เทศบาลเมืองกระทุ่มเเบน
ศาลหลวงตาทอง
เรียบเรียงโดยกองสวัสดิการเทศบาลเมืองกระทุ่มเเบน
ประวัติศาลหลวงตาทอง
น า ย ศิ ริ เ ติ ม ป ร ะ ยู ร - ผู้ ริ เ ริ่ ม ก่ อ ตั้ ง ศ า ล ห ล ว ง ต า ท อ ง / ผู้ ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล
เ รี ย บ เ รี ย ง เ ขี ย น ป ร ะ วั ติ ห ล ว ง ต า ท อ ง
ภ า พ จ า ก ห นั ง สื อ ที่ ร ะ ลึ ก ง า น ฉ ล อ ง ศ า ล ห ล ว ง ต า ท อ ง
วั น ที่ ๒ ๕ - ๒ ๙ พ ฤ ศ จิ ก า ย น ๒ ๕ ๓ ๕
หลวงตาทอง เดิมจะอุปสมบท ณ วัดใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด ทราบเพียงว่า ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่หนอง
พะอง ตำบลสวนหลวง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ต่อมาจึงย้ายมาที่วัดนางสาว ตำบลท่าไม้ ในท้องที่อำเภอ
เดียวกัน ครั้นเมื่ออายุได้ประมาณ ๕๐ ปีเศษ ท่านได้มายังบริเวณสี่แยกกระทุ่มแบน (บริเวณที่ตั้งศาลปัจจุบัน) และ
พิจารณาเห็นว่าสถานที่นี้เหมาะสมแก่การตั้งกุฏิสำหรับนั่งวิปัสสนา เพราะในสมัยนั้นเป็นที่ที่สงบเงียบ ปราศจากบ้านเรือนและ
ผู้คน เป็นปารกชัฏมีสิงสาราสัตว์อาศัยอยู่ อีกทั้งยังมีหลุมฝังศพอยู่ทั่วไปในบริเวณนั้น จึงตกลงใจสร้างกุฏิขึ้นหนึ่งหลังซึ่ง
ชาวบ้านในสมัยนั้น เรียกว่า "วัดกุฏิเดียว" แต่มักจะไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านมาทางนี้เพราะเป็นที่เปลี่ยวบรรยากาศวิเวกวังเวงไม่
ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ซึ่งต่อมาหลวงตาทองก็ได้อยู่จำพรรษาในกุฏิหลังนี้จนสิ้นอายุของท่าน
หจากคำบอกเล่าของท่านผู้รู้ทำให้ได้ทราบว่าในสมัยนั้น หลวงตาทองเป็นสมณะที่เคร่งครัดในทางธรรม มีความเซี่ยวชาญใน
ทางเวทย์มนต์คาถาไม่ว่าจะเป็นด้านการอยู่ยงคงกระพัน และเมตตามหานิยม จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วบริเวณนั้น นอกจาก
นี้ท่านยังสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้กับบรรดาชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อชาวบ้านคนใดหรือลูกหลานใครเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา
ก็ได้อาศัยหลวงตาทอง ช่วยรักษาให้ทุเลาเบาบางหรือหายขาดไปได้ทุกคราวไป ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราะห์เมตตาแก่ทุกคน
ด้วยดีตลอดมา
ความสามารถที่น่าอัศจรรย์ใจของท่านอีกประการหนึ่งก็คือ สามารถ
สวดพระปาติโมกข์ได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดเพี้ ยนแม้ว่าจักษุทั้งสองจะ
มองไม่เห็น ทั้งยังเดินไปไหนมาไหนด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีคนจูงอีก
ด้วย เล่ากันว่าเวลาที่ท่านไม่อยู่ในกุฏินั้นหากมีผู้ใดแอบขึ้นไปเที่ยวเล่นก็
จะรู้สึกเหมือนกับว่ามีมือของผู้ใดไม่ทราบมาเขกศีรษะจนต้องรีบเผ่นหนี
ลงมาแทบไม่ทันทุกทีไป จึงไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นไปทำยุ่มย่ามเช่นนั้น ในขณะที่
ทนไม่อยู่อีกเลย
หลวงตาทองได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งนี้จนอายุได้ประมาณ ๗๐ ปีเศษ
ก็ถึงแก่มรณภาพ หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไปแล้วชาวบ้านต่างก็ยัง
พากันกราบไหว้บูชาระลึกถึงท่านอยู่เสมอมา
ต่อมา ในราวปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นชาวตลาด
กระทุ่มแบน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งศาลปัจจุบัน ต่างพา
กันสร้างศาลเล็กศาลน้อยไว้หลายหลัง สอบถามดูก็ได้ความว่าตั้งไว้
เพื่ อบูชาหลวงตาทองกันทั้งนั้น
ส่วนตัวของข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ทำการค้าอยู่ในบริเวณนี้ดัวย ก็ได้รับ ศาลหลวงตาทองหลังแรก สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙
การแนะนำจากบิดาคือ นายชัย เติมประยูร ให้ตั้งของไหว้พร้อมทั้งจุด ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง
รูปเทียนบูชาสอนให้ข้าพเจ้าเรียกว่า "หลวงพ่อทอง" แล้วขอความ
คุ้มครองจากท่านให้อยู่เย็นเป็นสุขและประกอบการค้าเจริญรุ่งเรือง ซึ่ง วันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕
ข้าพเจ้าก็ได้ถือปฏิบัติเช่นนั้นเป็นประจำตลอดมา เพราะถือว่าท่านเป็น
เหมือนเจ้าที่เจ้าทาง ทั้งยังเคยมีพระคุณอย่างล้นเหลือต่อบรรพบุรุษ
จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าน่าที่จะสร้างศาลหลวงตาทองขึ้นมาสักหลัง
หนึ่งเพื่ อให้เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านในแถบนี้
เมื่อนำความไปปรึกษากับบรรดาพ่อค้าและประชาชน ก็ได้รับความเห็น
ชอบด้วยเป็นอย่างดี ทุกคนจึงร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างศาลหลวง
ตาทองหลังแรกขึ้น ตัวศาลทำด้วยไม้ มีขนาดกว้าง ๒ เมตร ยาว
๑.๕๐ เมตร หลังคามุงด้วยสังกะสี ภายในมีรูปสมมุติของหลวงตาทอง
ตั้งอยู่ ๑ องค์ (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ภายในตู้ที่เก็บเครื่องใช้ของหลวง
ตาทอง) เมื่อก่อสร้างเสร็จก็ได้จัดให้มีงานฉลอง โดยมีพิธีทางศาสนาใน
ตอนเช้า นิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูปเจริญพระพุ ทธมนต์ ถวายภัตตาหารเช้า
จากนั้นจึงอัญเชิญรูปสมมุติหลวงตาทองแห่รอบบริเวณตลาด
กระทุ่มแบน ตกกลางคืนจัดให้มีมหรสพสมโภชรวม ๔ คืน มีทั้ง
การแสดงลิเก และงิ้ว เนื่องจากว่าประชาชนที่เคารพนับถือในหลวงตา
ทองนั้นมีมากมายทั้งชาวไทยและชาวจีน สำหรับงิ้วนั้นจัดให้แสดง
ประชันกันถึง ๒ คืน แต่ในคืนประชันนั้นปรากฏมีฝนตกลงมาอย่าง
หนักทำให้ทั้งคนดูและคนแสดงต่างเปียกปอนไปตามๆ กัน และจากนั้น
มาเมื่อมีศาลหลวงตาทองตั้งไว้เป็นหลักแหล่งถาวรแล้วประชาชนทั่วไป
ต่างก็พากันมากราบไหวับูชาเป็นประจำมิได้ขาด ถึงวันเทศกาล
สำคัญไม่ว่าจะเป็นตรุษจีน สารทจีนก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ มาถวาย
ท่านกันอย่างเนืองแน่นในทุกๆ ปี ศาลเล็กศาลน้อยที่เคยตั้งไว้ก็ค่อยๆ
ยุบไปจนหมด
ครั้งหนึ่งรูปสมมุติหลวงตาทองที่ตั้งไว้ภายในศาลนั้นเกิดหายไปโดยไม่มีร่องรอย ซึ่ง นอกจากนี้ ยังได้นำรูปจำลองขนาดเท่าองค์จริงของหลวงตาทองซึ่งร่วมกัน
ก่อนหน้านั้นก็เคยปรากฏว่ารูปเจ้าแม่กวนอิมทำด้วยหยกจากประเทศจีน ซึ่งเป็นของ ออกแบบโดย มหาเงิน แช่มสาคร กับข้าพเจ้า แล้วว่าจ้างให้ช่างผู้ชำนาญจาก
เก่าแก่ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่ข้าพเจ้านำมาถวายไว้ได้หายไปเช่นกัน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจึง กรุงเทพฯ เป็นผู้หล่อแล้วนำมาประดิษฐานไว้ภายในศาลโดยมีการกระทำพิธีทาง
เห็นว่าจะทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้เสียแล้ว จึงออกติดตามสืบเสาะอยู่เป็นเวลาหลายวัน จน ไสยศาสตร์เพื่ อเป็นการอัญเชิญดวงวิญญาณของหลวงตาทองมาสิงสถิตซึ่ง
ได้ทราบข่าวว่าขณะนี้มีผู้พบเห็นรูปสมมติองค์นี้อยู่ที่บริเวณตำบลท่าเสา แต่ไม่ทราบ ทางคณะกรรมการได้นิมนต์พระญวนจากวัดหลวงพ่ อบ๋าวเอิงสะพานขาวมาร่วม
เป็นที่แน่นอนว่าตกอยู่กับผู้ใด ข้าพเจ้าจึงเริ่มลัดเลาะสอบถามไปเรื่อยๆ จนถึง พิธีด้วย ซึ่งได้มีปรากฏ
บริเวณคลองท่าเสา ได้พบกับท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง จึงเข้าไปกราบแจ้งความประสงค์
และสอบถามท่านโดยหวังว่าบางทีท่านอาจจะทราบว่ารูปสมมุติที่หายไปนั้น ขณะนี้อยู่ การณ์ปาฏิหาริย์หลายอย่าง ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่มาร่วมพิธีในวันนั้นโดยทั่ว
ที่ใด เมื่อท่านผู้นั้นได้ฟังก็หัวเราะแล้วชี้มือไปทางหนึ่งพร้อมกับพู ดว่า "โน่น" อยู่บน หน้ากันและในปีต่อๆ มาก็ได้ถือเอาเดือนมีนาคมนี้เป็นเวลาที่จัดให้มีงานสมโภช มี
หัวนอน ฉันเก็บได้ที่วัดเลยนำมาบูชาไว้ที่นี้เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาแล้ว มหรสพต่างๆ ให้ชมฟรีในทุกๆ ปี บางปีเคยมีงิ้วประชันระหว่างงิ้วแต้จิ๋วกับงิ้ว
ข้าพเจ้าดีใจมาก จึงขอคืนจากท่านเพื่อให้เป็นที่สักการบูชาแก่ผู้ที่เคารพศรัทธาต่อไป ไหหลำ ก็ปรากฏว่ามีผู้คนให้ความสนใจมาร่วมงานกันมากมายอย่างคาดไม่ถึงที
ท่านผู้เฒ่าก็ยอมคืนให้แต่โดยดีและไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น รูปสมมุติองค์นั้นจึง เดียว
ได้กลับคืนมาเป็นที่สักการบูชาของชาวกระทุ่มแบนอีกครั้ง คราวนี้เป็นรูปหล่อปูน
ป้องกันไว้แข็งแรงแน่นหนา จึงไม่มีการสูญหายไปไหนอีก
สำหรับความเป็นมาของรูปสมมุติหลวงตาทององค์นี้ คือเดิมทีนั้นเมื่อ
ก่อสร้างศาลเสร็จ ข้าพเจ้าและคณะกรรมการต่างมีความเห็นว่า ควรจะ
มีรูปสมมุติตั้งไว้สักองค์หนึ่งเพื่ อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาและระลึก
ถึงหลวงตาทอง เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิษฐาน
ขึ้นว่าหากมีรูปสมมุติองค์ใดที่มีลักษณะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
โดยจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล และความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาว
กระทุ่มแบนแล้ว ขอบารมีแห่งหลวงตาทองโปรดจงมาดลจิตดลใจช่วย
ชี้นำให้ข้าพเจ้าได้พบรูปสมมุติองค์นั้นด้วย
จากนั้นจึงเดินทางเข้ากรุงเทพมาถึงบริเวณหัวเม็ด สะพานหัน สายตา
เหลือบไปเห็นร้านค้า ซึ่งภายในร้านตั้งพระบูชาไว้องค์หนึ่งหล่อด้วยทอง
สัมฤทธิ์เป็นรูปพระสงฆ์ในท่านั่งสมาธิมีลักษณะงดงามมากจนทำให้
ข้าพเจ้าต้องเข้าไปพิจารณาดูใกล้ๆ ก็ยิ่งพอใจและปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะนำมาตั้งไว้ในศาลหลวงตาทองจึงเจรจาขอเช่าจากเจ้าของพระซึ่งก็
ยินดีที่จะให้เช่าโดยคิดราคา ๑๐๐ บาท แต่เพื่อความเป็นสิริมงคลและ
ความเจริญก้าวหน้าต่อไป ข้าพเจ้าขอต่อรองลงมาเป็น ๙๙ บาท จึงได้
นำกลับมาตั้งไว้กราบไหว้บูชาสมดังความปรารถนา โดยมาทราบในภาย
หลังว่าพระบูชาองค์นั้นเป็นรูปจำลองขององค์สมเด็จพุ ฒาจารย์ (โต)
พรหมรังสี หรือที่เราท่านนับถือท่านในนาม "สมเด็จโต วัดระฆัง" นั่นเอง
ยิ่งนานวันจำนวนผู้คนที่พากันมากราบไหว้หลวงตาทอง ก็เพิ่มมากขึ้นทั้งชาวไทยและ ศาลหลวงตาทองหลังที่ ๒ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔
ชาวจีน ศาลหลวงตาทองจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอ ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง
กระทุ่มแบน แต่เมื่อมีผู้คนมาสักการะกันมากๆ ตัวศาลก็ดูเหมือนจะเล็กและคับแคบเกิน
ไป ดังนี้ในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๔ พ่อค้าประชาชนชาวตลาดกระทุ่มแบนก็ได้พร้อมใจกัน วันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕
สร้างศาลใหม่ขึ้นอีกหนึ่งหลังให้ใหญ่โตกว้างขวางกว่าเดิมเพราะมีขนาดกว้างถึง ๓
เมตร ยาว ๕ เมตร ผนังคอนกรีต หลังคามุงกระเบื้อง ได้มีการทำพิธีเปิดศาลเมื่อวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๐๔ โดยท่านนายอำเภอกระทุ่มแบน (แอดมินกระทุ่มแบนโฟโต้เพิ่มเติม :
นายอำเภอสมัยนั้นคือ นายรัตน์ นราภิรักษ์) เป็นประธานในพิธีเปิด
สำหรับการสร้างศาลหลังที่สองนี้ก็เช่นเดียวกับหลังแรก คือได้
รับความร่วมมือร่วมใจจากชาวอำเภอกระทุ่มแบนเป็นอย่างดี เริ่ม
ต้นจากท่านเจ้าของที่ดินคือ พลเรือตรีชัชวาลย์ ศรีสุวรรณ รน.
ซึ่งได้สละที่ดินให้ทำการขยายเนื้อที่บริเวณตัวศาลได้ตามสะดวก
อย่างไม่จำกัดจำนวน อีกทั้งยังกรุณาช่วยออกแบบตัวศาล ช่วย
กำหนดสีพร้อมกับรับเป็นประธานจัดงานประจำปีมาทุกๆ ปีจนถึง
ปัจจุบันนับเป็นบุญบารมีของหลวงตาทองและเป็นความโชคดี
ของพวกเราชาวกระทุ่มแบนเป็นอย่างยิ่งที่ท่านผู้นี้ได้อุทิศที่ดินให้
สร้างศาลและร่วมงานด้วยดี ทั้งแรงกายและใจเสมอมาทุกๆ ปี
หาไม่แล้วศาลหลวงตาทองอันสง่างามเป็นสะพานที่ศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่พึ่งทางใจของพวกเราจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ ข้าพเจ้าผู้เขียนขอ
ขอบคุณท่านพลเรือตรีชัชวาลย์ ศรีสุวรรณ แทนชาวกระทุ่มแบน
ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งด้วยความจริงใจ
ความภาคภูมิใจของชาวกระทุ่มแบนเกี่ยวกับตาลหลวงตาทองนี้
อย่างหนึ่งคือ เมื่อครั้งที่จอมพลประภาส จารุเสถียร ยังดำรง
ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น ได้มาตรวจ
ราชการที่อำเภอกระทุ่มแบน จอมพลประภาสฯ พร้อมคณะผู้
ติดตามราว ๓๐ คน ยังได้แวะกราบนมัสการปิดทองหลวงตา
ทอง เนื่องจากได้ทราบถึงกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ซึ่ง
นับเป็นเกียรติประวัติแก่อำเภอกระทุ่มแบนเป็นอย่างยิ่ง
ของดีกระทุ่มเเบน
รอบศาลหลวงตาทอง
GOLD DRAGON
PIZZA (โกล์ดดรา
ก้อนพิ ซซ่า)
ตำบลตลาดกระทุ่มแบน
อำเภอกระทุ่มแบน สมุทรสาคร
(เข้าทางศาลหลวงตาทอง
บริเวณริมภาษีเจริญ)
ผัดไทยตะวัน
ตำบล ตลาดกระทุ่มแบน
อำเภอกระทุ่มแบน สมุทรสาคร
เข้าทางศาลหลวงตาทองริมคลอง
ภาษีเจริญ ข้างร้านยุ้ยถ่ายเอกสาร
ตรงข้ามร้านอาหารอีนมแบน)
เคี้ยงก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น
ปลาทำเอง&หน้าศาล
หลวงตาทอง(เคี้ยง
ก๋วยเตี๋ยวลูกชี้นปลา)
1124 / 49 ถนนสุคนธวิท ตำบล
ตลาดกระทุ่มแบน อำเภอ
กระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
สมุทรสาคร (ศาลหลวงตาทอง)
MOMA'S BUBBLE
TEA BAR
(มอมาร์ส บับเบิ้ล ที บาร์)
227 ตำบลตลาดกระทุ่มแบน
อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
(ริมคลองริมคลองภาษีเจริญ)
แม่นิด
ขนมจีนน้ำยาโคราช
ซอย ศรีสุคนธ์ ตำบลตลาด
กระทุ่มแบน อำเภอกระทุ่มแบน
จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสาคร
ร้าน เพชรบุรีตักใหม่
ลอดช่องน้ำตาลโตนด
ตำบล ตลาดกระทุ่มแบน
อำเภอกระทุ่มแบน
จังหวัดสมุทรสาคร
(อยู่ร้านเดียวกับ
ร้าน อีนมแบน)
แก้วข้าวต้ม
ทรงเครื่อง
ข้าวต้มหน้าศาลหลวงตาทอง
อิ่ม อร่อย ร้อนๆ
ใส่เครื่องจัดเต็มแนะนำ
ข้าวต้มปลากระพง
ทำสดๆทุกวัน
เปิด16:00น ถึง 20:30น
ชานมไข่มุกไท่อี้
(สาขา
ศาลหลวงตาทอง)
สเเกนคิวอาร์โค้ดเพื่ อดู
ข้อมูลของดีของอร่อย
มากมายในเว็บไซต์
"ของดีกระทุ่มเเบน"
ขอขอบคุณทุกเเหล่งข้อมูลดีๆที่ได้จัด
ทำเเละเผยเเพร่ข้อมูลศาลหลวงตาทอง