The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติความเป็นมาของนวนิยายย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-09-09 22:51:50

ประวัติความเป็นมาของนวนิยายย

ประวัติความเป็นมาของนวนิยายย



บทนำ

ปัจจุบนั วรรณกรรมที่ไดร้ ับความนิยมในกลุ่มคนหลากหลายเพศและวยั ปฏิเสธไม่ไดเ้ ลยวา่ นว
นิยายสามารถเขา้ ถึงและมีอิทธิพลมากพอสมควรดว้ ยเน้ือหาของนวนิยายมีความแปลกใหม่ ซบั ซอ้ น
น่าติดตาม บางเร่ืองที่เขียนออกมากม็ ีความเศร้าจบั ข้วั หวั ใจ บางเรื่องกอ็ จจะสนุกสนานอ่านแลว้
รู้สึกขา ตลกไปกบั เรื่อง ผคู้ นเหน่ือยลา้ จากการเรียนการทางานกต็ อ้ งการที่จะหาส่ิงผอ่ นคลายใหแ้ ก่
ตวั เอง ซ่ึงส่วนใหญ่มกั จะนึกถึงการอา่ นนวนิยายกนั ท้งั สิ้น ท้งั น้ีนวนิยายกไ็ ม่ไดม้ ีประโยชนแ์ ค่
สาหรับผอู้ า่ นเพียงเท่าน้นั แต่ยงั สามารถสร้างรายไดแ้ ก่นกั เขียนอีกดว้ ย อยา่ งไรกต็ ามนวนิยายยงั คง
ไดร้ ับความนิยมและอนาคตกค็ าดวา่ จะเพม่ิ ข้ึนเร่ือยๆอีกดว้ ย



นวนิยำยไทย

๑.ประวตั คิ วำมเป็ นมำของนวนิยำย

นวนิยาย คือคาศพั ทท์ ่ีคนไทยน้นั ไดค้ ิดคน้ ข้ึนมาเพอ่ื ใชเ้ รียกวรรณกรรมประเภทเรื่องสมมติที่
แต่งเป็นร้อยแกว้ มีความยาวในแบบฉบบั ของทางตะวนั ตก โดยในสมยั ก่อนน้นั เรียกวรรณกรรม
ประเภทน้ีวา่ เป็นเรื่องประโลมโลก นวนิยายเร่ิมมีปรากฏในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั ตอนปลาย ภายหลงั จากการที่เร่ิมไดเ้ ห็นเร่ืองส้นั เกิดข้ึนเลก็ นอ้ ย

สาหรับนวนิยายท่ีผคู้ นคิดและถกเถียงกนั วา่ เรื่องแรกน้นั คือเรื่อง “สนุกน์ินึก” แต่งโดยกรม
หลวง พิชิตปรีชาการ ซ่ึงตีพมิ พห์ นงั สือวชิรญาณวิเลศ เป็นเร่ืองแต่งที่มีแนวโนม้ วา่ จะเป็นนวนิยาย
เรื่องแรกท่ีไดเ้ กิดข้ึน อยา่ งไรกต็ ามไดถ้ กู ระงบั ลงเพยี งแคเ่ ผยแพร่ไดเ้ พยี งตอนเดียวเท่าน้นั เหตุ
เพราะเน้ือหามีความกระทบต่อศาสนา “ความพยาบาท”ท่ีแปลมาจากหนงั สือ Vandetta ของ Marie
Corelli ลงเป็นตอนในหนงั สือลกั วิทยา ในช่วงปี พทุ ธศกั ราช ๒๔๔๕ จึงไดช้ ื่อวา่ เป็นนวนิยายเร่ือง
แรกท่ีเกิดข้ึน จากน้นั กม็ ีการเขียนนวนิยายข้ึนมาอีกชื่อวา่ ”ความไม่พยาบาท” ท่ีครูเหลี่ยมไดม้ ีการ
แต่งในปี พทุ ธศกั ราช ๒๔๕๘ เพอื่ ลอ้ เลียนเน้ือหาของนวนิยายท่ีกลา่ วไป

แมน้ วนิยายจะเป็นเรื่องสมมติท่ีแต่งข้ึนมาแต่นวนิยายกม็ ีอิทธิพลและความสาคญั เช่นเดียวกนั
เพราะเน้ือหาที่ผแู้ ต่งข้ึนจะบ่งบอกเร่ืองราวและสิ่งที่ผแู้ ต่งนึกคิดไดด้ ีวา่ ณ ตอนน้นั เกิดเหตกุ ารณ์
อะไรข้ึนบา้ งและคิดเห็นกบั เร่ืองราวที่เกิดข้ึนอยา่ งไร รวมท้งั ยงั คงมีความสาคญั กบั ผคู้ นเรื่อยมา
จนถึงปัจจุบนั

๒.ควำมหมำยของคำว่ำนวนยิ ำย

นวนิยาย แปลตามตวั อกั ษรจะหมายถึงนิยายแบบใหม่ จะตรงกบั ความหมายของคาวา่ โนเวล
(Novel) ในภาษาองั กฤษ และโนเวลลา (Novella) ในภาษาอิตาเลียน คาน้ีใชเ้ ป็นคร้ังแรกเพ่อื เรียก
นิยายอยา่ งใหม่ของบอกกาจิโอ (Boccacio) ซ่ึงเป็นเรื่องส้นั ๆเกี่ยวกบั มนุษยใ์ นแง่ต่างๆ เมื่อราว
คริสตศ์ กั ราช ๑๓๓๘ ถึงคริสตศ์ กั ราช ๑๓๔๐

ปัจจุบนั นวนิยาย หมายถึง รูปแบบหน่ึงของวรรณกรรมที่เป็นลายลกั ษณ์ บทประพนั ธร์ ้อยแกว้
ขนาดยาวท่ีแต่งเพ่อื ความบนั เทิงโดยสมมติตวั ละคร โครงเรื่อง เหตุการณ์ เพื่อใหเ้ กิดความสมจริง



๓.ควำมสำคญั ของนวนิยำย

ต้งั แต่ไทยรับวรรณกรรมรูปแบบใหม่อนั ไดแ้ ก่เร่ืองส้นั และนวนิยายจากตะวนั ตกในสมยั
รัชกาลที่ 5 เป็นตน้ มา นวนิยายและเร่ืองส้นั กไ็ ดร้ ับความนิยมแพร่หลาย อีกท้งั มีบทบาทสาคญั ต่อ
สงั คม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ นวนิยายน้นั สามารถมีบทบาทเป็นส่ือสะทอ้ นความคิดของสงั คมได้
เพราะนวนิยายนอกจากจะใหค้ วามบนั เทิงแลว้ ยงั มีสาระท่ีสมั พนั ธก์ บั สงั คมอีกดว้ ย และในนวนิยาย
แนวสะทอ้ นสงั คมจึงน่าสนใจศึกษาเพราะผปู้ ระพนั ธ์ไดน้ าเรื่องใกลต้ วั ของคนในสงั คมมานาเสนอ
ซ่ึงถือเป็นสาระท่ีสอดแทรกอยใู่ นเน้ือหาของนวนิยาย

๔.ประเภทนวนิยำย

๔.๑ นวนิยายรัก นวนิยายรักมีความรักเป็ นแก่นสาคญั ของเร่ือง เป็ นอีกแนวที่ไดร้ ับความนิยม
ทุกยคุ ทุกสมยั เพราะความรักเป็ นส่ิงสากลในความรู้สึกของผูค้ นทุกเพศทุกวยั ไม่วา่ ใครก็เขา้ ถึงได้
อาจเคยเพอ้ ฝันหรือมีประสบการณ์จนอ่านแลว้ อินกบั เรื่องราวทาใหอ้ ่านสนุกยงิ่ ข้ึนและหลายคร้ังก็
ช่วยเติมเตม็ จินตนาการหวานๆ เก่ียวกบั ความรักดว้ ย แต่นวนิยายรักแบบไม่สมหวงั กม็ ีเช่นกนั

๔.๒ นวนิยายแนวแฟนตาซี นิยายแนวน้ีมีอีกช่ือเรียกวา่ นวนิยายจินตนิมิต หมายถึงนิยายที่พูด
ถึงส่ิงที่ไม่มีอยู่จริงธีมหลกั หรือแก่นหลกั ของนิยาย เช่น แดนนรก แดนสวรรค์ การใชเ้ วทยม์ นต์
ปี ศาจ สตั วใ์ นตานาน

๓ นวนิยายสยองขวญั พูดถึงความสยองขวญั แลว้ นวนิยายแนวน้ีมกั เก่ียวขอ้ งกบั ความลึกลบั
เล่นกบั เรื่องราวเหนือธรรมชาติที่หาคาตอบทางวิทยาศาสตร์ไม่ไดซ้ ่ึงเป็นส่ิงที่ทาให้ผคู้ นเกิดความ
กลวั เช่น ภูตผีปี ศาจ และมกั มีฉากท่ีน่าสะพรึงกลวั อยา่ งบา้ นผีสิง คุกใตด้ ิน บรรยากาศภายในเรื่อง
มกั หดหู่ มืดมน สิ้นหวงั และตวั ละครมกั ตอ้ งเผชิญกบั หายนะบางอยา่ ง

๔.๔ นวนิยายนกั สืบ นวนิยายนกั สืบหรือสืบสวนสอบสวนอาจเรียกอีกชื่อว่าอาชญนิยาย มกั
เป็นเร่ืองเกี่ยวกบั การฆาตกรรม คดีอาชญากรรม เน้ือเร่ืองเป็นการดาเนินเร่ืองเพื่อคล่ีคลายคดี หาตวั
คนร้าย เช่น เชอร์ลอ็ ก โฮลม์ ส์ ของ เซอร์อาร์เธอร์ โคแนน ดอยล์

๔.๕ นวนิยายวิทยาศาสตร์ นวนิยายวิทยาศาสตร์ เป็นนิยายท่ีดาเนินเร่ืองอยบู่ นสมมติฐานทาง
วิทยาศาสตร์โดยวทิ ยาศาสตร์มกั สร้างผลกระทบต่อมนุษยชาติในเร่ือง



๕.องค์ประกอบของนวนิยำย

๕.๑ โครงเรื่อง

หมายถึง เคา้ โครงของพฤติกรรมหรือเหตุการณ์สาคญั ในเร่ืองท่ีผเู้ ขียนวางไวเ้ ป็นแนวใหเ้ รื่อง
ดาเนินไป โดยอาจมีการขดั แยง้ ก่อใหเ้ กิดการต่อสูท้ าใหเ้ ร่ืองดาเนินไปอยา่ งน่าติดตาม ความขดั แยง้
น้ีอาจจะมากจากส่ิงภายนอกท่ีเปล่ียนแปลงไปจากเดิม เช่นการตาย การไดร้ ับอบุ ตั ิเหตุ การถูกโจมตี
การมีแม่เล้ียง ฯลฯ หรือประเดน็ ความขดั แยง้ คือสิ่งที่อยภู่ ายในจิตใจตวั ละคร เช่นความอิจฉาริษยา
การสูญเสียช่ือเสียง ความทะเยอทะยาน ความโลภ ฯลฯ เม่ือตวั ละครไดส้ ร้างทางเลือกและพยายามที่
จะแกป้ ัญหา ส่ิงท่ีเกิดข้ึนในเรื่องไดถ้ ูกขดั เกลา และพลอ็ ตไดเ้ กิดข้ึน

ประเภทของโครงเรื่องแบ่งตามลกั ษณะโครงสร้างหรือความคลา้ ยคลึงได้ ๔ ลกั ษณะ ดงั น้ี

๑) โครงเรื่องที่เหตุการณ์เปล่ียนในทางที่ดีกว่า จบอย่างมีความสุข เช่นเร่ืองที่พาฝันต่างๆ
และโครงเร่ืองท่ีเหตุการณ์เปลี่ยนไปในทางท่ีร้ายจบดว้ ยความเศร้าหรือห1ายนะ

๒) โครงเร่ืองเนน้ เหตุการณ์และประสบการณ์ของตวั ละครและโครงเร่ืองเนน้ ความคิดหรือ
ความรู้สึกของตวั ละคร

๓) โครงเรื่องเชิงเด่ียว คือมีโครงเรื่องเดียวหรือโครงเรื่องหลกั เด่นมากและโครงเร่ือง
เชิงซอ้ น คือมีหลายโครงเรื่องร้อยเรียงกนั ที่เรียกกนั วา่ โครงเรื่องหลกั (Main Plot) คือเป็นแนวเร่ือง
สาคญั ท่ีผูแ้ ต่งตอ้ งการให้เร่ืองดาเนินไปจนจบกบั โครงเร่ืองรอง (Sub Plot) คือเรื่องยอ่ ยที่แทรกอยู่
ในโครงเรื่องหลกั เพ่ือใหเ้ รื่องซบั ซอ้ นและสนุกสนานยงิ่ ข้ึน

๔) โครงเร่ืองเนน้ เหตุการณ์ เช่น เร่ืองแนวผจญภยั และโครงเรืองเนน้ ตวั ละคร เช่น ให้ตวั
ละครรู้แจง้ เห็นธรรมตระหนกั รู้ เป็นตน้

โครงสร้างของโครงเร่ืองทว่ั ๆไปมีลกั ษณะดงั น้ี

๑) ตอนเปิ ดเรื่อง (Exposition) ถือว่าเป็ นข้นั ตอนท่ีสาคัญ การเปิ ดเร่ืองอาจเร่ิมด้วยกัน
แนะนาตวั ละคร แนะนาสถานท่ีหรือเหตุการณ์สาคญั บางคร้ังอาจข้ึนตน้ ดว้ ยขอ้ ขดั แยง้ หรือสกถาน
การณ์ปัญหา การเริ่มเรื่องแบ่ได้ ๒ ลกั ษณะคือ เริ่มเรือ่งแบบดาเนินตามปฏิทินกบเริ่มเร่ืองโดยยอ้ น
เหตุการณ์สลบั ไปมา

๒) การดาเนินเร่ือง (Rising Action) เป็ นขน้ ตอนที่สืบต่อจากการเปิ ดเรื่อง ผูแ้ ต่งจะค่อยๆ
สร้างปมและทวคี วามยงุ่ ยากซบั ซอ้ น จนถึงข้นั วกิ ฤตแลว้ จะคอ่ ยคล่ีคลายไปจนจบเรื่อง



๓) จุดวิกฤต (Climax) เป็นจุดวกิ ฤตของตวั ละครและเน้ือเร่ือง เมื่อเหตุการณ์และความ
ขดั แยง้ ไดพ้ ฒั นามาถึงสูงสุดหรือทางตนั

๔) จุดคลี่คลายเรื่อง (Falling action) เป็นตอนที่สืบต่อจากจุดวกิ ฤต เป็นตอนคลายปมปัญหา

๕.๒ แก่นเรื่อง

เรียกอีกอยา่ งวา่ ความคิดหลกั คือประเดน็ สาคญั ที่จะเชื่อมเน้ือหาท้งั หมดเขา้ ดว้ ยกนั ดว้ ยวธิ ี
เขียนผสู้ ื่อความคิดของผเู้ ขียน แก่นเรื่องน้นั สามารถเขียนออกมาไดห้ ลากหลายอยทู่ ี่วา่ ผทู้ ่ีเขยี น
ออกมาน้นั ตอ้ งการจะสื่อถึงสิ่งใด เช่น อารมณ์ พฤติกรรม หรือผลของการกระทา

๕.๓ ตวั ละคร

คือคนท่ีผเู้ ขียน เขียนใหม้ ีบทบาทในโครงเร่ืองที่ถูกแต่งหรือประพนั ธ์ออกมาอาจจะเป็นคน
หรือสิ่งท่ีคลา้ ยคลึงกบั คน ที่สามารถแสดงอารมณ์ ความรู้สึก และมีคาพดู เหมือนกนั กบั คน ตวั ละคร
ทีอยใู่ นโครงเร่ืองตอ้ งถูกแต่งข้ึนมาใหผ้ อู้ ่านรู้สึกวา่ มีจริง ตวั ละครแต่ละตวั ตอ้ งมีพฤติกรรมท่ี
แตกต่างกนั ออกไป ซ่ึงผเู้ ขียนอาจจะเขียนออกมาใหเ้ ขา้ ใจนิสยั ของตวั ละครแต่ละตวั ได้ ข้ึนอยวู่ า่
ผเู้ ขียนจะเขียนออกมาในลกั ษณะไหน

๕.๔ บทสนทนา

คือ การสนทนาโตต้ อบระหวา่ งตวั ละครในนวนิยาย เป็นส่วนท่ีทาใหน้ วนิยายมีลกั ษณะ
คลา้ ยความจริงมากท่ีสุด บทสนทนาท่ีดีตอ้ งเหมาะสมกบั บุคลิกภาพของตวั ละครตอ้ งสอดคลอ้ งกบั
บรรยากาศในเร่ืองและที่สาคญั ตอ้ งมีลกั ษณะสมจริง คือ มีคาพดู ที่เหมือนกบั บุคคลในชีวติ จริงใช้
พดู จากนั

๕.๕ ฉาก

คือเวลาและสถานท่ีรวมท้งั สิ่งแวดลอ้ มอ่ืนๆ ที่ช่วยบอกใหผ้ อู้ า่ นรู้วา่ เหตุการณ์น้นั เกิดข้ึน
เมื่อใดที่ไหนที่น้นั มีลกั ษณะอยา่ งไร นวนิยายโดยทว่ั ไปจะสร้างฉากใหเ้ ป็นส่วนประกอบของเร่ือง
เพอ่ื ช่วยใหผ้ อู้ า่ นเกิดความเขา้ ใจในเหตกุ ารณ์ และเวลาท่ีกาหนดไวใ้ นเน้ือเร่ืองหรือช่วยกาหนด
บุคลิกลกั ษณะของตวั ละคร ช่วยส่ือความคดิ ของผแู้ ต่ง หรือช่วยใหเ้ รื่องดาเนินไป



๕.๖ มุมมองคววามคิดผแู้ ต่ง
คือ ความคิดเห็น ทศั นะ หรือปรัชญา ของผเู้ ขียน ซ่ึงสอดแทรกอยใู่ นพฤติกรรมของตวั ละคร
หรือคาพดู ของตวั ละคร ในการเสนอความคิดเห็นหรือแนวคิดน้ี ผแู้ ต่งจะไมเ่ สนอออกมาโดยตรง
มกั จะสอดแทรกซ่อนเร้นอยใู่ นพฤติกรรมของตวั ละคร

๖.วธิ ีกำรเขยี นนวนยิ ำย
เร่ิมตน้ การเขียน ผเู้ ขียนควรมีความรู้เกี่ยวกบั หลกั การเขียน เพราะงานเขียนท่ีขาดความ

สละสลวยจะทาใหผ้ อู้ า่ น เกิดความรู้สึกเบ่ือหน่าย และอาจตีความไปคนละทางกบั เจตนาของผเู้ ขียน
ได้

การวางแผน

๑.วางโครงเรื่องคร่าวๆ วา่ ตอ้ งการเขียนเรื่องแนวไหน มีเน้ือหาอยา่ งไร อาจมีการเขียนทรีท
เมนทแ์ ต่ละตอน เพอื่ ป้องกนั การเขียนออกทะเล ( สาหรับมือใหม่หดั เขียน )

๒.วางลกั ษณะนิสยั ตวั ละครแต่ละตวั ใหช้ ดั เจน

๓.วางฉากวา่ เป็นที่ไหน สมยั ใด โดยเฉพาะนวนิยายยอ้ นยคุ ควรศึกษาใหแ้ น่ชดั วา่ เขียนถึง
สมยั ไหน คนในยคุ น้นั มีความเป็นอยู่ มีความเช่ือ และวฒั นธรรมประเพณีอยา่ งไร

๔.คิดวธิ ีการเล่าเร่ืองวา่ จะเลา่ เร่ืองอยา่ งไร อาจจะเป็นเล่าโดยผเู้ ขียน หรือตวั ละครตวั ใดตวั
หน่ึงฯลฯ

เริ่มตน้ เขยี น

๑.กำรเปิ ดเรื่อง เป็นบนั ไดข้นั แรกของการเขียน ดงั น้นั จึงควรเปิ ดเร่ืองใหน้ ่าสนใจ อาจจะมี
บทนาเพือ่ อธิบายลกั ษณะเด่นของตวั ละครเอกก่อนกไ็ ด้

๒.กำรผูกปม นวนิยายที่น่าอา่ นน้นั จะตอ้ งไม่เรียบเรื่อยเกินไปนกั ผเู้ ขียนจึงควรขมวดปม
ปัญหา สร้างความขดั แยง้ ข้ึน เพื่อความน่าติดตาม

๓.กำรดำเนินเร่ือง ผเู้ ขียนควรมีการวางแผนวา่ จะดาเนินเรื่องอยา่ งไรเช่นการเลา่ จากอดีต-
ปัจจุบนั เล่ายอ้ นหลงั ปัจจุบนั – อดีต หรือเลา่ โดยการเขยี นจดหมาย เป็นตน้



๔.กำรคลค่ี ลำยเรื่อง เมื่อมีการขมวดปมปัญหาเอาไวต้ ้งั แต่ตน้ กค็ วรมีการคลี่คลายปัญหา และ
แสดงความสมั พนั ธ์ของตวั ละครแต่ละตวั ไปดว้ ย

๕.จุดไคล์แมก็ ซ์หรือจุดสุดยอด คือ จุดที่จะกระตุน้ ความรู้สึกของผอู้ า่ นเพือ่ นาไปสู่การ
คล่ีคลายเร่ืองในท่ีสุด ( มกั จะมีข้ึนตอนใกลอ้ วสาน )

๗. ประโยชน์ของนวนิยำย

๑. การอ่านหนงั สือทาใหเ้ ราสามารถจดจ่ออยกู่ บั เร่ืองราว ถือวา่ เป็นการฝึกฝนใหเ้ กิดสมาธิได้
อยา่ งแน่นอน

๒. การเขียนภาษาไทยใหถ้ ูกตอ้ ง ทุกตวั อกั ษรตอ้ งผา่ นสายตา ฉะน้นั แลว้ การอา่ นนวนิยาย เป็น
การฝึกการอา่ นภาษาไทย สงั เกตตวั สะกดที่ถูกตอ้ ง รับรองไดว้ า่ วรรณยกุ ตท์ ุกตวั สะกด ถูกตอ้ ง
ครบถว้ นอยา่ งแน่นอน

๓. เสริมสร้างความรู้ดา้ นต่างๆ ของสงั คม แนวอิงประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองการ
ปกครองในแต่ละยคุ สมยั เรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละสงั คม แต่ละช่วงเวลา เปิ ดโลกทศั น์
และมุมมองใหม่ใหก้ บั ใหก้ บั ตวั คุณเอง

๔.เราอาจไม่ไดม้ ีโอกาสไปสมั ผสั สถานท่ีน้นั ไดจ้ ริงนวนิยายจะพาเราไปสมั ผสั กบั สถานที่น้นั
ดว้ ยการลงทุนแบบประหยดั มากท่ีสุดแตก่ ลิ่นอายบรรยากาศถูกบนั ทึกในความทรงจาอยา่ งครบถว้ น

๕. การเรียนรู้เร่ืองราวต่างๆ ผา่ นตวั หนงั สือจะทาใหเ้ ราเขา้ ใจความเป็นธรรมชาติของโลกมาก
ข้ึน ส่งผลต่อระบบความคิดและมุมมองในการดาเนินชีวิตไดเ้ ป็นอยา่ งดีเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลง
ไป ทุกส่ิงทุกอยา่ งถูกแรงขบั เคล่ือนดว้ ยวฒั นธรรม เทคโนโลยี แทรกซึมกลายเป็นส่วนหน่ึงของชีวิต


Click to View FlipBook Version