ข้อที่ ๑๐. พลังปราณ (ชี่,คี่氣) คือ ในลมปราณจะมีพลัง พละ แรง ยกตัวอย่าง เราก ามือ จะต้องมีชี่ (氣) ถ้าไม่มีชี่ (氣) ก็จะไม่มีแรง เขาเรียกว่า "พละ" ถ้าเราไม่มีปราณ ก็จะไม่เกิดพละ เราจะต้องมีปราณ ถึงจะเกิดพละ • พลัง แปลว่า มวลสารที่อยู่ในธรรมชาติ มีศักยภาพในการขับเคลื่อน อัด เกาะเหนี่ยว ขับเคลื่อน ก่อเกิดเป็นรูปธรรม เป็นอัตตา และท าให้สิ่งต่างๆ เคลื่อนที่ สถิตย์ ด ารงอยู่ได้
จ าแนกพลังตามลักษณะของการท างาน ๑. พลังงานศักย์ (Potential Energy) เป็นพลังงานที่เกิดขึ้น เมื่อวัตถุถูกวางอยู่ในต าแหน่งที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ไม่ว่าจากแรงโน้มถ่วง หรือแรงดง ึ ดด ู จากแม่เหล็ก เช่น ก้อนหินที่วางอยู่บนขอบที่สูง
๒. พลังงานจลน์ (Kinetic Energy) เป็นพลังงานที่เกิดขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ เช่น รถที่ก าลังวิ่ง ธนูที่พุ่งออกจากแหล่ง จักรยานที่ก าลังเคลื่อนที่ เป็นต้น
๓. พลังงานสะสม (Stored Energy) เป็นพลังงานที่เก็บสะสมในวัสดุหรือสิ่งของต่างๆ เช่น พลังงานเคมีที่เก็บสะสมไว้ในอาหาร ในก้อนถ่านหิน น ้ามัน หรือไม้ฟื น ซึ่งพลังงานดังกล่าว จะถูกเก็บไว้ในรูปขององค์ประกอบทางเคมีหรือของวัสดุ หรือ สิ่งของนั้น ๆ และจะถูกปล่อยออกมา เมื่อวัสดุหรือสิ่งของดังกล่าวมีการเปลี่ยนรูป เช่น การเผาไม้ฟื นจะให้พลังงานความร้อน
พลังงาน หมวด นักษัตรจีน นักษัตรไทย ศักย์ ความรัก,ของ สวยงาม (แม่ธาตุ) 子 午 卯 酉 ชวด มะเมีย เถาะ ระกา จลน์ อ านาจ (พาหะ) 寅 申 巳 亥 ขาล วอก มะเส็ง กุน สะสม เงินทอง (คลังขุมทรัพย์) 辰 戌 丑 未 มะโรง จอ ฉลู มะแม
ลักษณะอาการของพลัง องค์ประกอบข้างในพลังมีดังนี้ ๑. ถูกผลัก (ชง) ๒. ถูกดึง (ฮะ) ๓. ระเบิด ปะทะ เสียดสี (เฮ้ง, ไห่, ผัวะ) ๔. กดดัน ลักษณะอาการของพลังนี้ จะอยู่ในพลังตามลักษณะของการท างานทั้ง ๓ อย่าง คือ พลังงานศักย์ พลังงานจลน์ พลังงานสะสม (3x4 =12) และทั้ง ๑๒ พลังนี้ จะเข้าไปอยู่ในพลังทั้ง ๕ เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ (12x5 = 60)
ซึ่งประกอบด้วยมหาพลังทั้ง ๗ ดังนี้ ๑. พลงัแห่งความศกัดิส์ิทธิ์ ๒. พลังแห่งความมงคล ๓. พลังแห่งชีวิต ๔. พลังแห่งปัญญา ๕. พลังแห่งความส าเร็จ ๖. พลังก่อเกิดสร้างสรรค์ ๗. พลังมหาจักรวาลทั้งปวง มหามงคลตลอดสัปปายะ ส าเร็จ ทุกกาลและการณ์ https://pantip.com/topic/38578946
http://www.igoodmedia.net/author/01_article&research/article-2021the7-element.html
กง ิ่ฟ้ า-ก้านดิน-กง ิ่ซ่อน
https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33770
หลักการที่1จต ิ วท ิ ยาของคา พ ู ด :ครูพดูเช่นไรเดก ็ เช ื่อเช่นน ้ นั เมื่อการรับรู้ความสามารถในตัวเองของเด็ก เป็ นผลมาจากการแสดงออกของครู หลักการข้อแรก ท ี่เป็ นเร ื่องสา คญัอยา่งมากต่อผเู้ ร ี ยน กค ็ื อเร ื่องของชุดความคิด หรือ Mindset ท ี่เดก ็ ม ี ต่อตนเองนนั่เองค่ะ โดยทวั่ ไปแลว ้ ความเชื่อ หรือความคิดท ี่เด ็ กแต่ละคนม ี ต่อตนเอง จะแบ่งออกเป็ น 2รูปแบบ คือ ความเชื่อแบบยึดติด (Fixed Mindset) ความเชื่อแบบเติบโต (Growth Mindset)
ความเช ื่อท ี่น่าเป็ นห่วง ส าหรับผู้เรียน กค ็ื อความเช ื่อแบบ Fixed Mindset หร ื อความคิดท ี่วา่ “ตนเองเป็ นเช่นน ้ นั ไม่สามารถเปล ี่ยนแปลงหร ื อพฒันาได” ้ ซ่ึ งผเู้ ร ี ยนจะพฒันาชุดความคิดไปในทิศทางใดน ้ นั ครูผสู้ อนม ี ส่วนสา คญัอยา่งมาก หร ื อเร ี ยกไดว ้ า่ ครูค ื อผมู้ี ส่วนช่วย ในการสร้างปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา ท ี่เร ี ยกวา่“ความคาดหวังสร้างความเป็ นจริง” ใหก ้ บัเดก ็ ๆ นนั่เองค่ะ
เคยมีงานวิจัยที่ได้ท าการทดลอง กับนักเรียนกล ่ ุ มหน ึ่ง ซึ่งเดิมเป็ นนักเรียน ที่มีผลการเรียนปานกลาง จนถึงอ่อน โดยใหค ้ รูประจา ช ้ นั พูดชื่นชมนักเรียน ในช่วงเปิดเทอมใหม่ วา่พวกเขาเป็ นเดก ็ ท ี่สามารถเร ี ยนรู้ไดด ้ี ม ี ผลการเร ี ยนท ี่ด ี ข ้ึ น และใหค ้ า ช ื่นชมกบัพวกเขาตลอดเทอม
ส่วนนกัเร ี ยนอ ี กกลุ่มหน่ึ ง ซ่ึ งเป็ นกลุ่มควบคุม ไม่ไดม ้ี การพดูช ื่นชมในลกัษณะดงักล่าว การทดลองพบวา่ เมื่อท าการทดสอบผลการเรียน ในช่วงปลายภาคเร ี ยน กลุ่มผเู้ ร ี ยนท ี่ไดร ้ับคา ชม ม ี ผลการเร ี ยนท ี่ด ี ข ้ึ นกวา่ กลุ่มควบคุมจริง
อีกงานวิจัยหนึ่ง ของแครอล ดเว็ค (2008) กไ็ ดท ้ า การทดลอง ในลกัษณะใกลเ ้ ค ี ยงกนั โดยในงานวจ ิ ยัน ้ ี ผู้วิจัยได้ให้เด็ก 2 กลุ่ม ทา การแกโ้ จทยป์ ัญหาเด ี ยวกนั โดยกลุ่มหน่ึ ง ไดร ้ับคา ชมวา่“ฉลาดมาก” ส่วนอ ี กกลุ่มไดร ้ับคา ชมวา่“พยายามดีมาก” เมื่อตอบค าถามได้ถูกต้อง
หลงัจากน ้ นั ผู้วิจัยได้ให้ผู้เรียน เล ื อกโจทยข ์ อ ้ ต่อไป ด้วยตนเอง ผลการทดลองพบวา่ เดก ็ กลุ่มท ี่ไดร ้ับคา ชมวา่ฉลาด จะเลือกข้อที่มีระดับความยาก ใกลเ ้ ค ี ยงกบัโจทยเ ์ ด ิ ม ส่วนเดก ็ กลุ่มท ี่ไดร ้ับคา ชม วา่ พยายามดีมาก จะเล ื อกโจทยท ์ ี่ม ี ระดบัความยากท ี่มากข ้ึ น
งานวจ ิ ยัท ้ งั 2 ช ิ ้ นน ้ ี เป็ นตวัอยา่งส่วนหน่ึ ง ท ี่แสดงใหเ ้ ห ็ นวา่ เราสามารถที่จะใช้ความเข้าใจ เก ี่ยวกบัชุดความค ิ ด หรือ Mindset น ้ ี ในการสร ้ างความร ู ้ส ึ กท ี่ด ี ต่อตนเอง และต่อการเร ี ยนร ู ้ใหก ้ บัผเ ู ้ ร ี ยนได ้ และยังถือเป็ นการสร้างความสัมพันธ์ ระหวา่งผส ู ้ อนและผเ ู ้ ร ี ยน ที่มีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย การนา หลกัการขอ ้ น ้ ี ไปใชก ้ บัผเ ู ้ ร ี ยน จ ึ งถ ื อเป็ นขอ ้ แนะนา อยา่งแรก ในการเป็ นคร ู ยคุใหม่ท ี่ด ี ค่ะ
หลักการท ี่2 จต ิ วท ิ ยาพฒันาการ : เมื่อเด็กแต่ละคนเติบโตไม่เท่ากัน ความคาดหวังและการวัดผลจึงต้องแตกต่าง พัฒนาการของเด็กแต่ละคน โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ หรือเชาวน์ปัญญา เป็นสิ่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หรือขั้นพัฒนาการของเด็กเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง ที่ส่งผลให้เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน
จริงอยู่ที่ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยานั้น มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับขั้นพัฒนาการเด็ก อยู่หลายทฤษฎี แต่ทุกทฤษฎี ล้วนกล่าวถึง ข้อจ ากัดเดียวกัน นั่นก็คือขั้นพัฒนาการในทฤษฎีต่างๆ นั้น อธิบายถึง พัฒนาการส่วนใหญ่ หรือพัฒนาการโดยทั่วๆ ไปของเด็กๆ ในช่วงวัยนั้น แต่มิได้หมายความว่า เด็กทุกคนจะสามารถท าได้ หร ื อมพ ี ฒันาการตามขัน ้ ดงักล่าว
อาจมีความเป็นไปได้ว่า เด็กบางคนสามารถพัฒนาได้ถึงขั้นที่สูงกว่า ในขณะที่บางคน อาจจะยังพัฒนาไม่ถึงขั้นที่ควรจะเป็น และการท าความเข้าใจ ในความแตกตา่งน ี น ้ ี่เองคะ่ ทจ ี่ะทา ใหค ้ ร ู ผ ู ้ สอน มม ี ุ มมองตอ่ทงั้ เดก ็ และตนเอง ในร ู ปแบบทเ ี่ปลย ี่นแปลงไป
ประการแรก เมื่อครูเข้าใจว่าเด็กแต่ละคน มีพัฒนาการที่ไม่เท่ากัน ก็จะไม่ตัดสินตีตราว่าเด็กคนโง่ เด็กคนใดฉลาด เพราะเด็กแต่ละคน อาจจะมีช่วงเวลาที่เข้าใจ ในสิ่งที่เราสอนช้าเร็วแตกต่างกันไป
ประการที่สอง ความเข้าใจในความแตกต่าง ทางด้านพัฒนาการของเด็กแต่ละคนนี้ ท าให้ครูสามารถที่จะจัดการวางแผน การเรียนการสอนล่วงหน้าได้ โดยค านึงถึงความหลากหลายเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้เด็ก สามารถเรียนรู้ได้หลายวิธี
การจัดการเรียนการสอนให้เด็ก ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการออกแบบระดับความยากง่าย ให้แตกต่างกันไปด้วย https://bit.ly/3Y8RpNv
ประการที่สาม เมื่อมีความแตกต่างตั้งแต่ต้น การวัดผลจึงควรแตกต่าง โดยวิธีการอย่างหนึ่งที่ครูยุคใหม่ สามารถปรับใช้ได้ ก็คือ การวัดผลตามพัฒนาการของเด็กแต่ละคน หรือ การมุ่งเน้นที่ความพยายามและระดับการพัฒนาเชิง บุคคลเป็นหลัก ซึ่งจะท าให้เด็กๆ รู้สึกกดดันน้อยลง มีความภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น และเป็นโอกาสที่จะท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีขึ้นกับนักเรียนทุกๆ คนนั่นเองค่ะ
หลักการท ี่3 จต ิ วท ิ ยาของบรรยากาศ : ไม่ใช่แค่ครูสอนอะไร แต่ครูสร้างบรรยากาศที่น่าเรียนได้หรือไม่ก็ส าคัญ สิ่งหนึ่งที่ครูพิมให้ความส าคัญมาโดยตลอด นอกเหนือจากการเตรียมเนื้อหา ในทุกครั้งที่ได้ท าการเรียนการสอน หรือมีการบรรยาย ก็คือ การเตรียมความพร้อม ของสภาพแวดล้อมในห้องเรียน หรือในพื้นที่บรรยาย นั่นเองค่ะ
วิธีการหนึ่ง ที่จะท าให้บรรยากาศ ในการเรียนการสอนนั้น เป็นไปในทางบวกได้อย่างรวดเร็ว คอ ื การเชอ ื่มโยง หร ื อมปี ฏส ิัมพนัธก ์ ับผ ู ้ เร ี ยน ก่อนทจ ี่ะเร ิ่มทา การเร ี ยนการสอน หรือเรียกว่าเป็ นช่วง warm-up ก็ได้ค่ะ
เพราะโดยทั่วไปแล้ว เรามักเริ่มต้นคาบเรียน ด้วยการกล่าวท าความเคารพ โดยหัวหน้าห้อง ตามด้วยเสียงเอื่อยๆ ของนักเรียนทั้งระดับชั้น ตามด้วยครูผู้สอน ที่บอกถึงเนื้อหาคร่าวๆ ที่จะท าการเรียนการสอน หรือ การทบทวนสิ่งเดิมที่เคยสอนไปแล้ว
รูปแบบเดิมๆ เหล่านี้ ท าให้ผู้เรียนขาดช่วงเวลาที่จะเชื่อมโยง หรือเชื่อมต่อกับครูผู้สอน และท าให้ไม่เกิดบรรยากาศ ที่เป็นการชักชวนเข้าสู่บทเรียน และการปรับเปลี่ยนบรรยากาศในตอนต้นคาบด้วย รูปแบบใหม่ๆ นี่เอง ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ส าคัญ ของการเรียนการสอนตลอดคาบได้ค่ะ
ส าหรับเทคนิค ในการปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ด้วยการเชื่อมโยงกันนี้ ก็สามารถท าได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้น ด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน ในรูปแบบเรื่องเล่า (ใครๆ ก็ชอบฟังเรื่องเล่ากันทั้งนั้น และสมองยังจดจ าเรื่องเล่าได้ดีอีกด้วย) หรือจะเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ ด้วยการทักแบบสนุกสนาน หรือน่าสนใจก็ได้เช่นกันค่ะ
หลักการทั้ง 3 ข้อนี้ แม้จะยังไม่ครอบคลุมสถานการณ์ทั้งหมด ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการเรียนการสอน แต่ก็เพียงพอที่จะให้ครูผู้มีใจรักในการพัฒนาตนเองทุกท่าน ได้น าไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความก้าวหน้าในสาขาอาชีพ และเพื่อให้ทุกท่านได้บรรลุเป้าหมาย ในการพัฒนานักเรียนที่น่ารักของเรา ให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละคน ตามที่พวกเขาควรจะเป็น สิ่งส าคัญก็คือ ครูยุคใหม่จะไม่ใช่ครูที่สร้างเด็กเก่งได้เท่านั้น แต่ยังเป็นครูที่สร้างเด็กที่สุขภาพจิตดี และมีคุณค่าต่อโลกนี้ได้อีกด้วยค่ะ https://www.eef.or.th/article-understand-child-psychology-131221/