The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โดย อดิศักดิ์ การพึ่งตน สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

โดย อดิศักดิ์ การพึ่งตน สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้

Keywords: กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์,กระเจี๊ยบ,กระเจี๊ยบอินทรีย์,มหาวิทยาลัยแม่โจ้,เกษตรอินทรีย์แม่โจ้

กระเจีย๊ บแดงอินทรีย์

กระเจย๊ี บแดง มถี น่ิ กำ� เนดิ ในประเทศซดู าน ทวปี แอฟรกิ า เอม็ เดอ โลเบล (M.se
L’ obel) นกั พฤกษศาสตรช์ าวแฟลนเดริ ซ์ (แฟลนเดริ ซ์ Flanders เปน็ ประเทศยคุ สมยั กลาง
ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปตอนกลางต้ังอยู่แทบประเทศเบลเยี่ยม) เป็นคนแรกท่ีบันทึกการ
ค้นพบกระเจ๊ียบแดงในปี คริสตศักราช (ค.ศ.) 1576 และพบว่าทาสชาวแอฟริกาเป็นผู้น�ำ
เมลด็ กระเจยี๊ บแดงไปแพรพ่ นั ธใ์ุ นทวปี อเมรกิ า ในศตวรรษที่ 17 ประเทศบราซลิ มกี ารปลกู
กระเจยี๊ บแดงเพอื่ การเกษตร และปลกู ในอเมรกิ า ปี ค.ศ. 1707 ตอ่ มาปลกู ในกวั เตมาลากอ่ น
ปี ค.ศ. 1840 เพ่ือใช้เป็นอาหาร ปี ค.ศ. 1920 พอล.ซี.สแตนลีย์ บันทึกไว้ว่า กระเจี๊ยบแดง
นิยมปลกู มากในปานามา โดยเฉพาะชาวอินเดียนแดงพนื้ เมอื ง (จุฑารัตน์, 2553)
ส�ำหรับในประเทศไทยเริ่มมีการปลูกกระเจ๊ียบแดงตั้งแต่ปีพุทธศักราช (พ.ศ.)
2510 ที่ศูนย์สาธิตและอบรมไทย – เยอรมัน จังหวัดลพบุรี โดยสายพันธุ์ท่ีน�ำมาปลูกเป็น
สายพันธุ์เยอรมัน ซ่ึงมีกลีบดอกหนา และมีรสเปรี้ยวจัด นอกจากน้ียังมีสายพันธุ์อ่ืนที่นิยม
ปลูก เชน่ พันธบ์ุ าลซิล ซึ่งมีกลบี ดอกขนาดใหญ่ หนา สแี ดงเขม้ จนถงึ ม่วง พนั ธเุ์ กษตร กลบี
เล้ียงมีสีแดงสด เน้ือบาง และพันธุ์เอส 2760 ซึ่งให้ดอกสีแดงค่อนข้างดก มาจากประเทศ
สหรฐั อเมริกา (สรจักร, 2549)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กระเจย๊ี บแดง มีชอื่ สามญั ว่า Roselle
ชอื่ วิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa Linn.
จดั อยู่ในวงศ์ Malvaceae
ชื่อพ้ืนเมือง ภาคกลาง กระเจี๊ยบ กระเจ๊ียบเปร้ียว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ส้มพอดี ภาคเหนือ ผักเกงเขง ส้มเก๋งเคง ส้มพอเหมาะ จังหวัดตาก ส้มตะเลงเครง
จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน ส้มปู๋ (มาโนช และเพญ็ นภา, 2537)
กระเจี๊ยบแดง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 1 – 2 เมตร ล�ำต้นอ่อน
มสี เี ขยี ว และเมอ่ื แกจ่ ะมสี แี ดงอมมว่ ง ผวิ คอ่ นขา้ งเกลยี้ ง (ภาพที่ 1) ใบเปน็ ใบเดย่ี วรปู ฝา่ มอื
เรียงสลับ แผ่นใบมีลักษณะคล้ายรูปไข่หัวกลับ ก้านใบยาว 4 – 15 เซนติเมตร ขอบใบ
หยักลึก มี 3 - 5 แฉก ปลายหยักแหลม โคนมน มีขน มีเส้นใบออกจากโคนใบ 3 – 5 เส้น
(ภาพที่ 2) (ราชบัณฑิตยสถาน, 2538) ดอกเป็นดอกเด่ียวเกิดตามซอกใบ ก้านดอกสั้น
0.5 – 2.0 เซนติเมตร มีขนปกคลุม กลีบดอกสีชมพูหรือสีเหลือง โคนกลีบด้านในมี

สีม่วงแดง เกสรตัวผู้เช่ือมกันเป็นหลอด (Babalola et al., 2001; Javadzadeh and
Saljooghianpour, 2017) กลีบดอกมีขนาดใหญ่ จ�ำนวน 5 กลีบ รูปไข่กลับ กว้าง 2 – 3
เซนติเมตร ยาว 3 – 5 เซนติเมตร (ภาพที่ 3) ดอกเมื่อได้รับการผสมแล้วกลีบดอกจะร่วง
กลบี เลยี้ งจะขยายใหญ่ หนาและแขง็ สแี ดงเขม้ กลบี เลยี้ งมโี คนตดิ กนั คลา้ ยถว้ ย ปลายแยก
เป็นแฉกรูปสามเหล่ียมแหลม 5 แฉกแต่ละแฉกมีเส้นกลีบ 3 เส้น โคนเส้นกลางกลีบมีต่อม
1 ต่อม กลีบเลี้ยงจะรองรับอยู่จนผลแก่ ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ ผลเม่ือแก่มีสีน้�ำตาลและ
แตกออกเปน็ 5 ชอ่ ง (ภาพที่ 4) เมลด็ เปน็ สนี ำ้� ตาลรปู ไต มขี นาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 0.4 – 0.6
เซนติเมตร (ภาพท่ี 5) (Siemonsma and Pileuk, 1993)

ภาพที่ 1 ลกั ษณะของตน้ กระเจีย๊ บแดง ภาพท่ี 2 ลกั ษณะของใบกระเจย๊ี บแดง

ภาพท่ี 3 ลกั ษณะของดอกกระเจ๊ยี บแดงและกระเจี๊ยบแดงสขี าว

ภาพท่ี 4 ลกั ษณะผลของกระเจี๊ยบแดง ภาพท่ี 5 ลักษณะเมล็ดของกระเจ๊ียบแดง 3
กระเจยี๊ บแดงอนิ ทรยี ์

พนั ธุ์กระเจีย๊ บในประเทศไทย สายพนั ธุ์กระเจย๊ี บแดงที่ได้รับความนิยม เช่น

1. พันธุ์ซูดาน น�ำพันธุ์มาจากประเทศซูดาน โดยศูนย์สาธิตและอบรม
ไทย – เยอรมนั ปลกู ทน่ี คิ มสรา้ งตนเอง อำ� เภอพระพทุ ธบาท จงั หวดั สระบรุ ี ในปี พ.ศ. 2510
ปจั จบุ นั ปลกู กนั อยา่ งแพรห่ ลาย มลี กั ษณะทรงตน้ เปน็ พมุ่ แตกกงิ่ ไมเ่ ปน็ ระเบยี บ สขี องดอก
มหี ลายสี กลบี เลย้ี งหนา และมีรสเปร้ียว (ภาพท่ี 6) (กฤษณา, 2535)
2. พันธุ์บราซิล น�ำเข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2518 มีลักษณะต้นเจริญ
เตบิ โตเรว็ ลำ� ตน้ ตงั้ ตรง มกี ารแตกกง่ิ แขนงของลำ� ตน้ เปน็ ระเบยี บ กลบี เลยี้ งมสี แี ดงเขม้ นอ้ ย
กวา่ พนั ธซ์ุ ดู าน และมรี สเปรยี้ วนอ้ ยกวา่ พนั ธซ์ุ ดู าน แตใ่ หผ้ ลผลติ กลบี เลย้ี งสงู กวา่ พนั ธซ์ุ ดู าน
(กฤษณา, 2535)
3. พันธุ์เอส – 2760 น�ำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีถิ่นก�ำเนิดในประเทศ
ซดู าน การเจรญิ เตบิ โตระยะแรกลำ� ตน้ มสี เี ขยี ว และจะเปลยี่ นเปน็ สแี ดงเมอื่ ตน้ อายมุ ากขนึ้
ตน้ ไมม่ หี นาม ลกั ษณะของใบกลมใหญแ่ ละอาจเปลยี่ นเปน็ แฉกมี 3 – 5 แฉก ดอกมสี เี หลอื ง
อมชมพู กลบี เลย้ี งมสี แี ดง และมลี กั ษณะคลา้ ยพนั ธบ์ุ ราซลิ แตม่ ขี นาดใหญก่ วา่ ความเปรย้ี ว
ของกลบี เลยี้ งใกลเ้ คียงกบั พันธ์ุบราซิล (กฤษณา, 2535)
4. พันธุ์เอส 60 – เอ็ม 35 ในระยะแรกล�ำต้นมีสีเขียวปลายยอดมีสีแดงและ
ตอ่ มาตน้ เปลย่ี นเปน็ สแี ดง ตน้ ไมม่ หี นามหรอื ขนและมปี ลอ้ งสนั้ กวา่ กระเจยี๊ บพนั ธอ์ุ นื่ ๆ ใบมี
3 – 5 แฉก แผน่ ใบหนา ตน้ มีอายกุ ารออกดอกช้ากว่าพันธอ์ุ ื่นๆ กลีบเลีย้ งมีสแี ดงเขม้ คล้าย
พันธุ์เอส – 2760 แต่มีการเจริญเติบโตดีกว่าพันธุ์เอส – 2760 ความเปรี้ยวของกลีบเลี้ยง
ใกลเ้ คยี งกบั พนั ธบ์ุ ราซลิ (กฤษณา, 2535)
5. พันธุ์ก�ำแพงแสน ซ่ึงได้จากการปรับปรุงพันธุ์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วทิ ยาเขตกำ� แพงแสน ผลคอ่ นขา้ งกลม กลบี เลยี้ งมขี นาดใหญ่ สว่ นกลางและปลายดอกของ
กลบี เลย้ี งโคง้ บานออก ทำ� ใหม้ องเหน็ ผลไดช้ ดั เจน ใหผ้ ลผลติ กลบี เลยี้ งสงู กลบี เลย้ี งมหี ลาก
หลายสี สีม่วง สีแดง สีชมพู และสีขาว โดยพันธุ์กลีบเล้ียงสีขาว และสีขาวอมชมพู ในกลีบ
เลย้ี งมสี ารแอนโทไซยานนิ อยนู่ อ้ ยมากหรอื ไมม่ เี ลย (ภาพท่ี 7 – 8) (Siriphan et al., 2018)

ภาพที่ 6 ลักษณะของกระเจยี๊ บแดงพนั ธุซ์ ูดาน ภาพที่ 7 ลักษณะของกระเจีย๊ บแดง
พนั ธก์ุ ำ� แพงแสนม่วงจมั โบ้
4 กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

ภาพท่ี 8 ลกั ษณะของกระเจีย๊ บแดงสีขาวพนั ธ์กุ ำ� แพงแสนขาวจมั โบ้

ปัจจัยท่มี ผี ลต่อการเจริญเตบิ โต

แสง
กระเจย๊ี บแดง ตอ้ งการแสงแดดจดั ตลอดวนั ในชว่ งการเจรญิ เตบิ โต กระเจยี๊ บแดง
น้ันเป็นพืชวันส้ัน (Short day plant) คือต้องการช่วงแสงในเวลากลางวันส้ัน เพื่อการ
เข้าสู่ระยะเจริญพันธุ์ และการเกิดตาดอก มีช่วงแสงวิกฤต (Critical day length) เท่ากับ
12 ช่ัวโมง 10 นาที คือ ความยาวของแสงท่ีมีผลต่อการออกดอกของกระเจ๊ียบแดง
(ชนันดา, 2559)
สภาพภูมอิ ากาศ
กระเจี๊ยบแดงสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนหรือค่อนข้างร้อน
อุณหภูมิท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตประมาณ 18 – 35 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิต่�ำ
กวา่ 14 องศาเซลเซยี ส และมคี วามชน้ื สมั พทั ธต์ ำ่� กวา่ รอ้ ยละ 60 จะสง่ ผลใหก้ ารเจรญิ เตบิ โต
ของกระเจย๊ี บแดงหยดุ ชะงกั นอกจากนย้ี งั พบวา่ อณุ หภมู ติ ำ่� มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การกระตนุ้ ใหเ้ กดิ
ตาดอกได้เร็วข้ึน แต่การพัฒนาของดอกช้าลง กระเจ๊ียบแดงสามารถทนแล้งได้ดี มีความ
ต้องการปริมาณน�้ำฝนสะสมตลอดช่วงการปลูกประมาณ 400 – 500 มิลลิเมตร (Ansari
et al., 2013)
สภาพพ้ืนท่ี
สภาพพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกกระเจี๊ยบแดง มีความลาดเทของพ้ืนท่ีไม่เกิน
ร้อยละ 2 เพ่ือให้ระบายน�้ำได้ดี ความสูงของพื้นท่ีตั้งแต่ระดับน้�ำทะเล ถึง 900 เมตรเหนือ
ระดบั นำ้� ทะเล สามารถปลกู ไดใ้ นดนิ ทกุ ชนดิ แตท่ เ่ี หมาะเปน็ พเิ ศษ คอื ดนิ เนนิ เขา ดนิ สแี ดง
มีค่าความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งของดนิ (pH) 4.5 – 8 (ชนันดา, 2559)


กระเจ๊ียบแดงอนิ ทรยี ์ 5

การขยายพนั ธแุ์ ละการปลูก

การขยายพนั ธุ์

กระเจ๊ียบแดงนิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด การใช้เมล็ดพันธุ์ดีย่อมจะท�ำให้พืชเจริญ
เตบิ โตไดด้ ี ใหผ้ ลผลติ ผลติ สงู ซง่ึ การผลติ เมลด็ พนั ธใ์ุ หม้ คี ณุ ภาพดนี น้ั ปจั จยั หนงึ่ ทสี่ ำ� คญั คอื
การเกบ็ เกย่ี วเมลด็ ในระยะทเี่ หมาะสม โดยทวั่ ไปเมลด็ พนั ธค์ุ ณุ ภาพดที สี่ ดุ ทรี่ ะยะสกุ แกท่ าง
สรีรวิทยา เพราะเป็นระยะที่เมล็ดสะสมน�้ำหนักแห้งสูงสุด จึงมีเปอร์เซ็นต์ความงอกและ
ความแขง็ แรงสงู แตใ่ นระยะดงั กลา่ วเมลด็ ยงั มคี วามชนื้ สงู ในทางปฏบิ ตั จิ งึ ไมน่ ยิ มเกบ็ เกย่ี ว
เมลด็ พนั ธใ์ุ นระยะนี้ แตจ่ ะรอไปอกี ระยะหนง่ึ ใหค้ วามชน้ื ของเมลด็ พนั ธล์ุ ดลง ระยะเวลาเกบ็
เก่ียวน้ีมีผลต่อคุณภาพเมล็ดพันธุ์ หากเก็บเก่ียวเร็วเกินไปเมล็ดจะมีคุณภาพต่�ำ เนื่องจาก
เมล็ดยังสุกแก่ไม่เต็มท่ี แต่ถ้าเก็บเกี่ยวช้าเกินไปผลจะปริแตกเสี่ยงต่อการเข้าท�ำลายของ
ศตั รพู ชื และยงั ทำ� ใหส้ ญู เสยี เมลด็ ไปอยา่ งมากจากการรว่ งหลน่ ไป อกี ทงั้ ยงั ทำ� ใหเ้ มลด็ เสอ่ื ม
คุณภาพเร็วย่ิงขึ้น โดยอายุในการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์กระเจ๊ียบแดงที่เหมาะสมอยู่ที่ 39 วัน
หลงั ดอกบาน ซงึ่ จะเปน็ ชว่ งทเี่ มลด็ มคี วามงอกสงู สดุ รอ้ ยละ 80.5 (ภาพที่ 9 – 10) (ชนนั ดา
และคณะ, 2559)

ภาพที่ 9 การเก็บเกี่ยวเมลด็ พันธุ์กระเจ๊ียบแดง

ภาพที่ 10 ลกั ษณะผลปริแตก เมลด็ ร่วงหล่นได้ง่าย
6 กระเจ๊ียบแดงอินทรยี ์

การปลกู

กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชอายุสั้น มีวงจรชีวิตประมาณ 6 – 7 เดือน ต้ังแต่เริ่มปลูก
จนกระทง่ั เกบ็ เกยี่ วผลผลติ กระเจย๊ี บแดงจะออกดอกเมอื่ มชี ว่ งเวลาแสงนอ้ ยกวา่ 12 ชว่ั โมง
ส�ำหรับประเทศไทยนั้นโดยรวมแล้วจะมีช่วงเวลากลางวันน้อยกว่า 12 ชั่วโมง ประมาณ
เดอื นตลุ าคมถงึ ตน้ เดอื นมนี าคม จะเปน็ ชว่ งทเี่ หมาะสมกบั การออกดอก การปลกู ในสภาพ
วันส้ันจะเป็นผลท�ำให้ต้นออกดอกเร็ว ทั้งๆ ที่ต้นยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ ส่งผลท�ำให้ได้ผลผลิต
ต�่ำ การป้องกันไม่ให้กระเจี๊ยบแดงออกดอกเร็วเกินไปควรปลูกในช่วงเวลาที่เหมาะสม
โดยปกตชิ ว่ งเวลาทเี่ หมาะสมในการเรม่ิ ตน้ ปลกู กระเจย๊ี บแดงคอื ประมาณเดอื นกรกฎาคม–สงิ หาคม
โดยปกติแล้วกระเจี๊ยบแดง สามารถปลูกได้ 2 วิธี วิธีแรก คือ การปลูกในแปลง
โดยตรง จะท�ำการหยอดเมล็ดลงในแปลง หลุมละ 3 – 5 เมล็ด ระยะห่างระหว่างต้น
60 – 100 เซนตเิ มตร ระยะหา่ งระหวา่ งแถว 100 -150 เซนตเิ มตร เมอ่ื เมลด็ งอกใหถ้ อนตน้
ทไี่ มส่ มบรู ณอ์ อก ใหเ้ หลอื เพยี ง 1 ตน้ (Mahadevan et al., 2009) ไมค่ วรปลกู แนน่ เกนิ ไป
เพราะจะท�ำให้ตน้ เกิดการแย่งอาหาร และเกดิ โรคโคนเน่าได้ และวธิ ที ี่ 2 คอื การเพาะกลา้
แลว้ ย้ายปลูกลงแปลง ซ่งึ มีขน้ั ตอนตา่ งๆ ดงั นี้

การเตรยี มดิน

โดยทำ� การยกแปลงใหส้ งู ประมาณ 15 เซนตเิ มตร หนา้ แปลงกวา้ ง 100 เซนตเิ มตร
ทางเดนิ กวา้ ง 50 เซนตเิ มตร ไมค่ วรยอ่ ยดนิ ใหล้ ะเอยี ดจนเกนิ ไปจะทำ� ใหไ้ มม่ อี ากาศเพยี งพอ
เพอื่ การเจรญิ เตบิ โตของราก ทำ� การปรบั ปรงุ บำ� รงุ ดนิ ดว้ ย ปยุ๋ คอก หรอื ปยุ๋ หมกั อตั ราสว่ น
400 กิโลกรัมต่อไร่ (ภาพท่ี 11 – 12) อาจใช้วิธีการวางสายเทปน�้ำหยดระหว่างแปลง
คลมุ แปลงดว้ ยพลาสตกิ คลมุ แปลง เจาะหลมุ เฉพาะบรเิ วณทต่ี อ้ งการปลกู เพอื่ ชว่ ยประหยดั
เวลาในการให้น�้ำ และป้องกันก�ำจัดวัชพืช โดยปกติแล้วพลาสติกคลุมแปลงจะมี 2 ด้าน
ด้านหน่ึงมีสีด�ำ และอีกด้านหน่ึงมีสีเงิน ซ่ึงในการปูพลาสติกคลุมแปลงท่ีถูกต้องควรจะน�ำ
ด้านที่มีสีด�ำไว้ข้างใน และน�ำด้านที่มีสีเงินไว้ข้างนอก เน่ืองจากด้านท่ีมีสีเงินนั้นจะมี
การเคลือบด้วยสารป้องกันยูวี ซ่ึงจะช่วยในการสะท้อนแสงแดดได้ดี (ภาพที่ 13 – 14)

ภาพที่ 11 การเตรียมแปลงโดยใชร้ ถไถยกรอ่ ง 7
กระเจีย๊ บแดงอนิ ทรยี ์

ภาพท่ี 12 การปรบั ปรงุ บ�ำรุงดนิ ดว้ ยป๋ยุ หมัก

ภาพที่ 13 การวางสายเทปน�้ำหยด และการคลุมแปลง

ภาพท่ี 14 การใช้เหล็กปลายแหลมในการเจาะหลมุ ส�ำหรับปลกู

การปลูก

เตรียมดินปลูกใส่ลงในถาดหลุม ซึ่งดินปลูกได้ท�ำการนึ่งฆ่าเชื้อท่ีอุณหภูมิ
121 องศาเซลเซยี ส ความดนั 15 ปอนดต์ อ่ ตารางนวิ้ เปน็ เวลา 1 ชว่ั โมง เพอ่ื เปน็ การปอ้ งกนั
และกำ� จดั เชื้อโรคท่ีอาจปะปนมากบั ดนิ ปลกู นำ� เมลด็ หยอดลงในถาดหลมุ รดนำ�้ วนั ละครงั้
ในตอนเขา้ เมื่อตน้ กลา้ เจรญิ เตบิ โตดีจึงยา้ ยปลูกลงแปลง (ภาพที่ 15 – 16)

8 กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

ภาพท่ี 15 การเพาะเมล็ดกระเจีย๊ บแดงในถาดเพาะและต้นกล้าอายุ 10 วนั

ภาพท่ี 16 การน�ำตน้ กล้ากระเจี๊ยบแดงปลกู ลงแปลง

การเด็ดยอด

การเด็ดยอดจะช่วยให้ต้นแตกพุ่มได้มากยิ่งข้ึน ดอกมีการบานใกล้เคียงกัน
มผี ลทำ� ใหส้ ามารถการเกบ็ เกยี่ วผลผลติ ทม่ี คี ณุ ภาพดพี รอ้ มกนั ในคราวเดยี ว ซงึ่ จะทำ� การเดด็
ภายหลงั การปลกู แลว้ ประมาณ 15 – 20 วนั ไมค่ วรปลอ่ ยใหต้ น้ ทปี่ ลกู สงู ขนึ้ ไปมาก แลว้ จงึ
เด็ดยอด เพราะจะท�ำให้เด็ดยอดยาก และการเด็ดยอดต่�ำมากเกินไป จะท�ำให้ก่ิงแขนง
ทเ่ี จรญิ ออกมามคี วามสูงเมอื่ ออกดอกคอ่ นขา้ งแตกต่างกัน (ภาพท่ี 17)

ภาพที่ 17 การเด็ดยอดหลังปลูก 20 วนั 9
กระเจย๊ี บแดงอินทรยี ์

การดูแลรกั ษา

การให้น�้ำ ระยะ 1 – 2 เดือนแรก ควรให้น้�ำอย่างสม่�ำเสมอ ควรรดน้�ำให้ดิน
เปียกโชกเพื่อให้น้�ำไหลซึมผ่านในดินได้มากพอ โดยรดน�้ำวันละคร้ังในตอนเช้ามักจะ
เพยี งพอ หากใชพ้ ลาสติกคลมุ แปลงอาจให้น�ำ้ ไดโ้ ดยวิธกี ารใชส้ ายน้ำ� หยด
การใหป้ ยุ๋ กระเจย๊ี บแดงเปน็ พชื ทมี่ อี ายคุ อ่ นขา้ งสน้ั ใชเ้ วลาหลงั ปลกู เพยี ง 4 เดอื น
กส็ ามารถเกบ็ ผลผลติ ได้ ดงั นน้ั หากการเจรญิ เตบิ โตของตน้ ไมส่ มบรู ณด์ พี อ ผลผลติ ทไ่ี ดก้ จ็ ะ
มีปริมาณน้อย ปุ๋ยจึงมีความส�ำคัญในการเสริมสร้างความสมบูรณ์ของต้น โดยปุ๋ยที่ใช้คือ
ปยุ๋ คอก หรอื ปยุ๋ หมกั หรอื ใชร้ ว่ มกบั ปยุ๋ นำ�้ หมกั ชวี ภาพ ฉดี พน่ ทางใบ โดยจะใหจ้ ำ� นวน 3 ครง้ั
เม่ือต้นกระเจ๊ียบแดงมีอายุ 25, 50 และ 80 วัน (ภาพที่ 18 - 19) หากพบต้นเอนหรือล้ม
ให้ใช้ไม้ไผ่ปกั เปน็ หลักเพ่ือชว่ ยพยุงลำ� ต้น (ภาพที่ 20)

ภาพท่ี 18 การใหป้ ุ๋ยอินทรยี ช์ นิดผง ภาพที่ 19 การให้ปุย๋ น้�ำหมักชวี ภาพ ฉดี พน่ ทางใบ

ภาพท่ี 20 หากพบต้นเอนหรอื ล้ม ให้ปกั หลักไมไ้ ผ่เพอื่ ช่วยพยงุ ล�ำตน้
10 กระเจีย๊ บแดงอนิ ทรยี ์

โรคและแมลง การป้องกันก�ำจดั

กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชน้อย โดยโรคและแมลงศัตรูพืช
ท่สี ามารถพบเห็นได้ เช่น
เพล้ียแป้ง (ภาพที่ 21) เพล้ียอ่อน เพล้ียจักจ่ันเขา (ภาพท่ี 22) โดยการดูดกิน
น�้ำเล้ียง จากส่วนต่างๆ ของ ใบ ยอดอ่อน และดอก ท�ำให้ส่วนที่ถูกท�ำลายมีลักษณะ
ผิดปกติและชะงักการเจริญเติบโต ท�ำการควบคุมโดย เด็ดยอด หรือตัดต้น บริเวณที่พบ
การเข้าท�ำลาย หรือใช้เชื้อจุลินทรีย์ควบคุมแมลง เช่น เมธาไรเซียม อะนิโซเพล
(Metarhizium anisopliae) อัตราส่วน 100 – 200 กรัมต่อน�้ำ 20 ลิตร หรือ บูเวเรีย
บัสเซียน่า (Beauveria bassiana) อัตราส่วน 80 – 100 กรัมต่อน�้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น
ทกุ 5 - 7 วนั เมอ่ื พบการระบาด หรอื ใชแ้ มลงศตั รตู ามธรรมชาติ เชน่ ตวั หำ้� ตวั เบยี น เปน็ ตน้
(ภาพท่ี 23)
หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย เม่ือฟักออกจากไข่ใหม่ๆ จะรวมกลุ่มกัด
กินผิวใบพืช เมื่อโตขึ้นจะกระจายตัวออกไปกัดกินท้ังใบและดอก ท�ำการควบคุมโดย
เม่ือพบเห็นหนอนให้น�ำไปท�ำลาย หรือใช้เชื้อแบคทีเรีย บาซิลัส ทูริงเยนซิส (Bacillus
thuringiensis) อตั ราสว่ น 50 – 80 กรมั ตอ่ นำ้� 20 ลติ ร ฉดี พน่ ทกุ 5 วนั เมอื่ พบการระบาด
ของหนอน
โรคโคนเน่า อาการท่ีพบ ใบจะเร่ิมเหี่ยวเปล่ียนเป็นสีเหลือง ร่วงหล่นเสมือนพืช
แสดงอาการขาดนำ้� สงั เกตทโี่ คนตน้ จะพบวา่ มอี าการเนา่ ดำ� ลกุ ลามจากโคนตน้ ระดบั ดนิ ขนึ้
สสู่ ว่ นบนของลำ� ตน้ อาการเนา่ ดำ� นจ้ี ะลกุ ลามไดร้ วดเรว็ มากในสภาพความชน้ื สงู และตน้ ที่
พบมักยืนตน้ ตาย (นพิ นธ์, 2519) ทำ� การควบคมุ โดย หากพบการเกิดโรค ใหถ้ อนตน้ นำ� ไป
ท�ำลาย ใชเ้ ช้อื จลุ นิ ทรียค์ วบคุมโรค เชน่ ไตรโคเดอร์มา่ ฮารเ์ ซยี นม่ั อัตรา 50 – 80 กรัม/น�ำ้
20 ลติ ร ฉีดพ่นทกุ 5 – 7 วนั เมอ่ื พบการระบาด

ภาพที่ 21 เพลีย้ แป้ง (Mealy bug) ภาพที่ 22 เพลีย้ จกั จ่นั เขา ภาพที่ 23 เต่าทอง แมลงตัวห�ำ้
กระเจ๊ยี บแดงอนิ ทรยี ์ 11

ภาพที่ 24 การฉีดพ่นสารชวี ภัณฑ์เพอ่ื ปอ้ งกนั กำ� จดั แมลงศตั รพู ชื

การเกบ็ เกย่ี วและการแปรรปู

กระเจยี๊ บแดงจะเกบ็ เกยี่ วไดป้ ระมาณเดอื นพฤศจกิ ายน – ธนั วาคม หรอื หลงั ปลกู
110 – 120 วัน (ภาพท่ี 25 – 27) ซึ่งสามารถเก็บได้ 2 วิธี คือ วิธีการเก็บเกี่ยวทั้งต้น
(ภาพที่ 28) วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยม เน่ืองจากจะได้ผลผลิตในปริมาณน้อย เพราะกระเจี๊ยบแดง
เป็นพืชท่ีมีการเจริญเติบโตแบบ indeterminate (Morton, 1987) หมายถึง การเจริญ
เติบโตทางล�ำต้นยังไม่สิ้นสุดลง ในขณะที่พืชออกดอก คือ ขณะท่ีพืชมีการเจริญเติบโตของ
ดอกและติดฝักในระยะแรก พืชก็ยังมีการเจริญเติบโตทางล�ำต้น มีการสร้างใบและข้อเพิ่ม
ข้ึน มีการทยอยออกดอก ดังนั้นการทยอยสุกแก่ของฝักมีผลท�ำให้การเก็บเก่ียวท�ำได้ไม่
พร้อมกัน (อภิพรรณ และคณะ, 2529) การเก็บเกี่ยวท้ังต้นจึงมีความเหมาะสมส�ำหรับการ
เก็บผลผลิตคร้ังสุดท้าย ส่วนอีกวิธี คือ การเลือกเก็บ (ภาพท่ี 29) เป็นวิธีท่ีได้รับความนิยม
เนอื่ งจากไดป้ รมิ าณผลผลติ ตอ่ ตน้ ทสี่ งู กวา่ วธิ แี รก ซง่ึ จะใชก้ รรไกรหรอื มดี ตดั เฉพาะผลผลติ
ทก่ี ลีบเลีย้ งโตเต็มทีแ่ ล้วเท่านั้น
เม่ือเก็บเก่ียวแล้วจะเป็นการน�ำกระเจ๊ียบแดงไปแทงเอากระเปาะเมล็ดออก
โดยใช้เหล็กปลายแหลมมากระทุ้งกระเปาะเมล็ดออกจากกลีบเลี้ยง (ภาพที่ 30)
นำ� กลบี เลย้ี งทไี่ ดไ้ ปตากแดดนาน 4 – 7 วนั จนกวา่ จะแหง้ สนทิ ในการตากแดดนนั้ ควรตาก
บนชน้ั ทส่ี งู จากพนื้ ดนิ 60 – 70 เซนตเิ มตร และคลมุ ดว้ ยผา้ ขาวบางเพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเปอ้ื น
ของฝนุ่ ละอองตา่ งๆ หรอื นำ� ไปอบแหง้ ดว้ ยพลงั งานแสงอาทติ ยแ์ บบเรอื นกระจก เปน็ ระยะเวลา
3 - 4 วัน (ภาพท่ี 31 – 32) หรืออบด้วยเตาอบลมร้อน แต่วิธีน้ีจะส่งผลท�ำให้ต้นทุน
ในการผลติ สงู ขน้ึ หลงั จากผลผลติ กระเจย๊ี บแดงแหง้ สนทิ ดแี ลว้ นำ� มาบรรจลุ งในถงุ ใส และ

12 กระเจีย๊ บแดงอินทรีย์

ปดิ ปากใหส้ นทิ นำ� ไปเกบ็ ไวใ้ นทส่ี ะอาด แหง้ และเยน็ ซง่ึ ปกตพิ นื้ ท่ี 1 ไรส่ ามารถเกบ็ ผลผลติ
สดไดป้ ระมาณ 1,800 – 2,000 กโิ ลกรมั หรอื เปน็ ผลผลติ กลบี เลยี้ งแหง้ ประมาณ 180 – 200
กโิ ลกรัมต่อไร่ โดยน�้ำหนักผลผลิตจะลดลงในอตั ราส่วน 10 ตอ่ 1

ภาพท่ี 25 ต้นกระเจี๊ยบแดง ท่ีอายุ 60 วนั ภาพที่ 26 ต้นกระเจย๊ี บแดงเร่มิ มีดอก ท่อี ายุ 60 วนั
ภาพท่ี 27 ต้นกระเจยี๊ บแดงสามารถเก็บผลผลติ ได้ ทีอ่ ายุ 100 วัน

ภาพท่ี 28 การเกบ็ เกยี่ วทง้ั ตน้ ภาพที่ 29 การเลอื กเกบ็ เฉพาะฝกั กลบี เลย้ี งทโี่ ตเตม็ ท ่ี
กระเจยี๊ บแดงอนิ ทรีย์ 13

ภาพท่ี 30 การกระทงุ้ เอากระเปาะเมลด็ ออก

ภาพที่ 31 การอบดว้ ยพลังงานแสงอาทติ ย์แบบเรอื นกระจก

ภาพท่ี 32 ลักษณะกระเจย๊ี บแดงหลงั อบแห้ง
14 กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

สรรพคุณและการน�ำไปใชป้ ระโยชน์

สว่ นต่างๆ ของกระเจยี๊ บแดงสามารถน�ำมาใช้ประโยชนท์ างยาได้
ยอดและใบ มีรสเปร้ียวน�ำมาประกอบอาหารได้ ช่วยย่อยอาหารเนื่องจาก
ไม่เพ่ิมการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ท�ำให้เลือดไหลเวียนสะดวก เป็นยาระบาย
บำ� รงุ ธาตุ ละลายเสมหะ แกไ้ อ มเี บตา้ แคโรทนี ชว่ ยบำ� รงุ สายตา (คณะเภสชั ศาสตร,์ 2530)
ต้น ใช้ชะล้างแผลหรือน�ำไปต�ำพอกบริเวณที่เป็นฝี และใช้แก้พยาธิตัวจี๊ด
(คณะเภสัชศาสตร์, 2530)
เมล็ด ใช้เมล็ดแห้งบดละเอียดเป็นผงผสมน�้ำหรือต้มน�้ำดื่ม ลดไขมันในเลือด
บำ� รุงธาตุ ขับน้�ำดี ขบั ปสั สาวะ เป็นยาระบาย (เพญ็ นภา, 2551)
กลบี เลย้ี ง มสี รรพคณุ แกค้ วามดนั โลหติ สงู ขบั ปสั สาวะ (คณะเภสชั ศาสตร,์ 2530)
เป็นยาบ�ำรุง ยาระบาย แก้ไอ แก้น่ิว (ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร, 2535) อุดมไปด้วยวิตามินเอ
และซี ชว่ ยบำ� รงุ สายตา แคลเซยี ม เหลก็ riboflavin niacin sabdaretine (Qi et al., 2005;
Anokwuru et al., 2011) และสารแอนโทไซยานนิ (Tee et al., 1985) ชว่ ยลดโอกาสการ
เกดิ มะเรง็ และยบั ยงั้ เนอ้ื งอก สามารถชว่ ยสง่ เสรมิ การทำ� งานของเมด็ เลอื ดแดง ชว่ ยควบคมุ
ระดับน้�ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ช่วยชะลอการอุดตันในหลอดเลือด ลดภาวะเสี่ยงใน
การเปน็ โรคหวั ใจ เสรมิ ภมู คิ มุ้ กนั ในรา่ งการใหด้ ขี นึ้ และชะลอความเสอื่ มของเซลล์ (Shipp
and Abdel-Aal, 2010)


สารส�ำคญั ที่พบในกลบี เลยี้ งของกระเจ๊ยี บแดง

สารส�ำคัญที่พบในกลีบเลี้ยงของกระเจ๊ียบแดง สารในกลุ่มแอนโทรไซยานิน
(anthocyanins) เช่น สารไชนาไนดิน เดฟรินิดิน ท�ำให้มีสีม่วง สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์
(flavonoid compounds) เชน่ crysanthemin delphinidin – 3 – O – sambubioside
myricetin hibiscitrin gossypitrin (Pinsuwan et al., 2010) กรดอนิ ทรยี ห์ ลายชนดิ เชน่
กรดแอสคอร์บิค (ascorbic acid) กรดมาลิก (malic acid) กรดทาร์ทาริค (tartaric acid)
กรดซัคซินิค (succinic acid) กรดออกซาลิก (oxalic acid) และกรดทาทาร์ริก (tartaric
acid) (ตารางท่ี 1) (Wong et al., 2002) ซง่ึ กรดเหลา่ นท้ี ำ� ใหก้ ระเจย๊ี บมรี สเปรย้ี ว นอกจากน้ี
ยังพบว่ามี วิตามินเอ วิตามินบีบางชนิด เช่น ไนอะซิน ไรโบฟลาวิน สารเมือกเพคติน
(pectin) และแรธ่ าตตุ า่ งๆ เชน่ เหลก็ แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั แมกนเี ซยี ม เปน็ ตน้ (ตารางท่ี 2)
(แฉล้ม และคณะ, 2545)

กระเจ๊ยี บแดงอนิ ทรยี ์ 15

ตารางที่ 1 คุณสมบัติทางเคมีของกระเจ๊ียบแดง คา่
2.49+0.00
คุณสมบตั ิทางเคมี 2.42+0.03
คา่ ความเป็นกรด – ด่าง 3.30+0.12
กรดทั้งหมด คือ กรดมาลิก (รอ้ ยละ) 2.52+0.05
ของแขง็ ท้งั หมด (ºBrix)
แอนโทไซยานนิ ทงั้ หมด คือ delphinidin 3 – glucoside (กรัม/100 กรัมของกระเจ๊ียบแดง) 1.29+0.15
น�ำ้ ตาล (กรมั /100 กรมั ของกระเจ๊ยี บแดง) 1.12+0.26
กลูโคส (กรัม)
ฟรุกโตส (กรมั ) 0.87+0.21
ซโู คส (กรัม)
กรดอนิ ทรยี ์ (กรัม/100 กรัมของกระเจ๊ียบแดง) 0.51+0.08
กรดซคั ซินคิ (กรมั ) 0.43+0.05
กรดออกซาลกิ (กรัม) 0.17+0.03
กรดทาทารร์ ิก (กรัม) 0.12+0.03
กรดมาลิก (กรัม) 141.09+22.54
กรดแอสคอร์บิก (มลิ ลิกรัม)
เบต้าแคโรทนี (มิลลิกรมั ) 1.88+0.31
ไลโคพีน (มิลลิกรัม) 164.34+70.10

ทมี่ า : Wong et al. (2002) คา่
86.60
ตารางที่ 2 คณุ คา่ ทางอาหารของกระเจยี๊ บแดงสด 100 กรมั 460.00
0.30
คณุ ค่าทางอาหาร 9.40
ความชน้ื (รอ้ ยละ) 1.30
พลงั งานทัง้ หมด (แคลลอร)ี 1.40
ไขมันทงั้ หมด (กรมั ) 151.00
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด (กรัม) 59.00
เสน้ ใย (กรมั ) 1.00
โปรตนี (กรัม) 0.01
แคลเซียม (มลิ ลกิ รัม) 0.24
ฟอสฟอรัส (มิลลิกรัม) 1.80
เหล็ก (มิลลิกรมั ) 10,833.00
วติ ามิน บี 1 (มิลลิกรัม)
วติ ามิน บี 2 (มิลลิกรัม)
ไนอะซนิ (มลิ ลกิ รมั )
วติ ามนิ เอ (IU)

ท่ีมา : แฉลม้ และคณะ (2545)

16 กระเจ๊ยี บแดงอนิ ทรีย์

กระเจ๊ียบแดงเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถน�ำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
ส�ำหรับประเทศไทยนิยมน�ำมาเป็นเครื่องด่ืมดับกระหายคลายร้อน อีกทั้งกระเจ้ียบแดง
ยังสามารถน�ำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ชาชงพร้อมดื่ม เยลล่ี ไซเดอร์ วุ้น คุกก้ี
มูท แยม ซอส สารปรุงแต่งอาหาร ไอศกรีม ไวน์ กระเจ๊ียบเชื่อม กระเจี๊ยบแช่อิ่ม (ชนันดา,
2559; Abo-Baker and Mostada, 2011; Heureux-Calix and Badrie, 2004) ใช้เป็น
แหลง่ สจี ากธรรมชาติ และใชเ้ ปน็ สว่ นประกอบในเครอ่ื งสำ� อาง (Mazza ans Miniati, 1993)
เป็นต้น (ภาพท่ี 33 – 36)

ภาพท่ี 33 ผลติ ภัณฑ์กระเจี๊ยบแดงอบแห้ง ภาพท่ี 34 ผลิตภณั ฑ์แยมกระเจี๊ยบแดง
และน้ำ� กระเจย๊ี บแดงพรอ้ มดืม่

ภาพที่ 35 ผลิตภัณฑช์ าชงและผงกระเจีย๊ บแดงพรอ้ มด่ืม

ภาพท่ี 36 ตัวอยา่ งผลติ ภัณฑส์ บู่จากกระเจ๊ยี บแดง 17
กระเจยี๊ บแดงอินทรยี ์

การดมื่ นำ�้ กระเจยี๊ บเพอ่ื สขุ ภาพนน้ั สามารถทำ� ไดห้ ลากหลายวธิ ี เชน่ นำ� กลบี เลยี้ ง
แหง้ บดเปน็ ผง ใชค้ รง้ั ละ 1 ชอ้ นชา ตอ่ นำ้� 250 มลิ ลลิ ติ ร ชงดม่ื เปน็ ยาระบาย ชว่ ยลดไขมนั ใน
เลอื ด ชว่ ยยอ่ ยอาหาร หรอื นำ� กลบี เลยี้ งแหง้ 30 กรมั ตม้ รว่ มกบั พทุ ราจนี แหง้ ไมม่ เี มลด็ 30
กรมั และใบเตย 5 กรมั ตอ่ นำ้� 1.5 ลติ ร เคย่ี วไฟออ่ นๆ ประมาณ 10 – 15 นาที โดยจะสงั เกต
ไดว้ า่ นำ�้ เรม่ิ เปลยี่ นเปน็ สแี ดงเขม้ จากนน้ั จงึ เตมิ เกลอื และนำ�้ ตาลเลก็ นอ้ ยเพอ่ื ใหไ้ ดร้ สชาตทิ ่ี
ดยี งิ่ ขน้ึ สำ� หรบั ผปู้ ว่ ยโรคเบาหวานอาจใชห้ ญา้ หวานแทนนำ�้ ตาล ซงึ่ พทุ ราจนี นนั้ ชว่ ยลดผล
ข้างเคียงจากกรดซิตริกของกระเจ๊ียบ นอกจากนี้พุทราจีนยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามิน
ซี ท่ีช่วยบ�ำรุงสายตา และช่วยเสริมฤทธ์ิป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดใน
สมองตีบ ในส่วนของใบเตยนนั้ มีรสหวานเย็น ช่วยบำ� รุงหัวใจ ลดพิษไข้ ดับพิษร้อนภายใน
สรรพคุณโดยรวมของสมุนไพรสูตรต�ำรับนี้ สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจและเส้นเลือดใน
สมองตีบได้ดี
ในปจั จบุ นั นผ้ี บู้ รโิ ภคเรมิ่ มกี ารหนั มาสนใจในพชื กลมุ่ สมนุ ไพรกนั อยา่ งแพรห่ ลาย
จึงท�ำให้พืชสมุนไพรหลายชนิดรวมถึงกระเจี๊ยบแดง มีความต้องการของตลาดที่เพิ่มมาก
ขึ้น กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชท่ีดูแลรักษาง่าย สามารถปลูกเป็นพืชเสริมหรือพืชครั้งที่สองได้
สามารถนำ� มาแปรรปู เปน็ ผลติ ภณั ฑต์ า่ งๆ ไดห้ ลากหลาย กระเจย๊ี บแดงจงึ เปน็ พชื ทางเลอื ก
ทน่ี ่าสนใจอกี ทางหนงึ่

เอกสารอา้ งอิง

กฤษณา บุญศิริ. 2535. อิทธิพลของวันปลูก ระยะปลูก และการเด็ดยอดต่อผลผลิตและคุณภาพของกระเจี๊ยบ
แดง. กฤษณา บญุ ศริ .ิ 2535. อทิ ธพิ ลของวนั ปลกู ระยะปลกู และการเดด็ ยอดตอ่ ผลผลติ และคณุ ภาพ
ของกระเจยี๊ บแดง. กรุงเทพฯ: วิทยานิพนธ์ สาขาพชื สวน. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์

คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. 2530. กา้ วไปกับสมุนไพร. กรุงเทพฯ: ธรรกมลการพิมพ.์
จุฑารัตน์ บุญศรี. 2553. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เยลล่ีกระเจี๊ยบแดงผสมสมุนไพร. กรุงเทพฯ: การศึกษาค้นคว้า

อิสระ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์
แฉลม้ มาศวรรณา, สรุ พงษ์ เจรญิ รถั , ชยั รตั น์ ดลุ ยพชร์ และปญั ญา เอกมหาชยั . 2545. กระเจยี๊ บแดงพชื สมนุ ไพร.

กสกิ ร. 75: 16 – 19.
ชนนั ดา ศรบี ญุ ไทย. 2559. ลกั ษณะทางสณั ฐานวทิ ยาและสารทตุ ยิ ภมู ขิ องกระเจย๊ี บแดง. ปทมุ ธาน:ี วทิ ยานพิ นธ์

ภาควิชาเทคโนโลยกี ารเกษตร คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
ชนนั ดา ศรบี ญุ ไทย ภาณมุ าศ ฤทธไิ ชย เยาวพา จริ ะเกยี รตกิ ลุ และพรชยั หาระโคตร. 2559. พฒั นาการและการสกุ

แกข่ องเมลด็ พันธุ์กระเจีย๊ บแดง. วารสารวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี 24(2):333 – 341.
นิพนธ์ วิสารทานนท์. 2519. โรคโคนเน่าของต้นกระเจ๊ียบแดง. กรุงเทพฯ: วารสารวิทยาสารเกษตรศาสตร์

สาขาวทิ ยาศาสตร.์ ปที ่ี 10 ฉบบั ที่ 1 หน้า 5-13.
เพ็ญนภา ทรัพยเ์ จริญ. 2551. ปสั สาวะขัดดอกกระเจย๊ี บชว่ ยได้. ไทยโพสต.์ (6 มกราคม 2551): 8
มาโนช วามานนท์ และเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. 2537. ยาสมุนไพรส�ำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน. กรุงเทพฯ:

โรงพิมพอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ทหารผา่ นศึก. 133 น.
ราชบัณฑิตยสถาน. 2538. อนกุ รมวิธานพชื อักษร ก.. กรุงเทพฯ: เพอื่ นพมิ พ.์

18 กระเจ๊ียบแดงอนิ ทรีย์

ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 2535. ก้าวไปกับสมุนไพร เล่ม 3. กรุงเทพฯ:
โครงการสมุนไพรพึง่ ตนเอง กรมป่าไม้.

สรจกั ร ศริ บิ ริรักษ์. 2549. พลงั มหัศจรรยใ์ นน้ำ� ผกั ผลไม.้ กรุงเทพฯ: บรษิ ทั พมิ พ์ดี จำ� กดั . หน้า 235 – 244.
อภิพรรณ พุกภักดี ไสว พงษ์เก่า และวิจารณ์ วิชชุกิจ. 2529. สรีรวิทยาการผลิตพืช. กรุงเทพฯ: ภาควิชาพืชไร่

นา. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์
Abo-Baker, A.A. and G.G. Mostada. 2011. Effect of bio and chemical fertilizer on growth, sepals yield

and chemical composition of Hibiscus sabdariffa at new reclaimed soil of South Valley
area. Asian Journal of Science. 3:16-25.
Anokwuru, C.P., I. Esiaba Ajibaye and A.O. Adessuyi. 2011. Polyphenolic content and antioxidation
activity of Hibiscus sabdariffa calyx. Res. J. MED. Plant. 5:557-566.
Babalola, S.O., A.O. Babalola and O.C. Aworh. 2001. Compositional attributes of the calyces of
Roselle (Hibiscus sabdariffa L.). Journal of Food Tecnology in Africa. 6(4):133 – 134.
Heureux-Calix, F.D. and N. Badrie. 2004. Consumer acceptance and physicochemical quality of
processed red sorrel Roselle (Hibiscus sabdariffa L.) sauces from enzymatic extracted
calyces. J. Food Service Technol. 4:141-148.
Javadzadeh, S.M. and M. Saljooghianpour. 2017. Morpho – agronomic characteristucs of two
Roselle (Hibiscus sabdariffa L.) genotypes for yield and its attributes. International
Journal of Agriculture and Forestry. 3(7):261 – 266.
Mahadevan, N., Shivali and P. Kamboj. 2009. Hibiscus sabdariffa Linn. –an overview. Nat. Proc.
Rad. 8:77 – 83.
Mazza, G. and E. Miniati. 1993. Anthocyanins in Fruits, Vegetables and Grains. London: CRC Press
Inc. p.1-28. 309 – 311.
Morton, J. F. 1987. Fruits of Warm Climates. U.S.A.: Media Incorporared. 505 p.
Pinsuwan, S. Th. Amnuaikit, S. Ungphaiboon and A. Itharat. 2010. Lipososome – Containing
Hibiscus sabdariffa Calyx Extract Formulations with Increased Antioxidant Activity
Improved Dermal Penetration and Reduced Dermal Toxicity. J. Med. Assoc. Thai.
93:216 – 226.
Qi, Y., K.L. Chin, F. Malekian, M. Berhane and J. Gager. 2005. Biological characteristics, nutritional and
medicinal value of roselle, Hibiscus sabdariffa. Circular-Urban Forestry Natural
Resources and Environment. 604:1-2.
Shipp, J. and E.S.M. Abdel-Aal. 2010. Food applications and physiological effects of anthocyanins
as functional food ingredients Open Food Sci. J. 4:7-22.
Siemonsma, J.S. and K. Piluek. 1993. Plant Resource of South-East Asia No.8. Wagenengen:
Vegetables Pudoc Scientific Publishers. 412 p.
Siriphan, S., S. Promdang and U. Doung-ngern. 2018. Research articleFull text access Fruit
characters and physic – chemicall properties of roselle (Hibiscus sabdariffa L.) in
Thailand – A screening of 13 new genotypes. Journal of Applied Research on
Medicinal and Aromatic Plants. 11:47 – 53.
Tee, P.L., V.R. Young and M.C. Archer. 1985. Vitamins and Minerals in Food Chemistry. New York:
Marcel Dekker Inc. p 478-544.
Wong, P.K., S.Yusof, H.M. Ghazali and Y.B.C. Man. 2002 Physico-chemical Characterstics of roselle
(Hibiscus sabdariffa L.) Nutr. Food Sci. 32: 68.


Click to View FlipBook Version