The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวข้อสอบเคมีชุดที่ 2 รวม PAT 2 และ 9 สามัญ (อัพเดต)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bestfxmn, 2022-12-07 12:15:14

แนวข้อสอบเคมีชุดที่ 2 รวม PAT 2 และ 9 สามัญ (อัพเดต)

แนวข้อสอบเคมีชุดที่ 2 รวม PAT 2 และ 9 สามัญ (อัพเดต)

แนวข้อสอบวชิ าเคมีฉบบั ท่ี 2

PAT 2 ตุลาคม พ.ศ.2555

1) ธาตสุ มมติ A , B , C และ D มสี มบตั ิเปน็ อโลหะ โดยท่ธี าตุ A และ B อยหู่ มู่เดียวกัน ธาตุ C และ D
อยู่หมูเ่ ดียวกนั พบว่าสารประกอบระหวา่ งธาตุ A และ B และ สารประกอบระหวา่ งธาตุ C และ D มี
รูปร่างโมเลกลุ ดงั ขอ้ มูลในตาราง

สารประกอบ รูปร่างโมเลกุล สารประกอบ รปู ร่างโมเลกุล
AB3 รูปตวั ที CD2 มมุ งอ
AB4 CD3
AB5 ทรงส่หี น้าบดิ เบ้ียว CD32- สามเหลีย่ มแบนราบ
พีระมดิ ฐานสเ่ี หลย่ี ม พีระมดิ ฐาน
AB6+ CD42- สามเหลย่ี ม
ทรงแปดหนา้ ทรงสหี่ น้า

จากข้อมูลขา้ งตน้ ขอ้ ใดผดิ
1. ธาตุ A และ B อยใู่ นหมู่ 7
2. ขนาดของอะตอม A ใหญ่กวา่ อะตอม B
3. คา่ อเิ ลก็ โทรเนกาวติ ีของ C นอ้ ยกวา่ D
4. จานวนอเิ ลก็ ตรอนรอบอะตอม C มีคา่ เกนิ ออกเตดไมไ่ ด้

Page |1


2) พิจารณาขอ้ มูลตอ่ ไปนีเ้ กย่ี วกบั ธาตสุ มมติ A, B, C และ D
ธาตุ สมบตั ิ
A อยู่ในคาบเดยี วกันกับธาตุ B และสารประกอบระหวา่ ง ธาตุ A และธาตุ
B เป็นสารประกอบไอออนกิ ท่ีมีสตู รเปน็ AB
B มีสถานะเป็นแกส๊ ที่อณุ หภมู หิ ้อง และอยู่หมเู่ ดยี วกันธาตุ
C สารประกอบระหวา่ งธาตุ C และ ธาตุ D มสี ตู รเปน็ CD3 และธาตุ C
เปน็ ธาตทุ มี่ ขี นาดเลก็ ทีส่ ดุ
D เปน็ ธาตทุ ่ีอย่ใู นลกั ษณะโมเลกลุ มสี ถานะเปน็ แก๊สที่อณุ หภมู หิ อ้ งและมี
ความสามารถในการรบั อเิ ลก็ ตรอนไดด้ ที ี่สุดในตารางธาตุ

จากขอ้ มูลในตาราง เลขอะตอมของธาตุ A, B, C และ D เป็นเทา่ ใด
1. A = 11, B = 17, C = 5, D = 9
2. A = 3, B = 9, C = 5, D = 17
3. A = 3, B = 9, C = 5, D = 17
4. A = 11, B = 17, C = 13, D = 9

Page |2


3) พจิ ารณาโครงสรา้ งของสารประกอบออกไซดข์ องธาตสุ มมติ A,B,C และ D ซง่ึ เปน็ ธาตุในคาบที่ 3 ใน
ตารางตอ่ ไปน้ี

ออกไซด์ของธาตุ รายละเอียดของโครงสรา้ ง
A A แตล่ ะตวั มี O ล้อมรอบ 4 ตวั และ O แต่ละตวั มี A ลอ้ มรอบ 2 ตัว
B B แต่ละตวั มี O ลอ้ มรอบ 6 ตวั และ O แต่ละตวั มี B ล้อมรอบ 4 ตัว
C C แต่ละตวั มี O ลอ้ มรอบ 4 ตวั และ O แต่ละตวั มี C ลอ้ มรอบ 8 ตัว
D D แตล่ ะตวั มี O ลอ้ มรอบ 6 ตวั และ O แตล่ ะตวั มี D ลอ้ มรอบ 6 ตัว

หมายเหตุ มธี าตุ 3 ตัวเปน็ โลหะ และ ธาตุ 1 ตวั เปน็ อโลหะ

จากข้อมูลในตาราง ข้อใดถกู ตอ้ ง

1. ขนาดของ A > B > C > D 2. ความสามารถในกรรับอิเลก็ ตรอน A > B > C > D

3. คา่ ของพลังงานไอออไนเซชนั อนั ดับ 1 ของ D > C > B > A

4. เลขออกซเิ ดชนั ของ A , B , C และ D ในสารประกอบออกไซด์เหลา่ นีเ้ ป็น +2 , +3 , +4 และ +1
ตามลาดบั

Page |3


4) จากการศกึ ษาสารประกอบเชงิ ซอ้ นชนดิ หนึ่งพบวา่ 1 โมเลกลุ ประกอบดว้ ย Co(III) 1 ไอออน ,
Br 3 ไอออน และ H2O 6 โมเลกลุ สารนีเ้ กดิ ไอโซเมอรข์ ึ้นหลายไอโซเมอร์ โดยบางไอโซเมอร์ H2O
ทาหนา้ ทเี่ ปน็ หมู่ที่มาลอ้ มรอบ เชน่ [Co(H2O)6]Br3
บางไอโซเมอร์ H2O ทาหนา้ ที่เปน็ นา้ ผลกึ เชน่ [CoBr3(H2O)3] . 3H2O H2O ทอี่ ยู่นอกวงเลบ็ ทา
หนา้ ที่เปน็ นาผลกึ ) โดยน้าผลกึ นีจ้ ะถูกทาให้ระเหยไปทอ่ี ณุ หภูมนิ ี้ นกั เรยี นคนหนง่ึ ทาการสังเคราะห์
สารประกอบเชิงซ้อนนี้พบวา่ ของผสมของไอโซเมอรต์ ่างๆ โดยใช้เทคนคิ ทางเคมี นักเรยี นคนนี้พยายาม
ทาการวเิ คราะห์เบอ้ื งตน้ เก่ียวกับสตู รของไอโซเมอรแ์ ต่ละชนดิ โดยใชอ้ ปุ กรณ์ทไี่ มซ่ บั ซ้อน วธิ กี ารใด
ตอ่ ไปนี้เหมาะสมท่สี ดุ

1. โครมาโทกราฟี 2. กรอง 3. การใหค้ วามรอ้ น 4. การตกผลกึ

5) จากการศกึ ษาสมดุลของปฏิกริ ิยาระหวา่ งสาร A กับ สาร B ไดผ้ ลติ ภัณฑ์เปน็ AB พบว่าไดข้ ้อมูล
ดงั ตาราง

การทดลองที่ ความเข้มข้นเริม่ ตน้ (M) ความเขม้ ข้นท่สี มดุล (M)
A B AB2
1 A B AB2 0.5 1 x 10-5 0.5
2 1 10 x 11
3 y 22
1 30

0 22

จากข้อมลู ขา้ งตน้ ขอ้ ใดผดิ
1. x = 1 × 10-10 , y = 0.5 x 10-10
2. คา่ คงทขี่ องสมดุลการสลายตัวของการสลายตวั AB2 มคี ่าเท่ากบั 1 × 10-10
3. ถา้ ความเข้มข้นเร่ิมตน้ ของสาร A มากกว่าสาร B ทีส่ มดลุ จะมีสาร A และ B เหลอื อย่เู ล็กนอ้ ย

4. ถา้ ความเขม้ ข้นเริ่มต้นของสาร A และ B เปน็ 1 และ 2 M ตามลาดบั ทสี่ มดลุ จะมสี าร A และ B
เหลอื อย่นู อ้ ยมาก

Page |4


6) นากรดออ่ น H2A ปรมิ าตร 20 cm3 มาไทเทรตกบั สารละลายเบส 2 ชนิดคือ NaOH และ Ba(OH)2
เข้มขน้ 0.8 M เทา่ กนั พบวา่ ไดข้ อ้ มลู ดังตาราง

ชนิดของสารละลาย เบสทใี่ ช้ ผลของการไทรเทรต

NaOH พบวา่ จดุ สมมูลท่ี 1 ใชส้ ารละลายเบสไป 20 cm

และ pH ท่ีจุดสมมลู นเี้ ทา่ กบั 4.7
พบว่าท่ีจดุ สมมลู ท่ี 2 ใช้สารละลายเบสไป 20 cm3
Ba(OH)2
และ pH ทีจ่ ุดสมมูลมคี า่ เทา่ กบั 11.3

(กาหนดให้ log 2 = 0.3 , log 3 = 0.5) คา่ Ka2 ของกรดนม้ี ีคา่ เทา่ ใด

1. 1 x 10-9 2. 2 x 10-12 3. 2 x 10-5 4. 1 x 10-5

7) พจิ ารณา pH ของสารละลายเกลือโซเดียมเข้มขน้ 1 M ของกรดอ่อน HA , HB , HC และ HD ใน
ตารางตอ่ ไปนี้

สารละลายเกลอื pH

NaA 9.7

NaB 11

NaC 11.3

NaD 12

จากขอ้ มลู ข้างตน้ ขอ้ ใดถกู (กาหนดให้ log2 = 0.3 , log3 = 0.5)

1. คา่ ของ Ka ของ HA มคี า่ นอ้ ยที่สดุ 2. คา่ ของ Ka ของ HD มคี ่ามากกว่า 2 × 10-9

3. สารละลายของกรดอ่อน HB 0.25 M แตกตัวเปน็ ไอออนได้ร้อยละ 0.02
4. ไทเทรตสารละลายกรดออ่ น HC 0.5 M ปรมิ าตร 20 cm3 กบั สารละลาย NaOH 0.5 M ได้ pH ท่ี

จดุ สมมลู เทา่ กบั 11.3

Page |5


8) จากการศกึ ษาอัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาหน่ึงพบวา่ ไดข้ อ้ มลู ดังตาราง

การทดลองท่ี ความเขม้ ขน้ ทเ่ี วลาเริม่ ตน้ (M) ความเข้มข้นทเี่ วลา 2 นาที (M)
[A] [B] [C] [A] [B] [C]
1 10 10 0 8 93
2 20 10 0 16 8 6
3 10 20 0 8 19 3

จากการทดลองขา้ งตน้ ข้อใดผดิ

1. อตั ราการหายไปของสาร A = 2 เทา่ ของอตั ราการหายไปของสาร B

2. การเพม่ิ ความเขม้ ขน้ ของสาร B ไมม่ ผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยา

3. ถ้าอตั ราการหายไปของ B ในชว่ งเวลาหน่ึงมีค่าเทา่ ดบั 2 M / นาที อตั ราการเกดิ C จะมคี ่าเปน็
6 M/นาที

4. ถา้ ความเข้มขน้ เร่ิมต้นของสาร A และ B เป็น 30 M และ 20 M ตามลาดบั อตั ราการหายไปของ
สาร A ในชว่ งเวลา 0 – 2 นาที มีคา่ เทา่ กบั 3.5 M/นาที

9) ปฏกิ ริ ิยาหนึง่ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าใน 2 ขนั้ ตอนดงั น้ี
A + B ⇄ AB Ea = 50 kJ/mol
AB + B → C Ea = 1000 kJ/mol

จากขอ้ มลู นี้ ข้อใดผดิ
1. สมการทดี่ ุลแล้วของปฏกิ ริ ิยาน้ี คอื A+2B → C
2. ปฏิกริ ยิ าน้ีเปน็ ปฏกิ ริ ยิ าคายความร้อนเสมอ
3. พลงั งานกระตนุ้ ของ A + B ⇆ AB มีค่าใกลเ้ คียงกบั AB ⇄ A+B
4. AB ไมใ่ ชส้ ารผลติ ภัณฑ์ทแ่ี ทจ้ รงิ ของปฏกิ ริ ิยานี้

Page |6


10) ออกไซดข์ องไนโตรเจนมหี ลายชนิด และพบวา่ NO และ NO2 เกิด dimerization ได้ดงั สมการ
2NO ⇄ N2O2
2NO2 ⇌ N2O4

ข้อใดไมเ่ กย่ี วข้องกับสาเหตขุ องการเกดิ dimerization ของสารประกอบทงั้ สองนี้

1. ทาใหโ้ มเลกุลเสถยี รขนึ้ 2. ทาใหโ้ มเลกุลมสี ภาพขั้วลดลง

3. ทาให้ N มจี านวนอเิ ล็กตรอนครบออกเตต 4. มีอเิ ลก็ ตรอนเดย่ี วที่ N ในสารประกอบท้งั สองชนดิ

11) ของผสมระหว่าง BaCl2 ,NaCl และ Ba(NO3)2 หนกั 19 กรมั ถกู นามาละลายในนา้ แลว้ ทาให้
สารละลายมีปรมิ าตร 100 cm3 แบง่ สารละลายออกเปน็ 2 สว่ นเทา่ ๆ กันแล้วนาไปทาการทดลองดงั น้ี

I. นาสารละลายส่วนที่ 1 ไปหยดสารละลาย H2SO4 เข้มขน้ 1 M ปริมาณมากเกนิ พอไดต้ ะกอนขาว
หนัก 3.495 กรัม

II. นาสารละลายสว่ นท่ี 2 ไปหยดสารละลาย AgNO3 เขม้ ขน้ 1 M ปรมิ าตร 110 cm3
จะเกดิ ตะกอนขาวอย่างสมบูรณ์

จากขอ้ มูลข้างต้น มี BaCl2 , NaCl และ Ba(NO3)2 อย่างละกโี่ มลในของผสมหนัก 190 กรมั

(มวลอะตอม : N = 14 , O = 16 , Na = 23 , S = 32 , Cl = 35.5 , Ag = 108 , Ba = 137)

1. 0.01 , 0.2 , 0.02 2. 0.05 , 1 , 0.1

3. 0.1 , 2 , 0.2 4. 0.2 , 4 , 0.4

Page |7


12) จากการศกึ ษาสมดุลของปฏกิ ิรยิ า A (g) + 3B (g) ⇄ 2C (g) ไดข้ อ้ มลู ดังนี้

I. ทาการทดลองในภาชนะทีม่ ปี ริมาตร 10 cm3 , อุณหภูมิ 300 K

II. ความดันเร่มิ ตน้ ของแกส๊ A , B , C เปน็ 200 , 500 , 0 mmHg

III. หลงั จากเกิดปฏิกิริยาจนเข้าสู่สมดลุ พบวา่ ที่สมดลุ ความดนั รวมของแกส๊ เปน็ 500 mmHg

จากข้อมูลนี้ ถ้าความดนั เรม่ิ ตน้ ของแกส๊ A , B , C เปน็ 600, 800 , 0 mmHg ตามลาดับ

หลงั จากเกดิ ปฏกิ ิริยาจนเขา้ สู่สมดลุ พบวา่ ทส่ี มดุลความดันรวมของแก๊สเปน็ เท่าใดในหนว่ ย mmHg

1. 1400 2. 1200 3. 1000 4. 800

13) พจิ ารณาสมบตั ขิ องไอโซโทปกมั มนั ตรังสีในตารางตอ่ ไปน้ี

ไอโซโทป ครงึ่ ชวี ติ นาหนักหลงั จากทงิ ไว้ 8 วนั

กัมมันตรังสี (วัน) (กรัม)

A8 6.25

B4 6.25

C2 6.25

D1 6.25

จากขอ้ มลู ในตาราง นา้ หนักเรมิ่ ตน้ ในหนว่ ยกรมั ของ A, B, C, D เป็นเทา่ ใด

1. 12.5 , 25 , 50 , 800 2. 12.5 , 25 , 75 , 800

3. 12.5 , 25 , 100 , 800 4. 12.5 , 25 , 100 , 1600

Page |8


14) ใส่นา้ มันพืชทีใ่ ชแ้ ลว้ สดี าปริมาตร 20 cm3 ในบกี เกอร์ 250 cm3 แลว้ เตมิ เมทานอลลงไป 50 cm3
จากนน้ั เตมิ เกลด็ โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ 5 g แลว้ คนสารใหเ้ ขา้ กนั ต้มปรมิ าณ 20 นาที แลว้ ทงิ้ ไวใ้ ห้
เยน็ จะสงั เกตเห็นสงิ่ ใดต่อไปนี้

1. จะเหน็ บกี เกอร์วา่ งเปลา่ 2. จะเหน็ ไขลอยอยเู่ หนอื ของเหลว

3. จะเหน็ ของเหลวแยกชนั้ 2 ช้ันอย่างชดั เจน 4. จะเหน็ ของเหลวใสไม่มีสแี ละมขี องแข็งสขี าวเกดิ ขน้ึ

15) เม่อื นา้ มนั พชื แต่ละชนดิ ชนดิ ละ 10 cm3 ใส่ลงในบกี เกอรข์ นาด 50 cm3 แล้วนาไปอนุ่ ให้รอ้ น
จากนนั้ หยดทงิ เจอร์ไอโอดีนลงในน้ามนั ทลี ะหยด จนกระทัง้ สไี ม่เปลย่ี น นา้ มนั พืชชนดิ ใดใชท้ งิ เจอร์
ไอโอดีนมากทส่ี ดุ

ชนิดนามนั กรดลอริก ปรมิ าณกรดไขมนั ชนิดตา่ งๆในนามันพชื (รอ้ ยละ)
กรด กรด กรด กรด กรด กรด
น้ามนั มะพรา้ ว 44
นา้ มนั ถว่ั ลิสง 0 ไมรสี ตกิ ปาล์มติ ิก สเตียริก โอเลอิก ไลโนเล ไล
นา้ มนั ราข้าว 0 อิก โนเลนิ
นา้ มนั ถวั่ เหลือง 0
23 14 40 4 2 0
0 13 41 4 37 2
0 18 40 2 32 1

0 10 3 26 47 6

1. นา้ มนั มะพร้าว 2. นา้ มนั ถว่ั ลสิ ง 3. นา้ มนั ราข้าว 4. นา้ มนั ถว่ั เหลือง

Page |9


16) ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) เป็นสารท่สี ลายตวั ไดเ้ องใหน้ า้ และแก๊สออกซเิ จน การเติมสารใด
ต่อไปน้ี จะใหไ้ ฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตวั เร็วท่สี ดุ

1. เหลก็ 2. ตับบด 3. ทราย 4. หนิ ปนู

17) พิจารณาการเกดิ พอลเิ มอร์

“อีทนี กบั อที นี ต่อกบั อที นี เป็นสายยาวจะได้พอลิอที ีน ถา้ การจับกนั ของอีทนี (C2H4) เหมือนกับ
การจับมือคู่กนั ระหวา่ งหนสู องตวั เพศเดยี วกนั จากนนั้ ปล่อยมอื ข้างหนง่ึ แล้วนามือซา้ ยของหนูคแู่ รกไป
จับกับมอื ขวาของหนู คทู่ ่สี อง จะไดพ้ อลิเมอรข์ องหนูเพศเดียวกันดังภาพ

ถา้ เปรยี บพันธะคขู่ องโพรพนี (CH2 = CHCH3) เหมอื นกบั การจบั มือคกู่ นั ระหว่างหนตู วั เมยี กับหนตู ัวผู้
ถ้ามหี นทู ัง้ หมด 5 คู่ การปลอ่ ยมอื ขา้ งใดขา้ งหนึง่ ของหนู แตล่ ะคแู่ ลว้ ไปจบั มือหนคู ถู่ ดั ไป
จะได้พอลเิ มอรข์ องหนตู า่ งเพศกันท่ีไมเ่ ปน็ วงกแี่ บบ กาหนดใหพ้ อลเิ มอร์ของหนูสลบั กนั นี้ หนตู วั ผยู้ นื
สลบั กบั หนตู วั เมยี เทา่ น้นั

1. 1 2. 10 3. 20 4. 32

18) อนุภาคนาโนของโลหะผสมระหว่างทองและแพลลาเดียมเป็นตวั เร่งปฏกิ ิรยิ าในการเปล่ียนคลอโร
เบนซีนเปน็ ไบฟนี ิล (C6H5 – C6H5) ทอี่ ณุ หภมู หิ ้อง โดยตัวเรง่ ปฏกิ ริ ิยาตวั น้สี ามารถสลายพันธะ
คาร์บอนกบั คลอรีนแล้วสร้างพันธะระหวา่ งคารบ์ อนกบั คาร์บอนได้ ถา้ นาอนุภาคนาโนของโลหะผสมน้ี
มาทาปฏิกริ ิยากบั 1,4 – ไดคลอโรเบนซนี จะไดส้ ารใดเปน็ ผลิตภณั ฑ์

1. พอลิไดคลอโรเบนซนี 2. พอลพิ าราฟนี ลิ ีน 3. พอลไิ ดเบนซนี 4. พอลิไดคลอรีน

P a g e | 10


19) สารใดไม่ใช่สารกาจดั HF ในกระบวนการผลิตปุย๋ ฟอสเฟต

1. ซลิ ิกา 2. หนิ ปนู 3. โซดาแอช 4. อะลูมนิ า

20) ช่ังเฟอรัสแอมโมเนียมซลั เฟต 2 g ลงในบกี เกอร์จากนน้ั เตมิ นา้ กลนั่ 50 cm3 แลว้ เตมิ กรดออกซาลิก
0.65 g จะได้ตะกอนสเี หลอื ง จากนนั้ นาบกี เกอรแ์ ช่ในนา้ แขง็ จากน้ันเตมิ ไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ จะได้
ตะกอนสเี หลอื งเขยี ว ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ ง

1. ถ้าตอ้ งการทราบวา่ Fe(II) เหลือในปฏกิ ริ ิยาหรอื ไมใ่ หเ้ ตมิ สารละลายโพแทสเซียม
เฮกซะไซยาโนเฟอเรต (III)

2. ตะกอนสเี หลอื งเขียวเปน็ ไตรออกซาเลตไอร์ออน (II) ไอออน

3. การแช่บกี เกอร์ในนา้ แข.็ ก่อนเติมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพ่อื ลดความรนุ แรงของปฏกิ ิรยิ า

4. ปฏิกริ ิยานีเ้ กดิ ขน้ึ ไดด้ ีท่ี pH 1

21) ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ งเกี่ยวกับเซลลเ์ ชอื้ เพลิงแบบเมมเบรนแลกเปลี่ยนโปรตอนและเซลลเ์ ช้อื เพลิงแบบ
เบส

1. เซลล์เชอ้ื เพลงิ แบบเมมเบรนแลกเปลยี่ นโปรตอนใชโ้ ปรตอนเป็นเช้อื เพลิง ในขณะทเ่ี ซลลแ์ บบเบส
ใช้ไฮดรอกไซดเ์ ปน็ เชือ้ เพลิง

2. โปรตรอนเคลื่อนท่จี ากขว้ั ลบไปยงั ขวั้ บวกในเซลลเ์ ชอ้ื เพลงิ แบบเมมเบรนแลกเปลีย่ นโปรตอนใน
ขณะท่ไี ฮดรอกไซด์

3. เซลลเ์ ชอื้ เพลงิ แบบเมมเบรนแลกเปลี่ยนโปรตอนใช้โลหะนกิ เกลิ เป็นตวั เรง่ ปฏิกริ ยิ าในขณะทเี่ ซลล์
แบบเบสใชโ้ ลหะแพลทินัมเปน็ ตวั เร่งปฏิกริ ิยา

4. เซลล์เชอื้ เพลงิ แบบเมมเบรนแลกเปล่ยี นโปรตอนไดน้ า้ เปน็ ผลิตภัณฑ์ทข่ี ้วั แอโนดในขณะท่เี ซลลแ์ บบ
เบสได้น้าเปน็ ผลิตภัณฑ์ที่ขวั้ แคโทด

P a g e | 11


22) จัดอุปกรณเ์ พื่อเตรยี มสารฟอกขาว ดังรปู

เม่อื หยดกรดไฮโดรคลอรกิ เขม้ ขน้ ลงในโฑแทสเซยี มเปอรแ์ มงกาเนต จะเกดิ แกส๊ คลอรนี เมอ่ื ผา่ น
แกส๊ คลอรนี ลงในสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ จะไดโ้ ซเดยี มไฮโปคลอไรด์ เน่ืองจากปฏิกริ ยิ าการเกดิ
โซเดียมไฮโปคลอไรด์เปน็ ปฏิกริ ยิ าคายความรอ้ นเพือ่ ไมใ่ หม้ กี ารสลายตวั ใหค้ ลอไรต์ และแกส๊ ออกซเิ จน
หากนากรดไฮโดรคลอรกิ ทมี่ ไี อโซโทปกัมมนั ตรงั สีของคลอรีน เชน่ H36 Cl มาใชแ้ ทน จากนนั้ วดั
กมั มันตภาพรังสที ่ีหลอดทดลองบรรจุสารละลาย โซเดียมไฮดรอกไซดท์ แี่ ชก่ บั ที่ไม่แช่ในนา้ แขง็
กัมมนั ตภาพรงั สีในทงั สองการทดลอง จะเปน็ อยา่ งไร
1. หลอดทแ่ี ชใ่ นนา้ แขง็ มกี มั มนั ตภาพรงั สีมากกวา่ หลอดทไ่ี ม่ใชใ่ นนา้ แข็ง
2. หลอดทแ่ี ช่ในนา้ แขง็ มีกมั มนั ตภาพรงั สเี ทา่ กับหลอดทไ่ี ม่แช่ในน้าแขง็
3. หลอดที่แช่ในน้าแขง็ มีกมั มันตภาพรงั สีนอ้ ยกว่าหลอดทไี่ ม่แชใ่ นนา้ แขง็
4. เปรียบเทียบไม่ได้

P a g e | 12


23) ปนู ขาวมคี วามสามารถในการละลายนา้ ดังน้ี

0.189 g / 100 cm3 (0 oC)

0.173 g / 100 cm3 (20 oC)

0.066 g / 100 cm3 (100 oC)

ในการศกึ ษาการละลายของปนู ขาวท่ีมอี ุณหภูมิ 70 oC ทาไดโ้ ดยนาปูนขาวมาละลายน้าทอ่ี ณุ หภูมิ
น้ี จนเหน็ ตะกอนของปนู ขาว จากน้นั ทาการทดลองเพือ่ กาจดั ปูนขาวทไี่ มล่ ะลายออกในการกรอง จะพบั
กระดาษกรอง 2 แบบ คือ แบบไม่จบี และแบบจบี จากนน้ั นาปูนขาวทลี่ ะลายนา้ ไปไทเทรตดว้ ย
สารละลายไปไทเทรตดว้ ยสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ทท่ี ราบความเขม้ ขน้ การกรองทง้ั 2 แบบจะใช้
สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ อย่างไร

1. เท่ากนั 2. แบบจบี ใชส้ ารละลายกรดไฮโดรคลอดรกิ มากกว่าแบบไมจ่ ีบ

3. แบบไมต่ บี ใช้สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ มากกวา่ แบบจบี

4. เปรยี บเทยี บกนั ไม่ได้

P a g e | 13


24) ถ้านาอปุ กรณว์ ัดแสงมาวางด้านซา้ ยของภาพ โดยค่าการนาไฟฟา้ มคี วามสัมพนั ธ์กบั ความเขม้ แสง
ถ้าแสงมีความเข้มมาก คา่ การนาไฟฟา้ จะมากดว้ ย

ถา้ นานมสดใส่บกี เกอร์ จากนัน้ วัดความเขม้ แสงที่ตกกระทบกบั อุปกรณ์วดั แสง ไดค้ า่ X จากนั้นใสน่ า้
ปนู ใสลงไปในบกี เกอร์ที่มนี มสด แลว้ วดั ความเข้มแสงทต่ี กกระทบที่อุปกรณ์วดั แสงไดค้ ่า Y ในอกี
บกี เกอรห์ นึง่ นานมสดชนดิ เดยี วกนั ใส่ลงบกี เกอร์ จากนน้ั ใส่กรดอะซติ กิ ลงไป แล้ววดั ความเข้มแสงทตี่ ก
กระทบทอี่ ปุ กรณ์วดั แสงไดค้ า่ Z จงเปรยี บเทียบค่า X , Y และ Z

1. X > Y > Z 2. Y > Z

3. X < Z 4. X = Y = Z

25) นาลโิ มนนิ (C10H16) มาทาปฏิกิริยากบั กรดไตรฟลอู อโรอะซตี กิ แลว้ ทาปฏิกริ ิยาต่อเน่ืองกบั
สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ได้ผลิตภัณฑอ์ นิ ทรียท์ ี่ทาปฏกิ ิริยากบั โลหะโซเดียมได้ในสภาวะทไ่ี ม่
รนุ แรง โครงสรา้ งใดทเี่ ปน็ ได้สาหรับผลติ ภัณฑน์ ้ี

P a g e | 14


Entrance มีนาคม 2543

ตอนท่ี 2 ขอ้ 1 – 5 แบบอัตนยั

1) ของผสม A ประกอบดว้ ยแมกนีเซยี มไนเตรดและดนิ ประสวิ ในจานวนโมลเทา่ กนั นาของผสม A มา
เผาอย่างระมดั ระวงั แล้วผ่านแก๊สทเี่ กดิ ขน้ึ ทงั้ หมดลงในสารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซดท์ ม่ี ากเกินพอ
หลังจากเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าสิน้ สดุ ยังคงเหลือแกส๊ อยู่ 4.48 dm3 ท่ี STP ถา้ ปฏิกิริยาทเี่ กดิ ขนึ้ ในแตล่ ะขั้นตอน
เปน็ ดังน้ี

2KNO3 → 2KNO2 + O2
2Mg(NO3)2 → 2MgO + 4NO2 + O2
4NaOH + 4NO2 + O2 → 4NaNO3 + 2H2O
มวลของแมกนเี ซยี มไนเตรดในของผสม A จะมกี ่กี รมั

P a g e | 15


2) ฟอสฟอรัสทาปฏกิ ริ ิยาพอดกี ับแกส๊ คลอรนี พบว่าไดผ้ ลติ ภณั ฑ์เปน็ PCl3 ถา้ ตอ้ งการได้ PCl3 825
กรัมจะตอ้ งใช้แกส๊ คลอรนี กล่ี กู บาศกเ์ ดซิเมตรท่ี STP

3) ผสมสารละลาย NaCl เขม้ ขน้ 5 mol.dm-3 ปรมิ าตร 200 cm3 กบั สารละลาย NaCl เขม้ ขน้ 1
mol.dm-3 ปรมิ าตร 150 cm3 เขา้ ด้วยกนั ถ้าตอ้ งการสารละลาย NaCl ท่มี คี วามเขม้ ขน้ 2.0 mol.dm-3
พอดี จะตอ้ งเตมิ สารละลาย NaCl ทมี่ คี วามเขม้ ขน้ 0.2 mol.dm-3 ลงไปอกี ก่ีลูกบาศก์เซนติเมตร

4) สมดลุ I2 (g) + Br2 (g) ⇌ 2IBr (g) มีคา่ คงที่สมดลุ K = 256 ท่ี 150 oC ถา้ เรม่ิ ด้วย I2 และ Br2
ปริมาณเท่ากบั ในภาชนะท่ีปดิ สนทิ ที่ 150 oC ณ สมดลุ มี IBr (g) อยู่ 4.0 mol.dm-3 จงคานวณหาความ
เขม้ ขน้ ของ I2 (g) ทเี่ หลือในหนว่ ย mol.dm-3

P a g e | 16


5) ถ้าวางไอโซโทปกัมมนั ตรงั สชี นดิ หน่ึง 4.8 g ไวเ้ ปน็ เวลา 24 วนั พบวา่ มไี อโซโทปชนดิ นน้ั เหลืออยู่
0.6 g ถ้าเรม่ิ ตน้ จากไอโซโทปชนดิ เดยี วกนั น้ี X g ตั้งทิ้งไว้ 40 วนั พบว่าเหลือไอโซโทปชนดิ น้ี 0.55 g
X มีค่ากกี่ รมั

Entrance ตลุ าคม 2543

ตอนท่ี 2 ข้อ 1 – 4 แบบอตั นยั

1) X และ Y เป็นธาตุ 2 ชนดิ หนึง่ โมเลกุลของ X มี 4 อะตอม และมมี วลโมเลกลุ 124
หน่ึงโมเลกลุ ของ Y มี 2 อะตอม และมมี วลโมเลกลุ 32 XY43- 1.505 x 1023 ไอออนคดิ เปน็ กีก่ รัม

2) ในการสงั เคราะหแ์ สงของสาหรา่ ยสีเขียวพบวา่ ใช้ CO2 6 × 10-3 mol/hour ถา้ การสงั เคราะห์
สังเคราะหแ์ สงใหผ้ ลติ ภัณฑ์เป็นแปง้ (C6H10O5)n เท่าน้นั จะตอ้ งใชเ้ วลากี่ชว่ั โมงในการสงั เคราะหแ์ สง
เพอื่ ให้ไดแ้ ปง้ หนัก 1.62 กรมั

P a g e | 17


3) สารประกอบชนดิ หน่ึงประกอบดว้ ย C H และ O มี C ร้อยละ 39.13 และ O รอ้ ยละ 52.17
สารประกอบน้ีมีสตู รเอมพิรคิ ลั และสตู รโมเลกลุ เหมอื นกนั เมอื่ นาสารประกอบนห้ี นกั 6.90 g ละลายใน
เอทานอลจานวนหนง่ึ หาจดุ เดอื ดของสารละลายได้ 80.94o C
ถ้าจุดเดือดของเอทานอลเทา่ กบั 78.50○C และคา่ ของ Kb ของเอทานอลเทา่ กบั 1.22 oC mol-1kg-1
จงหาน้าหนกั เปน็ กรมั ของเอทานอลในสารละลาย

4) สารอินทรียช์ นดิ หนง่ึ มีธาตุ N เป็นองคป์ ระกอบ เมอ่ื สลายสารอนิ ทรียน์ ้ี 1.5 g แล้วผ่านแกส๊ NH3 ท่ี
ได้ลงในสารละลาย HCl เขม้ ขน้ 0.15 mol dm-3 ปริมาตร 50 cm3 นาสารละลายที่ไดไ้ ทเทรตด้วย
สารละลายมาตรฐาน NaOH เข้มขน้ 0.10 mol dm-3 ปรากฏวา่ ใชไ้ ป 30 cm3 จงหารอ้ ยละโดยมวล
ของไนโตรเจนในสารอนิ ทรยี ์

P a g e | 18


Click to View FlipBook Version