ลลี าแหง่ พระหริวษิ ณุเจ้า
ความกรณุ าแหง่ องคภ์ ควานในการตอบสนองต่อความปรารถนาแหง่ สาวก
ศ รี ร า ม า ว ต า ร | ก ฤ ษ ณ า ว ต า ร | ศ รี นิ ว า ส า ว ต า ร | กั ล กิ ย า ว ต า ร
จัดทาโดย รัชนโม ธรรมศริ ิ เลขที่๓๒ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี๔/๓ ๖๔๒๑๙
โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร
ศุกฺลามฺพร ธรํ วษิ ฺณุํ ศศิ วรฺณมฺ จตรุ ภฺ ุชมฺ ฯ
ปรฺ สนนฺ วทนํ ธยฺ าเยตฺ สรวฺ วิฆโฺ นปศานฺตเย ๚
โศลกแรกจากวิษณุสหสรนาม(พันพระนามแหง่ พระวษิ ณุ)
“ โอํ ศรฺ ี วิฆฺเนศวรฺ าย นมะ ๚ “
ขอความนอบนอ้ มจงมแี ด่ พระวิฆเนศวร( พระผู้เปน็ ใหญแ่ ห่งอุปสรรค )
“ โอํ นโม ภควเต วาสเุ ทวาย ๚ “
ขอความนอบนอ้ มจงมแี ด่ พระวาสเุ ทวะ
ขอพระองค์ทรงทาลายทงิ้ ซงึ่ อุปสรรคใดๆทั้งปวง
ขอทรงประทานซ่ึงความสาเร็จ
ขอทรงตอบสนองความปรารถนาแก่ผู้ศรัทธา
และผทู้ ไ่ี ดอ้ า่ นซง่ึ ลลี าอันมหัศจรรย์แหง่ พระองคเ์ ทอญ
ผู้คนอาจจะสงสยั ในการบชู าพระเปน็ เจ้า หรืออาจจะสงสยั ในพระองคว์ า่ เพราะ
เหตใุ ด พระองค์จงึ ไม่ตอบสนองในสงิ่ ทเี่ ราปรารถนาเสยี ที จนอาจจะทาใหล้ ม้ เลกิ ในการ
ปฏิบตั ิเพอ่ื เขา้ ถึงพระเป็นเจ้า หรอื ถงึ ข้นั ท่หี มดความศรัทธาในพระเป็นเจ้าไปเลย
ผเู้ ขียนจงึ ขอหยบิ ยกเรอ่ื งราวบางสว่ นจากการอวตารของพระผูเ้ ปน็ เจา้ พระองคท์ ่ี
ทรงเป็นผู้ที่ดแู ลรักษาโลกใบนี้ ทรงอวตารมาเพอ่ื ปราบทกุ ข์เขญ็ ทเ่ี กดิ ขน้ึ บนโลกใบน้ี
น่นั กค็ อื “พระวษิ ณุ” พระผแู้ ผ่ซา่ นไปในทุกอณูของจักรวาล
ผา่ นการหยบิ ยกเรื่องราวบางสว่ นจากคมั ภรี ์, ปรุ าณะตา่ งๆ ท่ีซ่ึงแสดงให้เหน็ ถงึ
การตอบสนองต่อผภู้ กั ดีในตัวพระองค์ โดยนามาเรยี บเรียงและเลา่ ใหม่ในสานวนของ
ขา้ พเจ้า...
“ บัดน้ขี อเชิญใหท้ า่ นทงั้ หลายสมั ผัสถึงลีลาอันแสน
มหัศจรรยข์ ององค์พระเปน็ เจ้าเถดิ “
ปูตนา โมกษัม - ทรงปลดปลอ่ ยนางปูตนา
พระนฤตยะกฤษณะ (พระกฤษณะทรงฟอ้ นรา) ในพระหัตถ์ถือกอ้ นเนย
ซง่ึ เป็นของโปรดปรานของพระองค์ - ศลิ ปะอินเดยี สมยั โจฬะ
ในอดีต เม่อื ครง้ั ท่ีพระหริ1เจา้ ได้อวตารลงมายงั ภโู ลก2 ในนามแหง่ “กฤษณะ”3
เพ่ือสงั หารพญากังสะผทู้ ารณุ ในวยั เยาว์น้นั พระกฤษณะก็ทรงกระทาลีลาอนั น่าอัศจรรย์
หลายคร้ัง ไมว่ า่ พญากงั สะจะส่งสงิ่ ใดมาหวงั ในให้สงั หารพระองค์ กไ็ ม่สามารถทจ่ี ะ
กระทาอนั ตรายใดๆแกพ่ ระองค์ได้ เชน่ คราวที่สง่ นางรากษ4ี “ปตู นา”มาหาพระองค์
1 “หร”ิ พระนามหนงึ่ ของพระวษิ ณุ แปลวา่ ผู้ทาลายบาป
2 “ภโู ลก” โลกทีเ่ รา(มนุษย)์ อาศัยอยู่
3 “พระกฤษณะ” อวตารสาคญั ลาดับท่ี ๘ ของพระวษิ ณุ
4 “รากษี” เปน็ อมนุษย์ชนดิ หน่ึง หากเปน็ เพศบรุ ุษจะเรยี กวา่ รากษส
นางปตู นาได้แปลงเป็นหญงิ สาวรูปงาม ไดห้ ยบิ ฉวยเอายาพิษนนั้ ปา้ ยลงยัง
ยอดถันของนาง ม่งุ หนา้ เข้ามายงั วฤนทาวนั 1 ได้ใชม้ ารยาหลอกลวงพระแม่ยโศทา2
เพ่ือเข้ามายงั หอ้ งนอนซง่ึ พระกฤษณะบรรทมอยู่
นางอุม้ พระองคข์ นึ้ และเลกิ ผา้ หวังจะใหน้ า้ นมแก่พระกฤษณะนอ้ ยดืม่ กิน
และรบั พิษสิ้นชีพไป แตพ่ ระหริน้ันทรงเปน็ ปรมาตมัน3 ทราบดีอยู่แล้วถึงเหตทุ ่ีนาง
ปตู นาตอ้ งการทาลายพระองค์
พิษนั้นไม่สามารถทาอันตรายแก่พระองคไ์ ด้ จึงทรงดูดกินน้านมนัน้ จนหมดส้ินและ
ดูดกลืนเลอื ดเนื้อของนางปูตนามาดว้ ย จนนางน้ันไม่สามารถทนทานได้ไหวจงึ ส้ินชพี ไป
นางปูตนาลวงพระแม่ยโศทา ในภาพจติ รกรวาดใหพ้ ระแม่ยโศทา
อุ้มพระกฤษณะอยู่ ภาพนวี้ าดโดย - คุณเกษวะ
1 “วฤนทาวนั ” (วะ-รนิ -ทา-วัน) เมืองที่พระกฤษณะเตบิ โตในวยั เยาว์
2 “ยโศทา” มารดาผเู้ ลย้ี งดพู ระกฤษณะในเมืองวฤนทาวนั ซ่งึ ปจั จบุ นั ตั้งอยู่ในรัฐอตุ ตรประเทศ
3 “ปรมาตมัน” จติ วิญญาณอนั สู่งสง่ , พระเป็นเจา้ สูงสุด มสี ภาวะไรร้ ูป
ในศรีมัทภาควตัม1ไดก้ ลา่ วว่านางปตู นานั้นได้รบั การ
ปลดปล่อยส่ยู ังสุคตดิ ว้ ยความกรุณาแห่งองคภ์ ควาน2 ในพรหมไววรรต
ปุราณะกล่าวว่าชาตทิ แี่ ลว้ นางปูตนาคือนางรัตนมาลา ผู้เปน็ ธิดาของทา้ วมหาพลี
เมื่อนองได้เหน็ พระวามน(อวตารปางท่ี ๕ ของพระวษิ ณุ ทรงอวตารมาในรูปพราหมณ์
แคระ) เกดิ ความอยากทจ่ี ะได้พระองคม์ าเป็นบุตร แต่เมอ่ื ไดเ้ ห็นพระองค์ไดน้ าเอาทรพั ย์
สมบัตขิ องพระบิดาไป จงึ เกิดเป็นความเกลยี ดชังว่า หากได้พระองคม์ าเป็นบตุ ร กจ็ ะจบั
ให้ดืม่ นมพษิ เสีย ซึง่ พระองค์จึงตอบสนองต่อความคิดของนางดังเช่นทก่ี ล่าวมาขา้ งต้น
พระองค์น้ันเปน็ ผซู้ ง่ึ ตอบสนองต่อ
ความภักดีของสาวกเสมอ เชน่ เดียวกันกบั
ท่เี ม่ือครงั้ สมัยทรงอวตารมาในนามของ
พระราม พระนางเวทวตีไดก้ ระทาตบะ
เพื่อ ขอให้พระองคร์ บั นางไว้ ซึ่งพระองค์
จะทรงตอบสนองความตอ้ งการของ
พระนางต่อไป...
พระนางเวทวตี ซงึ่ ถูกลวนลามโดยราวณาสูร
1 “ศรมี ทั ภาควตัม” คัมภรี ์สาคญั คัมภีรห์ นงึ่ ของนกิ ายไวษณวะ
2 “ภควาน” หมายถงึ พระผ้เู ป็นเจ้า
พระศรีนิวาส - ทรงตอบสนองนางเวทวตี
พระศรนี ิวาส/พระศรีเวงกเฏศวร – พระวิษณใุ นรปู นเี้ ป็นทีน่ ยิ มอยา่ งมากในแถบอนิ เดียใต้
ประดิษฐานอยู่ที่วัด ศรีเวงกเฏศวรสวามี (ติรุปาต)ิ
คราวกลยี คุ นางเวทวตไี ดก้ าเนิดข้นึ ใหมใ่ นนาม“ปัทมาวต”ี 1 ด้วยเหตทุ อ่ี บุ ัตขิ ้ึนบน
ดอกบวั ในขณะนน้ั พระหริวษิ ณุเจา้ ได้ทรงเสด็จมาขจัดบาปในกลยี คุ 2ในพระนามแห่ง
“ศรีนิวาส”และเพื่อตามหาพระนางศรีลักษมี ซึง่ หลบหนีออกมาจากไวกณู ฐะ3ดว้ ยความ
น้อยใจในพระองค์
1 “ปัทมาวตี” หมายถึง พระนางผ้ซู ง่ึ กาเนดิ จากดอกบวั
2 “กลยี คุ ” เป็น ๑ใ น ๔ จตุรยุคตามความเชอ่ื ของพราหมณ์ จดั เป็นยุคสุดทา้ ย เป็นยคุ ที่ความดขี องโลกนั้นเหลือ
เพยี ง ๑ ใน ๔ ส่วน
3 “ไวกูณฐะ” สถานทซี่ งึ่ เปน็ ทพิ ยวิมานของพระองค์ เวลาท่เี หลา่ เทวดาเกิดความเดอื ดรอ้ น จะไปเขา้ เฝา้
พระองคท์ ่ีไวกูณฐะแหว่ เกษยี รสมุทร ในเศวตทวปี
มลู เหตุของการที่พระลกั ษมหี ายไปจากไวกณู ฐะน้ันมาจากครง้ั หนง่ึ
ฤๅษีภฤคุ1 ตอ้ งการทดสอบวา่ พระมหาเทพทงั้ สามพระองค์(พระพรหม,
พระศิวะ และพระวิษณุ) ใครยิ่งใหญก่ วา่ กนั
ฤๅษีภฤคไุ ดเ้ ร่มิ ทาการทดสอบ โดย
เดินทางไปหาพระพรหมซงึ่ เป็นบดิ าของท่าน
เองเป็นพระองค์แรก
ในขณะนั้นพระพรหมและพระสรัสวตี
ทรงกาลงั ทอ่ งสวดพระเวทอยู่ จึงไมไ่ ด้กลา่ ว
ต้อนรบั ฤๅษีฤคุ ฤๅษภี ฤคจุ ึงด่าทอพระพรหม
ว่าทาไมจงึ ไมต่ ้อนรับตน2 จนพระพรหมน้ัน
โกรธเปน็ อยา่ งมาก ฤๅษจี ึงรีบหนีออกมาทันที
พระฤๅษภี ฤคุ
พระพรหมและพระสรัสวตี
1 “ฤๅษีภฤคุ” เปน็ หนึ่งในสปั ตฤๅษผี ยู้ ่งิ ใหญ่ท้งั ๗
2 เหตุท่ีฤๅษภี ฤคโุ กรธนน้ั เปน็ เพราะในธรรมเนียมปฏิบตั ิของอนิ เดยี น้นั ถ้าหากมีนกั บวชมาเยอื นนัน้ ถอื วา่ เป็น
แขกสาคัญมาก ตอ้ งทาการต้อนรับและรับรองอย่างดี การท่ีพระพรหมน้ันไม่ต้อนรบั จึงถือเปน็ การผิดธรรมเนียม
ฤๅษีภฤคจุ ึงเดนิ ทางต่อไปยังเขาไกรลาศ
เพอ่ื ทาการทดสอบพระศิวะเปน็ พระองค์ต่อไป
ซง่ึ ขณะน้ัน
พระศวิ ะและพระนางปารวตที รงเตน้ รา
กันอยา่ งรนื่ เรงิ (บางสานวนวา่ กาลงั สนทนากนั
อย่างออกรส) แต่ฤๅษภี ฤคุนั้นเข้ามาขัดจงั หวะ
จึงทาให้พระองคโ์ กรธมาก พระองค์จะทาการ
ขว้างตรศี ูลใสฤ่ ๅษภี ฤคุ แตพ่ ระปารวตีไดห้ ้าม
ปรามสวามขี องพระนางไว้ ฤๅษีภฤคจุ งึ รบี หนี
ออกมาจากเขาไกรลาศทันที
จากการท่ีไปทดสอบทั้งสองพระองค์
แลว้ ฤๅษภี ฤคุกค็ ิดแล้ววา่ ท้ังสองพระองค์น้นั ไม่
อาจนับเป็นมหาเทพสูงสุดได้ เนือ่ งจากยงั อย่ใู น
อารมณ์โกรธ จึงเดินทางไปหาพระวษิ ณุยัง
ไวกณู ฐโลกเพื่อทดสอบเป็นพระองคส์ ุดทา้ ย
พระศิวะและพระปารวตที รงเต้นรา
จากการแสดงละครภารตนาฏยัม
เรอ่ื ง“ศรีนิวาส กัลยานัม”
(เลา่ เรอ่ื งการแตง่ งานของพระศรีนวิ าส)
ของคณะศรีเทวีนฤตยาลัย
พระวษิ ณุบรรทม โดยมีพระลกั ษมีบีบนวดพระบาท
ภาพฤๅษีภฤคถุ ีบพระวษิ ณุ พระลกั ษมีซึง่ สถติ อย่นู ั้นก็ทรงแสดงอาการตกใจดว้ ย
เมื่อฤๅษีภฤคุเดินทางมาถงึ ยังไวกูณฐโลก ได้พบพระวษิ ณุทรงบรรทมอยู่บนขนด
ของพญาเศษนาค1 โดยทีไ่ ม่มที ที า่ วา่ จะต่ืนจากบรรทมมาตอ้ นรับ
พระฤๅษจี ึงวิ่งกระโจนเขา้ ถบี เขา้ ท่หี น้าอกของพระวษิ ณอุ ยา่ งแรงจนพระองคต์ น่ื
จากบรรทม ผลจากการท่ีฤๅษีภฤคุน้ันถีบเข้ายังหนา้ อกของพระวิษณุทาใหพ้ ระลกั ษมีนั้นก็
ทรงตนื่ ขึน้ มาด้วย
1 “เศษนาค” (เศ-ษะ-นาค) หรืออกี ชื่อคือพญาอนนั ตนาคราช ซึง่ แปลว่าผู้ไมม่ ีจุดส้ินสุด ผ้เู ป็นแท่นบรรทมของ
พระวิษณุ
ทนั ทีทพี่ ระวิษณุต่นื ขึ้นจากบรรทม ก็
ทรงเขา้ ประคองและเชือ้ เชิญฤๅษีภฤคใุ หน้ ่งั ที่
บลั ลังก์ของพระองค์ พรอ้ มทง้ั ยังสอบถามถงึ
ความเหนอ่ื ยลา้ จากการเดนิ ทางมาหาพระองค์
และทรงถามถงึ อาการปวดเทา้ ที่เกดิ จากการ
ถีบหน้าอกของพระองคอ์ กี ดว้ ย
พระวิษณจุ ึงทรงบบี นวดเท้าของฤๅษี
อยา่ งนมุ่ นวล แท้จรงิ แลว้ พระองคน์ ้ันรวู้ า่
ฤๅษภี ฤคุน้นั มีดวงตาอยู่ที่เทา้ จงึ ทรงกดนิ้ว
พระหัตถ์เข้าทต่ี านั้น จนทาใหฤ้ ๅษีเจ็บปวด
เป็นอยา่ งมาก
หลงั จากที่ฤๅษภี ฤคุนนั้ ถูกบีบกดดวงตา
ท่ฝี า่ เท้าก็หลดุ ออกจากความอหงั การ1 เขา้
ทรดุ กราบขอขมาองค์พระวษิ ณดุ ้วยความ
สานึกผดิ ท่คี ดิ ทดสอบองค์พระเป็นเจ้าและได้
ทาบาปโดยการถบี พระองค์ พระวิษณนุ ั้นทรง
ใหอ้ ภยั แกฤ่ ๅษี ฤๅษภี ฤคจุ ึงลาพระองคอ์ อกมา
เพ่อื เดนิ ทางกลับท่ีอยขู่ องทา่ น
พระวษิ ณบุ ีบนวดเท้าให้ฤๅษีภฤคุ โดยทพ่ี ระลักษมีน้นั ทรงแสดงอาการไมพ่ อพระทยั
1 “อหงั การ” ปกติแลว้ ในคมั ภีร์ของพราหมณ์ มักจะใชค้ าน้ีเพอ่ื สอื่ ถึงอาการหลงผิด, อวิชชา
พระวษิ ณุบีบนวดเทา้ ให้ฤๅษภี ฤคุ โดยทพ่ี ระลักษมี บดั นี้พระลักษมซี งึ่ ทรงยืนทอดพระเนตร
นน้ั ทรงแสดงอาการไม่พอพระทยั เหตุการณม์ าตลอดโดยท่ไี มไ่ ดก้ ล่าวอะไรจึงทน
ไม่ไหว ได้กลา่ วถามว่าทาไมพระองค์ถงึ ทาดีกับ
โดยท่พี ระวิษณไุ ม่ทรงสนพระทยั ในพระนางเลย ฤๅษผี ้นู ัน้ ผู้ซง่ึ ได้ถีบหน้าอกของพระองค์ ซึง่
ด้วยความทพี่ ระวษิ ณปุ รนิบัตติ ่อฤๅษภี ฤคุอยา่ งดี นอกจากจะเปน็ การหมิน่ เกียรติของพระองค์
เช่นนี้จึงเป็นเหตุแห่งความนอ้ ยใจของพระนาง แล้ว ยังเปน็ การดูหมิน่ ลบหลู่พระนางอีกด้วย
เพราะพระนางน้นั สถติ อยูใ่ นใจของพระวษิ ณุ
บริเวณหนา้ อกของพระวิษณุ จงึ เปรียบ
ได้กบั ดั่งวิมานของของพระนาง*
พระวิษณทุ รงนิ่งเงียบไม่ตอบคาถามของ
พระนาง...
ในศิลปะโจฬะ ตัวศรีวตั สะ
แทนพระศรี จะทาเปน็ รปู
สามเหลี่ยม
*คณุ ลักษณะนี้เห็นไดช้ ัดในงานศิลปกรรม โดยท่จี ะเหน็ ไดจ้ ากสญั ลกั ษณ์“ศรวี ัตสะ”ซึ่งเปน็ สญั ลักษณแ์ ทน
องคพ์ ระศรี/ลกั ษมี จะปรากฏอยูบ่ นพระอรุ ะ(หนา้ อก)ของพระวิษณุเสมอๆ
ภาพเขียนพระลักษมี – ในปัจจบุ ันจติ รกรมักนิยมวาดให้ทรงประทานเงนิ ทอง* โดยวาดใหม้ ี
เหรียญเงนิ ตราพงุ่ ออกมาจากพระหตั ถ์ เพอ่ื ยา้ ถึงความเป็นพระเทวแี หง่ ความม่งั ค่ังของพระนาง
พระนางนัน้ เกดิ ความนอ้ ยใจข้นึ ถึงการทีน่ อกจากพระองคจ์ ะไมไ่ ดร้ ักษาเกียรติ
ของพระองค์และยังไม่ปกปอ้ งพระนางอกี ด้วย พระนางจงึ กล่าววา่ จะเสด็จออกจาก
ไวกูณฐะไปเสยี
พระวิษณุยงั ไม่ทนั ไดก้ ลา่ วห้ามปรามพระลกั ษมี พระนางกไ็ ด้หายพระองค์ไปจาก
ไวกูณฐะในทนั ที เม่อื พระนางหายไป ทรัพย์สมบัติท้งั หมดทีพ่ ระวษิ ณุเคยมีก็หายไปสนิ้
เพราะพระนางนั้นเป็นพระเทวแี ห่งทรัพย์ เมือ่ พระนางหายไปไมป่ ระทบั คกู่ ับพระ
วษิ ณุ ความร่ารวยของพระองค์จงึ หายไปด้วย
*ในศิลปกรรมอนิ เดียยคุ โบราณ มกั จะทาให้พระลกั ษมีนั้นปรากฏองค์ ๒-๔ พระกร โดยทจี่ ะทรงดอกบัวไวใ้ นพระ
หตั ถเ์ สมอ และมีชา้ งเปน็ บริวาร คอยชูหมอ้ นา้ สรงนา้ ให้พระนาง ปจั จุบันมกั วาดใหพ้ ระองคน์ ้นั ทรงภษู าด้วย
สา่ หรีสแี ดง เพอื่ แทนสขี องอัญมณี เพื่อแสดงคณุ ลักษณะของพระนางใหช้ ดั เจนยิ่งขึ้น
พระองค์จึงทรงลงมาเป็นบตุ รบญุ ธรรมแหง่ นางวกลุ า ทป่ี รารถนาทจี่ ะได้จดั งาน
ววิ าหใ์ หแ้ ก่พระกฤษณะ(โดยนางนั้นได้ปรากฏอย่ใู นรูปของมาลา1ทีป่ ระดบั อยบู่ นองคข์ อง
พระศรีเวงกเฏศวรนน่ั เอง) วนั หน่งึ ขณะที่พระองค์ออกลา่ สตั ว์ก็ได้พบเขา้ กบั พระนาง
ปัทมาวตโี ดยบังเอิญ
ทงั้ พระองค์ศรีนิวาสและพระนางปทั มาวตกี ห็ ลงรักกันเพยี งแรกพบเห็น จนทาให้
พระศรนี วิ าสน้นั ทรงลมื การท่ีจะลงมาตามหาพระนางศรลี ักษมี พระองค์นั้นทรงคดิ ถึงแต่
นางปัทมาวตี จนพระองค์ได้ตดั สินใจเสด็จไปส่ขู อพระนางเขา้ สู่พิธีววิ าห์
จนภายหลังจากววิ าหก์ พ็ ระองค์ก็ทรงยงั มิไดต้ ามหาพระลกั ษมีตอ่ จนพระนางมา
พบเข้าด้วยพระนางเอง2 แตท่ า้ ยที่สดุ แลว้ พระนางและพระองค์ก็ทรงหวนคนื ประทบั สู่
ไวกูณฐะร่วมกนั อยา่ งมีความสขุ ดงั เดมิ
นอกจากนี้เหล่าสาวกยังเชอ่ื วา่ พระองค์นั้นยงั ไมไ่ ด้กลบั สูไ่ วกูณฐะ แตย่ งั คงสถติ อยู่
บนเขาเวงกฏาทรนี จี้ วบจนปัจจบุ นั
ศรีนวิ าส กลั ยานัม - การแต่งงานของพระศรีนวิ าสและพระปัทมาวตี
1 “มาลา” น่ันคือพวงมาลยั ทีค่ ลอ้ งประดับอยู่บนองค์พระศรีเวงกเฏศวร
2 เร่อื งราวในส่วนน้มี ตี านานหนง่ึ ได้กล่าวว่าพระลักษมีนน้ั ไดม้ ีปากเสียงกบั นางปทั มาวตี ไดต้ ่อว่าวา่ นางนน้ั แยง่
ชิงพระสวามขี องพระนางไป ท้ังกล่าวต่อว่าพระศรีนิวาสว่าลืมพระนางไปได้อยา่ งไร พระองค์ไม่ทรงตอบโตใ้ ดๆ
จนกระทั่งพระนางพลั้งปากไปวา่ ที่พระองค์ไม่ตอบ มัวน่งิ เงยี บนัน่ เพราะเปน็ หนิ ไปแล้วหรือ? เมื่อพระนางหนั ไปก็
พบวา่ พระองค์กลายเป็นเทวรปู หินไปแล้วจริงๆ แต่ทา้ ยที่สุดพระนางกท็ รงเข้าใจเรอ่ื งราวท้งั หมด และรับพระนาง
ปัทมาวตเี ขา้ เป็นหนึง่ ในพระองค์ และสถติ เคยี งคกู่ บั พระศรนี วิ าส ณ ที่แห่งนน้ั มาจนถึงปัจจุบัน
โดยพระองค์น้ันไม่มีทรัพย์สนิ มากมายจงึ ไดไ้ ปขอหยบิ ยมื ทรัพย์สนิ จากองคพ์ ระ
กเุ วร1มาเพ่อื การน้ี และทรงใหค้ ามั่นสญั ญาไวว้ ่าจะไม่เสด็จกลบั ไวกูรฐโลกถ้าหากยงั ชาระ
หนส้ี ินท่ียืมพระกเุ วรไว้ไมห่ มด โดยแทจ้ ริงแลว้ เปน็ ลลี าของพระองค์เองทปี่ ระสงคจ์ ะสถิต
อย่ทู ่ีภูโลกเพื่อโปรดเหลา่ สาวกผูภ้ กั ดีในพระองค์น่ันเอง
พระกเุ วร พระองคน์ ั้นเป็นเทพประจาอยู่ทิศเหนือ ทรงเปน็ เทพแห่งทรพั ย์
ได้รบั การนบั ถอื มากไม่แพ้พระลกั ษมี
1 “พระกเุ วร” หรอื ทา้ วกุเวร/กเุ พร หรือที่อีกชอื่ ท่คี ุ้นเคยกบั ชาวไทยนั่นก็คือ ท้าวเวสสวุ รรณ (ในไทยน้นั ทารูป
พระองค์เปน็ ยกั ษ์) ทรงมีรูปเป็นภูติ(ท้องใหญ)่ ถอื พงั พอนทค่ี ายเพชรนลิ จนิ ดาไวใ้ นพระหตั ถ์ พระบาทนนั้ เตะ
หมอ้ เงิน ส่อื ถงึ ว่าพระองค์นนั้ เป็นผู้มีทรพั ย์รา่ รวย พระองคน์ ้ันเป็นท่ีนบั ถือทั้งในศาสนาฮนิ ดู, พุทธ และเชน
จากตานานข้างต้น ทาใหใ้ นปัจจุบันวัดศรีเวงกเฏศวรสวามี(ตริ ปุ าต)ิ นั้นกลายเปน็
วัดท่รี า่ รวยมากทีส่ ดุ วดั หน่งึ เพราะมผี ศู้ รทั ธาเป็นจานวนมากหล่งั ไหลเขา้ มา และบริจาค
ทรัพยส์ นิ มากมายด้วยความเชอ่ื วา่ ถวายใหพ้ ระองค์นาไปใชห้ น้ใี หแ้ กพ่ ระกเุ วร
พระมูลวรั *ของพระศรีนิวาสและพระปทั มาวตี ซ่ึงประดษิ ฐานอยูภ่ าย
ในเทวสถานศรเี วงกเฏศวรสวามี(ตริ ุปาติ)
เทวสถานศรเี วงกเฏศวรสวาม(ี ติรปุ าต)ิ
*มลู วัร(Moolavar) คอื เทวรปู ประทาน ซ่ึงเปน็ เทวรปู ท่ีมคี วามสาคัญท่ีสุดภายในเทวสถานแห่งนน้ั
พระกัลกี - ทรงมาเพื่อชําระลา้ งทุกสิง่
พระกัลกิยาวตาร – อวตารปางที่ ๑๐ ของพระวิษณุ ซึง่ นับเป็นอวตารสดุ ทา้ ย
ของพระองคซ์ งึ่ จะเสดจ็ มาในอนาคต
ในอนาคตกาลนน้ั พระองคจ์ ะทรงเสด็จมาอีกครัง้ แน่นอน เช่นเดยี วกับทพ่ี ระองค์
จะทรงตอบสนองความตอ้ งการของสาวกผภู้ กั ดีต่อพระองคเ์ สมอ เมือ่ โลกนน้ั ถงึ จุดยา่ แย่
ท่สี ดุ ถงึ คราวมดื มนทส่ี ุด ความดีจากทัง้ ๔สว่ นเหลือจานวนนอ้ ยกวา่ ๑ส่วน
พระองค์จะทรงเสดจ็ มาในมหาอวตาร นามว่า “กัลก”ี บรุ ุษผปู้ ระทบั บนม้าศึกสี
ขาวดง่ั แสงจันทร์ ในพระหตั ถน์ ้ันถือดาบและโล่* ทรงเข้าประหัตประหารแลทาลายเหล่า
ทรชนคนบาปทง้ั มวล ทรงชาระล้างใหโ้ ลกนหี้ มดส้นิ ไปกอ่ นที่พระพรหมาจะตน่ื ขน้ึ จาก
ห่วงนทิ ราการหลบั ไหล เพ่ือสร้างสรรโลกนข้ี น้ึ ใหม่อีกครง้ั หนึ่ง
*ในบางครั้งกก็ ลา่ วว่าพระองค์นัน้ จะปรากฏในรูปทมี่ รี ่างเปน็ บุรษุ และมีศีรษะเป็นม้า
จากเรอ่ื งราวทผ่ี า่ นมานน้ั จะพบวา่ พระองค์(พระวษิ ณุ) ไมเ่ คยทอดทงิ้ ผู้ศรทั ธาใน
พระองคเ์ ลย พระองคจ์ ะทรงตอบสนองต่อความปรารถนาของผศู้ รทั ธาเหล่านัน้ ด้วย
วิธกี ารอนั แยบยลและเหมาะสมต่อบุคคลน้นั เสมอ โดยได้แสดงผ่านการอวตารลงมา ผา่ น
เรือ่ งราวที่ไดบ้ ันทึกไว้ในคมั ภีร์ ในปรุ าณะต่างๆ
เพราะฉะนน้ั ขอเพียงไมส่ น้ิ ศรทั ธาในพระองค์ เราพงึ ปฏบิ ตั ิบชู า แสดงภกั ตติ อ่
พระองคด์ ้วยใจจรงิ แท้ พระองค์ก็ยอ่ มตอบสนองตอ่ ความปรารถนาน้นั อย่างแนน่ อน และ
หากเราปรารถนาถงึ ความหลุดพน้ อนั สงู สดุ แลว้ นนั้ พงึ ระลกึ ถึงพระองค์ในทุกขณะจิต พึง
ต้งั ใจปฏิบตั ิโยคะอย่างยิง่ ยวดแลแน่วแน่ พระองคจ์ ะทรงประทานการหลุดพน้ น้ันแก่เรา
และนาพาเราเข้าส่พู ระองคอ์ ยา่ งแน่นอน
“ โอํ ศานฺติะ ศานตฺ ิะ ศานตฺ ะิ ๚ “