The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือการท่องเที่ยว จังหวัดเลย (2)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 51926, 2023-01-31 02:57:13

หนังสือการท่องเที่ยว จังหวัดเลย (2)

หนังสือการท่องเที่ยว จังหวัดเลย (2)

หนั นังสืสือ สื อ สื การท่ท่ ท่ อ ท่ องเที่ที่ ที่ ย ที่ ยว จัจัง จั ง จั หวัวัด วั ด วั เลย


หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ได้ จัดทำ ขึ้นเพื่่อนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ AMAZING THAILAND ในส่วนนี้ ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงนําเสนอ จังหวัดเลย ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะทําให้ทุกท่าน ที่อ่านได้ทราบประวัติความเป็นมา ข้อมูลสำ คัญๆ เกี่ยวกับจังหวัดเลย และเห็นคุณค่าความสำ คัญ ขอขอบคุณคุณครูซึ่งเป็นผู้ให้ คําแนะนําในการรวบรวมข้อมูล ต่างๆ ในการจัดทําหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ให้สําเร็จลุล่วง ด้วยดี คำ นำ


หน้าปก คำ นำ ครูผู้สอน ชื่อวิชา จังหวัดเลย ตราประจำ จังหวัดเลย คำ ขวัญประจำ จังหวัดเลย ธงประจำ จังหวัดเลย สารบัญ


ต้นไม้ประจำ จังหวัดเลย ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ที่ตั้งและอาณาเขต ลักษณะภูมิประเทศ กลุ่มเชื้อชาติ ประชากร ภาษาของคนไทเลย การปกครอง สารบัญ(ต่อ)


สถานที่ท่องเที่ยว ปกหลัง สารบัญ(ต่อ)


ครูผู้สผู้ อน ครูกั รู กั นยารัต รั น์ ศรีว รี งค์วรรณ


ชื่อ ชื่ วิช วิ า หนังสือ สื อิเล็กทรอนิก นิ ส์นี้ ส์ เ นี้ป็น ป็ ส่ว ส่ นหนึ่ง นึ่ ของ รายวิชา ว21208 คอมพิว พิ เตอร์ 1 ภาคเรีย รี นที 2 ปีก ปี ารศึก ศึ ษา 2565 โรงเรีย รี นอยุธ ยุ ยาวิทยาลัย จัง จั หวัดพระนครศรีอ รี ยุธ ยุ ยา


เรียบเรียงโดย ด.ช.โชคดี วันทา ม.1/5 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย 43/3 หมู่5 ตำ บล บ้านคลัง อำ เภอ บางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จบการศึกษาชั้น ป.6 ที่โรงเรียน วัดพระขาว(ประชานุเคราะห์)


ชื่อ ชื่ อัก อั ษรไทย เลย ชื่อ ชื่ อัก อั ษรโรมัน มั Loei ผู้ว่าราชการ นายทวี เสริม ริ ภัก ภั ดีกุล สีประจำ กลุ่มจัง จั หวัด วั สีฟ้า ต้นไม้ประจำ จัง จั หวัด วั สนสามใบ ดอกไม้ประจำ จัง จั หวัด วั พุด (อิน อิ ถะหวา) จังหวัดเลย


ตราประจำ จัง จั หวัด วั เลย เป็นภาพพระธาตุศรีส รี องรัก ลักษณะอุเทสิก เจดีย์สร้างเป็นอนุสรณ์การปักปันเขตแดนในรัชสมัย ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอ รี ยุธยากับ พระเจ้าไชยเชษฐาแห่งกรุงศรีสั รีสั ตนาคนหุต (เวีย วี งจันทน์) ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2103 เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ตั้งอยู่ วัด วั พระธาตุศรีส รี องรักซึ่งเป็นวัด วั ที่ไม่มี พระสงฆ์พำ นัก ริมริแม่น้ำ หมัน บ้านหัวนายูงตำ บล ด่านซ้าย องค์พระธาตุก่ออิฐก่อปูน ปู มีฐานสี่เหลี่ยม จัตุรัส ขนาดกว้า ว้ งด้านละ 10.47 เมตร สูง 19.19 เมตร บนยอดพระธาตุมีแก้วครอบเป็นโคม มี กระดิ่งลูกเล็ก ๆแขวนอยู่เหนือโคม กรมศิลปากร ประกาศให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติเมื่อวัน วั ที่ 8 มีนาคม 2478 ความหมายตราประจำ จังหวัด วั เลย


"เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู ถิ่นที่อยู่อริย ริ สงฆ์ มั่นคงความสะอาด" คำ ขวัญ วั ประจำ จัง จั หวัด วั เลย


ธงประจำ จัง จั หวัด วั เลย ลักษณะสีเหลี่ยมผืนผ้าสีฟ้า มีตราประจำ จังหวัด วั เลย เป็นรูปพระธาตุศรีส รี องรัก รั อยู่ ในวงกลมบนพื้นผ้าทั้งสองด้าน


ต้นไม้ประจำ จังหวัดเลย ชื่อ พรรณไม้ สนสามใบ ชื่อ วิทวิยาศาสตร์ Pinus Kesiya เป็นต้นไม้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถทรงปลูกตามคำ กราบบังคมทูลของ นายเทียนคกฤช อธิบดีกรมป่าไม้ เพื่อเป็นสิริมริงคลและเป็นอนุสรณ์ ในการเสด็จพระราชดำ เนินขึ้นยอดภูกระดึงเมื่อเวลาเช้าของ วันวัอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 (จากหนังสือรอยเสด็จมหาวิทวิยาลัยขอนแก่น 2540) และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้พระราชทานกล้าไม้มงคลให้ กับผู้ว่าว่ราชการจังหวัดวัเลยในงาน วันวัรณรงค์โครงการปลูกป่า ถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่ ครองราชย์ปีที่ 50 เมื่อวันวัที่ 9 พฤษภาคม 2537 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิริกิติ์ ให้เป็นต้นไม้ประจำ จังหวัดวัเลย


เลย เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออก เฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยตั้งอยู่ใน แอ่งสกลนครและอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือตอนบน1ห่างจาก กรุงเทพมหานครประมาณ 540 กิโลเมตร มีสภาพภูมิประเทศที่งดงามอากาศหนาวเย็น เป็นแหล่งเพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับที่สำ คัญ แห่งหนึ่งของประเทศและยังเป็นจังหวัด ท่องเที่ยวที่สำ คัญอีกด้วย ประวัติ วั ติศาสตร์ ก่อตั้งโดยชนเผ่าไทยที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ก่อตั้ง อาณาจักรโยนกเชียงแสน โดยพ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง (เชื่อถือกันว่าว่เป็นเชื้อสายราชวงศ์สิงหนวัติวั ติ)มีผู้คนอพยพจาก อาณาจักรโยนกเชียงแสนที่ล่มสลายแล้ว ผ่านดินแดนล้านช้าง ข้าม ลำ น้ำ เหืองขึ้นไปทางฝั่งขวาของลำ น้ำ หมันถึงบริเริวณที่ราบ พ่อขุนผาเมืองได้ตั้งบ้านด่านขวา (ปัจจุบันอยู่ในบริเริวณชายเนินนาด่านขวา ซึ่งมีซากวัดวัเก่าอยู่ใน แปลงนาของเอกชนระหว่าว่งหมู่บ้านหัวแหลมกับหมู่บ้านนาเบี้ย อำ เภอด่านซ้าย) ส่วนพ่อขุนบางกลางหาวได้แบ่งไพร่พลข้ามลำ น้ำ หมัน ไปทางฝั่งซ้ายสร้างบ้านด่านซ้ายต่อมาจึงได้อพยพเลื่อนขึ้นไปตามลำ น้ำ ไปสร้างบ้านหนองคู และได้นำ นามหมู่บ้านด่านซ้าย มาขนานนาม หมู่บ้านหนองคูใหม่ เป็น "เมืองด่านซ้าย" อพยพไปอยู่ที่เมืองบางยาง ในที่สุด โดยมีพ่อขุนผาเมืองอพยพผู้คนติดตามไปตั้งเมืองราด (เชื่อว่าว่ เป็นเมืองศรีเรีทพ อยู่ในท้องที่อำ เภอศรีเรีทพและอำ เภอวิเวิชียรบุรี จังหวัดวัเพชรบูรณ์) และตั้งเมืองด่านซ้าย เป็นเมืองหน้าด่าน ทางตะวันวัออกของเมืองบางยาง


นอกจากนี้แล้ว ยังมีชาวโยนกอีกกลุ่มหนึ่งได้อพยพมาตั้งบ้านเรือรืน ระหว่าว่งชายแดนตอนใต้ของอาณาเขตล้านนา ต่อแดนล้านช้างอยู่ชั่วระยะเวลา หนึ่ง ก่อนที่จะอพยพหนีภัยสงครามข้ามลำ น้ำ เหืองมาตั้งเมืองเซไลขึ้น (สันนิษฐานว่าว่อยู่ในท้องที่หมู่บ้านทรายขาวตำ บลทรายขาว อำ เภอวังวัสะพุง ) จากหลักฐานในสมุดข่อยที่มีการค้นพบ เมืองเซไลอยู่ด้วยความสงบร่มเย็นมาจน กระทั่งถึงสมัยเจ้าเมืองคนที่ 5เกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตก จึงได้พาผู้คนอพยพไปตามลำ แม่น้ำ เซไลถึงบริเริวณที่ราบระหว่าว่งปากลำ ห้วยไหล ตกแม่เซไลจึงได้ตั้งบ้านเรือรืนขึ้นขนานนามว่าว่ "บ้านแห่"(บ้านแฮ่)ส่วนลำ ห้วยให้ ชื่อว่าว่ "ห้วยหมาน" ในปี พ.ศ.2396พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณา เห็นว่าว่หมู่บ้านแฮ่ซึ่งตั้งอยู่ริมริฝั่งห้วยน้ำ หมานและอยู่ใกล้กับ แม่น้ำ เลย มีผู้คน เพิ่มมากขึ้น สมควรจะได้ตั้งเป็นเมือง เพื่อประโยชน์ในการปกครองอย่างใกล้ชิด จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งเป็นเมืองเรียรีกชื่อตามนามของ แม่น้ำ เลยว่าว่เมืองเลย ขึ้นต่อเมือง เพชรบูรณ์ อีกทีหนึ่ง ต่อมา พ.ศ. 2440 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองพื้นที่ ร.ศ. 116 แบ่ง การปกครองเมืองเลยออกเป็น 3 อำ เภอ ได้แก่ อำ เภอกุดป่อง อำ เภอท่าลี่ (เดิมตำ บลอาฮีเป็นอำ เภอ แต่ถูกลดบทบาทลงเป็นตำ บลเพราะอยู่ใกล้กับ แม่น้ำ เหือง เป็นผลมาจากการเสีย ดินแดนให้ลาวโดยประเทศฝรั่งเศส) อำ เภอนากอก (ปัจจุบันอยู่ในประเทศลาว) อำ เภอที่ตั้งเมืองคือ อำ เภอกุดป่อง ต่อมา พ.ศ. 2442-2449 ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเลยเป็น บริเริวณลำ น้ำ เลย พ.ศ. 2449-2450 เปลี่ยนชื่อบริเริวณลำ น้ำ เลยเป็น บริเริวณลำ น้ำ เหือง และใน พ.ศ. 2450 ได้มีประกาศของกระทรวงมหาดไทยลงวันวัที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2450 ยกเลิกบริเริวณลำ น้ำ เหือง ให้คงเหลือไว้เว้ฉพาะ"เมืองเลย" โดยให้เปลี่ยนชื่อ อำ เภอ กุดป่อง เป็น "อำ เภอเมืองเลย"


ในปี พ.ศ. 2445 กรมมหาดไทย นำ ใบบอกพระยาสุริยริวงษา เจ้าเมืองหล่ม ศัก กราบบังคมทูลว่าว่มีตราพระราชสีห์โปรดเกล้าฯ ขึ้นไปว่าว่ เมืองเลย เมืองแก่นท้าว เมืองขึ้นเมืองเพชรบูรณ ร้องกล่าวโทษเมือง เพชรบูรณ์ จึงโปรดให้เมืองหล่มศักดูแลเมืองเลย เมืองแก่นท้าว ไปจนกว่าว่ คดีจะแล้วเสร็จ ในกรณีนี้พระยาสุริยริวงษา เห็นว่าว่พระศรีสรีงคราม เจ้าเมือง เลย ชราภาพ อายุ 80 ปี เกรงจะรับราชการต่อไปไม่ได้ จึงได้ ขอพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นจางวางกำ กับดูแลราชการและได้ ขอพระราชทานท้าววรบุตรว่าว่ที่อุปราช เป็นพระศรีสรีงครามเจ้าเมืองเลย รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไป ภูมิศาสตร์


จังหวัดวัเลยตั้งอยู่ทางตอนบนของภาคตะวันวัออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมด 11,424.612 ตารางกิโลเมตร หรือรื 7,140,382 ไร่ หรือรืประมาณร้อยละ 6.77 ของพื้นที่ในภาคตะวันวัออก เฉียงเหนือ มีระยะทางจากกรุงเทพมหานคร 540 กิโลเมตร มี อาณาเขตติดต่อกับจังหวัดวัอื่น ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงไชยบุรีแรีละแขวงเวียวีงจันทน์ ประเทศลาว โดยมีแม่น้ำ โขงและแม่น้ำ เหืองไหลกั้นพรมแดนระหว่าว่งกัน ทิศตะวันวัออก ติดต่อกับจังหวัดวัหนองคาย จังหวัดวัอุดรธานี และ จังหวัดวัหนองบัวลำ ภู ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดวัขอนแก่นและจังหวัดวัเพชรบูรณ์ ทิศตะวันวัตก ติดต่อกับจังหวัดวัพิษณุโลก ที่ตั้งและอาณาเขต จังหวัด วั เลยตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงโคราช หรือ รื ที่เรีย รี กกัน ว่าว่แอ่งสกลนคร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทิวเขาใน แนวทางทิศเหนือใต้ และจะมีพื้นที่ราบลุ่มระหว่าว่งหุบเขาที่ ไม่ใหญ่มากนัก สลับกันอยู่ในแนวเทือกเขา จังหวัด วั เลยมี ภูเขาสูงกระจัดกระจาย โดยเฉพาะทางตะวัน วั ตกและทางด้าน ใต้ของจังหวัด วั ทั้งนี้ยังมีแหล่งน้ำ สำ คัญคือแม่น้ำ โขงใน บริเริวณตอนบนของจังหวัด วั


ชาวไทเลยจะมีนิมีสันิยสั ใจคอเหมือมืนกับชนเชื้อ ชื้ ชาติโบราณซึ่งซึ่ ไม่ค่ม่ ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิม มีสำมีสำเนียนีงพูดพูที่แ ที่ ปลกและ นิ่มนิ่นวล พูดพูสุภสุาพและไม่ค่ม่ ค่อยพูดพูเสียสีงดัง กิริยริามารยาทดีงาม อารมณ์เ ณ์ ยือยืกเย็น ย็ ไม่วู่ม่ วู่วู่าม มีนิมีสันิยสัรักรัความสงบเอื้อเฟื้อฟื้เผื่อ ผื่ แผ่ รักรัถิ่นที่อ ที่ ยู่ไยู่ ม่ค่ม่ ค่อยอพยพไปอยู่ที่ยู่ อื่ ที่ อื่ น ส่วส่นทางด้านวัฒนธรรม ประเพณีที่ณี ปที่ ฏิบัติบั ติสืบสืทอดต่อกันมา ได้แก่ “ฮีตฮีสิบสิสอง–คองสิบสิสี่”สี่ คือการทำ บุญบุตามประเพณีทั้ณีงทั้สิบสิสองเดือนของแต่ละปี บ้าบ้นชาวไทเลยเป็น ป็ เรือรืนหลังใหญ่ ยกพื้น พื้ สูงสูมีรมีะเบียบีงหรือรื ชานยื่น ยื่ ออกมาหน้าน้เรือรืน มีเมีรือรืนครัวรัซึ่งซึ่ส่วส่นใหญ่จญ่ะสร้าร้งแยกต่าง หากโดยมีชมีานต่อเชื่อ ชื่ มติดกัน สำ หรับรัหลังคาของเรือรืนนอนมุงมุ ด้วยหญ้าญ้คาหรือรื ไม้แม้ ป้นป้เก็ด ฝาเรือรืน พื้น พื้ เรือรืนนิยนิมทำ ด้วยไม้แม้ผ่นผ่ เรียรีกว่า ไม้แม้ ป้นป้ส่วส่นเสาจะใช้ไช้ม้เม้นื้อ นื้ แข็ง ข็ เป็น ป็ ต้นๆ หรือรือิฐก่อ เป็น ป็ เสาใหญ่มีญ่บัมีนบั ไดไม้พม้าดไว้สำ หรับรัขึ้นขึ้ลง ส่วส่นเรือรืนครัวรัมุงมุด้วยหญ้าญ้คา ฝาและพื้น พื้ จะนิยนิมทำ ด้วยฟากไม้ไม้ผ่ สับสัแผ่อผ่อกเป็น ป็ แผ่นผ่และเสาจะทำ ด้วยไม้เม้นื้อ นื้ แข็ง ข็ เช่นช่กัน จังจัหวัดเลย มีคมีนพื้น พื้ เมือมืงที่มี ที่ เมีชื้อ ชื้ ชาติไทย ซึ่งซึ่เรียรีกตัวเองว่า ไทเลย เป็น ป็ กลุ่มลุ่คนกลุ่มลุ่ใหญ่ที่ญ่สุ ที่ ดสุ นอกจากนี้ก็ นี้ ก็ มีคมีนเชื้อ ชื้ ชาติจีนจีชาวเขา ไทดำ ไทพวน กลุ่มเชื้อชาติ ประชากร ชาวไทเลย ไทเลย เป็น ป็ ชื่อ ชื่ เรียรีกคนเมือมืงเลย ในประวัติศาสตร์บั ร์ นบัทึกทึ ไว้ว่าคนเมือมืงเลยคือกลุ่มลุ่ชนที่อ ที่ พยพจากชายแดนตอนเหนือนื อาณาจักจัรสุโสุขทัยทัซึ่งซึ่สืบสืเชื้อ ชื้ สายมาจากไทหลวงพระบาง เข้าข้มา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ยู่ เ ที่ มือมืงเซไล(บ้าบ้นทรายขาวอำ เภอวังสะพุงพุปัจปัจุบัจุนบั ) ในปี พ.ศ. 2396 ซึ่งซึ่ตรงกับสมัยมัรัชรักาลที่ 4 ต่อมาได้ย้าย้ยมา อยู่ที่ยู่ บ้ ที่ าบ้นแห่ (บ้าบ้นแฮ่ปัฮ่จปัจุบัจุนบั ) ได้ตั้งบ้าบ้นเรือรืนเรียรีกว่าเมือมืงเลย นับนัตั้งแต่นั้นนั้เป็น ป็ ต้นมา เมือมืงเลยก็รวมตัวกันเป็น ป็ เมือมืงใหญ่ โดย การรวมตัวของ อำ เภอกุดกุป่อป่ง อำ เภอท่าท่ลี่ ซึ่งซึ่ขึ้นขึ้กับมณฑลอุดอุร อำ เภอด่านซ้าซ้ย ซึ่งซึ่ขึ้นขึ้กับมณฑลพิษพิณุโณุลก เมือมืงเชียชีงคาน ซึ่งซึ่ขึ้นขึ้ กับเมือมืงพิชัพิยชัอำ เภอต่าง ๆ เหล่านี้จึ นี้ งจึโอนขึ้นขึ้กับเมือมืงเลยทั้งทั้หมด ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 เป็น ป็ ต้นมา


ชาวไทดำ ชาวไทดำ อพยพมาจากแคว้นพวน ในประเทศลาวปัจปัจุบั จุ นบั ซึ่ง ซึ่ ก่อนหน้า น้ นั้นนั้อยู่ที่ยู่ แ ที่ คว้นสิบสิสองจุไ จุ ท ซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ บ้า บ้ นเกิดเดิมของชาวไทดำ ในอดีตแคว้น สิบสิสองจุไ จุ ทเป็น ป็ เขตอาณาจักจัรสยาม ปัจปัจุบั จุ นบัอยู่ใยู่ นประเทศเวียดนาม เมื่อ มื่ ปี พ.ศ. 2417 เมื่อ มื่ พวกฮ่อฮ่ยกกำ ลังมาตีเมือมืงเชียชีงขวาง ซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ หัวหัเมือมืงสำ คัญในแคว้นพวน จึง จึ เริ่มริ่อพยพลงมาตามเส้น ส้ ทางเรื่อ รื่ ยๆ จนได้มาพักพัที่บ้ ที่ า บ้ นน้ำ ก้อใหญ่ ตำ บลน้ำ ก้อ อำ เภอหล่มสักสัจังจัหวัดเพชรบูร บู ณ์ ต่อมาชาวไทยดำ กลุ่ม ลุ่ หนึ่ง นึ่ ได้เดินทางข้า ข้ มแม่น้ำม่น้ำโขง ไปยังยับ้า บ้ นน้ำ กุ่ม กุ่ แขวงเวียงจันจัทน์แ น์ ต่ในขณะนั้นนั้เขตเวียงจันจัทน์มี น์ มี ปัญปัหาการเจรจากับฝรั่งรั่เศส ไทดำ จึง จึ ข้า ข้ มแม่น้ำม่น้ำโขง กลับมาตั้งหมู่บ้มู่ า บ้ นนาป่าป่หนาด ตำ บลเขาแก้ว อำ เภอเชียชีงคาน ซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ ถิ่นฐานดั้งเดิม และถาวรจนถึงปัจปัจุบั จุ นบัที่ห ที่ มู่บ้มู่ า บ้ นนาป่าป่หนาด ตำ บลเขาแก้ว อำ เภอเชียชีงคาน เมื่อ มื่ ปี พ.ศ. 2438 มี 15 ครัวรัเรือรืน ปัจปัจุบั จุ นบัชาวไทดำ มีจำมีจำนวน 825 ครัวรัเรือรืน มีอมีาชีพชีส่วส่นใหญ่ทญ่างการเกษตรกรรม กลุ่มเชื้อชาติ ประชากร


กลุ่มเชื้อชาติ ประชากร ชาวไทพวน ชาวไทพวน ได้อพยพเข้า ข้ มาตั้งถิ่นฐานที่บ้ ที่ า บ้ นบุฮ บุ ม และบ้านกลาง อำ เภอเชีย ชี งคาน จากถิ่นฐานเดิมที่เ ที่ มือ มื งเตาไห หลวงพระบาง ประเทศลาว เมื่อ มื่ ครั้ง รั้ พวกจีน จี ฮ่อฮ่กลา เวียง รุก รุ รานเมือ มื งเตาไห ชาวไทใต้ ชาวไทใต้ อพยพมาจากภาคอีสาน เข้า ข้ มาตั้งถิ่นฐานในจัง จั หวัดเลย ส่วส่นใหญ่มญ่าจากจัง จั หวัดกาฬสินสิธุ์ จัง จั หวัดอุบ อุ ลราชธานี และจัง จั หวัดยโสธร เมื่อ มื่ พ.ศ. 2506 จะพบชาวไทใต้ จำ นวนมากที่อำ ที่ อำเภอเอราวัณและอำ เภอนาด้วง ภาษาพูด พู แตกต่างจากภาษาไทเลย เพราะได้สืบ สื ทอดมาจากถิ่นเดิมของตน เช่นช่ ภาษาไทยอีสาน ภาษาถิ่นอุบ อุ ล ภาษาไทยโคราช


มีสำ มี สำเนียงภาษาแตกต่างจากภาษาพูด พู ของคนในจัง จั หวัดภาคอีสานอื่น ๆ เพราะกลุ่ม ลุ่ คน ที่อ ที่ าศัย ศั ปัจ ปั จุบั จุ นนี้มีปมี ระวัติการอพยพเคลื่อนย้า ย้ ย จากเมือ มื งหลวงพระบางแห่งห่อาณาจัก จั รล้านช้า ช้ ง ต่อมาต้นพุท พุ ธศตวรรษที่ 23 ชาวหลวงพระบาง และชาวเมือ มื งบริเริวณใกล้เคียงที่อ ที่ พยพมาเมือ มื ง เลยได้นำ วัฒนธรรมด้านภาษาอีสานถิ่นอื่นเข้า ข้ มาด้วย โดยภาษาเลยนั้น นั้ จัด จั อยู่ใยู่ นกลุ่ม ลุ่ หลวงพระบางอัน ประกอบด้วยภาษาเมือ มื งแก่นท้า ท้ ว ภาษาอำ เภอด่านซ้าย และภาษาอำ เภอเมือ มื งเลย ดังนั้น นั้ สำ เนียงพูด พู ของชาวไทเลย จึง จึ มีลั มี ลั กษณะการพูด พู เหมือ มื นชาวหลวงพระบาง แต่บางพยางค์ออกเป็น ป็ เสีย สี งสูง สู คล้ายสำ เนียง พูด พู ของชาวปัก ปั ษ์ใต้ ฟัง ฟั ดูไ ดู พเราะนุ่มนวลจึง จึ เป็น ป็ เอกลักษณ์เ ณ์ ฉพาะคนเมือ มื ง ส่วส่นคนในวังสะพุง พุ จะพูด พู เสีย สี งห้ว ห้ นกว่าชาวเลย ถิ่นอื่น ภาษาของคนไทเลย


1. อำ เภอเมืองเลย 2. อำ เภอนาด้วง 3. อำ เภอเชียงคาน 4. อำ เภอปากชม 5. อำ เภอด่านซ้าย 6. อำ เภอนาแห้ว 7. อำ เภอภูเรือ 8. อำ เภอท่าลี่ 9. อำ เภอวังสะพุง 10.อำ เภอภูกระดึง 11.อำ เภอภูหลวง 12.อำ เภอผาขาว 13.อำ เภอเอราวัณ 14.อำ เภอหนองหิน การปกครอง การปกครองแบ่งออกเป็น ป็ 14 อำ เภอ 89 ตำ บล 840 หมู่บ้ มู่ าน ดังนี้


สถานที่ท่องเที่ยวจัง จั หวัด วั เลย ภูทอก เชียงคาน ภูทอก เชียงคาน จังหวัดเลย จุดชมวิวทะเลหมอกที่มีชื่อเสียง และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ระยะทางห่างจากตัวอำ เภอเชียงคาน ประมาณ 3 กิโลเมตร ภูทอกมีลักษณะเป็นภูเขาสูง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ โขง เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สามารถมองเห็นสายหมอก ปกคลุมภูเขา คลอเคล้า แสงสีทองของพระอาทิตย์ มีระเบียง ชมวิวที่สามารถชมวิวได้ชัดเจนขึ้น ใครที่ได้แวะมาเที่ยวเชียงคาน ไม่ควรพลาดการไปชมทะเลหมอก ในยามเช้าที่นี่


เที่ยวเชียงคานท้าความเสียว ชมวิวโขงแบบตื่นตาและตื่นเต้น ด้วยการเดินบน สกายวอล์ค เชียงคาน สะพานพื้นกระจกยกสูง เป็นจุดเช็คอินยอดฮิตที่ไม่ควรพลาด เป็นจุดที่มองเห็นแม่นํ้าไหลมา บรรจบแม่นํ้าโขง เกิดเป็นแม่นํ้า 2 สี ได้ชัดเจน หากมาในช่วงเวลาเช้า ยังมีโอกาสเห็นสายหมอกที่ลอยอยู่ เหนือลำ น้ำ โขงอีกด้วย สกายวอล์ค มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 19เมตร ทางเดินของสกายวอล์ค เป็นกระจกใสชนิดพิเศษมีตะแกรง เหล็กรองรับ เป็นทางเดินล้อมรอบ องค์พระใหญ่ภูคกงิ้ว ที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาอยู่ เบื้องหน้าได้อย่างสวยงาม สกายวอล์ค เชียงคาน


แก่งคุดคู้ ชมวิวแก่งเกาะแก่ง และบรรยากาศริมน้ำ โขง ที่ แก่งคุดคู้ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ขึ้นชื่อของเชียงคาน แก่งคุดคู้ เป็นแก่งหินขนาดใหญ่กลาง ลำ น้ำ โขง ในยามที่น้ำ โขงแห้งลด ระดับ โดยมีการจัดทำ ระเบียง และศาลาชมวิว สามารถยืน ชมวิวแก่งและสายน้ำ โขงไหลผ่าน บริเวณแก่งคุดคู้มีหาดทรายกว้าง มองเห็นหินก้อนกลมเงาเรียงราย กันนับร้อยนับพันก้อน มีบรรยากาศ ดีมาก ลมเย็นสบาย สามารถเดินลง ไปเพื่อสัมผัสบรรยากาศ ของริมน้ำ โขงได้อย่างใกล้ชิด


ถนนคนเดินเชียงคาน ถนนคนเดินเชียงคาน สีสันแห่งการมาเที่ยวเชียงคาน ที่เริ่มตั้งแต่ยาม เย็นจนพลบค่ำ เป็นถนนทางเดินทอดยาวพาด ผ่านบ้านเรือนไม้เก่าแก่ ทั้งสองข้างทาง มีทั้งร้านขายของกินร้านค้าสินค้าพื้นเมือง และของที่ระลึกต่างๆ ตลอดแนวทางเดิน ถนนคนเดินเชียงคาน ตั้งอยู่ถนนศรีเชียงคาน สายล่างใกล้กับแม่น้ำ โขง เริ่มต้นตั้งแต่ วัดท่าครกไปจนถึงวัดศรีคุณเมือง โดยเปิดให้บริการทุกวัน เริ่มตั้งแต่เวลา 17:00 – 22:00 น. นอกจากมาเดินเล่นหาของทานให้อิ่มท้องแล้ว ช่วงเย็นยังสามารถเดินลัดเลาะไปยังถนนริมโขง เพื่อชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกในยามเย็น ได้อย่างสวยงาม


วัดศรีคุณเมือง วัดศรีคุณเมือง วัดเก่าแก่ที่อยู่ คู่บ้านคู่เมืองเชียงคานมาอย่าง ยาวนาน ภายในวัดมีพระประธาน ในพระอุโบสถวัดศรีคุณเมืองเป็น พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ นาคปรกอายุกว่า 300 ปี ในวัดเป็น กำ แพงแก้วล้อมรอบตัวพระอุโบสถ วัดนี้ถูกขนานนามว่าเป็นแหล่ง รวมงานศิลปะทั้งแบบล้านนาและ ล้านช้างซึ่งเห็นได้จากโบสถ์ ที่มี หลังคาลดหลั่นอย่างศิลปะล้านนา เป็นวัดที่ใหญ่และสวยงามอีกวัดนึง ของเชียงคาน สำ หรับการมาไหว้พระ ขอพรหรือทำ บุญ ถวายสังฆทานต่างๆ สามารถจอดรถได้ในวัดสะดวกสบาย


ภูเรือ ดินแดนหนาวสุดในแดน สยาม คือ คำ กล่าวขานที่ มีคนพูดถึงอุทยานแห่งชาติ ภูเรือ ภูเขาที่ขึ้นชื่อ ของจังหวัดเลยมาช้านานภูเรือ ประกอบด้วย ทิวเขาสูงสลับซับซ้อนเรียงราย เป็นรูปต่างๆ สลับกับในยามเช้า บนยอดสูงสุดของภูเรือ คือ จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น คลอเคล้าภูเขา เป็นจุดชมวิวที่มี ภูมิทัศน์ที่สวยงาม เป็นที่นิยม ของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะใน ช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นและ ลมแรงมาก


โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พระนครศรีอยุธยา


Click to View FlipBook Version