นาฏศิลปพ์ ้นื เมอื ง
4 ภาค
โดย : ครูสุกัญญา ผวิ ขา
นาฏศิลปพ์ นื้ เมอื ง การแสดงที่เกิดขึน้
ตามท้องถ่นิ และตามพ้นื ที่ตา่ งๆ ของแต่ละ
ภมู ิภาค โดยอาจมีการพัฒนา ดัดแปลงมา
จากการละเล่นพน้ื เมือง ประเพณี ความเชื่อ
และการประกอบอาชีพของท้องถ่ินนั้นๆ
เป็นส่ิงทบ่ี ง่ บอกถึงเอกลักษณะเฉพาะของ
แตล่ ะท้องถ่ิน
นาฏศลิ ปพ์ ืน้ เมือง
ภาคเหนอื
ภาคเหนอื เป็นภาคทม่ี ภี ูมิประเทศเป็นปา่ เขา ต้นน้าลาธาร อุดมดว้ ย
ทรัพยากรธรรมชาติ มคี นไทยหลายเชื้อชาตอิ าศยั อยชู่ าวเหนือจะมีอปุ นสิ ัย
อ่อนโยน นมุ่ นวล รักสงบ เป็นมิตร จะใช้ภาษาท้องถ่ินสือ่ สารกนั เรยี กว่า คาเมอื ง
ซึง่ มีลักษณะเสยี งที่ไพเราะ นมุ่ นวล ออ่ นหวาน วีถีชวี ิตส่วนหน่งึ ได้รับอิทธิพล
ทางวัฒนธรรมจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ พม่า และลาว จงึ ทาใหภ้ าคเหนือ
มวี ฒั นธรรมทหี่ ลากหลายและมเี อกลักษณ์ประจาถ่นิ ทีเ่ ดน่ ชัด
นาฏศลิ ปพ์ ้ืนเมอื งภาคเหนือ มลี ีลาออ่ นช้อยงดงามละเมยี ดละไม นุ่มนวล
และออ่ นหวาน เป็นลักษณะศิลปะการแสดงทมี่ ีการผสมผสานกันระหวา่ งชน
พืน้ เมอื งชาตติ ่างๆ ไม่วา่ จะเป็นไทยลานนา ไทยใหญ่ เง้ยี ว รวมถึงพวกพมา่ ทเี่ คย
เขา้ มาปกครองลา้ นนาไทย ทาใหน้ าฏศลิ ปห์ รือการแสดงท่เี กดิ ขนึ้ ในภาคเหนือมี
ความหลากหลาย นิยมเรียกวา่ “ฟ้อน” และเรยี กผู้แสดงวา่ “ช่างฟ้อน”
ลักษณะการฟ้อนแบบพนื้ เมอื งเดมิ เป็นการแสดงทมี่ อี ย่ตู ามทอ้ งถ่นิ ท่ัวไป เชน่
ฟ้อนครวั ทาน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทยี น เป็นต้น
ลักษณะการฟ้อนแบบคุ้มหลวง เป็นการฟ้อนทเี่ กิดข้นึ ในคมุ้ ของ
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ซึ่งมลี กั ษณะการฟ้อนของภาคกลางผสมอยู่
เช่น ฟ้อนมา่ นมยุ้ เชียงตา ฟ้อนนอ้ ยใจยา เป็นตน้
ลกั ษณะการฟ้อนที่ไดร้ ับอทิ ธิพลจากชาติอ่ืน อาทิ พมา่ ไทยใหญ่ เงย้ี ว
เช่น ฟ้อนไต ฟ้อนโต ฟ้อนเงี้ยว เป็นต้น
ตัวอยา่ ง
ฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนพนื้ เมอื ง
ทปี่ ระดิษฐ์ท่าฟ้อนเลียนแบบมาจากกรรมวิธีการทอ
ผา้ ไหมของชาวบ้าน ต้ังแต่กระบวนเตรียมเส้นไหม
จนกระทง่ั ทอเป็นผืน ทา่ รานไ้ี ด้เนน้ ถึงการ
เคลือ่ นไหวที่ต่อเนื่องและนมุ่ นวล ซึ่งเป็นท่าที่
เหมาะสมในการปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ สน้ ไหมพันกนั
แต่งกายแบบพ้นื เมอื งล้านนา
ฟ้อนผาง เป็นศลิ ปะการฟ้อนทม่ี ีมาแต่
โบราณ เป็นการฟ้อนเพ่ือบูชาองค์สัมมาสมั พทุ ธ
เจ้า ลลี าการฟ้อนดาเนินไปตามจงั หวะของการตี
กลองสะบัดชัย มือท้ังสองจะถือประทีปหรือผาง
ผะต้บี แตเ่ ดิมใชผ้ ูช้ ายแสดง แต่ปัจจุบันใชผ้ หู้ ญงิ
แสดง แต่งกายแบบชาวไทยลอื้ สวมเส้ือปา้ ยทับ
ขา้ ง เรยี กว่า “เสื้อป๊ัด” นุง่ ผา้ ซ่ินเป็นร้วิ ลายขวาง
ใสเ่ ครื่องประดบั โลหะเงิน และแต่งแบบล้านนา
ฟ้อนที คาว่า “ที” หมายถงึ “ร่ม” เป็นคา
ภาษา “ไต” ใช้เรยี กในจงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน ฟ้อนทเี ป็น
ผลงานประดิษฐ์สร้างสรรค์ของวทิ ยาลัยนาฏศลิ ป์
เชยี งใหม่ การแสดงชดุ น้นี ารม่ มาใช้ประกอบลลี า
นาฎศิลปโ์ ดยมที า่ ฟ้อนเหนือของเชยี งใหมผ่ สมกับทา่
ราไตของแม่ฮอ่ งสอน มีการแปรแถว และลีลาการใช้
รม่ ในลกั ษณะต่าง ๆ ทงี่ ดงาม เช่น การถือรม่ การกาง
รม่ การหุบรม่ เป็นต้น
การแตง่ กาย แบ่งเป็น 2 แบบ คอื แบบหญงิ ไท
ลอ้ื และแบบหญงิ ลา้ นนาแบบไทลื้อ นงุ่ ซ่ินลายขวาง
เส้อื ป๊ัด เกล้าผมสูงประดับดอกไมเ้ งนิ ผ้าเคยี นศรี ษะ
ประดับกาไลขอ้ มอื ตา่ งหู และแบบลา้ นนา
ฟ้อนเง้ยี ว เป็นการแสดงพน้ื เมอื งของ
ชาวเขาเผา่ หน่ึง เรยี กวา่ เงีย้ ว มภี ูมลิ าเนาอยูท่ าง
ภาคเหนือ ของไทย อาจารย์ลมุล ยมะคุปตไ์ ด้นา
ลีลาฟ้อนเงย้ี วมาปรบั ปรงุ ข้ึนใหม่ ในหลกั สตู รวิชา
นาฏศลิ ป์ บทรอ้ งของฟ้อนเง้ยี วมลี กั ษณะเป็นบท
อวยพร อาราธณาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เทพดาส่งิ ศักดิท์ ้งั หลายมาปกปอ้ งอวยชัยใหพ้ ร
การแตง่ กาย แต่งได้ท้ังแบบชาวเขา
ผู้แสดงจะถือก่ิงไมใ้ นมือทง้ั สองเพ่อื ปัดเปา่
ส่งิ ท่ไี มด่ ใี หอ้ อกไป
ฟ้อนกิงกะหรา่ เป็นการแสดงของชาวไทใหญ่
คาวา่ “กงิ กะหรา่ ” จากคาวา่ กินนร หมายถึง อมนุษย์ใน
นยิ ายมรี ปู ร่าง ท่อนบนเป็นคนท่อนลา่ งเป็นนก ทา่ ราจะ
เลียนแบบอากัปกริ ยิ า ของนกเชน่ ขยับปกี ขยับหาง บนิ
กระโดดโลดเต้นไปมาตาม จงั หวะของกลอง
การแต่งกายมี 3 สว่ น คือ ตัวคนแสดง ปกี และ
หาง ตวั ปกี และหางนนั้ โครงทาดว้ ยไมไ้ ผ่ ปดิ ด้วยผ้าและ
ประดบั ดว้ ยพหู่ รอื กระจก นามาประกอบกนั ด้วยเชือก และ
มีเชอื กโยงอีกชุดเพื่อบงั คับปกี ใหก้ ระพือและบังคับหางให้
แผ่ได้เหมือนนกจรงิ ๆ สว่ นตัวนกั แสดงนนั้ จะแต่งกายดว้ ย
เสอื้ ผา้ สีเดียวกนั กบั ปกี และหาง
ตัวอย่างเคร่อื งดนตรพี ื้นเมอื ง
สะล้อหรอื ทะล้อ ซงึ ตะหลดปดหรือ กลองสะบัดชยั กลองเตง่ ถ้งิ
มะหลดปด
นาฏศลิ ปพ์ ืน้ เมือง
ภาคอีสาน
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ (ภาคอสี าน)
➢ ลกั ษณะพ้ืนที่โดยทวั่ ไปของภาคอสี านเป็นท่รี าบสงู มีแหลง่ น้าจากแม่น้าโขง
➢ลกั ษณะของสภาพความเป็นอยู่ ภาษาและขนบธรรมเนยี มประเพณีท่แี ตกตา่ งกัน
➢ประชาชนมคี วามเชอื่ ในทางไสยศาสตรม์ ีพิธกี รรมบชู าภูตผิ ีและส่งิ ศักดสิ์ ิทธิ์
➢การแสดงจงึ เกีย่ วข้องกบั ชวี ิตประจาวันและสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ การประกอบอาชีพและความเป็นอยู่
ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
นาฏศิลปพ์ ืน้ เมอื งของภาคอีสานนิยมเรยี กว่า เซ้ิง เป็นการแสดงที่มลี ักษณะค่อนขา้ งเร็ว
กระฉบั กระเฉง สนกุ สนาน เช่น เซ้งิ กระติบข้าว เซ้งิ โปงลาง เซ้งิ กระหยงั เซ้งิ สวงิ เป็นตน้
นอกจากนย้ี งั มี ฟ้อนท่เี ป็นการแสดงคล้ายกับภาคเหนอื คอื ฟ้อนภูไท และมีการแสดงท่ไี ดร้ ับ
อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมกมั พชู า โดยชื่อการแสดงจะเกน็ ภาษาเขมร เชน่ เรอื มอันเดร เรอื มจบั กรับ
เป็ นต้น
เซ้ิงตังหวาย คาว่าตังหวาย มาจากคาว่า
“ถวาย” เป็นการราเพ่ือบูชาส่งิ ศกั ดิส์ ิทธิ์ ในพิธี
ขอขมาของชาวจงั หวดั อบุ ลราชธานี ภายหลัง
นิยมแสดงในงานนักขัตฤษ์และตอ้ นรับแขก
ผมู้ ีเกียรติ ครนู าฏศลิ ปพ์ ืน้ เมอื ง วิทยาลยั
นาฏศิลปร์ ้อยเอ็ด ไดป้ ระยกุ ต์และจดั กระบวน
ทา่ ราขนึ้ ใหม่ รวม 12 ท่า จากท่าราแม่บทอสี าน
การแตง่ กาย หม่ ผา้ ฝ้ายมดี อก นุง่ ซ่นิ
ฝ้ายมดั หมีม่ เี ชงิ เกลา้ ผมสงู
เซ้ิงแหยไ่ ข่มดแดง เป็นการแสดงท่ีนา
วิธกี ารหาไขม่ ดแดงของชาวอีสาน ซึ่งไดม้ าอยา่ ง
ยากลาบาก ทั้งตอ้ งถูกมดแดงกดั หรือไต่ตาม
เส้ือผ้า การกวนแยกตัวมดแดงออกจากไข่ มา
ประดิษฐ์เป็นทา่ เซ้ิง เน้นความสนุกสนานเรา้ ใจใน
แบบศลิ ปะการแสดงแบบชาวอสี าน
เครอ่ื งแตง่ กาย ฝ่ายชายนงุ่ ผ้าถงุ อสี าน
เสอ้ื คอกลมแขนสน้ั มผี ้าขาวมา้ คาดเอว และใช้
ผา้ ขาวมา้ โพกศรี ษะ ฝ่ายหญิงสวมเสอื้ แขน
กระบอก 3 ส่วน คอกลม หม่ สไบ นงุ่ ผา้ ซ่ินมดั หมี่
สัน้ แค่เข่า
รามวยโบราณ เป็นแสดงพืน้ บ้านท่ี
ผสมระหว่างนาฏศิลปพ์ ้นื บา้ นอีสาน กบั ชน้ั
เชิงของการต่อสมู้ วยโบราณ เป็นการแสดง
และนันทนาการ มากกวา่ การต่อสู้ หรอื
เอาชนะกันอย่างจริงจงั จึงมที ัง้ ความอ่อน
ชอ้ ยสวยงามและแฝงไวซ้ ง่ึ ความเขม็ แขง็ อยู่
ในตวั ความงดงามของมวยโบราณ
แตง่ กายโดยการนงุ่ ผ้าโจงกระเบน
แบบเต่วี หยกั รัง้ สั้น ผ้าขาวม้าคาดสะเอว
และเขยี นลายสกั ตามร่างกาย
เรือมอนั เร หรือ ลดู อนั เร เป็นการ
แสดงอย่างหนงึ่ ในหมูช่ าวไทยเชื้อสายเขมร ใน
บริเวณอีสานใต้ มีลักษณะคลา้ ยการละเล่น
ลาวกระทบไม้ของไทย คือ การราเป็นคูช่ าย –
หญิง ราเกยี้ วกนั ไปตามจังหวะดนตรี
ประกอบการข้ามไม้ไผ่ทเี่ คาะตามจังหวะต่างๆ
การแต่งกาย แตง่ ตามแบบพนื้ เมอื ง
ชาวอสี านใต้
การฟ้อนภูไทนี้ เป็นการแสดงของชาวผูไ้ ทหรอื
ชาวภไู ทในภาคอสี าน ฟ้อนภูไทมีลักษณะที่แตกต่างกันไป
แตล่ ะจงั หวดั เชน่
ฟ้อนภไู ทสกลนคร ฟ้อนเพอื่ บชู าพระธาตุเชงิ ชุม
ซึ่งเป็นพระธาตคุ ่บู า้ นคู่เมือง ผู้ฟ้อนเป็นผู้หญงิ ทั้งหมด
ท่วงท่าลลี าการฟ้อนซสวยงามและออ่ นหวาน แต่งกาย
ตามแบบสตรชี าวภูไทสกลนคร และมกี ารสวมเล็บยาวใน
การฟ้อนรา
ฟ้อนภูไทเรณูนคร เป็นการฟ้อนที่เป็น
สญั ลกั ษณ์ของจังหวดั นครพนม ฟ้อนเป็นค่ชู าย – หญิง
ฟ้อนทา่ ตา่ ง ๆ เดินเป็นวงกลม ใหเ้ ขา้ กับจังหวะดนตรี
แตง่ กายด้วยชดุ พ้นื เมืองสีน้าเงินขลิบแดง
ตวั อยา่ งเครือ่ งดนตรีพ้ืนเมอื ง
โปงลาง แคน พิณ
นาฏศลิ ปพ์ ืน้ เมือง
ภาคกลาง
ภาคกลางได้ช่ือว่าอูข่ ้าวอ่นู ้าของไทย มภี ูมปิ ระเทศเป็นทีร่ าบล่มุ มแี มน่ ้าหลายสาย เหมาะ
แกก่ ารกสิกรรม ทานา ทาสวน ผคู้ นมคี วามเป็นอยทู่ ี่สุขสบาย จงึ มีเวลาที่จะคดิ ประดิษฐ์หรือ
สร้างสรรคส์ ่ิงท่ีสวยงามไดม้ าก และมีการเลน่ ร่ืนเริงในโอกาสต่างๆ มากมาย ทง้ั ตามฤดูกาล
ตามเทศกาลและตามโอกาสทม่ี งี านรน่ื เรงิ ภาคกลางเป็นท่ีรวมของศิลปวฒั นธรรม การแสดงจงึ มี
การถ่ายทอดสบื ตอ่ กนั และพัฒนาดัดแปลงขึ้นเรือ่ ยๆ และออกมาในรปู แบบของขนบธรรมเนยี ม
ประเพณี และการประกอบอาชพี เช่น เตน้ การาเคียว เพลงเก่ียวข้าว เพลงเรือ เพลงฉอ่ ย
เพลงอีแซว ลเิ ก ลาตัด กลองยาว เถดิ เทิง เป็นตน้ บางอย่างกลายเป็นการแสดงนาฏศิลปแ์ บบ
ฉบบั ไปก็มี เช่น ราวงพฒั นาเป็นราวงมาตรฐาน
ลเิ ก เป็นการแสดงละครท่ีผสม
ระหวา่ งการพูด การรอ้ ง การรา และการ
แสดงกิริยาทา่ ทางตามธรรมชาติเขา้ ดว้ ยกนั
โดยมวี งป่ พี าทยบ์ รรเลงประกอบ ผแู้ สดงรับ
บทชายจริงหญิงแท้ มบี ทพดู และบทร้อง
ตามทอ้ งเรอ่ื ง นิยมแสดงอย่าแพรห่ ลายใน
ภาคกลาง
แต่งกายชว่ ยชุดที่ประดบั ตกแต่ง
อยา่ งสวยงามตระการตา
เตน้ การาเคียว เป็นการแสดงพืน้ เมอื งที่เก่าแก่
ของภาคกลาง ซ่งึ ชาวบ้านมอี าชีพการทานาเป็น
หลัก และด้วยนสิ ัยรักสนุกกบั การเป็นเจา้ บทเจา้ กลอน
จึงไดเ้ กิดการเต้นการาเคยี วขึน้ ในเนอื้ เพลงจะสะทอ้ น
ใหเ้ ห็นสภาพความเป็นอยขู่ องชาวบ้าน ลกั ษณะการรา
จะเน้นความสนุกเป็นใหญ่ มีทัง้ เต้นและราควบค่กู นั
ไป ในมอื ของผู้ราข้างหนึง่ จะถือเคยี ว อกี ขา้ งหนงึ่ ถือ
ขา้ วท่ีเก่ียวแล้ว จึงเรยี กการแสดงน้ีวา่ "เตน้ การาเคยี ว"
จะเลน่ กันในฤดเู ก่ียวข้าว
การแต่งกาย ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วยและ
เส้อื กุยเฮงสีดา มีผ้าขาวม้าคาดพุงสวมงอบไมส่ วม
รองเท้า ฝ่ายหญิงจะนงุ่ โจงกระเบนและเส้ือกระบอกสดี า
ทัง้ ชดุ ทดั ดอกไม้ทหี่ ูขวาและไม่สวมรองเท้าเชน่ กัน
ราโทน เป็นการละเล่นพืน้ บา้ นอยา่ งหนึง่
ของภาคกลาง ทนี่ ิยมเล่นกันแถวท้อถ่นิ บางจังหวดั
คาว่า "ราโทน" สันนษิ ฐานวา่ เรยี กช่ือจากการเลยี น
เสยี งเครื่องดนตรปี ระกอบจงั หวะที่เป็นหลักคือ
"โทน" ลักษณะเป็นการราคู่ระหวา่ งชายหญงิ ให้เขา้
กบั จังหวะโทและเนอื้ หาของบทเพลงซึง่ เป็นการรา่ ย
ราท่ีเป็นแบบพ้นื บ้าน บทรอ้ งมหี ลายลกั ษณะ
เร่มิ ตัง้ แต่ไหว้ครู ชมโฉม เกี้ยวพาราสี บทหยอกเยา้
และบทพรอดพร่า
ร่าลาจากกัน
การแตง่ กายแต่งได้ทงั้ แบบพืน้ เมืองและ
แบบสมัยนิยม
ราสนี วล เป็นการแสดงพื้นเมอื งภาคกลาง
ที่อวดลลี า ทา่ ราทอ่ี ่อนช้อยงดงาม การแตง่ กายที่
สวยงาม เป็นกิริยาอาการของหญิงสาวแรกรนุ่
ทส่ี นุกสนานรื่นเรงิ จดั เป็นการราหมทู่ ี่ใช้ผู้หญิง
แสดงลว้ น
ลักษณะการแตง่ กายจะห่มสไบ นุง่ โจง
กระเบนหรอื นุ่งจบี หน้านางก็ได้ ปล่อยผม ทดั
ดอกไม้ด้านซ้าย ใสเ่ ครือ่ งประดับสวยงาม
ราเหยย่ เป็นการราประกอบเพลง นิยมเลน่ เพื่อ
ผอ่ นคลายจากการทาไร่ทานา ทา่ ราทพ่ี บ คอื ทา่ นอนวนั
ทา่ ตอ้ น และทา่ ราอิสระตามวิถีชาวบา้ น ผูเ้ ล่นปรบมอื
ประกอบจังหวะ การแต่งกายแต่งแบบพน้ื บา้ นภาคกลาง
อุปกรณก์ ารแสดง คอื ผ้า ใช้เป็นสญั ลกั ษณข์ องการจบั
จองระหวา่ งชายหญงิ
ราเหยย่ กรมศลิ ปากร ปรบั ปรงุ กระบวน ท่ารา
จากราเหยย่ รูปแบบประยุกตข์ องตาบลบา้ นเกา่ อาเภอ
เมอื ง กระบวนทา่ รานาท่าราแมบ่ ทเป็นทา่ ราเฉพาะ เชน่ ทา่
สอดสรอ้ ย ทา่ ผาลา ท่านางนอน เป็นต้น ใช้ผา้ เป็น
อุปกรณ์ประกอบการแสดง
ตวั อยา่ งเคร่ืองดนตรีพน้ื เมือง
โทน ระนาดเอก
กลองยาว
นาฏศิลปพ์ ืน้ เมือง
ภาคใต้
ภาคใต้มีอาณาเขตติดกับทะเลฝ่ั งตะวันตกและตะวันออก ทางด้านใต้ติดกับมลายู
ทาให้รับวัฒนธรรมของมลายูมาบ้าง ประชากรจึงมีชีวิตความเป็ นอยู่ ขนบธรรมเนียม
ประเพณีและบุคลิกบางอย่างที่คล้ายคลึงกันคือ พูดเร็ว อุปนิสัยว่องไว ตัดสินใจ รวดเร็ว
เด็ดขาด มอี ปุ นสิ ัยรักพวกพอ้ ง รักถ่ินทอ่ี ยอู่ าศยั และศิลปะวฒั นธรรมของตนเอง
นาฏศลิ ปพ์ ้ืนเมืองภาคใต้อาจแบ่งตามกลุ่มวฒั นธรรมได้ 2 กลมุ่ คอื
➢ วัฒนธรรมไทยพทุ ธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลงุ เพลงบอก เพลงนา
➢ และวัฒนธรรมไทยมสุ ลมิ ไดแ้ ก่ รองเงง็ ซาแปง มะโย่ง ลเิ กฮูลู และซลิ ะ
ภายหลงั ได้มีระบาทปี่ รับปรงุ จากกจิ กรรมในวิถีชีวติ ต่างๆ เชน่ ระบาร่อนแร่ ระบา
กรดี ยาง ระบาปาเต๊ะ เป็นต้น
โนรา หรอื มโนห์รา เป็นการละเล่น
พน้ื เมือง ท่สี บื ทอดกนั มานานและนิยมกันอย่าง
แพร่หลายในภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทง้ั
การรา การรอ้ ง บางส่วนเล่นเป็นเร่อื ง และแสดง
ตามคตคิ วามเชอ่ื ทเ่ี ป็นพิธกี รรมเรียกว่า “โนรา
โรงคร”ู
การแตง่ กาย แตง่ ดว้ ยชดุ ท่ีเลียนแบบ
จากเครือ่ งทรงกษตั รยิ ์ ร้อยดว้ ยลกู ปัดหลากสี
ขนาดเลก็ มเี ครื่องประดบั ศรี ษะเรียกว่า “เทริด”
(เซิด) และสวมเลบ็ ยาวสวยงาม
ระบาชนไก่ ประดิษฐ์ทา่ ราขึน้ มาโดยนา
การละเล่น ตีไก่ หรือชนไก่ อาการกริ ิยาการไซร้
ขน การขนั และการชนกนั ของไก่ มาจัดทาเป็น
การแสดงในรูปแบบนาฏศลิ ป์ โดยเพ่มิ ความ
สนุกสนานโดยมกี ารเชยี ร์เพื่อให้ไดอ้ ารมณ์
มากขึ้น ใช้ดนตรีภาคใตป้ ระกอบการแสดง
การแสดงชดุ นี้ผแู้ สดงจะแตง่ กายดว้ ย
ชุดท่ตี ดั เยบ็ เลยี นแบบขนไก่ และมี
เคร่อื งประดับศีรษะเป็นหัวไก่
ระบารอ่ นแร่ เป็นระบาที่ปรบั ปรงุ ขึ้นตาม
ลีลาทา่ ทางในการประกอบอาชีพรอ่ นแรข่ องชาวใต้
ต้ังแต่ออกจากบ้านไปหาแร่ รอ่ นแร่ ตากแร่ และพา
กันกลับบา้ น จัดแสดงถวายแดพ่ ระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยูห่ ัว และสมเดจ็ พระนางเจ้าพระบรมราชินนี าถ
เม่ือครัง้ เสดจ็ พระราชดาเนินเยอื นภาคใต้เป็นครงั้
แรก ในปี พ.ศ. 2502 โดยใช้เพลง "ตลงุ ราษฎร์”
ประกอบการแสดง
การแตง่ กาย นงุ่ ผ้าปาเตะ๊ สวมเสอ้ื พน้ื เมือง
ภาคใต้ท่เี รยี กวา่ ย่าหยา หรอื บานง
มีอุปกรณป์ ระกอบการแสดงเรยี กวา่ เลียง
รองเง็ง เป็นศลิ ปะการแสดงพ้นื บ้านใน
กลุม่ ชาตพิ นั ธมุ์ ลายู ท่นี ยิ มแพร่หลายในพน้ื ท่ี
จังหวัดชายแดนภาคใตข้ องประเทศไทย เป็นการ
แสดงทีส่ อ่ื ถึงการเก้ียวพาราสีกนั ระหวา่ งหนุ่มสาว
ซ่ึงมวี วิ ัฒนาการมาจากการเต้นราพ้นื เมอื งของ
ชาวสเปน โปรตเุ กส ที่นามาแสดงในแหลมมลายู
เมื่อคราวไดเ้ ขา้ มาติดต่อการคา้ จากนน้ั ชาวมลายู
ไดน้ ามาดัดแปลง และเรยี กการเตน้ ราแบบนวี้ า่
“รองเงง็ ”
การแต่งกาย แต่งชุดพื้นเมืองของชาวไทย
มสุ ลมิ
สลิ ะ เป็นการแสดงประเภทศิลปะการตอ่ สู้
ปอ้ งกันตวั ของชาวไทยมุสลมิ รูปแบบของการแสดงจะ
นากระบวนการต่อสู้ที่มที ่วงทา่ ที่ทะมัดทะแมง
มาสอดแทรกด้วยลีลาทา่ ที่อวดความแข็งแรงของ
กลา้ มเน้ือแขน ขา และยงั มกี ารใชล้ ีลาน้ิวมือที่พล้วิ ไหว
สอดคลอ้ งกับท่วงทานองเพลงชา้ เร็วท่ีบรรเลง
ประกอบการแสดง
นอกจากน้ีความน่งิ ของนกั แสดงทีส่ งา่ ด้วย
ท่าทางและการสวมใส่เครื่องแตง่ กายแบบองครกั ษ์
ตามแบบฉบับของทหารมลายใู นอดีต ทาใหก้ ารแสดง
สิละมีเสนห่ ท์ น่ี ่าติดตามจนจบการแสดง
แต่งกายด้วยชุดพ้นื เมอื งผู้ชายชาวไทยมุสลมิ
ตวั อย่างเครอ่ื งดนตรพี ื้นใต้ (ไทยพทุ ธ)
ทบั กลองตกุ๊ โหมง่ ป่ ี
ฉ่ิง แตระ
ตวั อย่างเครื่องดนตรพี ื้นใต้ (ไทยมุสลิม)
รามะนา ฆอ้ ง ไวโอลนิ แอคคอเดยี น
ฉาบ
แมนโดรนิ ฉ่ิง
จบการนาเสนอแล้ว
นักเรยี นสามารถศึกษาขอ้ มูล
เพ่ิมเติม และ ชมตัวอยา่ งการแสดง
ได้จาก www.youtube.com