ชอ่ื ผลงานวจิ ัย : ความพึงพอใจทม่ี ีต่อแบบฝกึ ทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วย DEV C++
รายวชิ าการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด สาหรับนกั เรยี นระดบั ประกาศนีย
บตั รวชิ าชีพ ชน้ั ปที ี่ 3 สาขาคอมพวิ เตอรธ์ รุ กจิ วิทยาลัยเทคโนโลยพี ณิชยการหาดใหญ่
ชอ่ื ผู้วิจัย : นางสาวเกศแก้ว ทองเรือง
ตาแหนง : ครูผูสอนสาขาคอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ
วฒุ ิการศึกษา : ปริญญาโท สาขาเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษา มหาวิทยาลัยทกั ษิณ
สถานทต่ี ดิ ตอ : วทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ณิชยการหาดใหญ / 080-7116294 /[email protected]
ปท่ีทาวจิ ยั เสรจ็ : 2561
ประเภทงานวจิ ยั : ประเภทการเรียนการสอน (วจิ ัยช้นั เรียน)
บทคดั ยอ่
การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการเขียน
โปรแกรมภาษาซีด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด สาหรับนักเรียน
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 3 วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2561
ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง เป็นนักเรียนระดบั ระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ ชั้นปที ่ี 3 ห้อง 1
และ หอ้ ง 2 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการ
หาดใหญ่ จานวน 51 คน การวิจัยครั้งน้ี เป็นการวิจัยเชิงสารวจ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่
แบบสอบถามความพึงพอใจของเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา ในรายวิชาการ
เขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 -2007 นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
ชั้นปีที่ 3 เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert)
ประกอบด้วยข้อคาถาม จานวน 10 ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น การเก็บรวบรวมได้ดาเนินการเก็บข้อมูลด้วย
ตนเองจานวน 51 ฉบับ และได้รับกลับคืนมาจานวน 49 ฉบับ การวิเคราะห์ข้อมูลได้นาข้อมูลท่ีเก็บ
รวบรวมได้มาทาการวิเคราะห์วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อการใช้แบบฝึกทักษะการ
เขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา
2204 - 2007 ด้วยค่าความถ่ี และร้อยละค่าเฉลีย่ ดว้ ยคอมพิวเตอรโ์ ปรแกรมสาเร็จรูป
ผลการวจิ ยั พบว่า
จากการวิจัยพบว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรม
ภาษาซี ด้วย DEV++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด สาหรับนักเรียนระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 อยู่ใน
ระดับมากท่ีสุดอยู่ 4 รายการ โดยค่าเฉลี่ยรวมระดับมากท่ีสุด ร้อยละ 48.40 ระดับมาก 6 รายการ
โดยค่าเฉล่ยี รวมระดบั มาก รอ้ ยละ 38.60
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาของการวิจยั
ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2661 ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าท่ีในการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนในรายวชิ าการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 - 2007 จานวน
3 หน่วยกิต ตามหลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชา พุทธศักราช 2556 ประเภทวชิ าพาณิชกรรม สาขาวิชา
พณชิ ยการ ระดับประกาศนยี บตั รวิชาชีพ ช้ันปีที่ 3 ห้อง 1 และ ห้อง 2 วทิ ยาลยั เทคโนโลยีพณิชยการ
หาดใหญ่ วิชาชีพ สาขางานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ โดยใช้โปรแกรม DEV C++ ซึ่งได้วิเคราะห์หลักสูตร
และได้ทาหน่วยการเรียนรู้จานวน 4 หน่วยการเรียน ซึ่งหน่วยการเรียนที่ 4 เร่ือง การออกแบบการ
เขียนและคาสั่งควบคุมการทางาน ของโปรแกรมบนมาตรฐานเปิดในระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย
จะเน้นการเขียนโปรแกรมภาษา เป็นหน่วยการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้หลักการเขียนโปรแกรม
ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ซ่ึงการจากท่ีได้สอบถามนักเรียนในห้องท่ี 1 และ ห้อง 2 พบว่านักเรียนมี
ทักษะในการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์มาก่อน แต่ยังไม่เข้าใจในหลักการเขียนโปรแกรมที่
ถกู ตอ้ ง ทาให้เขยี นโปรแกรมออกมาไมไ่ ด้ จึงทาให้การเรยี นรู้ไม่เปน็ ท่ีได้วางไว้ ผู้วิจัยจงึ ไดส้ รา้ งแบบฝึก
ทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วยโปรแกรม DEV C++ ขึ้นมา เพ่ือเป็นแบบฝึกให้นักเรียนฝึก
ปฏิบตั ิเขยี นโปรแกรมภาษาซขี ึน้
ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรภา ษาซี
ดว้ ย DEV C++ ประจาหน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 เรื่อง การออกแบบการเขยี นและคาสั่งควบคมุ การทางาน
ของโปรแกรมบนมาตรฐานเปิดในระบบปฏิบตั ิการที่หลากหลาย ในรายวชิ าการเขียนโปรแกรมบนบน
มาตรฐานเปิด ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 เพื่อใช้เป็น
แนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลดีแก่ผู้เรียนและทา ให้ผู้เรียนมี
ความพงึ พอใจมากทส่ี ดุ
วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั
เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี
ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด สาหรับนักเรียนระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา
2561
กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย
ตวั แปรตน้ (Independent Variable)
แบบฝึกทกั ษะการเขยี นโปรแกรมภาษาซี
ตวั แปรตาม (Dependent Variable)
ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี
ดว้ ย DEV C++ ของนกั เรยี นระดับประกาศนียบัตรวิชาชพี ชนั้ ปีที่ 3 สาขาคอมพิวเตอรธ์ รุ กิจ
สมมติฐาน
ระดับความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อ แบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี
ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
ชนั้ ปีท่ี 3 วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2561
นยิ ามศัพท์
นักเรียน หมายถึง บุคคลที่เข้ารับการศึกษาและกาลังศึกษาในวิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการ
หาดใหญ่ ระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ช้ันปีท่ี 3 หอ้ ง 1 และ ห้อง 2 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2561
ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการเขียน
โปรแกรมภาษาซี ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา
2204 - 2007
บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง
รายงานวจิ ัยชั้นเรยี น เร่อื ง ความพึงพอใจที่มีต่อแบบฝกึ ทักษะการเขียนโปรแกรม
ภาษาซี ด้วย DEV C++ รายวชิ าการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปดิ สาหรบั นักเรียนระดบั
ประกาศนียบัตรวิชาชพี ชัน้ ปีท่ี 3 สาขาคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ วทิ ยาลยั เทคโนโลยีพณชิ ยการหาดใหญ่
เรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกย่ี วข้องตามประเด็น
สาคัญในการวิจัย ดังนี้
2.1 ความหมายของความพึงพอใจ
2.2 แนวความคดิ และทฤษฎีความพงึ พอใจ
2.3 การวดั ความพึงพอใจ
2.4 ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ
2.5 ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะ
2.6 หลกั จิตวทิ ยาในการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
2.7 งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง
2.1 ความหมายของความพึงพอใจ
ชริณี เดชจินดา (2535, หน้า 6) ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจเป็น
ความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งหน่ึงสิ่งใด หรือปัจจัยที่เก่ียวข้องความรู้สึกพอใจจะ
เกิดขึ้นเมื่อความต้องการของบุคคลได้รับการตอบสนองหรือบรรลุจุดมุ่งหมายในระดับหน่ึงความรู้สึก
ดังกลา่ วจะลดลงและไม่เกิดข้ึนหากความต้องการหรือจดุ มงุ่ หมายนน้ั ไม่ได้รบั การตอบสนอง
สง่า ภู่ณรงค์(2540, หน้า 9) ได้กล่าวว่าความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกที่เกิดข้ึน เม่ือได้รับ
ความสาเร็จตามความม่งุ หมาย หรือเปน็ ความรู้สกึ ขนั้ สุดท้ายท่ไี ด้รับผลสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์
ปริญญา จเรรัชต์และคณะ(2546, หน้า 3) กล่าวไว้ว่าความพึงพอใจ หมายถึงท่าทีความรู้สึก
หรือทัศนคติในทางท่ีดีของบุคคลที่มีต่อส่ิงที่ปฏิบัติร่วมปฏิบัติหรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติโดย
ผลตอบแทนที่ได้รับรวมท้ังสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เก่ียวข้องเป็นปัจจัยทาให้เกิดความพึงพอใจหรือ
ไม่พงึ พอใจ
จากความหมายของความพึพอใจดังกล่าวพอสรุปความได้ว่า ความพึงพอใจเป็นทัศนคติอย่าง
หน่ึง ท่ีเป็นนามธรรมเป็นความรู้สึกส่วนตัวทั้งทางด้านบวกและลบขึ้นอยู่กับการได้รับการตอบสนอง
เปน็ สิ่งทกี่ าหนดพฤติกรรม ในการแสดงออกของบคุ คลทมี่ ีผลต่อการเลอื กที่จะปฏิบัติสิง่ ใดสิ่งหนึ่ง
2.2 แนวความคดิ และทฤษฎีท่ีเก่ยี วกับความพงึ พอใจ
วิชัย เหลืองธรรมชาติ(2531, หน้า 9) ได้ให้แนวความคิดเก่ียวกับความพึงพอใจว่า ความพึง
พอใจมีส่วนเก่ียวข้องกับความต้องการของมนุษย์ คือพึงพอใจจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือความต้องการของ
มนษุ ยไ์ ดร้ บั การตอบสนองซึ่งมนษุ ย์ไมว่ า่ อย่ใู นที่ใดยอ่ มมคี วามต้องการขัน้ พ้นื ฐานไม่ตา่ งกนั
สุเทพ พานิชพันธ์ุ(2541, หน้า 5) ได้สรุปถึงสง่ิ จูงใจทใ่ี ชเ้ ป็นเคร่อื งมือกระตุ้นให้บุคคลเกิดความ
ความพึงพอใจไว้ดงั นี้
1. สิ่งจูงใจทีเ่ ปน็ วตั ถไุ ด้แกเ่ งินสิ่งของเปน็ ต้น
2. สภาพทางกายท่ีปรารถนาคือสิ่งแวดลอ้ มในการประกอบกิจกรรมตา่ งๆซ่ึงเป็นสิ่งสาคัญอย่าง
หนึ่งอนั กอ่ ให้เกิดความสขุ ทางกาย
3. ผลประโยชน์ทางอุดมคติหมายถึงสิ่งต่างๆท่ีสนองความต้องการของบุคคล
4. ผลประโยชน์ทางสังคม คือความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับผู้ร่วมกิจกรรมอันจะทาให้เกิดความ
ผูกพันความพึงพอใจและสภาพการอยู่ร่วมกันอันเป็นความพึงพอใจของบุคคลในด้านสังคมหรือความ
ม่ันคงในสังคมซ่ึงจะทาใหร้ สู้ ึกมหี ลักประกันและมีความมนั่ คงในการประกอบกจิ กรรม
ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกท่ีดีทชี่ อบท่ีพอใจหรือท่ีประทบั ใจของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหน่งึ ท่ีได้รับ
โดยสิง่ นัน้ สามารถตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกายและจติ ใจบุคคลทุกคนมีความต้องการหลาย
ส่ิงหลายอย่างและมีความต้องการหลายระดับซึ่งหากได้รับการตอบสนองก็จะก่อให้เกิดความพึงพอใจ
การจัดการเรยี นรู้ใดๆที่จะทาให้ผู้เรียนเกดิ ความพึงพอใจการเรยี นรู้นนั้ จะต้องสนองความต้องการของ
ผู้เรียนทฤษฏีเก่ียวกับความต้องการท่ีส่งผลต่อความพึงพอใจที่สาคัญสรุปได้ดังนี้ทฤษฏีลาดับชั้นของ
ความต้องการ Maslow (Needs-Herarchy Theory) เป็นทฤษฏีหน่ึงที่ได้รับการยอมรับอย่าง
กวา้ งขวางโดยตงั้ อยู่บนสมมติฐานเกยี่ วกับพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ดงั น้ี
1. ลักษณะความตอ้ งการของมนษุ ย์ได้แก่
1.1 ความตอ้ งการของมนษุ ยเ์ ป็นไปตามลาดบั ชั้นความสาคัญโดยเร่ิมระดบั ความต้องการ
ขน้ั สูงสดุ
1.2 มนุษย์มีความตอ้ งการอยู่เสมอเม่ือความต้องการอย่างหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้วก็
มีความต้องการสง่ิ ใหม่เขา้ มาแทนที่
1.3 เม่ือความต้องการในระดับหน่ึงได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่จูงให้เกิดพฤติกรรมต่อ
ส่งิ นนั้ แตจ่ ะมีความต้องการในระดับสูงเข้ามาแทนและเปน็ แรงจงู ใจใหเ้ กิดพฤติกรรมนนั้
1.4 ความต้องการท่ีเกิดข้ึนอาศัยซึ่งกันและกันมีลักษณะควบคู่คือเมอ่ื ความต้องการอย่าง
หนึ่งยังไม่หมดส้ินไปก็จะมีความตอ้ งการอีกอยา่ งหนงึ่ เกดิ ขึ้นมา
2. ลาดับขั้นความตอ้ งการของมนษุ ย์มี 5 ระดับไดแ้ ก่
2.1 ความต้องการพ้ืนฐานทางด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการ
เบื้องต้นเพอ่ื ความอยู่รอดของชีวิตเช่นความตอ้ งการอาหาร น้าอากาศ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ท่ีอยู่
อาศัย และความต้องการทางเพศ ความต้องการทางด้านร่างกายจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนก็
ต่อเมือ่ ความต้องการท้งั หมดของคนยังไม่ได้รับการตอบสนอง
2.2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Security Needs) เป็นความรู้สึกที่ต้องการ
ความมั่นคงปลอดภยั ในปจั จบุ นั และอนาคตซึ่งรวมถึงความก้าวหน้าและความอบอนุ่ ใจ
2.3 ความตอ้ งการทางสังคม (Social or Belonging Needs) ไดแ้ กค่ วามตอ้ งการทีจ่ ะเข้า
รว่ มและได้รับการยอมรับในสงั คมความเป็นมิตรและความรักจากเพือ่ น
2.4 ความต้องการท่ีจะได้รับการยกย่องหรือมีชื่อเสียง (Esteem Needs) เป็นความ
ต้องการระดับสูง ได้แก่ ความต้องการอยากเด่นในสังคม รวมถึงความสาเร็จ ความรู้ความสามารถ
ความเป็นอิสรภาพ และเสรแี ละการเปน็ ที่ยอมรบั นับถือของคนท้ังหลาย
2.5 ความต้องการทีจ่ ะได้รับความสาเร็จในชวี ิต (Self Actualization Needs) เป็นความ
ตอ้ งการระดบั สูงของมนษุ ย์ส่วนมากจะเปน็ การนกึ อยากจะเป็นอยากจะไดต้ ามความคดิ เหน็ ของตัวเอง
แต่ไมส่ ามารถแสวงหาได้ (Maslow.1970: 69-80)
2.3 การวดั ความพงึ พอใจ
ปริญญา จเรรัชต์และคณะ (2546, หน้า 5) กล่าวว่ามาตรวัดความพึงพอใจสามารถกระทาได้
หลายวิธี ไดแ้ ก่
1. การใช้แบบสอบถามโดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบความคิดเห็นซ่ึง
สามารถทาไดใ้ นลักษณะที่กาหนดคาตอบให้เลอื ก หรอื ตอบคาถามอสิ ระคาถามดังกล่าวอาจถามความ
พงึ พอใจในด้านตา่ ง ๆ เชน่ การบริการ การบริหาร และเงื่อนไขตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
2. การสัมภาษณ์เปน็ วิธีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหน่ึงซ่ึงต้องอาศัยเทคนิค และวิธีการที่ดีที่
จะทาใหไ้ ด้ข้อมลู ท่เี ปน็ จริงได้
3. การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะ
แสดงออกจากการพูดกิริยาท่าทางวิธีน้ีจะต้องอาศัยการกระทา อย่างจริงจังและการสังเกตอย่างมี
ระเบยี บแบบแผน
2.4 ความหมายของแบบฝึกทกั ษะ
การเรียนคณิตศาสตร์การฝึกทักษะเป็นสิ่งจาเป็นมาก เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนจนเกิดความ
ชานาญ แบบฝึกทักษะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ชุดฝึก แบบฝึก เป็นต้น การศึกษาค้นคว้ามีผู้ให้
ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ ดังนี้
ไพบูลย์ มูลดี (2546, หน้า 48) ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะเป็นชุดการ
เรียนรูท้ ค่ี รูจัดทาข้นึ ให้ผเู้ รียนได้ทบทวนเน้อื หาท่ีเรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความรู้ความเขา้ ใจจะชว่ ยเพิ่ม
ทักษะความชานาญ และช่วยฝึกทักษะการคดิ ให้มากข้ึน ทั้งยังมีประโยชน์ในการลดภาระให้กบั ครู อีก
ทง้ั พัฒนาความสามารถของ ผูเ้ รียนทาให้ผู้เรียนมองเห็นความก้าวหนา้ จากผลการเรียนร้ขู องตนเองได้
พินิจ จันทร์ซ้าย (2546, หน้า 90) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะ
หมายถึง งานกิจกรรม หรือประสบการณ์ที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพ่ือทบทวนความรู้ท่ีเรียน
มาแล้ว ให้สามารถนาความรู้ทไี่ ปประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจาวัน
อานวย เล่ือมใส (2546, หน้า 89) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า หมายถึงแบบ
ตวั อย่างปัญหาหรือคาส่ัง เพื่อให้ผู้เรียนรู้มาแล้ว เพ่ือความรู้ ความเข้าใจ และเป็นการเพิม่ ทักษะความ
ชานาญใหแ้ กผ่ ู้เรยี น ทาใหก้ ารเรยี นมปี ระสทิ ธภิ าพดยี ิ่งขน้ึ
ดงั ที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า แบบฝึกเป็นสื่อการเรยี นการสอนที่สร้างขน้ึ เพื่อให้นกั เรียนได้
ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น โดยท่ีกิจกรรมท่ีได้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้นจะ
ครอบคลุมเนื้อหาท่ีเรียนไปแล้ว ทาให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมากขึ้น และทาให้ผู้เรียนมองเห็น
ความก้าวหนา้ จากผลการเรยี นรูข้ องตนเองได้
2.5 ประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะ
ไพบูลย์ มลู ดี (2546, หน้า 52) กล่าวถึง ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะไว้ ดังนี้
1. ชว่ ยให้ผเู้ รียนเขา้ ใจบทเรยี นไดด้ ีขึน้
2. ช่วยใหผ้ ู้เรียนจดจาเน้ือหาในบทเรียนและคาศพั ท์ตา่ ง ๆ ไดค้ งทน
3. ทาให้เกิดความสนุกสนานขณะเรยี น
4. ทาใหผ้ ู้เรยี นทราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง
5. ผเู้ รียนสามารถทบทวนความรู้ได้ด้วยตนเอง
6. แบบฝึกทักษะสามารถนามาวดั ผลการเรียนท่เี รียนแล้ว
7. ชว่ ยใหค้ รูทราบข้อบกพร่องของผ้เู รียนและนาไปปรบั ปรงุ แก้ไขได้ทนั ทว่ งที
อุษณีย์ เสือจันทร์ (2553, หน้า 17-18) ได้กล่าวว่า แบบฝึกช่วยในการฝึกเสริมทักษะทาให้
จดจาเน้ือหาได้คงทนมีเจตคติที่ดตี ่อวชิ าท่ีเรียน สามารถนามาแก้ปัญหาเปน็ รายบุคคลและรายกลุ่มได้
ดี ผู้เรียนสามารถนามาทบทวนเน้ือได้ด้วยตนเอง ทาให้ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าของตน เป็น
เคร่อื งมอื ทีค่ รผู สู้ อนใช้ประเมินผลการเรียนรไู้ ด้เปน็ อย่างดีวา่ นกั เรียนเขา้ ใจมากนอ้ ยเพียงใด
ดังท่ีกล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า แบบฝึกมีความสาคัญทาให้เกิดทักษะความชานาญหากแต่ต้องการ
ได้รับการฝึกหลาย ๆ ครั้ง หลายรูปแบบ เมื่อผู้เรียนได้รับการฝึกแล้วอย่างน้อยผู้เรียนสามารถพัฒนา
ตนเองไดแ้ นน่ อน แบบฝกึ มปี ระโยชน์ต่อครูผู้สอนในการแกป้ ญั หาของนักเรียนท่ีมปี ัญหามากไดด้ ี
2.6 หลกั จิตวิทยาในการสร้างแบบฝกึ ทกั ษะ
การนาหลักจิตวิทยามาเป็นกรอบแนวคิดในการสร้างแบบฝึก ทาให้แบบฝึกทักษะมีความ
สมบรู ณ์ และมีความเหมาะสมที่จะนามาใชก้ ับนักเรียน และนกั เรยี นมีโอกาสที่จะตอบสนองส่ิงเร้าดว้ ย
การแสดงออกทางความสามารถ ความรู้ความเข้าใจท่ีเหมาะสมกับวัยความสามารถและความสนใจ
ของผู้เรียน หลักจิตวิทยาท่ีเก่ียวข้องกับการสร้างแบบฝึกมีหลายประการ (สาลี รักสุทธี, ม.ป.ป., หน้า
34-36) ดังน้ี
1. กฎการเรียนร้ขู อง ธอรน์ ไดด์ (Thorndike) ในการจดั การเรยี นการสอน ดังน้ี
1.1 กฎแห่งการฝึกฝน (Law of Exercise) คือการให้ผู้เรียนทาแบบฝึกหัดมาก ๆ
จะทาให้เกิดความคล่องและชานาญ การสร้างแบบฝึก จึงช่วยให้ผู้เรียนทาแบบฝึกท่ีเสริมจากแบบฝึก
ในบทเรียนและมีหลายรูปแบบ
1.2 กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) คอื การให้ผเู้ รยี นมคี วามพร้อมในการเรยี น
จะทาให้เกิดความพอใจในการเรยี น
1.3 กฎแห่งผล (Law of Effect) คือ แบบฝึกต้องมีเน้ือหาท่ีสนใจของผู้เรียนความยาก
ง่ายท่เี หมาะสมกับวัยและสตปิ ญั ญา มสี ิ่งกระตุ้นให้ผเู้ รียนพอใจในการเรียนกระประเมินผลควรกระทา
อย่างรวดเร็ว หลังจากผเู้ รียนทาเสรจ็ แล้ว
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ ซึ่งเขามีความเห็นว่าการเรียนรู้มีลาดับขั้น และผู้เรียนจะต้อง
เรียนรู้เนื้อหาที่ง่ายไปหายาก แนวคิดของกาเย่มีว่า “การเรียนรู้มีลาดับขั้นตอน ดังน้ันก่อนท่ีจะสอน
เด็กแก้ปัญหาได้นั้น เด็กจะตอ้ งเรียนรู้ความคิดรวบยอดหรือหลักเกณฑ์มาก่อนซ่ึงในการสอนให้เด็กได้
ความคิดรวบยอดหรือกฎเกณฑ์น้ัน จะทาให้เด็กเป็นผู้สรุปความคิดรวบยอดด้วยตัวเองแทนท่ีครูจะ
เปน็ ผู้บอก” การสรา้ งแบบฝึกจงึ ควรคานึงถึงการฝึกตามลาดับข้ันจากง่ายไปยาก
3. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันผู้เรียนจะ
สามารถเรียนรู้เนื้อหาในหน่วยยอ่ ยต่าง ๆ ได้โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกัน ดังน้ันการสร้างแบบฝึกจึง
ต้องมีการกาาหนดเงื่อนไขท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลาดับข้ันตอนของทุกหน่วยการเรียน
ได้ ถา้ นกั เรียนไดเ้ รยี นตามอัตราเวลาเรยี นของตนก็จะทาให้ประสบความสาเรจ็ มากขน้ึ
4. ทฤษฎีการเรียนรู้ ของ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) เขาเช่ือว่ามีบุคคลมีเชาวน์
ปัญญาแตกต่างกัน แต่ละคนจะมีความสามารถแตกต่างกัน คนหนึ่งอาจเรียนรู้ดนตรีได้ง่าย อีกคน
เรียนรู้คณิตศาสตร์ได้ดี ขณะที่อีกคนเรียนภาษาได้เก่ง เป็นต้น ครูควรคานึงถึงนักเรียนแต่ละคนว่ามี
ความรู้ ความถนัด ความสามารถและความสนใจท่ีแตกต่างกัน ดงั นั้นการสร้างแบบฝึกจงึ ควรพิจารณา
ถงึ ความเหมาะสมกบั บุคคล ไม่ยากและไม่งา่ ยเกนิ ไป ควรมีคละกันหลายแบบการจูงใจผู้เรียนสามารถ
ทาได้ โดยการทาแบบฝกึ จากง่ายไปหายาก เพอื่ ดงึ ดดู ความสนใจของผูเ้ รยี น เปน็ การกระตุ้นให้ตดิ ตาม
ต่อไป และทาใหผ้ ู้เรียนประสบความสาเร็จในการทาแบบฝกึ ควรเป็นแบบสัน้ ๆจะช่วยใหผ้ ู้เรยี นไม่เบื่อ
หน่ายการนาส่ิงท่ีมีความหมายต่อชีวิต และการเรียนรมู้ าใหน้ ักเรียน โดยทดลองทาภาษาที่ใช้พดู ใช้ใน
ชีวิตประจาวัน ทาให้ผเู้ รียนได้เรียนและทาแบบฝึกหัดในส่ิงที่ใกลต้ ัว จะทาใหจ้ าไดแ้ ม่นยา นักเรียน ยัง
สามารถนาหลกั และความรทู้ ีไ่ ด้รบั ไปใชป้ ระโยชน์ได้อกี ดว้ ย
2.7 งานวจิ ัยที่เกีย่ วข้อง
วราภรณ์ กิจเครือ (2556 : บทคัดย่อ) ไดศ้ ึกษาวิจัยเรือ่ งการพัฒนาแบบฝึกปฏบิ ัติ เรื่อง การใช้
งานโปรแกรมนาเสนอสาหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนวดั พระศรีอารยผลการวจิ ัยพบว่า
1. แบบฝึกปฏิบัติ เร่ือง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4
ท่ีผูว้ จิ ัยสรา้ งขึ้นมปี ระสทิ ธภิ าพ 80.39/80.78 ซ่ึงมีประสิทธภิ าพตามเกณฑท์ ่ีกาหนดไว้
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยแบบฝึกปฏิบัติ เรื่อง การใช้งานโปรแกรม
นาเสนอ สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 มคี ะแนนเฉล่ียก่อนเรยี นเท่ากับ 11.59 คิดเปน็ รอ้ ยละ
38.63 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.06 คิดเป็นร้อยละ 80.20 โดยมีค่าดัชนีประสิทธิผล
ความกา้ วหน้าผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนเท่ากบั รอ้ ยละ 68
3. ผลการปฏิบัติการใช้โปรแกรมนาเสนอ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีผลการประเมิน
รอ้ ยละ76.47
4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกปฏิบัติ เรื่อง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอ
สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 พบว่าโดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด
(µ= 4.52 , σ = 0.19)
เจนจิรา หวังหลี (2558 : บทคัดย่อ). การพัฒนาชุดฝึกปฏิบัติโปรแกรมภาษาซีบน
ระบบปฏิบตั ิการวนิ โดวส์ เร่อื ง โครงสรา้ งข้อมูลและขัน้ ตอนวิธี ผลการวิจัยพบว่า
1. ชุดฝึกปฏิบตั ิโปรแกรมภาษาซีบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์เรือ่ ง โครงสร้างข้อมูลและขนั้ ตอน
วิธีประกอบด้วยชุดฝึกปฏิบัติ จานวน 7 ชุดค าส่ังผลการวิเคราะห์ปรากฏว่าชุดฝึกปฏิบัติมีความ
เหมาะสมใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัย โดยมีประสิทธิภาพของเคร่ืองมือ คือ 75.65/76.09 ซ่ึงพบว่า
ใกลเ้ คยี งกบเกณฑม์ าตรฐานท่ีกาหนด คอื 80/80
2. นักศึกษามีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
กอ่ นเรียน
3. ผลด้านความพึงพอใจของนักศกึ ษาจากการใช้งานชุดฝึกปฏิบตั ิน้ี พบว่า นักศึกษามีความพึง
พอใจในระดับมาก โดยด้านท่ีมากที่สุดคือ ด้านเน้ือหามีค่าเฉลี่ย 4.19 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.62
รองลงมาคือ ด้านวิธี การสอนมีค่าเฉล่ีย 4.16 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.63 และด้านความรู้ความ
เข้าใจมคี ่าเฉล่ยี 3.94 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.52 ตามลาดับ
จากที่ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องสามารถสรุปประเด็นท่ีสา คัญและ
เห็นความจาเป็นท่ีจะต้องสารวจความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกการเขียนโปรแกรม
ของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 เรื่อง การออกแบบการเขียนและคาสั่งควบคุมการทางาน ของโปรแกรมบน
มาตรฐานเปิดในระบบปฏิบัติการท่ีหลากหลาย ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด
ระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชพี ชน้ั ปีที่ 3
บทที่ 3
วิธีดาเนนิ การวจิ ัย
การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) และเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ
(Quantitative Research) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการเขียน
โปรแกรมภาษา หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การออกแบบการเขียนและคาสั่งควบคุมการทางาน ของ
โปรแกรมบนมาตรฐานเปิดในระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบน
มาตรฐานเปิด ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 วิทยาลัย
เทคโนโลยพี ณิชยการหาดใหญ่ โดยได้ดาเนินตามลาดับดังนี้
3.1 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
3.2 เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั
3.3 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
3.4 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร (Population)
ประชากรในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 3 ห้อง 1
และ ห้อง 2 วิทยาลยั เทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน 51 คน
3.2 เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั
3.2.1 ลกั ษณะของเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวิจยั
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) เพ่ือสารวจความพึงพอใจของ
นักเรยี นทมี่ ีตอ่ แบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นโปรแกรมภาษา
เป็นแบบสอบถามความพึงพอใจของเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา ใน
รายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 -2007 นักศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท
(Likert) ประกอบดว้ ยข้อคาถาม จานวน 10 ขอ้ โดยมเี กณฑ์การให้คะแนนแบบสอบถาม ดังนี้
มีความพงึ พอใจมากท่สี ดุ มรี ะดับคะแนนเทา่ กับ 5
มคี วามพงึ พอใจมาก มรี ะดับคะแนนเท่ากับ 4
มคี วามพึงพอใจปานกลาง มีระดบั คะแนนเทา่ กบั 3
มคี วามพงึ พอใจนอ้ ย มรี ะดบั คะแนนเท่ากับ 2
มคี วามพึงพอใจนอ้ ยท่สี ดุ มรี ะดับคะแนนเทา่ กับ 1
3.2.2 การสรา้ งเครอื่ งมือและตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือทีใ่ ช้ในการวิจัย
ผูว้ ิจัยได้ดาเนนิ การสร้างเคร่ืองมอื และตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัยก่อนนาไปเก็บ
รวบรวมข้อมลู ดงั ต่อไปนี้
1. ศึกษาเอกสารแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ ง
2. กาหนดขอบเขตและโครงสรา้ งของแบบสอบถามเพ่ือให้ครอบคลมุ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั
3. จดั พิมพแ์ บบสอบถามฉบบั สมบูรณ์และนาไปเก็บข้อมลู กับกล่มุ ตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการวจิ ัยคร้ังน้ี
3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูลได้ดาเนินการเก็บขอ้ มลู ด้วยตนเองจานวน 51 ฉบบั และได้รับกลับคืนมา
จานวน 49 ฉบบั คิดเปน็ ร้อยละ 88.24
3.4 การวิเคราะห์ข้อมลู และสถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
4.1 การวเิ คราะห์ข้อมลู
นาข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้มาทาการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสาเร็จรูปโดยทาการ
วิเคราะหต์ ามลาดับ ดังน้ี
วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา ซี
ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขยี นโปรแกรมบนมาตรฐานเปดิ รหสั วชิ า 2204 - 2007 ด้วยคา่ ความถ่ี
และรอ้ ยละค่าเฉลย่ี จาแนกตามรายการประเมนิ และนาค่ามาเทยี บกับเกณฑด์ งั นี้(รัตนา พรมภาพ)
4.50 - 5.00 หมายถงึ ระดบั ความพึงพอใจ มากที่สุด
3.50 - 4.49 หมายถงึ ระดบั ความพึงพอใจ มาก
2.50 - 3.49 หมายถึงระดับความพึงพอใจ ปานกลาง
1.50 - 2.49 หมายถึงระดับความพงึ พอใจ น้อย
1.00 - 1.49 หมายถงึ ระดบั ความพงึ พอใจ น้อยที่สุด
4.2 สถิติทีใ่ ชใ้ นการวิจัย
1. สถิตพิ นื้ ฐาน ได้แก่
1.1 คา่ ความถี่
1.2 คา่ ร้อยละ
2. สตู รทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์
การหาค่าร้อยละ (Percentage)
คา่ รอ้ ยละ = จานวนทต่ี อ้ งการเปรียบเทยี บ X 100
จานวนข้อมลู ท้ังหมด
บทงท่ี 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู (Research Analysis)
จากการศึกษาวิจัยช้ันเรียน เร่ือง ความพึงพอใจที่มีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรม
ภาษาซี ด้วย Dev C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด สาหรับนักเรียนระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 วิทยาลัย
เทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ โดยผลการสรุปวิเคราะห์จากสถิติท่ีกาหนดไว้ข้างต้น ปรากฏดงั ตาราง
ต่อไปน้ี
ตารางท่ี 4.1 จานวนและร้อยละของความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการเขียน
โปรแกรมภาษาซี ด้วย Dev C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา
2204 -2007 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชพี ชน้ั ปที ่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2561
ระดบั ความพงึ พอใจ
รายการประเมิน มากท่สี ุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยทส่ี ุด
จานวน ร้อย
จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อย จานวน รอ้ ย จานวน ร้อย
ละ
ละ ละ ละ --
1.นกั เรียนสามารถ --
--
compile และ 44 89.80 5 10.20 - - - - --
--
execute โปรแกรมได้ --
--
2. นกั เรียนสามารถ --
แก้ไขปญั หาจากการ 12 24.50 21 42.90 16 32.70 - - --
พิมพร์ หัสโปรแกรมผดิ
--
ได้ --
3. นกั เรียนรจู้ กั 7 14.30 33 67.30 9 18.40 - -
โครงสร้างของภาษาซี
4. นักเรียนสามารถ
เขียนแสดงผลทาง 49 100.00 - - - - - -
หนา้ จอได้
5. นักเรยี นสามารถ
เขยี นโปรแกรมแบบ 15 30.60 30 61.20 4 8.20 - -
ลาดับได้
6. นักเรยี นสามารถ
เขยี นโปรแกรมแบบมี 18 36.70 23 46.90 8 16.30 - -
เงื่อนไขได้
7. นกั เรยี นสามารถ
เขยี นโปรแกรมแบบวน 21 42.90 23 46.90 5 10.20 - -
ซา้ ได้
8. นกั เรียนมคี วามภูมิใจ
ในทักษะการเขยี น 35 71.40 14 28.60 - - - -
โปรแกรมของตนเอง
9. นกั เรียนคดิ ว่าการ
เขยี นโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอรม์ ี
ประโยชนแ์ ละสามารถ 15 30.60 30 61.20 4 8.20 - -
นาไปใช้ใน
ชีวิตประจาวันของ
นกั เรียนได้
10. นักเรยี นมคี วามสขุ ท่ี
ได้เรยี นร้จู ากการทา 25 51.00 14 28.60 10 20.40 - -
แบบฝกึ การเขยี น
โปรแกรม
รวม / เฉล่ียรอ้ ยละ 242 48.40 193 38.60 56 11.20 - -
จากตารางท่ี 4.1 ผลการศึกษาความพึงพอใจเก่ียวกับแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี
ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 – 2007 นักศึกษา
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการ
หาดใหญ่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน 51 คน วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่
เม่ือพิจารณาในแต่ละประเด็นรายการสอบถาม ในประเด็นของ นักเรียนสามารถ compile และ
execute โปรแกรมได้ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจระดับมากท่ีสุด จานวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ
89.80 นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหาจากการพิมพ์รหัสโปรแกรมผิดได้ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจ
ระดับมาก จานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 42.90 นักเรียนรู้จักโครงสร้างของภาษาซี พบว่านักเรียนมี
ความพึงพอใจระดับมาก จานวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 67.30 นักเรียนสามารถเขียนแสดงผลทาง
หน้าจอได้ พบว่านกั เรียนมีความพึงพอใจระดับมากทีส่ ุด จานวน 49 คน คิดเปน็ ร้อยละ 100 นกั เรียน
สามารถเขยี นโปรแกรมแบบลาดับได้ พบว่านกั เรยี นมคี วามพึงพอใจระดบั มาก จานวน 30 คน คิดเป็น
ร้อยละ 61.20 นักเรียนสามารถเขียนโปรแกรมแบบมีเง่ือนไขได้ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจระดับ
มาก จานวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 46.90 นักเรียนสามารถเขียนโปรแกรมแบบวนซ้าได้ พบว่า
นักเรียนมีความพึงพอใจระดับมาก จานวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 46.90 นักเรียนมีความภูมิใจใน
ทกั ษะการเขียนโปรแกรมของตนเอง พบว่านกั เรียนมคี วามพึงพอใจระดับมากทส่ี ดุ จานวน 35 คน คิด
เป็นร้อยละ 71.40 นักเรียนคิดว่าการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์มีประโยชน์และสามารถ
นาไปใช้ในชวี ิตประจาวันของนักเรยี นได้ พบวา่ นักเรียนมีความพึงพอใจระดับมาก จานวน 30 คน คิด
เป็นร้อยละ 61.20 และ นักเรียนมีความสุขที่ได้เรียนรู้จากการทาแบบฝึกการเขียนโปรแกรม พบว่า
นักเรยี นมคี วามพงึ พอใจระดบั มากทีส่ ุด จานวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 51.00
บทท่ี 5
สรปุ ผลและการอภปิ รายผลการศึกษา (Conclusion and Discussion)
ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2661 ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนในรายวชิ าการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 - 2007 จานวน
3 หน่วยกิต ตามหลักสูตรประกาศนยี บัตรวชิ า พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชาพาณิชกรรม สาขาวิชา
พณชิ ยการ ระดับประกาศนียบัตรวชิ าชพี ช้ันปที ี่ 3 หอ้ ง 1 และ ห้อง 2 วทิ ยาลยั เทคโนโลยีพณิชยการ
หาดใหญ่ วิชาชีพ สาขางานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ โดยใช้โปรแกรม DEV C++ พบว่านักเรียนมีทักษะใน
การเขยี นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์มาก่อน แต่ยังไมเ่ ข้าใจในหลักการเขียนโปรแกรมทถี่ กู ตอ้ ง ทาให้
เขียนโปรแกรมออกมาไม่ได้ จึงทาให้การเรียนรู้ไม่เป็นท่ีได้วางไว้ ผู้วิจัยจึงได้สร้างแบบฝึกทักษะการ
เขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วยโปรแกรม DEV C++ ขึ้นมา เพ่ือเป็นแบบฝึกให้นักเรียนฝึกปฏิบัติเขียน
โปรแกรมภาษาซีข้ึน
วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้เรยี นท่ีมีต่อแบบฝกึ ทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี ดว้ ย DEV
C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3
วิทยาลัยเทคโนโลยพี ณชิ ยการหาดใหญ่ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561
สมมตฐิ าน (Hypothesis)
ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วย DEV
C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนบนมาตรฐานเปิด ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3
วทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ณิชยการหาดใหญ่ ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2561
วิธดี าเนินการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ในการวิจัยคร้ังน้ีเป็นนักเรียนระดับระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 3 ห้อง 1 และ ห้อง
2 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่
จานวน 51 คน
ตัวแปรที่ใชใ้ นการวิจยั
ตัวแปรต้น แบบฝึกทกั ษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี
ตัวแปรตาม ความพึงพอใจของนักเรยี นท่มี ตี อ่ การใช้แบบฝกึ ทกั ษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี
ด้วย DEV C++ ของนักเรยี นระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ช้ันปีท่ี 3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัย
แบบสอบถามความพึงพอใจของเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา ใน
รายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 -2007 นักศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพ ช้ันปีที่ 3 เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท
(Likert) ประกอบด้วยขอ้ คาถาม จานวน 10 ข้อ
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเกบ็ รวบรวมข้อมูลไดด้ าเนินการเก็บขอ้ มูลดว้ ยตนเองจานวน 51 ฉบบั และได้รับกลับคืนมา
จานวน 49 ฉบับ
การวิเคราะหข์ อ้ มลู
นาข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาทาการวิเคราะห์วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อ
การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบน
มาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 - 2007 ด้วยค่าความถ่ีและร้อยละค่าเฉล่ีย ด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรม
สาเร็จรปู
อภปิ รายผลการศึกษา
ผลการศึกษาความพึงพอใจเก่ียวกับแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วย Dev C++
ในรายวิชาการเขียนโปรแกรมบนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 – 2007 ระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพ ชั้นปีท่ี 3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน 51 คน วิทยาลัย
เทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ เม่ือพิจารณาในแต่ละประเด็นรายการสอบถาม ผลการศึกษาความพึง
พอใจเก่ียวกับแบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาซี ด้วย DEV C++ ในรายวิชาการเขียนโปรแกรม
บนมาตรฐานเปิด รหัสวิชา 2204 – 2007 นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 3 สาขา
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน
51 คน วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ เม่ือพิจารณาในแต่ละประเด็นรายการสอบถาม ใน
ประเด็นของ นักเรียนสามารถ compile และ execute โปรแกรมได้ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจ
ระดับมากท่ีสุด จานวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 89.80 นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหาจากการพิมพ์รหัส
โปรแกรมผิดได้ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจระดับมาก จานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 42.90
นักเรียนรู้จักโครงสร้างของภาษาซี พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจระดับมาก จานวน 33 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 67.30 นกั เรยี นสามารถเขียนแสดงผลทางหน้าจอได้ พบว่านักเรียนมีความพงึ พอใจระดับมาก
ทีส่ ุด จานวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 100 นกั เรยี นสามารถเขียนโปรแกรมแบบลาดับได้ พบวา่ นกั เรยี น
มคี วามพึงพอใจระดบั มาก จานวน 30 คน คิดเปน็ ร้อยละ 61.20 นักเรียนสามารถเขยี นโปรแกรมแบบ
มีเงื่อนไขได้ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจระดับมาก จานวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 46.90 นักเรียน
สามารถเขียนโปรแกรมแบบวนซา้ ได้ พบว่านกั เรียนมคี วามพึงพอใจระดบั มาก จานวน 23 คน คิดเป็น
ร้อยละ 46.90 นักเรียนมีความภูมิใจในทักษะการเขียนโปรแกรมของตนเอง พบว่านักเรียนมีความพึง
พอใจระดับมากท่ีสุด จานวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 71.40 นักเรียนคิดว่าการเขียนโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์มีประโยชน์และสามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันของนักเรียนได้ พบว่านักเรียนมี
ความพงึ พอใจระดับมาก จานวน 30 คน คดิ เป็นร้อยละ 61.20 และ นักเรียนมีความสขุ ท่ีไดเ้ รียนรู้จาก
การทาแบบฝึกการเขียนโปรแกรม พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด จานวน 25 คน คิด
เป็นร้อยละ 51.00
ข้อเสนอแนะ (Recommendation)
1. อยากให้รายวชิ าต่าง ๆ มีการนาแบบฝึกทักษะมาใช้ เพื่อพัฒนาผเู้ รียนที่มีความรู้แตกต่าง ๆ
กัน
2. แบบฝกึ ทกั ษะการเขียนโปรแกรม ควรปรับปรงุ ทกุ ภาคเรียนหรือปีการศึกษาท่จี ะทาการวิจัย
เพื่อพัฒนาผู้เรียน และ การหาค่าความพึงพอใจควรสอบถามนักเรียนทุกห้องท่ีได้เรียนในหน่วยการ
เรียนเดียวกัน เพ่ือให้ทราบถึงประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะที่ได้สร้างขึ้นมาว่ามีความเหมาะสม
หรอื ไมเ่ หมาะสมกับห้องเรยี นใดบา้ ง
บรรณานกุ รม (Bibliography)
เจนจริ า หวังหลี. (2558). การพฒั นาชุดฝึกปฏิบตั โิ ปรแกรมภาษาซีบนระบบปฏิบัติการวนิ โดวส์
เรือ่ ง โครงสรา้ งข้อมูลและขั้นตอนวธิ ี. วารสารอิเล็กทรอนิกส์การเรยี นร้ทู างไกลเชิงนวตั กรรม,
ปีที่ 7 (ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2560), 80
ชรณิ ี เดชจนดิ า. (2535). ความพงึ พอใจของผู้ประกอบการตอ่ ศนู ย์การจดั การอตุ สาหกรรม
แขวงแสมดา เขตบางขนุ เทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร.วิทยานพิ นธสงั คมศาสตร
มหาบัณฑิต, สาขาสิง่ แวดลอม, บณั ฑิตวิทยาลัย, มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล .
ชลุ ีพร แจ่มถนอม. (2542). การสร้างแบบทดสอบทใี่ ช้ในการฝึกการคดิ คานวณเคมี
เรื่อง สมบตั ขิ องกา๊ ซ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4. สารนพิ นธก์ ารศึกษามหาบณั ฑติ ,
สาขาวชิ าวัดผลการศึกษา, บณั ฑติ วทิ ยาลยั , มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ.
นิตยา กจิ โร. (2553). การศกึ ษาผลการฝึกทักษะการตั้งคาถามของนักเรียนในการสอนวิชา
วทิ ยาศาสตรท์ ท่ี ตี ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์และความคิด
สรา้ งสรรคท์ างวิทยาศาสตรข์ องนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1. ปรญิ ญานิพนธ์
การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการมัธยมศึกษา, บัณฑติ วิทยาลยั , มหาวิทยาลัย
ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.
ประภาพร ถิ่นออ่ ง. (2553). การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง การแยก
ตวั ประกอบของพหนุ ามดกี รีสอง สาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี3. วทิ ยานิพนธ์
การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวจิ ัยและประเมินผลการศึกษา (วจิ ัยและพัฒนา
การศึกษา), บณั ฑิตวิทยาลยั , มหาวทิ ยาลยั นเรศวร.
ปราณี จิณฤทธิ์. (2552). ผลการใช้แบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตรท์ ม่ี ตี อ่ ผลสมั ฤทธแิ์ ละเจตคตทิ างการ
เรยี นคณติ ศาสตร์ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จังหวัด
นครราชสีมา. วิทยานิพนธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑติ , สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์, บณั ฑิตวิทยาลัย,
มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.
ปาริชาติ สพุ รรณกลาง. (2550). การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์
เรือ่ งการอนิ ทิเกรตของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้แบบฝกึ เรียน
เปน็ รายบุคคลและเป็นกลุ่มย่อย. งานนิพนธก์ ารศกึ ษามหาบัณฑิต, สาขาวิชา
หลักสูตรและการสอน, คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลยั บูรพา.
ปรญิ ญา จเรรัชตแ์ ละคณะ. (2546). ความพึงพอใจของเกษตรกรผผู้ ลติ และผู้ใชเ้ สบียงสตั วจ์ ังหวัด
พันธด์ ี ทบั ทิม และคณะ. (2549). การประเมินความพงึ พอใจการบริการและความตอ้ งการ ทรพั ยากร
สารสนเทศห้องปฏิบัติการ เรียนรูด้ ว้ ยตนเองคณะศกึ ษาศาสตร์ของนิสิต
พนิ ิจ จันทรซ์ ้าย. (2546). การสรา้ งหนังสอื และแบบฝกึ ทักษะประกอบการเรียนภาษาไทย
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 เรอื่ ง บญุ ผะเหวดร้อเอ็ด แบบมุ่งประสบการณภ์ าษา.
วิทยานพิ นธ์การศึกษามหาบัณฑติ , สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน,
บณั ฑิตวทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
ไพบูลย์ มลู ดี. (2546). การพัฒนาแผนการเรยี นรู้และแบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคาท่ีไม่ตรง
ตามมาตราตวั สะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2.
วิทยานพิ นธก์ ารศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน,
บัณฑติ วทิ ยาลัย, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
1
วราภรณ์ กิจเครือ. (2556). การพัฒนาแบบฝึกปฏิบัติ เรือ่ ง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอสาหรับ
นกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรียนวัดพระศรีอารย. นครปฐม. ปริญญาศกึ ษาศาสตร์
มหาบณั ฑติ , สาขาเทคโนโลยกี ารศึกษา, บัณฑติ วิทยาลัย, มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
วิชัย เหลือะรรมชาต.ิ (2531). ความพึงพอใจและการปรับตัวต่อสภาพแวดลอ้ มใหมข่ องประชากร ใน
หม่บู า้ นอพยพโครงการเข่ือนรัชชประภา(เช่ียวหลาน) จังหวดั สุราษฎรธ์ าน.ี วิทยานพิ นธ์
บริหารธรุ กจิ มาหาบณั ฑิต, สาขาบรหิ ารธุรกิจ, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
สมพร ตอยยบี .ี (2554). การพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นเชิงสร้างสรรคส์ าหรบั นกั เรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเซนตเ์ ทเรซา หนองจอก กรงุ เทพฯ. ปริญญานิพนธก์ ารศกึ ษา
มหาบณั ฑิต, สาขาวชิ าการมธั ยมศึกษา, บัณฑติ วิทยาลัย, มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ
สมศักด์ิ สนิ ธรุ ะเวชญ์. (2540). เอกสารทางวชิ าการการพัฒนากระบวนการเรียนกาสอน.
กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ .
สง่า ภู่ณรงค.์ (2540). ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประสิทธิผลในการปฏบิ ตั ิงานของศึกษาธิการอาเภอ ตาม
อานาจหน้าที่ ของสานักงานศึกษาธิการอาเภอและความพึงพอใจของข้าราชการสานกั งาน
ศกึ ษาธิการในเขตการศึกษา 7. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. , มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมธริ าช,
นนทบรุ .ี
สาลี รกั สทุ ธี (ม.ป.ป.). คมู่ อการจดั ทาส่ือนวัตกรรมและแผนฯ ประกอบสื่อนวัตกรรม. นนทบุรี : เพม่ิ
ทรัพย์การพิมพ.์
สนุ นั ทา สนุ ทรประเสริฐ. (2544). การผลิตนวตั กรรมการเรียนการสอน การสรา้ งแบบฝกึ .
ชัยนาท: ชมรมพฒั นาความร้ดู ้านระเบยี บกฎหมาย.
สุเทพ พานิชพนั ธ์ุ. (2542). ความพึงพอใจของเกษตรกรในการเขา้ รว่ มโครงการปรับโครงสรา้ งและ
ระบบการผลิตการเกษตร จงั หวัดอบุ ลราชธานี, เชียงใหม่ : มหาวิทยาลยั แม่โจ้.
อษุ ณีย์ เสือจนั ทร.์ (2553). การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง วธิ ีเรยี ง
สบั เปล่ยี นและวิธีจดั หมู่ กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปี
ที่ 5. วิทยานพิ นธ์การศึกษามหาบณั ฑติ , สาขาวจิ ยั และประเมินผลการศกึ ษา (วิจัยและ
พัฒนาการศึกษา), บณั ฑิตวทิ ยาลัย, มหาวิทยาลยั นเรศวร.
อัญชลี พรม้ิ พรายและคณะ. (2548). ความพงึ พอใจของนกั ศกึ ษาท่มี ีต่อคุณภาพการสอนและปัจจัย
สนับสนนุ การเรยี นรูข้ องคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรธี รรมราช.
นครศรีธรรมราช : คณะเทคโนโลยอี ุตสาหกรรมมหาวิทยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช.
อานวย เล่ือมใส. (2546). การสรา้ งหนังสอื และแบบฝกึ ทักษะประกอบการเรียนภาษาไทย เร่อื ง
ผานา้ อ้อย แบบมุ่งประสบการณภ์ าษา ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4. วิทยานิพนธก์ ารศึกษา
มหาบัณฑติ , สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน, บัณฑติ วทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
Maslow, Abraham. 1970. Motivation and Personnality. New York : Harper and
Row Publishers.