คุณค่าวรรณศิ ลป์
นิ ราศเมืองแกลง
จัดทำโดย นางสาวมณฑริกา ช่วยจันทร์ ม.5/10 เลขที่ 25
คุณค่าด้านวรรณศิ ลป์
ใช้ถ้อยคำ ที่สั้น ง่าย กระชับและเห็นภาพ ใช้เสียงของถ้อยคำให้เกิดอารมณ์
การเล่นคำ พลิกแพลงคำ ใช้คำพ้องรู ป พ้องเสียง ให้ได้เสียงอ่อนหวาน การซ้ำเสียง
การใช้โวหาร มีการสื่ อสารได้อย่างลึกซึ้ง สามารถสรุ ปได้ดังนี้
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรือง ๑.) ใช้โวหารภาพพจน์ อุปลักษณ์
แลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา ดังบทประพันธ์ที่ได้ยกมา โดยได้มีการใช้
เป็ นห่วงหนึ่ งถึงชนกที่ปกเกล้า คำว่า ดวงกานดา แทน นางอันเป็ นที่รัก
จะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา
ทงั้ จากแดนแสนห่วงดวงกานดา
โอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง
กระแสชลวนเชี่ ยวเรือเลี้ยวลด แสดงให้เห็นถึงการเปรียบลำธารหรือสายน้ำที่
ดู ค้ อ ม ค ด ข อ บ คุ้ ง ค ง ค า ไ ห ล คดเคี้ยวเป็ นสเมือนกับใจของคนที่ไม่เที่ยงหรือ
แต่สาชลเจียวยังวนเป็ นวงไป ซื่ อตรงเสมอไป
นี่ หรือใจที่ จะตรงอย่างสงกา
๒.) การเล่นคำและเล่นความ
ถึงสามปลื้มพี่นี้ ร่ำปล้ำแต่ทุกข์ จากบทประพันธ์ที่ยกมา แสดงให้เห็นการ
สุ ดจะปลุกใจปลื้มให้ ลืมหลัง
เล่นคำ คำว่า “ปลื้ม” เป็ นการพลิกแพลงคำ ซึ่ง
ในบรรทัดที่๑ ต้องการจะสื่ อถึง สามปลื้ม หรือ
แหล่งขายเชืือกชั้นดี แต่บรรทัดที่ ๒ หมายถึง
ใจปลื้ม หรือ ปลื้มปิ ติยินดี
๓.) การใช้โวหารภาพพจน์ อุปมา
โอ้ดูเดื อนเหมือนดวงสุ ดาแม่ ได้มีการเปรียบดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้ าเหมือน
กระต่ายแลเหมือนฉั นคิดพิสมัย
เห็ นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจ กับหญิงสาวคนหนึ่ ง แล้วเปรียบตนเองเป็ น
เดื อนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์
เสมือนกับกระต่าย ซึ่งอาจสื่ อถึง สุภาษิตที่ว่า
"กระต่ายหมายจันทร์" หรือ การหวังในสิ่ งที่เป็ น
ไปไม่ได้ ในที่นี่ หมายถึง การหวังในความรัก
ต่อหญิงสาวที่ อยู่สู งส่ ง
ถึ ง บ า ง ผึ้ ง ผึ้ ง รั ง ก็ รั้ ง ร้ า ง ๔.) การเล่นคำ พ้องรู ป พ้องเสียง
พี่ ร้ า ง น า ง ร้ า ง รั ก ส มั ค ร ห ม า ย จากบทประพันธ์ จะมีการเล่นคำว่า "ร้าง" อยู่ใน
มาแสนยากฝากชี พกับเพื่อนชาย บรรทัดที่ ๑ และ ๒ ซึ่งร้างในบรรทัดที่ ๑ นั้ น
แม่เพื่อนตายมิได้ มาพยาบาล อาจหมายถึง รังผึ้งที่ถูกทิ้งไว้ ส่วนบรรทัดที่ ๒
อาจหมายถึง การถูกทอดทิ้งหรือแยกจากกัน
ถึ ง ป า ก ลั ด แ ล ท่ า ช ล า ตื้ น ๕.) การเล่นคำสัมผัสสระและพยัญชนะ
ดู เ ลื่ อ ม ลื่ น เ ล น ล า ก ลำ ล ะ ห า น จากบทประพันธ์ที่ยกมา จะเห็นได้ชัดว่า มีการเล่นเสียง
เ ข า แ จ ว จ้ อ ง ล่ อ ง แ ล่ น แ ส น สำ ร า ญ สัมผัสสระ เช่น ท่า-ชลา,จ้อง-ล่อง และเสียงพยัญชนะ
ม า พ บ บ้ า น บ า ง ร ะ จ้ า ว ยิ่ ง เ ศ ร้ า ใ จ เช่น เลื่อม-ลืน-เลน-ลาก-ลำ-ละ,บ้าน-บาง เป็ นต้น
อนาถนิ่ งอิงเขนยคะนึ งหวน เพื่อให้บทประพันธ์ไพเราะยิ่งขึ้น
จนจวบจวนแจ่มแจ้งปั จจุสมัย
ศศิ ธรอ่อนแออับพยับไพร
ถึงเซิ งไทรศาลพระประแดงแรง
พอฟ้ าคล้ำค่ำพลบหรุ บรู่ ด้ วยมือมัวกลัวตอต้องรอรา
ยุ งออกฉู่ ชิ งตลบตบไม่ไหว น า ว า ม า เ รี ย ง ต า ม กั น ห ล า ม ท า ง
ได้ รับรองป้ องกันเพียงควันไฟ ถึ ง บ า ง บ่ อ พ อ จั น ท ร์ ก ร ะ จ่ า ง แ จ้ ง
แต่หายใจมิใคร่ออกด้ วยอบอาย ทุกประเทศเขตแขวงนั้ นกว้างขวาง
โ อ้ ย า ม ย า ก จ า ก เ มื อ ง แ ล้ ว ลื ม มุ้ ง ดูดาวดาษกลาดฟ้ านภาภางค์
มากรำยุ งเวทนาประดาหาย วิ เ ว ก ท า ง ท้ อ ง ทุ่ ง ส ะ ท้ า น ใ จ
จ ะ ก ร ว ด น้ำ ค ว่ำ ขั น จ น วั น ต า ย ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ ปลายแฝก
แม้เจ้านายท่านไม่ใช้ แล้วไม่มา ทุ ก ล ะ แ ว ก ห ว า ด ห วั่ น อ ยู่ ไ ห ว ไ ห ว
พ อ น้ำ ตึ ง ถึ ง เ รื อ ก็ รี บ ล่ อ ง รำลึกถึงขนิ ษฐายิ่งอาลัย
เข้าในคลองคึกคักกันนั กหนา เช่ นนี้ ได้ เจ้ามาด้ วยจะดิ้ นโดย
๖.) การให้อารมณ์
จากบทประพันธ์ข้างต้น ได้มีการเขียนพรรณาถึงบรรยากาศ
พฤติกรรม และสถานที่ ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนตนนั้ นกำลังอยู่ในเหตุการณ์
นั้ นจริงๆ เช่น เมื่อตกดึกก็มียุงเยอะแยะมากมายจนตบไม่ไหว ก็ทำให้เกิด
ความรู้สึกรำคาญ หรือ เมื่อเจอดวงจันทร์ที่สว่าง พร้อมกับสายลมที่พัดไปมา
อ่อนๆก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและนึ กเสียดายที่น้ องสาวไม่ได้มา หากมาด้วย
กันคงสนุก ซึ่งทำให้เรารู้สึกสุขและเศร้าไปด้วย เป็ นต้น
ถึงด่ านทางกลางคลองข้างฝั่ งซ้ าย ๗.) ใช้คำบรรยายให้เกิดจิตนาการ
ตะวันสายแสงส่ องต้องพฤกษา
ออกสุ ดบ้านถึงทวารอรัญวา หรือ พรรณนาโวหาร จากบทประพันธ์ข้างต้น
เป็ นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน
ล ม ร ะ ริ้ ว ป ลิ ว ห ญ้ า ค า ร ะ ย า บ จะเห็นได้ว่ามีการพรรณาถึงบรรยากาศของคลองข้าง
ระแนบนาบพลิ้วพลิกกระดิ กหั น
ดูโล่งลิ่วทิวรุ กขะเรียงรัน ฝั่ งซ้าย โดยได้บอกไว้ว่า แสงตะวันส่องต้นไม้ต่างๆ
เป็ นเขตคันขอบป่ าพนาลัย ฯ
มีทุ่งหญ้าและลมก็พัดปลิวไสว ทำให้เราสามารถรับรู้
และจินตนาการได้มากยิ่งขึ้น
คุณค่าด้านสั งคม
การดำเนิ นเรื่องมีความเร้าใจให้ติดตามไปตลอดการเดินทาง กล่าวถึง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สภาพความเป็ นอยู่ วัฒนธรรมและขนบธรรมเนี ยมประเพณี
สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ และคติธรรม โดยใช้ความรักความอาลัยเป็ น
แก่นเรื่องสะเทือนอารมณ์สามารถสรุ ปได้ดังนี้
๏ จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพร่ำฝน ทุกตำบลบ้านกรำล้วนน้ำไหล
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจ จนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปี ศาจประหวาดหวั่น อินทรีย์สั่ นเศี ยรพองสยองขน
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์ มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสาง ที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก
แต่หมอเถ้าเป่ าปั ดชงัดนั ก ทั้งเส้ นวักหลายวันค่อยบันเทา
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บ ว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา
ไม่งอนง้อขอสู่ ทำดูเบา ท่านปู่ เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด
ความเชื่อ
จากบทประพันธ์แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในปี ศาจ วิชาอาคม
รวมไปถึง ความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่ าเจ้าเขา ดังปรากฎในวรรค
"ว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา" ซึ่งอาจหมายถึง การไปเก็บดอกไม้หรือ
สิ่ งของในที่ๆมีเจ้าของหรือมีเจ้าที่อยู่ทั้งที่สิ่ งนั้ นไม่ใช่ของๆเรา อาจจะทำให้ได้
รับผล
กระทบตามมาในภายหลัง
ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อ ค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล
จนล่วงเข้าหัวป่ าพนาลัย ล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวาง เป็ นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง
ว่าผีสางนางตะเคียงทะนอง ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปาก เห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ
กระทบผางตอนางตะเคียนตำ ก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา
พวกเรือพี่สี่ คนขนสยอง ก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา
พ้นระวางนางรุ กขฉายา ต่างระอาเห็ นฤทธิ์ประสิ ทธิ์จริง
ความเชื่อ
จากบทประพันธ์ที่ได้นำมาในข้างต้น
แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของผีสางนางไม้อย่างนางตะเคียน
ว่า หากล่องเรือไปแล้วเจอกับตอตะเคียน หากสัมผัสหรือ
แตะต้องก็อาจจะพบกับเหตุการณ์เรือคว่ำ ดังนั้ น หากพบเห็น
ก็ควรถอยห่าง เพราะนางมีฤทธิ์มาก
ความเชื่อ
ขออารักษ์หลักประเทศนิ เวสน์ วัง จากบทประพันธ์แ สดงให้เห็นถึง
เทพทั้งเมืองฟ้ าสุราลัย ความเชื่ อในเรื่องเทพทั่ วเมืองสุ ราลัย
ขอฝากน้ องสองรามารดาด้วย เพราะมีการกล่าวถึงและมีการอ้อนวอน
เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส ให้ท่านเทพช่วยปกป้ องตนเองและ
ตัวข้าบาทจะนิ ราศออกแรมไพร ครอบครัวด้วย
ให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแผ้วพาน
ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง
เป็ นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุง ต้องลากจูงจ้างควายอยู่รายเรียง
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียด เข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่ นเสียง
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียง บ้างทุ่มเถียงโดนดุกันวุ่นวาย
โอเ้ รือเราคราวเข้าไปติดแห้ง เห็นนายแสงเป็ นผู้ใหญ่ก็ใจหาย
นั่ งพยุงตุ้งก่านั ยน์ ตาลาย เห็ นวุ่นวายสั บสนก็ลนลาน
สภาพชี วิตและสั งคม
จากบทประพันธ์แสดงให้ เห็ นถึงสภาพความเป็ นอยู่ของผู้คน
ในเขตบางพลี ซึ่ งสภาพความเป็ นอยู่นั้ นก็ดูมีความแออัดและวุ่นวาย
ทั้งถนนที่ เป็ นหลุม ตามทางมีการลากจูงควาย รวมไปถึงท่าเรือที่ มี
เรือแพที่ จอดเบียดกัน เมื่อชนกันก็ทะเลาะกันจนเกิดเสี ยงดั งไปทั่ ว
สภาพชี วิตและสั งคม
จนล่วงล่องมาถึงคลองที่คับแคบ จากบทประพันธ์จะเห็นได้ว่า
ไม่อาจแอบชิดฝั่ งระวังเสือ ธรรมชาติป่ าไม้ในสมัยก่อนมีความอุดมสมบูรณ์
ด้วยครึ้มครึกพฤกษาลดาเครือ ซึ่งสังเกตจาก "หิ่งห้อย" แมลงที่พบเห็นได้ยาก
ค่อยรอเรือเรียงล่องมานองเนื อง ในปั จจุบัน แต่ในอดีตกลับมีป่ าไม้ที่มืด ไม่มี
ลำภูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ แสงไฟจากตัวเมือง ทำให้สามารถเห็นแสงของ
สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง หิ่ งห้ อยได้ อย่างชั ดเจน
เสมอเม็ดเพ็ชรรัตน์ จำรัสเรือง
ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม
สภาพชี วิตและสั งคม
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่ งน้ำ จากบทประพันธ์จะเห็นได้ว่า
แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน กรุ งศรีอยุธยามีการอยู่อาศั ยบริเวณริมแม่น้ำ
มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน เพราะเมื่อเทียบฝั่ งแล้วก็สามารถเข้าเที่ยวเล่น
ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง ในตัวเมืองได้เลย
โอธ้ านี ศรีอยุธยาเอ๋ย
นึ กจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์