ลำนแสดงช้ำงและจระเข้สำมพรำน
ตลำดนำ้ ดอนหวำย
ตลาดน้าดอนหวาย เป็ นตลาดริมน้าช่ือดงั ใกลก้ รุง ขบั รถเพียง 20 กม.จากกรุงเทพเท่าน้นั ท่านจะไดพ้ บกบั
วถิ ีชีวติ ท่ีแตกต่าง ความสงบร่มเยน็ เนน้ ความเรียบง่าย เป็นธรรมชาติตลาดน้าดอนหวาย ตลาดโบราณริมแม่
น้าท่าจีนท่ีมีอายนุ านกวา่ 100 ปี เพลิดเพลินกบั การ ลองลิ้มชิมรส อาหารอร่อยมากมายกบั ตลาดที่มีความยาว
กวา่ 300 เมตร
เม่ือราว 7- 8 ปี ก่อน หรือราว พ.ศ.2542 - 43 หากใครได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็คงจะเห็น
การเร่ิมตน้ ความนิยมของตลาดน้าดอนหวายไดอ้ ยา่ งชดั เจน วา่ มาจากสื่อโทรทศั น์ที่มีโอกาสไปทารายการ
และแนะนารายการอาหารเมนูอร่อยของตลาดดอนหวาย หลงั จากท่ีออกอากาศไปไมน่ าน ก็ยงั มีรายการอ่ืนๆ
ตามมาทารายการกนั ไม่ขาดสาย จนตลาดน้าดอนหวายเป็ นท่ีรู้จกั ของคนท้งั ประเทศ โดยที่ทางจงั หวดั ไม่
ตอ้ งออกแรงประชาสัมพนั ธ์แต่อย่างใด จากจุดเร่ิมตน้ ที่มีสื่อไปทารายการสารคดีเชิงนิเวศน์ในช่วงน้ัน
ซ่ึงเป็ นช่วงที่ประเทศกาลงั ฟ้ื นตวั ทางเศรษฐกิจ หลงั จากประสบกบั มรสุม ท่ีเรียกวา่ IMF ทาให้สังคมไทย
หนั มานิยมดาเนินชีวติ แบบเรียบง่าย และใชจ้ ่ายอยา่ งประหยดั
ตลำดวถิ ไี ทย ตลำดนำ้ ดอนหวำย
ตลาดน้าดอนหวาย ซ่ึงเป็ นตลาดอาหารไทย และขนมไทยแบบดง่ั เดิมไดเ้ ขา้ มาในช่วงจงั หวะน้นั พอดี จึง
ไดก้ บั การตอบรับจากผคู้ นอยา่ งรวดเร็ว จนเรียกไดว้ า่ ดงั เป็ นพลุแตก คนท่ีมาเท่ียวตา่ งติดใจในรสชาติอาหาร
ไทยท่ีมีอยหู่ ลากหลาย และขนมไทยนานาชนิด พร้อมกบั ไดอ้ ุดหนุนสินคา้ เกษตรกรรมของทอ้ งถิ่นในราคา
แบบชาวบา้ น ทาใหเ้ กิดกระแสปากต่อปากหากเปรียบเป็ นวา่ วกถ็ ือวา่ ปัจจุบนั ตลาดน้าดอนหวายติดลมบน
เป็นที่เรียบร้อยแลว้ สามารถพ่ึงตวั เองไดอ้ ยา่ งสบายๆ โดยไมต่ อ้ งใหใ้ ครมาช่วยประชาสมั พนั ธ์ นกั ทอ่ งเท่ียว
39
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
ท้งั ไทยและตา่ งประเทศต่างใหค้ วามสนใจกนั มากมาย นอกจากไดล้ ิ้มลองอาหารนานาชนิดและซ้ือของฝาก
ท่ีมีอยู่มากมายแลว้ ก็ยงั มีโปรแกรมล่องเรือชมวิวทิวทศั น์สองฝั่งแม่น้าที่ไม่ควรพลาด เพราะจะได้เห็นวิถี
ชี วิตของชาวบ้านที่ อาศัยริ มแม่น้ าท่ าจีน ป ลู กผักบุ้ง และผักที่ ข้ึน บ น น้ าชนิ ดต่างๆ เรี ยกได้
วา่ เกือบตลอดระยะทางท่ีเรือผา่ น เป็นการใชพ้ ้นื ที่หนา้ บา้ นใหเ้ ป็ นประโยชน์ นง่ั เรือผา่ นไปก็จะเห็นชาวบา้ น
พายเรือเกบ็ ผกั บุง้ เป็นระยะๆ เป็นการปลูกโดยไมต่ อ้ งใส่ป๋ ุยหรือยาฆ่าแมลงใดๆท้งั สิ้น
อำหำรแนะนำ ตลำดนำ้ ดอนหวำย
อาหารท่ีอยากแนะนาท่ีตลาดน้าดอนหวายกไ็ ดแ้ ก่ เป็นพะโลน้ ายหนบั (เขียนมาถึงตรงน้ีแลว้ ก็น้าลาย
ไหล) ตม้ เคม็ ปลาทูหรือตม้ เคม็ ปลาตะเพยี นที่มีอยหู่ ลายร้าน ท้งั หวั ท้งั กา้ ง เป่ื อยยยุ่ จนทานไดท้ ้งั ตวั
นอกจากน้ีก็มีขนมจีนน้ายากะทิ น้ายาป่ า ห่อหมกปลาช่อนที่อร่อยถึงเคร่ืองถึงกะทิ และทอดมนั ปลากราย
ของแทไ้ ม่ไดป้ นหรือผสมเน้ือปลาชนิดอื่นๆส่วนขนมก็มีขนมไทยๆนานาชนิดท่ีรับประกนั ความอร่อยเกือบ
ทุกร้าน ชนิดทานกนั ไมห่ วดั ไมไ่ หว
ตลำดนำ้ ดอนหวำย
40
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
กจิ กรรมเสริมทกั ษะ
คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนเขียนสถานท่ีท่องเท่ียวที่น่าสนใจในอาเภอสามพรานโดยแสดงเป็นแผนภูมิ
มโนทสั น์ เร่ือง สถานท่ีส่องเท่ียวในอาเภอสามพราน
41
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 7
อำเภอพุทธมณฑล
ประวตั คิ วำมเป็ นมำ
พุทธมณฑ ล (อังกฤษ: Buddha Monthon)เป็ นสถานท่ีสาคัญทางพุทธศาสนา อยู่ใน ตาบล
ศาลายา อาเภอพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐมมีเน้ือที่ 2,500 ไร่ สร้างข้ึนเพื่อฉลองวาระก่ึงพุทธกาล เมื่อ พ.ศ.
2500 มีพระพุทธรูปปางลีลาประจาพุทธมณฑล เรียกว่า พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑล
สุทรรศน์ ออกแบบโดย ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี พระพุทธรูปน้ีมีความโดดเด่นทางผา้ จีวรที่พลิ้วเหมือน
จริง พระพทุ ธรูปน้ีสร้างเสร็จและฉลอง เมื่อ พ.ศ. 2525 คราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี
เม่ือวนั ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2487 รัฐบาลไทยภายใตก้ ารนาของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
ในขณะน้นั ไดพ้ ยายามออกกฎหมายจดั สร้างพุทธบุรีมณฑลท่ีจงั หวดั สระบุรีต้งั แต่ช่วงปลายสงครามโลกคร้ัง
ท่ี 2 โดยมีผูว้ จิ ารณ์วา่ โครงการดงั กล่าวมีจุดประสงคเ์ พ่อื มิให้ฝ่ ายสัมพนั ธมิตรทิ้งระเบิดในเขตที่ประกาศเป็ น
พุทธสถานอย่างไรก็ตามพระราชกาหนดจดั สร้างพุทธบุรีมณฑลไดถ้ ูกยกเลิกโดยรัฐสภาในกาลต่อมาเมื่อ
จอมพล ป. ไม่ไดอ้ ยใู่ นอานาจแลว้ อยา่ งไรก็ตามหลงั เหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ผา่ นพน้ ไป จอมพล ป. ก็
ไดก้ ลบั มาบริหารราชการแผน่ ดินอีกคร้ังและสานตอ่ โครงการดงั กล่าว
ในปี พ.ศ. 2495 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไดด้ าริจดั สร้างปูชนียสถานเพ่ือเป็ นพุทธบูชาและเป็ นพุทธา
นุสรณียสถาน เน่ืองในวโรกาสมหามงคลกาลท่ีพระพุทธศกั ราชเวยี นมาบรรจบครบรอบ 2,500 ปี ซ่ึงครบใน
วนั วิสาขบูชา ปี พ.ศ. 2500 เม่ือวนั ท่ี 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 รัฐบาลจึงได้กราบบังคมทูลเชิญพระ
บาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ไปทรงประกอบรัฐพิธีก่อฤกษพ์ ทุ ธมณฑล ณ บริเวณท่ีจะก่อสร้างพระพุทธรูป
42
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
ประธานพุทธมณฑล ณ สถานที่ซ่ึงตอ่ มาเป็ น อาเภอพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม (เดิมเป็ นส่วนหน่ึง
ของอาเภอนครชัยศรีและต่อมาได้ยกฐานะข้ึนเป็ นก่ิงอาเภอพุทธมณฑลตามลาดบั ) การก่อสร้างได้เร่ิม
ดาเนินการต้งั แต่ปี พ.ศ. 2500 ภายใตค้ วามรับผดิ ชอบของกระทรวงมหาดไทย แตก่ ารจดั สร้างไดช้ ะลอตวั ไป
ระยะหน่ึง ดว้ ยปัญหาดา้ นงบประมาณ
พ.ศ. 2521 รัฐบาลพลเอกเกรียงศกั ด์ิ ชมะนนั ทไ์ ดร้ ้ือฟ้ื นโครงการข้ึนและถือเป็ นส่วนหน่ึงในนโยบาย
ที่รัฐบาลจะเร่งดาเนินการก่อสร้างอีกคร้ังหน่ึง และคณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติใหโ้ อนงานจดั สร้างพุทธมณฑลจาก
กระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการโดยกรมการศาสนาเป็ นเจ้าของเร่ืองใช้เงิน
งบประมาณของรัฐและการบริจาคของประชาชน อีกท้งั การจดั สร้างพุทธมณฑลไดร้ ับพระมหากรุณาธิคุณ
จากพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงให้งานก่อสร้างพุทธมณฑลไดอ้ ยู่ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ทาให้การ
ก่อสร้างไดส้ าเร็จกา้ วหนา้ ไปอยา่ งมาก เน่ืองจากใกลก้ ารเฉลิมฉลองโอกาสที่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ
200 ปี ใน พ.ศ. 2525
การก่อสร้างพุทธมณฑลไดด้ าเนินการมาแลว้ เสร็จสมบูรณ์ในสมยั ที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดารง
ตาแหน่งนายกรัฐมนตรีเม่ือสร้างองค์ "พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพทุ ธมณฑลสุทรรศน"์ สาเร็จ โดย
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวไดม้ ีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกลา้ ฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม
บรมราชกมุ ารี เสด็จประกอบพิธีสมโภช เม่ือวนั ท่ี 21 ธนั วาคม พ.ศ. 2525 และหลงั จากน้นั กไ็ ดม้ ีการก่อสร้าง
เพ่ิมเติมถาวรวตั ถุต่าง ๆ ในพุทธมณฑลมาโดยตลอดเช่น มหาวหิ ารประดิษฐานพระไตรปิ ฎกหินอ่อน และ
หอประชุม เป็นตน้
อาเภอพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม เดิมเป็ นหมู่บา้ นเล็กๆ ท่ีคร้ังหน่ึง เคยเป็ นส่วนหน่ึงของมณฑล
นครไชยศรี มาต้ังแต่สมัยกรุ งศรี อยุธยาเป็ นราชธานี แต่อย่างไรก็ตาม ยงั ไม่ปรากฏหลักฐานทาง
ประวตั ิศาสตร์แน่ชดั วา่ มีการต้งั ถิ่นฐานเป็ นชุมชนคร้ังแรกเมื่อใด กระทง่ั เม่ือสมยั พระบาทสมเด็จพระจอม
เกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้เจา้ พระยาทิพากรวงศ์ (ขา บุนนาค) ขุด คลอง มหาสวสั ด์ิข้ึน ในปี พ.ศ.
2406 เพื่อใชเ้ ป็ นเส้นทางเสด็จพระราชดาเนินไปพระปฐมเจดีย์ ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้าง ศาลา ริมคลอง ซ่ึง
ต่อมาไดเ้ รียกช่ือต่าง ๆ ออกไป เช่น ศาลาธรรมสพน์ กล่าวกนั ว่า เป็ นศาลา ท่ีต้งั ศพ นั่นเอง ส่วน "ศาลายา
แห่งน้ี เป็ นชื่อที่เพ่ิงใชเ้ รียกกนั ในสมยั รัชกาลที่ 4 ภายหลงั จากที่ขดุ คลองมหาสวสั ด์ิ เจา้ พระยาทิพากรวงศ์
(ขา บุนนาค) ไดส้ ร้างศาลาที่บนั ทึกตารายาไว้ จึงพากนั เรียกวา่ "บา้ นศาลายา นับต้งั แต่น้ันมา จึงถือไดว้ ่า
ศาลายา เป็ นพ้ืนท่ีที่มีประวตั ิความเป็ นมายาวนาน มีเอกลักษณ์ท้ังทางประวตั ิศาสตร์และวฒั นธรรม
โดยเฉพาะ ตานานเล่าขานเร่ือง "ยา ดว้ ยเหตุน้ีในปี พุทธศกั ราช 2550 คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย
มหาวทิ ยาลยั มหิดล ไดร้ ่วมกบั สถาบนั วจิ ยั ภาษาและวฒั นธรรม เพื่อจดั งาน "เล่าขานตานานศาลายา คร้ังท่ี 1
ข้ึนและมีการจดั อยา่ งตอ่ เน่ืองเป็นประจาทุกปี และในปี น้ี เป็ นการจดั งาน เล่าขานตานานศาลายา เป็นคร้ังที่ 4
เพื่อใหท้ ราบถึง
43
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
สรรพคุณของ ยา ซ่ึงเป็ นภูมิปัญญาพ้ืนบา้ นดา้ นการแพทยจ์ ากปราชญ์ชาวบา้ น อีกท้งั เป็ นศูนยก์ ลางในการ
เผยแพร่องคค์ วามรู้เก่ียวกบั ชุมชนศาลายา เพ่ือเสริมสร้างเอกลกั ษณ์และวฒั นธรรมของชาวบา้ นในเรื่องของ
สมุนไพร การแพทยแ์ ผนไทยกบั สุขภาพวิถีไทย และตารับยา ตาราชาวบา้ น เป็ นที่ทราบดีวา่ ในอดีตชาวบา้ น
ในพ้ืนที่ศาลายา มีความเป็ นอยู่ที่เรียบง่าย อีกท้งั เทคโนโลยีท่ียงั เขา้ ไม่ถึงในชุมชน เมื่อชาวบา้ นไม่สบาย
หรือเจบ็ ป่ วย จึงไดม้ ีการใชว้ ธิ ีรักษาในแบบฉบบั ของชาวบา้ น หรือท่ีเรียกอีกช่ือหน่ึงวา่ "ตาราชาวบา้ น โดย
ใช้สมุนไพรท่ีหาได้ง่ายตามทอ้ งถ่ินมาใช้เป็ นยา นอกจากน้ี ยงั ตอ้ งรู้ลกั ษณะของยา วิธีใช้ยา รู้ประโยชน์
ในทางแก้โรค รู้สรรพคุณและรสยา ความรู้เหล่าน้ีต้องอาศยั ตาราท่ีบรรพบุรุษเขียนไว้ นายแพทยว์ ฒั นา
เทียมปฐม ผูอ้ านวยการโรงพยาบาลพุทธมณฑล ไดน้ าตารายาฉบบั โบราณกว่า 100 ปี ท่ีตกทอดจากบรรพ
บุรุษมาแสดงด้วย คุณป้าอุดม กา้ นพิมพ์ อายุ 73 ปี เกิดท่ี ตาบลศาลายา จงั หวดั นครปฐม เป็ นเป็ นหมอทา
คลอดแบบโบราณ โดยคุณป้าอุดมเล่าวา่ เร่ิมไดร้ ับการถ่ายทอดวชิ ามาจากคุณยายและป้าสะใภ้ เป็นเคล็ดวชิ า
โบราณที่สืบต่อมาจากป่ ูยา่ ตายาย ส่วนคุณลุงเจือ แยม้ พู อายุ 71 ปี เกิดท่ีอาเภอพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม
เป็ นปราชญช์ าวบา้ นอีกคนหน่ึงท่ีเป็ น หมอพน่ ยา ไดร้ ับการถ่ายทอดเคล็ดลบั วชิ าและคาถาท่ีใชใ้ นการรักษา
โรคมาจากบิดา ซ่ึงมีประวตั ิความเป็นมายาวนานจนถึงปัจจุบนั และเป็ นภูมิปัญญาพ้ืนบา้ นทางการแพทยจ์ าก
ปราชญช์ าวบา้ น เพอื่ เป็นการสร้างเอกลกั ษณ์และวฒั นธรรมของชาวบา้ น ในเร่ืองของสมุนไพร
ทตี่ ้งั และอำณำเขตพืน้ ที่ 52.3 ตร.กม.
อาเภอพุทธมณฑลต้งั อยูท่ างทิศตะวนั ออกสุดของจงั หวดั เป็ นอาเภอที่ต้งั ข้ึนใหม่ท่ีสุดและมีพ้ืนท่ีนอ้ ยท่ีสุด
ในจงั หวดั นครปฐมมีอาณาเขตติดต่อกบั เขตการปกครองขา้ งเคียงเรียงตามเขม็ นาฬิกา ดงั น้ี
ทศิ เหนือ ติดตอ่ กบั อาเภอบางเลน
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอาเภอไทรน้อย อาเภอบางใหญ่ อาเภอบางกรวย (จังหวดั นนทบุรี )
และเขตทววี ฒั นา (กรุงเทพมหานคร) มีคลองนราภิรมยแ์ ละคลองทววี ฒั นาเป็นเส้นแบง่ เขต
ทศิ ใต้ ติดต่อกบั อาเภอสามพราน
ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั อาเภอนครชยั ศรี
สถำนทส่ี ำคญั ทำงพุทธศำสนำ
ต้งั อยทู่ ่ีตาบลศาลายา มีพ้นื ที่ประมาณ 2,500 ไร่ พุทธมณฑลเป็นสถานท่ีซ่ึงรัฐบาลและประชาชนชาวไทย
ร่วมใจกนั จดั สร้างข้ึนในปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาไดถ้ ึง 2,500 ปี บริเวณจุด
ศูนยก์ ลางของพุทธมณฑลเป็ นท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา เป็ นพระประธานของพุทธมณฑลมีความ
สูง 2,500 กระเบียด (ประมาณ 15.875 เมตร) พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชทานนามวา่
“พระศรีศำกยะทศพลญำณประธำนพทุ ธมณฑลสุทรรศน์”
44
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
พระศรีศำกยะทศพลญำณ ประธำนพุทธมณฑลสุทรรศน์
พระศรีศำกยะทศพลญำณ ประธำนพทุ ธมณฑลสุทรรศน์
"พระศรีศำกยะทศพลญำณ ประธำนพทุ ธมณฑลสุทรรศน์" เป็ นพระพทุ ธรูปยนื ปางลีลาขนาดใหญ่
ประดิษฐานเป็นองคพ์ ระประธาน ณ พทุ ธมณฑล อาเภอพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชฯ ไดเ้ สด็จพระราชดาเนินไปทรงประกอบพิธีก่อฤกษ์
พุทธมณฑล ณ บริเวณใตฐ้ านองคพ์ ระประธานเมื่อวนั ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2497 และไดเ้ ริ่มดาเนินการ
ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2500 แลว้ เสร็จในปี พ.ศ. 2525 โดยพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดม้ ีพระมหา
กรุณาธิคุณโปรดเกลา้ ฯ ให้สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ ประกอบพธิ ีสมโภช
เมื่อวนั ท่ี 21 ธนั วาคม
พทุ ธลกั ษณะ
"พระศรีศำกยะทศพลญำณ ประธำนพุทธมณฑลสุทรรศน์" เป็ นพระพุทธรูปยืนปางลีลาขนาดใหญ่
พุทธลกั ษณะทรงยกพระบาทขวาจะกา้ ว ห้อยพระหตั ถ์ขวาท่าไกว พระหตั ถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระป้องไป
เบ้ืองหนา้ เป็ นกิริยาเดิน หล่อดว้ ยทองสาริดหนกั 17,543 กิโลกรัม โดยแบ่งหล่อเป็ นชิ้นต่างๆ ขององคพ์ ระ
รวม 137 ชิ้น แลว้ จึงนาไปประกอบกบั โครงเหลก็ บนฐานพระพุทธรูป เพื่อเช่ือมรอยต่อ และปรับแต่งให้เป็ น
เน้ือเดียวกนั เป็นพระพุทธรูปสูง 15.775 เมตร ถือเป็ นพระพทุ ธรูปลีลา หล่อดว้ ยทองสาริดท่ีมีลกั ษณะงดงาม
และมีขนาดใหญท่ ี่สุดในสมยั รัตนโกสินทร์
โดยประยุกต์พุทธลักษณะ มาจากพระพุทธรูปปางลีลาสมยั สุโขทยั โดยศาสตราจารยศ์ ิลป์ พีระศรี
ชาวอิตาลี เป็นผอู้ อกแบบ ซ่ึงในตอนแรกท่ีออกแบบไวน้ ้นั พระพทุ ธรูปมีความสูงเพียง 2.14 เมตร
45
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
แต่เพื่อให้สอดคลอ้ งกบั โอกาสท่ีพระพุทธศาสนาอายุครบ 2,500 ปี จึงไดม้ ีการขยายขนาดเพ่ือให้ได้เป็ น
2,500 กระเบียด (1 กระเบียดเท่ากบั 1/4 นิ้ว)ดงั น้นั พระศรีศากยะทศพลญาณฯ ในปัจจุบนั จึงมีความสูงถึง
15.875 เมตร ใหญก่ วา่ ขนาดตน้ แบบ 7.5 เทา่
ความเป็ นมาของพระพุทธรูปปางน้ีมีเร่ืองราวเก่ียวขอ้ งกบั พุทธประวตั ิ ตอนที่พระพุทธเจา้ เสด็จไป
จาพรรษา ณ ปัณฑุกมั พลศิลาอาสน์ ภายใตไ้ มป้ าริฉตั ตกะ ณ ดาวดึงส์เทวปโลก เมื่อออกพรรษามหาปวารณา
แลว้ จึงเสด็จลงจากเทวโลก ในการเสด็จลงจากเทวโลกน้นั เรียกกนั วา่ "เทโวโรหณสมาคม"
‘พระศรีศำกยะทศพลญำณ ประธำนพุทธมณฑลสุทรรศน์’
มีศพั ทท์ างพทุ ธศาสตร์ 2 คาปรากฏอยใู่ นนามน้ี “ศรีศากยะ” มาจากคาวา่ ศากย, ศากยะ ความหมาย
[สากกะยะ] น. ชื่อวงศก์ ษตั ริยว์ งศห์ น่ึงในเมืองกบิลพสั ดุ์ เรียกวา่ ศากยวงศ,์ เรียกกษตั ริยใ์ นวงศน์ ้ีวา่ ศากยะ.
(ส. ศากฺย; ป. สกฺย). สืบเช้ือสายมาจากพระเจา้ โอกากราช ซ่ึงเป็นผสู้ ร้างและครองกรุงกบิลพสั ดุ์ พระพุทธเจา้
เป็นกษตั ริยว์ งศน์ ้ี ศากยะ เป็ นคาสนั สกฤต เรียกอยา่ งบาลีเป็น สักกะบา้ ง, ศากยะ หรือสกั กะน้ี ใชเ้ ป็นคา
เรียกชื่อถ่ินหรือแควน้ ของพวกเจา้ ศากยะดว้ ย
“ทศพลญำณ” พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรมของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺ
โต) อธิบายไวว้ า่ (บาลีเรียก ตถาคตพลญาณ 10 คือ พระญาณอนั เป็นกาลงั ของพระตถาคต 10 ประการ ที่ทา
ใหพ้ ระองคส์ ามารถบนั ลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดม้ น่ั คง)
“ทศพลญำณ” พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺ
โต) อธิบายไวว้ า่ (บาลีเรียก ตถาคตพลญาณ 100 คือ พระญาณอนั เป็ นกาลงั ของพระตถาคต 100 ประการ ท่ี
ทาใหพ้ ระองคส์ ามารถบนั ลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดม้ นั่ คง)
1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยงั่ รู้ฐานะและอฐานะ คือ รู้กฎธรรมชาติเกี่ยวกบั ขอบเขตและขีดข้นั ของสิ่ง
ท้งั หลายวา่ อะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไมไ่ ด้ และแค่ไหนเพยี งไร)
2. กรรมวิปากญาณ (ปรีชาหยงั่ รู้ผลของกรรม คือ สามารถกาหนดแยกการให้ผลอยา่ งสลบั ซบั ซอ้ น ระหวา่ ง
กรรมดีกบั กรรมชวั่ ที่สมั พนั ธ์กบั ปัจจยั แวดลอ้ มตา่ งๆ)
3. สัพพตั ถคามินีปฏิปทาญาณ (ปรีชาหยงั่ รู้ขอ้ ปฏิบตั ิท่ีจะนาไปสู่คติท้งั ปวง คือ สุคติ ทุคติ หรือพน้ จากคติ
หรือปรีชาหยงั่ รู้ขอ้ ปฏิบตั ิที่จะนาไปสู่อรรถประโยชน์ท้งั ปวง กล่าวคือ ทิฏฐธมั มิกตั ถะ สัมปรายกิ ตั ถะ หรือ
ปรมตั ถะ คือรู้วา่ เมื่อปรารถนาจะเขา้ ถึงคติหรือประโยชน์ใด จะตอ้ งทาอะไรบา้ ง)
46
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
4. นานาธาตุญาณ (ปรีชาหยงั่ รู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็ นอเนก คือ รู้สภาวะของ
ธรรมชาติ ท้งั ฝ่ ายอุปาทินนกสังขารและฝ่ ายอนุปาทินนกสังขาร เช่น รู้จกั ส่วนประกอบต่างๆ ของชีวิต
สภาวะของส่วนประกอบเหล่าน้นั พร้อมท้งั ลกั ษณะและหนา้ ที่ของมนั แต่ละอยา่ ง)
5. นานาธิมุตติกญาณ (ปรีชาหยงั่ รู้อธิมุติ คือ รู้อธั ยาศยั ความโนม้ เอียง ความเช่ือถือ แนวความสนใจ เป็ นตน้
ของสตั วท์ ้งั หลายที่เป็นไปตา่ งๆ กนั )
6. อินทริยปโรปริยตั ตญาณ (ปรีชาหยง่ั รู้ความยง่ิ และหยอ่ นแห่งอินทรียข์ องสตั วท์ ้งั หลาย คือ รู้วา่ สตั วน์ ้นั ๆ
มีศรัทธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพยี งใด มีกิเลสมาก กิเลสนอ้ ย มีอินทรียอ์ อ่ น หรือแก่กลา้ สอนง่าย
หรือสอนยาก มีความพร้อมท่ีจะตรัสรู้หรือไม่)
7. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ปรีชาหยง่ั รู้ความเศร้าหมอง ความผอ่ งแผว้ การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และ
สมาบตั ิท้งั หลาย)
8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหยง่ั รู้อนั ทาใหร้ ะลึกภพที่เคยอยใู่ นหนหลงั ได)้
9. จุตูปปาตญาณ (ปรีชาหยงั่ รู้จุติและอุบตั ิของสัตวท์ ้งั หลายอนั เป็นไปตามกรรม)
คำขวญั อำเภอ พทุ ธมณฑล ดินแดนธรรมะ พระปำงลลี ำ กำรศึกษำก้ำวหน้ำ พฒั นำคุณธรรม
แผนทอ่ี ำเภอพุทธมณฑล
47
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
กจิ กรรมเสริมทกั ษะ
1. ใหเ้ ขียนคาขวญั ของอาเภอพทุ ธมณฑลอยา่ งถูกตอ้ ง
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
2. จากแผนที่แสดงตาบลของอาเภอพทุ ธมณฑล อาเภอใดมีพ้ืนที่นอ้ ยท่ีสุด
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
3. จงเติมอาณาเขตของอาเภอพทุ ธมณฑล
ทิศเหนือ ติดตอ่ กบั ..........................................................................................................
ทิศตะวนั ออก ติดตอ่ กบั ..................................................................................................
ทิศตะวนั ตก ติดต่อกบั ....................................................................................................
ทิศใต้ ติดตอ่ กบั ..............................................................................................................
4. อาชีพหลกั ของคนในอาเภอพุทธมณฑลมีอะไรบา้ ง
..........................................................................................................................................................................
5. พระประธานของพทุ ธมณฑลมีช่ือวา่ อะไร
.........................................................................................................................................................................
6. ยกตวั อยา่ งสถานที่สาคญั ของพทุ ธมณฑล 3 แห่ง
6.1...........................................................................................................................................................
6.2............................................................................................................................................................
6.3............................................................................................................................................................
7. “สังเวชนียสถาน” พทุ ธมณฑลไดแ้ ก่
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
48
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
คณะผู้อออกแบบและพฒั นำหลกั สูตรท้องถ่ิน “รู้เฟื่ องเร่ืองเมืองนครปฐม”
ทป่ี รึกษำ มธุรสสุวรรณ ผจู้ ดั การ / ผอู้ านวยการ
เชิดวฒุ ิ ผชู้ ่วยผอู้ านวยการฝ่ ายวชิ าการ
1. ซิสเตอร์ ดร.สมลกั ษณ์
2. นางวรรณา
ผู้จัดทำ รัตนเพญ็ ชาติ หวั หนา้ ระดบั / ครูที่ปรึกษาช้นั ม.1/2
มีครองแบง่ ครูท่ีปรึกษาช้นั ม.1/1
1. นางยง่ิ วรรณ เกิดท่าไม้ ครูที่ปรึกษาช้นั ม.1/3
2. นางชนิกา คาวฒั น์ ครูที่ปรึกษาช้นั ม.1/4
3. นางขวญั ชนก ศรีพรมงาม ครูที่ปรึกษาช้นั ม.1/5
4. นางสาวเกณิกา ศรีโยหะ ครูผชู้ ่วยที่ปรึกษาช้นั ม.1/4
5. นางสาวฑิตฐิตา กิจแกว้ ครูผชู้ ่วยที่ปรึกษาช้นั ม.1/5
6. นายสาโรจน์ กิจประเสริฐ ประสานงานหลกั สูตรทอ้ งถ่ิน
7. นางสาวจินตนา
8. นางหล่อลกั ษณ์
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1