The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ ได้มีการอธิบายเกี่ยวกับการทำโครงงานซึ่งเป็นการประยุกต์ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะจากศาสตร์ต่าง ๆ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by เพ็ชรรินทร์ ไชยชนะ, 2024-03-05 22:10:31

การออกแบบและเทคโนโลยี ชั้นมธยมศึกษาปีที่5

หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ ได้มีการอธิบายเกี่ยวกับการทำโครงงานซึ่งเป็นการประยุกต์ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะจากศาสตร์ต่าง ๆ

คำ นำ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้จัดทำ ขึ้นตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ ได้มีการอธิบายเกี่ยวกับการทำ โครงงานซึ่งเป็นการประยุกต์ความรู้ ความ เข้าใจ และทักษะจากศาสตร์ต่าง ๆ รวมถึงการใช้ทรัพยากรมาพัฒนาเป็นชิ้นงาน วิธีการ หรือแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำ วัน โดยสามารถนำ องค์ความรู้ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ไปใช้ในการทำ โครงงานอย่างเป็นลำ ดับขั้น ตอนทั้งการกำ หนดปัญหา การรวบรวมข้อมูลและกำ หนดขอบเขตของปัญหา การออกแบบและวางแผนการ ทำ โครงงานการดำ เนินงานและสรุปผล ตลอดจนการนำ เสนอและเผยแพร่ผลงาน ผู้จัดทำ ได้มีความตั้งใจและคาดหวังเป็นอย่างมาก ที่จะให้หนังสือเล่มนี้มีส่วนช่วยผู้เรียนในการศึกษา อ้างอิง และเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงงาน ผู้เรียนและสถานศึกษาสามารถนำ หนังสือเล่มนี้ไปประกอบการ เรียนการสอนในชั้นเรียนได้จริง โดยให้นักเรียนได้เรียนรู้และปฏิบัติตามเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ จะทำ ให้ ประหยัดเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมของผู้เรียน ประหยัดงบประมาณและการเตรียมชุดฝึกที่ยังไม่พร้อม และ นักเรียนสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ระดับสูงได้ต่อไป


สารบัญ หน่วยการเรียนรู้ที่1 โครงงานกับกระบวนการเรียนรู้และการแก้ปัญหา แบบทดสอบก่อนเรียน ความหมายและประเภทของโครงงาน ความรู้เกี่ยวกับโครงงานคณิตศาสตร์ ความรู้เกี่ยวกับโครงงานวิทยาศาสตร์ ความรู้เกี่ยวกับโครงงานคอมพิวเตอร์ ความรู้เกี่ยวกับโครงงานสะเต็ม เทคโนโลยีและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม หน่วยการเรียนรู้ที่2 การทำ โครงงาน การกำ หนดปัญหา การรวบรวมข้อมูลและกำ หนดขอบเขตของปัญหา การออกแบบและวางแผนการทำ โครงงาน การดำ เนินงานและสรุปผล การนำ เสนอและเผยแพร่ผลงาน แบบทดสอบหลังเรียน หน้า 1 3 4 6 7 8 10 12 14 15 16


แบบทดสอบก่อนเรียน HTTPS://FORMS.GLE/KDCAQDVWEKPJ95H68 สแกนเพื่อทำ แบบทดสอบก่อนเรียน หรือกดลิ้งค์ด้านล่างนี้เลย


หน่วยที่1 โครงงานกับกระบวนการเรียนรู้และการแก้ปัญหา 1.ความหมายและประเภทของโครงงาน ในการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ มักจะมีกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่กระตุ้นให้ ผู้เรียนได้ทำ การประยุกต์ใช้ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนมาพัฒนาเป็นชิ้นงาน วิธีการ หรือแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำ วัน กิจกรรมนี้เรียกว่า โครงงาน โดยแบ่งได้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ ตาม ความสนใจหรือเกิดจากการสังเกตของผู้เรียน โครงงานต่อยอดจากโครงงานเดิม เพื่อแก้ปัญหา หรือปรับปรุงให้ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ ของผู้เรียน ได้มีหน่วยงานและนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายของโครงงาน ดังนี้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2538: 5) โครงงานเป็นกิจกรรมศึกษาวิชาการที่ส่งเสริม สนับสนุนให้ นักเรียนได้เลือกขึ้นมาศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติให้บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำ หนดไว้ โดยมีรายละเอียดของ งานที่จะทำ ไว้ล่วงหน้าเป็นขั้นตอน พร้อมทั้งคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้โดยได้รับคำ แนะนำ ปรึกษาจากครูใน โรงเรียนของตน ยุทธพงษ์ ไกยวรรณ (2540 : 14) โครงงานเป็นกิจกรรมที่เน้นกระบวนการ โดยนักเรียนเป็น ผู้คิดค้น วางแผน และลงมือปฏิบัติ เพื่อให้โครงงานสำ เร็จภายใต้คำ แนะนำ กระตุ้นความคิด กระตุ้นการทำ งาน จากผู้เชี่ยวชาญ ครูผู้สอนวิชาโครงงานจะคอยอำ นวยความสะดวกในการทำ งาน ชี้แนะการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำ งาน ตลอดจนติดตามวัดผลโครงงาน ลัดดา ภู่เกียรติ (2544 : 2) โครงงานเป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลาย ๆ สิ่ง ที่อยากรู้คำ ตอบให้ลึกขึ้งหรือเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้มากยิ่งขึ้น โดยใช้กระบวนการ วิธีการ ที่จะศึกษาอย่างมีระบบ เป็นขั้น ตอน มีการวางแผนในการศึกษาหาผลสรุปที่เป็นคำ ตอบในเรื่องนั้น ๆ ถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (2544 : คำ นำ ) โครงงานเป็นแนวทางหนึ่งที่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะพัฒนา นักเรียนให้รู้จักคิดค้นคว้าหาความรู้ และรู้จักแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถทำ งานและแก้ปัญหาร่วมกับผู้ อื่นได้ การเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริงนี้ นักเรียนจะเรียนรู้ จดจำ และสามารถนำ ไปใช้อย่างถูกต้องและมี ประสิทธิภาพ ทั้งยังได้พัฒนากระบวนการเรียนรู้ กระบวนการคิดและสนใจใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนา ให้เป็นบุคคลที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง โครงงานในรายวิชาต่าง ๆ มุ่งเน้นให้นักเรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ โดยการลงมือปฏิบัติจริง คิดวิเคราะห์และแก้ ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถนำ เสนอผลการดำ เนินงานและการแก้ปัญหาออกมาได้อย่างชัดเจน กระชับ ไม่ กำ กวม ซึ่งประเภทของโครงงานสามารถแบ่งได้ตามลักษณะการดำ เนินงาน 1


ธีระชัย ปูรณโชติ (2531 : 1) : ชัยศักดิ์ ลีลาจรัสกุล (2540 : 7-8) ; อัญชลี สิรินทร์วราวงศ์ (2543 :119-121) : รวิวรรณ ชินะตระกูล (2544 : 39-41) : อุดมศักดิ์ ธนะกิจรุ่งเรือง และศิริอร อินทร์ตลาดชุม (2544 : 39-41) แบ่งประเภทของโครงงานเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1.โครงงานประเภททดลอง (EXPERIMENTAL RESEARCH PROJECT) เป็นโครงงานที่มีการออกแบบการ ทดลอง เพื่อทำ การศึกษาผลของตัวแปรหนึ่งที่มีต่อตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่ต้องการศึกษาโดยทำ การควบคุมตัวแปร อื่น ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อตัวแปรที่ต้องการจะศึกษา โครงงานที่จัดเป็นประเภทโครงงานทดลองได้จะต้องเป็น โครงงานที่มีการจัดกระทำ ตัวแปรต้น หรือที่เรียกว่า ตัวแปรอิสระ มีการ จัดตัวแปร และควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่ ไม่ต้องการศึกษาออกไป ขั้นตอนการดำ เนินงานของโครงงานประกอบด้วย การกำ หนดปัญหา การตั้งจุด ประสงค์หรือสมมุติฐาน การออกแบบการทดลอง การดำ เนิน-การทดลอง การรวบรวมข้อมูล การแปรผลและ การสรุป โครงงานประเภทนี้อาจเป็นการทดลองเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง หรือเป็นการทดลองซ้ำ การทดลอง ของนักวิทยาศาสตร์หรือนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก็ได้ 2.โครงงานประเภทสำ รวจรวบรวมข้อมูล (SURVEY RESEARCH PROJECT) โครงงานประเภทนี้แตกต่าง จากโครงงานประเภทแรก คือ ไม่มีการกำ หนดตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาเหมือนโครงงานประเภททดลอง โครงงานประเภทสำ รวจรวบรวมข้อมูลนี้ ผู้ทำ โครงงานเพียงต้องการสำ รวจรวบรวมข้อมูลและนำ ข้อมูลเหล่านั้น มาแบ่งเป็นหมวดหมู่ และนำ เสนอในรูปแบบต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้เห็น ลักษณะหรือความสัมพันธ์ ในเรื่องที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 3.โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์หรือการพัฒนา (DEVELOPMENTAL RESEARCH PROJECT OR INVENTION) โครงงานประเภทนี้เป็นการพัฒนาหรือประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ใช้งาน ได้ตามจุดประสงค์ โดยอาศัยความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ อาจเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ที่ ไม่เคยมีมาก่อน หรือปรับปรุงอุปกรณ์หรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานให้ดีกว่าเดิมได้ นอกจากนั้นอาจ เป็นการเสนอหรือสร้างแบบจำ ลองมาตามความคิดเพื่อแก้ปัญหาใด ปัญหาหนึ่งก็ได้ 4.โครงงานประเภททฤษฎีหรืออธิบาย (THEORETICAL RESEARCH PROJECT) เป็นโครงงานที่เสนอ ทฤษฎีหรือแนวความคิดใหม่ ๆ อาจจะอยู่ในรูปของสมการหรือคำ อธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอได้ตั้งกติกาหรือข้อ ตกลงนั้น อาจใช้กติกาหรือข้อตกลงเดิมมาอธิบายสิ่งหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวทางใหม่ ๆ ทฤษฎี หลัก การ แนวความคิด หรือจินตนาการที่เสนอนี้อาจยังใหม่ หรือเป็นทฤษฎีที่ไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจขัดแย้งกับ ทฤษฎีเดิม หรือขยายทฤษฎีหรือแนวความคิดเดิมก็ได้ การทำ โครงงานนี้ได้อย่างมีเหตุผล น่าเชื่อถือ โดยทั่วไป โครงงานประเภทนี้มักเป็นโครงงานทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์-บริสุทธิ์ เช่น โครงงานเกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีจำ นวน 2


หน่วยที่1 โครงงานกับกระบวนการเรียนรู้และการแก้ปัญหา 2.ความรู้เกี่ยวกับโครงงานคณิตศาสตร์ 2.1 ความหมาย ยุพิน พิพิธกุล (2544 : 8) โครงงานคณิตศาสตร์ คือ งานที่ผู้ทำ ได้คิดอย่างอิสระ เป็นการฝึกปฏิบัติในข้อที่ สงสัย โดยอาศัยความรู้ หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ตนเอง สนใจจะศึกษาและ ค้นคว้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ด้วยการ ตั้งสมมุติฐาน หรือตั้งจุดประสงค์ ลงมือปฏิบัติ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์เมื่อค้นพบแล้วก็เผยแพร่ข้อมูล สมวงษ์ แปลงประสพโชค (2544 : 1) โครงงานคณิตศาสตร์ หมายถึงผลการทำ งานหรือการแก้ปัญหาเพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยกระบวนการวิจัยที่อาศัยความรู้ทางคณิตศาสตร์มาใช้ในการทำ งาน หรือแก้ปัญหานั้น 2.2 ประเภทของโครงานคณิตศาสตร์ สมวงษ์ แปลงประสพโชค และคณะ (2544 : 5) แบ่งประเภทของโครงงานคณิตศาสตร์ไว้ตามลักษณะดำ เนินงาน ดังนี้ 1.งานศึกษาค้นคว้า เป็นงานที่เกิดจากความสนใจใครรู้เช่น นักเรียนอาจสนใจว่า +, -, X, +, 7 มีความหมาย เป็นอย่างไร ใครคิดประดิษฐ์ขึ้นมา มีสัญลักษณ์อื่น ๆ อีกหรือไม่ที่แทนความหมายเดียวกัน หรืออาจสนใจประวัติความเป็นมาของหน่วยการวัด ประวัติความเป็นมา ของคณิตศาสตร์แขนงต่าง ๆ 2.งานสร้างทฤษฎีบทหรือสูตรใหม่ ๆ เป็นงานที่นักเรียนจะต้องใช้วิธีการสังเกตรูปแบบ อาจมีการทดลอง เพื่อสร้างสมมุติฐานหรือข้อคาดเดา จากนั้นจึงตรวจสอบด้วยวิธีพิสูจน์สิ่งที่พิสูจน์ได้จะถูกยอมรับว่าเป็น ทฤษฎีบท เช่น นักเรียนทดลองนำ จำ นวนคี่ที่เรียงต่อกันมาเรียงลำ ดับมารวมกัน แล้ว สังเกตพบว่า ผลรวมน่า จะเท่ากับกำ ลังสองของจำ นวนเทอมจากนั้นจึงตรวจสอบด้วยวิธีการพิสูจน์ 3.งานประยุกต์ความรู้ไปใช้ เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบสร้างเครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ในชีวิต ที่ เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ เช่น การออกแบบลายผ้าออกแบบลายกระเบื้อง ด้วยรูปเรขาคณิต งานประเภท สำ รวจเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ สรุปเป็นความรู้ใหม่ เช่น ข้อสรุปเกี่ยวกับอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้อง ถนน อัตราการเพิ่มจำ นวนของสัตว์เลี้ยง อัตราการซื้อสินค้านอกหมู่บ้าน ค่าใช้จ่ายการเลี้ยงสัตว์ 3


หน่วยที่1 โครงงานกับกระบวนการเรียนรู้และการแก้ปัญหา 3.ความรู้เกี่ยวกับโครงงานวิทยาศาสตร์ 3.1ความหมาย ธีระชัย ปูรณโชติ (2531 : 1) โครงงานวิทยาศาสตร์ หมายถึง การศึกษาเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภาย ใต้การแนะนำ ปรึกษาและดูแลของครูหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ และอาจใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ จน บรรลุผลสำ เร็จ ภายใต้การแนะนำ ปรึกษาและดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2543 : 48-50) โครงงานวิทยาศาสตร์ คือ การศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องเดียวกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยที่นักเรียนจะต้องเป็นผู้ที่ทำ การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองโดยใช้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะมีครูให้คำ แนะนำ รวมทั้งให้คำ ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง โครงงานวิทยาศาสตร์ต้องการเน้นให้นักเรียนคิดเอง ทำ เอง และแก้ปัญหา ด้วยตนเอง เป็นกิจกรรมที่เรียกได้ว่า เป็นการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางได้อย่างหนึ่งเพราะนักเรียนเป็นผู้ที่สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จากการศึกษาปัญหาที่เขาสนใจปัญหาใดปัญหาหนึ่งแล้วตั้งจุดประสงค์ไว้ว่าต้องการจะศึกษาอะไร จะศึกษา อย่างไร โดยมีการวางแผนการดำ เนินงานที่ชัดเจนอย่างเป็นลำ ดับขั้นตอน เลือกใช้ เลือกหา เครื่องไม้เครื่องมือ ออกแบบการทดลอง การสำ รวจข้อมูล ด้วยตนเอง ลงมือปฏิบัติเอง บันทึกผลการปฏิบัติเอง จักรพันธุ์ ปัญจะสุวรรณ (2545 : 20) โครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หมายถึง การทำ กิจกรรมทาง วิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง ที่ผู้ทำ โครงงานจะต้องนำ เอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC METHOD)และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (SCIENCE PROCESS) มาใช้เพื่อศึกษาหาทางแก้ปัญหาเรื่องใหม่ ๆ หรือประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ โดยผู้ทำ โครงงานเป็นผู้คิดเรื่องหรือเลือกเรื่องที่ต้องการศึกษา มีการวางแผนดำ เนินการ (ลงมือปฏิบัติ) บันทึกผล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล และเสนอผลงานด้วยตนเอง ตั้นแต่ต้นจนสำ เร็จทุกขั้นตอน กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 1) โครงงานวิทยาศาสตร์ถือเป็นงานวิจัยในระดับนักเรียนเพราะเป็นการศึกษา เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนสนใจ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นแนวทางในการศึกษาและแก้ปัญหา มีการวางแผนที่จะศึกษา ภายในขอบเขตของระดับความรู้ ระยะเวลาและ อุปกรณ์ที่มีอยู่และลงมือศึกษา สำ รวจ ทดลอง เพื่อรวบรวมข้อมูล แล้วนำ มาประมวลผลจนได้ข้อสรุปออกมาเป็นผลงานที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง โครง งานวิทยาศาสตร์จึงเป็นกิจกรรมวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ ฝึกฝนการใช้ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา รวมทั้งการพัฒนาเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 4


โครงงานวิทยาศาสตร์ จึงเป็นโครงงานที่ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่นักเรียนสนใจ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนภายใต้คำ แนะนำ การกระตุ้นความคิดและกระตุ้นการทำ งานจากครูที่ปรึกษาโครงงาน การทำ โครงงาน วิทยาศาสตร์จึง ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้และแก้ปัญหาจากการปฏิบัติจริง ทำ ให้นักเรียนสามารถนำ ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำ วันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.2 ประเภทโครงงานวิทยาศาสตร์ สามารถแบ่งได้ตามลักษณะการดำ เนินงาน ดังนี้ 1) โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เป็นโครงงานที่มีการออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของ ตัวแปรต้นที่มีผลต่อตัวแปรตาม โดยทำ การควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อตัวแปรต้นที่ต้องการศึกษา เช่น การศึกษาประสิทธิภาพของน้ำ มันหอมระเหยสาบเสือในการกำ จัดลูกน้ำ การศึกษาประสิทธิภาพของน้ำ หมัก ใบหูกวางต่อการรักษาแผลที่ผิวหนังปลากัด การศึกษาประสิทธิภาพการดูดซับ น้ำ มันด้วยดอกรูปฤาษี 2) โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่อาศัยการประยุกต์ทฤษฎีและหลักการทาง วิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถใช้งานหรือแก้ปัญหาตามที่ต้องการได้ หรือเป็นการพัฒนา ดัดแปลง ปรับปรุงสิ่งประดิษฐ์เดิมที่เคยมีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การ ประดิษฐ์เครื่องมือช่วยในการพรวนดิน การประดิษฐ์หุ่นยนต์ช่วยเก็บขยะในแม่น้ำ ลำ คลอง การประดิษฐ์ อุปกรณ์ตรวจจับแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ในรถยนต์ การพัฒนาระบบปลูกพืช อัจฉริยะ การประดิษฐ์เครื่อง ฟักไข่ 3) โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสำ รวจ เป็นโครงงานที่อาศัยการสำ รวจ รวบรวมข้อมูล สังเกตความ สัมพันธ์หรือรูปแบบที่เกิดขึ้น โครงงานสำ รวจนี้ไม่มีการกำ หนดตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาเพียงแต่นำ ข้อมูล ที่สำ รวจหรือรวบรวมได้มาจำ แนกเป็นหมวดหมู่ และนำ เสนอในรูปแบบตามความเหมาะสม เพื่อชี้ให้เห็น ลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ศึกษาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การสำ รวจแมลงชนิดต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในศูนย์ เกษตรพอเพียงภายในโรงเรียน การสำ รวจพฤติกรรมการทิ้งขยะลงถังขยะแบบแยกประเภท การสำ รวจข้อมูล การยืม-คืนหนังสือในห้องสมุดภายในโรงเรียน 4) โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่เสนอหลักการแนวคิดหรือทฤษฎีใหม่ ๆโดยมี เหตุผลข้อสนับสนุนที่เชื่อถือได้ ซึ่งอาจเป็นแนวคิดใหม่ หรือขยายสนับสนุนแนวคิดเดิมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หรืออาจจะเป็นการคัดค้านแนวคิดเดิมก็ได้ โดยหลักการแนวคิดหรือทฤษฎีที่สร้างขึ้นนี้อาจจะอยู่ในรูปของคำ อธิบาย หรือสมการทางคณิตศาสตร์ เช่น แนวคิดการแปรสัณฐานของแผ่นธรณิภาคในประเทศไทย ทฤษฎี พฤติกรรมของผึ้ง แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 5


หน่วยที่1 โครงงานกับกระบวนการเรียนรู้และการแก้ปัญหา 4.เเต่ความรู้เกี่ยวกับโครงงานคอมพิวเตอร์ 4.1 ความหมาย โครงงานคอมพิวเตอร์ หมายถึง การศึกษา การพัฒนาเรื่องหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์โดยใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และกระบวนการทางวิศวกรรมเข้ามาช่วยในการพัฒนา ซึ่งอาจจะเป็น ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้ข้อจำ กัดของระดับความรู้เวลา และต้นทุน ปัจจุบันเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โครงงานคอมพิวเตอร์จึงไม่ถูกจำ กัดอยู่แค่กับระบบ คอมพิวเตอร์เท่านั้น ยังอาจหมายรวมเข้าไปถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้งานบนสมาร์ตโฟน 4.2 ปรเภทโครงงานคอมพิวเตอร์ ในระดับมัธยมศึกษา โครงงานคอมพิวเตอร์จะเน้นไปทางด้านซอฟต์แวร์มากกว่าฮาร์ดแวร์ ซึ่งสามารถแบ่งได้ ตามลักษณะการดำ เนินงาน ดังนี้ 1)โครงพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ป็นโครงงานพัฒนาโปรแกรมเพื่อประกอบการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ต่าง ๆ ใช้นำ เข้าสู่บทเรียน หรือใช้อธิบายการสอนที่เข้าใจยากให้เห็นภาพมากขึ้น 6 การเลี้ยง งดี อีกทั้ง อาจเป็นโปรแกรมบทเรียนที่มีทั้งเนื้อหา สรุปทบทวน แบบฝึกหัด ทั้งนี้อาจเป็นแบบระบบออนไลน์หรือออฟ ไลน์ก็ได้ เช่น โปรแกรมแสดงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดา โปรแกรมสอนเกษตรทฤษฎีใหม่ โปรแกรมสอนการสร้างหุ่นยนต์วิ่งไวสี่ขา แบบทดสอบคณิตศาสตร์ออนไลน์ 2)โครงงานพัฒนาเครื่องมือ ป็นโครงงานพัฒนาโปรแกรมมาช่วยในการดำ เนินงานบางอย่างให้ง่าย สวยงาม และสะดวกสบาย เช่น ซอฟต์แวร์ช่วยในการพิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยในการวาดภาพซอฟต์แวร์ช่วยในการ ออกแบบ ซอฟต์แวร์ช่วยในการแปลภาษา 3)โครงงานจำ ลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่ใช้โปรแกรมหรือคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจำ ลองทฤษฎี การ ทดลอง หรือหลักการในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งนี้การทำ โครงงานผู้จัดทำ ต้องทำ การศึกษาเนื้อหาในเรื่องที่จะนำ เสนอให้เข้าใจเป็นอย่างดีเสียก่อน เพื่อนำ เสนอออกมาให้กระชับ ได้ใจความ และให้เข้าใจ ถึงเนื้อหาในทฤษฎี นั้น ๆ เช่น การจำ ลองทฤษฎีสนามควอนต้ม การจำ ลองการแฝรังสีของวัตถุดำ การจำ ลองระบบหมุนเวียนโลหิต โครงงานการจำ ลองตัวของดีเอ็นเอ การจำ ลองแบบจำ ลองอะตอมของโบร์ 6


4)โครงงานการประยุกต์ใช้งาน โครงงานพัฒนาโปรแกรมเข้ามาช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ วันของมนุษย์ หรือช่วยให้การดำ เนินงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำ วันมีความสะดวกสบายมาก ยิ่งขึ้น โครงงาน ประเภทนี้อาจจะมีการใช้ความรู้ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยในการพัฒนาเช่น ซอฟต์แวร์ระบบรู้ จำ ลายนิ้วมือที่ใช้ในการระบุตัวตน แอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่ผ่านสมาร์ตโฟนแอปพลิเคชันปิด-เปิดเครื่องใช้ ไฟฟ้าผ่านสมาร์ตโฟน ระบบโรงเรือนอัจฉริยะควบคุมผ่านคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน 5)โครงงานพัฒนาเกม เป็นโครงงานพัฒนาเกมต่าง ๆ เพื่อการเรียนรู้ ความสนุก ความบันเทิงและความ เพลิดเพลินใจ โดยเน้นการพัฒนากระบวนการคิดสอดแทรกไปกับเนื้อหาของเกมนั้น เช่นเกมปริศนาคำ ทาย สำ นวนไทย เกมจัตุรัสกลที่นำ ตัวเลขมาใส่ในช่องว่างที่กำ หนดแล้วได้ผลบวกในแนวนอน แนวตั้ง และแนวเส้น ทแยงมุมมีค่าเท่ากัน เกม 24 ที่ให้ตัวเลขมา 4 ตัว แล้วทำ การบวก ลบ คูณ หรือหารกันก็ได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ เป็น 24 5.ความรู้เกี่ยวกับโครงงานสะเต็มการศึกษา 5.1 ความหมาย เป็นการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งหวังให้นักเรียนสามารถประยุกต์การเรียนรู้และสามารถบูรณาการความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเข้ามาช่วย ทั้งนี้เพื่อ ให้สามารถใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำ วันหรือสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561 : 5) โครงงานสะเต็มศึกษาเป็นโครงงาน ที่นำ ความ รู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่เชื่อม โยงกับชีวิตจริงโดยผ่านกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ซึ่งอาจเป็นชิ้นงานหรือวิธีการที่ สามารถนำ มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด 5.2 ประเภทโครงงานสะเต็มศึกษา เนื่องจากโครงงานสะเต็มศึกษาเป็นโครงงานที่อาศัยการบูรณาการความรู้ของหลากหลายวิชาการจำ แนก ประเภทของโครงงานอาจจำ แนกตามความเกี่ยวข้องหรือลักษณะของการแก้ปัญหา ดังนี้ 1) โครงงานสะเต็มศึกษาที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เป็นโครงงานที่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเช่น การ จัดการน้ำ การกำ จัดขยะ การลดปริมาณมลภาวะ 2) โครงงานสะเต็มศึกษาที่เกี่ยวกับการเกษตร เป็นโครงงานที่ช่วยแก้ปัญหาทางการเกษตร ช่วยเพิ่มผลผลิต ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนในการทำ งาน เช่น การแก้ปัญหาแมลงรบกวนพืชสารเร่งการออกดอกออกผล เครื่องมือช่วยกำ จัดวัชพืช 7


3) โครงงานสะเต็มศึกษาที่เกี่ยวกับพลังงาน เป็นโครงงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานหรือการใช้ พลังงานทางเลือก เช่น บ้านประหยัดพลังงาน โรงเลี้ยงสัตว์ด้วยโซลาร์เซลล์ เตาพลังงานแสงอาทิตย์ 4) โครงงานสะเต็มศึกษาที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้งาน เป็นโครงงานที่เกี่ยวข้องกับการแก่ปัญหา ต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นในชีวิตประจำ วันของมนุษย์ ช่วยให้การดำ เนินงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำ วันมีความสะดวกสบายมากยิ่ง ขึ้น หรือพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่นเครื่องควบคุมการปิดเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนและบอร์ด Arduino อิฐมวลเบาจากเปลือกหอย เครื่องให้ อาหารและน้ำ สุนัข เครื่องช่วยออกกำ ลังกายสำ หรับผู้ป่วยติดเตียง 6.เทคโนโลยีและกระบวนการออกเเบบเชิงวิศวกรรม ในการดำ เนินชีวิตประจำ วันของมนุษย์นั้นมักจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย ทั้งปัญหาเรื่องความสะดวก สบาย เช่น การเดินขึ้นบันไดไปในชั้นที่สูงขึ้น เหนื่อยและลำ บาก จะทำ อย่างไรเพื่อทุ่นแรงในการเดิน ปัญหา ด้านสุขภาพ เช่น การปวดหลัง ปวดคอที่เกิดจากการนั่งเป็นเวลานาน ๆ จะทำ อย่างไรเพื่อช่วยลดอาการปวด เหล่านี้ หรือแม้แต่ปัญหาที่เกิดจากการทำ งาน เช่น เวลาทำ เอกสารด้านบัญชีโดยใช้สมุดจด ซึ่งมีปริมาณมากจึง ทำ งานได้ล่าช้า ทำ อย่างไรจึงจะมีวิธีการจัดเก็บที่ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้นมากกว่าการใช้สมุดจด มนุษย์พยายามที่ จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาและตอบ โจทย์เหล่านี้เรียกว่า เทคโนโลยี เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างและพัฒนาขึ้น ซึ่งอาจเป็นชิ้นงานหรือวิธี การ เพื่อใช้แก้ปัญหา สนองความต้องการ หรือเพิ่มความสามารถในการทำ งานของมนุษย์ เทคโนโลยีได้ เปลี่ยนแปลงการดำ เนินชีวิตของมนุษย์ให้ดีขึ้นในทางเดียวกันปัญหาและความต้องการของมนุษย์ก็ทำ ให้ เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียังเกิดจากความก้าวหน้าของศาสตร์ต่าง ๆ ทั้ง วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ตลอดจนปัจจัยด้านอื่น ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความเชื่อและ วัฒนธรรม ล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแทบทั้งสิ้น กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเป็นกระบวนการหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหาและพัฒนางานให้เป็นระบบ เป็นขั้นตอนเมื่อเกิดปัญหาข้อผิดพลาดหรือมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถย้อนกลับไปเเก้ไขได้ง่ายขึ้นทำ ให้งานที่ได้ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นภายใต้เงื่อนไข ขอบเขต และข้อกำ หนดที่จำ กัด กระบวนการออกเเบบเชิงวิศวกรรม ประกอบด้วย6ข้อ ดังนี้ 6.1ระบุปัญหา (probler identfication) เป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่งผู้แก้ปัญหาได้สังเกตและตระหนักถึง ปัญหาที่เกิดขึ้น ในการดำ เนินชีวิตประจำ วันหรือการทำ งานแล้วต้องการหาวิธีการหรือเทคโนโลยีเที่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ใน การระบุปัญหานี้อาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น การตั้งคำ ถามด้วยหลักการ 5W111 เพื่อวิเคราะห์องค์ ประกอบของปัญหาและเข้าใจปัญหามากขึ้น หรือใช้แผนภาพความคิดแบบ ก้างปลา (Eshbone diagram) เข้ามาช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปัญหานั้น ๆ ทั้งนี้เพื่อนำ ไปช่วยกำ หนดเงื่อนไขหรือ ขอบเขตของการแก้ปัญหานั้น ๆ ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น 8


6.2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เที่ยวข้องกับปัญหา (ELATED INFORMATION SEARCH) เมื่อทำ การกำ หนดปัญหา ระบุสเหลุและองรองปัญหาได้อย่างรัดเจนแล้ว ชั้นตอนต่อมาในการบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรมนั้นคือ การรวบรวมข้อมูลและแนวิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา โดยการศึกษาโครงงานหรืองานวิจัยที่เกี่ย ข้องหรือเคยแก้ปัญหาลักษณะนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้ง่ายขึ้น หรือการค้นหาแนวคิดหรือ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาซึ่งอาจเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ หรือเนื้อหาเฉพาะด้าน ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจมีการสรุปเนื้อหาและเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้รวบรวมมาให้อยู่ในรูปแบบแผนภาพความคิด อย่างง่ายต่อการทำ ความเข้าใจและเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาหรือพัฒนางานนั้น ๆ ได้อย่างเหมาะสม 6.3ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (SOLUTION DESIGN) เป็นการนำ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ความรู้และข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมมาประยุกต์ใช้และออกแบบวิธีใน การแก้ปัญหาภาพร่างของชิ้นงานต้นแบบ โดยคำ นึ่งถึงทรัพยากรความเหมาะสมกับเงื่อนไขและขอบเขตของ ปัญหามากที่สุด 6.4 วางแผนและดำ เนินการแก้ปัญหา (PLANNING AND DEVELOPMENT) เป็นการกำ หนดลำ ดับขั้นตอนและเวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน เพื่อช่วยในการประเมินเวลาและการ กำ หนดหน้าที่ของสมาชิกแต่ละคนให้เหมาะสม จากนั้นลงมือแก้ปัญหา พัฒนาวิธีการ หรือสร้างชิ้นงานต้นแบบ ในแต่ละลำ ดับขั้นตอนตามที่วางแผนไว้ โดยคำ นึ่งถึงความถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมในการสร้างชิ้นงาน หรือวิธีการในการแก้ปัญหา 6.5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (TESTING EVALUATION AND DESIGN IMPROVEMENT) เป็นการทดสอบและประเมินผลการใช้งานชิ้นงานต้นแบบหรือวิธีการที่สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจากนั้นนำ ผลจาก การทดสอบและการประเมินมาวิเคราะห์หาจุดเด่น จุดด้อย ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นเพื่อนำ มาปรับปรุงแก้ไขชิ้นงาน ต้นแบบหรือวิธีการในการแก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 6.6 นำ เสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (PRESENTATION) หลังจากการทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขชิ้นงานต้นแบบหรือวิธีการที่สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหา จนมี ประสิทธิภาพตรงตามความต้องการหรือเป็นที่พอใจแล้ว ต้องมีการนำ เสนอแนวคิดและ ขั้นตอนการแก้ปัญหา ของชิ้นงานหรือวิธีการที่สร้างขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบทั้งนี้เพื่อให้ผู้สนใจสามารถเห็นภาพและแนวทางการแก้ปัญหา ตลอดจนปัญหาที่เกิดขึ้นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาต่อยอดในอนาคต โดยการนำ เสนอควรอธิบาย ให้เข้าใจง่าย ชัดเจน กระชับ ตรงประเด็น และน่าสนใจ 9


หน่วยที่2 การทำ โครงงาน 1.การกำ หนดปัญหา มนุษย์มีความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ความสงสัยเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดคำ ถามต่าง ๆ มากมาย เช่น ปัญหานี้ส่งผลกระทบกับใครบ้าง อะไรคือสาเหตุของปัญหานี้ ปัญหานี้เกิดขึ้น ที่ไหน ปัญหานี้เกิด ขึ้นเมื่อใด ทำ ไมต้องแก้ปัญหานี้ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร คำ ถามเหล่านี้จะช่วยสำ รวจ ปัญหาและแนวทางการแก้ ปัญหาที่เกิดขึ้น หากนักเรียนลองสำ รวจรอบ ๆ ตัว ทั้งที่บ้าน โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า กิจกรรมที่ทำ หรือการดูสื่อออนไลน์ แล้ว ตั้งข้อสังเกตว่ามีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น นักเรียนและครอบครัวไม่อยู่บ้าน สือนจะไป้างสังรังี่งย่างไร ที่รงเรียนกิดบัญหารองเข้านักเรียนหายหรือสับเปลี่ยนกันบ่อย จะแก้ปัญหาอย่างไร ห้างสรรพสินค้ามีร้านอาหารมากมายจะเลือกรับประทานอะไรดีโดยที่มีเงินจำ กัดและไม่ซ้ำ กับที่เคยรับประทานมา จะทำ อย่างไรถึงจะมีเพื่อนหรือคนที่ชอบทำ กิจกรรมเดียวกันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ หรือทัศนคติต่อกัน ดูข่าวออนไลน์แล้วพบว่าปัญหาขยะจากเปลือกหอยแต่ละปีในประเทศไทยมีจำ นวนมาก แล้ว จะสามารถกำ จัดขยะจากเปลือกหอยหรือสามารถนำ มาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ปัญหาที่เกิดจากแหล่งที่มาเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวกระตุ้นและช่วยจุดประกายในการทำ โครงงานของ นักเรียนได้เป็นอย่างดี ที่มาของปัญหาสามารถ จำ แนกได้ ดังนี้ 1. ปัญหาที่เกิดขึ้นในการใช้ชีวิตประจำ วัน เช่น การเดินทางมาโรงเรียนสาย การสื่อสารกับชาวต่างชาติการลืม สิ่งของ การประกอบอาหาร 2. ปัญหาที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ หรืองานอดิเรก เช่น การวิ่งออกกำ ลังกายแล้วเจ็บเท้าการจัดเก็บและลืม หนังสือการ์ตูนที่สะสม การเปลี่ยนน้ำ ตู้ปลาของปลาที่เลี้ยง ขนสัตว์เลี้ยงติดเสื้อผ้า 3. ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ขยะในโรงเรียน ท่อระบายน้ำ อุดตัน ฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้าง ควัน พิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำ มันเชื้อเพลิงรถยนต์ 4. ปัญหาที่เกิดจากพลังงาน เช่น ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือไฟฟ้าเข้าไม่ทั่วถึง การขาดแคลนพลังงานการคัดค้านการ ก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5. ปัญหาที่เกิดจากการเกษตร เช่น การตกค้างของยาฆ่าแมลงในพืชผักผลไม้ การทำ ไร่เลื่อนลอย ฝุ่นควันที่เกิด จากการเผาไหม้ฟางข้าว การตกค้างของสารเร่งเนื้อเร่งโตในเนื้อสัตว์ 10


นอกจากแหล่งที่มาของปัญหาที่กล่าวมาปัญหายังเกิดได้อีกทุกเมื่อ ทุกแหล่งของปัญหา การสังเกตจะช่วย ให้นักเรียนมองเห็นปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น การที่นักเรียนอยู่คนเดียวหรืออยู่ในโลกส่วนตัวบางครั้ง อาจทำ ให้นักเรียนมองไม่เห็นแนวทางหรือแนวคิดที่จะนำ มาพัฒนาโครงงานได้ การพยายาม เปิดโลกการเรียนรู้ กระตุ้นความคิด จะช่วยเพิ่มแนวทางหรือทำ ให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ เช่น การพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญ ครูที่ปรึกษาโครงงาน ปราชญ์ชาวบ้าน การดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ อ่านสื่อออนไลน์ เดินทางท่องเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์ แหล่งโบราณสถาน โบราณคดี ศูนย์การเรียนรู้ เกษตรพอเพียงหรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด ตลาดเปิดท้าย หากนักเรียนมีความสนใจ ใคร่รู้และ ช่างสังเกตแล้ว ทุกย่างก้าวของการเรียนรู้ย่อมช่วยให้นักเรียนมองเห็นแนวคิดหรือแนวทางในการ พัฒนาโครงงานได้ เมื่อนักเรียนได้ปัญหาในการทำ โครงงานแล้ว ต้องพิจารณาองค์ประกอบและข้อกำ หนดในการพัฒนาโครง งาน ดังต่อไปนี้ 1. ปัญหาที่เลือกมาสามารถแก้ได้ และมีข้อยุติ 2. ปัญหาที่เลือกมาควรจะมีขอบเขตที่เหมาะสมตามระดับชั้น ความสามารถ และทุนหรือทรัพยากรของ นักเรียน 3. วิธีการแก้ปัญหาในสถานการณ์เดียวกันต้องไม่ช้ำ ช้อนหรือลอกเลียนแบบผู้อื่น 4. วิธีการแก้ปัญหาได้มาซึ่งองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีใหม่ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านอื่น ทั้งต่อมนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อม การพิจารณาองค์ประกอบหรือข้อกำ หนดข้างต้น จะช่วยให้โครงงานของนักเรียนน่าสนใจ สามารถเป็นจริงได้ และเกิดประโยชน์ต่อการดำ เนินชีวิตได้ 11


หน่วยที่2 การทำ โครงงาน 2.การรวบรวมข้อมูลและกำ หนดขอบเขตปัญหา การรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนที่สำ คัญอีกขั้นตอนหนึ่งในการพัฒนาโครงงาน เพราะจะช่วยให้เราทราบถึง ความสำ คัญของปัญหา วิธีการแก้ปัญหาลักษณะเดียวกันที่เคยมีมาก่อน เครื่องมือ อุปกรณ์ความรู้และทฤษฎีต่าง ๆ ที่จำ เป็นจะต้องรู้เพื่อช่วยให้การพัฒนาโครงงานง่ายขึ้นและสำ เร็จลุล่วง โดยแนวทางในการได้มาซึ่งข้อมูลที่ สำ คัญนั้น สามารถทำ ได้ ดังนี้ 1. การสืบคันจากโครงงานที่เคยแก้ปัญหาลักษณะเดียวกัน วิธีนี้จะช่วยให้ทราบถึงข้อมูลและการแก้ปัญหาที่ ต้องการรวดเร็วขึ้น ในการศึกษาควรพิจารณาผลการแก้ปัญหาและวิเคราะห์การแก้ปัญหา ด้วยวิธีการในโครง งาน และเน้นที่ข้อจำ กัดของวิธีการเดิม เพื่อใช้เป็นแนวทางและข้อสนับสนุนในการพัฒนาโครงงานต่อยอด 2. การสัมภาษณ์โดยตรงจากแหล่งข้อมูล เป็นวิธีการที่นิยมกัน เพื่อจะได้ทราบถึงปัญหาและผลกระทบของ ปัญหาโยตรง เช่น การสัมภาษณ์ผู้คนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับปัญหาเรื่องกลิ่นเน่าเหม็นจากบ่อขยะ การสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยน้ำ ป่าไหลหลากในจังหวัดทางภาคเหนือ การสัมภาษณ์ประชาชนที่ ประสบปัญหาการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนเขตจตุจักรการสัมภาษณ์จากแหล่งข้อมูลโดยตรง หากผู้ถูกสัมภาษณ์มีความสงสัยในประเด็นคำ ถามก็จะสามารถสอบถามผู้สัมภาษณ์ได้โดยตรง หรือผู้สัมภาษณ์มี ประเด็นที่สงสัยเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามผู้ถูกสัมภาษณ์ได้ทันที่ ทำ ให้ข้อมูลที่ได้รับตรงตามความต้องการมาก ที่สุด 3. การสังเกต เป็นวิธีการที่ใช้เพื่อดูลักษณะของข้อมูลที่เกิดขึ้นว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรและทำ การจด บันทึกไว้ เช่น การสังเกตทิศทางของเม็ดฝนที่ตกกระทบลงบนกระจกหน้ารถยนต์ขณะวิ่งการสังเกตลักษณะการ เดินเรียงกันของมด การสังเกตลักษณะการกระโดดลงจากที่สูงของแมว การสังเกตปริมาณน้ำ ที่เพิ่มขึ้นในเขื่อน เก็บกักน้ำ ช่วงฤดูฝน การสังเกตจะช่วยให้ทราบถึงพฤติกรรม สภาพการของสิ่งนั้น ๆ แต่อาจใช้เวลานานในการ เก็บข้อมูล 4. การศึกษาจากหนังสือ เอกสาร และเว็บไซต์ เป็นวิธีการที่นิยมทำ กันมากในปัจจุบัน เพราะ ง่ายในการเก็บ รวบรวมข้อมูล หรือศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ ที่ต้องการรู้เพื่อมาช่วยในการพัฒนาโครงงานในการสืบค้นจากเว็บไซต์ ควรเลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการบิดเบือนของข้อมูล และได้ข้อมูล ที่ตรงสภาพจริงมากที่สุด 2.1 การกำ หนดวัตถุประสงค์ของโครงงาน การกำ หนดวัตถุประสงค์ของโครงงาน เป็นการบอกให้ทราบว่าโครงงานนี้จะทำ อะไร และผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร การกำ หนดวัตถุประสงค์ของโครงงานต้องชัดเจน สามารถวัดผลได้ และในการกำ หนด วัตถุประสงค์ควรใช้คำ ขึ้น ต้นว่า เพื่อ เช่น เพื่อศึกษา เพื่อสร้าง เพื่อสำ รวจ เพื่อเปรียบเทียบ เพื่อพิสูจน์ 12


2.2 การกำ หนดขอบเขตของโครงงาน การกำ หนดขอบเขตของโครงงานเป็นการกำ หนดกรอบของปัญหา เพื่อที่จะได้ศึกษาหรือแก้ปัญหาในวงที่ จำ กัดไว้ ทำ ให้ผู้ทำ โครงงานไม่หลงทิศทาง และช่วยให้สามารถหาข้อมูลมาช่วยในการพัฒนาและสนับสนุน โครงงานได้ตรงประเด็นมากยิ่งขึ้น เช่น ปัญหาการรบกวนระบบรากและขยะจากถุงพลาสติกเพาะชำ ขอบเขตของโครงงาน คือ • เนื้อหาทางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง พลาสติกชีวภาพ • เนื้อหาเฉพาะด้าน เรื่อง การสกัดเซลลูโลสจากเปลือกทุเรียนเพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพ • ระยะเวลาดำ เนินการ เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561 สิ้นสุดวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 • สถานที่ในการศึกษาค้นคว้า โรงเรียนสายปัญญารังสิต 2.3 การประเมินข้อจำ กัดและทรัพยากรที่ใช้ในการทำ โครงงาน การประเมินข้อจำ กัดและทรัพยากรที่ใช้ในการทำ โครงงานนั้น จะช่วยให้เราสามารถระบุได้ว่าโครงงานควร ใช้อุปกรณ์อะไรในการทำ งานบ้าง วางแผนเกี่ยวกับระยะเวลาในการทำ งานได้ถูกต้อง และสามารถประเมิน งบประมาณในการทำ โครงงานอย่างคร่าว ๆ ได้ 2.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการทำ โครงงาน ตารางที่การกำ หนดระยะเวลาในการทำ โครงงาน 13


2.5 การทำ เค้าโครงโครงงาน เป็นการจัดทำ เพื่อให้ครูที่ปรึกษาทราบถึงความพร้อมในการประเมินศักยภาพของผู้จัดทำ โครงงานและให้ ทราบถึงความเป็นไปได้ในการจัดทำ โครงงาน นอกจากเป็นการช่วยประเมินผู้จัดทำ โครงงานแล้วการทำ เค้าโครงโครงงานยังเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้จัดทำ เพราะช่วยในการวางแผน ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำ ข้อมูลมาเรียบเรียง ตัดสินใจเลือก แล้วกำ หนดเป้าหมายและขอบเขตการทำ โครงงาน ภายใต้ข้อจำ กัดด้านต่าง ๆ ทั้งเวลา ทุน หรือทรัพยากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการออกแบบและ วางแผน เพื่อให้โครงงานที่จัดทำ ขึ้นสำ เร็จจุล่วงและมีประสิทธิภาพ การทำ เค้าโครงโครงงาน จะเป็นการเขียนอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับลำ ดับของการดำ เนินงานให้ครูที่ ปรึกษาอ่านและพิจารณาเค้าโครงโครงงาน ซึ่งมีหัวข้อดังต่อไปนี้ 1.ชื่อโครงงาน 2. ผู้จัดทำ โครงงาน 3. ชื่อครูที่ปรึกษาโครงงาน 4. ที่มาและความสำ คัญของโครงงาน 5. วัตถุประสงค์ของโครงงาน 6. สมมุติฐาน 7. ขอบเขตของการทำ โครงงาน 8. วิธีการดำ เนินงาน 9.ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 10. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 11. เอกสารอ้างอิง 3. การออกแบบและวางแผนการทำ โครงงาน เป็นขั้นตอนที่สำ คัญในการจัดทำ โครงงาน เพราะโครงงานที่ผ่านการเสนอหัวข้อแล้ว จะสำ เร็จลุล่วงสาม เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กำ หนดไว้หรือไม่ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้ เมื่อนักเรียนผ่านการเสนอหัวข้อโครงาน แล้ว ครูที่ปรึกษาอาจให้ข้อชี้แนะ ซึ่งข้อชี้แนะที่ได้รับนี้จะเป็นแนวทางสำ คัญในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมใน การจัดทำ โครงงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ในการวางแผนการทำ โครงงานควรกำ หนดลำ ดับ ขั้นตอนในแต่ละกิจกรรม ระยะเวลาในการดำ เนินงาน และผู้รับผิดชอบให้ครบถ้วนโดยอ้างอิงจากแผนการ ปฏิบัติงานในเค้าโครงโครงงาน 14


4.การดำ เนินงานและสรุปผล เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะต้องเริ่มลงมือในการดำ เนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่ได้ออกแบบและวางแผนไว้โดย สามารถระบุเป็นขั้นตอน ดังนี้ 4.1 การเตรียมการ การเตรียมการเป็นการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จำ เป็นในการทำ โครงงาน ตลอด จนการเตรียมทรัพยากรบุคคลที่ต้องจัดสรรเวลาให้สามารถทำ โครงงานตามกิจกรรมที่ออกแบบและ วางแผนไว้ 4.2 การลงมือทำ โครงงาน การลงมือทำ โครงงานเป็นการลงมือทำ กิจกรรมต่าง ๆ ตามโครงงานที่นักเรียนได้ออกแบบและวางแผน โดยใช้ทรัพยากรที่ได้จัดเตรียมมา เพื่อมาช่วยในการพัฒนาโครงงาน ขั้นตอนนี้หาก นักเรียนพบปัญหาหรือ ข้อสงสัย ควรรีบปรึกษาครูที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น เพื่อให้การดำ เนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น และสามารถแล้วเสร็จได้ตามแผนปฏิบัติงานที่กำ หนดไว้ 4.3 การทดสอบและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น การทดสอบและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการทดสอบชิ้นงาน หรือวิธีการที่นักเรียนได้สร้างขึ้นว่าผลลัพธ์จาก การทดลองที่ได้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์และขอบเขตของโครงงานที่นักเรียนได้กำ หนดไว้ในขั้นตอนการ ทำ เค้าโครงโครงงานหรือไม่ หากผลลัพธ์ตรงตามที่กำ หนดแล้ว นักเรียนอาจปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่หากไม่ตรง นักเรียนควรรีบแก้ไข เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่กำ หนด ทั้งนี้การทดสอบและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ควรจดบันทึกปัญหาที่เกิดขึ้นและวิธีแก้ปัญหาในตารางกิจกรรมเพื่อให้ง่ายต่อการ จัดเก็บและค้นหาเมื่อนำ ไปทำ รูปเล่ม และยังช่วยเป็นข้อมูลในการนำ ไปปรับปรุงต่อยอดพัฒนาโครงงานในอนาคต 5.การนำ เสนอและเผยเเพร่ผลงาน การนำ เสนอผลการดำ เนินการของโครงงานจะอยู่ในรูปแบบของรูปเล่มรายงาน ซึ่งเป็นการเขียนเกี่ยวกับ ข้อมูลทั้งหมดที่นักเรียนได้ศึกษา ผลที่ได้จากการทดลอง โดยต้องเขียนตามข้อเท็จจริงที่นักเรียนได้จากการ ทดลอง และสรุป อภิปรายผลภายใต้วัตถุประสงค์และขอบเขตที่นักเรียนกำ หนดไว้ตัวอย่างการจัดทำ รูปเล่ม รายงาน เพื่อนำ เสนอและเผยแพร่โครงงาน 15


1. ปกนอก ปกนอกเป็นส่วนหน้าปกของรูปเล่มรายงานโครงงาน นิยมใช้กระดาษขนาด 120 แกรม สีขาว หรือสีที่สุภาพ บนปกนอกจะประกอบไปด้วย 1.1 ตราโรงเรียน 1.2 ชื่อประเภทโครงงาน โดยใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 1.3 ชื่อโครงงาน โดยชื่อโครงงานต้องสอดคล้องและสัมพันธ์กับเรื่องที่ศึกษา วัตถุประสงค์หรือปัญหาของ โครงงาน กระชับ สื่อความหมายชัดเจน น่าสนใจ และกระตุ้นความคิดให้ผู้อ่านอย่างหลากหลาย โดยใช้ตัว อักษรหนาขนาด 22 จุด 1.4 คำ ว่า "โดย" ใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุด 1.5 ชื่อผู้จัดทำ โครงงาน โดยต้องระบุคำ นำ หน้าชื่อ ชื่อและนามสกุล ใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุด 1.6 ระบุรายวิชาหรือโครงงาน โดยทั่วไปนิยมใช้คำ ว่า "รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ภาคเรียนที่ โรงเรียน ปีการศึกษา" โดยใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุดหมายเหตุ : ตัวอักษรที่ใช้ในรายงานโครงงานนิยมใช้ตัวอักษร THI SARABUN 2. ใบรองปก ใบรองปกนิยมใช้กระดาษสีขาว 80 แกรม ขนาด A4 ไม่ต้องมีข้อความใด ๆ 3. ปกใน เป็นส่วนที่ใช้อธิบายข้อมูลเพิ่มเติมจากปกนอก โดยรายละเอียดตอนต้นจะเหมือนปกนอกแต่เพิ่มชื่อครูที่ ปรึกษาเข้าไปด้วย ใช้กระดาษสีขาว 80 แกรม ขนาด A4 3.1 ตราโรงเรียน 3.2 ชื่อประเภทโครงงาน โดยใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 3.3 ชื่อโครงงาน โดยชื่อโครงงานต้องสอดคล้องและสัมพันธ์กับเรื่องที่ศึกษา วัตถุประสงค์หรือปัญหาของ โครงงาน กระชับ สื่อความหมายชัดเจน น่าสนใจ และกระตุ้นความคิดให้ผู้อ่านอย่างหลากหลาย โดยใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 3.4 คำ ว่า "โดย" ใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุด 3.5 ชื่อผู้จัดทำ โครงงาน โดยต้องระบุคำ นำ หน้าชื่อ ชื่อและนามสกุล ใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุด 3.6 คำ ว่า "ครูที่ปรึกษา" ใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุด 3.7 ชื่อครูที่ปรึกษาใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุด 3.8 ระบุรายวิชาหรือโครงงาน โดยทั่วไปนิยมใช้คำ ว่า "รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ภาคเรียนที่ โรงเรียน ปีการศึกษา" โดยใช้ตัวอักษรปกติขนาด 18 จุด 16


4. บทคัดย่อ เป็นการสรุปภาพรวมของเนื้อหาที่ได้ทำ การศึกษา โดยจะกล่าวถึงปัญหา จุดประสงค์ ขอบเขต วิธีการ ดำ เนินงาน รวมถึงสรุปผล ซึ่งอาจแสดงในรูปของค่าทางสถิติ ในการเขียนบทคัดย่อนั้น ควรสั้นกะทัดรัด ได้ใจความ และน่าสนใจ โดยบทคัดย่อประกอบด้วย 4.1 คำ ว่า "บทคัดย่อ" กลางหน้ากระดาษ ใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 4.2 เนื้อหาบทคัดย่อ ความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรปกติขนาด 16 จุด 5. กิตติกรรมประกาศ เป็นส่วนที่ผู้จัดทำ โครงงานใช้แสดงความขอบคุณต่อผู้มีส่วนช่วยเหลือในการจัดทำ โครงงานให้สำ เร็จลุล่วง ซึ่งอาจจะเป็นบุคคล หน่วยงาน หรือสถาบันที่ให้การสนับสนุน หากจะกล่าวขอบคุณบุคคลในครอบครัว ควรกล่าวในลำ ดับสุดท้าย โดยกิตติกรรมประกาศประกอบด้วย 5.1 คำ ว่า "กิตติกรรมประกาศ" กลางหน้ากระดาษ ใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 5.2 เนื้อหากิตติกรรมประกาศ ความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ 5.3 ชื่อผู้จัดทำ โครงงาน โดยพิมพ์เยื้องไปทางขวา ไม่ต้องระบุวันที่ หากมีผู้จัดทำ โครงงานหลายคน ไม่ต้องลงชื่อ 6. สารบัญ เป็นส่วนที่ใช้แสดงลำ ดับหน้าของรายงานโครงงาน โดยสารบัญประกอบด้วย 6.1 คำ ว่า "สารบัญ" กลางหน้ากระดาษ ใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 6.2 เว้น 1 บรรทัด แล้วพิมพ์คำ ว่า "หน้า" ชิดริมขวากระดาษ แล้วเว้น 1 บรรทัด เพื่อพิมพ์ รายการแรก คือ บทคัดย่อ จากนั้นเรียงลำ ดับหัวข้อถัดกันมาตามรูปแบบ โดยในส่วนของบทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญนั้น ลำ ดับหน้าจะใช้เป็นตัวอักษรไทย เช่น ก ข ค ส่วนที่เหลือจะใช้ลำ ดับหน้า เป็นตัวเลขฮินดูอารบิก ในการพิมพ์ทั้งหมดจะใช้ตัวอักษรปกติขนาด 16 จุด รายงานที่มีการแสดงผลเป็นตารางหรือภาพ อาจจะมีสารบัญตารางหรือสารบัญภาพเข้ามาประกอบด้วย •สารบัญตารางประกอบด้วย 1. พิมพ์คำ ว่า "สารบัญตาราง" กลางหน้ากระดาษ ใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 2. เว้น 1 บรรทัด แล้วพิมพ์คำ ว่า "ตารางที่" ชิดริมช้าย ในบรรทัดเดียวกัน พิมพ์คำ ว่า "หน้า"ชิดริมขวากระดาษ และเว้น 1 บรรทัด เพื่อพิมพ์ ตารางที่ 1.. ในการพิมพ์ทั้งหมดจะใช้ตัวอักษรปกติ ขนาด 16 จุด •สารบัญภาพประกอบด้วย 1. พิมพ์คำ ว่า "สารบัญภาพ" กลางหน้ากระดาษ ใช้ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 2. เว้น 1 บรรทัด แล้วพิมพ์คำ ว่า "ภาพที่" ชิดริมซ้าย ในบรรทัดเดียวกัน พิมพ์คำ ว่า "หน้า" ชิดริมขวากระดาษ และเว้น 1 บรรทัด เพื่อพิมพ์ ภาพที่ 1... ในการพิมพ์ทั้งหมดจะใช้ตัวอักษรปกติ ขนาด 16 จุด 17


7. บทที่ 1 บทนำ เป็นส่วนที่ใช้บอกถึงที่มา ความสำ คัญ จุดประสงค์ และขอบเขตของโครงงาน ในการพิมพ์ หัวข้อของบทนำ ทำ ได้ดังนี้ 7.1 พิมพ์คำ ว่า "บทที่ 1" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 7.2 เว้น 1 บรรทัด พิมพ์คำ ว่า "บทนำ " กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด 7.3 หัวข้อย่อยภายในบทนำ พิมพ์ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 18 จุด ส่วนเนื้อหาภายในหัวข้อย่อย สินท์ด้วยตัว อักษรปกติขนาด 16 จุด ซึ่งหัวข้อย่อยภายในบทนำ ประกอบด้วย •ที่มาและความสำ คัญของโครงงาน เป็นการกล่าวถึงความเป็นมาของปัญหาที่นักเรียนสนใจจะศึกษา โดยอธิบายถึงปัญหาในภาพรวมก่อน แล้ว โยงเข้าสู่สิ่งที่นักเรียนต้องการแก้ปัญหา พยายามชี้ให้เห็นถึงความสำ คัญและเหตุผลในการทำ โครงงานนี้ อาจ แสดงแนวทางการแก้ปัญหาในลักษณะเดียวกับงานวิจัยหรือโครงงานอื่น ๆ ว่าแก้ปัญหาด้วยวิธีใด มีข้อจำ กัด อะไรบ้างและแสดงวิธีที่นักเรียนจะแก้ไข เป็นวิธีการใหม่ หรือปรับปรุงวิธีการเดิมที่มีอยู่แล้วนอกจากนี้อาจ กล่าวเพิ่มเติมถึงเมื่อทำ โครงงานเสร็จแล้วมีประโยชน์อย่างไร และประโยชน์นั้นส่งผลต่อใครบ้าง •จุดประสงค์ เป็นการบอกให้ทราบว่าโครงงานนี้จะทำ อะไร และผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร ต้องมีความกระชับ ชัดเจน สามารถ วัดผลได้ ควรใช้คำ ขึ้นต้นว่า "เพื่อ" เช่น เพื่อศึกษา เพื่อสร้างเพื่อออกแบบ เพื่อสำ รวจ เพื่อทดสอบ ประสิทธิภาพ เพื่อปรับปรุง เพื่อเปรียบเทียบเพื่อพิสูจน์ •สมมุติฐาน(ถ้ามี) เป็นการคาดคะเนหรือคาดเดาคำ ตอบของปัญหาในสิ่งที่นักเรียนสนใจศึกษา •ตัวแปร (ถ้ามี) เป็นการกำ หนดสิ่งที่นักเรียนต้องการศึกษาเพื่อทดสอบสมุมแปรเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ตัวแปรต้น เป็นตัวแปรที่นักเรียนต้องการศึกษา ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงค่าแล้วดูผลที่ตามมา เป็นผลที่เกิดจากตัวแปรต้น ซึ่งค่าที่เกิดจากตัวแปรตามนี้นักเรียน 2. ตัวแปรตาม ต้องบันทึกผลไว้เป็นตัวแปรที่นักเรียนต้องควบคุมไว้ เพราะอาจมีผลต่อการทดลอง 3. ตัวแปรควบคุม ซึ่งอาจทำ ให้การทดลองคลาดเคลื่อนได้ •นิยามศัพท์เฉพาะ (ถ้ามี) เป็นการให้ความหมายของคำ ศัพท์เฉพาะที่ผู้จัดทำ โครงงานได้ใส่ไว้ในรูปเล่มรายงานเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตรงกันของผู้จัดทำ โครงงานและผู้ที่สนใจจะนำ ไปศึกษาต่อ •ขอบเขตของการดำ เนินงาน เป็นการกำ หนดกรอบของปัญหา เพื่อศึกษาหรือแก้ปัญหาในวงที่จำ กัดไว้ ทำ ให้ผู้จัดทำ โครงงานไม่หลง ทิศทาง และช่วยให้สามารถหาข้อมูลมาช่วยในการพัฒนาและสนับสนุนโครงงานได้ตรงประเด็นมากยิ่งขึ้น 18


8. บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เนื้อหาในบทที่ 2 ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่นักเรียนศึกษามาเพื่อใช้ในการออกแบบและวางแผนการแก้ ปัญหา อาจจะศึกษาค้นคว้ารวบรวมจากเอกสาร ตำ รา บทความทางเว็บไซต์ โครงงาน อื่น ๆ หรืองานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น การพิมพ์หัวข้อบทที่ 2 ทำ ได้ดังนี้ •พิมพ์คำ ว่า "บทที่ 2" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด •เว้น 1 บรรทัด พิมพ์คำ ว่า "เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง" กลางหน้ากระดาษ ด้วย ตัวอักษรหนา ขนาด 22 จุด •หัวข้อย่อยภายในบทพิมพ์ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 18 จุด ส่วนเนื้อหาภายในหัวข้อย่อย พิมพ์ด้วยตัว อักษรปกติขนาด 16 จุด ซึ่งหัวข้อย่อยภายในบทที่ 2 นี้ จะเป็นเรื่องที่นักเรียน 9. บทที่ 3 วิธีการดำ เนินการทดลอง เป็นการบอกถึงทรัพยากรที่ใช้ในโครงงานและขั้นตอนหรือวิธีการดำ เนินงานที่นักเรียนใช้ในการทดลอง การพิมพ์หัวข้อของบทที่ 3 ทำ ได้ดังนี้ • พิมพ์คำ ว่า "บทที่ 3" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด •เว้น 1 บรรทัด พิมพ์คำ ว่า วิธีการดำ เนินการทดลอง" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษวิ หนาขนาด 22 จุด •หัวข้อย่อยภายในบทพิมพ์ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 18 จุด ส่วนเนื้อหาภายในหัวข้อย่อย พิมพ์ด้วยตัว อักษรปกติขนาด 16 จุด ซึ่งหัวข้อย่อยภายในบทที่ 3 นี้ ส่วนใหญ่จะมีสอง หัวข้อหลัก คือ 1. วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือ บอกถึงวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ที่นักเรียนใช้ในการทำ โครงงาน 2. ขั้นตอนการดำ เนินงาน เป็นส่วนที่ใช้แสดงกระบวนการทำ งานว่านักเรียนได้ดำ เนินการสิ่งใดไปบ้างในการทำ โครงงาน ทั้งนี้ควร จะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และขอบเขตที่นักเรียนได้กำ หนดไว้ 10. บทที่ 4 ผลการทดลอง เป็นการบอกถึงผลที่นักเรียนได้จากการดำ เนินการทดลอง รวมทั้งแสดงถึงผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลจาก การทดลองที่ได้ การวิเคราะห์หรือแสดงผลการทดลอง นักเรียนอาจแสดงในรูปของตารางแผนภูมิทรงกลม กราฟ ทั้งนี้ขึ้นกับความถนัดและรูปแบบของข้อมูลที่นักเรียนได้รับจากผลการทดลอง ซึ่งการนำ เสนอนั้น ควรอยู่ในกรอบที่เหมาะสม การพิมพ์หัวข้อของบทที่ 4 ทำ ได้ดังนี้ • พิมพ์คำ ว่า "บทที่ 4" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด • เว้น 1 บรรทัด พิมพ์คำ ว่า "ผลการทดลอง" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด • หัวข้อย่อยภายในบทพิมพ์ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 18 จุด ส่วนเนื้อหาภายในหัวข้อย่อย พิมพ์ด้วยตัว อักษรปกติขนาด 16 จุด ซึ่งหัวข้อย่อยภายในบทที่ 4 จะขึ้นอยู่กับผลและ รูปแบบในการนำ เสน 19


11. บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ เป็นการบอกถึงข้อสรุปที่นักเรียนได้จากผลการทดลอง และอธิบายถึงเหตุผลที่ได้จากข้อสรุปตลอดจนข้อเสนอ แนะในการพัฒนาต่อยอดโครงงาน การพิมพ์หัวข้อของบทที่ 5 ทำ ได้ดังนี้ • พิมพ์คำ ว่า "บทที่ 5" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด • เว้น 1 บรรทัด พิมพ์คำ ว่า "สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษร หนาขนาด 22 จุด •หัวข้อย่อยภายในบทพิมพ์ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 18 จุด ส่วนเนื้อหาภายในหัวข้อย่อย พิมพ์ด้วยตัวอักษร ปกติขนาด 16 จุด ซึ่งหัวข้อย่อยภายในบทที่ 5 นี้ จะประกอบด้วย 1. สรุปผล เป็นการแสดงผลสรุปที่ได้จากผลการทดลอง ซึ่งการสรุปผลอาจอยู่ในรูปของสารสนเทศและแสดงให้เห็นว่า ผลที่ได้สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ให้ไว้หรือไม่ 2. การอภิปรายผล เป็นการอธิบายถึงเหตุผลที่ได้มาซึ่งข้อสรุป การอภิปรายผลควรจะครอบคลุมและสมเหตุสมผล 3. ข้อเสนอแนะ เป็นการนำ เสนอสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการทำ โครงงาน 12. บรรณานุกรม เป็นส่วนที่ใช้แสดงถึงเอกสาร ตำ ราบทความทางเว็บไซต์ โครงงานอื่นๆ หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่นักเรียนใช้ ในการค้นคว้าหาความรู้ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของผลงานนั้น ๆ การพิมพ์หัวข้อของบรรณานุกรม ทำ ได้ ดังนี้ • พิมพ์คำ ว่า "บรรณานุกรม" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด •เว้น 1 บรรทัด แล้วพิมพ์เอกสารที่ใช้อ้างอิงตามหลักการเขียน 13. ภาคผนวก เป็นส่วนท้ายสุดของรายงานโครงงาน ใช้แสดงข้อมูลจากการสำ รวจ หรือรวบรวมมา ใช้แสดงกราฟ ภาพใน การทำ การทดลอง หรืออาจจะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือเฉพาะที่ใช้ในโครงงาน การพิมพ์หัวข้อ ของภาคผนวก ทำ ได้ดังนี้ •พิมพ์คำ ว่า "ภาคผนวก" กลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด •เว้น 1 บรรทัด แล้วแสดงข้อมูลจากการสำ รวจ หรือรวบรวมมา ใช้แสดงกราฟ ภาพในการทำ การทดลอง หรือ อาจจะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือเฉพาะที่ใช้ในโครงงาน หรือ ข้อมูลอื่น ๆ ที่จำ เป็นในการทำ โครง งาน 20


แบบทดสอบหลังเรียน 21 สแกนเพื่อทำ แบบทดสอบหลังเรียน หรือกดลิ้งค์ด้านล่างนี้เลย HTTPS://DOCS.GOOGLE.COM/FORMS/D/E/1FAIPQLSFRYYIYOUTFDN7Y7TZ5UN GQWSUUZG7XEDP09DRUFIPJYB2GSA/VIEWFORM?USP=SF_LINK


เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน 21 1.ค 2.ก 3.ง 4.ก 5.ข 6.ค 7.ค 8.ค 9.ค 10.ก 11.ง 12.ง 13.ข 14.ง 15.ค 16.ง 17.ง 18.ง 19.ก 20.ค 21.ค 22.ง 23.ข 24.ง 25.ค 26.จ 27.ค 28.ค 29.ค 30.ค


เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน 21 1.ง 2.ค 3.ข 4.ง 5.ข 6.ค 7.ก 8.ข 9.ง 10.ค 11.ข 12.ค 13.ง 14.ก 15.ข 16.ก 17.ก 18.ก 19.ข 20.ก 21.ก 22.ก 23.ง 24.ค 25.ข 26.ค 27.ข 28.ก 29.ก 30.ง


Click to View FlipBook Version