กีฬาเซปักตะกร้อ
จัดทาโดย นาย บญั ญวตั บชู ากุล ม.4/2 เลขท่2ี 5
เสนอ คุณครูบรรลือศกั ด์ จินตนากูล
คำนำ
รายงานกฬี าเซปกั ตะกร้อฉบับน้เี ป็นส่วนหน่งึ ของวิชาพละศึกษาปัจจุบนั กีฬาเซปกั ตะกรอ้ เป็นที่แพร่หลาย
และได้รับความสนใจเน่ืองจากกฬี าเซปักตะกร้อน้นั เลน่ ได้งา่ ยเหมาะกบั การสร้างความสามัคคีซ่งึ ในรายงาน
ฉบับน้ปี ระกอบด้วยประวัติกติกาอุปกรณล์ ะรายละเอยี ดอ่นื ๆ เกี่ยวกบั เนอื้ หาเซปักตะกรอ้
จดั ทาโดย
นาบ บญั ญวัต บชู ากลุ
สำรบัญ 1
2
ประวัติกฬี าตะกร้อต่างประเทศ กีฬาเซปกั ตะกร้อ 3-4
ประวัติกีฬาตะกรอ้ ในประเทศไทย 5-6
ววิ ัฒนาการการเล่นกีฬาตะกรอ้ 7-8
กตกิ าการเลน่ เซปักตะกร้อ กฬี าตะกร้อ 9
อุปกรณ์กฬี าตะกร้อ 10
มารยาทในการเลน่ ท่ีดี 11
มารยาทของผชู้ มท่ดี ี
ประโยชนข์ องกฬี าตะกร้อ
1
ประวตั กิ ฬี ำตะกร้อต่ำงประเทศ กฬี ำเซปกั ตะกร้อ
การแข่งขนั ตะกร้อตะกร้อ เป็นการละเล่นของไทยมาแตโ่ บราณ แตไ่ ม่มหี ลักฐานแนน่ อนวา่ มีมาต้งั แตส่ มัย
ใด แต่คาดว่าราว ๆ ตน้ กรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศอน่ื ท่ีใกลเ้ คยี งก็มกี ารเลน่ ตะกร้อ คนเล่นไม่จากัดจานวน
เล่นเป็นหมูห่ รือเด่ยี วก็ได้ ตามลานที่กว้างพอสมควร ตะกรอ้ ทใี่ ช้เดมิ ใชห่ วายถกั เป็นลกู ตะกร้อ ปัจจุบนั นยิ ม
ใชล้ ูกตะกร้อพลาสตกิ
การเตะตะกร้อเป็นการเลน่ ที่ผ้เู ล่นได้ออก กาลังกายทกุ สัดสว่ น ฝึกความว่องไว ความสงั เกต มีไหวพริบ ทา
ใหม้ บี คุ ลิกภาพดี มคี วามสงา่ งาม และการเล่นตะกร้อนับได้วา่ เป็นเอกลักษณ์ของไทยอยา่ งหน่งึ
ในการค้นคว้าหาหลักฐานเก่ียวกบั แหลง่ กาเนิดการกฬี าตะกร้อในอดตี น้นั ยงั ไม่สามารถหาข้อสรุปไดอ้ ย่าง
ชัดเจนวา่ กฬี าตะกร้อน้นั กาเนดิ จากทใ่ี ด จากการสันนษิ ฐานคงจะไดห้ ลายเหตุผลดงั น้ี
ประเทศพม่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2310 พม่ามาตั้งคา่ ยอยู่ท่โี พธ์สิ ามตน้ กเ็ ลยเล่นกีฬาตะกรอ้ กนั ซ่งึ ทางพม่า
เรียกวา่ “ชงิ ลง”
ทางมาเลเซยี ก็ประกาศวา่ ตะกร้อเป็นกฬี าของประเทศมาลายูเดิมเรียกว่า ซีปกั รากา (Sepak Raga) คา
ว่า Raga หมายถึง ตะกร้า
ทางฟิลิปปินส์ ก็นิยมเลน่ กนั มานานแลว้ แต่เรียกว่า Sipak
ทางประเทศจีนกม็ ีกฬี าที่คลา้ ยกฬี าตะกร้อแต่เป็นการเตะตะกร้อชนิดท่เี ป็นลูกหนงั ปกั ขนไก่ ซ่งึ จะ
ศึกษาจากภาพเขยี นและพงศาวดารจนี ชาวจีนกวางตุ้งท่ีเดินทางไปต้ังรกรากในอเมริกาได้นาการเลน่ ตะกรอ้
ขนไก่น้ไี ปเผยแพร่ แตเ่ รียกวา่ เตกโก (Tek K’au) ซ่งึ หมายถึงการเตะลูกขนไก่
ประเทศเกาหลี กม็ ลี ักษณะคล้ายกบั ของจนี แตล่ กั ษณะของลกู ตะกร้อแตกตา่ งไป คือใชด้ นิ เหนยี วห่อ
ดว้ ยผา้ สาลเี อาหางไก่ฟ้าปัก
ประกาศไทยกน็ ยิ มเล่นกีฬาตะกร้อมายาวนาน และประยุกต์จนเข้ากับประเพณีของชนชาติไทยอย่าง
กลมกลนื และสวยงามทั้งด้านทกั ษะและความคิด
2
ประวัติกฬี ำตะกร้อในประเทศไทย
ในสมยั โบราณน้นั ประเทศไทยเรามีกฎหมายและวธิ กี ารลงโทษผู้กระทาความผิด โดยการนาเอานกั โทษใส่
ลงไปในสงิ่ กลมๆที่สานดว้ ยหวายให้ช้างเตะ แต่สิ่งทช่ี ่วยสนบั สนุนประวัตขิ องตะกร้อได้ดี คือ ในพระราช
นิพนธเ์ ร่ืองอเิ หนาของรชั กาลท่ี 2 ในเร่ืองมีบางตอนทกี่ ลา่ วถงึ การเลน่ ตะกร้อ และทีร่ ะเบียงพระอุโบสถวดั
พระศรีรัตนศาสดาราม ซ่งึ เขียนเรื่องรามเกียรต์ิ กม็ ภี าพการเลน่ ตะกรอ้ แสดงไว้ให้อนชุ นรุ่นหลงั ได้รับรู้
โดยภมู ศิ าสตรข์ องไทยเองก็สง่ เสริมสนับสนุนใหเ้ ราได้ทราบประวัติของตะกร้อ คือประเทศของเราอดุ มไป
ด้วยไมไ้ ผ่ หวายคนไทยนิยมนาเอาหวายมาสานเป็นสิง่ ของเครื่องใช้ รวมถึงการละเล่นพน้ื บา้ นด้วย อกี ทง้ั
ประเภทของกฬี าตะกรอ้ ในประเทศไทยกม็ ีหลายประเภท เชน่ ตะกร้อวง ตะกร้อลอดหว่ ง ตะกร้อชงิ ธงและ
การแสดงตะกรอ้ พลกิ แพลงต่างๆ ซ่งึ การเลน่ ตะกรอ้ ของประเทศอ่นื ๆน้นั มกี ารเลน่ ไม่หลายแบบหลายวิธี
เชน่ ของไทยเรา การเล่นตะกร้อมวี วิ ัฒนาการอยา่ งต่อเนื่องมาตามลาดับทงั้ ดา้ นรูปแบบและวัตถุดิบในการทา
จากสมยั แรกเป็นผ้า , หนังสัตว์ , หวาย , จนถงึ ประเภทสังเคราะห์ ( พลาสติก )
ความหมาย คาวา่ ตะกรอ้ ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตสถาน พ . ศ . 2525 ไดใ้ หค้ าจากัดความเอาไวว้ ่า ”
ลูกกลมสานด้วยหวายเป็นตา สาหรบั เตะ “
3
วิวัฒนำกำรกำรเลน่ กฬี ำตะกร้อ
การเล่นตะกร้อไดม้ ีวิวัฒนาการในการเลน่ มาอย่างต่อเนอื่ ง ในสมัยแรกๆ ก็เป็นเพียงการช่วยกนั เตะลูก
ไมใ่ ห้ตกถึงพื้นตอ่ มาเมอ่ื เกิดความชานาญและหลกี หนีความจาเจ กค็ งมีการเร่ิมเล่นด้วยศรี ษะ เข่า ศอก ไหล่
มีการจัดเพ่ิมทา่ ใหย้ ากและสวยงามข้นึ ตามลาดับ จากน้นั กต็ กลงวางกติกาการเล่นโดยเอ้ืออานวยต่อผู้เลน่
เป็นสว่ นรวม อาจแตกต่างไปตามสภาพภูมปิ ระเทศของแต่ละพ้นื ที่ แต่คงมีความใกลเ้ คยี งกนั มากพอสมควร
ตะกร้อน้นั มมี ากมายหลายประเภท เช่น
- ตะกร้อขา้ มตาขา่ ย – ตะกรอ้ ลอดบว่ ง – ตะกรอ้ พลกิ แพลงเป็นตน้
เม่อื มีการวางกติกาและทา่ ทางในการเลน่ อย่างลงตัวแล้วก็เริ่มมีการแข่งขนั กันเกิดข้นึ ในประเทศไทยตาม
ประวัตขิ องการกฬี าตะกร้อต้งั แตอ่ ดีตท่ไี ด้บันทึกไว้ดังน้ี
พ.ศ. 2472 กฬี าตะกร้อเร่ิมมกี ารแข่งขันคร้งั แรกภายในสมาคมกฬี าสยาม
พ.ศ. 2476 สมาคมกฬี าสยามประชมุ จดั ร่างกติกาในการแขง่ ขนั กฬี าตะกร้อข้ามตาข่ายและเปิ ดให้มกี าร
แขง่ ขนั ในประเภทประชาชนข้นึ เป็นคร้งั แรก
พ.ศ. 2479 ทางการศกึ ษาไดม้ ีการเผยแพร่จดั ฝึกทกั ษะในโรงเรียนมธั ยมชายและเปิดใหม้ แี ข่งขนั ดว้ ย
พ.ศ. 2480 ได้มกี ารประชุมจดั ทาแกไ้ ขร่างกฎระเบียบใหส้ มบูรณ์ข้นึ โดยอย่ใู นความควบคมุ ดแู ลของ
เจา้ พระยาจนิ ดารกั ษ์ และกรมพลศึกษาก็ไดอ้ อกประกาศรับรองอยา่ งเป็นทางการ
4
พ.ศ. 2502 มกี ารจัดการแข่งขันกฬี าแหลมทอง คร้งั ที่ 1 ข้นึ ทกี่ รุงเทพฯ มีการเชิญนกั ตะกรอ้ ชาวพมา่ มาแสดง
ความสามารถในการเลน่ ตะกรอ้ พลิกแพลง
พ.ศ. 2504 กฬี าแหลมทองคร้งั ที่ 2 ประเทศพมา่ ไดร้ ับเกยี รตใิ ห้เป็นเจา้ ภาพในการแขง่ ขัน นักตะกรอ้ ของไทย
กไ็ ดไ้ ปร่วมแสดงโชวก์ ารเตะตะกร้อแบบพลิกแพลงดว้ ย
พ.ศ. 2508 กีฬาแหลมทองคร้งั ที่ 3 จัดข้นึ ที่ประเทศมาเลเซีย ไดม้ กี ารบรรจุการเตะตะกร้อ 3 ประเภท เขา้ ไว้
ในการแข่งขันด้วยกค็ อื
- ตะกร้อวง – ตะกรอ้ ข้ามตาข่าย – ตะกร้อลอดบ่วง
อีกท้งั มกี ารจดั ประชมุ วางแนวทางด้านกตกิ าทง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษเพื่อสะดวกในการเล่นและการ
เขา้ ใจของผู้ชมในสว่ นรวมอกี ด้วย
พอเสรจ็ ส้ินกีฬาแหลมทองคร้งั ท่ี 3 กฬี าตะกรอ้ ได้รบั ความนิยมเพ่มิ ข้นึ เป็นอนั มาก บทบาทของประเทศ
มาเลเซียกเ็ ริ่มมมี ากข้นึ จากการไดเ้ ข้าร่วมในการประชุมตง้ั กฎกติกากฬี าตะกร้อประเภทขา้ มตาขา่ ย หรือท่ี
เรียกว่า ” เซปกั ตะกรอ้ ” และส่งผลใหก้ ฬี าตะกร้อขา้ มตาข่าย ได้รับการบรรจเุ ข้าในการแขง่ ขันกีฬาแหลม
ทองคร้งั ท่ี 4 จนถึงปัจจุบัน
5
กติกำกำรเล่นเซปกั ตะกร้อ กีฬำตะกร้อ
1.ผเู้ ลน่ ประเภทเดีย่ ว มีผเู้ ลน่ ตัวจริง 3 คน สารอง 1 คน ประเภททมี ประกอบด้วย 3 ทีม มีผ้เู ล่น 9 คน และผู้
เลน่ สารอง 3 คน
2. ตาแหนง่ ของผ้เู ล่น มี 3 ตาแหนง่ คอื
2.1 หลงั ( Back ) เป็นผ้เู ตะตะกรอ้ จากวงกลม
2.2 หน้าซา้ ย
2.3 หน้าขวา
3. การเปลย่ี นตัวผเู้ ล่น ในทมี เดี่ยวเปลย่ี นตวั ได้ 1 คน และถ้าเหลือน้อยกว่า 3 คน ถอื วา่ แพ้ ผมู้ ีชื่อในทีมเดยี่ ว
ที่เลน่ มานานแล้ว จะลงเลน่ ในทีมเด่ยี วตอ่ ไปไม่ได้
4. การเสย่ี งและการอบอนุ่ ร่างกาย มีการเสีย่ ง ผู้ชนะการเส่ียงจะได้เลอื กข้างหรือสง่ ลกู ทีมที่ไดส้ ่งลกู จะได้
อบอุ่นร่างกายก่อน เป็นเวลา 2 นาที พรอ้ มเจ้าหนา้ ท่แี ละนกั กีฬาไมเ่ กนิ 5 คน
5. ตาแหนง่ ของผเู้ ล่นระหวา่ งการส่งลูกเสิร์ฟ เมอ่ื เร่ิมเล่นท้ัง 2 ทมี พร้อมในแดนของตนเอง ผู้เล่นฝ่ายเสริ ฟ์
จะต้องอยู่ในวงกลมของตนเอง เมือ่ เสริ ์ฟแล้วจึงเคล่อื นที่ได้ สว่ นผู้เลน่ ฝ่ายรับจะยนื ทใ่ี ดกไ็ ด้
6. การเปลีย่ นสง่
ใหเ้ ปลย่ี นการส่งลูกเมือ่ ฝ่ายส่งลกู ผิดกติกา หรือ ฝ่ายรบั ทาลูกให้ตกบนพ้ืนท่ีของฝ่ายสง่ ได้
7. การขอเวลานอก ขอไดเ้ ซตละ 1 คร้งั ๆ ละ 1 นาที
6
8. การนับคะแนน
การแข่งขนั ใช้แบบ 2 ใน 3 เซต ในเซตที่ 1 และเซตท่ี 2 จะมีคะแนนสูงสดุ 15 คะแนน ทีมใดได้ 15 คะแนน
ก่อน จะเป็นผูช้ นะในเซตน้นั ๆ ท้ัง 2 เซต จะไมม่ ดี วิ ส์ หากทง้ั สองทีมได้ 13 กอ่ น หรือ 14 เทา่ กนั พักระหว่าง
เซต 2 นาที ถา้ เสมอกัน 1:1 เซต ให้ทาการแขง่ ขนั เซตที่ 3 ด้วยไทเบรก โดยเร่ิมดว้ ยการเสย่ี งใหม่ โดยใช้
คะแนน 6 คะแนน ทมี ใดได้ 6 คะแนนก่อนเป็นผู้ชนะ แต่จะต้องแพ้ชนะอย่างน้อย 2 คะแนน ถา้ ยงั ไมแ่ พ้กัน
ไม่น้อยกวา่ 2 คะแนน กใ็ ห้ทาการแข่งขันอีก 2 คะแนน แตไ่ ม่เกิน 8 คะแนน เชน่ 8:6 หทรือ 8:7 ถือเป็นการ
ยุติการแขง่ ขันระบบไทเบรก เมือ่ ฝ่ายใดก็ตามได้ 3 คะแนน และขอเวลานอกไดเ้ ซตละ 1 คร้งั คร้งั ละ 1 นาที
สาหรบั ไทเบรก ขอเวลาได้ 1 คร้งั คร้งั ละ 30 วินาที
7
อุปกรณก์ ฬี ำตะกร้อ
ข้อที่ 1. สนามแข่งขัน ( THE COURT )
1.1 พ้นื ทีข่ องสนามมีความยาว 13.40 เมตร และกวา้ ง 6.10 เมตร จะตอ้ งไมม่ สี ิง่ กดี ขวางใดๆ เม่ือวดั จากพ้ืน
สนามสูงข้นึ ไป 8 เมตร (พนื้ สนามไมค่ วรเป็นสนามหญา้ หรือสนามทราย )
1.2 เสน้ สนาม ขนาดของเส้นสนามทุกเส้นท่เี ป็นขอบเขตของสนามต้องไม่กวา้ งกวา่ 4 เซนตเิ มตร ใหต้ เี สน้
จากกรอบนอกเขา้ มาในสนามและถอื เป็นสว่ นของพ้ืนที่สนามแข่งด้วย เสน้ เขตสนามทกุ เสน้ ต้องหา่ งจากสง่ิ
กีดขวางอย่างน้อย 3 เมตร
1.3 เส้นกลาง มีขนาดกวา้ งของเสน้ 2 เซนตเิ มตร โดยจะแบง่ พืน้ ที่ของสนามออกเป็นด้านซา้ ยและด้านขวา
เท่าๆกนั
1.4 เส้นเส้ยี ววงกลม ท่มี ุมสนามของแตล่ ะดา้ นตรงเส้นกลางใหจ้ ุดศนู ย์กลางอยู่ที่ก่งึ กลางของเสน้ กลางตดั
กับขอบด้านในของเสน้ ข้างเขียนเส้นเส้ยี ววงกลมทัง้ สอง ดา้ นรศั มี 90 เมตร ให้ตเี ส้นขนาดความกว้าง 4
เซนตเิ มตร นอกเขตรศั มี 90 เซนติเมตร
1.4 เส้นเส้ยี ววงกลม ที่มมุ ของสนามของแต่ละดา้ นตรงเสน้ กลางให้จดุ ศนู ยก์ ลางอยู่ทก่ี ่งกลางของเสน้ กลาง
ตัดกับขอบด้านในของเสน้ ขา้ ง เขยี นเส้นเส้ยี ววงกลมทงั้ สองด้านรัศมี 90 เซนตเิ มตร ใหต้ เี ส้นนขนาดความ
กว้าง 4 เซนติเมตร นอกรัศมี 90 เซนติเมตร
1.5 วงกลมเสิร์ฟ ใหร้ ศั มี 30 เซนติเมตร โดยวดั จากจุดกงกลางของเสน้ หลงั ไปในสนาม 2.45 เมตร และวดั
จากขอบดา้ นนอกของเสน้ ข้างไปในสนาม 3.05 เมตร แ ละวดั จากขอบดา้ นนอกของเส้นข้างเข้าไปในสนาม
3.05 เมตร ใชต้ รงจดุ ตดั จากเสน้ หลงั และเสน้ ขา้ งเป็นจุดศูนย์กลาง ใหเ้ ขียนเส้นวงกลมขนาดความกว้าง 4
เซนติเมตร นอกเขตรศั มี 30 เซนตเิ มตร ( ดรู ูปขนาดสนามจากภาคผนวก )
8
ข้อท่ี 2. เสา ( THE POSTS )
2.1 เสามคี วามสงู 1.55 เมตร ( ผู้หญิง 1.45 เมตร ) ตง้ั อยู่อย่างมั่นคงพอทจ่ี ะทาใหต้ าข่ายตงึ โดยต้องทาจาก
วสั ดทุ ี่มีความแข็งแกร่งและมรี ัศมไี มเ่ กิน 4 เซนติเมตร
2.2 ตาแหนง่ ของเสา ใหต้ งั้ หรือวางไวอ้ ยา่ งมัน่ คงนอกสนามตรงกบั แนวเส้นกลาง ห่างจากเสน้ ข้าง 30
เซนตเิ มตร
ข้อท่ี 3. ตาข่าย ( THE NET )
3.1 ตาข่ายให้ทาด้วยเชือกอย่างดีหรือไนล่อน มีรูตาข่ายกว้าง 6 – 8 เซนตเิ มตร ความกวา้ งของผืนตาขา่ ย 70
เซนตเิ มตร และความยาวไม่นอ้ ยกวา่ 6.10 เมตร ให้มวี สั ดุที่ทาเป็นแถบ ขนาดความกว้าง 5 เซนติเมตร ตรง
ดา้ นขา้ งของตาขา่ ยทง้ั สองด้านจากด้านบนถงึ ดา้ นลา่ งตรงกับแนวเส้นขา้ งซ่ึงเรียกว่า “แถบแสดงเขตสนาม”
3.2 ตาขา่ ยใหม้ ขี นาดความกว้าง 5 ซนติเมตร ท้ังด้านบนและดา้ นลา่ ง โดยมีเชือกธรรมดาหรือเชอื ก ไน
ลอ่ นอยา่ งดี รอ้ ยผ่านแถบและขึงตาขา่ ยให้ตงึ เสมอระดับหัวเสา ความสูงของตาข่ายโดยวัดจากพ้ืนถงึ สว่ นบน
ของตาข่ายท่กี ่งึ กลางสนามมีความสงู 1.52 เมตร ( ผหู้ ญิง 1.42 เมตร ) และวัดตรงเสาท้ังสองด้านมคี วาม
สงู 1.55 เมตร ( ผู้หญิง 1.45 เมตร )
ขอ้ ท่ี 4 ลูกตะกรอ้ ( THE SEPAKTRAKRAW BALL )
ลกู ตะกรอ้ ตอ้ งมีลกั ษณะเป็นทรงกลม ทาด้วยหวายหรือใยสงเคราะหช์ นั้ เดียวมี 12 รู กับ 20 จดุ ตัดไขว้ หาก
ทาดว้ ยหวายต้องมีจานวน 9 – 11 เสน้ ขนดของเสน้ รอบวงตอ้ งไม่น้อยกวา่ 42 เซนติเมตร และไมม่ ากกว่า 44
เซนตเิ มตร ( ผหู้ ญิง 43 – 45 เซนติเมตร) น้าหนักกอ่ นใช้แข่งขนั ตอ้ งไม่นอ้ ยกว่า 170 กรัม และไมเ่ กนิ กว่า
180 กรมั ( ผู้หญิง 150 – 160 กรัม )
9
มำรยำทในกำรเลน่ ทด่ี ี
การเล่นกฬี าทุกชนดิ ผู้เล่นจะต้องมีมารยาทในการเล่นและการแข่งขนั ประพฤติปฎิบตั ิตนให้เป็นไปตาม
ขน้ั ตอนของการเล่นกีฬาแตล่ ะประเภท จึงจะนบั วา่ เป็นผเู้ ลน่ ทีด่ ีและมีมารยาท ผเู้ ล่นควรต้องมีมารยาทดงั น้ี
คอื
1. การแสดงความยนิ ดี ชมเชยด้วยการปรบมอื หรือจบั มือเมื่อเพ่อื นเล่นไดด้ ี แสดงความเสยี ใจเม่ือตนเอง
หรือเพื่อนร่วมทีมเลน่ ผิดพลาดและพยามปลอบใจเพื่อน ตลอดจนปรบั ปรุงการเลน่ ของตัวเองให้ดีข้นึ
2. การเลน่ อยา่ งสภุ าพและเล่นอย่างนักกฬี า การแสดงกริ ิยาทา่ ทางการเลน่ ต้องใหเ้ หมาะสมกับการเป็น
นักกฬี าท่ดี ี
3. ผู้เล่นทดี่ ีตอ้ งไมห่ ยิบอปุ กรณ์ของผู้อ่ืนมาเลน่ โดยพลการ
4. ไม่ว่าจะชนะหรือแพต้ อ้ งไม่แสดงอาการดีใจหรือเสียใจจนเกินไป
5. ผู้เลน่ ตอ้ งเชื่อฟงั คาตัดสนิ ของกรรมการ หากไมพ่ อใจคาตดั สนิ ก็ย่ืนประท้วงตามกติกา
6. ผู้เล่นต้องควบคุมอารมณใ์ หส้ ุขมุ อยู่ตลอดเวลา
7. ก่อนการแข่งขนั หรือหลังการแข่งขนั ไมว่ า่ จะเป็นฝ่ายแพห้ รือชนะก็ตาม ควรจะตอ้ งจับมอื แสดงความ
ยนิ ดี
8. หากมีการเลน่ ผดิ พลาด จะต้องกลา่ วคาขอโทษทันทแี ละต้องกลา่ วใหอ้ ภัยเมอ่ื ฝ่ายตรงขา้ มกลา่ วขอโทษ
ดว้ ยความย้ิมแยม้ แจม่ ใส
9. ต้องแต่งกายรัดกมุ สุภาพ ถกู ตอ้ งตามกติกาท่ีกาหนดไว้
10. ไม่สง่ เสยี งเอะอะในขณะเลน่ หรือแข่งขันจนทาให้ผ้เู ลน่ อ่ืนเกิดความราคาญ
11. ตอ้ งปฏิบตั ติ ามกฎขอ้ บงั คับตามกตกิ าอยา่ งเคร่งครดั
12. มีความอดทนตอ่ การฝึกซ้อมและการเล่น
13. หลงั จากฝึกซ้อมแลว้ ต้องเกบ็ อปุ กรณ์ให้เรียบร้อย
14. เล่นและแข่งขนั ดว้ ยช้ันเชิงของนกั กีฬา รูแ้ พ้ รู้ชนะ รู้อภยั ในการเลน่ กีฬา
10
มำรยำทของผชู้ มทีด่ ี
1. ปรบมอื ให้นกั กีฬาและผ้ตู ดั สนิ เม่อื เขาดินลงสนาม
2. ปรบมือแสดงความยินดีเมอ่ื ผ้เู ล่นเล่นได้ดี หรือชนะการแข่งขนั
3. น่งั ชมดว้ ยความสงบเรียบร้อยไม่สง่ เสยี งเอะอะ
4. ไมแ่ สดงทา่ ทางยว่ั ยใุ หผ้ เู้ ล่นขาดสมาธิ
5. ไมใ่ ช้เสียงเพลงท่ีมีเนอ้ื หาหยาบคาย สร้างความแตกแยก
6. อย่าแสดงกิริยาไม่สุภาพหรือใช้วัสดุสง่ิ ของขวา้ งปาลงสนาม นกั กีฬา หรือกรรมการ
7. ผดู้ ูต้องยอมรับการตัดสนิ ของผู้ตดั สนิ
8. ไม่สง่ เสียงโหร่ อ้ งหรือแสดงกริ ิยาเยย้ หยนั เม่อื ผเู้ ลน่ เลน่ ผิดพลาดหรือผตู้ ดั สินผิดพลาด
9. ผู้ดูควรเรียนรูก้ ติกาการแข่งขนั กีฬาชนดิ น้นั ๆ พอสมควร
10. ให้ความร่วมมือกับเจา้ หน้าที่ เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายข้นึ ในสนามแขง่ ขัน
11. สนบั สนนุ ใหก้ าลงั ใจและใหเ้ กยี รตินกั กฬี าทุกประเภทเพอ่ื เป็นการส่งเสริมการกีฬาของชาติ
11
ประโยชน์ของกีฬำตะกร้อ
1. เป็นกีฬาที่เลน่ ได้งา่ ยและเลน่ ได้โดยไม่จากัดเวลาและสถานท่ี
2. เป็นกีฬาที่มอี ุปกรณก์ ารเลน่ ราคาถูก ทาให้ประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ย
3. เป็นกีฬาทสี่ ง่ เสริมสมรรถภาพทางกาย ท าให้วอ่ งไวปราดเปรียว
4. เป็นกีฬาท่สี ่งเสริมสมรรถภาพทางจติ ใจ ใหร้ ู้จักการตัดสนิ ใจ รู้จกั ควบคมุ อารมณ์ และมปี ฏิภาณไหวพริบ
ดี
5. เป็นกีฬาที่ส่งเสริมใหม้ ีมนุษยสัมพันธ์ทด่ี ี มีวงสงั คมกว้างขวาง
6. เป็นกีฬาท่ีมคี วามปลอดภัยมากกว่าการเลน่ กฬี าประเภทอ่นื
7. เป็นกีฬาท่ีได้ช่อื ว่าช่วยรักษาอนุรกั ษก์ ีฬาประจาชาติไทย
และรังสฤษฏ์ บุญชลอ (2543 : 10) ไดส้ รุปความสาคัญของการเลน่ กฬี าตะกร้อไว้ กวา้ งๆ ดังน้ี
1. เป็นกฬี าที่กอ่ ใหเ้ กดิ ความสนุกสนาน เพลิดเพลนิ เป็นการเสริมสร้างสมรรถภาพ ทางดา้ นร่างกาย และ
จิตใจ
2. เป็นกฬี าท่ีประหยดั คา่ ใช้จ่าย เล่นงา่ ย กติกา และระเบยี บ การแขง่ ขันไมเ่ คร่งครดั
3. เป็นกีฬาท่ไี ม่จากัดเวลา และสถานท่ี
4. เป็นกฬี าท่ีกระตุ้นให้เกิดการต่นื ตัวในการเคล่ือนไหวอยา่ งคล่องแคล่ว ว่องไว เสริมสรา้ ง
บคุ ลิกภาพ
5. เป็นกฬี าทเี่ สริมสร้างอารมณ์ ความคิด และจิตใจใหม้ ีความสุขมุ รอบคอบ เยือกเยน็
6. เป็นกีฬาที่ชว่ ยให้ระบบประสาททางานประสานกับระบบอืน่ ๆได้อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ
7. เป็นกีฬาท่ีเสริมสร้างความสามัคคีในหมูค่ ณะ และสงั คมรวมทัง้ เป็นสอ่ื กลางใน การเข้าสังคม และพฒั นา
ชมุ ชนทางด้านสุขภาพและพลานามัย
8. เป็นกีฬาท่ีใชเ้ ป็นแนวทาง หรือทกั ษะพ้นื ฐานอนั นาไปสู่การเล่นกีฬาชนดิ อน่ื ๆได้ เช่น ฟุตบอล
9. เป็นกฬี าทส่ี ามารถใชเ้ ป็นแนวทางในการอนรุ กั ษ์และเผยแพร่ศลิ ปวฒั นธรรม ประจาชาติ ทด่ี ีงามให้
คงไว้
10. เป็นกฬี าทต่ี ้องใชค้ วามสามารถดา้ นร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ สังคม และสตปิ ัญญา รวมทั้งทักษะทีส่ งู มาก
สาหรบั ผทู้ ีต่ อ้ งการความเป็นเลศิ ทางดา้ นกฬี าตะกร้อ ถ้าผ้เู ล่นมคี วามต้งั ใจใช้ ความเพียรพยายามทด่ี อี ยา่ ง
ตอ่ เน่อื ง กส็ ามารถบรรลวุ ัตถุประสงค์ สร้างชอ่ื เสียง เกยี รตปิ ระวตั ิให้กบั ตนเอง สังคม และประเทศชาติ
ได้