานแข็งแรง - สามารถนำไปใช้ซ้ำได้ และ ง่ายต่อการรักษา ซ่อมแซ่ม - ไม่ต้องกังวลเรื่องของความชื้น และ แมลง
15 ข้อเสียของพาเลทพลาสติก - หากพาเลทไม่หนาพอ อาจจะส่งผลต่อการรับน้ำหนักของสินค้าที่มีน้ำหนักมาก - ยิ่งใช้พลาสติกหนา พาเลทก็ยิ่งแพง เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร : ใช้ในการวางสินค้า จัดระเบียบสินค้า และ ขนส่งสินค้าที่ น้ำหนักไม่ได้มากจนเกินไป เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความทนทานของวัสดุที่แข็งแรง แต่ไม่หนัก จนเกินไป แต่มีราคาไม่แพง พาเลทกระดาษ(Paper Pallets) เป็นพาเลทประเภทที่มีน้ำหนักเบาที่สุด อีกทั้งยังแข็งแรง น้อยที่สุดอีกด้วย ไม่เหมาะสำหรับใช้งานถาวร หรือ ใช้ซ้ำ ข้อดีของพาเลทกระดาษ - น้ำหนักเบา ง่ายต่อการใช้งาน และ เคลื่อนย้าย - สามารถขนย้ายได้โดยไม่ต้องประทับตรา IPPC ข้อเสียของพาเลทกระดาษ - ความแข็งแรงค่อนข้างน้อย - ไม่ค่อยทนทานต่อ น้ำ ความชื้น และ แมลง เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร :ใช้ในการรองรับสินค้าไม่ให้สัมผัสกับสินค้าโดยตรง เหมาะ สำหรับคนที่ต้องการวัสดุที่ราคาไม่แพง และ การใช้งานสำหรับครั้งเดียว พาเลทเหล็ก(Steel Pallets) เป็นพาเลทที่อาศัยการนำเหล็กมาตัดเป็นขนาดต่างๆ เป็นพา เลทที่ไม่เหมาะสำหรับใช้รถยก เนื่องจากมีน้ำหนักค่อนข้างมาก ข้อดีของพาเลทเหล็ก - มีความแข็งแรง ทนทานสูง สามารถรับน้ำหนักได้มาก - สามารถใช้งานได้ยาวนาน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องแมลง ข้อเสียของพาเลทเหล็ก - น้ำหนักค่อนข้างมาก ทำให้ขนย้ายค่อนข้างลำบาก - มีราคาค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับใช้งานอย่างไร : ใช้สำหรับวางสินค้าที่มีน้ำหนักมากๆ ไม่เหมาะสำหรับใช้ใน การขนส่ง ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีงบจำกัด เพราะ วัสดุค่อนข้างราคาสูง
16 6. บรรจุภัณฑ์ (Packaging) บรรจุภัณฑ์ หมายถึงวัสดุใดๆ ที่นำมาใช้สำหรับห่อหุ้ม ป้องกัน ลำเลียง จัดส่ง และนำเสนอ สินค้าตั้งแต่วัตถุดิบถึงสินค้า ที่ผ่านการผลิต ตั้งแต่ผู้ผลิต ถึงผู้บริโภคโดยมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นในการ ป้องกัน หรือ รักษาผลิตภัณฑ์ให้คงสภาพ ตลอดจนมีคุณภาพใกล้เคียงกับเมื่อแรกผลิตให้มากที่สุด หรือ บรรจุภัณฑ์ (package) มีความหมายถึง กล่อง หีบ ถัง ลัง พาเลท (pallet) ตู้ หรือสิ่งอื่นใดที่ ทำหน้าที่ทำหน้าที่เพื่อการบรรจุวัตถุดิบ สินค้าหรือสิ่งของไว้ภายใน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบโลจิ สติกส์ มีประสิทธิภาพและเป็นเครื่องมือในการกระจายสินค้า (distribution ไปสู่ผู้ใช้ ผู้ซื้อหรือ ผู้บริโภค (สมพงษ์ เฟื่องอารมณ์, 2550) ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของ กระบวนการผลิต การค้าและการ อุตสาหกรรมเนื่องจากเป็นภาพลักษณ์แรกของสินค้าที่ผู้บริโภคได้สัมผัส มีบทบาทในการขี้ขาด การ ตัดสินใจของผู้บริโภคต่อสินค้า นอกจากนั้น การมีบรรจุภัณฑ์และการขนส่งที่เหมาะสม นอกจากจะมี ส่วนที่จะช่วยลดความเสียหายแล้ว ยังทำให้ธุรกิจสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้น บรรจุภัณฑ์โลจิสติกส์ (packaging logistics) จึงมีความสำคัญ ดังนี้ 1. เพื่อการเก็บรักษาสินค้าให้คงสภาพเดิมไม่บุบหรือแตก และสามารถจัด เรียง รวบรวม อยู่ ในเนื้อที่ซึ่งจำกัด ให้มีปริมาตรการใช้พื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนโลจิสติกส์ 2. เพื่อป้องกันสินค้าที่บรรจุภายในไม่ให้ได้รับการเสียหายหรือเสียรูปในขณะขนถ่ายสินค้า และช่วยในการจัดวางหรือจัดเรียงสินค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด 3. เพื่อช่วยให้สะดวกในการขนถ่ายสินค้าจากสถานที่ผลิต และจัดส่งสินค้าผ่านกิจกรรมต่างๆ ทาง โลจิสติกส์จนสินค้าไปถึงจุดหมายปลายทางโดยที่สินค้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มีความสะดวก โดยมี ต้นทุนในการส่งมอบ(delivery cost) ที่ประหยัด 4. บรรจุภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการส่งมอบสินค้าภายใต้ความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่ง จะเกี่ยวกับกิจกรรมทางโลจิสติกส์โดยตรง บทบาทและหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ รืในฐานะที่เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของโลจิสติกส์ จึงสรุปได้ 3ประการ คือ 1. ทำหน้าที่ด้านการเก็บรักษา (storage support) ในการปกป้องและเก็บรักษาสินค้าไม่ให้ ได้รับความเสียหายและมีความสะดวกในระหว่างการจัดเก็บ
17 2. ทำหน้าที่ด้านการขนส่ง (transport support) เพื่อให้เกิดความสะดวกและมีความ ปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายเพื่อการขนส่ง 3. ทำหน้าที่ลดต้นทุน (cost reduction) ในการทำให้ประหยัดเนื้อที่ ทั้งเพื่อการเก็บรักษา และเพื่อการขนย้ายสินค้าหรือการขนส่งเนื่องจากสามารถจัดวางเรียงทับซ้อน ประเภทของบรรจุภัณฑ์ 1.บรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วย (Individual Package) หรือ บรรจุภัณฑ์ชั้น 1 บรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วย (Individual Package) คือ บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในการห่อหุ้มและ สัมผัสกับสินค้าโดยตรง โดยบรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วยจะทำหน้าที่ ปกป้องสินค้าไม่ทำให้สินค้า เสีย คุณภาพ ซึ่งการเลือกบรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วยต้องเข้าใจสินค้าในแต่ละประเภทว่ามีลักษณะ เป็น อย่างไร ซึ่งอาจจะเป็น ของแข็ง (เม็ด, ก้อน, แผ่นเป็นต้น) ของเหลว (น้ำ, น้ำมัน, เคมี, เป็น ต้น) ก๊าซ หรืออื่นๆ แล้วทำการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมซึ่งอาจจะเป็นขวด กระป๋อง กล่อง ลัง เป็น ต้น 2.บรรจุภัณฑ์ชั้นใน (Inner Package) หรือ บรรจุภัณฑ์ชั้น 2 บรรจุภัณฑ์ชั้นใน (Inner Package) คือ บรรจุภัณฑ์ที่ทำหน้าที่ในการห่อหุ้ม รวมหน่วยบรรจุ ภัณฑ์เฉพาะหน่วย(Individual Package) ให้ได้ปริมาณที่ต้องการ เพื่อความสวยงาม ช่วยป้องกัน แสงแดด ความขึ้น อากาศ แสง และยังช่วยอำนวยความสะดวกในการขายปลีก-ย่อยและยังทำหน้าที่ วางขายด้วยจึงต้องออกแบบให้สวยดึงดูดผู้บริโภค การสะดวกในการยกขนส่งสินค้า 3.บรรจุภัณฑ์ชั้นนอก (Outer Package) หรือ บรรจุภัณฑ์ชั้น 3 บรรจุภัณฑ์ชั้นนอกสุด ( Outer Package) คือ บรรจุภัณฑ์ที่ทำหน้าที่ในการรวม หน่วยสินค้าให้ได้จำนวนมากขึ้น ป้องกันสินค้าไม่ให้เสียหาย การขนถ่ายสินค้าเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและรวดเร็วในระหว่างการขนส่ง ประเภทของบรรจุภัณฑ์โลจิสติกส์ 1. บรรจุภัณฑ์เพื่อการขายปลีก (retail package) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบไว้เพื่อความ สะดวกต่อการส่งมอบสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง จึงมีการออกแบบให้มีความสะดุดตา และเป็นสื่อ โฆษณาภายในตัวเองนอกจากนี้ ยังทำหน้าที่ปกป้องสินค้ามีรูปร่างที่เหมาะแก่การใช้งาน และมีการ ออกแบบเชิงส่งเสริมการตลาดหรือเชิงพาณิชย์
18 2. บรรจุภัณฑ์เพื่อการขายส่ง (wholesale package) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่แบ่งสินค้าออกเป็น ชุดเพื่อสะดวกในการจัดจำหน่าย เช่น 6 ชิ้น 12 ชิ้น หรือ 24 ชิ้น เพื่อป้องกันรักษาไม่ให้สินค้าเสีย ภายในระหว่างการเก็บรักษาในคลังสินค้าหรือจากการขนส่งและสะดวกต่อการส่งมอบสินค้าไปสู่ผู้ขาย ปลีกหรือขายส่งซึ่งบรรจุภัณฑ์นี้ สำคัญต่อกระบวนการกระจายสินค้า ที่เรียกว่า 3. บรรจุภัณฑ์ชั้นนอกหรือบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Out Package/Transport-Package) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อใช้บรรจุสินค้า เพื่อให้สามารถจัดเรียงหรือจัดวางโดยใช้พื้นที่ได้น้อย ที่สุด เพื่อใช้ในการขนส่ง รวมถึงให้มีสภาพแข็งแรงเพื่อป้องกันการกระแทกหรือป้องกันละอองน้ำหรือ น้ำ ไม่ให้สินค้าเสียหายระหว่างการเคลื่อนย้ายหรือขนส่ง เช่น ลังไม้ หรือ พาเลท 7. ศึกษากลยุทธ์การจัดเก็บสินค้า James และ Jerry (1998) ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง The Warehouse Management Handbook; the second edition ในเรื่อง Stock Location Methodology โดยมี การจัดแบ่งรูปแบบในการจัดเก็บสินค้านั้นออกเป็น 6 แนวคิด 1. ระบบการจัดเก็บโดยไร้รูปแบบ (Informal System) ระบบการจัดเก็บแบบไร้รูปแบบ (Informal System) คือระบบการจัดเก็บสินค้า ที่ไม่มี ขั้นตอน หรือกระบวนการที่ถูกกำหนดไว้อย่างเจาะจง ส่วนใหญ่แล้วระบบนี้จะเกิดขึ้นตามความ จำเป็นในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น พนักงานทำการจัดเก็บสินค้าในตำแหน่งที่เหมาะสมด้วย ตัวเอง โดยไม่มีรูปแบบกำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้สามารถจัดเก็บสินค้าได้ในหลายพื้นที่ แม้จะมีข้อดีคือ มีความยืดหยุ่นสูง แต่ระบบนี้ก็ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับระบบอื่นๆ ข้อดี ข้อเสีย - ไม่ต้องการการบำรุงรักษาอุปกรณ์และ เครื่องมือต่างๆ - มีความยืดหยุ่นสูง - ขึ้นอยู่กับทักษะของพนักงานคลังสินค้า - ยากในการหาสินค้า - ไม่มีประสิทธิภาพ ตารางที่ 2.1 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บโดยไร้รูปแบบ (Informal System) 2. ระบบจัดเก็บโดยกำหนดตำแหน่งตายตัว (Fixed Location System) ระบบจัดเก็บสินค้าแบบกำหนดตำแหน่งตายตัว (Fixed Location System) คือระบบที่ใช้ สำหรับจัดเก็บสินค้าในตำแหน่งที่แน่นอนและคงที่ ทั้งตอนจัดเก็บ และตอนนำออกจากตำแหน่งนั้นๆ
19 โดยในระบบนี้ สินค้าจะถูกจัดเก็บในตำแหน่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ในโกดังหรือคลังสินค้า และจะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในการจัดเก็บแต่อย่างใด ข้อดี ข้อเสีย - ง่ายต่อการหยิบหรือนำไปใช้ - ง่ายต่อการปฏิบัติงานเนื่องจากหาง่ายและ รวดเร็ว - ใช้พื้นที่จัดเก็บไม่ได้ไม่เต็มที่ - ต้องเสียพื้นที่การจัดเก็บโดยไม่มีประโยชน์ใน กรณีที่ไม่มีสินค้าอยู่ในโซนจัดเก็บนั้น - ต้องใช้พื้นที่จำนวนมากหลายตำแหน่งเกินไป ในการจัดเก็บสินค้าให้มากที่สุด - ยากต่อการปรับปรุงหรือขยายพื้นที่จัดเก็บ - ยากต่อการจดจำตำแหน่งจัดเก็บสินค้า ตารางที่ 2.2 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบจัดเก็บโดยกำหนดตำแหน่งตายตัว (Fixed Location System) 3. ระบบการจัดเก็บโดยจัดเรียงตามรหัสสินค้า (Part Number System) ระบบการจัดเก็บแบบจัดเรียงตามรหัสสินค้า (Part Number System) คือ ระบบจัดเก็บ สินค้าโดยใช้รหัส หรือตัวเลขที่กำหนด ในการจัดเก็บและระบุตัวตนของสินค้าในระบบการจัดเก็บ สินค้า ระบบนี้จะช่วยให้คลังสินค้าสามารถระบุและติดตามสินค้าได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังทำให้ การจัดเก็บสินค้ามีความเป็นระเบียบ และทำให้พนักงานสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องส่งให้ลูกค้าได้อย่าง รวดเร็วระบบการจัดเก็บโดยจัดเรียง ข้อดี ข้อเสีย - ง่ายต่อการค้นหาสินค้า - ง่ายต่อการหยิบสินค้าเนื่องจากหาได้เร็ว - ง่ายต่อการนำไปใช้ - ไม่จำเป็นต้องมีการบันทึกตำแหน่งสินค้า - ไม่ยืดหยุ่น - ยากต่อการปรับเปลี่ยนตามปริมาณความ ต้องการสินค้า - การเพิ่มการจัดเก็บสินค้าใหม่อาจจะมี ผลกระทบต่อการจัดเก็บสินค้าเดิมทั้งหมด เนื่องจากอาจจะต้องย้ายหรือสลับใหม่ทั้งหมด - ใช้พื้นที่จัดเก็บไม่ได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ตารางที่ 2.3 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บโดยจัดเรียงตามรหัสสินค้า (Part Number System)
20 4. ระบบการจัดเก็บสินค้าตามประเภทของสินค้า (Commodity System) ระบบจัดเก็บสินค้าแบบเรียงตามประเภทสินค้า (Commodity System) คือ ระบบที่ใช้ใน การจัดเก็บ และจัดระเบียบสินค้าตามประเภท หรือลักษณะของสินค้าที่คล้ายคลึงกัน เพื่อการจัดการ สินค้าให้อยู่ในหมวดเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา และง่ายต่อการจัดส่งสินค้า โดยในระบบ Commodity System นี้ สินค้าจะถูกจัดเก็บแยกตามประเภท เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง และตามลักษณะเฉพาะของสินค้าเช่น อาหารสด อาหารแห้ง ของใช้ในครัวเรือน และ อื่นๆ ข้อดี ข้อเสีย - สินค้าถูกแบบ่งตามประเภททำให้พนักงาน ผู้ปฏิบัติงานเข้าได้ได้ง่าย - มีความยืดหยุ่นสูง - การหยิบสินค้าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ในกรณีที่สินค้าประเภทเดียวกันมีหลายรุ่น/ ยี่ห้อ อาจทำให้หยิบสินค้าผิดพลาดได้ - สินค้าบางชนิดอาจยุ่งยากในการจัดประเภท สินค้า - การใช้สอยพื้นที่จัดเก็บดีขึ้นแต่ยังไม่ดีที่สุด - จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของสินค้าแต่ละชิด หรือแต่ละยี่ห้อที่จะหยิบ ตารางที่ 2.4 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บสินค้าตามประเภทของสินค้า (Commodity System) 5. ระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว (Random Location System) ระบบจัดเก็บสินค้าแบบไม่กำหนดตำแหน่งตายตัว (Random Location System) คือระบบ ที่มีการจัดเก็บสินค้าในรูปแบบที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งอย่างตายตัว ทำให้สามารถจัดเก็บสินค้าไว้ใน ตำแหน่งใดก็ได้ในคลังสินค้า นับว่าเป็นระบบการจัดเก็บสินค้าที่มีความยืดหยุ่นสูง มีประโยชน์ต่อ คลังสินค้า ช่วยให้คลังสินค้าสามารถใช้งานพื้นที่จัดเก็บได้อย่างเกิดประโยชน์ และยังไงต่อการขยาย การจัดเก็บ
21 ข้อดี ข้อเสีย - สามารถใช้งานพื้นที่จัดเก็บได้อย่างเกิด ประโยชน์สูงสุด - ระยะทางเดินหยิบสินค้าไม่ไกล - ง่ายในการปฏิบัติงาน - ง่ายต่อการขยายการจัดเก็บ - มีความยืดหยุ่นสูง - ต้องมีการเก็บบันทึกข้อมูลในการจัดเก็บสินค้า อย่างละเอียดและรอบครอบ - ต้องมีการบันทึกข้อมูลการจัดเก็บอย่าง เคร่งครัด ตารางที่ 2.5 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว (Random Location System) 6. ระบบการจัดเก็บแบบผสม (Combination System) ระบบการจัดเก็บสินค้าแบบผสมผสาน (Combination System) คือ ระบบการจัดเก็บสินค้า ที่มีความผสมผสานในหลายระบบ เริ่มตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไป เช่นระบบการจัดเก็บสินค้าแบบกำหนด ตำแหน่งตายตัว กับระบบจัดเก็บสินค้าแบบไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว เพื่อให้การจัดเก็บสินค้ามี ประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ที่สุด โดยระบบแบบผสมผสานนี้จะใช้เทคนิค หรือเครื่องมือที่ หลากหลายในการจัดเก็บ เช่น ฐานข้อมูล (database) รวมถึงการใช้ระบบไฟล์ (file system) เข้ามา ช่วยในการจัดเก็บสินค้าระบบการจัดเก็บแบบผสม (Combination System) ข้อดี ข้อเสีย - สามารถปรับเปลี่ยนการจัดเก็บได้ตามลักษณะ ของคลังสินค้า - เป็นการรวมเอาข้อดีจากทุกระบบการจัดเก็บ มาใช้ - สามารถควบคุมการจัดเก็บได้เป็นอย่างดี - มีความยืดหยุ่นสูง - ขยายการจัดเก็บได้ง่าย - การใช้ประโยชน์จากพื้นที่จัดเก็บมีความไม่ แน่นอน เปลี่ยนได้ตลอดเวลา- อาจทำให้ ผู้ปฏิบัติงานเกิดความสับสนเนื่องจากมีระบบ การจัดเก็บมากกว่า 1 วิธี ตารางที่ 2.6 ข้อดี ข้อเสีย ของระบบการจัดเก็บแบบผสม (Combination System)
22 นอกจากนี้ Charles (1997) ได้เสนอแนวคิดในการจัดเก็บสินค้าไว้ 2 แนวคิด ดังนี้ 1. การจัดเก็บแบบซุ่ม (Random Storage) ซึ่งเป็นเทคนิคในการจัดเก็บสินค้าวิธีหนึ่งที่ทำ การเก็บสินค้า ณ จุดหรือตำแหน่งที่ว่างได้ทั่วคลังสินค้า เนื่องจากไม่มีการกำหนดพื้นที่ไว้เฉพาะ สำหรับสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่ง 2. การจัดเก็บตามปริมาณความต้องการหยิบสินค้า (Volume-based Storage) ซึ่งเป็น เทคนิคการจัดเก็บสินค้า ที่มีความต้องการสูงไว้อยู่ใกล้กับประตูเข้าออกเมื่อเปรียบเทียบลักษณะการ จัดเก็บสินค้าแบบซุ่ม (Random Storage) และแบบตามปริมาณความต้องการหยิบสินค้า (Volumebased Storage) มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันคือ การจัดเก็บแบบ Volume-based Storage นั้นจะ ช่วยลดเวลาและระยะทางในการหยิบสินค้า แต่ข้อเสียคือทำให้เกิดความแออัดในช่องทางเดินที่เก็บ สินค้าและทำให้เกิด ความไม่สมดุลในการใช้พื้นที่ในการจัดเก็บสินค้า สำหรับจัดเก็บแบบซุ่ม (Random Storage) จะเป็นวิธีการจัดเก็บที่มีการใช้ประโยชน์ของพื้นที่จัดเก็บได้ทั่วทั้งคลังสินค้าซึ่ง จะช่วยลดความคับแคบของช่องทางการเดินลงไปได้ แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เสียเวลาที่ใช้ในการหยิบ สินค้าอย่างมาก เนื่องจากสินค้าที่ต้องการจะหยิบนั้นอาจมีการหาไม่เจอหรืออยู่ในส่วนที่ลึกเข้าไปใน คลัง เป็นต้น 8 ศึกษาการวัดประสิทธิภาพของคลังสินค้า 8.1 การวัดประสิทธิภาพของคลังสินค้าสามารถพิจารณาได้หลายแบบ 1) อัตราส่วนผลผลิต (Productivity Ration) เป็นอัตราส่วนของผลผลิตที่ได้ (Output) ต่อ ปัจจัยการผลิต (Input) เช่น จำนวนสินค้าที่คนงานสามารถขนได้ต่อชั่วโมงการทำงาน จำนวนสินค้าที่ เครื่องจักรสามารถเลือกหยิบได้ต่อชั่วโมง เป็นต้น 2) อัตราส่วนการใช้ประโยชน์ (Utilization Ration) ซึ่งเป็นอัตราส่วนของกำลังการผลิตที่ใช้ ไป (Use Capacity) ต่อกำลังการผลิตที่มีอยู่ (Availability Capacity) เช่น จำนวนชั่วโมงแรงงานที่ใช้ ไปต่อจำนวนชั่วโมงแรงงานทั้งหมด จำนวนชั้นวางสินค้าที่ใช้ไปต่อจำนวนชั้นวางสินค้าทั้งหมดจำนวน ปริมาณคลังสินค้าที่ใช้ไปต่อปริมาณที่มีทั้งหมด เป็นต้น 3) อัตราส่วนของผลผลิตที่ได้จริง (Actual Output ต่อผลผลิตมาตรฐาน (Standard Output) เช่น จำนวนพาเลทสินค้าที่ยกได้จริงต่อจำนวนพาเลทที่ยกได้ตามมาตรฐานในเวลาที่เท่ากัน อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นจริงต่ออัตราผลตอบแทนที่กำหนดไว้ การวัดประสิทธิภาพโดย ใช้อัตราส่วนทั้งสามรูปแบบ จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งสามารถเลือกใช้อัตราส่วนตามความ เหมาะสมของธุรกิจ
23 8.2 ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพในการทางานภายในคลังสินค้า (เมธินี ศรีกาญจน์,2555) ในการทำงานภายในคลังสินค้าทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการรับสินค้าการขนส่งสินค้าการผลิต สินค้า และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่มีการกำหนดดัชนีหรือเป้าเหมายในการวัดประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อช่วยให้ทราบว่ากระบวนการทำงาน ณ เวลานั้นมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ ไหนและถ้าไม่เหมาะสมก็ควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขในส่วนนั้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องมีการวัดประ สิทธิ ภาพในการทำงาน โดยแสดงรายละเอียดดังนี้ 1) จำนวนคำสั่งซื้อสินค้าที่หยิบหรือบรรจุได้ต่อชั่วโมง (Orders per Hour) เป็นการวัด จำนวนคำสั่งซื้อของสินค้าที่ทำการหยิบหรือบรรจุลงภาชนะบรรจุได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง โดยตัวเลข ยิ่งมากยิ่งแสดงถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการบริหารจัดการพื้นที่ในการ จัดเก็บและการกำหนดพื้นที่ในการจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งมีการนาเทคโนโลยีและ อุปกรณ์ต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการทำงานจึงทำให้สามารถหาสินค้าหยิบมาแลบรรจุได้อย่างรวดเร็ว 2) จำนวนรายการสินค้าที่หยิบหรือบรรจุได้ต่อชั่วโมง (Lines per Hour) เป็นการวัดจำนวน รายการของสินค้าที่หยิบหรือบรรจุได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง ตัวเลขยิ่งมากยิ่งแสดงถึงการทำงานที่มี ประสิทธิภาพเช่นเดียวกับกรณีจำนวนคำสั่งซื้อสินค้าที่หยิบหรือบรรจุได้ต่อชั่วโมง (Orders per Hour) 3) จำนวนสินค้าที่หยิบหรือบรรจุได้ต่อชั่วโมง (Item per Hour) เป็นการวัดจำนวนสินค้า (ชิ้น) ที่หยิบหรือบรรจุได้ภายในเวลาชั่วโมง โดยถ้าหากตัวเลขยิ่งมากหมายความว่าการทำงานมี ประสิทธิภาพเช่นกัน กรณีจำนวนคำสั่งซื้อสินค้าที่หยิบหรือบรรจุได้ต่อชั่วโมง (Orders per Hour) และจำนวนรายการสินค้าที่หยิบหรือบรรจุได้ต่อชั่วโมง (Lines per Hour) 4) ต้นทุนทั้งหมดในการทำงานภายในคลังสินค้าต่อคำสั่งซื้อ (Cost per Order) เป็นการวัด จำนวนค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทำงานแต่ละขั้นตอนสาหรับคำสั่งซื้อของลูกค้า 1 คำสั่งซื้อ เพื่อวิเคราะห์รายจ่ายที่เกิดขึ้นและความคุ้มค่าที่ได้รับ โดยตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งแสดงถึง กระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาในการทำงานน้อยมีการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพส่งผล ให้มีต้นทุนที่ลดลงตามไปด้วย 5) ต้นทุนทั้งหมดภายในคลังสินค้าต่อรายรับทั้งหมด (Cost per Sales) เป็นการวัดจำนวน ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทำงานแต่ละขั้นตอนโดยนำไปเทียบกับรายรับหรือ ยอดขายที่ได้รับในช่วงเวลาหนึ่งๆ เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการทำงานหรือกรณีที่เป็นผู้ใช้บริการ ทางด้านโลจิสติกส์ อาจจะนำมาใช้วิเคราะห์เพื่อคัดเลือกลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้า
24 6) การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภายในคลังสินค้า (Warehouse Space Utilization) เป็นการ พิจารณาความคุ้มค่าของการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภายในคลังสินค้าในการจัดเก็บสินค้าโดยวัดเป็น สัดส่วนหรือเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ที่ใช้งานเทียบกับพื้นที่ที่มีอยู่ทั้งหมดภายในคลังสินค้าหนึ่งๆ 9. หลักการพาเลโต้ (Pareto) "หลักปาเรโต" หรือ "กฎ 80/20" เป็นหลักการที่มีชื่อตามนาย Vilfredo Pareto นัก เศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลีที่สังเกตเห็นว่าประมาณ 80% ของผลกระทบมาจากประมาณ 20% ของ สาเหตุในสถานการณ์หลาย ๆ รูปแบบ หลักปาเรโตนี้เป็นแนวคิดที่สามารถนำไปใช้งานในหลายบริบท เช่น ธุรกิจ สังคม และชีวิตประจำวัน 1. ความไม่สมดุลของสาเหตุและผลกระทบ: หลักปาเรโตชี้ให้เห็นว่ามักมีความไม่สมดุล ระหว่างสิ่งที่นำเข้า(inputs) และผลลัพธ์ (outputs) ในสถานการณ์หลาย ๆ รูปแบบ ในกรณี ส่วนใหญ่ ส่วนน้อยของสิ่งที่นำเข้ามา (ประมาณ 20%) มักมีส่วนร่วมในส่วนใหญ่ของผลลัพธ์ หรือผลกระทบ (ประมาณ 80%) 2. การประยุกต์ใช้ตัวอย่าง: - ในธุรกิจ มักมีการสังเกตว่าประมาณ 20% ของลูกค้าร่วมสร้างรายได้ของบริษัทประมาณ 80% หรือ 20% ของสินค้าอาจทำให้สรรพสามิตของรายได้ประมาณ 80% - ในการจัดการเวลา มักบอกว่า 20% ของกิจกรรมหรืองานมีส่วนร่วมในการสร้างผลงาน ประมาณ 80% - ในการควบคุมคุณภาพ ในการผลิต อาจเป็นไปได้ว่า 20% ของข้อบกพร่องมีส่วนร่วมใน ประเด็นหลักประมาณ 80% ของปัญหาสินค้า การใช้หลักพาเรโต้มาประยุกต์ใช้กับวิจัย โดยการใช้ค่าเฉลี่ยของการหยิบต่อวันเป็นเวลา 30 วัน เพื่อให้ทราบว่าสินค้าตัวไหนมีการหยิบเยอะและควรจะนำไปใส่ไว้ในโลเคชั่นไหน เพื่อให้การหยิบ ครั้งต่อไปมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
25 ภาพที่ 2.5 Pareto Chart ของสินค้า 10. การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ (Space Utilization) การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ (Space utilization) หมายถึงการใช้พื้นที่ทางการภายในสถานที่ ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น บ้าน สำนักงาน โกดัง ร้านค้า และสถานที่อื่น ๆ การใช้ประโยชน์ จากพื้นที่มีวัตถุประสงค์ในการสูงสุดคือการเพิ่มผลผลิต ความสามารถในการใช้งาน และความมี ประสิทธิภาพของพื้นที่ที่มีอยู่ในขณะลดการสูญเสียและการใช้งานที่ไม่มีประโยชน์ การใช้ประโยชน์ จากพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพสามารถส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มความมีประสิทธิผลในการทำงาน และเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้ นี่คือบางประเด็นสำคัญของการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ 1.การออกแบบและรูปแบบ: การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ดีมักเริ่มต้นด้วยการวางแผน ออกแบบและคิดรูปแบบอย่างรอบคอบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดรูปแบบการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ พื้นที่เก็บของและสถานที่ทำงานเพื่อสรรพสิ่งที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพที่สุด 2.การจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสม: การนำพื้นที่ไปกำหนดประสิทธิผลในการประกอบกิจกรรม หรือให้ไว้สำหรับวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ในสถานที่ ยกตัวอย่างเช่น ในสำนักงาน พื้นที่อาจถูกจัดสรร สำหรับพื้นที่ทำงานรายบุคคล ห้องประชุม พื้นที่ส่วนกลาง และการจัดเก็บของ แต่ละพื้นที่ควรถูก ออกแบบและกำหนดขนาดตามวัตถุประสงค์ของมัน
26 3.ความยืดหยุ่น: การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในปัจจุบันมักเน้นความยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถ ปรับเปลี่ยนตามความต้องการที่เปลี่ยนไปได้ ซึ่งอาจรวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถเคลื่อนไหว สถาปัตยกรรมโมดูล และการจัดรูปแบบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย 4.โซลูชันการจัดเก็บ: โซลูชันการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ประโยชน์จาก พื้นที่ ซึ่งรวมถึงการใช้ชั้นวาง ตู้เก็บของ และหน่วยจัดเก็บเพื่อลดความรกและให้วัตถุสิ่งของถูกจัดเก็บ อย่างเรียบร้อย 5.จำนวนคนและความหนาแน่น: การตรวจสอบจำนวนคนหรือสิ่งของที่อยู่ในพื้นที่ในขณะใด ๆ เป็นสิ่งสำคัญ การเข้าใจรูปแบบการใช้พื้นที่ที่สามารถปรับที่ใช้ทรัพยากรตามความต้องการ 6.เทคโนโลยี: เทคโนโลยีสามารถช่วยในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ เช่น เซ็นเซอร์และการ วิเคราะห์ข้อมูลสามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการใช้พื้นที่ที่มีประสิทธิภาพ อนุญาตให้ ปรับเปลี่ยนในขณะเดียวกัน 7.ประสิทธิภาพทางสิ่งแวดล้อม: ในบางกรณี การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ยังเน้นให้มั่นใจว่า พื้นที่มีประสิทธิภาพทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจรวมถึงระบบการจับสัญญาณแสง ระบบทำความร้อนและ ระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพ 8.ความประหยัดต้นทุน: การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพมักส่งผลให้ประหยัด ต้นทุน เมื่อพื้นที่ถูกใช้โดยมีประสิทธิภาพ องค์กรสามารถลดความจำเป็นในการใช้พื้นที่ใหญ่ขึ้น ประหยัดค่าเช่า ค่าบริการสาธารณูปโภค และค่าซ่อมบำรุง 9.ประสบการณ์ของผู้ใช้: การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ยังควรพิจารณาความสบายและความ เป็นอยู่ของผู้ใช้พื้นที่ รวมถึงปัจจัยเช่น เฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากับร่างกาย แสงสว่างจากแสงแดด และ บรรยากาศที่เป็นสุข 10.การปฏิบัติตามกฏหมายและความปลอดภัย: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการใช้ประโยชน์ จากพื้นที่ปฏิบัติตามกฏหมายและข้อบังคับเรื่องสิ่งแวดล้อม การแอบเคลื่อนหรือการใช้พื้นที่ที่ไม่ เหมาะสมอาจเป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัย การใช้ประโยชน์จากพื้นที่เป็นแนวคิดหลากหลายมิติที่มีขึ้นอยู่กับบริบทและวัตถุประสงค์ของพื้นที่ มัน เป็นประเด็นสำคัญสำหรับธุรกิจ สถาบัน และบุคคลที่ต้องการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ให้มี ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเพื่อการผลิต การเก็บของ การใช้ชีวิต หรือวัตถุประสงค์ใด ๆ อื่น ๆ
27 11. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ณภัสณรรฑ์ วงษ์สมาจารย์ (2560) ศึกษาการปรับปรุงแผนผังคลังสินค้าสําเร็จรูป เพื่อลด ระยะทางรวมของการเคลื่อนไหวของสินค้า กรณีศึกษา โรงงานผลิตเหล็กหล่อ ด้วยการ แสดงแผนผัง การแผนผังแก้ไขปัญหา เริ่มจากกระบวนการรวบรวมข้อมูล คํานวณหาระยะทางการเคลื่อนไหวของ สินค้าคงคลัง นําข้อมูลความถี่ของการเคลื่อนไหวมาจัดเรียงสินค้าตามทฤษฎีการวิเคราะห์เอบีซี (ABC Analysis) และทำการพยากรณ์สินค้าคงคลัง สำหรับสินค้าที่จำเป็นต้องมีการสํารองไว้ และสุดท้าย เป็นการออกแบบแผนผังที่มีการจัดเรียงตามทฤษฎีการวิเคราะห์เอบีซี นางสาวธันว์ระวี สุวรรณหงษ์(2560) งานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาปัญหาของบริษัทกรณีศึกษาซึ่งเป็น โรงงานผลิตเลนส์แว่นตาแห่งหนึ่ง ซึ่งประสบปัญหาในเรื่องของการจัดเก็บสต็อกสินค้าไว้จำนวนมาก เพื่อรองรับทุกค่าสายตาของลูกค้า ซึ่งในขณะเดียวกันบางค่าสายตาก็ไม่มีการจัดเก็บเลนส์ไว้ โดยไม่มี การวางแผนปริมาณการสั่งซื้อวัตถุดิบหรือจำนวนความต้องการของเลนส์ในแต่ละชนิด จึงทำให้เกิด การจัดส่งเลนส์ในกรณีเร่งด่วน เฉลี่ยประมาณ 32 ครั้งต่อเดือน ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก งานวิจัยนี้จึงทำการคำนวณหาค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ ต้นทุนรวมในการสั่งซื้อสินค้า นำมาคำนวณหาปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด จุดสั่งซื้อใหม่ และปริมาณ สินค้าคงคลังที่ปลอดภัย โดยนำระดับการบริการมาช่วยคำนวณเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสินค้าขาดมือ และทำการเปรียบเทียบจำนวนรอบการขนส่งกรณีเร่งด่วน ที่ได้จากวิธีการสั่งซื้อวิธีใหม่และวิธีปัจจุบัน หลังจากปรับปรุงงานด้วยวิธีปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมเป็นระยะเวลา 2 เดือน พบว่าจำนวนรอบ การสั่งซื้อสินค้าลดน้อยลง และไม่เกิดการสั่งซื้อสินค้าและจัดส่งกรณีเร่งด่วน เนื่องจากมีสินค้าเพียงพอ ต่อการผลิตไม่เกิดสภาวะสินค้าขาดแคลน ส่งผลให้ยอดค่าใช้จ่ายรวมลดลงในเดือนมกราคม 2561 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2559 ลดลง 71% (ประมาณ 172,471.34 บาท) และในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ลดลง 62% (ประมาณ 166,429,43 บาท) ซึ่งสามารถสรุปได้ ว่าค่าใช้จ่ายในระหว่างการทดลองนั้นลดลงเป็นจำนวนเงิน 343,900.77 บาท นภัสสร สกุลประดิษฐ์ (2560) ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการสินค้าคงคลังในโรงงานผลิต และ กระจายสินค้าแช่แข็ง ด้วยการทำการศึกษา กระบวนการทำงาน รวมถึงลักษณะกิจกรรมของแต่ละ กระบวนการตั้งแต่การรับจนถึงการส่งสินค้า และรายละเอียดการปฏิบัติงานของแต่ละกิจกรรมที่ใช้ใน การดำเนินงานศึกษาบริเวณคลังสินค้าในส่วนต่างๆ เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการสั่งซื้อ สินค้าที่เคลื่อนไหวออกจากคลัง และรายละเอียดของคลังสินค้า
28 รวิภา ตันสหวัฒน์ (2563) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคุ้มค่าของการนำ เทคโนโลยี RFID มาประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันการปลอมปนในระบบหมุนเวียนพาเลท จากผลการ วิเคราะห์ด้านเทคนิคพบว่า RFID Tag ที่เลือกจะใช้เป็นแบบ Passive Tag ในด้านการดำเนินการ พบว่า สามารถลดต้นทุนด้านแรงงานได้ประมาณ 58.34% และทางด้านการเงินของโครงการลงทุน สามารถสรุปได้ว่า การวิเคราะห์การลงทุนในการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้สำหรับป้องกันการ ปลอมปนพาเลทในระบบหมุนเวียน บริษัทกรณีศึกษา มีเงินลงทุนเริ่มต้นในโครงการทั้งสิ้น 37,820,432 บาท โดยเป็นเงินจากส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด โดยโครงการมีระยะเวลาคืนทุนภายใน เวลา 4 ปี 8 เดือน มูลค่าปัจจุบันสุทธิหลังสิ้นสุดโครงการ 10 ปี หรือ NPV มีค่าเท่ากับ 18,311,069 บาท ณ อัตราคิดลดเท่ากับ 10% และอัตราผลตอบแทนภายในโครงการหรือ IRR เท่ากับ 19.44% ต่อปี ดังนั้นสรุปได้ว่า มีความคุ้มค่าในการนำเทคโนโลยี RFID มาประยุกต์ใช้งานเพื่อป้องกันการ ปลอมปนในระบบพาเลทหมุนเวียน บริษัทกรณีศึกษา โดยให้ผลตอบแทนมากกว่าอัตราผลตอบแทนที่ ต่ำที่สุดที่พึงพอใจในการลงทุน 10% ปิยะวัฒน์ จิรเทียนธรรม (2560) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จสำหรับ ใช้ในการวิเคราะห์สถานภาพพลังงานเพื่อวางแผนพลังงานระดับชุมชน โดยใช้โปรแกรมไมโครซอฟ เอ็กเซล (Microsoft Excel) ร่วมกับ Visual Basic for Applications (VBA) ชุดคำสั่งสำเร็จฯ ที่ พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ ส่วนการบันทึกข้อมูล ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล และ ส่วนการ แสดงผล หลังจากทำการพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จฯ ได้ทำการทดสอบใช้งานและประเมินความพึงพอใจ ในการใช้งานโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนพลังงาน พิศาล สีนวล (2559) งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโมเดลคำนวณกำลังการผลิตด้วย โปรแกรมทางคณิตศาสตร์สำหรับใช้ในการตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากความต้องการของ ลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยใช้หลักการกำหนดการเชิงส้น และเอกเซล แอลพี โซลเวอร์ มา ช่วยในการคำนวณและจัดสรรทรัพยากรด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้ได้กำลังการผลิตสูงที่สุด โดย เริ่มจากการสร้างแบบจำลอง หลังจากนั้นเขียนโปรแกรมทางคณิตศาสตร์ โดยกำหนดตัวแปรตัวแปร ตัดสินใจเป็นจำนวนเครื่องจักรที่จัดสรร กำหนดฟังก์ชันวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้กำลังการผลิตสูงที่สุด หลังจากนั้นสร้างสมการข้อจำกัดเงื่อนไขเข้าไปในโมเดล และใช้โซลเวอร์ซึ่งเป็นฟังก์ชันเสริมใน โปรแกรมไมโครชอฟท์เอกเซลมาทำการประมวลผลหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ได้มีการนำมาโคร เอกเซล วีบีเอ มาพัฒนาโมเดลคำนวณกำลังการผลิต ซึ่งช่วยลดเวลาในการทำงานปัจจุบันจาก 16 ชั่วโมง เหลือ 10 นาที หรือคิดเป็นการลดเวลาการทำงานลงร้อยละ 98.9
29 มานิต ทินกุล (2564) โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นโครงการพัฒนา พื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกซึ่งเป็นที่รู้จักกว่า 30 ปี หรือที่เรียกว่า อีสเทิร์นซีบอร์ด ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา แผนการพัฒนา EEC เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ ทั้งทางกายภาพและ ทางสังคม เพื่อเป็นการยกระดับ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โครงการที่ทำการศึกษา ตั้งอยู่บนพื้นที่ EEC บริเวณตำบลคลองอุดมชลจร จังหวัดฉะเชิงเทรา มีความน่าสนใจในการพัฒนา โครงการคลังสินค้าให้เช่า แบบสร้างตามความต้องการของผู้เช่า เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นพื้นที่สีม่วง สามารถทำโรงงานอุตสาหกรรมได้ บริเวณรอบๆ ก็จะมีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก เหมาะแก่ การธุรกิจหลายอย่าง ที่เกี่ยวเนื่องกับโรงงานอุตสาหกรรม อาทิเช่น คลังสินค้า โรงงาน สำนักงาน เป็น ต้น ซึ่งสถานที่ตั้งดังกล่าว อยู่ไม่ไกลกับสนามบินสุวรรณภูมิ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ รูปแบบคลังสินค้าที่ทางผู้ศึกษาได้ออกแบบคลังสินค้าที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการออกแบบ และก่อสร้าง ทำให้มีคุณภาพสูง ลดปัญหาและข้อบกพร่องของคลังสินค้าแบบเดิมๆ ช่วยลดต้นทุนใน การก่อสร้างและลดต้นทุนการดำเนินงานของทางผู้เช่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันพฤติกรรมของ ลูกค้าเปลี่ยนไปจากเดิมมากมีแนวโน้มที่จะลงทุนสร้างคลังสินค้าเองน้อยลง เพราะลูกค้าไม่ชำนาญใน เรื่องงานก่อสร้าง และต้องลงทุนค่อนข้างสูง ดังนั้นจะนิยมเช่าคลังสินค้าแทนการลงทุนสร้างเอง หลังจากทางศึกษาทางด้านต่างๆ แล้ว สรุปได้ว่าโครงการคลังสินค้าให้เช่า มีผลตอบแทนที่ 11.15% มี มูลค่าสุทธิ (NPV) เป็นบวก อยู่ที่ 265,169 บาท ระยะเวลาคืนทุน อยู่ที่ประมาณ 15 ปี ถือว่าเป็น โครงการที่น่าลงทุนโครงการหนึ่ง ศิริรัตน์ แต้ปีติกุล (2563) ผู้เขียนเล็งเห็นถึงความต้องการด้านสุขภาพ ด้านการเลือกใช้ยา การป้องกันและดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้แก่ชุมชน จึงมีการคิดแผนธุรกิจของร้านยาที่มีการกระจายตัวสู่ ชุมชนต่างๆ ให้เข้าถึงร้านยาที่มีคุณภาพได้อย่างง่ายและทั่วถึงซึ่งทุกร้านยาในสาขาต่างๆ จะมีเภสัชกร ให้คำปรึกษาตลอดเวลาทำการ ทั้งร้านยาจะมีกบริการด้านสินค้าครบทั้งยา อาหารเสริม เวชสำอาง และเครื่องมือแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนธุรกิจให้ร้านยามีต้นทุนสินค้าให้มีราคาถูก โดยจึงมี การจัดตั้งศูนย์กลางการกระจายสินค้าและสำนักงานส่วนกลางเพื่อทำหน้าที่ในการจัดซื้อ จัดเก็บ ขนส่งและกระจายสินค้าไปยังร้านยาสาขาต่างๆ โดยมีเป้าหมายของธุรกิจแบ่งเป็นระยะสั้น และระยะ ยาว โดยมีกลยุทธ์ด้านราคา ทั้งในด้านลดต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยมีการรวมศูนย์กลางการบริหาร การ จัดซื้อ การจัดเก็บสินค้า การขนส่งและการกระจ่ายสินค้า ซึ่งเมื่อมีการจัดซื้อสินค้าจำนวนมากเข้า
30 ลักษณะการซื้อแบบ CHAIN DRUGSTORE ซึ่งจะทำให้ได้ราคาต้นทุนสินค้าที่ถูกลง รวมทั้งมีการเพิ่ม ยอดขายเมื่อมีกลยุทธ์ด้านราคา ศิโรวัลลิ์ ยินดี(2557) งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางในการประยุกต์ แนวความคิดการบริหาร สินค้าคงคลังโดยผู้ส่งมอบมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ สินค้าคงคลังของโรงงาน ตัวอย่าง ซึ่งประสบปัญหามูลค้าสินค้าคงคลังมีมูลค่าสูง โดยขั้นตอนในการ พัฒนาการบริหารจัดการ สินค้าคงคลังประกอบไปด้วย การเตรียมความพร้อมเบื้องต้น การกําหนด กรอบความร่วมมือ การ พัฒนาตัวแบบระบบการบริหารสินค้าคงคลัง การปฏิบัติการเติมวัสดุคงคลัง และการประเมินผล จาก การทดลองประยุกต์ใช้นโยบายการบริหารสินค้าคงคลังโดยผู้ส่งมอบภายใต้ การศึกษามุ่งเน้นไปที่ สินค้าประเภท A เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้เป็นสินค้าที่มีมูลค่ามากกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินค้าคงคลัง ทั้งหมด หลังการพัฒนาพบว่าโรงงานตัวอย่างสามารถลดมูลค่าสินค้าคงคลังลง ได้ร้อยละ 50.9 จาก ต้นทุนรวมของนโยบายเดิม ในขณะที่ฝ่ายผู้ส่งมอบหรือซัพพลายเออร์สามารถลด มูลค่าสินค้าคงคลังได้ ร้อยละ 8.29 และยังก่อให้เกิดความร่วมมืออันดีระหว่างโรงงานตัวอย่างและซัพ พลายเออร์อีกด้วย อภิวัฒน์ ตั้งวราภรณ์(2563) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคุ้มค่าของการนำ เทคโนโลยี RFID มาประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันการปลอมปนในระบบหมุนเวียนพาเลท จากผลการ วิเคราะห์ด้านเทคนิคพบว่า RFID Tag ที่เลือกจะใช้เป็นแบบ Passive Tag ในด้านการดำเนินการ
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA ในการคำนวณบรรจุภัณฑ์สินค้าบนพาเลท กรณีศึกษา องค์การเภสัชกรรม ผู้วิจัยได้เสนอรายละเอียดหัวข้อการดำเนินงานวิจัย และวิธีการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 ขั้นตอนในการวิจัย 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 ข้อมูลทั่วไปของบริษัท 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6 วิธีการในการแก้ปัญหา 3.7 วิเคราะห์ปัญหาโดยใช้ Why Why Analysis 3.8 การจัดเรียงความสำคัญโดย Pareto Chart 3.9 แผนผังการประมวลผลภายในการทำงานของ VBA 3.10 ขั้นตอนการใช้งาน
32 3.1 ขั้นตอนในการวิจัย ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น และความเป็นมาของปัญหา เก็บข้อมูลปัญหา นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ปัญหาโดยใช้ Why-Why Analysis สร้าง User From ในโปรแกรม Microsoft Excel เริ่มเขียนสมการที่ใช้ในการคำนวน ทำการทดลองใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA ที่สร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง สรุปผลงานวิจัย ภาพที่ 3. 1ขั้นตอนในการวิจัย (ที่มา: ผู้วิจัย, 2566) 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร : ยาทั้งหมดในคลัง 1 องค์การเภสัชกรรม จำนวน 490 ตัว กลุ่มตัวอย่าง : ยาประเภทควบคุม 24 ตัว
33 3.3 ข้อมูลทั่วไปของบริษัท องค์การเภสัชกรรม เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีภารกิจหลักในการผลิต ยาและเวชภัณฑ์ สนับสนุนงานสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง จัดองค์การเภสัชกรรมอยู่ในกลุ่มรัฐวิสาหกิจประเภทบริการ สังคมและเทคโนโลยี องค์การเภสัชกรรมจึงไม่ใช่รัฐวิสาหกิจเพื่อการค้าหากำไรให้แก่รัฐ แต่เป็น รัฐวิสาหกิจเพื่อสนับสนุนงานสาธารณสุขของประเทศ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่ จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เนื่องจากองค์การเภสัชกรรมได้มีการก่อตั้งมาแล้วกว่า 54 ปี แล้วมีการใช้โครงสร้างเดิมมา โดยตลอด และเนื่องจากปริมาณความต้องการสินค้าเกี่ยวกับยาในตลาดมีมากขึ้น ทำให้มีการผลิต สินค้าที่มากขึ้นตามมา แต่เนื่องจากคลังที่ใช้มาแต่แรกมีการปรับปรุงและต่อเติมจนถึงขีดจำกัดแล้ว เพราะว่าที่ตั้งปัจจุบันนั้นอยู่ในเมืองที่มีพื้นที่จำกัดจึงได้ทำการสร้างคลังที่ใหม่ไปที่ชาญเมือง บริเวณที่ ผู้วิจัยทำอยู่นั้นคือ คลัง1แผนกสำรองผลิตภัณฑ์องค์การณ์ที่มีการเก็บยาที่มีการผลิตเองในองค์การ ซึ่ง ยาที่ผู้วิจัยนำมาใช้เป็นตัวอย่างคือยาในกลุ่มยาควบคุมที่ต้องมีการตรวจนับและควบคุมการจ่ายพิเศษ ข้อมูลสินค้า Zone Product F01 AMITRIPTYLINE HCL 10 mg แผง FOIL AMITRIPTYLINE HCL 25 mg แผง FOIL HALOPERIDOL 2 mg HALOPERIDOL 5 mg PREDNISOLONE 5 mg F02 RISPERIDONE 1 mg/ml F04 TRIFLAZINE 5 mg F05 LORSARTAN POTASSIUM 50 mg (LORSARTAN GPO 50) LORSARTAN POTASSIUM 100 mg (LORSARTAN GPO 100) ตารางที่ 3.1 ชื่อของยาและโซนของสินค้า
34 Zone Product F05 RISPERIDONE 1 mg จิตเวช RISPERIDONE 2 mg จิตเวช F09 CHLORPHENIRAMINE MALEATE SYRUP 2mg/5ml F14 SIBANNAC CBD OIL 10 ml SIBANNAC THC OIL 5 ml SIBANNAC THC FORTE CANNABIS OIL 10 ml SIBANNAC THC:CBD OIL 5 ml SILDENAFIL TABLET 50 mg (SIDEGRA) SILDENAFIL TABLET 100 mg (SIDEGRA) F14 DIAZIPAM INJECTION 10mg/2ml (ampule) F16 DIAZIPAM 2 mg DIAZIPAM 5 mg DIAZIPAM 10 mg PHENOBARBITONE 30 mg PHENOBARBITONE 60 mg ตารางที่ 3.1 ชื่อของยาและโซนของสินค้า (ต่อ)
35 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4.1 Macro เป็นกลุ่มคำสั่งที่ใช้ทำงานอัตโนมัติใน โปรแกรม Microsoft Excel เช่น Macro เพื่อทำการ Copy ข้อมูลยอดขายที่ได้มาแต่ละเดือน เข้าไปยัง Workbook ของข้อมูลยอดขายทั้งหมด เป็นต้น 3.4.2 Why Why Analysis คือ เครื่องมือวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาด้วยการถามหา สาเหตุด้วยคำว่า Why หรือ ทำไม เพื่อหาว่าสาเหตุของปัญหามาจากอะไรและถามซ้ำเพื่อหาว่าทำไม สาเหตุดังกล่าวจึงเกิดขึ้นได้ และจะถามซ้ำไปเรื่อยๆ 5 ครั้งหรือจนกว่าจะพบสาเหตุที่แท้จริงของ ปัญหา 3.4.3 โปรแกรม Microsoft Excel ใช้สำหลังเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบของตาราง ที่มี ความสามารถในการคำนวณ และสร้างกราฟจากข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว 3.4.4 VBA ย่อมาจากคำว่า Visual Basic for Application เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่พัฒนา โดย Microsoft ซึ่งช่วยให้เราสามารถเขียนคำสั่งควบคุมการทำงาน หรือจัดการกับข้อมูลใน Excel ได้ สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการจัดเรียงบรรจุภัณฑ์ขนาดต่างๆ บนพาเลทต้องมีการคำนวนจากเงื่อนไขต่างๆที่มีมาของ บรรจุภัณฑ์ เพื่อการจัดเก็บและปฎิบัติต่อสินค้าอย่างถูกวิธี ในปริมาตรที่มากสุดเท่าที่จะวางได้จึงมี ความสำคัญเพื่อจะได้ไม่เสียโอกาส 3.5.1 ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในการวางบรรจุภัณฑ์บนพาเลท และเก็บรวบรวมข้อมูล และเงื่อนไขของบรรจุภัณฑ์และพาเลท ว่าทำไมการวางสินค้าบนพาเลทดูไม่เต็มประสิทธิภาพ 3.5.2 หาสาเหตุของปัญหา ว่าเกิดมาจากสาเหตุใดในระหว่างก่อนปรับปรุง 3.5.3 นำปัญหาที่ได้มาทำการวิเคราะห์หาสาเหตุโดยใช้ Why Why Analysis 3.5.4 ปรับปรุง และแก้ไขปัญหาโดยการวัดขนาดของสินค้า และพาเลตว่าควรวาง เท่าไหร่ และควรวางให้อยู่ในขนาด และจำนวนที่เหมาะสมเพื่อลดความสูญเปล่าที่อาจจะเกิด จากการวางสินค้าที่ไม่เต็มพาเลต หรือการวางสินค้าในจำนวนที่มากเกินไป 3.5.5 ออกแบบการคำนวณพื้นที่ที่ใช้ในการวางสินค้าโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป VBA 3.5.6 สรุปผลการดำเนินงานที่ผู้วิจัยได้ทำการปฏิบัติ
36 3.6 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6.1 ข้อมูลขั้นปฐมภูมิ ศึกษาข้อมูลโดยการสังเกตุจากขนาดพื้นที่ว่างที่เหลือของพาเลท สอบถามจากหัวหน้าที่ควบคุมคลัง และพนักงานที่ทำหน้าที่คุมกองยา 3.6.2 ข้อมูลขั้นทุติยภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าจากข้อมูลที่องค์การมีอยู่แล้ว และรวบรวมข้อมูลทางเอกสารวิชาการบทความทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลจากการ วิเคราะห์มาอ้างอิงการดำเนินการศึกษา เพื่อให้ผลการศึกษามีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นซึ่งข้อมูลส่วน ใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการคลังสินค้า 3.7 วิธีการในการแก้ปัญหา ปัญหาที่พบ คือ ขณะที่มีการเปลี่ยนถ่ายคลังสินค้าจากที่พระราม6 ไปคลังที่รังสิตมีการเปลี่ยน ขนาดพาเลทเพื่อใช้ในคลังใหม่แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแต่ไม่มีการคำนวนปริมาตรที่มากที่สุดที่จะ สามารถจุบรรจุภัณฑ์ได้ วิธีการแก้ปัญหา คือ ผู้วิจัยได้จัดทำการเขียนโค๊ดโปรแกรมสำเร็จรูป VBA เพื่อใช้คำนวน ปริมาตรที่สามารถที่จุได้สูงสุดบนพาเลทโดยใช้ข้อมูลของ บรรจุภัณฑ์ คือ กว้าง ยาว สูง น้ำหนัก ส่วน พาเลทก็จะใช้คล้ายๆกันแต่จะเพิ่มน้ำหนักที่รับได้สูงสุดเข้ามา และจะมีเงื่อนไขพิเศษเข้ามาเพิ่มด้วย คือ ความสูงสูงสุดที่สามารถเอาเข้า rack ได้ และข้อจำกัดของสินค้าเรื่องการวางซ้อนกันได้ไม่เกินกี่ชั้น ผลจากการแก้ปัญหา คาดว่าจะสร้างมาตรฐานในการจัดเรียงให้สินค้าเพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ได้ อย่างคุ้มค่าที่สุดโดยที่สินค้ายังน้ำขึ้น rack ได้ และเพื่อความสะดวกในการจัดเรียงครั้งต่อๆไป
37 3.8 วิเคราะห์ปัญหาโดยใช้ Why Why Analysis ภาพที่ 3.2 การวิเคราะห์ Why-Why Analysis
38 3.9 แผนผังการประมวลผลภายในการทำงานของโปรแกรมสำเร็จรูป VBA Start คุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ ความ กว้าง ความยาว ความสูง น้ำหนัก กว้าง × ยาว = พื้นที่ของบรรจุภัณฑ์ พื้นที่ของพาเลท พื้นที่ของบรรจุภัณฑ์ = จำนวนบรรจุภัณฑ์ในชั้นแรก [ สูงสุดที่สามารถน าเข้า ได้−(ความสูงสินค้า+ความสูงพาเลท) ความสูงสินค้า ] +1 ∩ เงื่อนไขในการวางซ้อนกันของบรรจุภัณฑ์ และน้ำหนักสูงสุดที่พาเลทรับได้ จำนวนชั้นสูงสุดที่วางได้× จำนวนบรรจุภัณฑ์ในชั้นแรก = จำนวนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดที่วางได้ต่อหนึ่งพาเลท ภาพที่ 3.3 ภาพที่ 3.3 แผนผังการประมวลผลใน VBA