The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการพัฒนาผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

รายงานการพัฒนาผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

รายงานการพัฒนาผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ของนักเรียน สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 โดยใช้ชุดการสอน ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จัดท าโดย นายสิทธิพร แจ่มสุวรรณ ต าแหน่งครู วิทยฐานะครูช านาญการพิเศษ สาขาวิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


ชื่อเรื่อง รายงานการวิเคราะห์การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ของนักเรียน สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 โดยใช้ชุดการสอน ภาคเรียนที่ 2 ประจ าปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัย นายสิทธิพร แจ่มสุวรรณ ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะครูช านาญการพิเศษ สถานศึกษา วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ปีที่ท าการวิจัย ประจ าปีงบประมาณ 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีเป็นการรายงานผลการใช้ชุดการสอน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการ เรียน ตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ร้อยละ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้ชุดการเรียน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการเรียน กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา สถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ที่ลงทะเบียนเรียน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 6 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดการสอน ประกอบด้วย เอกสาร ประกอบการเรียน โดยในแต่ละหน่วยการเรียน มีรายละเอียดได้แก่ สาระการเรียนรู้ สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ ผังมโนทัศน์ เนื้อหา แบบฝึกหัดท้ายหน่วย แบบทดสอบก่อนเรียนและหลัง เรียน และสื่อการเรียนรู้ของแต่ละหน่วยเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึง พอใจของผู้เรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1. ชุดการสอน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ในการหาประสิทธิภาพของ ชุดการเรียน ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ปรากฏว่า เอกสารประกอบการเรียน มีประสิทธิภาพ 92.50/83.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ได้แก่ 80/80 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ชุด การเรียน ผลปรากฏว่า มีความแตกต่างโดยผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยส าคัญที่ระดับ .05 แสดงว่าการเรียนด้วยชุดการสอนนี้ท าให้ผู้เรียนมีความรู้และเข้าใจสูงขึ้น 3. ความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอน ผลปรากฏว่า ด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ย ( x = 4.77) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 0.42) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด ด้านแบบฝึกหัด มีค่าเฉลี่ย ( x = 4.54) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 0.60) ซึ่งอยู่ในระดับ เกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด และด้านสื่อการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย ( x = 4.79) และค่าเบี่ยงเบน


มาตรฐาน (S.D. = 0.40) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด สามารถอธิบายผลใน ภาพรวม สรุปได้ว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ โดยมีค่าเฉลี่ย ( x = 4.65) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 0.54) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ........................................................................................................................ก สารบัญ........................................................................................................................... ข บทที่ 1 บทน า.............................................................................................................. 1 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา......................................................... 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย................................................................................ 2 1.3 สมมติฐานการวิจัย........................................................................................... 2 1.4 ขอบเขตการวิจัย.............................................................................................. 2 1.5 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย............................................................................... 3 1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากผลการวิจัย..................................................................... 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง....................................................................... 4 2.1 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556..................................... 4 2.2 ความหมายของชุดการสอน............................................................................. 13 2.3 ส่วนประกอบของชุดการสอน.......................................................................... 14 2.4 ประเภทของชุดการสอน.................................................................................. 15 2.5 ขั้นตอนการผลิตชุดการสอน............................................................................ 15 2.6 ประสิทธิภาพของชุดการสอน.......................................................................... 17 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.................................................................................. 21 2.8 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ......................................................................... 24 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง......................................................................................... 28 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย............................................................................................ 31 3.1 การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา......................................................................... 31 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.............................................................................. 32 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล……........................................... 32 3.4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................... 33 3.5 ขั้นตอนในการด าเนินงาน.................................................................................. 35


สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................... 37 4.1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการสอน.......................................... 37 4.2 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน................................................................................................. 38 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการสอน.......................... 39 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.......................................................... 42 5.1 สรุปผลการวิจัย............................................................................................... 42 5.2 อภิปรายผล..................................................................................................... 44 5.3 ข้อเสนอแนะ............................................................................................. ...... 45 บรรณานุกรม.................................................................................................................. 46 ภาคผนวก...................................................................................................................... 49


บทที่1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การจัดการเรียน การสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพในสาขาวิชาสถาปัตยกรรมเป็นการ จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียน เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาทางด้านภาคทฤษฎี ซึ่งในการ จัดการเรียนรู้ของนักเรียนมีความจ าเป็นที่จะต้องใช้ชุดการเรียนที่มีความเข้าใจง่ายเพื่อให้เกิดความ สนใจในเนื้อหา สร้างแรงจูงใจในการเรียน และยังช่วยลดการเรียนรู้ให้สั้นลงซึ่งส่งผลให้เกิดการ พัฒนาทางด้านการเรียนของผู้เรียน จากสภาพปัญหาที่เกี่ยวกับการสอนในรายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 ของนักเรียนสาขา สถาปัตยกรรม ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ า ซึ่งเกิด จากนักเรียนขาดความเข้าใจในเนื้อหา การจัดการเรียนการสอนขาดสื่อการสอนที่สร้างความเข้าใจ และมีการสอนโดยยึดหนังสือเรียนโดยไม่มีภาพประกอบเป็นหลัก จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาค้นคว้า หลักการ แนวทางการสอนต่างๆ การ พัฒนาสื่อการสอน ที่จะน ามาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนรายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 โดยใช้ชุดการ เรียน ประกอบด้วย เอกสารประกอบการเรียน โดยในแต่ละหน่วยการเรียน มีรายละเอียดได้แก่ สาระ การเรียนรู้ สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ ผังมโนทัศน์ เนื้อหา แบบฝึกหัดท้ายหน่วย แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และสื่อการเรียนรู้ของแต่ละหน่วย เพื่อแก้ปัญหาของนักเรียนให้ ประสบผลส าเร็จตามเป้าหมายและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น ผู้วิจัยพบว่าในการจัดการเรียนรู้วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ส านักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีปัญหา ประกอบด้วย 1. วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 เป็นวิชาใหม่ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 จึงท าให้ไม่มีชุดการสอน 2. ชุดการสอนที่ใช้ท าการสอนมีเนื้อหาไม่ตรงตามค าอธิบายรายวิชา และจุดประสงค์ การเรียนรู้ จึงท าให้ผู้วิจัยได้แนวคิดในการจัดท าชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 ซึ่งจะเป็น ประโยชน์ในการเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาได้ง่าย มีเนื้อหาที่ตรงตามค าอธิบาย รายวิชา และเป็นแนวทางให้ผู้ที่สนใจได้ท าการศึกษาต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของชุดการสอน รายวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม


2 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางเรียนก่อนและหลังเรียน โดยใช้ชุดการสอน รายวิชาวัสดุ ก่อสร้าง 2 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา สถาปัตยกรรม 1.2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการสอน รายวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา สถาปัตยกรรม 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 1.3.1 ประสิทธิภาพของชุดการสอน รายวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ส าหรับ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ เท่ากับ 80/80 1.3.2 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน โดยใช้ชุดการสอน รายวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา สถาปัตยกรรม สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 1.3.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการสอน รายวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม อยู่ใน ระดับมีความพึงพอใจมาก 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 ชุดการสอน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 1002 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ด าเนินการสร้างขึ้นตามหลักการจุดมุ่งหมายและเกณฑ์การใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ใช้ส าหรับการ เรียนการสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม 1.4.2 ประชากร โดยก าหนดเป็นผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา สถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง 1.4.3 ตัวแปร ประกอบด้วย ตัวแปรต้น ชุดการสอน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้เอกสารประกอบการเรียน และความ พึงพอใจในการเรียนการสอน โดยใช้ชุดการสอน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง


3 1.5 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย 1.5.1 นักเรียน หมายถึง นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 1.5.2 ชุดการสอน หมายถึง ชุดการสอน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2รหัสวิชา 20108 – 2107 ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้แก่ หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง 1.5.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ได้ท า การทดสอบซึ่งใช้แบบทดสอบที่ผู้วิจัยจัดท าขึ้นตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ของวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัส วิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ครอบคลุมเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ 1.5.4 ประสิทธิภาพ หมายถึง คุณภาพของชุดการสอนที่ได้จากคะแนนในการท าแบบฝึกหัด และคะแนนการท าแบบทดสอบหลังเรียน 1.5.5 เกณฑ์ที่ก าหนด 80/80 หมายถึง เกณฑ์ที่ใช้การก าหนดระดับประสิทธิภาพการจัดการ เรียนการสอน โดยใช้ชุดการสอนที่ผู้สอนจัดท าขึ้นมา ได้แก่ 80 ตัวแรก (E1 ) หมายถึง คะแนนที่ได้จากการท าแบบฝึกหัดระหว่างเรียน ในชุดการ สอน ซึ่งได้คะแนนรวมร้อยละ 80 ขึ้นไป 80 ตัวหลัง (E2 ) หมายถึง คะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบหลังเรียน ด้วยชุดการ สอน ซึ่งได้คะแนนรวมร้อยละ 80 ขึ้นไป 1.5.6 แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบการเรียนเพื่อประเมินความก้าวหน้าทางการเรียน ของผู้เรียนโดยทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 1.5.7 ระดับความพึงพอใจของผู้เรียน หมายถึง ความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อคุณภาพของชุด การสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากผลการวิจัย 1.6.1 ได้ชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ที่ มีประสิทธิภาพซึ่งพัฒนาขึ้นโดยสามารถน าไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ตรงตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพพุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาสถาปัตยกรรม 1.6.2 ได้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีขึ้น เมื่อเรียนด้วยชุดการสอนวิชา วัสดุ ก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.6.3 นักเรียนมีความพึงพอใจที่เรียนด้วยการใช้ชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและหาประสิทธิภาพของชุดการ สอนเรียนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน ที่ผู้วิจัยได้จัดท าขึ้น พร้อมทั้งศึกษาความ พึงพอใจของผู้เรียนที่ใช้เอกสารประกอบการเรียนฉบับดังกล่าว โดยผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร และงานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการท าวิจัยดังนี้ 2.1 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 2.2 ความหมายของชุดการสอน 2.3 ส่วนประกอบของชุดการสอน 2.4 ประเภทของชุดการสอน 2.5 ขั้นตอนการผลิตชุดการสอน 2.6 ประสิทธิภาพของชุดการสอน 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.8 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 หลักการของหลักสูตร 1. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหลังมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่าด้านวิชาชีพ ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ และประชาคม อาเซียนเพื่อผลิตและพัฒนาก าลังคนระดับฝีมือให้มีสมรรถนะ มีคุณธรรมจริยธรรม และ จรรยาบรรณวิชาชีพสามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการและการ ประกอบอาชีพอิสระ 2. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เลือกเรียน ได้อย่างกว้างขวางเน้นสมรรถนะเฉพาะด้านด้วยการ ปฏิบัติจริงสามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ เทียบโอนผลการเรียน สะสมผลการเรียน เทียบความรู้และประสบการณ์จากแหล่งวิทยาการ สถาน ประกอบการและสถานประกอบอาชีพอิสระ


5 3. เป็นหลักสูตรที่สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่าง หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน 4. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้สถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชนและท้องถิ่น มีส่วน ร่วมในการพัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับสภาพยุทธศาสตร์ของภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จุดหมายของหลักสูตร 1. เพื่อให้มีความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในงานอาชีพสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ สามารถน าความรู้ทักษะและประสบการณ์ในงานอาชีพไปปฏิบัติงานอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเลือกวิถีการด ารงชีวิต การประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสมกับตน สร้างสรรค์ความเจริญต่อ ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ 2. เพื่อให้เป็นผู้มีปัญญา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและ การประกอบอาชีพ สามารถสร้างอาชีพ มีทักษะในการจัดการและพัฒนาอาชีพให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ 3. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในวิชาชีพที่เรียน รักงาน รัก หน่วยงาน สามารถท างานเป็นหมู่คณะได้ดี โดยมีความเคารพในสิทธิและหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น 4. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ทั้งในการท างาน การอยู่ร่วมกัน การต่อต้าน ความรุนแรงและสารเสพติด มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว หน่วยงาน ท้องถิ่นและประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อสังคม เข้าใจและเห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีจิตส านึกด้าน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รู้จักใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี 5. เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีมนุษย์สัมพันธ์ มีคุณธรรม จริยธรรม และวินัยในตนเอง มี สุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เหมาะสมกับงานอาชีพ 6. เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของ ประเทศและโลก มีความรักชาติ ส านึกในความเป็นไทย เสียสละเพื่อส่วนรวม ด ารงรักษาไว้ซึ่ง ความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 การเรียนการสอน - การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวิธีเรียนที่ก าหนด และน าผลการเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้ สามารถโอนผลการเรียน และขอเทียบความรู้ และประสบการณ์ได้


6 - การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริง สามารถจัดการเรียนการสอนได้หลากหลาย รูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในวิธีการและการด าเนินงาน มีทักษะการปฏิบัติงานใน ขอบเขตส าคัญและบริบทต่างๆ ที่สัมพันธ์กันซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานประจ า สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ และทักษะไปสู่บริบทใหม่ สามารถให้ค าแนะน า แก้ปัญหาเฉพาะด้านและรับผิดชอบต่อตนเองและ ผู้อื่น มีส่วนร่วมในคณะท างานหรือมีการประสานงานกลุ่ม รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรมวิชาชีพ เจตคติและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการท างาน การจัดการศึกษาและเวลาเรียน การจัดการศึกษาในระบบปกติ ใช้ระยะเวลา 3 ปีการศึกษา การจัดเวลาเรียนให้ด าเนินการ ดังนี้ - ในปีการศึกษาหนึ่ง ๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น 2 ภาคเรียนปกติหรือระบบทวิภาคี ภาคเรียนละ 18 สัปดาห์ โดยมีเวลาเรียนและจ านวนหน่วยกิตตามที่ก าหนด และสถานศึกษาอาจ เปิดสอนภาคเรียนฤดูร้อนได้อีกตามที่เห็นสมควร - การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาเปิดท าการสอนไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 5 วันๆละ ไม่เกิน 7 ชั่วโมง โดยก าหนดให้จัดการเรียนการสอนคาบละ 60 นาที หน่วยกิต ให้มีจ านวนหน่วยกิต ตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 103-110 หน่วยกิต การคิดหน่วยกิตถือ เกณฑ์ดังนี้ - รายวิชาภาคทฤษฎีที่ใช้เวลาบรรยายหรืออภิปราย1 ชั่วมงต่อสัปดาห์ หรือไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต - รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการทดลองหรือฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 36 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต - รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติในโรงฝึกงานหรือภาคสนาม 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต - การฝึกอาชีพในการศึกษาระบบทวิภาคีที่ใช้เวลา ไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต - การฝึกประสบการณ์ทักษะวิชาชีพในสถานประกอบการที่ใช้ไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อ ภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต - การท างานโครงการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต


7 โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 แบ่งเป็น 3 หมวดวิชา และกิจกรรมเสริมหลักสูตร ดังนี้ - หมวดวิชาทักษะชีวิต - กลุ่มวิชาภาษาไทย - กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ - กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ - กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ - กลุ่มวิชาสังคมศึกษา - กลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา - หมวดวิชาทักษะวิชาชีพ - กลุ่มทักษะวิชาชีพพื้นฐาน - กลุ่มทักษะวิชาชีพเฉพาะ - กลุ่มทักษะวิชาชีพเลือก - ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ - โครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพ - หมวดวิชาเลือกเสรี - กิจกรรมเสริมหลักสูตร จ านวนหน่วยกิตของแต่ละหมวดวิชาตลอดหลักสูตร ให้เป็นไปตามก าหนดไว้ในโครงสร้าง ของแต่ละประเภทวิชาและสาขาวิชา การพัฒนารายวิชาในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐานและกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ จะเป็น รายวิชาบังคับที่สะท้อนความเป็นสาขาวิชาตามมาตรฐานการศึกษา ด้านสมรรถนะวิชาชีพของ สาขาวิชา ซึ่งยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ จึงต้องพัฒนากลุ่มรายวิชาให้ครบจ านวนหน่วยกิตที่ก าหนด และผู้เรียนต้องเรียนทุกรายวิชา สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถจัดรายวิชาตามที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร และหรือ พัฒนาเพิ่มตามความต้องการเฉพาะด้านของสถานประกอบการหรือตามยุทธศาสตร์ภูมิภาค เพื่อเพิ่ม ขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและมาตรฐานการศึกษา วิชาชีพที่ประเภทวิชา สาขาวิชาและสาขางานก าหนด การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน กับภาค การผลิตและหรือภาคบริการ หลังจากทีÉผู้เรียนได้เรียนรู้ภาคทฤษฎีและการฝึกหัดหรือ ฝึกปฏิบัติเบื้องต้น ในสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันแล้วระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้


8 ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ได้สัมผัสกับการปฏิบัติงานอาชีพ เครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ ทีÉทันสมัย และบรรยากาศ การท างานร่วมกัน ส่งเสริมการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ ผู้เรียนท าได้ คิดเป็น ท าเป็นและเกิดการใฝ่ รู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเกิดความมั่นใจและเจตคติทีÉดีในการ ท างานและการประกอบอาชีพอิสระโดยการจัด ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพต้องด าเนินการ ดังนี้ - สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดให้มีการฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ ใน รูป ของการฝึกงานในสถานประกอบการ แหล่งวิทยาการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ในภาค เรียนที่ 5 และหรือภาคเรียนที่ 6 โดยใช้เวลารวมไม่น้อยกว่า 320 ชั่วโมง ก าหนดให้มีค่าเท่ากับ 4 หน่วยกิต กรณีสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องการเพิ่มพูนประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ สามารถน ารายวิชาที่ตรงหรือสัมพันธ์กับลักษณะงานไปเรียนหรือฝึกในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐในภาคเรียนที่จัดฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพได้รวมไม่น้อยกว่า 1 ภาค เรียน 5.2 การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับรายวิชาอื่น โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ เป็นรายวิชาที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า บูรณาการความรู้ ทักษะและ ประสบการณ์จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองความถนัดความสนใจ ตั้งแต่การเลือกหัวข้อ หรือเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้า การวางแผน การก าหนดขั้นตอนการด าเนินการ การด าเนินงาน การ ประเมินผลและการจัดท าโครงการดังกล่าวต้องด าเนินการดังนี้ - สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดให้ผู้เรียนจัดท า โครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพที่ สัมพันธ์หรือสอดคล้องกับสาขาวิชา ในภาคเรียนที่ 5 และหรือภาคเรียนที่ 6 รวมไม่น้อยกว่า 4 หน่วยกิต ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 216 ชั่วโมง ทั้งนี้สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดให้มีชั่วโมงเรียน 4 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ กรณีที่ก าหนดให้เรียนรายวิชาโครงงาน 4 หน่วยกิต หากจัดให้เรียนรายวิชาโครงงาน 2 หน่วยกิต คือ โครงงาน 1และโครงงาน 2 ให้สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบันจัดให้มีชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์ที่เทียบเคียงกับเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น - การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับรายวิชาอื่น ๆ กิจกรรมเสริมหลักสูตร - สถานศึกษาต้องจัดให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อพัฒนา วิชาการและวิชาชีพ ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ค่านิยม ระเบียบวินัย การต่อต้านความรุนแรงและ สารเสพติด ส่งเสริมการคิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์การท างาน ปลูกฝังจิตส านึกและเสริมสร้างการ เป็นพลเมืองไทยและพลโลก ใช้กระบวนการกลุ่มในการท าประโยชน์ต่อชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้ง การทะนุบ ารุงขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม โดยการวางแผน ลงมือปฏิบัติ ประเมินผล และ


9 ปรับปรุงการท างาน ทั้งนี้ส าหรับนักเรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ให้เข้าร่วมกิจกรรมที่สถาน ประกอบการจัดขึ้น - การประเมินผลกิจกรรมเสริมหลักสูตร ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย การจัดการศึกษาและการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ การจัดแผนการเรียน เป็นการก าหนดรายวิชาตามโครงสร้างหลักสูตรทีÉจะด าเนินการเรียนการสอนในแต่ละภาค เรียน โดยจัดอัตราส่วนการเรียนรู้ภาคทฤษฎีต่อภาคปฏิบัติในหมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ ประมาณ 20: 80 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะหรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ของแต่ละสาขาวิชา ซึ่งมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ - จัดรายวิชาในแต่ละภาคเรียน โดยค านึงถึงรายวิชาทีÉต้องเรียนตามล าดับก่อน-หลังความ ง่าย-ยาก ของรายวิชา ความต่อเนื่องและเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของรายวิชา รวมทั้งรายวิชาที่สามารถ บูรณาการ จัดการเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะของงาน โครงงานและหรือชิ้นงานในแต่ละภาคเรียน - จัดให้ผู้เรียนเรียนรายวิชาบังคับในหมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง หมวดวิชาสมรรถนะ วิชาชีพ ในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐานและกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ และกิจกรรมเสริมหลักสูตร ให้ครบ ตามที่ก าหนดในโครงสร้างหลักสูตร - จัดให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนรายวิชาชีพเลือกและวิชาเลือกเสรี ตามความถนัด ความสนใจ เพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ - จัดรายวิชาทวิภาคี และรายวิชาที่น าไปเรียนและฝึกในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยประสานงานร่วมกับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อพิจารณาก าหนดรายวิชาหรือกลุ่มวิชาทีÉตรงกับลักษณะงานของสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐในภาคเรียนนั้น ๆ - จัดรายวิชาฝึกงานในภาคเรียนทีÉ 5 หรือ 6 ครั้งเดียว จ านวน 4 หน่วยกิต (เฉลิย 20 ชั่วโมงต่อ สัปดาห์ต่อภาคเรียน) หรือจัดให้ลงทะเบียนเรียนเป็ น 2ครั้ง คือ ภาคเรียนที่ 5 จ านวน 2 หน่วยกิต และภาคเรียน ที่ 6จ านวน 2 หน่วยกิต (เฉลี่ย 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ต่อภาคเรียน) ตาม เงื่อนไขของหลักสูตรสาขาวิชานั้น ๆ - จัดรายวิชาโครงงานในภาคเรียนทีÉ 5 หรือ 6ครั้งเดียวจ านวน 4 หน่วยกิต หรือจัดให้ ลงทะเบียน เรียนเป็น 2ครั้ง คือ ภาคเรียนทีÉ 5และภาคเรียนที่ 6รวม 4 หน่วยกิต ตามเงื่อนไขของ หลักสูตรสาขาวิชานั้น ๆ - จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรในแต่ละภาคเรียน ภาคเรียนละไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ - จัดจ านวนหน่วยกิตรวมในแต่ละภาคเรียน ไม่เกิน 22 หน่วยกิต ส าหรับการเรียนแบบเต็ม เวลา และไม่เกิน 12 หน่วยกิต ส าหรับการเรียนแบบไม่เต็มเวลา ส่วนภาคเรียนฤดูร้อนจัดได้ไม่เกิน 12 หน่วยกิต ทั้งนี้เวลาในการจัดการเรียนการสอนโดยเฉลี่ยไม่ควรเกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์


10 หากสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันมีเหตุผลและความจ าเป็นในการจัดหน่วยกิตและ เวลา ในการจัดการเรียนการสอนแต่ละภาคเรียนทีÉแตกต่างไปจากเกณฑ์ข้างต้น อาจท าได้แต่ต้องไม่ กระทบต่อ มาตรฐานและคุณภาพการศึกษา การศึกษาระบบทวิภาคี เป็นรูปแบบการจัดการศึกษาทีÉเกิดจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือ สถาบัน กับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหนึ่งใน สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบัน และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การจัดการศึกษาระบบทวิภาคีสามารถเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตและ พัฒนาก าลังคนตรงตาม ความต้องการของผู้ใช้และเป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตร ทั้งนี้ สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้อง ด าเนินการดังนี้ - น ารายวิชาทวิภาคีในกลุ่มสมรรถะวิชาชีพเลือกรวมไม่น้อยกว่า 18 หน่วยกิต ไปร่วมก าหนด รายละเอียดของรายวิชากับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐทีÉร่วมจัดการศึกษา ระบบ ทวิภาคีได้แก่ จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา ค าอธิบายรายวิชา เวลาทีÉใช้ฝึกและ จ านวนหน่วยกิต ให้สอดคล้องกับลักษณะงานของสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของ รัฐ รวมทัÊงสมรรถนะ วิชาชีพของสาขางาน ทั้งนี้การก าหนดจ านวนหน่วยกิตและจ านวนชั่วโมงที่ใช้ ฝึกอาชีพของแต่ละรายวิชา ทวิภาคีให้เป็นไปตามที่หลักสูตรก าหนด และให้รายงานการพัฒนา รายวิชาดังกล่าวให้ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทราบด้วย - จัดท าแผนฝึกอาชีพ พร้อมแนวการวัดและประเมินผลในแต่ละรายวิชา เพื่อน าไปใช้ในการ ฝึก อาชีพ และวัดและประเมินผลเป็นรายวิชา - จัดแผนการเรียนระบบทวิภาคีตามความพร้อมของสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐที่จัดการศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกัน โดยอาจน ารายวิชาอื่นที่สอดคล้องกับลักษณะ งานของ สถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ไปจัดร่วมด้วยก็ได้ การเข้าเรียน ผู้เข้าเรียนต้องส าเร็จการศึกษาไม่ต่ ากว่าระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า และ คุณสมบัติเป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการจัดการศึกษาและประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ การประเมินผลการเรียน เน้นการประเมินสภาพจริง ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการ ประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ


11 การส าเร็จการศึกษาตามหลักสูตร - ประเมินผ่านรายวิชาในหมวดวิชาทักษะชีวิต หมวดวิชาทักษะวิชาชีพ และหมวดวิชา เลือกเสรี ตามที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร - ได้จ านวนหน่วยกิตสะสมครบตามโครงสร้างของหลักสูตร - ได้ค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ ากว่า 2.00 และผ่านการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ - เข้าร่วมกิจกรรมและผ่านการประเมินทุกภาคเรียน การพัฒนารายวิชาในหลักสูตร - หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถพัฒนารายวิชา เพิ่มเติม ในแต่ละกลุ่มวิชา เพื่อเลือกเรียนนอกเหนือจากรายวิชาที่ก าหนดให้เป็นวิชาบังคับได้โดย สามารถพัฒนาเป็น รายวิชาหรือลักษณะบูรณาการ ผสมผสานเนื้อหาวิชาที่ครอบคลุมสาระของกลุ่ม วิชาภาษาไทย กลุ่มวิชา ภาษาต่างประเทศ กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ กลุ่มวิชาสังคม ศึกษา กลุ่มวิชาสุขศึกษาและ พลศึกษา ในสัดส่วนทีÉเหมาะสม โดยพิจารณาจากมาตรฐานการเรียนรู้ ของกลุ่มวิชานั้น ๆ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของหมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง - หมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถเพิ่มเติม รายละเอียด ของรายวิชาในแต่ละกลุ่มวิชาในการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ และสามารถพัฒนา รายวิชาเพิ่มเติมในกลุ่ม สมรรถนะวิชาชีพเลือกได้ตามความต้องการของสถานประกอบการหรือ ยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ ต้องพิจารณาให้ สอดคล้องกับจุดประสงค์สาขาวิชาและ สมรรถนะวิชาชีพสาขางานด้วย - หมวดวิชาเลือกเสรี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถพัฒนารายวิชาเพิ่มเติมได้ ตามความต้องการของสถานประกอบการ ชุมชน ท้องถิ่น หรือยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเพื่อเพิ่มขีด ความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศและหรือเพื่อการศึกษาต่อ ทั้งนี้ การก าหนดรหัสวิชา จ านวนหน่วยกิตและจ านวนชั่วโมงเรียนให้เป็นไปตามที่หลักสูตร ก าหนด การปรับปรุงแก้ไข พัฒนารายวิชา กลุ่มวิชาและการอนุมัติหลักสูตร - การพัฒนาหลักสูตรหรือการปรับปรุงสาระส าคัญของหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานคุณวุฒิ อาชีวศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ให้เป็นหน้าที่ของส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบัน การอาชีวศึกษา และสถานศึกษา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการอาชีวศึกษา - การอนุมัติหลักสูตร ให้เป็นหน้าที่ของส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการการอาชีวศึกษา - การประกาศใช้หลักสูตรให้ท าเป็นประกาศกระทรวงศึกษาธิการ


12 - การพัฒนารายวิชาหรือกลุ่มวิชาเพิ่มเติม สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถ ด าเนินการได้ โดยต้องรายงานให้ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทราบ การประกันคุณภาพของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ให้ทุกหลักสูตรก าหนดระบบประกันคุณภาพของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนไว้ให้ ชัดเจน อย่างน้อยประกอบด้วย 4 ด้าน คือ - หลักสูตรที่ยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ - ครูทรัพยากรและการสนับสนุน - วิธีการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล - ผู้ส าเร็จการศึกษา ให้ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษาและสถานศึกษาจัดให้มี การ ประเมินและรายงานผลการด าเนินการหลักสูตร เพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงหลักสูตรที่อยู่ในความ รับผิดชอบ อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 5 ปี รหัสวิชา 2108 - 2107 วัสดุก่อสร้าง 2 (Building Material 2) 2 – 0 - 2 วิชาบังคับ : 20108 – 1002 วัสดุก่อสร้าง 1 จุดประสงค์รายวิชา เพื่อให้ 1. เข้าใจเกี่ยวกับชนิด ขนาด คุณสมบัติ การน าไปใช้ ของวัสดุพื้น ผนัง เพดาน วัสดุมุง หลังคา วัสดุตกแต่งผิว ประตูหน้าต่างและอุปกรณ์ประกอบ 2. มีทักษะในการเลือกใช้ชนิด ขนาด คุณสมบัติ ของวัสดุพื้น ผนัง เพดาน วัสดุมุง หลังคา วัสดุตกแต่งผิว ประตูหน้าต่างและอุปกรณ์ประกอบได้ 3. มีกิจนิสัยในการใฝ่รู้ ตระหนักและเห็นความส าคัญ ของวัสดุก่อสร้างค านึงถึงสิ่งแวดล้อม สมรรถนะรายวิชา 1. เลือกวัสดุก่อสร้างตามประเภทและสมบัติของวัสดุ ประเภทวัสดุพื้น มาใช้ในก่อสร้าง 2. เลือกวัสดุก่อสร้างตามประเภทและสมบัติของวัสดุ ประเภทวัสดุผนัง มาใช้ในก่อสร้าง 3. เลือกวัสดุก่อสร้างตามประเภทและสมบัติของวัสดุ ประเภทวัสดุเพดาน มาใช้ในก่อสร้าง 4. เลือกวัสดุก่อสร้างตามประเภทและสมบัติของวัสดุ ประเภทวัสดุวัสดุมุงหลังคา มาใช้ใน ก่อสร้าง 5. เลือกวัสดุก่อสร้างตามประเภทและสมบัติของวัสดุ ประเภทวัสดุวัสดุตกแต่งผิว มาใช้ใน ก่อสร้าง 6. เลือกวัสดุก่อสร้างตามประเภทและสมบัติของวัสดุ ประเภทประตูหน้าต่างและอุปกรณ์ ประกอบ มาใช้ในก่อสร้าง


13 ค าอธิบายรายวิชา ศึกษาชนิด ขนาด คุณสมบัติ การเก็บรักษา การน าไปใช้ ของวัสดุพื้น ผนัง เพดาน วัสดุมุงหลังคา วัสดุตกแต่งผิว ประตูหน้าต่างและอุปกรณ์ประกอบ 2.2 ความหมายของชุดการสอน ชุดการสอนหรือชุดการเรียนรู้ เดิมมักใช้ค าว่าชุดการสอน เพราะเป็น สื่อที่ครูน ามาใช้ ประกอบการสอนแต่ต่อมาแนวคิดการในการยึดเด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนได้เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น จึงมีผู้เรียกชุดการสอนเป็นชุดการเรียนมากขึ้น บางคนมักเรียกรวมกันว่าชุดการเรียนการสอนก็มี ใน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ได้ใช้ค าว่าการเรียนรู้เป็นค าหลักส าคัญ เพื่อให้ สอดคล้องกับเป้าหมายของการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มาตรา ที่ 22 ที่ว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนส าคัญ ที่สุด ดังนั้นจึงใช้ค าว่า “ชุดการจัดการเรียนรู้” เพื่อที่จะให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ส าหรับชุดการสอนหรือชุดกิจกรรม เป็นสื่อประสมที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ ละชุดการสอนที่สร้างขึ้นจะมีประสิทธิภาพเชื่อถือได้หรือไม่ จ าเป็นต้องเอาวิธีวิเคราะห์ระบบมาใช้ เพื่อหาความเชื่อมั่นของชุดการสอน ได้มีนักการศึกษาหลายท่านที่ให้รายละเอียดของความหมาย วิธีการท าชุดการสอน เช่น สุดารัตน์ ไผ่วงศาวงค์ (2543, หน้า 52) ชุดการสอน หมายถึง สื่อการสอนที่ครูสร้างขึ้นด้วย วัสดุอุปกรณ์หลายชนิด เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนอง โดยครูเป็นผู้ให้ค าแนะน าช่วยเหลือ และมีการน าหลักการทางจิตวิทยามาใช้ประกอบเพื่อส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้รับความส าเร็จ กุศยา แสงเดช (2545, หน้า 5) สรุปว่า ชุดการสอน เป็นสื่อการสอนที่จัดอย่างมีระบบ โดย ให้สอดคล้องกับเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้และประสบการณ์ที่จัดไว้ในแต่ละหน่วย เพื่อช่วยให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ ซึ่งอาจจัดไว้ในกล่องหรือซองเป็นหมวดๆ ระพินทร์ โพศรี (2547 , หน้า 1) สรุปว่าชุดการสอน คือ ระบบสื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ ประกอบการสอนของครูผู้สอน โดนครูเป็นฝ่ายอ านวยการ (Facilitator) และเสริมประสบการเรียนรู้ ให้กับผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะ บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ก าหนด ฮุลตัน และคนอื่นๆ (วาสนา ชาวหา, 2525, หน้า 140; อ้างอิงจาก Houston and other. 1972, p.244) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของชุดการเรียนการสอน จะต้องประกอบด้วย 1. ค าชี้แจง (Prospectus) ในส่วนนี้จะอธิบายถึงความส าคัญของจุดมุ่งหมายของขอบข่ายของ ชุดการเรียนการสอน สิ่งที่ผู้เรียนต้องมีความรู้ก่อนเรียน ขอบข่ายของกรระบวนการทั้งหมด ในชุดการเรียนการสอน


14 2. จุดมุ่งหมาย (Objectives) คือ ข้อความที่แจ่มชัดไม่ก ากวม ที่ก าหนดว่าผู้เรียนจะประสบ ความส าเร็จอะไรหลังจากเรียนแล้ว 3. การประเมินผลเบื้องต้น (Pre-assessment) มีจุดประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อให้ทราบว่า ผู้เรียนอยู่ในระดับในการเรียนนั้นเพื่อดูว่าขาได้รับผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหมายเพียงใด 4. การก าหนดกิจกรรม (Engbling activities) คือ การก าหนดแนวทางและวิธีการเพื่อไปสู่ จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ โดยที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นด้วย 5. การประเมินผลครั้งสุดท้าย (Post-assessment) เป็นข้อสอบวัดผลหลังจากที่เรียนแล้ว องค์ประกอบของชุดการเรียนการสอนต้องประกอบด้วย 1. หัวข้อ (Topic) 2. หัวข้อย่อย (Subtopic) 3. จุดมุ่งหมายหรือหตุผล (Rationale) 4. จุดมุ่งหมายชิงพฤติกรรม (Behavioral objective) 5. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) 6. กิจกรรมและการประเมินผลตนเอง (Activities and self-evaluation) 7. การทดสอบย่อย (Quiz หรือ Formative test) 8. การทดสอบครั้งสุดท้าย (Post-test หรือ Summative evaluation) การสอนรายบุคคล ซึ่งเป็นชุดของวัสดุทางการเรียนที่รวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนตามเป้าหมาย 2.3 ส่วนประกอบของชุดการสอน ชุดการสอนที่สร้างขึ้นมีหลายลักษณะ ขึ้นกับวัตถุประสงค์การใช้ เช่นชุดการสอนแบบกิจกรรม กลุ่ม ชุดการสอนแบบบรรยาย ซึ่งใช้เป็นกลุ่มใหญ่ และชุดการสอนรายบุคคล หรือชุดการเรียน ชุดการ สอนเหล่านี้ จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ตามลักษณะการใช้ ซึ่งอาจมีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้ 1. คู่มือและแบบปฏิบัติส าหรับครูผู้ใช้ชุดการสอนและผู้เรียนที่ต้องเรียนจากชุดการสอน 2. ค าสั่งหรือการมอบหมายงานเพื่อก าหนดแนวทางของการเรียนให้นักเรียน 3. เนื้อหาสาระ ซึ่งบรรจุอยู่ในรูปของสื่อประสม และกิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งแบบกลุ่มและ รายบุคคล ซึ่งก าหนดไว้ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 4. การประเมินผล เป็นการประเมินผลของ กระบวนการ และผลของการเรียนรู้ ในการประเมินผล กระบวนการ ได้แก่ แบบฝึกหัด รายงาน ส่วนผลการเรียนรู้ได้แก่ แบบทดสอบ ซึ่งจะบรรจุอยู่ในกล่อง โดยจัดเป็นหมวดหมู่สะดวกต่อการใช้


15 2.4 ประเภทของชุดการสอน ชุดการสอนแบ่งตามลักษณะการใช้ได้ 3 ประเภท คือ 1. ชุดการสอนแบบบรรยาย หรือชุดการสอนส าหรับครู : เป็นชุดการสอนส าหรับใช้สอน ผู้เรียนเป็นกลุ่มใหญ่ ภายในกล่องจะประกอบด้วยสื่อการสอนที่ใช้ประกอบการบรรยาย เพื่อเปลี่ยน บทบาทของครูให้พูดน้อยลง มาเป็นผู้แนะน า เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมาก ยิ่งขึ้น ชุดการสอนแบบบรรยายนี้ จะมีเนื้อหาโดยจะแบ่งหัวข้อที่จะบรรยาย และประกอบกิจกรรม ตามล าดับขั้น ดังนั้น สื่อการสอนที่ใช้ควรเป็นสื่อที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หรือได้ยินกันอย่างทั่วถึง เช่น แผ่นภาพโปร่งใส สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพยนตร์ แผนภูมิ แผนภาพ โทรทัศน์เอกสารประกอบการ บรรยาย และกิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนได้อภิปรายตามปัญหาและหัวข้อที่ครูก าหนดไว้ และชุดการ สอนประเภทนี้ มักจะบรรจุในกล่องที่มีขนาดพอเหมาะกับสื่อการสอน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นวัสดุ อุปกรณ์ที่ไม่สามารถบรรจุไว้ในกล่องได้ จะต้องก าหนดไว้ใน คู่มือครู ส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งที่ ครูผู้สอน จะต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนท าการสอน 2. ชุดการสอนส าหรับกิจกรรมกลุ่ม หรือ ชุดการสอนที่ใช้กับศูนย์เรียน : เป็นชุดการสอน แบบกิจกรรม ที่สร้างขึ้นโดยอาศัยระบบการผลิตสื่อการสอนตามหน่วยและหัวเรื่องโดยเปิดโอกาสให้ ผู้เรียน ได้ร่วมกันประกอบกิจกรรมเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 5-7 คน ในห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน ชุดการสอนแบบกิจกรรมกลุ่มนี้ ประกอบด้วยชุดย่อย ๆ ตามจ านวนศูนย์ในแต่ละหน่วย ในแต่ละศูนย์ จะจัดสื่อการสอนไว้ในรูปของสื่อประสม อาจเป็นสื่อรายบุคคล หรือสื่อส าหรับกลุ่มผู้เรียนทั้งศูนย์ใช้ ร่วมกัน ผู้เรียนที่เรียนได้ใช้ชุดการสอนแบบกิจกรรมกลุ่มจะต้องการความช่วยเหลือจากครูในระยะเริ่ม เรียนเท่านั้น หลังจากเคยชินต่อวิธีการเรียนแบบนี้แล้วผู้เรียนจะสามารถช่วยเหลือกันเองภายในกลุ่ม ระหว่างการประกอบกิจกรรม หากมีปัญหาสามารถถามครูได้ตลอดเวลา 3. ชุดการสอนรายบุคคล หรือชุดการเรียน : เป็นชุดการสอนที่มีการจัดระบบเพื่อให้ผู้เรียน สามารถเรียนด้วยตนเองตามล าดับขั้นที่ระบุไว้โดยผู้เรียนสามารถเรียนด้วยตนเอง ตามความสนใจของ แต่ละคน และตามอัตราการเรียนรู้ของตนเอง ผู้เรียนสามารถประเมินผลการเรียนด้วยตนเอง ชุดการ สอนประเภทนี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า หรือศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมด้วยตนเอง ผู้สอนจะ เป็นผู้ที่ให้ ค าแนะน า และช่วยเหลือทันทีหรือผู้เรียนอาจน าชุดการสอนประเภทนี้ไปศึกษาเองที่บ้าน ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริม และฝึกฝน ให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 2.5 ขั้นตอนการผลิตชุดการสอน ในการผลิตชุดการสอนนั้น สามารถแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1. ก าหนดหมวดหมู่ เนื้อหา และประสบการณ์ อาจก าหนดเป็น หมวดวิชา หรือ สหวิทยาการ 2. ก าหนดหน่วยการสอน โดยการแบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็น หน่วยการสอน เพื่อให้ผู้สอนสามารถ


16 ถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนได้ ภายใน 1 สัปดาห์ หรือให้เสร็จสมบูรณ์ได้ภายในการสอน 1 ครั้ง อาจเป็น 1-2 ชั่วโมง 3. ก าหนดหัวเรื่อง ผู้สอนควรก าหนด หัวเรื่องต่าง ๆ ที่จะสอนว่า ในการสอนแต่ละครั้งจะจัด ประสบการณ์ใดบ้างให้แก่ผู้เรียน 4. ก าหนดมโนมติ และหลักการ ในการก าหนด มโนมติ และหลักการนี้ จะต้องสอดคล้องกับ หน่วยการสอนและหัวเรื่อง โดยสรุปรวม แนวคิด สาระ และหลักเกณฑ์ส าคัญไว้เพื่อเป็นแนวทางใน การน าเสนอเนื้อหาที่จะสอนให้สอดคล้องกัน 5. ก าหนดวัตถุประสงค์ ในการผลิตชุดการสอนนั้นควรก าหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับหัว เรื่องโดยเขียนเป็นวัตถุประสงค์ทั่วก่อน แล้วจึงเขียนเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 6. ก าหนดกิจกรรมการเรียน ในการก าหนดกิจกรรมการเรียน ควรจะพิจารณาให้สอด-คล้องกับ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เพราะกิจกรรมการเรียนที่ผู้เรียนจะต้องประกอบกิจกรรมนั้น จะต้อง สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ อันเป็นแนวทางในการ เลือก ผลิต และใช้สื่อการสอน กิจกรรมทุกอย่างที่ผู้เรียนปฏิบัติ เช่น ตอบค าถาม ปฏิบัติกิจกรรมตามค าสั่ง เล่นเกม ฯลฯ 7. ก าหนดแบบประเมินผล ควรจะต้องประเมินผลให้ตรงตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ ก าหนดไว้ โดยใช้แบบทดสอบ และใช้วิธีการพิจารณาแบบอิงเกณฑ์ เพื่อผู้สอนจะได้ทราบว่า หลังจาก ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ผู้เรียนได้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ 8. เลือกและผลิตสื่อการสอน ในการผลิตชุดการสอนนี้ วัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการต่าง ๆ ที่ครูใช้ จัดว่าเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น เมื่อผลิตสื่อแต่ละหัวเรื่องแล้ว ควรจัดสื่อเหล่านั้นไว้เป็นหมวดหมู่ และจัด ไว้ในซองหรือกล่องที่เตรียมไว้ก่อนน าไปทดสอบหาประสิทธิภาพ 9. ทดสอบประสิทธิภาพชุดการสอน เมื่อสร้างชุดการสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรน าชุดการ สอนไปทดสอบหาประสิทธิภาพ โดยผู้สร้างควรก าหนดเกณฑ์ตามหลักการที่กล่าวว่า การเรียนรู้เป็น กระบวนการ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรม 10. การใช้ชุดการสอน หลังจากที่สร้างชุดการสอนและน าไปหาค่าประสิทธิภาพ ปรับปรุง แก้ไข ได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนก็สามารถน าไปสอนผู้เรียนได้ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ เช่น ชุดการสอน แบบบรรยาย ชุดการสอนแบบรายบุคคล และชุดการสอนส าหรับกิจกรรมกลุ่มและสามารถใช้ได้ทุก ระดับ เช่น อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยมีขั้นตอนการใช้ดังนี้ 10.1 ขั้นทดสอบก่อนเรียน ควรจะมีการตรวจสอบความรู้พื้นฐาน ในเรื่องที่จะ เรียนก่อน 10.2 ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ในขั้นนี้ผู้สอนควรน าเข้าสู่บทเรียนเพื่อเป็นการเตรียมตัวผู้เรียน ก่อนเรียน อีกทั้งเป็นการแนะน าวิธีการเรียนโดยใช้ชุดการสอนในกรณีที่ผู้เรียนยังไม่เคยเรียนโดยวิธีนี้ จะได้ทราบขั้นตอนการเรียน การปฏิบัติตนในกระบวนการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างถูกขั้นตอน จะลดปัญหาในการเรียน ในกรณีที่ใช้ชุดการสอนแบบกิจกรรมกลุ่ม ควรแบ่งกลุ่มผู้เรียนและอธิบาย ขั้นตอนต่าง ๆ ในการเรียนโดยใช้ชุดการสอน


17 10.3 ขั้นประกอบกิจกรรม ในการเรียนการสอนโดยใช้ชุดการสอน ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนรู้แบบ Active Learning ซึ่งจะท าให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี แต่ค าสั่งที่ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามนั้นควรมีความชัดเจน และเข้าใจได้ง่าย โดยเฉพาะชุดการสอนแบบรายบุคคล และแบบกิจกรรมกลุ่ม ภาษาที่ใช้ในการอธิบายควรเข้าใจง่าย และชัดเจนผู้สอนควร ช่วยเหลือ ให้ค าแนะน าเมื่อผู้เรียนเกิดปัญหา 10.4 ขั้นสรุปและทดสอบหลังเรียน เมื่อผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมที่ก าหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้สอนควร สรุปมโมมติต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้เรียนแล้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ทดสอบหลังเรียน เพื่อให้ทราบว่าหลังจากที่ผู้เรียน เรียนแล้วเกิดการเรียนรู้ในเรื่องหรือไม่ ถ้ายังไม่เข้าใจ ผู้สอนควร อธิบาย หรือให้ประกอบกิจกรรมอื่น ที่จะท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังท าให้ ทราบความก้าวหน้าทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน 2.6 ประสิทธิภาพของชุดการสอน 2.6.1 การทดสอบประสิทธิภาพของชุดการสอน การทดสอบหาประสิทธิภาพของชุดการสอน หมายถึง การน าเอกสารประกอบการ สอนไปทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแล้วน าไปทดลองสอนจริง น าผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขเสร็จแล้วจึง ผลิตออกมาเป็นจ านวนมาก ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556) ได้กล่าวถึงการทดสอบประสิทธิภาพของชุดการสอนสรุป ไว้ ดังนี้ 1. ความจ าเป็นที่จะต้องทดสอบประสิทธิภาพในการผลิต ระบบการด าเนินงานทุก ประเภทจ าเป็นต้องมีการตรวจสอบระบบ เพื่อเป็นการประกันว่ามีประสิทธิภาพจริงตามที่มุ่งหวัง การทดสอบประสิทธิภาพของชุดการสอนมีความจ าเป็นด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ 1.1 ส าหรับหน่วยงานผลิตชุดการสอน เป็นการประกันคุณภาพของชุดการสอน ว่าอยู่ในขั้นสูงเหมาะสมที่จะลงทุนผลิตออกมาเป็นจ านวนมาก หากไม่มี การทดสอบประสิทธิภาพ แล้วผลิตออกมาใช้ประโยชน์ได้ไม่ดีก็จะเป็นการสิ้นเปลืองทั้งเวลา แรงงาน และเงิน 1.2 ส าหรับผู้ใช้ชุดการสอน ชุดการสอนที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพจะท า หน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยสอนได้ดี ในการสร้างสภาพการเรียนให้ผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามที่ มุ่งหวัง บางครั้งชุดการสอนต้องช่วยครูสอนบางครั้งต้องสอนแทนครู ดังนั้น ก่อนน าชุดการสอนไปใช้ ครูจึงควรมั่นใจว่า ชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยนักเรียนเกิดการเรียนรู้จริง การทดสอบ ประสิทธิภาพตามล าดับขั้นจะช่วยให้เราได้ชุดการสอนที่มีคุณค่าทางการสอนจริงตามเกณฑ์ที่ก าหนด ไว้


18 1.3 ส าหรับผู้ผลิตชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพจะท าให้ผู้ผลิตมั่นใจว่า เนื้อหาสาระที่บรรจุลงในเอกสารประกอบการสอนง่ายต่อการเข้าใจ อันจะช่วยให้ผู้ผลิตมีความ ช านาญสูงขึ้น เป็นการประหยัดสมอง แรงงาน เวลา และเงินทองในการเตรียมต้นแบบ 1.4 การก าหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับ ประสิทธิภาพของชุดการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ผลิตชุดการสอนพึง พอใจ หากชุดการสอนมีประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้ว ชุดการสอนนั้นมีคุณค่าที่จะน าไปสอน นักเรียนและคุ้มค่าแก่การลงทุนผลิตออกมาเป็นจ านวนมาก การก าหนดเกณฑ์เป็นประสิทธิภาพ กระท าได้โดยการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนซึ่งมี 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) พฤติกรรมขั้นสุดท้ายโดยก าหนดค่าประสิทธิภาพ เป็น E1 (ประสิทธิภาพ กระบวนการ) E2 (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) มีรายละเอียด ดังนี้ 1.4.1 ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (Transition Behavior) คือ ประเมินผล ต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยหลายๆ พฤติกรรม เรียกว่า กระบวนการ (Process) ของ ผู้เรียนที่สังเกตจากการประกอบกิจกรรมกลุ่ม (รายงานกลุ่ม) และรายงานบุคคล ได้แก่ งานที่ มอบหมาย และกิจกรรมอื่นๆ ที่ผู้สอนก าหนดไว้ 1.4.2 ประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (Terminal Behavior) คือ ประเมิน ผลลัพธ์ (Product) ของผู้เรียนโดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียนและการสอบปลายปี การก าหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระท าโดยการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียน ประสิทธิภาพของชุดการสอนจะก าหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายไว้ว่า ผู้เรียนจะเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยก าหนดให้ร้อยละของผลเฉลี่ยของคะแนนการท างาน และการประกอบ กิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อร้อยละของผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด นั่นคือ E1/E2 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพเมื่อผลิตชุดการสอนขึ้นแล้วน าไปทดลอง หาประสิทธิภาพตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 ได้แก่ 1 : 1 (แบบเดี่ยว) เป็นการทดลองกับผู้เรียน 1-3 คน โดยใช้นักเรียนที่มีผลการเรียนอ่อน ปานกลางและเก่ง ค านวณหาค่าประสิทธิภาพเสร็จแล้วปรับปรุง ให้ดีขึ้น (โดยปกติคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดลองแบบเดี่ยวนี้จะได้คะแนนต่ ากว่าเกณฑ์มาก) ขั้นที่ 2 ได้แก่ 1 : 10 (แบบกลุ่มย่อย) เป็นการทดลองกับผู้เรียน 6-10 คน (คละผู้เรียนที่เรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน) ค านวณหาค่าประสิทธิภาพเสร็จแล้วปรับปรุง (ในคราวนี้ คะแนน ของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยเฉลี่ยจะห่างจากเกณฑ์ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์) ขั้นที่ 3 ได้แก่ 1 : 40 (แบบภาคสนาม) เป็นการทดลองกับผู้เรียนทั้งชั้น 30 คนขึ้นไป ค านวณหาประสิทธิภาพเสร็จแล้วปรับปรุง ผลลัพธ์ที่ได้ควรใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้


19 หากต่ ากว่าเกณฑ์ ไม่เกิน 2.5 เปอร์เซ็นต์ ก็ให้ยอมรับ หากแตกต่างกันมากผู้สอนต้องก าหนด เกณฑ์ประสิทธิภาพของชุดการสอนใหม่ โดยยึดสภาพความจริงเป็นเกณฑ์ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2556) การยอมรับหรือไม่ยอมรับประสิทธิภาพชุดการสอนประสิทธิภาพ ไม่ควรต่ ากว่าเกณฑ์เกิน 5 เปอร์เซ็นต์แต่โดยปกติเราก าหนดไว้ 2.5 เปอร์เซ็นต์ เช่น เราตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพไว้ 80/80 เมื่อทดลองแบบ 1:40 แล้ว เอกสารประกอบการสอนนั้นมีประสิทธิภาพ 77.5/79.5 เราก็สามารถ ยอมรับได้ว่าชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพ การยอมรับประสิทธิภาพชุดการสอนมี 3 ระดับ คือ (1) สูงกว่าเกณฑ์ (2) เท่าเกณฑ์ (3) ต่ ากว่าเกณฑ์ แต่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ 80 ตัวแรก (E1 ) หมายถึง ประสิทธิภาพกระบวนการเรียนรู้ โดยพิจารณา จากร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนทุกคนท าได้จากแบบทดสอบท้ายชุดการสอนระหว่างการ เรียนรู้โดยได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป 80 ตัวหลัง (E2 ) หมายถึง ประสิทธิภาพกระบวนผลลัพธ์โดยพิจารณาจาก ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน รวมทุกเรื่องโดยได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556) อธิบายเกี่ยวกับเกณฑ์ประสิทธิภาพของชุดการสอน สรุปได้ ดังนี้ 1. ก าหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพของชุดการสอน เป็นระดับประสิทธิภาพที่จะช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามที่ก าหนด ปัจจุบันมีการก าหนดเกณฑ์มาตรฐานสื่อ ดังนี้ 1.1 ส าหรับชุดการสอนที่มีเนื้อหาเป็นความรู้ความเข้าใจ ตั้งเกณฑ์ได้ 80/80 ถึง 90/90 1.2 ส าหรับเนื้อหาที่เป็นทักษะหรือเจตคติ ตั้งเกณฑ์ต่ ากว่าแบบแรก เช่น 75/75 ทั้งสองเกณฑ์นี้ ถือความแปรปรวนได้ 2.5% ถึง 5% นั่นคือ ประสิทธิภาพของชุดการ สอนต้องไม่ต่ ากว่าเกณฑ์ 5% โดยปกตินิยมให้ไม่ต่ ากว่า 2.5% 2. ก าหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพชุดการสอนอาศัยเกณฑ์มาตรฐาน เช่น 80/80 โดยที่ 80 ตัวแรกหมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมของผลสอบของผู้เรียนทั้งหมดที่ตอบถูกต้อง ต้องไม่ต่ าว่า 80 ส าหรับ 80 ตัวหลังหมายถึง ข้อสอบวัดจุดประสงค์แต่ละข้อที่ผู้เรียนท าถูกต้องไม่ต่ ากว่าร้อยละ 80 ถ้าข้อใดที่ผู้เรียนท าได้ต่ ากว่าร้อยละ 80 ต้องแก้ไขในแบบทดสอบข้อนั้นๆ แล้วท าการทดสอบ ซ้ าใหม่จนกว่าจะได้คะแนนถึงเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ประสิทธิภาพของชุดการสอนมาจากผลลัพธ์การค านวณ E1 และ E2 เป็นตัวเลขตัวแรก และตัวหลังตามล าดับ ถ้าตัวเลขใกล้ 100 มากเท่าไรยิ่งถือว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ ค่าสูงสุดที่ 100 และเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาการรับรองมาตรฐานประสิทธิภาพของชุดการสอนตาม


20 แนวคิดในการหาประสิทธิภาพแบบนี้จะอยู่ในระดับ 80/80 ขึ้นไป จึงจะถือได้ว่ามีประสิทธิภาพ สามารถน าไปใช้เป็นชุดการสอนได้ เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์ (2546 : 54 - 55) กล่าวถึงการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของ สื่อ/ชุดการสอน วิธีสอนหรือนวัตกรรมไว้ว่า เพื่อที่จะทราบว่าสื่อ/ชุดการสอน วิธีสอนหรือ นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิผล (Effectiveness) เพียงใด โดยน าสื่อที่พัฒนาขึ้นนั้นไปทดลอง ใช้กับผู้เรียนที่อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับที่ได้ออกแบบมา แล้วน าผลจากการทดลองมาวิเคราะห์หา ประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถในการให้ผลอย่างชัดเจน แน่นอน ซึ่งนิยมวิเคราะห์และแปล ผล 2 วิธี วิธีที่ 1 จากการพิจารณาผลของการพัฒนา วิธีนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้าย เช่น ระหว่างก่อนเรียนกับ หลังเรียนเพื่อเห็นพัฒนาการหรือความงอกงาม จะต้องสร้างเครื่องมือวัดในตัวแปรศึกษา เช่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องมือที่สร้างเพื่อวัดผลการเรียนรู้หลังจากเรียนเรื่องนั้น หรือหลังการทดลองเรื่องนั้น ซึ่งจะต้องสร้างให้ครอบคลุมจุดประสงค์ เนื้อหาสาระที่เรียน หรือ คุณลักษณะที่มุ่งวัด สร้างไว้ล่วงหน้าเมื่อก่อนจะเริ่มสอนหรือเริ่มทดลองก็จะน าแบบทดสอบหรือ เครื่องมือดังกล่าวมาวัดกับผู้เรียน เรียกว่าการทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test) และหลังจากเรียน เรื่องนั้นแล้วก็น าแบบทดสอบชุดเดิมมาทดสอบกับผู้เรียนกลุ่มเดิม (Post-Test) น าผลการทดสอบทั้ง สองครั้งมาเปรียบเทียบกันโดยเขียนคะแนนหลังเรียนไว้ก่อนคะแนนก่อนเรียนจ าแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ การพิจารณาเป็นรายบุคคล และการพิจารณาเป็นรายกลุ่ม วิธีที่ 2 จากการหาดัชนีประสิทธิผล การหาดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index) กรณีรายบุคคล ตามแนวคิดของ Hofland จะให้สารสนเทศที่ชัดเจนโดยมีวิธีการดังนี้ คือ ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียนของ ผู้เรียนทั้งหมด ลบด้วยผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียนของผู้เรียนทั้งหมด แล้วหารด้วย (จ านวนนักเรียน) (คะแนนเต็ม) - ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียนของผู้เรียนทั้งหมด สรุปได้ว่า การหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการสอนเป็นการหาขีดความสามารถ ของเอกสารประกอบการสอนที่มีความสามารถในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์ถึงระดับเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ โดยพิจารณาจากประสิทธิภาพกระบวนการซึ่ง ได้แก่ ร้อยละของคะแนนทั้งหมดของผู้เรียนทุกคนที่ได้จากการท าแบบทดสอบหลังเรียนในแต่ละเรื่อง ระหว่างเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการสอน ได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไปต่อประสิทธิภาพผลลัพธ์ ซึ่งได้แก่ ร้อยละของคะแนนทั้งหมดของผู้เรียนทุกคนที่ได้จากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนรวมทุกเรื่องโดยใช้เอกสารประกอบการสอนได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป


21 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.7.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2547 : 89) กล่าวไว้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง คุณลักษณะ และความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการฝึกฝน อบรม หรือจากการสอน ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน จึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้ เท่าใด ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2548 : 22) ให้ความหมายการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่า เป็นกระบวนการวัดปริมาณของผลการศึกษาเล่าเรียนว่าเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ค านึงถึงเฉพาะการทดสอบเท่านั้น บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2549 : 232) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่าหมายถึง การตรวจสอบดูว่าผู้เรียนได้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามที่หลักสูตรก าหนดไว้ แล้วเพียงใด ทั้งนี้ ยกเว้นในทางด้านอารมณ์ สังคม และการปรับตัว นอกจากนี้แล้วยังหมายรวม ไปถึงการประเมินผลความส าเร็จต่างๆ ทั้งที่เป็นการวัดโดยใช้แบบทดสอบ แบบให้ปฏิบัติการ และ แบบที่ไม่ใช้แบบทดสอบด้วย สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง กระบวนการวัดผลการศึกษาโดยใช้ เครื่องมือที่เหมาะสมตามบริบทของสิ่งที่จะวัด เพื่อทราบผลการพัฒนาการเรียนรู้ว่า ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้มากน้อยเพียงใดหลังจากเรียนในเรื่องนั้นๆ 2.7.2 ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สมนึก ภัททิยธานี (2544 : 67-72) สรุปว่าแบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ควรประกอบด้วยลักษณะส าคัญต่อไปนี้ 1. มีความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง แบบทดสอบที่สามารถวัดได้ตรงตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการจะวัด สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและครอบคลุมจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่ ก าหนดไว้ วัดได้ตรงกับสภาพเป็นจริงในชีวิตประจ าวันหรือปัจจุบันของนักเรียน อีกทั้งสามารถวัดได้ ตรงกับสภาพเป็นจริงของนักเรียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 2. มีความเชื่อมั่น (Reliability) หมายถึง แบบทดสอบที่สามารถให้ผลคงที่ไม่ว่าจะ น าไปสอบวัดกี่ครั้งก็ตาม คือ เด็กเก่งได้คะแนนมาก เด็กอ่อนได้คะแนนน้อย วัดซ้ าได้ผลเหมือนเดิม 3. มีความเป็นปรนัย (Objectivity) คือ มีคุณสมบัติ 3 ประการ ต่อไปนี้ 3.1 ค าถามมีความชัดเจนเข้าใจตรงกัน 3.2 ต้องตรวจให้คะแนนเป็นมาตรฐานเดียวกัน คือ มีเกณฑ์การให้คะแนนชัดเจน ท าให้ผู้ตรวจไม่ว่าใครก็ตามตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน


22 3.3 แปลความหมายของคะแนนเป็นอย่างเดียวกัน กล่าวคือ คะแนนที่ได้บอก สถานภาพของผู้สอบได้ตรงกัน 4. มีการถามลึก (Scorching) หมายถึง แบบทดสอบที่วัดพฤติกรรมที่สูงกว่า ความจ า พยายามให้นักเรียนน าความรู้ไปใช้แก้ปัญหา วิเคราะห์ สังเคราะห์ ใช้สถานการณ์จริงๆ 5. มีความยุติธรรม (Fair) หมายถึง แบบทดสอบที่ให้ความเสมอภาคแก่นักเรียนทุก คน ถามในเรื่องที่เรียนไปแล้วไม่เปิดโอกาสให้เด็กเก่งใช้ไหวพริบเดาได้ถูก หรือเด็กอ่อนเก็งข้อสอบได้ 6. มีลักษณะกระตุ้น (Exemplary) หมายถึง ข้อสอบจะต้องประกอบด้วยค าถามที่มี ลักษณะท้าทายให้อยากคิดอยากท า การใช้รูปภาพเป็นค าถามท าให้ข้อสอบน่าสนใจ 7. มีอ านาจจ าแนก (Discrimination) หมายถึง ข้อสอบนั้นสามารถแยกเด็กเก่ง และ เด็กอ่อนออกจากกันได้จริง ค าถามที่เด็กเก่งตอบถูกเด็กอ่อนตอบผิด 8. มีความยาก (Difficulty) พอเหมาะ คือ ข้อสอบนั้นจะต้องไม่ยากเกินไป และ ง่ายเกินไป ข้อสอบแต่ละข้อมีคนตอบถูกประมาณครึ่งหนึ่งของนักเรียนทั้งหมด 9. มีลักษณะเฉพาะเจาะจง (Definite) คือ ตั้งค าถามและค าตอบที่มุ่งถามเรื่องใด เรื่องหนึ่งอย่างชัดเจน ไม่ก ากวม 10. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ แบบทดสอบที่มีจ านวนข้อพอประมาณ ใช้เวลา เหมาะสม สามารถให้คะแนนที่เที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากที่สุด ใช้แรงงานและเงินทุนน้อยที่สุดด้วย และเป็นแบบทดสอบที่น าไปใช้ได้สะดวกทั้งการปฏิบัติการสอบ การตรวจให้คะแนน การแปลผล และการน าผลไปใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีคุณภาพดีและสามารถตรวจสอบทักษะและ ความรู้ของนักเรียนได้ตามที่ต้องการ ผู้เขียนข้อสอบที่มีความรู้เนื้อหา รู้จุดมุ่งหมายของวิชา มี ทักษะในการใช้ภาษาที่ดีด้วย มีความเหมาะสมกับผู้ใช้ มีความพอดีของเวลาที่ใช้ท าแบบทดสอบ 2.7.3 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือพฤติกรรมของการเรียนรู้ให้ตรง และสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยนี้ มีเครื่องมือในการวัดผลอยู่หลายชนิด เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ แต่การวัดความรู้ความสามารถในการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยควรใช้แบบทดสอบ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2549 : 59) กล่าวว่า ชนิดของแบบทดสอบที่นิยม เขียน กันอยู่มี 5 แบบ คือ แบบความเรียง แบบถูกผิด แบบเติมค า แบบจับคู่ และแบบ เลือกตอบ แต่แบบทดสอบที่นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบันคือ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ ทั้งนี้เพราะ ใช้วัดผลการเรียนระดับสูงและที่ซับซ้อนได้ ตรวจให้คะแนนง่าย สะดวกและรวดเร็ว วัดครอบคลุม เนื้อหาได้มาก จึงมีความตรงตามเนื้อหาสูง มีความเที่ยงในการน าไปใช้วัดผลการเรียนสูง เพราะ ข้อสอบแต่ละข้อมีความเป็นปรนัยมาก และสามารถใช้หาความบกพร่องหรือตรวจสอบเนื้อหาใน ประเด็นต่างๆ ที่นักเรียน ไม่เข้าใจได้


23 2.7.4 การพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ส านักทดสอบทางการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2550: 3 - 4) กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างและพัฒนาแบบทดสอบที่เป็นมาตรฐาน ไว้ดังนี้ 1. ก าหนดจุดมุ่งหมายของการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นการประเมิน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2. ศึกษาทฤษฎี วิธีการ เอกสารหลักสูตรและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ เครื่องมือส าหรับใช้ในการประเมิน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (General Achievement Test หรือ GAT) 3. ก าหนดกรอบโครงสร้างและรูปแบบของการวัดโดยคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย ครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการ นักวัดผล และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องทางการศึกษา 4. สร้างข้อสอบโดยคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์นักวิชาการ นักวัดผล และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องทางการศึกษาตามกรอบโครงสร้าง และรูปแบบที่ก าหนดข้อสอบ ทุกข้อที่สร้างขึ้นจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้ได้ข้อสอบที่มีคุณลักษณะที่ดีและได้รับการตรวจสอบ ความเที่ยงตรงโดยคณะกรรมการทุกข้อ 5. น าแบบทดสอบที่ได้ไปทดลองในภาคสนาม (Try out) ครั้งที่ 1 กับนักเรียนที่ เป็นกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) ให้ได้ตัวแทนของ สังกัดและขนาดโรงเรียน 6. วิเคราะห์หาคุณภาพของข้อสอบ โดยการน าผลที่ได้จากผลทดสอบมาวิเคราะห์ ประมวลผลเพื่อหาค่าสถิติต่างๆ เช่น ค่าความยากง่าย ค่าอ านาจจ าแนก ค่าความเชื่อมั่น เป็นต้น โดยน าค่าสถิติที่ได้มาใช้พิจารณาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาข้อสอบให้ได้ข้อสอบที่ดีมีคุณภาพ ข้อสอบ ที่ใช้ได้จะต้องมีค่าสถิติดังนี้ 6.1 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง .20 - .80 6.2 ค่าอ านาจจ าแนกตั้งแต่ .20 ขึ้นไป 6.3 ตัวลวงทุกตัวจะต้องมีจ านวนคนเลือกตอบอย่างน้อย 5% 7. น าแบบทดสอบที่ได้รับการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนา (จากการทดลองครั้งที่ 1) ไปทดลองในภาคสนาม (Try out) ครั้งที่ 2 กับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่ง ชั้น แต่จ านวนกลุ่มตัวอย่างจะมากกว่าการทดลองครั้งที่ 1 8. น าผลที่ได้จากการทดลองครั้งที่ 2 มาวิเคราะห์ประมวลผล (เช่นเดียวกับข้อ 6) เพื่อให้ได้แบบทดสอบที่เป็นมาตรฐานส าหรับใช้ในการประเมิน ดังนี้ 8.1 แบบทดสอบที่มีค่าความยากง่ายเหมาะสม คือ มีข้อสอบค่อนข้างง่าย ประมาณ 25% (เฉลี่ยทั้งฉบับมีค่าความยากง่ายประมาณ .50) โดยค่าความยากง่ายที่ใช้จะอยู่ใน ระหว่าง .20 - .80


24 8.2 แบบทดสอบมีค่าอ านาจจ าแนกที่ดี ข้อสอบแต่ละข้อจะมีค่าอ านาจจ าแนก ตั้งแต่ .20 ขึ้นไป ยิ่งค่าอ านาจจ าแนกมากยิ่งดี คือ สามารถจ าแนกได้ดี 8.3 แบบทดสอบมีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ที่ดีมีค่าค่อนข้างสูงประมาณ .70-.80 8.4 ครูผู้สอน นักวิชาการ นักวัดผลและผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบความเที่ยงตรง (Validity) โดยพิจารณาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แบบทดสอบแต่ละฉบับที่ใช้ในการประเมิน คุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานมีค่าความเที่ยงตรงต่อหลักสูตรทั้งหมด (ค่า IOC เท่ากับ 1.00) 9. ก าหนดเกณฑ์การประเมิน (คะแนนจุดตัด) โดยคณะกรรมการประกอบด้วย ครูผู้สอน ผู้เชี่ยวชาญในด้านหลักสูตรและการวัดผล การก าหนดคะแนนจุดตัดจะก าหนด 2 จุด คือ 9.1 คะแนนจุดตัดขั้นผ่าน (B1) หมายถึง คะแนนของนักเรียนที่อยู่คาบเส้น (Borderline) ของเกณฑ์ผ่านหรือผู้ที่สามารถถึงเกณฑ์ผ่านพอดี คะแนนจุดตัดขั้นผ่าน (B1) จะเป็น จุดแบ่งกลุ่มนักเรียนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกับกลุ่มนักเรียนที่อยู่ระดับพอใช้ขึ้นไป 9.2 คะแนนจุดตัดขั้นสูง (B2) หมายถึง คะแนนของนักเรียนที่อยู่คาบเส้น (Borderline) ของเกณฑ์พอใช้กับเกณฑ์ดีหรือผู้ที่สามารถถึงเกณฑ์ดีพอดี คะแนนจุดตัดขั้นสูง (B2) จะเป็นจุดแบ่งกลุ่มนักเรียนที่มีความสามารถระดับพอใช้กับกลุ่มนักเรียนที่มีความสามารถในระดับสูง หรือระดับดี การก าหนดคะแนนจุดตัดมีลักษณะดังนี้ เกณฑ์การประเมิน ปานกลาง/พอใช้ สูง/ดี ไม่ผ่าน/ปรับปรุง B1 B2 10. จัดพิมพ์ต้นฉบับแบบทดสอบฉบับใช้จริง ส าหรับให้โรงพิมพ์ด าเนินการพิมพ์ ต่อไป จากขั้นตอนการสร้างและพัฒนาแบบทดสอบดังกล่าวข้างต้น แบบทดสอบที่ใช้ประเมินนักเรียน ในการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกฉบับจึงเป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่สามารถวัดได้อย่าง น่าเชื่อถือและเที่ยงตรง สรุปได้ว่า แบบทดสอบที่มีคุณภาพ มีความตรงสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ มีค่า ความยากง่าย มีค่าอ านาจจ าแนก และมีค่าความเชื่อมั่นตามเกณฑ์ที่ก าหนดสามารถใช้เป็นเครื่องมือ ที่เชื่อถือได้ ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียนเพื่อทราบผลการพัฒนาการเรียนการสอน โดยพิจารณาจากคะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 2.8 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ กิติมา ปรีดีดิลก (2542:143) กล่าวถึงแนวคิดความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจ (Satisfaction) เป็นทัศนคติที่เป็นนามธรรมไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่า บุคคลมีความ พึงพอใจหรือไม่ สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน จึงเป็นการ


25 ยากที่จะวัดความพึงพอใจโดยตรง แต่สามารถวัดได้โดยทางอ้อมโดยการวัดความคิดเห็นของบุคคล เหล่านั้น และการแสดงความคิดเห็นนั้นจะต้องตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงจึงสามารถวัดความพึงพอใจ ได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 กล่าวไว้ว่า “พึง” เป็นค าช่วยกริยาอื่น หมายความว่า “ควร” เช่น พึงใจ หมายความว่า พอใจ ชอบใจ และค าว่า “พอ” หมายความว่า เท่าที่ต้องการ เต็มความต้องการ ถูกชอบ เมื่อค าสองค ามาผสมกันเป็น “พึงพอใจ” จะหมายถึง ชอบใจ ถูกใจตามที่ต้องการ ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกหรือความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือลบ ซึ่งเป็นผลจาก ประสบการณ์ ความเชื่อ ซึ่งจะขอกล่าวถึงความหมาย และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ดังนี้ 2.8.1ความหมายความพึงพอใจ มีผู้ให้ค าอธิบายความหมายของความพึงพอใจ ดังนี้ หทัยรัตน์ ประทุมสูตร (2547 : 61) ได้กล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจสรุปได้ ว่า ความพึงพอใจเป็นความต้องการทางร่างกาย มีความรุนแรงในตัวบุคคลในการร่วมกิจกรรมเพื่อ สนองความต้องการทางร่างกาย เป็นผลท าให้เกิดความพึงพอใจแล้วจะรู้สึกต้องการความมั่นคง ปลอดภัย เมื่อบุคคลได้รับการตอบสนองความต้องการทางร่างกาย และความต้องการความมั่นคง แล้วบุคคล จะเกิดความผูกพันมากขึ้น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม สมศักดิ์ คงเที่ยง และอัญชลี โพธิ์ทอง (2545 : 278 - 279) กล่าวถึงความพึง พอใจไว้ว่า 1. ความพึงพอใจเป็นผลรวมของความรู้สึกของบุคคลเกี่ยวกับระดับความชอบหรือไม่ ชอบต่อสภาพต่างๆ 2. ความพึงพอใจเป็นผลของทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่างๆ 3. ความพึงพอใจในการท างานเป็นผลมาจากการปฏิบัติงานที่ดี และส าเร็จจนเกิด เป็นความภูมิใจ และได้ผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ตามที่หวังไว้ ราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 775) ได้ให้ความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ของความพึงพอใจ หมายถึง พอใจ ชอบใจพฤติกรรมเกี่ยวกับความพึงพอใจของมนุษย์ คือ ความ พยายามที่จะขจัดความตึงเครียด หรือความกระวนกระวาย หรือภาวะไม่ได้ดุลยภาพในร่างกาย ซึ่ง เมื่อมนุษย์สามารถขจัดสิ่งต่างๆ ดังกล่าวได้แล้ว มนุษย์ย่อมได้รับความพึงพอใจในสิ่งที่ตนต้องการ ประชิต ตันสูงเนิน (2547 : 22) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึก หรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยอาจจะเป็นไปในเชิงประเมินค่าว่า ความรู้สึกหรือทัศนคติต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นเป็นไปในทางบวกหรือทางลบ ชวลิต เหล่ารุ่งกาญจน์ (2547 : 111) กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็นใน ลักษณะเชิงบวกของบุคคลเมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการ หรือได้รับสิ่งตอบ แทนที่คาดหวังไว้


26 2.8.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ นักวิชาการได้พัฒนาทฤษฎีที่อธิบายองค์ประกอบของความพึงพอใจ และอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจกับปัจจัยอื่นๆ ไว้หลายทฤษฎี ดังนี้ สมศักดิ์ คงเที่ยง และอัญชลี โพธิ์ทอง (2545 : 161-162) ได้จ าแนกทฤษฎีความ พึงพอใจในงานออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1. ทฤษฎีการสนองความต้องการ กลุ่มนี้ถือว่าความพึงพอใจในงานเกิดจากความ ต้องการส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อผลที่ได้รับจากงานกับการประสบความส าเร็จตามเป้าหมาย ส่วนบุคคล 2. ทฤษฎีการอ้างอิง ความพึงพอใจในงานมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับคุณลักษณะ ของงานตามความปรารถนาของกลุ่ม ซึ่งสมาชิกให้กลุ่มเป็นแนวทางในการประเมินผลการท างาน สมศักดิ์ คงเที่ยง และอัญชลี โพธิ์ทอง (2545 : 162) ได้จ าแนกความคิดเกี่ยวกับ ความพึงพอใจงานจากผลการวิจัยออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 1. กลุ่มความต้องการทางด้านจิตวิทยา กลุ่มนี้ได้แก่ Maslow, A. H., Herzberg. F และ Likert R. โดยมองความพึงพอใจงานเกิดจากความต้องการของบุคคลที่ต้องการความส าเร็จของ งานและความต้องการการยอมรับจากบุคคลอื่น 2. กลุ่มภาวะผู้น ามองความพึงพอใจงานจากรูปแบบและการปฏิบัติของผู้น าที่มีต่อ ผู้ใต้บังคับบัญชา กลุ่มนี้ได้แก่ Blake R. R., Mouton J. S. และ Fiedler R. R. 3. กลุ่มความพยายามต่อรองรางวัล เป็นกลุ่มที่มองความพึงพอใจจากรายได้ เงินเดือน และผลตอบแทนอื่นๆ กลุ่มนี้ ได้แก่ กลุ่มบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (Manchester Business School) 4. กลุ่มอุดมการณ์ทางการจัดการมองความพึงพอใจจากพฤติกรรมการบริหารงาน ขององค์กร ได้แก่ Crogier M. และ Coulder G. M. 5. กลุ่มเนื้อหาของงานและการออกแบบงาน ความพึงพอใจงานเกิดจากเนื้อหาของ ตัวงาน กลุ่มแนวคิดนี้มาจากสถาบันทาวิสตอค (Tavistock Institute) มหาวิทยาลัยลอนดอน ความ พึงพอใจและการวัดความพึงพอใจ ทวิดา พลสิทธิ์ (2546 : 31-39) ได้กล่าวถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ โดยได้ สรุปเนื้อความมาจากแนวคิดของมาสโลว์ (Maslow) สรุปได้ว่า ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ แบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้ 1. ความต้องการทางร่างกาย เป็นความต้องการพื้นฐาน ได้แก่ ความต้องการ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค


27 2. ความต้องการมั่นคงและปลอดภัย ได้แก่ ความต้องการมีความเป็นอยู่อย่างมั่นคง มีความปลอดภัยในร่างกายและทรัพย์สิน มีความมั่นคงในการท างาน และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงใน สังคม 3. ความต้องการทางสังคม ได้แก่ ความต้องการความรัก ความต้องการเป็นส่วน หนึ่งของสังคม 4. ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ได้แก่ ความภูมิใจ การได้รับความยกย่องจาก บุคคลอื่น 5. ความต้องการความส าเร็จแห่งตน เป็นความต้องการระดับสูงสุด เป็นความ ต้องการระดับสูง เป็นความต้องการที่อยากจะให้เกิดความส าเร็จทุกอย่างตามความคิดของตน 2.8.3 การวัดความพึงพอใจ หทัยรัตน์ ประทุมสูตร (2547:14) กล่าวว่าการวัดความพึงพอใจเป็นเรื่องที่ เปรียบเทียบได้กับความเข้าใจทั่วๆ ไป ซึ่งปกติจะวัดได้โดยการสอบถามจากบุคคลที่ต้องการจะถาม มีเครื่องมือ ที่ต้องการจะใช้ในการวิจัยหลายๆ อย่าง อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าจะมีการวัดอยู่หลาย แนวทาง แต่การศึกษาความพึงพอใจอาจแยกตามแนวทางวัดได้ 2 แนวคิด กล่าวคือ 1. วัดจากสภาพทั้งหมดของแต่ละบุคคล เช่น ที่ท างาน ที่บ้านและทุกๆ อย่างที่ เกี่ยวข้องกับชีวิต การศึกษาตามแนวทางนี้จะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ แต่ท าให้เกิดความยุ่งยากกับการ ที่จะวัดและเปรียบเทียบ 2. วัดได้โดยแยกออกเป็นองค์ประกอบ เช่น องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับงานการ นิเทศงานเกี่ยวกับนายจ้าง 2.8.4 แนวทางการวัดความพึงพอใจ นวพรรษ จันทร์ค า (2548 : 71 - 79) กล่าวถึง แนวทางการวัดความพึงพอใจไว้ดังนี้ 1. ก าหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าต้องการประเมินไปเพื่อประโยชน์อะไร เช่น หาก ต้องการเพียงเพื่อทราบความพึงพอใจในสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อน าข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจใน ประเด็นใดประเด็นหนึ่งโดยเฉพาะก็ไม่จ าเป็นต้องค านึงถึงการวางกรอบการวัดอย่างต่อเนื่อง 2. ก าหนดปัจจัยที่จะใช้วัดความพึงพอใจ โดยก าหนดว่าจะใช้ปัจจัยใดบ้างมาเป็น ตัวชี้วัดคะแนนความพึงพอใจโดยรวมและควรให้น้ าหนักแต่ละปัจจัยเท่าไร เช่น ในการวัดความพึง พอใจของนักเรียน ของครู ปัจจัยที่ใช้วัดก็แยกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ การเรียนของนักเรียน หรือ การสอนของครู เป็นต้น การได้มาซึ่งปัจจัยที่จะใช้เป็นตัวชี้วัด เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความร่วมมือ ระดมความเห็นจากหลายฝ่ายและควรท าการทดสอบปัจจัยเหล่านี้ก่อนน ามาท าการประเมินจริง เพื่อให้แน่ใจว่าปัจจัยที่ก าหนดไม่ซ้ าซ้อนกันเกินไปหรือขาดปัจจัยส าคัญบางตัวไป รวมถึงควรท าการ ประเมินความส าคัญของปัจจัยแต่ละตัวเพื่อน ามาใช้ถ่วงน้ าหนักในการวัดความพึงพอใจรวมด้วย


28 3. ก าหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการวัด ปกติแล้วจะใช้ Likert Scale ด้วยการให้คะแนน ความพึงพอใจในแต่ละปัจจัยจาก 1 ถึง 5 โดย 5 คือพอใจมากที่สุด 4 คือพอใจมาก 3 คือพอใจปาน กลาง 2 คือพอใจน้อย และ 1 คือพอใจน้อยที่สุด 4. ก าหนดวิธีวัดความพึงพอใจในขั้นนี้ก็คือขั้นของการท าวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ที่ต้องก าหนดวิธีการสุ่มตัวอย่างในเชิงสถิติเพื่อให้เกิดการกระจายตัวของ ลูกค้าที่สุ่มมาท าการ วัดความพึงพอใจ รวมถึงการก าหนดขนาดของตัวอย่างที่ใช้ในการวัดว่าควรมี จ านวนเท่าไรโดยอาศัยเทคนิคการวิจัยเป็นตัวก าหนดวิธีการวัด สรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกของบุคคล รู้สึกชอบ และประทับใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ดี ความเชื่อที่มั่นคงที่มีต่อสิ่งนั้นๆ ฉะนั้นการที่บุคคลมีความรู้สึกพอใจต่อ สิ่งใดย่อมส่งผลให้บุคคลนั้นมีพฤติกรรมที่แสดงออกในด้านบวก อาจมีความเชื่อมั่นและต้องการ สนองตอบในทางที่ดี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลที่ดีต่อการกระท านั้นๆ การวัดความพึงพอใจเป็นการ เปรียบเทียบได้กับความเข้าใจทั่วๆ ไป ซึ่งปกติจะวัดได้โดยการสอบถามจากบุคคลที่ต้องการจะถาม มีเครื่องมือที่ต้องการจะใช้ในการวัดหลายๆ อย่าง มีการก าหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ก าหนดปัจจัย ที่จะใช้วัดความพึงพอใจ ก าหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการวัด ก าหนดวิธีการวัดความพึงพอใจ รวมทั้งก าหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการวัด ปกติแล้วจะใช้ Likert Scale ด้วยการให้คะแนนความพึงพอใจ ในแต่ละระดับแต่ละปัจจัย จากระดับ 1 ถึงระดับ 5 โดยระดับ 5 เป็นความพึงพอใจมากที่สุด ระดับ 4 เป็นความพึงพอใจมาก ระดับ 3 เป็นความพึงพอใจปานกลาง ระดับ 2 เป็นความพึงพอใจน้อย และระดับ 1 เป็นความพึงพอใจน้อยที่สุด 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้จัดท าได้ท าการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการหา ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีความแตกต่างโดยผลการ ทดสอบหลังเรียนสูงกว่าผลการทดสอบก่อนเรียน และความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อเอกสาร ประกอบการเรียน โดยศึกษางานวิจัย ดังต่อไปนี้ดังนี้ พิสมัย ขีตตะสังคะ (2529 : บทคัดย่อ) ได้ท าการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการสอนคณิตศาสตร์ โดยใช้ โมดูลการสอนและการสอนแบบปกติกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยรามค าแหง จ านวน 74 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เท่า ๆ กัน กลุ่มทดลองสอน ด้วยโมดูลการสอนและกลุ่มควบคุมสอนด้วยแบบปกติ ผลปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 แต่พบว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้โมดูลการสอนมีความก้าวหน้า ทางการเรียนมากกว่านักเรียนที่สอนด้วยแบบปกติ ดารารัตน์ สุรพันธ์พิทักษ์ (2533 : บทคัดย่อ) ได้ท าการวิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง “พาราโบลา” ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี


29 การศึกษา 2532 โรงเรียนนราสิกขาลัย จ านวน 2 ห้องเรียน ห้องละ 45 คน โดยให้ห้องหนึ่ง เรียนจากการสอนโดยใช้สื่อประสมและอีกห้องหนึ่งเรียนจากการสอนแบบปกติ ผลปรากฏว่านักเรียน ห้องที่เรียนจากการสอนโดยใช้สื่อประสมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนจากการสอน แบบปกติอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 ลัดดา เต็มตุ่ม (2532 : บทคัดย่อ) ได้ท าการวิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์เรื่อง “เส้นขนานและความคล้าย” โดยใช้สื่อประสมกับการสอนแบบปกติของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอยุธยานุสรณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 40 คน ผลปรากฏว่า กลุ่มที่สอนโดยใช้สื่อประสมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า กลุ่มที่สอนแบบปกติอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .01 ประเสริฐ เลิศชยันต์ (2540 : บทคัดย่อ) ได้ท าการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Rresearch) เรื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ช่างอุตสาหกรรม เรื่องการแยกแรงและการหา แรงลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาช่างอุตสาหกรรม วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกมหานคร เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ได้จากการสุ่มอย่างง่าย จ านวน 80 คน จากจ านวน 370 คน แล้วจับสลากแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 40 คน ซึ่งก าหนดเกณฑ์ ประสิทธิภาพที่ 80/80 ผลจากการวิจัยปรากฏว่า บทเรียนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.21/80.67 ประทีป ฟองเพชร (2551: บทคัดย่อ) ผู้วิจัยได้สร้างเอกสารประกอบการเรียนวิชาเทคโนโลยี แคตแคม ประกอบด้วยเนื้อหา 7 หน่วย เป็นแบบฝึกหัด 184 คะแนนและสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรวม 135 คะแนน เพื่อใช้ในการทดสอบหาประสิทธิภาพทางการเรียน เอกสารประกอบการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นได้น าไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ในการทดลอง กับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 18 คน ผลการวิจัยปรากฏว่าเอกสารประกอบการเรียนที่สร้างขึ้นมา ประสิทธิภาพ 84.51/81.81 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ก าหนดร้อยละ 80/80 ที่ก าหนดไว้ แสดงว่านักเรียน สามารถท าแบบฝึกหัดในหน่วยการเรียนได้ถูกต้องร้อยละ 84.51 ของจ านวนแบบฝึกหัดทั้งหมด ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ก าหนดร้อยละ 80 ตัวแรกที่ตั้งไว้ และท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ ถูกต้องเฉลี่ยร้อยละ 81.81 ของคะแนนรวมทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ก าหนดร้อยละ 80 ตัวหลังที่ตั้งไว้ สมเกียรติ ธัญญเจริญ (2554 : บทคัดย่อ) ผู้วิจัยได้สร้างเอกสารประกอบการเรียนวิชา เครื่องยนต์ สันดาปภายใน ผลปรากฏว่า มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องยนต์สันดาปภายใน รหัสวิชา 3101 - 2002 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน คิดเป็นคะแนนทีเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.12 ในส่วนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาเครื่องยนต์สันดาปภายใน รหัสวิชา 3101 - 2002 ของนักศึกษาที่เรียนจากการ สอนด้วยเอกสารประกอบการเรียนสูงกว่านักศึกษาที่เรียนจากการสอนแบบปกติ คิดเป็นคะแนนที เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.13 ในเรื่องระดับความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการใช้เอกสาร ประกอบการเรียน วิชาเครื่องยนต์สันดาปภายใน รหัสวิชา 3101 - 2002 อยู่ในระดับมากที่สุด โดย มีค่าเฉลี่ย( X = 4.75) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.=0.49) โดยมีค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นของ นักศึกษาที่มีต่อการใช้เอกสารประกอบการเรียนที่สร้างขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุด แสดงว่าเอกสาร


30 ประกอบการเรียนมีเนื้อหาตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ครอบคลุมหลักสูตรตามค าอธิบายรายวิชา เรียงล าดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย เนื้อหาเหมาะสมกับเวลา แบบฝึกหัด ครอบคลุมเนื้อหา เรียงล าดับข้อค าถามเหมาะสม รูปภาพและค าสั่งชัดเจน ค าถามตรงตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ ดังนั้นเอกสารประกอบการเรียนจึงมีความเหมาะสมในการใช้ประกอบการ เรียนการสอน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาเครื่องกล ธนยศ แดงมนีกุล (2555 : บทคัดย่อ) ผู้วิจัยได้สร้างเอกสารประกอบการเรียนวิชาการเขียน แบบด้วยคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยเนื้อหา 14 หน่วย เป็นแบบฝึกหัดมีคะแนนรวม 140 คะแนน และ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรวม 140 คะแนน เพื่อใช้ในการทดสอบหาประสิทธิภาพ ทางการเรียน ในการทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 33 คน ผลการวิจัยปรากฏว่าเอกสาร ประกอบการเรียนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 84.52 / 88.55 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ก าหนดร้อยละ 80/80 ที่ ก าหนดไว้ แสดงว่านักศึกษาสามารถท าแบบฝึกหัดในหน่วยการเรียนได้ถูกต้องเฉลี่ยร้อยละ 84.52 ของจ านวนแบบฝึกหัดทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดร้อยละ 80 ตัวแรกที่ตั้งไว้ และท า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ถูกต้องเฉลี่ยร้อยละ 88.55 ของคะแนนรวมทั้งหมด ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์ก าหนดร้อยละ 80 ตัวหลังที่ตั้งไว้ ดังนั้นเอกสารประกอบการเรียนที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ก าหนดร้อยละ 80/80 ที่ตั้งไว้ เพราะว่าการเรียนด้วยเอกสารประกอบการ เรียนมีข้อดี คือ แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยๆ เรียงล าดับจากเนื้อหาที่ต้องเรื่องเตรียมความพร้อม ของโปรแกรมไปจนสิ้นสุดกระบวนการที่จ าเป็นต่อการเขียนแบบ ในแต่ละหน่วยประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ ใบเนื้อหาแสดงรายละเอียดการใช้งานค าสั่งต่างๆเป็นขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อเป็นการฝึกให้นักศึกษาเกิดทักษะ ในส่วนความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน ส่วน ใหญ่มีความพึงพอใจในเนื้อหาทางด้านเนื้อหาวิชาครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ รูปภาพชัดเจน และมีความพึงใจในด้านค าถามตรงตามจุดประสงค์เนื่องจากค าถามตรงตามความรู้ที่ได้รับการ ถ่ายทอดจากเอกสารประกอบการเรียนอย่างเป็นระบบ จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพอสรุปได้ว่า ชุดการสอน เอกสารประกอบการเรียนการ สอน บทเรียน โมดูล ชุดสื่อประสม รวมทั้งคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาอย่าง หนึ่งที่มีประโยชน์และคุณค่าสูง สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากงานวิจัยที่กล่าวมา ดังนั้นผู้วิจัยจึงเห็น ว่าการน าเอกสารประกอบการเรียนวิชา วัสดุก่อสร้าง 1 รหัสวิชา 2108 – 1002 มาใช้ในการเรียน การสอน สามารถส่งผลท าให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้การเรียนการสอนใน สถานศึกษาต่างๆ มีมาตรฐานเดียวกัน


บทที่3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุด การสอน ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประเมินความพึงพอใจต่อผู้ที่เรียนวิชา วัสดุ ก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 2108 - 1002 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 ซึ่งผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.1 การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 3.4 สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล 3.5 ขั้นตอนในการด าเนินงาน 3.1 การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาเป็นขั้นตอนในการแบ่งหัวข้อเรื่องและเนื้อหา โดยค านึงถึง พฤติกรรมที่ผู้เรียน ต้องแสดงออกหลังจากเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียนแล้วและเป็นไปตาม จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ซึ่งในการวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชามีขั้นตอนการวิเคราะห์หลักสูตร ดัง แสดงในภาพที่ 3.1 ภาพที่3.1 แสดงขั้นตอนการวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา จากภาพที่ 3.1 แสดงขั้นตอนการวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา ซึ่งสามารถอธิบายรายละเอียดได้ดังนี้ วิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา ก าหนดหัวข้อเรื่อง หลักสูตรรายวิชา เอกสาร/ต ารา ผู้เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ ศึกษาหลักสูตรรายวิชา ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ การวิเคราะห์เนื้อหาของวิชาวัสดุก่อสร้าง 1


32 3.1.1 ศึกษาหลักสูตรรายวิชา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรวิชา วัสดุก่อสร้าง 2รหัส วิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้น (ปวช.) พุทธศักราช 2562 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ของส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 3.1.2 ก าหนดหัวข้อเรื่อง โดยอาศัยข้อมูลจาก หลักสูตรรายวิชา เอกสารต าราผู้เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ 3.1.3การวิเคราะห์เนื้อหาส าคัญของหัวข้อเรื่อง เพื่อที่จะได้ทราบถึงหัวข้อส าคัญต่างๆ ของ แต่ละหัวข้อเรื่องที่ผ่านการประเมิน และวิเคราะห์แยกย่อยรายละเอียดของแต่ละหัวข้อส าคัญว่าจากการ วิเคราะห์เนื้อหามีประเด็นส าคัญอะไรบ้างที่ต้องสอน 3.1.4 ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นการก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ของหัวข้อ เรื่องทั้งหมด โดยพิจารณาว่าต้องการให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังจากผ่านการเรียนในหัวข้อ เรื่องต่างๆ แล้วว่าอยู่ในระดับใดซึ่งระดับพฤติกรรมที่วัดได้มีดังนี้ ระดับฟื้นคืนความรู้ (R) ระดับน า ความรู้ไปใช้งาน (A) ระดับส่งถ่ายความรู้(T) 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การวิจัยผู้วิจัยมุ่งเน้นศึกษา ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง มาวิเคราะห์เพื่อหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวัสดุ ก่อสร้าง 2รหัสวิชา 20108 – 2107 และน าไปทดสอบกับประชากรตามที่ก าหนด ได้แก่ นักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ปีที่ 1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง สังกัดส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ลงทะเบียนเรียนเรียนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 6 คน เป็นประชากรในการเก็บข้อมูลภาคสนาม 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จากนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา สถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ที่เรียนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วย ที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง จ านวน 6 คน โดยด าเนินการ ดังนี้ 3.3.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.3.1.1 รวบรวมคะแนนจากการท าแบบฝึกหัดระหว่างเรียนถ้าท าถูกต้องได้ 1 คะแนน ถ้าท าผิดได้ 0 คะแนน


33 3.3.1.2 รวบรวมคะแนนจากการท าแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนถ้า ตอบถูกต้องได้ 1 คะแนน ถ้าตอบผิดได้ 0 คะแนน 3.3.1.3 รวบรวมคะแนนความพึงพอใจจากการตอบแบบสอบถามของผู้ที่เรียนโดยใช้ชุด การสอนเรียนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง 3.3.2 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.3.2.1 ท าการวิเคราะห์คะแนนที่ได้จากการท าแบบฝึกหัดระหว่างเรียนของแต่ละหน่วยกับ คะแนนทดสอบหลังเรียนของแต่ละหน่วย น ามาหาประสิทธิภาพของชุดการสอน วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา อุตสาหกรรม สาขาวิชาสถาปัตยกรรม โดยคิดเป็นร้อยละ ตามเกณฑ์ที่ก าหนด 80/80 โดยใช้สูตร E1 /E2 3.3.2.2 ท าการวิเคราะห์คะแนนจากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน น ามาหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดการสอน วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง เพื่อหาความก้าวหน้า โดยใช้การทดสอบค่าที 3.3.2.3 ท าการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของผู้เรียนในการเรียนด้วยชุดการสอน วัสดุ ก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง โดยใช้ค่าเฉลี่ย ( x ) และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) 3.4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 3.4.1 หาประสิทธิภาพของชุดการสอนโดยใช้สูตร E1 /E2 (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2541 : 494 - 500) สูตร A 100 N X 1 E หรือ (100) A X 1 E เมื่อ 1 E แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ x แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัด A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัด N แทน จ านวนนักเรียน


34 สูตร B 100 N Y 2 E หรือ (100) B Y 2 E เมื่อ 2 E แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ Y แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ (แบบประเมินผลการเรียนรู้) หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของผลลัพธ์ (แบบประเมินผลการเรียนรู้) หลังเรียน N แทน จ านวนนักเรียน การหาประสิทธิภาพของชุดการสอน ครั้งนี้จะค านวณหา E1 /E2 สูตร (100) A X 1 E เมื่อ E1 แทน คะแนนที่นักเรียนท าแบบฝึกหัดประจ าหน่วยเรียนถูกเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ X แทน คะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนท าแบบฝึกหัดประจ าหน่วยเรียนถูก A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดประจ าหน่วยเรียน และ (100) B Y 2 E เมื่อ E2 แทน คะแนนที่นักเรียนท าแบบประเมินผลการเรียนรู้ ประจ าหน่วยเรียนถูกเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ Y แทน คะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนท าแบบประเมินผลการ เรียนรู้ประจ าหน่วยเรียนถูก B แทน คะแนนเต็มของแบบประเมินผลการเรียนรู้ประจ า หน่วยเรียน 3.4.2 หาความแตกต่างของคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตรการ ทดสอบค่าที(t-Dependent) (ล้วน สายยศ และอังคนา สายยศ. 2548 : 104)


35 สูตร t = N -1 2 ( D) 2 N D D เมื่อ D แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ N แทน จ านวนคู่ 3.4.3ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean) (บุญชม ศรีสะอาด. 2553 : 124) สูตร เมื่อ x แทน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนนักเรียน 3.5 ขั้นตอนในการด าเนินงาน ผู้วิจัยสรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา เพื่อน ามาใช้ในการด าเนินงานและจัดท า ชุดการสอน วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง โดยมีวิธีด าเนินงาน ดังนี้ 3.5.1 การศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร ค าอธิบายรายวิชา และจุดประสงค์รายวิชา 3.5.2 จัดท าชุดการสอน แบบฝึกหัด แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน โดยให้ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ สมรรถนะรายวิชา และค าอธิบายรายวิชา 3.5.3 น าเอกสารชุดการสอนใช้กับกลุ่มประชากร เพื่อหาประสิทธิภาพผลสัมฤทธิ์ และความพึงพอใจ


36 ภาพที่ 3.2 แสดงขั้นตอนด าเนินงาน ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร ค าอธิบายรายวิชา และจุดประสงค์รายวิชา จัดท าเอกสารประกอบการเรียน ตรวจสอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ ปรับปรุง วิเคราะห์และสรุปผล หาประสิทธิภาพ ผลสัมฤทธิ์ และความพึงพอใจ ทดลองใช้เอกสารประกอบการเรียน ผ่าน รายงานผล ชุดการสอน วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ไม่ผ่าน


บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการใช้ชุดการเรียนรายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการดังต่อไปนี้ 4.1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการเรียน 4.2 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการเรียน 4.1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการสอน ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการเรียน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ใช้ เกณฑ์ที่ก าหนดไว้ร้อยละ 80/80 ได้แก่ 80 ตัวแรก (E1 ) หมายถึง คะแนนที่ได้จากการท าแบบฝึกหัดระหว่างเรียน ด้วยชุดการ เรียน ซึ่งได้คะแนนรวมร้อยละ 80 ขึ้นไป 80 ตัวหลัง (E2 ) หมายถึง คะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบหลังเรียน ด้วยชุดการ เรียน ซึ่งได้คะแนนรวมร้อยละ 80 ขึ้นไป หลังจากได้น าชุดการเรียน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ไปใช้กับประชากรแล้วผู้วิจัยได้ท าการวิเคราะห์คะแนนหาประสิทธิภาพของเอกสาร ประกอบการเรียน ซึ่งจะน าเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบตารางประกอบค าบรรยาย ดังนี้ ตารางที่ 4.1 ผลการหาประสิทธิภาพของชุดการเรียน ชุดการเรียน คะแนนแบบฝึกหัด (E1 ) (ร้อยละ) คะแนนทดสอบหลังเรียน (E2 ) (ร้อยละ) หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง 93.33 83.33 เฉลี่ย 93.33 83.33 จากตารางที่ 4.1 พบว่า ได้น าชุดการเรียนไปใช้กับประชากร จ านวน 6 คน จะเห็นได้ว่า ประชากรกลุ่มดังกล่าวสามารถท าคะแนนแบฝึกหัดระหว่างเรียน คะแนนร้อยละ 93.33 ซึ่งสูงกว่า


38 เกณฑ์ E1 ที่ก าหนดไว้ที่ ร้อยละ 80 และประชากรกลุ่มดังกล่าวสามารถท าคะแนนทดสอบหลังเรียน ได้คะแนนร้อยละ 83.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ E2 มี่ก าหนดไว้ที่ ร้อยละ 80 สรุปได้ว่า ชุดการเรียน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุ ผนัง มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 4.2 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน ในการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดย ใช้คะแนนที (t – Dependent) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความก้าวหน้าทางการเรียนผู้วิจัยได้ท าการ วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยให้ประชากรท าแบบทดสอบก่อนเรียน และเมื่อ เรียนจบแต่ละหน่วยก็จะท าแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งจะน าเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบตาราง ประกอบค าบรรยาย ดังนี้ ตารางที่ 4.2 ผลวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน คนที่ คะแนนก่อนเรียน (X) คะแนนหลังเรียน (Y) ผลต่าง (X - Y)=(D) ผลต่าง2 (D 2 ) 1. 3 9 6 36 2. 3 9 6 36 3. 5 9 4 14 4. 4 9 5 25 5. 5 7 2 4 6. 3 7 4 16 คะแนนรวม D = 39 D 2 = 207 ตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ความก้าวหน้าทางการเรียน การทดสอบ N x S.D. (D) (D 2 ) df t ก่อนเรียน 6 3.50 1.07 39 207 5 8.88 หลังเรียน 6 8.38 0.92 มีนัยส าคัญที่ระดับ .05 จากตารางที่ 4.2 และ 4.3 พบว่า จากตาราง t ซึ่งมีค่า df เท่ากับ 5 ระดับความเชื่อมั่น .05 กรณีทดสอบหางเดียว (One Tailed Test) ค่า t จากตาราง มีค่า 1.89 ซึ่งถือเป็นจุดหลัก แต่ค่า t ที่ ค านวณได้มีค่า t เท่ากับ 8.88 ซึ่งสูงกว่าจุดหลัก (ค่า t ในตาราง) แปลว่า ผลการทดสอบ 2 ครั้ง แตกต่างกันโดยผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หรือ


39 เชื่อมั่นได้ 95% นั้นคือการสอนโดยใช้ชุดการเรียน ท าให้นักเรียนมีความรู้จริงซึ่งมีความสอดคล้อง และเป็นไปตามที่ตั้งไว้ ทั้งนี่อาจเป็นเพราะชุดการเรียนที่จัดท าได้มีการผ่านกระบวนการปรับปรุง และพัฒนาทั้งเนื้อหาสาระส าคัญและภาพประกอบ ก่อนจะน ามาใช้กับประชากร สรุปได้ว่า ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียน โดยใช้ชุดการเรียน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุ ผนัง ผลปรากฏว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการสอน ในการวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนในการเรียนด้วยชุดการเรียน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 - 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง โดยใช้ค่าเฉลี่ย( x ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผู้วิจัยท าการประเมินความพึงพอใจ โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ด้านเนื้อหา และด้านแบบฝึกหัด ซึ่งจะน าเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบตารางประกอบค าบรรยาย ดังนี้ ตารางที่ 4.4 ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการเรียน ล าดับ รายการประเมิน N = 6 ระดับเกณฑ์ x ( S.D.) ด้านเนื้อหา 1. เนื้อหาตรงจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.86 0.35 มากที่สุด 2. เนื้อหาครอบคลุมหลักสูตรตามค าอธิบายรายวิชา 4.71 0.45 มากที่สุด 3. การเรียงล าดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก 4.71 0.45 มากที่สุด 4. ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 5.00 0.00 มากที่สุด 5. เนื้อหาเหมาะสมกับเวลา 4.57 0.49 มากที่สุด เฉลี่ยทุกข้อ 4.77 0.42 มากที่สุด ด้านแบบฝึกหัด 1. แบบฝึกหัดครอบคลุมเนื้อหา 4.57 0.49 มากที่สุด 2. การเรียงล าดับข้อค าถามเหมาะสม 4.43 0.49 มาก 3. ค าสั่งในแบบฝึกหัดมีความชัดเจน 4.57 0.73 มากที่สุด 4. ค าถามตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.43 0.73 มากที่สุด 5. จ านวนแบบฝึกหัดเหมาะสมกับเวลา 4.71 0.45 มากที่สุด เฉลี่ยทุกข้อ 4.54 0.60 มากที่สุด ด้านสื่อการเรียนรู้ 1. ภาพประกอบในสื่อการเรียนฯ มีความชัดเจน 4.57 0.73 มากที่สุด 2. ภาพประกอบในสื่อมีความสอดคล้องกับเนื้อหา 4.86 0.35 มากที่สุด 3. รายละเอียดเนื้อหาในสื่อการเรียนฯ ไม่ซับซ้อน 4.43 0.49 มาก 4. สื่อการเรียนฯ มีความเหมาะสมกับผู้เรียน 4.71 0.45 มากที่สุด


40 5. เนื้อหาที่ใช้ในสื่อการเรียนฯ มีความน่าสนใจ 5.00 0.00 มากที่สุด เฉลี่ยทุกข้อ 4.79 0.40 มากที่สุด รวมทุกด้าน 4.65 0.54 มากที่สุด จากตารางที่ 4.4 พบว่า การวิเคราะห์เกี่ยวกับระดับความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อเอกสาร ประกอบการเรียน โดยผู้วิจัยได้ท าประเมินโดยให้ผู้เรียนตอบแบบสอบถาม จ านวน 6 คน ซึ่งใน แบบสอบถามได้แบ่งการประเมินออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเนื้อหา ด้านแบบฝึกหัด และด้านสื่อ การเรียนรู้ ซึ่งผลการประเมินมีดังนี้ ด้านเนื้อหา ผู้เรียนได้ท าการประเมินเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อชุดการเรียนซึ่งผลการประเมินสูงสุด อันดับแรก ได้แก่ ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย โดยมีค่าเฉลี่ย ( x =5.00) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S .D.=0.00) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด อันดับสอง ได้แก่ เนื้อหาตรงตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีค่าเฉลี่ย ( x =4.86) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.35) ซึ่งอยู่ใน ระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด และอันดับสามมีค่าเฉลี่ยเท่ากัน ได้แก่ เนื้อหาครอบคลุม หลักสูตรตามค าอธิบายรายวิชา โดยมีค่าเฉลี่ย ( x =4.71) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.45) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม พบว่า เกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน ในด้านเนื้อหา ทุกข้อค าถาม โดยมีค่าเฉลี่ย ( x =4.77) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.42) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด ด้านแบบฝึกหัด ผู้เรียนได้ประเมินเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อชุดการเรียน ซึ่งผลการประเมินสูงสุดอันดับแรก ได้แก่ จ านวนแบบฝึกหัดเหมาะสมกับเวลา โดยมีค่าเฉลี่ย ( x = 4.71) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.45) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด อันดับสองมีคะแนนเท่ากัน ได้แก่ แบบฝึกหัดครอบคลุมเนื้อหาและค าสั่งในแบบฝึกหัดมีความชัดเจน โดยมีค่าเฉลี่ย ( x =4.57) และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.49) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุดอันดับสามมี คะแนนเท่ากัน ได้แก่ การเรียงล าดับข้อค าถามเหมาะสมและค าถามตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีค่าเฉลี่ย ( x = 4.43) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.73) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึง พอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม พบว่า เกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อชุดการเรียน ในด้าน แบบฝึกหัด ทุกข้อค าถาม โดยมีค่าเฉลี่ย ( x =4.54) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.60) ซึ่งอยู่ ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด ด้านสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนได้ประเมินเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อชุดการเรียน ซึ่งผลการประเมินสูงสุดอันดับ แรก ได้แก่ เนื้อหาที่ใช้ในสื่อการเรียนฯ มีความน่าสนใจ โดยมีค่าเฉลี่ย ( x = 5.00) และค่าเบี่ยงเบน


41 มาตรฐาน (S .D.=0.00) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด อั น ดั บ ส อง ไ ด้ แ ก่ ภาพประกอบในสื่อมีความสอดคล้องกับเนื้อหาโดยมีค่าเฉลี่ย ( x =4.86) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.35) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด และอันดับสามมีค่าเฉลี่ย ได้แก่ สื่อการ เรียนฯ มีความเหมาะสมกับผู้เรียน โดยมีค่าเฉลี่ย ( x =4.71) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.45) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม พบว่า เกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน ในด้านสื่อการเรียนรู้ ทุกข้อค าถาม โดยมี ค่าเฉลี่ย ( x =4.79) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S .D.=0.40) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจ มากที่สุด สามารถสรุปได้ว่า ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน โดยผู้เรียนท าการวิเคราะห์ข้อมูลจากการประเมิน ทั้ง 3 ด้าน ปรากฏว่ามีผลการประเมินความพึง พอใจ ได้แก่ มีค่าเฉลี่ย ( x = 4.65) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.54) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มี ความพึงพอใจมากที่สุด


บทที่5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้หาประสิทธิภาพของชุดการสอน การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนและการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน โดยการเรียนด้วย ชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ส านักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา ผู้วิจัยได้น าเอกสารประกอบการเรียนที่ได้จัดท าขึ้นน าไปใช้กับนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ที่ ลงทะเบียนเรียนวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 6 คน ในการวิจัยสรุปการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.2 อภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.1.1 การวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ในรายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 ของนักเรียน แผนกวิชาสถาปัตยกรรม ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 โดยใช้ชุดการสอน ภาค เรียนที่ 2 ประจ าปีการศึกษา 2565 5.1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 5.1.2.1 เพื่อหาประสิทธิภาพชุดการสอน วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชา สถาปัตยกรรม 5.1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ เรียนด้วยชุดการสอน รายวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง 5.1.2.3 เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยการใช้ชุดการสอนวิชา วัสดุ ก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง 5.1.3 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ก าหนดประชากรโดยเป็นผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ชั้นปีที่ 1 สาขาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


43 5.1.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 5.1.4.1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการสอนใช้เกณฑ์ที่ก าหนด 80/80 โดย คะแนนที่น ามาใช้ได้แก่คะแนนที่ได้จากการท าแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและคะแนนทดสอบหลังเรียน น ามาคิดเป็นคิดเป็นค่าร้อยละน าคะแนนทั้ง 2 ลักษณะ ไปเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ก าหนดโดยคะแนน จากแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและคะแนนจากแบบทดสอบหลังเรียนต้องสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดได้แก่ 80/80 5.1.4.2 การวิเคราะห์ผลเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยใช้ค่าที (t-Dependent) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์หาก้าวหน้าของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและ คะแนนทดสอบหลังเรียน 5.1.4.3 การวิเคราะห์หาความพึงพอใจของผู้เรียน โดยท าการสอบถามประชากรที่ เรียนด้วยชุดการสอน ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามตามประเด็นที่ต้องการโดยให้คะแนนของระดับความ พึงพอใจแบ่งออกเป็น 5 ระดับ (Rating Scale) และน ามาหาโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( x ) และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) 5.1.5 การด าเนินการวิจัย 5.1.5.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร ค าอธิบายรายวิชา และจุดประสงค์รายวิชา 5.1.5.2 จัดท าชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง 5.1.5.3 น าชุดการสอนไปใช้กับประชากรที่ก าหนด 5.1.5.4 หาประสิทธิภาพชุดการสอน การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรียน และหลังเรียนและการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน 5.1.5.5 วิเคราะห์และสรุปผล 5.1.6 สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยในการจัดท าชุดการสอน วิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง สามารถสรุปได้ดังนี้ 5.1.6.1 สรุปผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการสอน ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ปรากฏว่า ชุดการสอน มีประสิทธิภาพ 93.33/83.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 5.1.7.2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดการสอน ผลปรากฏว่า มีความแตกต่างโดยผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 แสดงว่าการเรียนด้วยชุดการสอนนี้ท าให้ผู้เรียนมีความรู้และเข้าใจสูงขึ้น 5.1.7.3 สรุปผลการวิเคราะห์การประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการสอน ผลปรากฏว่า ด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ย ( x = 4.77) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.42) ซึ่งอยู่ใน ระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด ด้านแบบฝึกหัด มีค่าเฉลี่ย ( x = 4.54) และค่าเบี่ยงเบน


44 มาตรฐาน (S.D.=0.60) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด และด้านสื่อการเรียนรู้ มี ค่าเฉลี่ย ( x = 4.79) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.40) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจ มากที่สุด ซึ่งในภาพรวม สรุปได้ว่า มีค่าเฉลี่ย ( x =4.65) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.54) ซึ่ง อยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด 5.2 อภิปรายผล จากการศึกษาการหาและสร้างประสิทธิภาพชุดการสอน การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนและการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน โดยการเรียนด้วย ชุดการสอน วิชา วิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง สามารถ อภิปรายผลได้ดังนี้ 5.2.1 การอภิปรายผลการหาประสิทธิภาพของชุดการสอน จากการวิจัย พบว่า ชุดการสอน วิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 93.33/83.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนด คือ 80/80 สอดคล้องกับการวิจัยของ ประเสริฐ เลิศชยัน (2540) เรื่อง คอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการสอนวิชา วิทยาศาสตร์ช่างอุตสาหกรรม เรื่อง การแยกแรงและการหาแรงลัพธ์ พบว่า มีประสิทธิภาพในการ จัดการเรียนการสอน ด้วยเอกสารประกอบการเรียน โดยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.21/80.67 สอดคล้องกับการวิจัยของ ประทีป ฟองเพชร (2551) เรื่อง เอกสารประกอบการเรียนวิชา เทคโนโลยี แคตแคม พบว่า มีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนด้วยเอกสารประการเรียน โดยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.51/81.81 และสอดคล้องกับการวิจัยของธนยศ แดงมณีกุล (2555) เรื่อง เอกสารประกอบการเรียนวิชา การเขียนแบบด้วยคอมพิวเตอร์ พบว่า มีประสิทธิภาพในการ จัดการเรียนการสอน ด้วยเอกสารประกอบการเรียน โดยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.52/88.55 5.2.2 การอภิปรายผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ที่เรียนด้วยชุดการสอน จากการวิจัย พบว่า ผลจากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดการสอน วิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง มีผลคะแนนการทดสอบหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งมีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ พิสมัย ขีตตะสังคะ(2529) เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบวิธีการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้โมดูลการสอนและการ สอนแบบปกติกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามค าแหง พบว่า มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่นักเรียนที่เรียนโดยใช้ โมดูลในการสอนมีความก้าวหน้าทางการเรียนมากกว่านักเรียนที่สอนด้วยแบบปกติ สอดคล้องกับ การวิจัยของ ลัดดา เต็มตุ่ม (2532) เรื่อง เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนานและความคล้าย โดยใช้สื่อประสมกับการสอนแบบปกติ พบว่า กลุ่มที่สอนโดยใช้สื่อ


45 ประสมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่สอนแบบปกติอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับการวิจัยของ ดารารัตน์ สุรพันธ์พิทักษ์ (2533) เรื่อง เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียบวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง พาราโบลา โดยใช้สื่อประสมโดยเปรียบเทียบกับห้องที่สอน แบบปกติ พบว่า นักเรียนห้องที่เรียนจากการสอนโดยใช้สื่อประสมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า นักเรียนที่เรียนจากการสอนแบบปกติอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.2.3 การอภิปรายผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยการใช้ชุดการสอน จากการวิจัย พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดการสอน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุผนัง ซึ่งมีความพึงพอใจในภาพรวมทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านเนื้อหา และด้านแบบฝึกหัด โดยมีค่าเฉลี่ย ( x = 4.65) และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D. = 0.54) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจมากที่สุด และด้านสื่อการเรียนรู้ มี ค่าเฉลี่ย ( x = 4.79) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.40) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มีความพึงพอใจ มากที่สุด มีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมเกียรติ ธัญญเจริญ (2554) เรื่อง เอกสารประกอบการ เรียนวิชา เครื่องยนต์สันดาปภายใน พบว่า มีความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการ เรียน โดยมีค่าเฉลี่ย ( x = 4.75) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 0.49) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ มี ความพึงพอใจมากที่สุด 5.3 ข้อเสนอแนะ ในการจัดท าชุดการสอน วิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุ ผนัง ซึ่งสามารถพัฒนาผู้เรียน ให้มีความเข้าใจในการเรียนและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน งานวิจัยในครั้งนี้สามารถสรุปเป็นข้อเสนอแนะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน โดยแบ่ง ออกได้ 2 ด้าน ดังนี้ 5.3.1 ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ การน าชุดการสอน วิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หน่วยที่ 2 เรื่อง วัสดุ ผนัง ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรค านึงปัจจัย ดังต่อไปนี้ 5.3.1.1 ผู้สอนควรที่จะท าการวางแผนการจัดการเรียนรู้ และเตรียมสื่อการสอนเพื่อจะ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนให้ดีขึ้น และจัดท าเนื้อหาให้ตรงตามรายวิชาที่จัดท า 5.3.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป 5.3.2.1 ควรมีการจัดท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาการสอน 5.3.2.2 ควรจัดท าสื่อเพื่อการน าไปใช้ในกระบวนการเรียนรู้ในลักษณะสื่อประสมให้มากขึ้น 5.3.2.2 ควรเพิ่มรูปถ่ายให้มากขึ้น


Click to View FlipBook Version