วจิ ยั ในชนั้ เรยี น
เร่อื ง การพัฒนาทักษะการเขียนย่อความของนกั ศึกษา
ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลโพธิ์วงศ์
โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขยี นยอ่ ความ
ผูว้ ิจยั
นางสาวเพ็ญพักตร์ สายสมบัติ
ครู กศน.ตาบลโพธว์ิ งศ์
ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอขุนหาญ
สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั
จังหวัดศรีสะเกษ
คานา
งานวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะการเขียนย่อความของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.
ตาบลโพธิ์วงศ์ โดยใช้ชดุ ฝกึ ทักษะการเขยี นย่อความ เปน็ งานวิจยั ในชัน้ เรยี นเพ่อื แก้ปญั หาการเขยี นย่อความ
ไม่ถูกตอ้ งตามหลักการเขียนย่อความ การเขยี นเน้ือหายงั วกวนและไมม่ ีประสิทธิภาพ การวางรูปแบบของการ
เขียนย่อความยังไม่ถูกต้อง และเพื่อพัฒนาทักษะการเขียน ซึ่งการวิจัยในคร้งั น้ีได้ใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนย่อ
ความเพ่ือแก้ปญั หาการเรียนการสอนและเพิ่มผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนักศึกษา
ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างย่ิงว่า การวิจัยคร้ังนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการ
พฒั นาทางด้านการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้วจิ ัยยินดีรับฟัง
ข้อเสนอแนะ เพื่อพัฒนา ปรบั ปรุงการวจิ ยั ในโอกาสตอ่ ไป
นางสาวเพ็ญพกั ตร์ สายสมบัติ
ผวู้ จิ ยั
สารบญั หนา้
เรอ่ื ง 1
2
1. ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา 2
2. ปญั หาวิจัย 2
3. วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย 2
4. ประโยชน์ผลทีค่ าดว่าจะได้รบั 2
5. วธิ ีดาเนนิ การวิจัย 2
3
5.1 กลุม่ เปา้ หมาย 3
5.2 วธิ กี ารทีใ่ ช้ในการแกป้ ัญหา 3
5.3 สารสนเทศ 3
5.4 เครื่องมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3
5.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3
5.6 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 6
5.7 เกณฑก์ ารพฒั นา
6. ผลการวิจัย
7. การสะท้อนผลการวจิ ยั /ขอ้ เสนอแนะ
ภาคผนวก
บทที่ 1
บทนา
1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
ภาษาเป็นเคร่ืองมือที่มนุษย์ใช้ติดต่อส่ือสารกับผู้ท่ีอยู่รอบข้าง เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด
ความต้องการ บอก เลา่ ไตถ่ ามและเพอื่ จุดประสงค์อนื่ ๆ อีกมากมาย วิธีการสื่อสาร เพื่อทาความเขา้ ใจระหว่าง
มนุษย์น้ันอาจกระทาได้หลายวิธี มนุษย์สามารถใช้ท่าทางเป็นสื่อแสดงออกทางสีหน้า สายตา ตลอดจน
เคลอื่ นไหวอิริยาบถต่างๆ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย อย่างรวมกันก็ได้ เช่น พยกั หน้า หลิ่วตา ยักคิ้ว กวักมือ
สั่นศีรษะ โบกมือ สามารถใช้อักษร ภาพ แสง สี รวมท้ังสัญลักษณ์ต่างๆ ท่ีสัมผัสได้ด้วยสายตาและมือ เช่น
สญั ญาณไฟ สัญญาณธง เคร่ืองหมาย ตัวอักษร การส่งวทิ ยุ โทรเลข โทรทัศน์ สามารถใช้ เสียง เช่นแตร ระฆัง
การพูดจากัน ฯลฯ ซึ่งมีวิธกี ารทง่ี ่ายไปจนถงึ วิธกี ารทีส่ ลับซับซ้อน (ประยูร ทรงศิลป์,2549) ทักษะทางภาษา
ประกอบด้วย การฟัง การอ่าน การพูด และการเขียน ทักษะการฟังและการอ่านเป็นทักษะทาง ภาษาส่วน
รับเข้า ทกั ษะการพูดและการเขียนเป็นทักษะส่วน แสดงออกในชีวิตประจาวนั ทักษะการแสดงออกท่ีสาคญั คือ
การพูด ส่วนทักษะสาคัญท่ีส่งเสริมทักษะการพูดให้ได้ดี คือ ทักษะการอ่าน และถือได้ว่าเป็นทักษะท่ีสาคัญที่
ทาให้ทักษะ ทุกทักษะประสบความสาเร็จ คือทักษะการอ่าน (มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์ 2555) ภาษาของมนุษย์
จึงนบั วา่ เป็นมรดกอันวิเศษ เพราะใช้เป็นเครื่องมือในการคิดและส่ือสาร ก่อเกิดภูมปิ ญั ญาอันจะสรา้ งสรรค์สง่ิ ท่ี
เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล ท้ังนี้มนุษย์กลุ่มท่ี เจริญแล้ว เม่ือคิดภูมิปัญญาข้ึนมาได้ ก็จะเขียนบันทึกไว้อย่าง
เป็นระบบ อีกทั้งเม่ือประกอบกิจการงานใดร่วมกันก็ใช้การเขียน เป็นกลไกลสาคัญในการส่ือสาร และการจะ
เขียนสิ่งต่างๆ ได้ก็ ต้องอาศัยภาษาประกอบสร้างตามหลักภาษาน้ันๆ ให้ได้เป็น ข้อความอันสมบูรณ์
(วรวรรธน์ ศรียาภัย,2555) จากข้อความ ข้างต้นจะเห็นได้ว่า การท่ีเราจะเขียนเพ่ือส่ือสารส่ิงใดน้ันจะต้อง
ประกอบด้วยโครงสรา้ งภาษาและกลวธิ ีในการสอื่ สาร
การเขียนเป็นระบบการส่ือสาร หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพ่ือแสดงออกซ่ึงความรู้ ความคิด
ความรู้สึก และอารมณ์โดย ใช้ตัวหนังสือ และเครื่องหมายต่างๆเป็นสื่อ ดังน้ัน การเขียนจึงเป็นทักษะการใช้
ภาษา แทนคาพูดที่สามารถส่ือความหมายให้เป็นหลกั ฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด การเขียนท่เี ป็น เร่ืองราว
เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียนน้ัน จะประสบความสาเร็จมากน้อยเพียงใด ส่วนสาคัญ
ขึน้ อยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด ทักษะการใช้ภาษาเขยี น ต้องอาศยั พ้ืนฐานความรู้
จากการฟัง การพูด และการอ่าน เพราะจากพื้นฐานดังกล่าว จะทาให้มีความรู้ มีข้อมูล และมี ประสบการณ์
เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมา ส่ือสารกับผู้อ่านได้
อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
ในสังคมปัจจบุ นั ผเู้ รยี นใหค้ วามสาคญั ทางดา้ นการเขียนน้อยลง เพราะทักษะการเขียนเป็น
ทักษะที่มีความยากและ ซับซ้อน สุจริต เพียรชอบ (2539) ได้กล่าวว่า ทักษะการเขียน เป็นทักษะที่มีความ
สลับซับซ้อนยากกว่าทักษะการฟัง การพูด และการอ่าน เพราะผู้เขียนจะต้องมีความรู้ดี รู้จักคามาก มีความ
สามารถในการสังเคราะห์เรียบเรียงถ้อยคา ผูกประโยคให้ถูกต้อง และส่ือความหมายได้ชัดเจนตามที่ผู้เขียน
ตอ้ งการ แต่ปัจจุบนั ปรากฏว่าผู้คนไม่ใคร่มคี วามสามารถในการเขยี นไม่ว่าจะเป็น ผู้ใหญ่และเยาวชน ไม่วา่ จะ
เป็นยุคใดสมัยใด การเขียนก็ยังคง เป็นปัญหาท่ีสาคัญในการส่ือสาร ไกรวุฒิ จันทร์รัตน์ (2529) กล่าวว่า
“เยาวชนในชาติเขียนหนังสือผิดกันน้ันถือว่าทา ให้ อักษรบกพร่อง ซึ่งเป็นผลทาให้ภาษาวิบัติและอาจทาให้
ขาดเอกลักษณ์ทางภาษาของชาติได้ด้วย เพราะการเขียนนั้นมี อิทธิพลต่อการใช้ภาษาด้านอ่ืน ๆ” นอกจากน้ี
ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2533) ได้แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการเขียนหนังสือผิด พอสรุปความเห็นได้ว่าการ
เขียนหนงั สือผิดสืบเน่ืองมาจาก ผู้เรียนขาดความสนใจ และไม่เห็นความสาคัญของภาษาไทย ทาให้ผ้เู รยี นเขียน
หนังสอื ผิดมาก
การย่อความเปน็ การจับใจความสาคัญของเรอ่ื งทไ่ี ดจ้ ากการฟังหรืออ่านแลว้ นามาเรยี บเรียง
ใหม่ใหส้ ้ันลงด้วยสานวน ภาษาของผู้ย่อเอง ใหค้ งความหมายของเร่ืองเดิม การย่อความมบี ทบาทสาคัญตอ่ การ
เรียนเป็นอย่างมาก ดังที่ ดวงพร หลิมรัตน์ (2551) กล่าวว่า การย่อความเป็นสิ่งจาเป็นในการรับสาร
เป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ เพราะเป็นพ้ืนฐานสาคัญที่จะช่วยให้มนุษย์เข้าใจเร่ืองราวต่างๆ
ได้ตรงกัน ช่วยให้ได้รับความรู้ ความคิด และประสบการณ์ ซึ่งมีผลต่อการดาเนินชีวิตไป ในทางท่ีถูกต้อง
เหมาะสม นอกจากน้ี ฟองจันทร์ สุขย่ิง (ม.ป.ป.) กล่าวว่า การย่อความมีความสาคัญ เพราะการย่อความช่วย
ใหส้ ามารถจดจาสาระสาคญั เร่ืองได้แม่นยารวดเร็ว นามาใช้ทบทวนหรือใช้อ้างอิงในภายหลังได้ การย่อความมี
ประโยชน์ท้ังทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์ทางตรง คือ ฝึกทักษะการใช้ภาษา ส่วนประโยชน์ทางอ้อม คือ
การย่อความเป็นกระบวนการฝึกฝน ให้รู้จักการสังเกต การวิเคราะห์ความรู้ ความคดิ และการใช้วิจารณญาณ
ในการอา่ น
เนอื่ งจากผู้วจิ ยั เปน็ ครผู ้สู อนรายวิชาภาษาไทยของนักศกึ ษาระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้
กศน.ตาบลโพธ์ิวงศ์ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ ภาคเรียนท่ี 2
ปีการศึกษา 2563 จากการวิเคราะห์ปัญหาของผู้เรียนพบว่านักศึกษายังขาดความสามารถด้านการเขียน
โดยเฉพาะการเขียนย่อความเท่าที่ควร นักศึกษาเขียนย่อความไม่ถูกต้องตามหลักการเขียนย่อความ ไม่มีการ
เกริ่นนา และจับประเด็นในการเขียนไม่ถูก การเขียนเน้ือหายังวกวนและไม่มีประสิทธิภาพ การสรุปเร่ืองยังไม่
ถูกต้องและไม่ตรงประเด็น การวางรูปแบบของการเขียนย่อความยังไม่ถูกต้อง นักเรียนส่วนใหญ่ลอกเน้ือหา
จากหนงั สอื หรอื ตน้ ฉบบั มาเขยี นมากกวา่ ย่อเอาใจความสาคัญหรอื จับใจความสาคัญ
จากปญั หาและความสาคญั ดงั กลา่ ว ผวู้ ิจยั จงึ ได้เลือกสร้างนวัตกรรมเพือ่ พฒั นาการเขียนย่อ
ความของนักศกึ ษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลโพธิ์วงศ์ ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อัธยาศัยอาเภอขุนหาญ โดยใช้โดยใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนย่อความ เน่ืองจากภาษาไทยเป็น
พื้นฐานในการเรียนทกุ รายวิชา และมีความสาคัญในการที่การสื่อสาร โดยเฉพาะทักษะการเขียน และเพอ่ื เป็น
แนวทางในการจดั การเรยี นการสอนต่อไป
2. ปัญหาวิจัย
ทักษะการเขียนย่อความของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลโพธิ์วงศ์ ศูนย์การศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ ก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนย่อความมี
ความแตกต่างกันหรอื ไม่
3. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
3.1 เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนย่อความของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลโพธิ์วงศ์
ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอขนุ หาญ โดยใชช้ ุดฝกึ ทักษะการเขียนย่อความ
3.2 เพ่ือเปรียบเทียบทักษะการเขียนย่อความก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนย่อความของ
นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลโพธ์ิวงศ์ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
อาเภอขนุ หาญ
4. ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ
4.1 ได้พัฒนาทักษะการเขียนย่อความของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลโพธ์ิวงศ์
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ โดยใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียน
ยอ่ ความ
4.2 นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลโพธิ์วงศ์ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา
ตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ มีความสามารถในการเขียนย่อความ สามารถเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจว่าใคร ทาอะไร
ทีไ่ หน อยา่ งไร เม่ือไหร่ เป็นขอ้ ความสั้น กะทัดรัด โดยไม่ใหค้ วามหมายเปลี่ยนแปลง หลงั ใช้ชุดกิจกรรมพฒั นา
ทกั ษะการเขยี นยอ่ ความ
4.3 สามารถนาผลการวิจัยในช้ันเรียนคร้ังน้ีไปใช้เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง
การเขียนย่อความของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลโพธ์ิวงศ์ ศูนย์การศึกษานอกระบบและ
การศกึ ษาตามอัธยาศัย โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมพัฒนาทักษะการเขียนยอ่ ความได้
5. วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั
5.1 กลุ่มเป้าหมายท่ีศกึ ษา
กล่มุ เปา้ หมายทีใ่ ช้ในการศกึ ษาครัง้ น้ี ไดแ้ ก่ นักศึกษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้นทีก่ าลัง
ศกึ ษาในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ทลี่ งทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทย และเขยี นย่อความไม่ถกู ต้องตาม
หลักการเขียนย่อความ จานวน 5 คน กศน.ตาบลโพธิ์วงศ์ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อธั ยาศยั อาเภอขนุ หาญ ไดม้ าโดยวธิ เี ลอื กแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling)
5.2 วิธกี ารที่ใชใ้ นการแก้ปัญหา
วิธีการที่ใช้ในการแก้ปัญหาในงานวิจัยน้ี ได้แก่ ชุดฝึกพัฒนาทักษะการเขียนย่อความ ระดับ
มัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 กศน.ตาบลโพธ์ิวงศ์ ศูนย์การศึกษานอกระบบและ
การศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอขนุ หาญ จานวน 3 ชุด ซึง่ มีขน้ั ตอนสรา้ ง ดงั นี้
ศกึ ษาหลักสูตรและเอกสารท่เี ก่ียวข้อง โดยค้นควา้ จากเอกสารตา่ งๆ ดังนี้
1. ศกึ ษารปู แบบและสว่ นประกอบของการทาชดุ กิจกรรม
2. กาหนดรปู แบบของชุดกจิ กรรม
3. สรา้ งชุดกิจกรรม
4. จัดพมิ พ์ชดุ กิจกรรม
5.3 ข้อมูลทจ่ี ัดเกบ็ ไดแ้ ก่ คะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนเร่อื งการเขียนย่อความ
5.4 เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บขอ้ มูล แบบทดสอบแบบอัตนยั จานวน 20 ขอ้
5.5 การเก็บรวบรวมข้อมลู
5.5.1 ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบอัตนยั (ขอ้ สอบชุดเดยี วกบั แบบทดสอบหลังเรียน)
5.5.2 ทดลองใชช้ ดุ ฝึกทักษะการเขียนแผนผังความคดิ
5.5.3 ทดลองใช้ชดุ ฝกึ ทักษะการเขยี นย่อความ
5.5.4 ทดสอบหลังเรยี นดว้ ยแบบทดสอบอัตนยั (ขอ้ สอบชดุ เดียวกบั แบบทดสอบก่อนเรียน)
5.6 การวเิ คราะห์ข้อมูล
วเิ คราะห์เปรยี บเทียบ ทกั ษะการเขยี นยอ่ ความของนักศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น กศน.
ตาบลโพธิว์ งศ์ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ กอ่ นและหลังการใช้ชุดฝึก
ทักษะการเขียนยอ่ ความมีความแตกตา่ งกนั โดยใช้การวิเคราะหเ์ ปน็ รายบคุ คล
5.7 เกณฑก์ ารพฒั นา
นักศึกษามีพัฒนาการด้านทักษะการเขียนย่อความหลังการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนย่อความ
แล้วตอ้ งมคี ะแนนทดสอบหลังเรยี นสงู กว่าคะแนนทดสอบก่อนเรยี น
6. ผลการวิจัย
นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นท่ีกาลังศึกษาในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ศูนยก์ ารศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ สังกัดสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดศรีสะเกษ จานวน 5 คน หลังจากได้เรียนการเขียนย่อความ และการใช้ชุดฝึก
ทักษะในการสอน เม่อื เรยี นเสรจ็ แลว้ ทาการทดสอบหลังเรยี น นักศึกษาแตล่ ะคนได้รบั คะแนนดังตาราง
ตารางที่ 1 แสดงคะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนทดสอบหลังเรียนโดยการสอนแบบปกติ และ
คะแนนทดสอบหลังเรียนโดยการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนแผนผังความคิดและการเขียนย่อความ
จานวน 3 ชดุ ชุดละ 10 ขอ้ (รวม 30 คะแนน)
คะแนน
คนที่ ทดสอบกอ่ นเรยี น ทดสอบหลงั เรียน
โดยการสอนปกติ โดยใชช้ ุดฝึกทักษะ
1 21 19
2 19 20
3 18 24
4 16 26
5 17 22
X̄ 18.20 22.20
SD 1.92 2.86
ตารางที่ 2 แสดงคะแนนแบบทดสอบก่อนเรยี น และคะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี นโดยใช้
แบบทดสอบแบบปรนัย (ใชเ้ กณฑ์คะแนนพฒั นาการเทียบระดบั พัฒนาการของ ศิรชิ ัย กาญจนวาสี, 2562:
268)
คน คะแนนแบบทดสอบ คะแนนระดบั พัฒนาการ
กอ่ นเรยี น ร้อยละ หลังเรยี น ร้อยละ
ก่อนเรยี น หลงั เรยี น
1 8 40 11 55 พัฒนาการระดับกลาง พัฒนาการระดบั สูง
2 9 45 9 45 พฒั นาการระดบั กลาง พฒั นาการระดับกลาง
3 10 50 12 60 พัฒนาการระดบั สงู พฒั นาการระดบั สงู
4 8 40 12 60 พัฒนาการระดบั กลาง พฒั นาการระดับสูง
5 10 50 15 75 พัฒนาการระดบั สงู พัฒนาการระดับสงู
รวม 45 43.27 59 56.73
เกณฑ์การเปรียบเทียบคะแนนระดบั พฒั นาการ
คะแนน 76 - 100 พัฒนาการระดับสงู มาก
คะแนน 51 - 75 พัฒนาการระดบั สงู
คะแนน 26 - 50 พัฒนาการระดบั กลาง
คะแนน 0 - 25 พัฒนาการระดบั ต้น
จากตารางท่ี 2 พบวา่ นักศึกษาคนท่ี 5 ไดค้ ะแนนทดสอบหลังเรยี นสูงถงึ 15 คะแนน คิด
เป็นร้อยละ 75 และมีพัฒนาการระดับสูงทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน และนักศึกษาท่ีได้คะแนนก่อนเรียนและ
หลังเทา่ กันคือ นักศึกษาคนท่ี 2 ได้ 15 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 45 มพี ัฒนาการระดับกลางทั้งก่อนเรียนและ
หลังเรียน
7. การสะทอ้ นผลการวิจัย
ผู้วิจัยได้ถ่ายเอกสารรายงานการวิจัยในช้ันเรียนฉบับน้ีเท่าจานวนครูใน กศน. เพื่อแจกให้
คณะครูไดศ้ ึกษาและรว่ มกนั วพิ ากษ์ผลของการวจิ ัยครัง้ นี้ ซง่ึ มีครู 2 ทา่ นได้ให้ความคิดเหน็ ไว้ ดงั นี้
คุณครูสาวิตรี แก้วกัณหา เป็นคุณครู กศน.ตาบลโพธ์ิกระสังข์ ให้ข้อมูลวา่ นักศึกษาคนท่ี 2
มีพฒั นาการอยใู่ นระดับกลาง และเมื่อไดร้ ับการทดสอบหลงั กย็ ังไมม่ ีการพัฒนา จาเปน็ ต้องฝกึ ฝนเพ่มิ ขึน้
คุณครูธนวรรธน์ ศรีสาเนตรเป็นคุณครู กศน.ตาบลภูฝ้าย ให้ข้อมูลว่านักศึกษาคนท่ี 5 ได้
คะแนนทดสอบหลงั เรยี นสูงถึง 15 คะแนน คิดเปน็ ร้อยละ 75 และมีพฒั นาการระดับสงู ทัง้ ก่อนเรียนและหลัง
เรียน
ภาคผนวก
แผนการจัดการเรยี นรู้
สาระความรู้พน้ื ฐาน รายวิชา ภาษาไทย พท 21001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้
แผนการจดั การเรยี นรูเ้ ร่ืองท่ี 3 การอา่ น เวลา 3 ชวั่ โมง
เร่อื ง การอ่านจับใจความสาคญั
สอนวันท่ี………เดอื น ………………..พ.ศ........... ภาคเรยี นท…่ี 2...ปกี ารศกึ ษา …2563…….
มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ
๑. สามารถอา่ นได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
๒. จับใจความสาคญั แยกขอ้ เทจ็ จริงและข้อคิดเห็นจากเรื่องทอ่ี ่าน
๓. สามารถอา่ นหนงั สือและส่ือสารสนเทศได้อย่างกว้างขวาง เพอื่ พัฒนาตนเอง
๔. มมี ารยาทในการอ่านและนสิ ยั รักการอ่าน
ตวั ชว้ี ัด
1. เลอื กอา่ นหนังสือและส่ือสารสนเทศ เพื่อพฒั นาตนเอง
2. วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ แยกแยะข้อเทจ็ จริง ข้อคดิ เหน็ และจุดมุง่ หมายของเรื่องท่ีอ่าน
3. ปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผู้มมี ารยาทในการอ่านและมีนิสัยรักการอ่านสาระสาคญั หลักการเขียน การใช้ภาษา
ในการเขยี น
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. บอกลกั ษณะของใจความสาคัญของข้อความ หรอื เร่อื งท่ีอ่านได้ถูกต้อง
2. จับใจความสาคญั ของบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง
สาระการเรยี นรู้
การอ่านจับใจความสาคัญจากส่อื ตา่ งๆ
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝเ่ รยี นรู้
ช้ินงาน/ภาระงาน
1. ใบงานที่ 1.1 เร่ือง ใจความสาคัญ
แหล่งการเรียนรู้
1. หอ้ งสมดุ
2. สือ่ ต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์
3. หนังสอื เรียน วชิ าภาษาไทย
กิจกรรมการเรยี นรู้
ชั่วโมงท่ี 1
ขนั้ นา
1. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรยี นรใู้ หน้ ักศกึ ษาทราบ
2. ครูเลา่ นิทาน เรือ่ ง “กระตา่ ยตืน่ ตูม” ให้นักศึกษาฟัง ดงั นี้
บทอ่านนทิ าน เร่ือง “กระตา่ ยตื่นตมู ”
กาลครั้งหนง่ึ นานมาแล้ว....มีกระต่ายตวั หน่ึงนอนหลับอย่ใู ต้ตน้ ตาล
ขณะที่นอนหลับอยู่น้ัน เกิดพายใุ หญ่
ทาให้ลูกตาลหล่นลงท่ีพนื้ ดนิ เกอื บถูกกระตา่ ย มันตกใจตืน่ ข้นึ คดิ วา่ ฟ้าถลม่
ไม่ทันไดไ้ ตรต่ รองมนั ลุกข้นึ ได้กว็ ิ่งไปอย่างสุดกาลัง เพราะกลวั ความตาย
สัตว์อืน่ ๆ เห็นกระตา่ ยว่ิงมา จงึ ถามกระตา่ ยวา่ ”น่ีทา่ นว่ิงหนีอะไรมา”
กระตา่ ยวิ่งพลางบอกพลางวา่ “ฟา้ ถล่ม”
สตั วเ์ หลา่ นน้ั ไดฟ้ ังกระตา่ ยบอก ไมท่ นั คดิ
สาคัญวา่ ฟ้าถล่มจริง ก็พากันวิ่งตามกระต่ายไป
หกล้ม ขาหัก แขง้ หัก โดนต้นไม้ ตกเหวตายบา้ งกม็ ี
ส่วนท่ยี ังเหลือก็พากนั วิ่งหนตี ่อไปอีกจนกระทั่งมาพบพญาราชสหี ์ตัวหนึ่ง
ซง่ึ เปน็ สตั ว์มปี ญั ญาเห็นสตั วท์ ้ังหลายพากนั ว่งิ มาไม่หยุดไม่หย่อน
จึงร้องถามวา่ … “พวกทา่ นวิง่ หนอี ะไรมา”
กระต่ายจึงเล่าเรื่องให้ราชสหี ฟ์ งั ราชสีหก์ เ็ ขา้ ใจทันที
จึงถามต่อไปวา่ “ฟ้าถลม่ ทตี่ รงไหน จงพาเราไปดสู กั ที”
พอไปถงึ ใตต้ น้ ตาลที่กระต่ายนอน พญาราชสหี ์พิเคราะห์ดู
เห็นลกู ตาลตกอยูท่ โี่ คนต้น กเ็ ขา้ ใจว่าทแ่ี ท้เป็นลกู มะตูมตกลงบนใบตาลแหง้ …
จึงเกิดเสียงดงั จนเจา้ กระต่ายคดิ ว่าแผน่ ดินถลม่ สตั ว์ทัง้ หลายตอ้ งเสียชีวิต
เพราะเช่ือตามเสยี งผู้อื่นโดยไมค่ ดิ ไตรต่ รองใหด้ ีเสยี ก่อน
เมอื่ รูส้ าเหตุแลว้ …จึงประกาศให้สัตวท์ ้ังหลายทราบตามความเป็นจริง…
ด้วยความสขุ ุมรอบคอบรูจ้ ักใชส้ ตปิ ัญญาไตร่ตรอง… พญาราชสหี ์จงึ สามารถ
รกั ษาชีวิตสัตวท์ ง้ั หลายไวไ้ ด้และนาความสงบสขุ มาสูป่ า่ ใหญอ่ ีกคร้งั หน่งึ
ขน้ั สอน
1. ครูอธบิ ายใหน้ ักศึกษาทราบว่า การเลา่ นิทานของตวั แทนนักศกึ ษาทั้ง 2 คน เปน็ การนาเน้อื เรอ่ื ง
ทเ่ี ปน็ ใจความสาคัญมาเลา่ หรือถ่ายทอดเรื่องราว โดยไมเ่ ก็บเอารายละเอียดเลก็ ๆ น้อยๆ ท่ีอยู่ในเรื่องมาเล่า
ดว้ ย
2. ใหต้ ัวแทนนกั ศกึ ษาออกมารบั เนอ้ื เรื่องของนทิ าน เร่ือง “กระต่ายต่นื ตมู ”ที่ครูเตรยี มไว้ และให้
นักศกึ ษาขดี เส้นใตข้ ้อความท่ีคดิ วา่ เป็นใจความสาคัญ
3. ครใู หข้ ้อสังเกตเกยี่ วกบั ลักษณะของใจความสาคัญวา่ เป็นข้อความท่เี ป็นใจความหลักของข้อความ
แตล่ ะย่อหนา้ หากขาดข้อความส่วนน้ไี ปจะทาใหผ้ ู้อา่ นไมเ่ ข้าใจเรือ่ งทอ่ี ่าน
ขัน้ สรุป
1. ครแู ละนักศึกษาร่วมกันสรปุ บทเรียนจากนทิ าน“กระตา่ ยตื่นตูม” อกี คร้ัง ครูอธิบายเพมิ่ เตมิ เร่ือง
การอ่านจบั ใจความสาคัญ ครูถามนกั ศกึ ษาวา่ ได้ความร้อู ะไรบ้างจากนิทานเรื่องนี้ แล้วให้นกั ศึกษาตอบทีละคน
2. ครใู หน้ กั ศกึ ษาทาแบบทดสอบการอา่ นจับใจความจากนทิ าน จานวน 10 ขอ้
ช่วั โมงที่ 2
ขน้ั นา
1. ครูและนกั ศกึ ษาร่วมกันสนทนาเกยี่ วกับเรื่องสั้น “จังหวัดอ่างทอง”
จังหวดั อ่างทองมีลักษณะภูมิประเทศเปน็ ท่รี าบล่มุ มีแม่นา้ ไหลผ่านสองสาย คือ แม่นา้ น้อยและแมน่ า้
เจ้าพระยา ชาวบ้านสว่ นใหญ่จึงมีอาชพี ทานา ซ่ึงต้องพงึ่ พาธรรมชาติ ถ้าปใี ดฝนตกน้อยหรือมากไป ผลผลติ ท่ี
เก็บเกีย่ วกจ็ ะลดน้อยลง ตามความเสยี หายท่ีเกิดขน้ึ ชว่ งปี พ.ศ. 2510 – 2518 เปน็ เวลา 8 ปี ตดิ ต่อกันที่
ชาวบ้านตาบลบ้านวัดตาล (ภายหลังเปล่ยี นช่อื เปน็ ตาบลบางเสด็จ) อาเภอปา่ โมก ได้รับผลกระทบจากภัยน้า
ทว่ มจนแทบสิ้นเนือ้ ประดาตวั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวและสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ จงึ
เสด็จพระราชทานความช่วยเหลอื แกร่ าษฎรผ้ปู ระสบอทุ กภยั ในปี พ.ศ. 2518
ดว้ ยพระปรีชาญาณและพระมหากรุณาธคิ ุณของสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ ท่ีทรงดารใิ ห้มีการฝึกฝนอาชพี
การป้นั ตุ๊กตาชาววังจากดินเหนียวใหแ้ ก่กลุ่มแม่บา้ น ใหท้ าเป็นงานอดเิ รกเพื่อเพ่มิ พนู รายได้ และทรงรับเป็น
โครงการในพระบรมราชนิ ปู ถัมภ์ โดยในปี พ.ศ. 2519 พระองค์ทา่ นไดส้ ่งอาจารย์พร้อมวัสดุอุปกรณ์ทุกอยา่ ง
มาสอนที่วดั สระแก้ว สอนสปั ดาหล์ ะ 2 วนั แต่เรียนไดเ้ พียง 3 สัปดาห์ ชาวบ้านเกดิ ความหวาดกลัวเพราะการ
ปั้นตุ๊กตาชาววังถือเปน็ ศลิ ปะชนั้ สูง ถ้าเรยี นโดยไมม่ กี ารทาพธิ ยี กครูอาจไมเ่ ป็นมงคล ประกอบกับในชว่ งเวลา
น้นั มีลูกเดก็ เลก็ แดงเจ็บป่วยบ่อยๆ เมื่อสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาเสด็จมาทาพธิ ีครอบครู ซึง่ เปน็ พิธีกรรม
แสดงความเคารพต่อส่ิงศักดิ์สิทธ์ชิ าวบ้านจงึ คลายความกงั วลลงได้
กรรรมวธิ ีการป้นั ตกุ๊ ตาชาววงั มหี ลายขั้นตอน เริ่มดว้ ยการเตรยี มดิน ซ่งึ ชา่ งป้นั ต้องเปน็ คนไปหาเอง
เพือ่ ให้ดินเหนียวเหมาะกบั งานปัน้ ตกุ๊ ตา เมื่อเผาออกมาแล้วจะมสี แี ดงสวยงามตามธรรมชาติ ดินทไี่ ดม้ าน้ัน
ต้องนามาละลายน้าและผ่านกรองเอาเศษกรวด เศษหิน ออกให้หมดเสยี ก่อน จงึ จะนามาปั้นได้
ด้วยฝีมือที่ชานาญทาให้การปั้นใช้เวลาไมม่ าก บางชิน้ สว่ น เช่น ศรี ษะต๊กุ ตาหรือผลไมท้ ีม่ ีความ
ละเอยี ดมากจะใชแ้ ม่พมิ พป์ ูนพาสเตอร์ดินเหนยี วออกมา ช่วงท่ียากและทาให้ตุ๊กตาเสยี หายมากทีส่ ุดคอื การเผา
เนือ่ งจากที่นีย่ งั ใช้เทคโนโลยีแบบดง้ั เดมิ จงึ ต้องควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะอยู่เปน็ วันๆ ถา้ เพม่ิ ความร้อนเรว็ หรอื
ช้าจนเกนิ ไปจะทาใหต้ ัวตุ๊กตาแตกหกั บางทีเผาเสรจ็ เหลือตุ๊กตาไม่ถงึ ครึง่
ลงทา้ ยด้วยการระบายสี ที่ต้องมกี ารรองพนื้ ด้วยสีโปสเตอรข์ าวก่อนตามด้วยสนี า้ มนั ขาวอีกที ก่อนจะระบาย
เสื้อผ้าและวาดหน้าตาได้ แต่ละขั้นตอนมกี ระบวนการทีจ่ กุ จิก ยุ่งยาก ต้องพิถีพิถนั ทาใหเ้ สยี เวลามาก คนทา
ตอ้ งอดทนและใจเย็น
2. ครูนาบัตรภาพ “สถานทสี่ าคัญในจงั หวดั อ่างทอง” มาให้นกั ศึกษาดแู ล้วพดู ถงึ สถานทที่ ่องเทย่ี ว
ตา่ งๆ
ข้นั สอน
1. ครนู าบทอา่ นจากเร่ืองสั้นเรือ่ ง “ จังหวดั อา่ งทอง” แจกให้กล่มุ ละ ๑ ใบ
2. หัวหน้ากลุ่มออกมารบั แบบฝกึ ท้งั 2 แบบฝึก
3. ครนู าแบบฝึกท่ี 2.1 – 2.2 มอบให้นกั ศกึ ษาแต่ละกลมุ่
4. นกั ศึกษาอ่านเรื่องส้ัน “เกลอื จม้ิ เกลือ”
5. นกั ศึกษาชว่ ยกนั ทากจิ กรรมในแบบฝกึ ที่ไดร้ ับ
6. นักศึกษาที่ทาแบบฝึกเสร็จแล้วใหน้ าสง่ ครูตรวจ
ขั้นสรปุ
1. นกั ศกึ ษาในแตล่ ะกลุม่ สง่ ตัวแทนออกมาสรปุ เนื้อหาและกจิ กรรมการอ่านจับใจความในแต่ละชุดฝกึ
2. ครสู รปุ เพ่มิ เติมและให้คาแนะนาจากการเฉลยคาตอบในแตล่ ะชุดฝกึ นั้น ๆ
3. ครูและนกั ศึกษารว่ มกันสรปุ ใจความสาคญั จากเร่ืองสน้ั
4. ครใู หน้ ักศกึ ษาทาแบบทดสอบการอา่ นจับใจความจากเร่อื งส้ัน จานวน 10 ข้อ
ชั่วโมงท่ี 3
ข้นั นา
1. ครูและนักศึกษาร่วมกนั สนทนาเก่ยี วกับเพลงที่ตนเองชอบ
2. ครนู าภาพ “พระบรมฉายาทสิ ลักษณ์ ของในหลวงรชั กาลท่ี 9 ” มาใหน้ กั ศึกษาดูแล้วสนทนา
เกย่ี วกับภาพ
ข้นั สอน
1. ครูนาบทอ่านเพลง “รูปท่ีมีทุกบ้าน” แจกให้กลุ่มละ ๑ ใบ
เน้อื เพลง รปู ที่มีทุกบ้าน
คารอ้ ง นิติพงษ์ หอ่ นาค
ทำนอง อภิชัย เย็นพูนสขุ
เรยี บเรยี ง วรี ภัทร์ อง้ึ อมั พร
ต้ังแตเ่ ลก็ ยังเคยได้ถำมแมว่ ำ่
บนขำ้ งฝำบ้ำนเรำน่ันติดรปู ใคร
ที่แมค่ อยบชู ำประจำก่อนนอนทกุ คืน จะตอ้ งไหว้
แมต่ อบว่ำให้กรำบรูปน้นั ทุกวัน
ท่ำนเปน็ เทวดำที่มีลมหำยใจ
ที่เรำยังพอมีกนิ อย่ำงวนั น้ี
ท่ำนดแู ลคนไทยมำนำนเหลือเกิน ใหจ้ ำไว้
เป็นรปู ทมี่ ีทุกบำ้ น
จะรวย หรือจน หรือวำ่ จะใกล้ไกล
เป็นรูปท่มี ที ุกบำ้ น
ด้วยควำมรกั ดว้ ยภักดี ดว้ ยจิตใจ
เตบิ โตมำก่ีสิบปีท่ผี ำ่ น
ภำพท่ีเหน็ คือท่ำนทำงำนทุกวัน
เม่ือไรเรำทำอะไรท่ีเกดิ ท้อ
แค่มองดรู ปู บนข้ำงฝำจะไดก้ ำลงั ใจ จำกรูปน้ัน
เปน็ รูปทีม่ ที ุกบ้ำน
จะรวย หรือจน หรอื วำ่ จะใกล้ไกล
เป็นรูปทม่ี ที ุกบำ้ น
ด้วยควำมรกั ด้วยภกั ดี ดว้ ยจิตใจ
2. หวั หน้ากลุ่มออกมารับชุดฝกึ 1ชดุ
3. ครนู าชดุ ฝึกทักษะมอบใหน้ ักศกึ ษาแต่ละกลุม่
4. นักศึกษาอา่ นเพลง “รปู ทีม่ ีทกุ บา้ น” โดยครเู ปดิ เพลงคลอเบาๆ
5. นักศึกษาชว่ ยกนั ทากจิ กรรมในชดุ ฝกึ ที่ได้รบั
6. นกั ศึกษาที่ทาแบบฝึกเสรจ็ แลว้ ใหน้ าส่งครูตรวจ
ข้นั สรปุ
1. นกั ศกึ ษาในแต่ละกลุม่ สง่ ตัวแทนออกมาสรปุ เน้ือหาและกจิ กรรมการอา่ น
จับใจความในชดุ ฝึก
2. ครูสรปุ เพม่ิ เติมและใหค้ าแนะนาจากการเฉลยคาตอบในชุดฝึกทักษะ
การวัดผลและประเมนิ ผล
วิธีการ เครือ่ งมอื เกณฑ์
นกั ศึกษาทาใบงาน ใบงานที่ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
นกั ศึกษาเขา้ ร่วมกิจกรรมในชน้ั เรียน แบบประเมินตามสภาพจริง ระดับคณุ ภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์
แบบประเมนิ ตามสภาพจรงิ
ลาดบั รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ท่ี 4 3 21
1 ความรคู้ วามเข้าใจเนื้อหา รวม
2 กระบวนการคดิ วิเคราะห์ ประเมินค่า
3 การแสดงความคดิ เหน็
4 ความมีนา้ ใจกับเพ่ือน
5 ความรบั ผดิ ชอบต่อหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมาย
เกณฑ์การให้คะแนน ลงช่อื ………………………………….ผปู้ ระเมนิ
ปฏบิ ัติสมบรู ณ์ชดั เจน (…………………………………………..)
ปฏิบัติยังมีข้อบกพรอ่ งในจุดท่ีไม่สาคญั
ปฏบิ ัติยังมขี อ้ บกพรอ่ งเป็นส่วนใหญ่ ให้ 4 คะแนน
ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ ระดบั คุณภาพ
4 หมายถึง ดีมาก
ชว่ งคะแนน
17 - 20 3 หมายถงึ ดี
13 - 16 2 หมายถงึ พอใช้
9 - 12 1 หมายถึง ปรบั ปรงุ
5-8
บนั ทึกหลงั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ครง้ั ท…่ี ……….. วันที่……………..เดอื น……………..…………. พ.ศ…………..
กิจกรรมการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สงิ่ ที่ไดร้ ับจากการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………..…..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
สภาพปัญหาท่ีพบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………….……………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……..
วิธีการแกป้ ัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชื่อ………………………………………….ผู้บันทึกหลังการสอน
(………….……….……………….…)
ตาแหนง่ …………………………………
แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น
เรอ่ื ง ทกั ษะการอ่านจบั ใจความสาคัญ
คาชีแ้ จง : เลือกคาตอบทถี่ กู ท่สี ดุ เพียงข้อเดียว ทาเครอ่ื งหมาย √ ทับตัวอักษร ก ข ค หรือ ง
( 20 คะแนน )
1. ข้อใดคอื สาระสาคัญของการอา่ นจับใจความสาคัญ
ก. อ่านเพอ่ื ความรู้
ข. อา่ นเพ่ือความบันเทิง
ค. อา่ นเพื่อหาสาระสาคญั ของเร่ือง
ง. อ่านเพื่อคน้ หาแนวทางในการดาเนินชีวิต
2. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ุดมุ่งหมายของการอา่ นจับใจความสาคัญ
ก. อา่ นเพ่ือย่อเร่ืองสรุปเรอื่ ง
ข. อา่ นเพ่ือสามารถจาคาประพนั ธช์ นดิ ตา่ ง ๆ ได้
ค. อ่านเพ่ือสามารถปฏบิ ตั ิตามคาสัง่ และคาแนะนาได้
ง. อ่านเพ่ือสามารถคาดการณ์ และหาความจรงิ แสดงข้อคิดเห็นได้
อา่ นข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคาถามข้อ 3
แม่คา้ ซ้ือผลไมจ้ ากชาวสวนมาขายท่ีตลาด เขาซ้ือมามาก ๆ เอาใส่รถหรือเรือมาขายใหก้ บั เรา
( ท่ีมา : เสนีย์ วลิ าวรรณ. (2547). ชุดพฒั นาทกั ษะภาษา เล่ม 3 )
3. จากขอ้ ความข้างตน้ ข้อใดคือใจความสาคัญ
ก. แมค่ า้ ค. เขาซอ้ื มามาก ๆ เอาใสร่ ถหรอื เรือ
ข. ใส่รถหรอื เรือ ง. แมค่ ้าซื้อผลไม้จากชาวสวนมาขายทต่ี ลาด
4. ประโยคใจความสาคญั หมายถงึ อะไร
ก. ประโยคตอนตน้ ของเร่ือง ค. ประโยคบอกท่มี าของเร่ือง
ข. ประโยคตอนท้ายของเรือ่ ง ง. ประโยคท่สี รปุ เร่อื งนัน้ ไว้ทั้งหมด
5. ข้อใดเปน็ ข้อคิดเหน็
ก. คนดตี กน้าไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
ข. ต้นสนขึน้ เรยี งรายชายหาดแมร่ าพึง
ค. ต้นไมน้ อกจากจะช่วยให้ความชุ่มชืน้ ยังช่วยปอ้ งกันลมได้ด้วย
ง. วันหน่งึ ๆ เราควรด่ืมน้าวันละ 6 - 8 แก้ว จะช่วยใหผ้ ิวหนงั เตง่ ตึง
6. ขอ้ ใดเป็นข้อเท็จจรงิ
ก. วนั นีอ้ ากาศครึ้มฝนคงจะตก
ข. การว่ายนา้ เป็นการออกกาลังกายที่ดีทส่ี ุด
ค. การตื่นนอนแตเ่ ช้าถือวา่ เป็นกาไรของชวี ติ
ง. จังหวดั หนองคายมีพรมแดนตดิ กบั ประเทศลาว
อา่ นข้อความต่อไปนแี้ ล้วตอบคาถามขอ้ 6 –7
ฝนเทยี ม คือ การบงั คับเมฆฝนใหต้ กลงมาเปน็ ฝน โดยใช้สารเคมพี น่ เข้าไปในกลมุ่ เมฆ ชาวบา้ นมัก
เรยี กฝนเทยี มวา่ ฝนหลวง เพราะฝนเทียมเกิดจากพระราชดาริ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวภูมิพลอ
ดลุ ยเดช เมือ่ ทรงเห็นความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ต้องพบกับสภาวะฝนแล้ง ทาใหป้ ระกอบอาชีพไม่ได้
( ที่มา : ปราณี บญุ ชุ่ม. ( 2549). ภาษาไทย.)
7. การทาฝนเทียมทาอยา่ งไร
ก. ใช้นา้ พ่นเขา้ ไปในกลุ่มเมฆ
ข. ใช้สารเคมีพ่นไปในท้องอากาศ
ค. ใชส้ ารเคมพี น่ เข้าไปในกลุ่มเมฆ
ง. ใช้สารเคมพี น่ เป็นละอองไอน้าในชั้นบรรยากาศ
8. ทาไมจึงต้องมกี ารทาฝนเทียม
ก. เพราะเกษตรกรพบกบั สภาวะแหง้ แลง้
ข. เพราะเจา้ หน้าทต่ี ้องการใหม้ ีน้าฝนมาก
ค. เพราะเกษตรกรเกบ็ กกั นา้ ฝนไว้ไมไ่ ด้
ง. เพราะเจ้าหน้าทตี่ ้องการให้ฝนตกเหนือเขื่อน
9. ข้อความใดเปน็ ใจความสาคญั
ก. คนตาบอดสีขับรถ
ข. คนตาบอดสีกับใบขับขี่
ค. คนตาบอดสจี ะไม่ได้รับอนุญาตให้มีใบขับขี่
ง. อาการบอดสีของตาเป็นอปุ สรรคสาหรบั การบอกสัญญาณไฟจราจรบนท้องถนน
10. ขอ้ ความใดเปน็ ใจความรอง
ก. คนตาบอดสกี ับใบขับข่ี
ข. คนตาบอดสีกบั สญั ญาณไฟ
ค. คนตาบอดสีจะไม่ได้รับอนญุ าตให้มีใบขบั ข่ี
ง. เนอ่ื งจากอาการบอดสขี องตาเปน็ อุปสรรคสาหรับการบอกสญั ญาณไฟจราจร
11.ขอ้ ใดเปน็ หลกั การอา่ นจบั ใจความโดยตง้ั คาถามจากเรื่องท่ีอ่าน
ก. ผลเปน็ อยา่ งไร ข. ใครทาอะไร
ค. ตวั ละครในเรอื่ งมีใครบา้ ง ง. ถกู ทกุ ข้อ
12. ข้อใด ไม่ใช่ หลกั การอ่านจับใจความ
ก. อา่ นอยา่ งรวดเรว็ ข. อ่านพร้อมกบั เขยี นเร่อื งย่อ
ค. ต้ังคาถามจากเรื่องท่ีอ่าน ง. อา่ นอยา่ งพจิ ารณา
13. ข้อใดไม่ใช่เรอื่ งนิทาน
ก. กระต่ายต่ืนตมู ข. ม้ากับลา
ค. หมาป่ากับนกอนิ ทรี ง. สนุ ัขจ้งิ จอกกับนกอินทรี
คนตดั ไม้กบั สนุ ัขจิ้งจอก
คนตัดไม้พาสนุ ัขจิง้ จอกเขา้ ไปซ่อนที่ข้างกระท่อมเมอ่ื ถูกขอความชว่ ยเหลือ พวกลา่ สตั ว์
จูงหมาลา่ เนื้อมาถงึ กถ็ ามคนตัดไม้วา่ เหน็ สนุ ขั จิง้ จอกหรือไม่ "ไม่เหน็ เลยเพ่ือนเอ๋ย"คนตดั ไมป้ ฏเิ สธเเตก่ ช็ นี้ ิว้ ไป
ทางข้างกระท่อม พวกลา่ สัตว์ไม่เขา้ ใจสัญญาณบอกใบน้ น้ั จึงพากนั กลับไป สุนัขจิง้ จอกรออยอู่ ีกสักครู่ก็ออกมา
จากท่ซี ่อน เเล้ววิ่งผา่ นหน้าคนตัดไม้ไป คนตดั ไมจ้ งึ ร้องขึ้นวา่ "ขา้ ช่วยชวี ิตเจา้ ไว้ เจา้ ไมข่ อบคณุ เข้าเลยหรอื "
"ลิน้ ของเจ้าไมต่ รงเหมือนน้วิ ของเจา้ เลยนะจะให้ขอบใจได้อย่างไร" สุนัขจง้ิ จอกกล่าว เเล้วกว็ ิ่งเข้าป่าไป
14. คนตดั ไมพ้ าสนุ ัขจงิ้ จอกไปซ่อนทใ่ี ด
ก. ข้างกระท่อม ข. หลุมหลบภยั
ค. ในกระท่อม ง. ในปา่
15. ใครจงู หมาล่าเน้ือ
ก . นายพรานป่ า ข . คนเลยี้ งวัว
ค . พอ่ ค้าหาบเร่ ง . พวกล่าสตั ว์
16. คนตัดไม้ตอบไม่เหน็ สนุ ัขจิง้ จอก แตก่ บ็ อกใบ้อยา่ งไร
ก. ชีน้ ิ้วไปทางข้างกระท่อม ข. ชน้ี ้ิวไปในกระท่อม
ค. ชนี้ ว้ิ ไปทางป่าทึบ ง. บอกวา่ อยขู่ ้างกระท่อม
17. พวกลา่ สัตวเ์ ห็นสนุ ขั จิ้งจอกหรือไม่
ก. เหน็ ข. ไมเ่ หน็
ค. เหน็ แตส่ นุ ขั จ้งิ จอกว่งิ หนไี ปได้ ง. เห็นและฆ่าสนุ ัขจ้ิงจอกตาย
18. สนุ ัขจง้ิ จอกขอบคณุ คนตัดไมห้ รอื ไม่ทชี่ ว่ ยชวี ิตไว้
ก. ขอบคุณ ข. ไม่ขอบคณุ
ค. ขอบคุณอย่างซาบซ้ึง ง. ไม่ขอบคุณและพดู ประชดสุนขั จ้ิงจอก
19. สุนขั จงิ้ จอกเปรียบเทยี บนิว้ ของคนตัดไม้เป็นเสมอื นอะไร
ก. ลิ้น ข. ดวงตา
ค. ปาก ง. ใจ
20. สาระสาคัญของนิทานเร่ืองนคี้ ืออะไร
ก. พวกลา่ สัตว์ใจร้าย ข. คนตัดฟืนมคี วามซื่อสตั ย์
ค. คนตัดฟื้นเช่ือถือไม่ได้ ง. พวกล่าสัตวเ์ ช่อื ถอื ไม่ได้
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลงั เรียน
ขอ้ สอบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้ (20 คะแนน)
ขอ้ เฉลย
1ค
2ข
3ง
4ง
5ก
6ง
7ค
8ก
9ค
10 ง
11 ง
12 .ข
13 ค
14 ก
15 ง
ชดุ ฝกึ ทกั ษะที่ 1
คาชแ้ี จง : ใหน้ ักศึกษาเขียนแผนผงั ความคดิ จากบทความทก่ี าหนดให้
ชื่อ-นามสกลุ ………………………………………………………..รหัสประจาตัว……………………………………………
กศน.ตาบล…………………………………..อาเภอ…………………………..จงั หวดั ……………………………….
วนั ที่……………เดอื น………………………………พ.ศ………………………….
แบบบันทึกคะแนนการเขยี นแผนผงั ความคดิ
คาชีแ้ จง : โปรดเขียนเคร่อื งหมาย √ ลงในชอ่ งคะแนนท่ีตรงกบั พฤติกรรมของนักเรยี น
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน คะแนน 3 หมายความวา่ ดี
คะแนน 2 หมายความว่า พอใช้
คะแนน 1 หมายความวา่ ควรปรับปรงุ
เกณฑก์ ารประเมิน คะแนน 8-10 ระดบั คณุ ภาพ 3
คะแนน 5-7 ระดบั คณุ ภาพ 2
คะแนน 1-4 ระดับคุณภาพ 1
รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ
เล สอดคลอ้ ความหลาย ความ ความ ความสมบรู ณ์ ดี พอใช้ ควร
ขท่ี
ช่อื -สกลุ งกับเรอ่ื ง หลายของ ถูกต้อง สวยงาม ของงาน รวม ปรับปรงุ
ความคดิ มรี ะเบียบ
3 2 1 3 2 1 32132 1 3 2 1 32 1
ลงชอื่ ……………………………………..ผ้บู ันทกึ
()
………./…………/…………..
เร่อื ง การเขียนย่อความจากบทความ
คาช้ีแจง : ให้นกั ศึกษาอา่ นบทความทีก่ าหนด แลว้ สรุปสาระสาคัญตามรูปแบบการยอ่ ความให้
ถูกตอ้ ง
จงั หวดั อา่ งทองมลี ักษณะภมู ิประเทศเปน็ ทีร่ าบลมุ่ มีแม่น้าไหลผา่ นสองสาย คือ แม่นา้ น้อยและแมน่ า้
เจา้ พระยา ชาวบา้ นสว่ นใหญ่จึงมีอาชพี ทานา ซ่ึงต้องพง่ึ พาธรรมชาติ ถ้าปีใดฝนตกน้อยหรอื มากไป ผลผลิตทีเ่ ก็บ
เกย่ี วกจ็ ะลดน้อยลง ตามความเสียหายท่ีเกดิ ข้นึ
ช่วงปี พ.ศ. 2510 – 2518 เปน็ เวลา 8 ปี ติดตอ่ กันท่ชี าวบ้านตาบลบ้านวัดตาล (ภายหลงั เปล่ียนชอ่ื เปน็ ตาบล
บางเสดจ็ ) อาเภอป่าโมก ไดร้ ับผลกระทบจากภัยน้าท่วมจนแทบสิ้นเน้อื ประดาตวั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั
และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ จึงเสดจ็ พระราชทานความชว่ ยเหลอื แก่ราษฎรผปู้ ระสบอทุ กภัยในปี
พ.ศ. 2518
ด้วยพระปรชี าญาณและพระมหากรณุ าธคิ ุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่ีทรงดาริให้มกี ารฝกึ ฝนอาชพี การ
ปั้นตุ๊กตาชาววังจากดนิ เหนียวให้แก่กลุ่มแม่บา้ น ให้ทาเป็นงานอดิเรกเพื่อเพิ่มพูนรายได้ และทรงรับเป็นโครงการ
ในพระบรมราชนิ ปู ถมั ภ์ โดยในปี พ.ศ. 2519 พระองค์ท่านไดส้ ง่ อาจารย์พร้อมวสั ดอุ ปุ กรณ์ทุกอย่างมาสอนทีว่ ดั
สระแกว้ สอนสปั ดาห์ละ 2 วัน แตเ่ รยี นได้เพยี ง 3 สัปดาห์ ชาวบา้ นเกิดความหวาดกลวั เพราะการปัน้ ตกุ๊ ตาชาววัง
ถือเปน็ ศลิ ปะชน้ั สูง ถา้ เรยี นโดยไมม่ ีการทาพิธียกครอู าจไม่เป็นมงคล ประกอบกบั ในช่วงเวลาน้ัน มีลกู เด็กเล็กแดง
เจบ็ ป่วยบ่อยๆ เมื่อสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาเสดจ็ มาทาพธิ ีครอบครู ซึง่ เป็นพธิ ีกรรมแสดงความเคารพต่อสิง่
ศักดิส์ ทิ ธ์ชิ าวบ้านจึงคลายความกังวลลงได้
กรรรมวิธีการป้ันตุก๊ ตาชาววงั มหี ลายข้นั ตอน เร่ิมดว้ ยการเตรยี มดนิ ซ่ึงชา่ งปั้นต้องเปน็ คนไปหาเอง เพ่ือให้
ดนิ เหนียวเหมาะกับงานปน้ั ตุ๊กตา เม่ือเผาออกมาแล้วจะมสี ีแดงสวยงามตามธรรมชาติ ดินทีไ่ ดม้ านนั้ ต้องนามา
ละลายน้าและผา่ นกรองเอาเศษกรวด เศษหนิ ออกให้หมดเสยี กอ่ น จึงจะนามาปั้นได้
ดว้ ยฝมี ือทช่ี านาญทาใหก้ ารป้ันใชเ้ วลาไมม่ าก บางชิ้นส่วน เช่น ศรี ษะตกุ๊ ตาหรือผลไมท้ ่ีมีความละเอยี ด
มากจะใช้แม่พิมพป์ นู พาสเตอรด์ นิ เหนียวออกมา ชว่ งทีย่ ากและทาให้ตุ๊กตาเสียหายมากที่สดุ คอื การเผา เน่อื งจาก
ท่ีนี่ยังใชเ้ ทคโนโลยแี บบดัง้ เดิม จึงตอ้ งควบคุมอุณหภูมใิ ห้เหมาะอยเู่ ปน็ วันๆ ถา้ เพ่ิมความร้อนเร็วหรือชา้ จนเกนิ ไป
จะทาให้ตัวตุ๊กตาแตกหัก บางทเี ผาเสรจ็ เหลอื ตกุ๊ ตาไม่ถึงคร่ึง
ลงท้ายดว้ ยการระบายสี ทตี่ อ้ งมีการรองพืน้ ดว้ ยสโี ปสเตอร์ขาวก่อนตามด้วยสีน้ามนั ขาวอีกที ก่อนจะระบายเสื้อผา้
และวาดหนา้ ตาได้ แต่ละขั้นตอนมีกระบวนการท่จี กุ จกิ ย่งุ ยาก ตอ้ งพิถีพิถนั ทาใหเ้ สียเวลามาก คนทาตอ้ งอดทน
และใจเยน็
ตุ๊กตาชาววงั นอกจากจะทาตามขัน้ ตอนตอนขา้ งตน้ แล้ว ยงั มีการปั้นอีกแบบหนึ่งท่เี รยี กว่า การปน้ั เหมือน
จริง ซ่ึงจะมีความละเอียดเหมือนคนจรงิ ๆ มากกวา่ สีผิวจะเปน็ สขี องดนิ เผาแท้ จะลงสเี ฉพาะเส้ือผา้ เท่าน้นั ใบหน้า
กจ็ ะไม่มีการหล่อพมิ พ์ แตจ่ ะใช้อปุ กรณแ์ กะเปน็ หนา้ ตา ตกุ๊ ตาแบบนจี้ ะแพงกว่าแบบแรก เพราะมีกรรมวธิ ยี ากกวา่
มาก
ชดุ ฝกึ ทกั ษะที่ 2
คาช้แี จง : ให้นกั ศกึ ษาอา่ นบทความทก่ี าหนด แลว้ สรุปสาระสาคญั ตามรปู แบบการยอ่ ความให้
ถกู ตอ้ ง
ชื่อ-นามสกุล………………………………………………………..รหัสประจาตัว……………………………………………
กศน.ตาบล…………………………………..อาเภอ…………………………..จังหวัด……………………………….
วนั ที่……………เดอื น………………………………พ.ศ………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………….…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………….…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบประเมินการเขียนย่อความจากบทความ
รายการประเมิน ระดับคุณภาพ / ระดบั คะแนน ปรับปรงุ (1)
ดมี าก (4) ดี (3) พอใช้ (2)
1. เขยี นคานาตาม ไมเ่ ขียนคานาตามแบบแผน
แบบแผนกาหนด เขยี นคานาตามแบบแผน เขียนคานาตามแบบ เขียนคานาตามแบบ กาหนด และไมไ่ ดร้ ะบุ
และระบุแหล่ง หรืออา้ งอิงแหลง่ ที่มาของสาร
อา้ งอิงของ กาหนด และ แผนกาหนด และ แผนกาหนดไม่
ขอ้ ความท่ยี อ่
อา้ งองิ แหล่งทีม่ าของสาร อา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าของ ครบถ้วน และ
ได้ถกู ต้องครบถว้ น สารได้ถกู ต้อง แตไ่ ม่ อ้างองิ แหล่งท่มี าของ
ครบถว้ น ขาดการอา้ งอิง สารไดบ้ ้าง แต่
สง่ิ ทไี่ ม่สาคญั ไม่ครบถ้วน
2. การจบั ใจความ จับใจความสาคัญของ จบั ใจความสาคญั ของ จับใจความสาคัญของ จับใจความสาคัญของเรอ่ื งท่ี
สาคัญของเรอ่ื ง เร่ืองท่อี ่าน/ฟัง อา่ น/ฟงั
ท่อี ่าน / ฟัง ไดต้ รงประเดน็ มเี ฉพาะ เร่ืองทอ่ี า่ น/ฟงั ได้ เรอ่ื งทอ่ี า่ น/ฟงั ได้แต่ ไมถ่ ูกตอ้ ง ไมไ่ ดป้ ระเด็นสาคัญ
เพอื่ ยอ่ ความ ข้อความหลัก ของขอ้ ความหลกั
มขี อ้ ความหลัก และ ไมค่ รบถ้วน มี
3. เขยี นย่อความ เขียนย่อความ เขียนยอ่ ความ
ไดถ้ กู ต้องตาม ไดส้ าระสาคญั ครบถ้วน มขี ้อความรองปะปนบ้าง ขอ้ ความรองปะปน ยดื ยาวไปหรือน้อยไปไม่ได้
หลกั เกณฑ์ ถูกตอ้ ง ไม่ใชส้ รรพนาม สาระสาคญั
การยอ่ ความ บุรษุ ที่ 1 และ 2 ในการ เล็กนอ้ ย มาก ลอกข้อความมา
ย่อไมล่ อก ไมต่ ดั ต่อ จากเร่อื งเดมิ
4. ลายมือ และความ ขอ้ ความจากเรื่องเดมิ เขยี นยอ่ ความ เขยี นยอ่ ความ ใชส้ รรพนามบรุ ษุ ที่ 1 และ 2
สะอาดเรยี บรอ้ ยของ ข้อความท่เี ขยี นขน้ึ ใหม่ ในการย่อความ มีลักษณะ
ผลงาน สละสลวยไดใ้ จความ ไดส้ าระสาคญั ครบถว้ น ไดส้ าระ ไม่ใช้สรรพ การตัดตอ่ ขอ้ ความ
ดมี าก มาเขียนตอ่ ๆ กนั
5. การเขยี น ถูกตอ้ ง ไม่ใชส้ รรพนาม นามบุรุษที่ 1 และ 2
สะกดคา ลายมอื สวย เขยี นเป็น ลายมือไมส่ วย เขียนหวดั ไม่
ระเบยี บ มีชอ่ งไฟ บุรุษที่ 1และ 2 ในการ ในการย่อ ลอก เป็นระเบยี บ ไม่เว้นช่องไฟ
พองาม อ่านเขา้ ใจง่าย ลายมืออา่ นยากผลงานไม่
ผลงานสะอาด เรยี บรอ้ ย ย่อ ไม่ลอก ข้อความมาจากเร่ือง สะอาด มรี ่องรอยลบ ขูด ขดี
ไม่มรี อ่ งรอยลบ ฆา่ มากกวา่ 5 แหง่
ขูด ขดี ฆ่า ไมต่ ดั ต่อข้อความจาก เดมิ บา้ ง
เขียนสะกดการนั ต์
เขียนสะกดการนั ตไ์ ด้ เร่อื งเดมิ ข้อความที่ มีลกั ษณะตัดตอ่ ไม่ถูกตอ้ ง
ถกู ตอ้ งตามพจนานกุ รม มผี ดิ เกิน 3 คา
เขยี นข้ึนใหม่สละสลวย ขอ้ ความเดิมมา
ได้ใจความคอ่ นข้างดี ข้อความทต่ี ดั ต่อใหม่
ไมส่ ละสลวย
ลายมือคอ่ นขา้ งสวย ลายมอื คอ่ นข้างสวย
เขียนเปน็ ระเบียบ มี เขียนยงั ไมเ่ ป็น
ช่องไฟพองาม อ่าน ระเบียบ มชี อ่ งไฟ
เข้าใจงา่ ย พอใช้ได้ อา่ นพอ
ผลงานสะอาด มี เข้าใจ ผลงานไม่
ร่องรอยลบ เลก็ น้อย สะอาด มรี อ่ งรอยลบ
1-2 แหง่ ขดู ขดี ฆ่า 3-4 แห่ง
เขียนสะกดการันตไ์ ด้ เขียนสะกดการันต์
ถกู ตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ มี ไมถ่ ูกต้อง
ผดิ 1-2 คา มผี ดิ 2-3 คา
เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
17-20 ดีมาก
13-16 ดี
9-12 พอใช้
5-8 ปรบั ปรงุ
ชุดฝึกทกั ษะที่ 3
เรอ่ื ง การเขยี นเรอ่ื งจากภาพ
คาชี้แจง : ให้นักศึกษาเลือกภาพ จานวน 1 ภาพ แลว้ เขียนเรื่องจากภาพ พรอ้ มตั้งช่อื เรื่อง เนื้อหาสาระสอดคล้อง
กับภาพ การใช้ภาษาส่ือความหมายได้ถูกต้องเหมาะสมกับเรื่องสอดแทรกทัศนคติ ข้อคิดเห็นหรือแสดงความ
คดิ เหน็ ทเี่ ป็นประโยชน์ เขยี นความยาวไมต่ า่ กวา่ 10 บรรทัด ลงในกระดาษที่แจกให้ ใชเ้ วลา 20 นาที
ภาพที่ 1 ภาพที่ 2
ภาพที่ 3
ชุดฝกึ ทักษะท่ี 3
เร่ือง การเขียนเร่ืองจากภาพ
ชื่อ-นามสกุล………………………………………………………..รหสั ประจาตวั ……………………………………………
กศน..ตาบล…………………………………..อาเภอ…………………………..จงั หวัด……………………………….
วันที่……………เดือน………………………………พ.ศ………………………….
ชือ่ เรื่อง……………………………………………………………………………………………………..
คาช้แี จง : ใหน้ กั ศึกษาเลือกภาพ จานวน 1 ภาพ แลว้ เขยี นเรื่องจากภาพ พร้อมต้งั ชื่อเรือ่ ง เนื้อหาสาระสอดคล้อง
กับภาพ การใช้ภาษาสอ่ื ความหมายไดถ้ ูกต้องเหมาะสมกับเรอื่ งสอดแทรกทศั นคติ ข้อคดิ เห็นหรือแสดงความ
คิดเห็นท่เี ป็นประโยชน์ เขียนความยาวไมต่ ่ากว่า 10 บรรทัด ลงในกระดาษที่แจกให้ ใช้เวลา 20 นาที
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบบันทกึ คะแนนการเขียนเร่อื งจากภาพ
กศน.ตาบล…………………......................................................ระดบั ……………………………….
ผลการประเมนิ
๑. การตง้ั ๒. การ ๓. การ ๔. การ ๕. การใช้ ๖. การเขียน
ชอื่ เรอ่ื ง เขยี นคา เขยี น เขยี น ภาษา สะกดคา รวม
ที่ ชือ่ - สกลุ (คะแนน นา เนื้อเรอ่ื ง สรุป (คะแนน (คะแนนเต็ม คะแนน
เต็ม (คะแนน (คะแนน (คะแนน เตม็ ๓ คะแนน)
๓ เตม็ ๓ เตม็ ๕ เต็ม ๔ ๒ คะแนน)
คะแนน) คะแนน) คะแนน) คะแนน)
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
หมายเหตุ
๑. ให้บนั ทึกคะแนนการเขยี นเรียงความของนักเรียนตามรายการประเมนิ เพอ่ื ใหร้ ้วู ่านักเรยี นมขี อ้ บกพร่อง
ในด้านใดสาหรับใช้ในการปรบั ปรงุ และพฒั นาการเขยี นของนกั เรียน
๒. วธิ กี ารบนั ทึก ให้ใส่คะแนนทไี่ ดต้ ามเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนในแตล่ ะรายการประเมนิ
ลงช่อื .................................................ผู้บันทกึ
(.........................................................)
........ / ........... / ..........
การแปลผลการประเมิน
ใหน้ าคะแนนจากการประเมนิ มาเทยี บกับเกณฑก์ ารประเมิน ดังน้ี
เกณฑข์ องระดับคะแนน ชว่ งคะแนน การแปลผล
รอ้ ยละ ๘๐ - ๑๐๐ ๑๖ - ๒๐ ดเี ย่ียม
รอ้ ยละ ๗๐ - ๗๙ ๑๑ - ๑๕ ดมี าก
ร้อยละ ๖๐ - ๖๙ ๖ - ๑๐ ดี
ร้อยละ ๕๐ - ๕๙ ๑–๕ พอใช้
บันทกึ ขอ้ ความ
ส่วนราชการ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอขนุ หาญ
ท่ี ศธ.0210.7005/๐๘๖๑ วนั ที่ ๒๓ เดอื น มนี าคม พ.ศ. 2564
เรือ่ ง รายงานการทาวจิ ัยในช้ันเรียน ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรยี น ผู้อานวยการศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญ
สง่ิ ท่สี ่งมาด้วย เล่มรายงานวจิ ัยเร่อื ง การพัฒนาทักษะการเขียนย่อความของนกั ศึกษาระดบั มธั ยมศึกษา
ตอนตน้ กศน.ตาบลโพธ์วิ งศ์ โดยใช้ชดุ ฝกึ ทกั ษะการเขยี นย่อความ จานวน 1 เล่ม
ขา้ พเจ้า นางสาวเพญ็ พกั ตร์ สายสมบตั ิ ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบลโพธ์ิ สังกัด ศูนยก์ ารศกึ ษา
ตามอัธยาศัยอาเภอขุนหาญได้จัดการเรียนการสอนนักศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน 6๖
คน พบว่าปัญหาของผู้เรียนพบว่านักศึกษายังขาดความสามารถด้านการเขียน โดยเฉพาะการเขียนย่อความ
เท่าที่ควร นักศึกษาเขียนย่อความไม่ถูกต้องตามหลักการเขียนย่อความ ไม่มีการเกริ่นนา และจับประเด็นใน
การเขียนไม่ถูก การเขียนเน้ือหายังวกวนและไม่มีประสิทธิภาพ การสรุปเรื่องยังไม่ถูกต้องและไม่ตรงประเด็น
การวางรูปแบบของการเขียนย่อความยังไม่ถูกต้อง นักเรียนส่วนใหญ่ลอกเน้ือหาจากหนังสือหรือต้นฉบับมา
เขียนมากกว่าย่อเอาใจความสาคัญหรอื จับใจความสาคัญ กศน.ตาบลโพธ์ิวงศ์ จึงได้จัดทาศึกษาปัญหาการการ
เขยี นยอ่ ความของนักศกึ ษาระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลโพธวิ์ งศ์ เพ่ือช่วยแก้ปัญหาดังกลา่ ว
บัดนี้ ได้ดาเนินการเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานการทาวิจัยในช้ันเรียน ภาคเรียนท่ี 2
ปีการศึกษา 2563 ดังเอกสารที่แนบมาพร้อมน้ี
จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดทราบ
(นางสาวเพญ็ พักตร์ สายสมบัต)ิ
ครู กศน.ตาบล
ทราบ
(นางวาสนา ชารวี นั )
ผู้อานวยการ กศน.อาเภอขนุ หาญ