หนังสือ E-BOOK รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
ชีววิทยา ๖
เล่ม ๑
ตามผลการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี ( ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรเเกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สารบัญ เนื้อหา หน้า
บทที่ พืช 2
พืชไม่มีท่อลำเลียงน้ำ 2
1 พืชมีท่อลำเลียงน้ำ 3
ไลโคโฟต์ 3
ยูคาริโอต ยูฟิลโลไฟต์ 4
(พืช) 4
โนนิโลไฟต์ 5
สเปอร์มาโทไฟต์ 6
พืชดอก
ชีววิทยา บทที่ 1 ยูคาริโอต(พืช) 1
1บทที่ ยูคาริโอต (พืช)
แคริโอต (อังกฤษ: eukaryote) คือ สิ่งมีชีวิตที่เซลล์มีนิวเคลียสและโครงสร้างอื่น
(ออร์แกเนลล์) อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ ยูแคริโอตเป็นหน่วยอนุกรมวิธาน ยูคาร์ยาหรือยูแคริโอตา
อย่างเป็นทางการ เยื่อหุ้มนิวเคลียสเป็นโครงสร้างที่นิยามเซลล์ยูแคริโอตแยกจากเซลล์โปรแคริโอต
โดยภายในเยื่อหุ้มนิวเคลียสมีสารพันธุกรรม การมีนิวเคลียสเป็นที่มาของชื่อยูแคริโอต "ผลมีเมล็ด
เดียว" หรือ "เมล็ด") เซลล์ยูแคริโอตส่วนใหญ่ยังมีออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มอื่นด้วย เช่น ไมโทคอนเดรีย
หรือกอลจิแอพพาราตัส นอกเหนือจากนี้ พืชและสาหร่ายยังมีคลอโรพลาสต์ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
หลายชนิดเป็นยูแคริโอต เช่น โปรโตซัว แต่สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ทุกชนิดเป็นยูแคริโอต ซึ่งได้แก่ สัตว์
พืชและเห็ดรา การแบ่งเซลล์ในยูแคริโอตแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีนิวเคลียส (โพรแคริโอต)
กระบวนการแบ่งตัวสองประเภท คือ ไมโทซิสและไมโอซิส ไมโทซิสเป็นการที่เซลล์หนึ่งแบ่ง
ตัวได้เซลล์ที่มีพันธุกรรมเหมือนกันสองเซลล์ ในไมโอซิสซึ่งจำเป็นในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เซลล์ดิ
พลอยด์หนึ่ง (ซึ่งมีโครโมโซมสองชุด ชุดหนึ่งมาจากพ่อ อีกชุดหนึ่งมาจากแม่) มีการจับคู่โครโมโซมจาก
พ่อแม่แต่ละคู่ใหม่ แล้วผ่านการแบ่งเซลล์อีกสองขั้นตอน จนได้เซลล์แฮพลอยด์สี่เซลล์ (เซลล์สืบพันธุ์)
เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์มีโครโมโซมชุดเดียว ซึ่งเป็นการผสมโครโมโซมจากพ่อแม่คู่เดียวกัน
ชีววิทยา บทที่ 1 ยูคาริโอต(พืช) 2
พืช
พืช (plant) เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีเนื้อเยื่อ มีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ พบระยะเอ็มบริโอ
บทที่ ยูคาริโอต (พืช)เซลล์มีผนังเซลล์ที่มีเซลลูโลสเป็นส่วนประกอบ พืชส่วนใหญ่สังเคราะห์ด้วยแสงได้
1พืชแบ่งตามการมีเนื้อเยื่อท่อลำเลียงได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่ พืชไม่มีท่อลำเลียง และพืชมีท่อ
ลำเลียง
พืชไม่มีท่อลำเลียง
พืชไม่มีท่อลำเลียงหรือไบรโอไฟต์ (bryophyte) เป็นพืชที่ไม่มีเนื้อเยื่อท่อลำเลียง
แกมีโทไฟต์ (ametophyte) เป็นระยะที่เด่น พบเห็นได้ทั่วไป มีไรซอยด์ (เhizoid)
ทำหน้าที่ยึดเกาะดูดน้ำและธาตุอาหาร สปอโรไฟต์ (sporophyte) เจริญบนแกมี
โทไฟต์ตลอดชีวิต
พืชในกลุ่มนี้ได้แก่ มอส ลิเวอร์เวิร์ท และฮอร์นเวิร์ท มีประมาณ 20,000 สปีซีส์
แกมีโทไฟต์ของมอส (รวมทั้งลิเวอร์เวิร์ทบางชนิด มีลักษณะเป็นต้นที่มีโครงสร้างคล้ายใบ แต่ของ
ลิเวอร์เวิร์ทและฮอร์นเวิร์ทมีลักษณะเป็นแผ่นสีเขียว ระยะสปอโรไฟต์มีรูปร่างแตกต่างกันไปใน
แต่ละชนิดแต่มีโครงสร้างหลักคล้ายกัน คือส่วนที่ฝังลงในเนื้อเยื่อของแกมีโทไฟต์ เรียกฟุต (foot)
ทำหน้าที่ยึดกับแกมีโทไฟต์ ดึงน้ำและอาหารจากแกมีโทไฟต์ ส่วนที่ทำหน้าที่ชูอับสปอร์เรียก
ก้านชูอับสปอร์ (seta) และส่วนที่ทำหน้าที่สร้างสปอร์เรียกอับสปอร์ (sporangium)
ไบรโอไฟต์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก มักพบอยู่กันเป็นกลุ่มในแหล่งที่อยู่ที่มีสภาพความชื้นสูง พบได้
ทั้งบนดิน หิน หรือเป็นพืขอิงอาศัย การปฏิสนธิอาศัยน้ำเป็นตัวกลางให้สเปิร์มเคลื่อนที่ไปผสมกับ
เซลล์ไข่
ชีววิทยา บทที่ 1 ยูคาริโอต(พืช) 3
บทที่
พืชมีท่อลำเลียง
พืชมีท่อลำเลียง พืชมีท่อลำเลียงหรือเทรคีโอไฟต์ (Iracheophyte) มีระยะสปอโร
ไฟต์เด่นและมีเนื้อเยื่อ ท่อลำเลียง มีราก ลำต้น และใบที่แท้จริง แกมีโทไฟต์มีขนาดเล็กและมีช่วง
ชีวิตสั้นกว่าสปอโรไฟต์ ปัจจุบัน จากหลักฐานทางชีววิทยาโมเลกุลพบว่าพืชมีท่อลำเลียงมี
วิวัฒนาการแยกออกเป็น 2 พวก คือไลโคไฟต์ และยูฟิลโลไฟต์
ไลโคไฟต์
ไฟต์ (lycophyte) พบเจริญอยู่บนดินหรือเป็นพืซอิงอาศัย มีประมาณ 1,200 แบบไลโคฟิลล์
(ycophyI1) ซึ่งเป็นใบที่มีขนาดเล็ก มีเส้นใบ 1 เส้น ที่ไม่มีการแยกแขนง เส้นใบอาจยาวจรดปลายใบ
หรือสั้นมาก พัฒนาการของแผ่นใบมาจากเนื้อเยื่อเจริญที่มีตำแหน่งอยู่บริเวณโคนใบ สร้างสปอร์
แบบเดี่ยว เช่น จีนัสไลโคโพเดียม (Iycopodium) (ยกเว้นพืชจีนัสซีแลกจิเนลลา(Selaginella) และ
จีนัสไอโซอีเทส (Isoetes) ) การปฏิสนธิยังอาศัยน้ำเป็นตัวกลางให้สเปิร์มเคลื่อนที่
เข้าผสมกับเซลล์ไข่
พืชกลุ่มไลโคไฟต์ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย คือ พืชจีนัสซีแลกจิเนลลา เช่น ตีน
ตุ๊กแก และ จีนัสไลโคโพเดียม เช่น สามร้อยยอด พืชสองกลุ่มนี้มีการแตกกิ่งแบบแยกสองแฉก
(dichotomous) ที่ มีโครงสร้างที่กิดจากกลุ่มของใบที่สร้างอับสปอร์ เรียก สตรอบิลัส (strobilus)
อับสปอร์บริเวณโคนใบ
ชีววิทยา บทที่ 1 ยูคาริโอต(พืช) 4
ยูฟิลโลไฟต์
ยูฟิลโลไฟต์ (euphy llophyte) เป็นพืชที่มีใบแบบยูฟิลล์ (euphyI) ซึ่งเป็นใบมีเส้นใบ
บทที่มากกว่า 1 เส้น และมีการแยกแขนงภายในแผ่นใบ พัฒนาการของแผ่นใบมาจากเนื้อเยื่อเจริญที่มี
ตำแหน่งอยู่บริเวณปลายใบและขอบใบ แบ่งย่อยต่อไปได้เป็น 2 กลุ่มย่อยคือโมนิโลไฟต์
(monilophyte) ซึ่งไม่สร้างเมล็ด และสเปอร์มาโทไฟต์ (spermatophyte) ซึ่งสร้างเมล็ด
โมนิโลไฟต์
โมนิโลไฟต์พบได้ทั้งบนดิน หิน เป็นพืชอิงอาศัย บางชนิดพบอาศัยในน้ำหรือที่
ชื่อแฉะการปฏิสนธิยังต้องอาศัยน้ำเป็นตัวกลางให้สเปิร์มเคลื่อนที่ไปผสมกับเซลล์ไข่ มีทั้งลำต้น
ใต้ดิน มีขนาดเล็กไปจนถึงเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่สปอโรไฟด์สร้างสปอร์แบบเดียว
เฟิร์นน้ำ) มีจำนวนประมาณ 12,000 สปีส์ พืซในกลุ่มนี้ที่มีจำนวนมากที่สุดและพบได้บ่อยคือเฟิร์น
(fern)
นอกจากนั้นยังรวมถึงพืซกลุ่มหญ้าถอดปล้อง (Equisetum) และกลุ่มหวายทะนอย(Psilotum)
เฟิร์นมีใบที่พัฒนาสมบูรณ์ มักมีขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน ใบอ่อนม้วนงอจากปลายใบสู่โคน
ใบสร้างอับสปอร์จำนวนมากเกิดเป็นกลุ่มเรียก ซอรัส (sorus) ที่ด้านล่างของแผ่นใบ
พืชกลุ่มหญ้าถอดปล้อง ลำตันเหนือดินมีข้อปล้องชัดเจน มีการแตกกิ่งจากตาข้าง
โครงสร้างที่สร้างอับสปอร์เกิดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มที่ปลายกิ่ง เรียก สตรอบิลัส ใบขนาดเล็ก
เชื่อมต่อกันเป็นวงรอบ ข้อ แต่ละใบมีเส้นใบ 1 เล้น ดูคล้ายลักษณะของไสโคฟิลล์แต่มีกำเนิด
ต่างกัน ลักษณะใบหญ้าถอดปล้อง ที่คล้ายไลโคฟิลล์นี้เกิดจากการลดรูปของยูฟิลล์
พืชกลุ่มหวายทะนอยไม่พบรากที่แท้จริงโดยมีไรซอยด์ทำหน้าที่แทนรากลำต้นเหนือดิน
แตกกิ่งแบบแยกสองแฉก อับสปอร์ลักษณะเป็น 3 หูเกิดบนกิ่ง หวายทะนอยเป็นกลุ่มโมนิโล
ไฟต์ที่ใบแบบ ยูฟิลล์ไม่พัฒนา อาจเห็นเป็นเพียงติ่งหรือแขนงเล็ก ๆ ที่บริเวณปลายกิ่ง
ชีววิทยา บทที่ 1 ยูคาริโอต(พืช) 5
สเปอร์มาโทไฟต์
บทที่มาโทไฟต์หรือพีชมีเมล็ด เป็นกลุ่มพืชที่สร้างออวุล มีการถ่ายเรณูโดยอาจอาศัย หรือน้ำ ซึ่ง
ไม่พบการถ่ายเรณูในพืชกลุ่มอื่น หลังการถ่ายเรณูจะเกิดการงอกหลอดเรณู ซึ่งเป็นช่องทาง
ที่ สเปีร์มใช้เคลื่อนที่เพื่อเข้าปฏิสนธิกับเซลล์ใข่ ดังนั้นพืชกลุ่มนี้จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยน้ำ
เป็นตัวกลางในการ ปฏิสนธิเหมือนพืชกลุ่มอื่น หลังการปฏิสนธิออวุลจะเจริญไปเป็นเมล็ด
สปอโรไฟของพืชมีเมล็ดมักมีขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน มีการสร้างแกมีโทไฟต์ลดรูปลงจนมี
ขนาดเล็กโดยอาจพบว่าประกอบด้วยเซลล์จำนวนไม่กี่เซลล์ และอาศัยอยู่บนสปอโรไฟต์ พืช
มีมล็ดแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
พืชเมล็ดเปลือย เนื่องจากออวุลของพืชกลุ่มนี้ไม่มีรังไข่ห่อหุ้ม ดังนั้นเมล็ดจึงไม่มีผลห่อหุ้ม
ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่แตกต่างไปจากพืชดอก และเป็นที่มาของชื่อ "พี่ชเมล็ดเปลือย"
โครงสร้างที่สร้าง อับสปอร์ของพืชเมล็ดเปลือยมักเกิดรวมกันเป็นกลุ่ม ประกอบกันขึ้นมา
เป็นโครงสร้างที่เรียกว่า โคน (cone) หรือสตรอบิลัส โดยโคนจะแยกเพศตามชนิดของสปอร์
ที่สร้าง โคนที่สร้างไมโครสปอร์ เรียก โคนเพศผู้ (male cone) โคนที่สร้างเมกะสปอร์ เรียก
โคนเพศเมีย (female cone) โดยโครงสร้างของ โคนในพืชเมล็ดเปลือยแต่ละกลุ่มจะมีราย
ละเอียดที่แตกต่างกันออกไป
ตัวอย่างพืชเมล็ดเปลือย เช่น ปรงชนิดต่าง ๆ เหลียง มะเมื่อย แปะก๊วย ใน ประเทศไทยพืช
เมล็ดเปลือยกลุ่มที่รู้จักกันทั่วไป คือ สน (Pinus) เช่น สนสองใบ และสนสามใบ
สนเป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ มีขนาดใหญ่สร้างโคนเพศผู้และโคนเพศเมียบนต้นเดียวกัน โคนเพศ
เมีย ประกอบด้วยโครงสร้างที่เกิดจากกิ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปร่างและหน้าที่ไปเป็นแผ่นแข็ง
ทำหน้าที่สร้าง ออวุลจำนวน 2 อัน โคนเพศผู้ประกอบขึ้นจากแผ่นใบ ซึ่งสร้างอับไมโครส
ปอร์จำนวน 2 อัน
ชีววิทยา บทที่ 1 ยูคาริโอต(พืช) 6
พืชดอก ออวุลอยู่ในโครงสร้างของรังไข่เมื่อพัฒนาไปเป็นมล็ด เมล็คของพืซดอกจึงอยู่
บทที่ภายในผลซึ่งพัฒนามาจากรังไข่ เช่น กันภัยมหิดล บร็อกโคลี บัวสาย ดอกเป็นกิ่งที่
เปลี่ยนแปลงเพื่อทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์ โดยทำหน้าที่สร้างสปอร์ มีการปฏิสนธิแบบการ
ปฏิสนธิคู่
นอกจากทำหน้าที่ผู้ผลิตในระบบนิเวศแล้วพืชยังมีประโยชน์อีกมากมายเช่นไบโอไฟต์ ช่วย
ดูดซับความชิ้นบริเวณพื้นผิวที่เจริญเติบโตอยู่ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ป้องกันการ
ปนเปื้ อนของสารพิษลงสู่น้ำในดิน ใช้เป็นไม้ประดับตกแต่งกระถางหรือสวน ใช้ทำวัสดุปลูก
ปืนบางสปีชีส์ใช้เป็นอาหาร เช่น ผักแว่น กูดน้ำ กูดแดง บางสปีชีส์ใช้เป็นพืชสมุนไพร เช่น
ว่านลูกไก่ทองใช้ดูดซับห้ามเลือด กูดแดงใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง นำมาใช้เครื่องจักสาน
และกระเป๋าถือ เช่น ย่านลิเภา ทั้งไลโคไฟต์ และโมนิโลไฟต์ หลายสปีชีส์ นิยมนำมาปลูกเป็น
ไม้ประดับ ประโยชน์ของพืชเมล็ดเปลือย ใช้ประกอบอาหาร เช่นเมล็ดจากแปะก๊วย ใบเหลี
ยง นำมาใช้จัดสวนหรือปลูกประดับ เช่น ปรง ส่วนพืชดอกจัดว่าเป็นพืชกลุ่มที่มีความสำคัญ
ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งนำมาใช้เป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
เครื่องจักสาน เฟอร์นิเจอร์ ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นส่วนหนึ่งในการ
จัดงานในงานประเพณีทางวัฒนธรรมต่างๆด้วย
ชีววิทยา บรรณานุกรรม 7
บทที่ บรรณานุกรรม
สถาบันส่งเสริมการสนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2559). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา เล่ม 6 พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
ประสงค์ หลำสะอาด. (2554). ชีววิทยา ม.4-6 เล่ม 3 สำนักพิมพ์ พ.ศ. พัฒนา จำกัด.
ชีววิทยา คณะผู้จัดทำ 7
บทที่ คณะผู้จัดทำนาย ภูนริศร์ฒิพงศ์ เหล็กคง เลขที่ 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
นายปิยบุตร บำรุงนา เลขที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
นางสาว สิริวิมล มุ่งเครือกลาง เลขที่ 10 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
นางสาวภณิดา วุ่นพันธุ์ เลขที่ 13 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
นางสาวสุนันทา สะสันเทียะ เลขที่ 21 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์
เเละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ