การศึกษาระบบกรีดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยางพารา
สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร
โดย นางสาวระวิวรรณ โชติพันธ์ นักวิจัยช านาญการ
ั
ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สาคญพืชหนึ่งของประเทศ โดยประเทศไทยเป็นผผลตและ
ู้
ิ
ส่งออกยางธรรมชาติอันดับ 1 ของโลก สร้างความมั่นคงของรายได้ให้กับเกษตรกรหลายล้านคน ถึงแม้
ประเทศไทยจะเป็นผผลตและผสงออกยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก แต่ประสทธิภาพการผลต
ู้
ิ
ู้
่
ิ
ิ
ยางพาราของประเทศยังอยู่ในระดับที่ต่ า ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2564 อยู่ที่ 245 กก.ต่อไร่
ต่อปี
่
ิ
ปัจจัยที่สงผลต่อปริมาณผลผลตของยางพาราประกอบไปด้วยปัจจัยต่างๆ หลายปัจจัย แต่
้
ื
ิ
ปัจจัยหนึ่งที่สาคัญและส่งผลต่อผลผลตยางคอระบบกรีด ซึ่งระบบกรีดที่ดีจะท าใหการกรีดยางนั้นได้
ื
ิ้
้
่
น้ ายางมากที่สด ต้นยางเสยหายน้อยที่สด ยืดอายุการกรีดใหนานที่สด และสนเปลองคาใช้จ่ายน้อย
ุ
ุ
ี
ุ
ที่สุด
สถานีวิจัยสทธิพรกฤดากร สงกัดมหาวิทยาลยเกษตรศาสตร์ เป็นสถานีวิจัยที่มุ่งเน้นวิจัยพืช
ั
ั
ิ
เศรษฐกิจในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบน โดยเฉพาะยางพารา ได้ท าการทดลองเรื่องระบบกรีดยางพารา
ร่วมกับการใช้สารเร่งมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่า 12 ปี โดยร่วมมือกับศนย์วิจัยวิจัย CIRAD
ู
ั
ประเทศฝรั่งเศส ได้มีการศึกษาถึงการพฒนาระบบการกรีดยางที่เหมาะสมขึ้นหลายระบบขึ้น ซึ่งระบบ
่
การกรีดยางดังกลาวมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มผลผลตต่อพื้นที่ (productivity) เป้าหมายของการวิจัยนี้จึง
ิ
มุ่งศึกษาผลของการใช้ระบบกรีดยางที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งน้ ายาง
สารเคมีเร่งน้ ายางที่มีประสิทธิภาพที่แนะน าในปัจจุบันคือ 2-chloroethyl phosphonic acid
ั
มีชื่อสามัญว่า Ethephon (เอทธีฟอน) แนะน าให้ใช้ที่ระดบความเข้มข้น 2.5% เมื่อทาเอทธีฟอนตรง
เปลือกของต้นยางพาราแล้ว จะมีการสลายตัวช้าๆ โดยจะค่อยๆปล่อยแก๊สเอทธิลีน ท าให้แก๊สซึมเข้าส ู่
้
่
ู่
่
ื
เปลอกชั้นในและเข้าสท่อน้ ายาง สงผลใหน้ าสามารถไหลผานผนังเซลลดีขึ้น เพิ่มปฏิกิริยาการ
์
เปลี่ยนแปลงน้ าตาลซูโครส เพิ่มความดันภายในท่อน้ ายาง เพิ่มบริเวณพื้นที่ให้น้ ายาง ชะลอการจับตัว
ของอนุภาคยางในน้ ายาง ท าให้การอุดตันช้าลง น้ ายางไหลได้นานขึ้น
ซึ่งในระบบกรีดยาง แรงงานที่ใช้ซึ่งเป็นปัจจัยส าคัญเมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการขาด
แคลนแรงงานในอนาคต
การศึกษาระบบกรีดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยางพารา
ึ
ศกษาระบบกรีดในยางพาราพันธุ์ RRIT 251 ซึ่งเป็นพันธุ์ยางชั้น 1 ที่กรมวิชาการเกษตรรับรอง
ึ
ึ
ท าการศกษาเปรียบเทียบ 3 ระบบกรีด โดยในช่วง 10 ปีแรกของการศกษาจะเป็นการใช้ระบบกรีด
แบบครึ่งต้น และกรีดลงล่าง รายละเอียดดังนี้
ระบบ A หรือ control เป็นระบบกรีดที่แนะน าส าหรับเกษตรกร ท าการกรีดแบบวันเว้นวัน
(S2/d2) โดยมีระยะเปิดกรีดที่ความสูง 1.5 เมตรจากพื้นดิน และไม่ใช้สารเร่ง
ู
ระบบ B ท าการกรีดแบบวันเว้นสองวัน (S2/d3) โดยมีระยะเปิดกรีดที่ความสง 1.3 เมตรจาก
พื้นดิน และใช้สารเร่งเอทธิฟอน
ู
้
ระบบ C กรีดแบบวันเวนสามวัน (S2/d4) โดยมีระยะเปิดกรีดที่ความสง 1.2 เมตรจากพื้นดิน
และใช้สารเร่งเอทธิฟอน
ภาพแสดง ระบบการกรีดความถี่ตา (Low frequency tapping)
่
หน้า A กรีดบนลงล่าง ปี 1-6 หน้า B กรีดบนลงล่าง ปี 7-10
ในปีที่ 11 ถึงปีที่ 14 จะเป็นการกรีดขึ้นบน แบ่งหน้ากรีดเป็น 4 ส่วนของล าต้น ระบบกรีด
เหมือนเดิม คือ
ระบบ A หรือ control ท าการกรีดแบบวันเว้นวัน (S4/d2) ใช้สารเร่งเอทธิฟอน 2.5%
ระบบ B ท าการกรีดแบบวันเว้นสองวัน (S4/d3) ใช้สารเร่งเอทธิฟอน 5%
ระบบ C กรีดแบบวันเว้นสามวัน (S4/d4) ใช้สารเร่งเอทธิฟอน 5%
ทางรอดเมื่อราคาตกต่ า + ก าไรมากเมื่อราคาด ี
แรงงานกรีด เป็นต้นทุนที่มากที่สุดและส่งผลกระทบต่อผลผลิต/ก าไร เป็นอันดับหนึ่ง
ุ
้
การลดตนทน ท าได้โดยการเพิ่มประสทธิภาพการกรีดยางด้วยระบบกรีดความถี่ต่ า
ิ
(Low frequency tapping) ร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งน้ ายาง เป็นสารที่ช่วยเพิ่มระยะเวลาในการ
ไหลของน้ ายางใหนานขึ้น ระบบกรีดความถี่ต่ านี้ สามารถลดความถี่ในการกรีดได้มาก ท าใหใช้
้
้
แรงงานคนกรีดน้อยลงโดยไม่ลดผลผลิตน้ ายาง ซึ่งจากเดิมกรีด 3 วัน ใน 4 วัน เป็น
แปลงที่ 1 : วิจัยและสาธิต การกรีดเพียง 1 วัน ใน 3-4 วัน เริ่มวิจัยตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งจากผลการวิจัยที่กรีดลงล่างใน 10 ปีแรก
เพิ่มประสิทธิภาพการกรีด โดยเกษตรกรจะกรีดยางได้มากขึ้น 3-6 แปลง
(เดิมกรีดได้ 1 แปลง)
สามารถได้ส่วนแบ่ง / ค่าจ้างกรีดได้มากกว่าเดิม (หลายแปลง) ยังกรีดได้แม้ยาง
ราคาตกต่ า
ลดการสิ้นเปลืองเปลือก (bark consumption) ท าให้กรีดได้นานปีขึ้น ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
จาก 2.5 ตัน เป็น มากกว่า 8 ตันต่อไร่
ี
S2d2 : กรด 1.5 เมตร S2d3 : กรด 1.3 เมตร S2d4 : กรด 1.2 เมตร
ี
ี
ผลผลิตโครงการ (Output)……
เพิ่มประสิทธิภาพการกรีด โดยเกษตรกรจะกรีดยางได้มากขึ้น 3-6 แปลง (เดิมกรีดได ้
1 แปลง)
สามารถได้ส่วนแบ่ง / ค่าจ้างกรีดได้มากกว่าเดิม (หลายแปลง) ยังกรีดได้แม้ยางราคา
ตกต่ า
ลดการสิ้นเปลืองเปลือก (bark consumption) ท าให้กรีดได้นานปีขึ้น ได้ผลผลิต
เพิ่มขึ้นจาก 2.5 ตัน เป็น มากกว่า 8 ตันต่อไร่
ิ
เกษตรกรได้ผลผลตน้ ายางสงขึ้น เพิ่มอายุการกรีดของต้นยางได้มากขึ้นกว่าระบบกรีดเดิม
ู
ออกไปถึง 30 ปีและลดใช้แรงงานลงถึงร้อยละ 22
ผลลัพธ์โครงการ (Outcome)…ความพึงพอใจของเกษตรกรในระดับดีขึ้น ลดปัญหาในด้าน
แรงงาน รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นสามารถแก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่
ประสบปัญหาในสภาวะราคายางตกต่ า
ผลกระทบ (Impact)…การยอมรับเทคโนโลยีเพื่อปรับเปลี่ยนระบบการกรีดที่มีอยู่เดิม โดย
การสาธิตแปลงยางพาราที่ใช้ระบบกรีดความถี่ต่ า Low frequency tapping มาเป็นระยะเวลานาน
แต่ไม่ท าให้เกิดอาการหน้ายางแห้ง (drying panel dryness) มากกว่าปกติ แสดงให้เห็นว่าการ
ประยุกต์ใช้สารเร่งอย่างถูกต้องเหมาะสม จะส่งผลให้สามารถลดจ านวนวันในการกรีดโดยไม่สูญเสีย
้
ผลผลิตและต้นยางไม่เกิดความเสียหายจากการใช้สารเร่งซึ่งเป็นความเขาใจที่ไม่ถูกต้องของเกษตรกร
จ านวนมาก แปลงสาธิตนี้จึงเป็นตัวอย่างของระบบการจัดการสวนยางที่ดีที่สามารถแสดงแสดงให้
เกษตรกรรับรู้จากตัวอย่างจริง และยอมรับ / ปรับใช้ / ในระบบกรีดนี้ได้