The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พท330 ประวัติศาสตร์วัดผาลาด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tayloveismeza, 2022-02-08 09:28:37

พท330 ประวัติศาสตร์วัดผาลาด

พท330 ประวัติศาสตร์วัดผาลาด

รายงาน
เรอ่ื ง ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนา "วัดผาลาด"

เสนอ
อาจารย์ ดร.ปานแพร เชาวนป์ ระยูร อดุ มรักษาทรัพย์

รายวชิ า พท 330 ประวตั ิศาสตร์ไทยเพือ่ การท่องเที่ยว
ภาคการศึกษาท่ี 2 ปกี ารศึกษาที่ 2564

จดั ทำโดย

นางสาวพรสวรรค์ วงศแ์ สง 6209101352

นางสาวพชั รี ศรเตโช 6209101354

นางสาวพชิ ญ์กานต์ โพธิยอด 6209101355

นางสาวพมิ พ์ชนก ถวายนิล 6209101356

นายพิสิษฐ์ ปรากฎผล 6209101359

คณะพัฒนาการทอ่ งเที่ยว สาขาพฒั นาการทอ่ งเท่ยี ว



คำนำ

รายงานเล่มนี้จัดทำข้ึนเพื่อเป็นสว่ นหน่ึงของวชิ า พท330 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยเพ่ือการท่องเที่ยว เพื่อให้ได้
ศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวประวัติความเป็นมาของวัดผาลาด โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ อาทิเช่น
ตำรา หนังสือ แหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ และลงพื้นที่วัดผาลาด โดยรายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
ความหมายลา้ นนา และประวัตคิ วามเป็นมาของวดั ผาลาด

1

ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำเอกสารฉบับนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษา
ประวัติศาสตร์ของวัดผาลาดได้เป็นอย่างดี หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

คณะผู้จดั ทำ

สารบญั ข
เร่อื ง
คำนำ หน้า
สารบญั ก
ประวตั ิศาสตรล์ ้านนา ข
ความหมายล้านนา 1
รายนามกษัตริยแ์ ห่งอาณาจักรลา้ นนา (พ.ศ. 1835 - 2101) 1
การก่อต้ังอาณาจักร 1
เหตุการณ์สำคัญทีเ่ กดิ ขนึ้ 4 ยุค 2
อาณาเขต 3-4
พุทธศาสนาในอาณาจกั รล้านนา 4
สถาปัตยกรรมและประตมิ ากรรม 4
ประวตั ิศาสตร์ของวดั ผาลาด (สกทาคาม)ี 5
พฒั นาการของวดั ผาลาด 6
การเดนิ ทาง 6-7
บริการเปดิ ให้เข้าชม 7
เวบ็ ไซต์ 7
โบราณสถานภายในวัด 7
พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ทางดา้ นการท่องเทย่ี ว 8
บรรณานุกรม 9
10

1

ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนา

ความหมาย

ล้านนา หมายถงึ ดินแดนท่มี นี านับล้าน คือมที ่ีนาจำนวนมากเป็นคำคู่กับล้านชา้ ง คือดินแดนท่ีมีช้างนับ
ล้านตวั (สรัสวดี ออ๋ งสกุล, 2539) คำวา่ “ล้านนา” ปรากฏขึน้ ในสมัยพญากือนา (พ.ศ. 1898-1928) เนื่องจาก
ความหมายของพระนาม “กือนา” หมายถึงร้อยล้านนา (กือ หมายถึง ร้อยล้าน) ต่อมาคำว่าล้านนาใช้เรียก
กษัตริย์ผู้ครองดินแดนล้านนา โดยใช้ “ท้าวล้านนา” หรือ “ท้าวพญาล้านนา” และเรียกประชาชนของรัฐว่า
“ชาวล้านนา” ลกั ษณะคำดังกล่าวใช้กันแพรห่ ลายในสมัยพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1984-2030) นอกจากน้ันยัง
มีธรรมเนียมการใช้คำ “ล้านนา” นำหน้าชื่อเมือง ซึ่งพบหลักฐานในสมัยพญาสามประหาญฝั่งแกน (พ.ศ.
1945- 1984) เชน่ ล้านนาเชยี งแสน, ลา้ นนาเชียงใหม่ โดยเน้นวา่ เมอื งนนั้ อย่ใู นอาณาจกั รล้านนา (สรสั วดี ออ๋ ง
สกลุ , 2539)

รายนามกษตั รยิ แ์ ห่งอาณาจักรล้านนา (พ.ศ. 1835 - 2101)

พญามงั ราย พ.ศ.1835-1854 (19 ป)ี

พญาไชยสงคราม พ.ศ.1854-1868 (14 ปี)

พญาแสนภู พ.ศ.1868-1877 (11 ป)ี

พญาคำฟู พ.ศ.1877-1879 (2 ปี)

พญาผายู พ.ศ.1879-1898 (19 ป)ี

พญากอื นา พ.ศ.1898-1928 (30 ป)ี

พญาแสนเมืองมา พ.ศ.1928-1944 (16 ปี)

พญาสามฝัง่ แกน พ.ศ.1945-1984 (39 ปี)

พระเจ้าตโิ ลกราช พ.ศ.1984-2030 (46 ป)ี

พญายอดเชียงราย พ.ศ. 2030-2038 (8 ปี)

พญาแกว้ (พระเมืองแก้ว) พ.ศ.2038-2068 (30 ปี)

พญาเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกลา้ ) พ.ศ.2068-2081 (13 ปี) ครง้ั ท่ี 1

ท้าวซายคำ พ.ศ.2081-2086 (5 ปี)

พญาเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกล้า) พ.ศ. 2086-2088 (2 ปี) ครง้ั ท่ี 2

พระนางจริ ประภา พ.ศ.2088-2089 (1 ปี)

พระไชยเชษฐา พ.ศ.2089-2090 (1 ป)ี

ไม่ทราบกษตั ริย์ พ.ศ.2090-2094 (4 ปี)

พระเจ้าเมกฏุ สิ ุทธิวงศ์ (ทา้ วเม่ก)ุ พ.ศ.2094-2107 (13 ปี) ต้ังแต่ พ.ศ. 2101 ปกครองภายใต้อำนาจพม่า

2

การก่อตงั้ อาณาจกั ร

h

พญามังราย กษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยาง องค์ที่ 25 ในราชวงศ์ลวจังกราชปู่เจ้าลาวจก ได้เริ่มตีเมือง
เล็กเมืองน้อย ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำอิง และแม่น้ำปิงตอนบน รวบรวมเมืองต่างๆให้เป็นปึกแผ่น ยังมีเมือง
พะเยาของพญางำเมืองพระสหาย ซงึ่ พญามังรายไม่ประสงค์จะได้เมืองพะเยาดว้ ยการสงคราม แต่ทรงใช้วิธีผูก
สัมพันธไมตรีแทน หลังจากขยายอำนาจระยะหนึ่ง พระองค์ทรงย้ายศูนย์กลางการปกครอง โดยสร้างเมือง
เชียงรายขึ้นแทนเมืองเงินยาง เนื่องด้วยเชียงรายตั้งอยู่ริมแม่น้ำกกเหมาะเป็นชัยสมรภูมิ ตลอดจนทำ
การเกษตรและการคา้ ขาย

1

หลงั จากไดย้ ้ายศนู ย์กลางการปกครองมาอยทู่ ่ีเมืองเชยี งรายแลว้ กไ็ ด้ขยายอาณาจกั รแผ่อิทธิพลลงทาง
มาทางทิศใต้ ขณะนั้นก็ได้มีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนอยู่แล้วคือ อาณาจักรหริภุญชัย มีนครลำพูนเป็น
เมืองหลวงตั้งอยูใ่ นชัยสมรภูมิที่เหมาะสมประกอบด้วยมแี ม่น้ำสองสายไหลผา่ น ได้แก่ แม่น้ำกวงและแม่นำ้ ปงิ
ซึ่งเป็นลำน้ำสายใหญ่ไหลลงสู่ทะเลเหมาะแก่การค้าขาย มีนครลำปางเป็นเมืองหน้าด่านคอยป้องกันศึกศัตรู
สองเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีกษัตริย์ปกครองอย่างเข้มแข็ง การที่จะเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้ได้จะต้องตี
อาณาจักรหริภุญชัยให้ได้ พระองค์ได้รวบรวมกำลังผู้คนจากที่ได้จากตีเมืองเล็กเมืองน้อยรวมกันเข้าเป็นทัพ
ใหญ่และยกลงใต้เพื่อจะตีอาณาจักรหริภุญชัยให้ได้ โดยเริ่มจากตีเมืองเขลางค์นคร นครลำปางเมืองหน้าด่าน
ของอาณาจักรหริภุญชัยก่อน เมื่อได้เมืองลำปางแล้วก็ยกทัพเข้าตีนครลำพูน (แคว้นหริภุญชัย) พระองค์เป็น
กษัตริย์ชาตินักรบมีความสามารถในการรบไปทั่วทุกสารทิศ สามารถทำศึกเอาชนะเมืองเล็กเมืองน้อย
แม้กระทั่งอาณาจักรหริภุญชัยแล้วรวบเข้ากับอาณาจักรโยนกเชียงแสนได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากพญามังราย
รวบรวมอาณาจักรหริภุญชัยเข้ากับโยนกเชียงแสนเสร็จสิ้นแล้ว ได้ขนามนามราชอาณาจักรแห่งใหม่นี้ว่า
"อาณาจกั รล้านนา" พระองคม์ ดี ำริจะสร้างราชธานีแหง่ ใหมน่ ้ีใหใ้ หญ่โตเพ่อื ให้สมกับเป็นศนู ย์กลางการปกครอง
แห่งอาณาจักรล้านนาทั้งหมด พร้อมกันนัน้ ก็ ได้อัญเชญิ พระสหายสนทิ ร่วมน้ำสาบานสองพระองคไ์ ด้แก่ พญา
งำเมืองแห่งเมืองพะเยา และ พ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย มาร่วมกันสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ในสมรภูมิ
บริเวณที่ลุ่มริมฝั่งมหานทีแม่ระมิงค์ (แม่น้ำปิง) โดยตั้งชื่อราชธานีแห่งใหม่นี้ว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"
แต่ก่อนที่จะตั้งเมือง พระองค์ทรงได้สร้างราชธานีชั่วคราวขึ้นก่อนแล้ว ซึ่งก็เรียกว่า เวียงกุมกามแต่เนื่องจาก
เวียงกุมกามประสบภัยธรรมชาติใหญ่หลวงเกิดน้ำท่วมเมืองจนกลายเป็นเมืองบาดาล ดังนั้นพระองค์จึงไดย้ ้าย
ราชธานีมาอยู่ ณ นครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 และได้เป็นศูนย์กลางการปกครองราชอาณาจักรล้านนานับ
แต่นั้น นครเชียงใหม่มีอาณาบริเวณอยู่ระหว่างเชิงดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพ) และ บริเวณที่ราบฝั่งขวาของ
แม่น้ำปิง (พิงคนที) นับเป็นสมรภูมิที่ดีและเหมาะแก่การเพาะปลูกเนื่องจากเป็นบริเวณที่ราบลุ่มมีแม่น้ำไหล
ผา่ น

3

เหตุการณ์สำคญั ท่เี กดิ ขน้ึ แบง่ เปน็ 4 ยุค

ล้านนายุคต้น (พ.ศ.1839-1898)

ราวต้นพทุ ธศตวรรษท่ี 19 พญามังราย ทรงรวบรวมเมอื งเลก็ เมอื งนอ้ ย ในเขตลุ่มแมน่ ำ้ กก ไวใ้ นอำนาจ
ของเมืองเงนิ ยางท้ังหมด ในพ.ศ. 1805 รวมตัวกันเป็นกลุ่มมแคว้นโยนก รวบรวมหัว เมอื งต่างๆในแอ่งเชยี งราย
และขยายอำนาจสู่แอ่งเชียงใหม่-ลำพูน เมืองในอาณาจักรที่รวบรวมได้ ในสมัยนี้ ได้แก่ เชียงราย เชียงแสน
เชยี งใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา

พ.ศ. 1835 พญามังรายทรงนำทัพจากเมืองฝางเข้ายึดเมืองหริภุญชัย พระองค์ทรงประทับที่ เมืองหริ
ภุญชยั เพยี ง 2 ปเี นื่องจากเมอื งมีขนาดเล็กและทรงดำริให้เมืองหริภญุ ไชยเปน็ เมืองพทุ ธศาสนา และทรงย้ายมา
สร้างเวียงกุมกาม ใน พ.ศ. 1837 หลังจากนั้นทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ให้เป็น ศูนย์กลางแห่งอำนาจในพ.ศ.
1839 ซึ่งในการสร้างเมืองเชยี งใหม่ พญามังรายทรงเชิญพญางำเมืองและพ่อขนุ รามคำแหง มาร่วมพิจารณาถึง
ชยั ภมู ิและการวางผงั เมืองเมืองเชียงใหม่มฐี านะเปน็ ศูนย์กลางของอาณาจักรอยา่ งแท้จรงิ

ลา้ นนายุคร่งุ เรอื ง (พ.ศ.1898-2068)

สมัยพญามังรายดินแดนล้านนาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ตอนบน (แคว้นโยน) มีเมืองเชียงรายเป็น
ศูนย์กลาง ส่วนตอนลา่ งมีเมืองเชียงใหม่เปน็ ศูนย์กลาง ความเจริญรงุ่ เรอื งของอาณาจักรล้านนาได้เด่นชัดต้ังแต่
สมัยพญากอื นา พระองค์ไดส้ ่งราชทูตไปอาราธนาพระสุมนเถระ มาจากสุโขทัยเพ่ือสืบศาสนาในเมืองเชียงใหม่
ใน พ.ศ. 1912 เรียกพุทธศาสนาสมัยนี้ว่า รามัญวงศ์ หรือ นิกายลังกาวงศ์เก่า ซึ่งรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช ที่มีการสร้างวัดเป็นจำนวนมากจนสามารถดำเนินการสังคายนาพระ
ไตรปิกฎขึ้นที่วัดเจ็ดยอด ในปี พ.ศ. 2020 (ซึ่งเป็นการสังคายนาพระไตรปิกฎ ครั้งที่ 8 ของโลก ครั้งแรกใน
ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน) หลังจากนั้นในสมัยพระเมืองแก้ว ซึ่งเป็นยุคที่วรรณกรรมล้านนามีความรุ่งเรือง
เป็นอย่างยิ่ง พระสงฆซ์ ่ึงทรงความรู้กไ็ ด้รจนาคมั ภีร์เป็นภาษาบาลไี ว้หลายเรอ่ื ง เชน่ ชินกาลมาล

ล้านนาภายใต้การปกครองของพมา่ (พ.ศ.2068-2101)

เม่อื สนิ้ สมัยพระเมอื งแก้วเมืองเชียงใหม่ก็เรม่ิ เสื่อมลง อำนาจการปกครองบ้านเมืองตกอยู่ในมือขุนนาง
ยุคของพระเจ้าเมกุฏิฯ เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองเชียงใหม่ ต่อมาในฐานะเจ้าประเทศราช เมื่อราชวงศ์มังราย
สิน้ อิสรภาพ เกดิ การแยกตวั กนั เป็นอิสระ

เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการปกครอง กษัตริย์พม่าทรงมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนเจ้า
เมอื งตา่ งๆ แต่ผทู้ ีไ่ ด้มาครองเมืองเชียงใหม่มักมีความสำคัญมากกว่าผ้ทู ่ีไปครองเมืองอ่ืนๆ พม่ายังได้ส่งเสริมให้
เกิดความแตกแยกในระหว่างหัวเมือง จึงไม่อาจรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้ ประกอบกับสภาพทาง
ภูมิศาสตร์ของล้านนาที่ทำให้แต่ละเมืองแยกออกจากกันอีกด้วยการขยายอำนาจของฝ่ายสยามเข้ามาแทนท่ี
พม่าที่มีแต่เดิม ประสบความสำเร็จอยางแท้จริงในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อ
อำนาจพม่าลดลงผู้นำลา้ นนาท่เี หลืออยู่จงึ หันมาสวามภิ กั ด์ิกบั ฝา่ ยสยามอย่างแท้จรงิ (สรสั วดี อ๋องสกุล,2539)

ลา้ นนากับการเปน็ สว่ นนหน่ึงของอาณาจักรสยาม

พระเจ้ากาวิละตั้งมันที่เวียงป่าซางโดยใช้เป็นที่ “เก็บฮอมตอมไพร่” นับตั้งแต่ พ.ศ. 2325 ถึง พ.ศ.
2339 รวม 14 ปี จึงเข้าไปฟื้นฟูและตั้งเมืองเชียงใหม่ได้ พระเจ้ากาวิละจึงมีบทบาทความสำคัญในการฟื้นฟู
ลา้ นนา เพราะได้รวบรวมพลเมืองเข้ามาไว้ในเมืองเชยี งใหม่ เรยี กสมัยพระเจ้ากาวลิ ะวายุค “เกบ็ ผักใส่ซ้า เก็บ

4

ข้าใส่เมือง” (ไกรศรี นิมมานเหมินท์, 2525) โดยพระเจ้ากาวิละทำการกวาดต้อนชาวเมืองเชียงใหม่ที่หลบหนี
เขา้ ป่าให้กลับสู่เมืองเชยี งใหม่ และเร่มิ กวาดต้อนผู้คนจากแคว้ นสิบสองปันนา ซ่งึ เป็นชาวไทใหญ่ ไทลื้อ ไทเขิน
และยอง ซงึ่ ผ้คู นทกี่ วาดต้อนมา ถา้ เปน็ ไพรช่ ้นั ดีประเภทช่างฝี มอื ต่างๆ จะให้ต้ังถ่ินฐานในตัวเมอื ง สว่ นที่เหลือ
จะให้ตั้งถนิ่ ฐานอย่นู อกเมอื งเป็นแรงงานภาคการเกษตร

เชียงใหม่ถูกรวบรวมเปน็ ส่วนหนึง่ ของไทยในสมัยรัชกาลท่ี 5 ซึ่งเป็นยุคแห่งการปรับปรุงประเทศตาม
แบบตะวันตก ด้านการปกครองหัวเมืองมีการยกเลิกระบบการปกครองเมืองประเทศราช โดยจัดตั้งการ
ปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นแทน มีข้าหลวง เทศาภิบาลที่รัฐบาลกรุงเทพฯ ส่งไปปกครองและขึ้นสังกด
ระทรวงมหาดไทย ระบบมณฑลภิบาลที่15 จัดตั้งขึ้น จึงเป็นการสร้างความเป็นอันหนึ่งอนั เดียวกันของชาติรฐั
ซง่ึ มอี ำนาจรวมศูนยท์ ่อี งค์พระมหากษัตรยิ ์ (สรสั วดี ประยรู เสถยี ร, 2522)

อาณาเขต

หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ดินแดนล้านนานั้น หมายถึงดินแดนบางส่วนของอาณาเขต
บรเิ วณ ลมุ่ น้ำแม่โขง ลุม่ นำ้ สาละวิน แม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดจนเมืองที่ตัง้ ตามลุ่มน้ำสาขา เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำ
ปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำปาย แม่น้ำแตง แม่น้ำงัด ฯลฯ โดยมีอาณาเขตทางทิศใต้จดเมอื งตาก
(อำเภอบ้านตากในปัจจุบัน) และจดเขตดินแดนด้านเหนือของอาณาจักรสโุ ขทัย ทศิ ตะวันตกเลยลกึ เข้าไปในฝ่ัง
ตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน ทิศตะวันออกจดฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ทิศเหนือจดเมืองเชียงรุ้ง (หรือคนจีน
เรียกในปจั จบุ นั ว่า เมืองจิ่งหง)

ปัจจุบันลา้ นนาหมายถึง ดินแดน 8 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง,
เชยี งราย, พะเยา, แพร่, นา่ น และแมฮ่ ่องสอน

พทุ ธศาสนาในอาณาจกั รล้านนา

เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจากการมาของพระเถระผู้มีชื่อเสียง นามว่า “สุมนะเถระ” จากอาณาจักร
ใกลเ้ คยี ง คือ สุโขทยั โดยการอาราธนาของพระเจ้ากือนา ในปพี .ศ. 1904 พระสุมนะเถระนนั้ เคยไปศึกษาและ
ไดร้ บั การอปุ สมบทใหม่ในสำนักของท่านอุทุมพรมหาเถระแหง่ อาณาจกั รมอญ (รามญั ) ในพมา่ ใต้ เพราะฉะนั้น
การมาของทา่ นจงึ เท่ากบั นำนกิ ายใหมเ่ ขา้ สลู่ า้ นนา พระเจ้ากือนาทรงเคารพนับถือพระสุมนะอยา่ งสงู จนกระท่ัง
ได้อุทิศสวนดอกไม้ของพระองค์ให้เป็นวัดที่อยู่ของท่าน วัดดังกล่าวได้เป็นหลักของพระสงฆ์นิกายรามัญ
ปจั จุบนั คอื วดั สวนดอก นกิ ายใหมม่ คี วามเจรญิ ควบคู่ไปนิกายเดิมภายใตร้ าชปู ถมั ภข์ องพระเจา้ กอื นา

นิกายทั้ง 3 นิกายเกิดขึน้ ในลา้ นนา คือ นิกายสงฆ์ลา้ นนาเดิม นิกายรามัญแห่งวัดสวนดอก และนิกาย
ลังกาหรือสีหลแห่งวัดป่าแดง ต่างร่วมกันอยู่อย่างสันติ แม้ว่านิกายสีหลจะดูมีความรู้สูงและการปฏิบัติที่
เคร่งครัดกวา่ เหตุการณ์สำคัญทางพุทธศาสนาอีกอย่างทีเ่ กดิ ขึ้นยุคน้ี คือ การทำสังคายนาตรวจทางพระไตรปิ
กฎ ที่วัดมหาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) ใน พ.ศ. 1990 ภายใต้ราชูปถัมภ์ของพระเจ้าติโลกราช มีพระเถระ
ผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิกฎ 100 รูป มีพระธัมมทินนะมหาเถระ เป็นประธานร่วมประชุมและใช้เวลา 1 ปี จึง
สำเร็จ การสังคายนาคราวนีถ้ อื ว่าเป็นครั้งแรกในดินแดนไทยและเปน็ คร้งั ท่ี 8 ของโลก

5

สถาปตั ยกรรมและประตมิ ากรรม

ศิลปะล้านนา หรือ ศิลปะเชียงแสน หมายถึง ศิลปะในเขตภาคเหนือทางตอนบนหรือดินแดนล้านนา
ของประเทศไทยในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19–24 คาดว่ามีการสืบทอดต่อเนื่องจากศิลปะทวารวดีและศิลปะ
ลพบรุ ีมาต้ังแตส่ มัยหริภุญชัยศูนยก์ ลางของศลิ ปะลา้ นนาเดิมอยทู่ ี่เชียงแสน งานศลิ ปะล้านนามีความเก่ียวเนื่อง
กับพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะนิกายเถรวาท ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปศิลปะล้านนา ซึ่งมักเรียกว่า
พระพุทธรูปสงิ หแ์ บบเชียงแสน แบ่งออกเปน็

พระพุทธรูปสิงห์ 1 มีลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิเพชร เห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง พระพักตร์กลม อมย้ิม
ขมวดพระเกศาใหญ่ รัศมดี อกบัวตูม พระวรกายอวบอว้ น ชายสังฆาฏิส้ันเหนือพระถัน

พระพุทธรูปสิงห์ 2 มีลักษณะประทับขัดสมาธิราบ พระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก รัศมีเป็นเปลว พระ
วรกายบอบบาง พระองั สาใหญ่ เอวเลก็ ชายสังฆาฏิ เส้นเล็กยาวมาจนถึงพระนาภีได้รบั อทิ ธพิ ลสุโขทยั

สถาปตั ยกรรมยคุ แรกในชว่ งพุทธศตวรรษที่ 19 ไดร้ บั อิทธิพลจากศิลปะหรภิ ุญชยั และศลิ ปะพุกามจาก
พม่า ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย ต่อมาในศิลปะต้นถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 21
ถือเป็นยุคทอง มีการสร้างวัดและเจดีย์มากมาย ยุคถัดมาในช่วงกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 อาณาจักร
ลา้ นนาตกอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของพม่า ถือเป็นยคุ เส่อื ม

6

ประวตั ิศาสตร์ของวัดผาลาด (สกทาคามี)

ทต่ี งั้ 101 บ้านห้วยผาลาด หมู่ 1 ตำบลสเุ ทพ อำเภอเมืองเชยี งใหม่ จงั หวัดเชียงใหม่

พัฒนาการของวดั ผาลาด มีเรื่องเลา่ 3 ยคุ

1. ยุคแรก ยุคตำนานเรื่องเล่า ได้มีการบอกเล่าว่า วัดผาลาดเป็นวัดที่มมี านานแลว้ วัดแห่งนี้เป็นท่อี ยู่
ของฤๅษี 5 องค์ หนึ่งในฤๅษี 5 องค์ ก็คือ ท่านสุเทวะฤๅษี ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้ ตอนที่ปฏิบัติธรรม
อยู่เดิมเป็นพระสงฆ์ มีอยู่ช่วงหนึ่ง พระอินทร์ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าให้มาโปรดแสดงธรรมให้แก่ผู้คนล้านนา
พระพุทธองค์ก็ได้มาโปรดฤๅษีและได้มาแสดงธรรม ณ วัดผาลาดแห่งนี้ หลังจากที่ได้แสดงธรรมแล้ว ฤๅษีทั้ง 5
องค์ ก็ไดก้ ราบขออนญุ าตลาสิกขากบั พระองค์ พระพทุ ธองค์จึงสอบถามกับฤๅษีท้ัง 5 วา่ มีเหตุผลใดที่ต้องการ
ลาสิกขา ฤๅษีทั้ง 5 ได้กราบทูลพระพุทธองค์วา่ เนื่องจากได้อยู่กบั ชนเผ่า ซึ่งชนเผ่าเหล่านี้ยังมีความเคารพนับ
ถอื ประเพณี ภูมปิ ญั ญาของทอ้ งถิ่นอยู่ ซงึ่ มีกิจกรรมหลายอยา่ งทชี่ าวบา้ นตอ้ งพ่ึงพานักบวช ผู้นำทางสติปัญญา
และมองว่าการครองเพศเปน็ พระนัน้ ลำบาก จงึ ขอกราบลาสกิ ขาเพือ่ กลับไปเปน็ ฤๅษดี ังเดมิ พระพทุ ธองค์ก็ทรง
อนุญาต หลังจากนัน้ ท่านสุเทวะฤๅษไี ดฟ้ ังเทศของพระพุทธองคเ์ สรจ็ แล้ว ท่านก็ขอพระพุทธองค์ได้ไปโปรดพ่อ
กับแม่ของท่านด้วย ซึ่งก็คือปู่แสะย่าแสะ ยักษ์ซึ่งเป็นอารักษ์ของเมืองเชียงใหม่ พระพุทธองค์ก็ทรงเสด็จไป
โปรดปู่แสะที่ตีนพระธาตุดอยสุเทพ ที่บริเวณกาแล และก็เสด็จไปโปรดย่าแสะ ที่ตีนพระธาตุดอยคำ จึง
กลายเป็นตำนานของเชยี งใหมม่ าจนถงึ ปจั จบุ ัน

2. ยุคที่สอง คือ สมัยราชวงค์เม็งราย ยุคของพระเจ้ากือนา ในช่วงสมัยนั้นได้มีการอัญเชิญพระบรม
สารีริกธาตุจากสุโขทัยใส่หลังช้างมาเพื่อเสี่ยงทายสถานที่เพื่อก่อสร้างพระธาตุดอยสุเทพ ช้างที่อัญเชิญพระ
บรมสารีริกธาตุน้ัน ได้เดินทางมุ่งตรงไปทางดอยอ้อยช้าง ทิศตะวันตกของเมือง พระเจ้ากือนาพร้อมทั้งพญาลิ
ไทยจากเมืองสุโขทัยและเหล่าเสนาอำมาตย์ ก็แห่ฆ้อง กลอง ตามหลังช้างไปวัดผาลาด เป็นจุดที่ 2 ที่ช้างมา
หยดุ อยู่ จงึ ได้มีการสร้างอนสุ รณส์ ถานไว้ ณ ทวี่ ัดแหง่ นี้

หลงั จากสรา้ งพระธาตดุ อยสเุ ทพเสร็จแลว้ พระเจา้ กือนา ทรงมพี ระราชดำรใิ หส้ รา้ งวดั ตามรายทาง
อัญเชญิ เพื่อเป็นอนสุ รณ์ ขึ้นอีก 3 แหง่ คือ

2.1. วัดโสดาปนั นาราม หรือ สามยอบ ปจั จุบันเปน็ วัดรา้ งในบริเวณของวัดผาลาด

2.2. วดั สกทาคามีวนาราม หรอื ผาลาด

2.3. วัดอนาคามี ซึง่ ไดส้ าบสญู ไป ปจั จบุ ันมกี ารบูรณะขึ้นใหม่ เป็นพุทธอทุ ยานอนาคามี

2.4. วัดพระธาตดุ อยสุเทพ เปน็ วดั อรหนั ต์

ที่ 4 จุดนี้ พญาลิไท ซึ่งเป็นพระสหายของพระเจ้ากือนา ได้ให้ข้อคิดเห็นแก่พระเจ้ากือนาว่า ในการ
เดนิ ทางขึน้ ดอยนั้น ขนาดชา้ งยังหยดุ เพอ่ื พกั เหน่ือย คนทเ่ี ดนิ ข้นึ ดอยก็คงจะเหนื่อยเหมือนกนั เราควรจะสร้าง
ทพี่ ักรมิ ทางไว้ให้ผู้คนได้พัก แต่แทนท่จี ะเป็นทีพ่ ักนน้ั พญาลไิ ทจงึ ดำริว่าบอกกับพระเจ้ากือนาว่า คนที่เดินทาง
สู่วัดพระธาตุ เหมือนกับได้เดินทางเข้าสู่เส้นทางการปฏิบัติธรรม เดินทางจากบ้านจากเมืองมาจนถึงวัดสาม
ยอบ ก็เหมือนได้บรรลุโสดาบัน พอเดินทางมาถึงวัดผาลาดก็เหมือนได้บรรลุธรรมขั้นที่สองคือสกทาคามี พอ
เดินทางไปถึงวัดม่อนพญาหงส์ ก็เหมือนได้บรรลุธรรมขั้นที่สามคือ อนาคามี ถ้าใครมีความเพียรพยายามเดนิ
ไปจนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เหมือนได้บรรลุพระอรหันต์ ดังนั้นเส้นทางแห่งการขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ จึง
ไม่ใช่เส้นทางของการเดินทางเพื่อไปไหว้พระธาตุเท่านั้น แต่ยังเป็นเส้นทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติธรรม

7

เพื่อให้คนนั้นเข้าสู่อารยธรรมตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นนัยยะสำคัญ ครูบาศรีวิชัยได้อาศัย
ภูมปิ ญั ญา ที่คนโบราณไดส้ ร้างขึ้นน้ี ตอนทที่ า่ นได้สร้างทางเส้นใหม่ ข้ึนพระธาตุดอยสุเทพนี้ ครูบาศรีวิชัยท่าน
กไ็ ดเ้ อาแนวคิดนี้ ไดเ้ ชญิ ชวนศรัทธา ญาตโิ ยม จุดแรกท่ลี งจอบเป็นท่ีแรก ครบู าฯ ได้เร่มิ ทีว่ ัดสามยอบ หรือวัด
โสดาบัน (ปัจจบุ ันช่ือ วัดศรีโสดา) เลยขน้ึ ไปอกี ประมาณ 5 กิโลเมตร ก็เป็นวัดผาลาด (วดั สกทาคามี) ถัดขึ้นไป
อีก 4 กิโลเมตร ก็เป็นวัดอนาคามี และขึ้นไปอีก 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นยอดดอย ให้เป็นวัดอรหันต์ (วัดพระธาตุ
ดอยสุเทพ) ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาทมี่ ีมาแต่โบราณ

3. ยคุ ปัจจุบัน เปน็ ยุคทไ่ี ด้มีการฟ้นื ฟู วัดผาลาด ไมไ่ ดใ้ นฐานะทีเ่ ป็นวดั ในฐานะทีเ่ ป็นสถานที่ฟ้ืนฟูจิต
วญิ ญาณทด่ี งี ามของผู้คน โดยมเี จตนารมณข์ องการฟื้นฟใู นครั้งนวี้ ่า 1.จะตอ้ งรกั ษาธรรมชาติส่งิ แวดล้อมไว้ให้ดี
ที่สุด จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันวัดผาลาดเป็นวัดที่มีความร่มรื่นและต้นไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก 2.รักษา
โบราณสถาน ซึ่งเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่บรรพชนได้สร้างเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุ วิหาร รวมไปถึง
สิง่ ก่อสรา้ งตา่ ง ๆ เป็นมรดกท่ีสบื ทอดมาช้านาน 3.สานต่อเจตนารมณ์ เพอ่ื ใหพ้ ืน้ ทนี่ ้ีเป็นพื้นท่ีศึกษาธรรมชาติ
ส่ิงแวดล้อม เปน็ ทีเ่ ขา้ หาธรรมะของพระพุทธเจา้

บางสำนวนกเ็ ลา่ ว่า มาถงึ จดุ นี้คนทีต่ ิดตามมา ล่ืน หรอื ภาษาลา้ นนาเรียกว่า “ผะเลดิ ” จึงให้ชื่อว่า วัด
ผะเลิด ต่อมาเรียกเป็น ผาลาด ตามชื่อผาน้ำตกจึงเรียกว่า ผาลาด จากจุดนี้ขึ้นไปจะเป็นทางที่ชันมาก วัดผา
ลาดจงึ เหมาะอย่างยิ่งทจี ะเป็นจุดพกั และเปน็ จุดพกั ครึ่งทางในการเดนิ ขึน้ ดอยสุเทพพอดี

การเดนิ ทาง

ระหว่างทางขึน้ ดอยสุเทพ ตามถนนข้นึ มายงั ดอยสเุ ทพ ห่างจากอนุสาวรยี ค์ รบู าศรวี ิชัยประมาณ 5
กิโลเมตร อยูใ่ น ต.สเุ ทพ อ.เมือง จ.เชยี งใหม่

เปดิ ให้เขา้ ชม

เปิดทุกวนั เวลา 08.00-18.00 น.

เว็บไซต์

https://www.facebook.com/watpalad/

8

โบราณสถานภายในวดั

1. วิหารพระพทุ ธบาทศรวี ิชัยโภคา ภายในมพี ระพทุ ธเมตตาผาลาดประดษิ ฐานอยู่ วิหารนส้ี รา้ งขึ้นเพื่อ
เป็นอนุสรณ์สถานการณ์สร้างถนนของครบู าศรวี ิชัย เมอื่ ปี พ.ศ. 2477

2. นรสิงห์ทรงพม่า เป็นสง่าเฝ้าปากทางเข้าวัด เพื่อให้นรสิงห์คอยอารักขาศาสนสถานคนโบราณ
สรา้ งนรสงิ หเ์ อาไวอ้ ารักขาศาสนสถาน เพราะกลัวอมนษุ ยจ์ ะมาทำลาย

3. เจดีย์ เป็นศิลปะพม่า สร้างโดยช่างชาวพม่า พร้อมกับวิหาร ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มี ขโมย
แอบขุดเจาะเอาของมีค่าออกไป จนเป็นเหตุให้ยอดเจดีย์พังลงมา องค์เจดีย์กลวงเป็นรูใหญ่ ทั้งสองด้าน ปี
2545 อาจารย์สุวิทย์ จากศิลปกรได้ขอนุญาตเข้ามาบูรณะให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรงขึ้น ปี พ.ศ. 2546 พระมหา
สงา่ ธีรสํวโร ได้อาราธนาครบู าปัญญาวชิระ วดั แสนเมอื งมาหลวง (หัวขว่ ง) นำญาตโิ ยมมาชว่ ยบรู ณะตอ่ เติมจน
เต็มองค์ และอาราธนาพระญาณสมโภชมาเป็นประธานทำพิธยี กฉตั รในปเี ดยี วกนั

4. บ่อน้ำ บ้างบอกว่าเป็นบ่อน้ำทิพย์ จากการสังเกตทำให้ทราบว่ามีการสร้างบูรณะขึ้นหลายครั้ง จึง
สันนิษฐานว่า ครั้งที่หนึ่งสร้างขึ้นร่วมสมัยการอัญเชิญพระธาตุขึ้นประดิษฐานบนดอยสุเทพของพระเจ้ากือนา
เพื่อเอานำ้ ไว้กิน อาบ เป็นวธิ กี ารกรองน้ำอย่างหนึ่งของคนโบราณ จะได้ไมต่ ้องใชน้ ้ำจากลำห้วยโดยตรง ครั้งที่
สองน่าจะเป็นสมัยที่พม่าครองเมืองเชียงใหม่ (ดูจากอิฐกี่ปากบ่อน้ำ) และครั้งที่สามในสมัยครูบาศรีวิชัย โดย
หลวงโยนการวิจติ ร (อุปโยคิน) การสร้างมณฑปครอบบ่อน้ำนี้เป็นประเพณีที่นิยมทำกันในถิ่นชาวไต และทาง
ภาคเหนอื ของพมา่

5. พระพุทธรูปหน้าผา เดิมเป็นหอพระพุทธรูปที่สวยงามมาก คุณบุญเสริมถ่ายภาพไว้ เป็นวิหาร
สี่เหลี่ยมตามแนวผา่ ศิลป์พม่าร่วมสมัย มีผู้เล่าว่าสมัยก่อนพระที่อยู่หน้าผาเป็นพระศลิ ป์แบบเชียงแสน และมี
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึง่ เรียกวา่ พระไล่กา (เหตุที่ได้ชื่อเช่นนี้ เพราะว่า อีกา ไม่สามารถบินผ่านวัดขึ้นไป
ได้ เพราะพระพุทธรูปองคด์ งั กล่าว แมแ้ ตผ่ ้คู นทขี่ ึ้นไปไหวพ้ ระธาตดุ อยสเุ ทพ หากนำอาหารตดิ ตัวมา ท่เี ป็นเน้ือ
ไม่ว่าสุกหรือดิบจะไม่สามารถเอาผ่านวัดนี้ไปได้ หากไม่เชื่อจะมีอาการปวดหัว ปวดท้อง) ภายหลังมีชาวบ้าน
ขึ้นมาหลบภัยสงครามอยู่ ณ ถ้ำผาลาด จึงพากันสร้างพระพุทธรูปไว้สักการะ และป้องกันภัยสันนิษฐานว่าถ้ำ
น่าจะอยู่ตรงพระพทุ ธรปู ทหี่ นา้ ผา หรอื ไม่กอ็ ยู่ทางด้านข้างใกล้ ๆ กบั บรเิ วณหอพระพทุ ธรูปน้ี

6. วหิ ารพระเจ้ากือนา ปจั จุบนั เหน็ แตง่ เพียงแนวอฐิ อยูข่ า้ งลำธาร ตรงฐานพระประธาน ได้สร้างศาลา
ครอบเอาไว้ แต่ยังมองเห็นแนวแท่นพระอยู่ ขณะนี้วัดกำลังปรับภูมิทัศน์บรเิ วณดงั กล่าวเพื่อให้เป็นสถานที่นง่ั
ปฏิบตั ิธรรม

7. วิหารวัดสามยอบ และม่อนภาวนา ปัจจุบันเหน็ แต่งเพียงเนินดนิ สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร กว้าง
ประมาณ 20x40 เมตร มอี ิฐ และลวดลายปนู ปัน้ ตกกระจัดกระจายอยู่ท่วั บรเิ วณด้านหน้าวหิ ารมีร่องรอยของ
สระนำ้ อยู่ เดมิ น่าจะมีทางรินน้ำไหลผ่านมาเข้าท่สี ระนี้ ซ่ึงหากสามารถนำน้ำมาลง ณ ท่นี น้ั ได้จะช่วยให้บริเวณ
สามยอบ และม่อนภาวนา ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันกลับชุมชื่น ต้นไม้ใบหญ้าจะสดชื่นขึ้นอีกมากมาย ทั้งจะสามารถ
ป้องกนั ปญั หาไฟไหม้ได้อีกด้วย

9

พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์ทางดา้ นการทอ่ งเท่ียว

รเิ ร่มิ เปน็ แหลง่ ท่องเที่ยว

วัดผาลาดหลังจากถูกสร้างเปน็ อนุสรณ์ในสมัยพระเจ้ากือนา เวลานานไปกลับถูกปล่อยทิ้งรา้ งและถูก
ค้นพบมีการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสมัยของครูบาเจ้าศรีวิชัย(นักบุญแห่งล้านนา) เมื่อ
ครั้งสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพและยังเป็นสถานที่ที่ ใช้ถ่ายทำหนึ่งในฉากละคร “รากนครา” ได้เห็นถึงความ
สวยงามของเจดีย์ทป่ี กคลุมไปดว้ ยมอส เฟิรน์ เพิ่มบรรยากาศความขลัง ทำให้นักทอ่ งเท่ียวต่างก็อยากมาเท่ียว
สัมผสั สถานทจี่ ริงตามรอยละคร

อีกท้ังกรมศลิ ปากร เขา้ มาบรู ณะปรบั ปรงุ โบราณสถานวัดผาลาด วัดโบราณท่ตี ้งั อย่รู ะหว่างทางขึ้นจาก
พื้นราบสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ให้คงสภาพสมบูรณ์ งดงามตามเอกลักษณ์ของศิลปะพม่า ท่ี
ควรแก่การเยี่ยมชม เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบ เพราะร่มรื่นและทิวทัศน์ที่สวยงามสมกับเป็นวัด
อุทยานในเมืองเชียงใหม่ พระครูธีรสุตพจน์ (พระมหาสง่า ไชยวงศ์ ดร.) เจ้าอาวาสวัดผาลาด เล่าเรื่องการ
ทำงานกับกรมศิลปากรว่า ทางวัดให้ความร่วมมือเต็มที่ เพราะเข้าใจระเบียบ กฎเกณฑ์ของกรมศิลป์ และ
วิธีการจัดงบประมาณในการบูรณะ แต่ก่อนเคยอึดอัดกับการทำงานของกรมศิลป์ แต่เมื่อศึกษาแล้วก็เข้าใจ
ขณะนี้จึงทำงานร่วมกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน เพราะกรมศิลป์ทำงานแบบมืออาชีพ มีแผนงานที่แน่นอน มี
อะไรพูดคุยได้เสมอ โดยเฉพาะกับผู้รับผิดชอบคือ นายเทอดศักดิ์ เย็นจุระ ผู้อำนวยการกลุ่ม อนุรักษ์
โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ พระครูธีรสุตพจน์ เจ้าอาวาส สรุปการทำงานกับข้าราชการกรม
ศิลป์ว่า มที ั้งคุณคา่ และมูลคา่ วัดผาลาด จงึ งามสงา่ เปน็ วัดในอทุ ยานแห่งหนึ่งของเชยี งใหม่ จนถึงบดั น้ี

จำนวนนกั ทอ่ งเท่ียว

ก่อนช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่มาเที่ยวชม
ความสวยงามของวัดแห่งนี้จะเรียกชื่อวัดนี้ว่า Hidden Temple หรือ Secret Temple ซึ่งแตกต่างกับ
นักท่องเที่ยวชาวไทยที่พบเห็นเป็นส่วนน้อยและเมื่อเทียบหลังจากที่ได้ไปลงพื้นที่ในช่วงสถานการณ์การแพร่
ระบาดโควดิ 19 กลับพบวา่ มีนักท่องเท่ียวชาวไทยท่ีมาจากต่างจังหวัดเพิ่มข้ึนส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพบ
เห็นเปน็ ส่วนน้อยมาก

กจิ กรรม

เปน็ สถานที่ปฏิบัติธรรม สำหรับพทุ ธศาสนิกชนและบุคคลท่ัวไปท่ีมีความสนใจในการฝกึ น่ังสมาธิ และ
ปฏิบัติธรรม วัดผาลาดเป็นวัดเล็กๆ ที่มีความสงบและเป็นวัดที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมหรือ
พกั ผอ่ นเพอ่ื ความสงบผ่อนคลายของจิตใจ

10

บรรณานุกรม
วิกพิ ีเดีย. อาณาจักรลา้ นนา.

https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%
E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8
%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2 (7 มกราคม 2565)

เทศบาลตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. 2554. วัดผาลาด.
http://www.suthep.go.th/travel_view.php?cateid=1&id=36 (21 มกราคม 2565)

HIS THAILAND. 2564. วดั ผาลาด พกิ ัดลับบนดอยสุเทพ สงบ ร่มรื่น ชมุ่ ชนื่ หวั ใจ.
https://histours.co.th/guide/traveling/wat-pha-lad (21 มกราคม 2565)

Thailand Tourism Directory. 2564. วัดผาลาด (สกทาคาม)ี .
https://thailandtourismdirectory.go.th/th/attraction/98886 (21 มกราคม 2565)

มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. ประวัติศาสตรล์ า้ นนา การศกึ ษาเกย่ี วกับวิหารลา้ นนาและทฤษฎีทเ่ี กยี่ วข้อง.
http://cmuir.cmu.ac.th/bitstream/6653943832/20642/5/arc30355pp_ch2.pdf
(1 กมุ ภาพนั ธ์ 2565)

Anonymous. 2555. อาณาจกั รลา้ นนา. http://nuthappy4320.blogspot.com/2012/09/blog-
post.html?m=1 (1 กมุ ภาพันธ์ 2565)

trueID. 2563. วัดผาลาด (สกทาคาม)ี มนเสน่ห์ แหง่ ลา้ นนามากว่า 500 ป.ี
https://travel.trueid.net/detail/0q1ddnwLPPae (1 กมุ ภาพนั ธ์ 2565)
READ.ME.ME. 2564. วัดผาลาด วดั ท่ถี กู ลืม ในเชียงใหม่. https://th.readme.me/p/36452
(1 กุมภาพนั ธ์ 2565)


Click to View FlipBook Version