1 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 นายศุมล ศรีสุขวัฒนา นางนัทฐ์หทัย ไตรฐิ่น ความเป็นมาและความส าคัญ นับว่ากฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขเป็นกฎหมายที่มีอยู่คู่กับสังคมไทย ตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองประเทศจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ทั้งนี้ เป็นผลมาจากอิทธิพลของรูปแบบการปกครองของประเทศ ตะวันตกที่มีการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ ได้มีการตราพระราชบัญญัติสาธารณสุข พุทธศักราช 2477 และ พระราชบัญญัติสาธารณสุข (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2482 และต่อมาได้แก้ไขเป็น พระราชบัญญัติสาธารณสุข พุทธัศักราช 2484 ซึ่งได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ 97 ฉบับลงวันที่ 30 ธันวาคม 2484โดยในขณะนั้น ให้อยู่ในการดูแลของกระทรวงมหาดไทย และให้หน่วยงานปกครองท้องถิ่นเป็นผู้มีอ านาจด าเนินการตาม กฏหมายนั้น แ ต่ต่อมาได้มีการแบ่งส่วนราชการใหม่ คือให้ตั้ง “กระทรวงสาธารณสุข” ขึ้น โดยแยกงาน สาธารณสุข งานประชาสงเคราะห์ของกระทรวงมหาดไทย และงานเภสัชของกระทรวงเศรษฐกิจไปอยู่ในความ ดูแลของกระทรวง สาธารณสุข โดยตราพระราชบัญญัติโอนอ านาจและหน้าที่ อันเนื่องจากการปรับปรุง กระทรวงทบวงกรมใหม่ในปี พ .ศ. 2485 จึงเป็นผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รักษาการตาม พระราชบัญญัติสาธารณสุข พุทธศักราช 2484 ตามไปด้วย ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติสาธารณสุขอีก 4 ฉบับ โดยฉบับที่ 3 พ.ศ. 2497 ได้แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 4 เกี่ยวกับค าจ ากัดความ ส่วนฉบับที่ 2 พ.ศ. 2495 และฉบับ ที่ 4 พ.ศ. 2505 เป็นการเปลี่ยนแปลง อัตราค่าธรรมเนียม ต่อมาเห็นว่าการก าหนดอัตราค่าธรรมเนียมโดยแก้ไข พระราชบัญญัติเป็นการไม่สะดวกและยุ่งยาก พระราชบัญญัติสาธารณสุข(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2527 จึงได้แก้ไขให้การ ก าหนดอัตราค่าธรรมเนียมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ก าหนดในกฎกระทรวง ซึ่งหลักการนี้ยังคง ใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้เสนอให้มีการพิจารณายกร่าง “พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. ....” (ฉบับใหม่) ซึ่งใช้เวลากว่า 10 ปี จึงตราเป็น พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 ซึ่งได้ประกาศใช้ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอนที่ 39 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2535 โดยมีเหตุผลของการปรับปรุงแก้ไขไว้ในท้าย พระราชบัญญัติฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1. เพื่อก าหนดขอบเขตให้ครอบคลุมปัญหาด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมกว้างขวางมากขึ้น และสามารถ ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ มาตรฐานการควบคุมให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ 2. เพื่อปรับปรุงระบบการควบคุมให้มีลักษณะการก ากับดูแลและติดตามมากขึ้น
2 3. เพื่อปรับปรุงอ านาจหน้าที่ขององค์กร และ พนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งในส่วนกลาง และ ส่วนท้องถิ่น ให้ สามารถปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 4. เพื่อปรับปรุงให้กระบวนการในการด าเนินคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็วและกระชับมากขึ้น โดยการ ก าหนดให้มีระบบการเปรียบเทียบคดีขึ้น 5. เพื่อปรับปรุงบทก าหนดโทษให้สูงขึ้นเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป หลักการของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 หลักการที่ส าคัญของพระราชบัญญัตินี้ อาจสรุปได้ดังนี้ 1. เป็นพระราชบัญญัติที่มีเจตนารมณ์ เพื่อการคุ้มครองประชาชนด้านสุขลักษณะ และการอนามัย สิ่งแวดล้อม หรือการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมายถึง การจัดการและควบคุมปัจจัยหรือ สภาวะแวดล้อมที่เป็น หรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการด ารงชีพของประชาชน 2. เป็นพระราชบัญญัติที่มีลักษณะการกระจายอ านาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากที่สุด กล่าวคือ ให้ “ราชการส่วนท้องถิ่น” มีอ านาจในการออก “ข้อก าหนดของท้องถิ่น” ซึ่งสามารถใช้บังคับในเขตท้องถิ่นนั้นได้ และให้อ านาจแก่ “เจ้าพนักงานท้องถิ่น” ในการควบคุมดูแลโดยการออกค าสั่งให้แก้ไขปรับปรุง การอนุญาต หรือไม่อนุญาต การสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต รวมทั้งการเปรียบเทียบคดี เป็นต้น ทั้งนี้โดยถือว่า ราชการ ส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรปกครองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ใกล้ชิดประชาชน ซึ่งน่าจะปฏิบัติการให้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนมากที่สุด 3. เพื่อให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถด าเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กฎหมาย จึงก าหนดให้มี “เจ้าพนักงานสาธารณสุข” เป็นเจ้าพนักงานสายวิชาการที่มีอ านาจในการตรวจตรา ให้ค าแนะน าใน การปรับปรุงแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในแง่วิชาการ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้ค าแนะน าแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น ในการวินิจฉัย สั่งการ หรือออกค าสั่ง เป็นต้น 4. ก าหนดให้มี “คณะกรรมการสาธารณสุข” เป็นองค์กรส่วนกลาง มีบทบาทในการควบคุมก ากับดูแล และให้การสนับสนุนการปฏิบัติการของราชการส่วนท้องถิ่น โดยการเสนอแนะแผนงาน นโยบาย และมาตรการ ด้านสาธารณสุข รวมทั้งการออกกฎกระทรวง และประกาศกระทรวง แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 5. ก าหนดให้สิทธิแก่ประชาชนหรือผู้ประกอบการที่ได้รับค าสั่งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นและเห็นว่าไม่ได้ รับความเป็นธรรมหรือไม่ถูกต้อง มีสิทธิยื่นค าอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ โครงร่างเนื้อหาของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ได้แบ่งออกเป็น 90 มาตรา 16 หมวด ดังนี้
3 หมวดที่ 1 ว่าด้วยเรื่อง บททั่วไป หมวดที่ 2 ว่าด้วยเรื่อง คณะกรรมการสาธารณสุข หมวดที่ 3 ว่าด้วยเรื่อง การก าจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย หมวดที่ 4 ว่าด้วยเรื่อง สุขลักษณะของอาคาร หมวดที่ 5 ว่าด้วยเรื่อง เหตุร าคาญ หมวดที่6 ว่าด้วยเรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ หมวดที่ 7 ว่าด้วยเรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หมวดที่ 8 ว่าด้วยเรื่อง ตลาด สถานที่จ าหน่ายอาหาร และสถานที่สะสมอาหาร หมวดที่ 9 ว่าด้วยเรื่อง การจ าหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ หมวดที่ 10 ว่าด้วยเรื่อง อ านาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและเจ้าพนักงาน สาธารณสุข หมวดที่ 11 ว่าด้วยเรื่อง หนังสือรับรองการแจ้ง หมวดที่ 12 ว่าด้วยเรื่อง ใบอนุญาต หมวดที่ 13 ว่าด้วยเรื่อง ค่าธรรมเนียมและค่าปรับ หมวดที่ 14 ว่าด้วยเรื่อง การอุทธรณ์ หมวดที่ 15 ว่าด้วยเรื่อง บทก าหนดโทษ หมวดที่ 16 ว่าด้วยเรื่อง บทเฉพาะกาล สาระส าคัญของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 ประกอบกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ก็อาจสรุปเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ได้ดังนี้ เป้าหมาย เพื่อคุ้มครองประชาชนด้านสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการด ารงชีพของประชาชนซึ่งพอจะแยก องค์ประกอบของเป้าหมายได้ดังแผนภูมิต่อไปนี้
4 เมื่อพิจารณาถึงขอบเขตและความครอบคลุมของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 จะพบว่ามี เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม โดยก าหนดอยู่ในบทบัญญัติหมวดที่ 3 ถึงหมวดที่ 9 ซึ่งครอบคลุม เรื่องการควบคุมและก าจัดสิ่งปฏิกูลและขยะมูลฝอย สุขลักษณะอาคาร ควบคุมเหตุเดือดร้อนร าคาญที่เกิดจากการ จัดท ากิจกรรมทุกชนิด ทั้งที่เป็นการประกอบกิจการต่างๆ หรือ กิจกรรมประจ าวันในครอบครัว เช่น การเผาขยะ ในบริเวณบ้าน การหุงต้มอาห ารในครัวเรือน เป็นต้น แต่ส าหรับกิจกรรมที่มีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการทั้ง ในสถานที่เอกชนหรือในที่หรือทางสาธารณะ ซึ่งมีกระบวนการการประกอบกิจการที่อาจมีก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อสุขภาพแก่ประชาชน คนงานหรือผู้คนที่อาศัยอยู่ข้างเคียง อันได้แก่ กิจการการเลี้ยงสัตว์ กิ จการที่เป็นอันตราย ต่อสุขภาพ 133 ประเภท กิจการตลาด สถานที่จ าหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร รวมทั้งกิจการจ าหน่าย สินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ซึ่งจ าเป็นต้องถูกควบคุมให้มีการด าเนินกิจการที่ถูกต้องด้วยสุขลักษณะตาม ข้อก าหนดหรือมาตรฐานหลักเกณฑ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เพราะในการด ารงชีวิตประจ าวันของประชาชน (ในฐานะมนุษย์) จ าเป็นต้อง (1)ได้อาศัยอยู่ในอาคารหรือสถานที่ที่ถูกสุขลักษณะ (2)ได้กินอาหารที่สะอาดและ ปลอดภัย(ไม่ว่าจะได้จากตลาดสดหรือสถานที่จ าหน่ายหรือสะสมอาหาร) (3)มีอาชีพได้ท างานในสถาน ประกอบการที่สะอาดปลอดภัย (4)ส่วนขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล(อุจจาระ ปัสสาวะ หรือสิ่งโสโครก) ซึ่งเป็นของ เสียที่เกิดจากการด ารงชีวิตประจ าวันของมนุษย์ ต้องถูกจัดการและก าจัดให้ถูกวิธีตามหลักสุชาภิบาล จึงจะไม่ก่อ ด้านสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม เป้าหมาย คุ้มครองประชาชน ชุมชน ผู้ประกอบกิจการ คนงาน/ผู้ปฏิบัติงาน การสุขาภิบาล สิ่งแวดล้อม การอนามัย สิ่งแวดล้อม การอชีว อนามัย การสุขาภิบาล อาหาร เพื่อให้เกิดสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการด ารงชีพ
5 ผลกระทบต่อตนเองและชุมชน (5)ส่วนสถานประกอบกิจการหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่ในชุมชนต้องไม่ก่อ ผลกระทบจนเป็นเหตุร าคาญแก่บุคคลหรือชุมชน (6)มีสถานที่หรือทางสาธารณะที่เพียงพอและอยู่ในสภาพ สะอาดเป็นระเบียบเพื่อเอื้อต่อการมีสุขภาพดี ซึ่งสภาพเหล่านี้ตามหลักการอนามัยสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็น ปัจจัยพื้นฐานที่จะส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนได้มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน และสภาวะนี้เรียกว่า “สภาวะความ เป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการด ารงชีพของประชาชน ซึ่งสามารถแสดงเป็นแผนภูมิได้ดังนี้ ดังนั้น พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ.2535 จึงเป็นบทบัญญัติที่จะมีส่วนอย่างมากต่อการควบคุม ปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในแต่ละเรื่อง ดังนี้ หมวดที่ 3 การก าจัดสิ่งปฏิกูล และมูลฝอย ความหมายและขอบเขต จากค าจ ากัดความตามมาตรา 4 บัญญัติว่า สิ่งปฏิกูล หมายความว่า อุจจาระหรือปัสสาวะ รวมถึงสิ่งอื่นใด ซึ่งเป็นสิ่งโสโค รกหรือมีกลิ่น เหม็น ที่หรือทางสาธารณะ ชุมชน สถานประกอบการ /โรงงาน การด ารงชีวิตที่ มีสุขภาพดีของ มนุษย์ ถ่ายสิ่งปฏิกูล ทิ้งมูลฝอย กินอาหาร ถูกสุขลักษณะ ท างานใน สถานที่ ไม่ก่อเหตุ ร าคาญ สิ่งเป็นพิษ สะอาด/ ปลอดภัย อยู่ใน อาคาร ปลอดภัย เอื้อต่อ สุขภาพ
6 มูลฝอย หมายความว่า เศษอาหาร เศษผ้า เศษกระดาษ เศษสินค้า ถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร มูลสัตว์หรือซากสัตว์ รวมตลอดถึงสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์หรือที่อื่น จึงครอบคลุมขยะมูล ฝอยทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในชุมชน หรือเศษสิ่ งของทุกชนิดที่เหลือทิ้ง ซึ่งมักอยู่ในสภาพที่เป็นของแข็ง และ หมายรวมถึง ขยะมูลฝอยติเชื้อด้วย เช่น เศษผ้าพันแผล เข็มฉีดยา หรือชิ้นส่วนอวัยวะ เป็นต้น และมูลฝอยอันตราย ที่เกิดจาครัวเรือน เช่น ถ่านไฟฉาย กระจกเงา เป็นต้น การควบคุมของราชการส่วนท้องถิ่น 1. โดยที่กฎหมายได้ก าหนดไว้ว่า “การก าจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยในเขตราชการส่วนท้องถิ่นใดให้เป็น อ านาจหน้าที่ของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น (มาตรา 18) ดังนั้นจึงถือได้ว่า การก าจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นหน้าที่ ของราชการส่วนท้องถิ่นโดยตรง 2. ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร เช่น กรณีที่ท้องถิ่นขาดทรัพยากร หรือบุคลากร หรือวัสดุอุปกรณ์ใน การจัดการ ราชการส่วนท้องถิ่นก็อาจด าเนินการได้ 2 วิธีการ คือ 2.1 มอบให้สถานประกอบการใดด าเนินการก าจัดสิ่งปฏิกูลมูลฝอยเองหรือจะจ้างให้บุคคล หรือเอกชนใดด าเนินการแทน ก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของราชการส่วนท้อ งถิ่นนั้นในด้านสุขลักษณะ ในการเก็บ ขน และก าจัดด้วย (มาตรา 18 วรรค 2) 2.2 อนุญาตให้เอกชน ด าเนินการเก็บ ขน หรือก าจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย โดยท าเป็นธุรกิจหรือ โดยได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการจากประชาชน (มาตรา 18 วรรค 2) 3. ราชการส่วนท้องถิ่นมีอ านาจในการออกข้อก าหนดของท้องถิ่น (หมายถึง เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติ องค์การบริการส่วนต าบล ข้อบัญญัติจังหวัด ข้อบัญญัติเมืองพัทยา ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ) เพื่อประโยชน์ใน การรักษาความสะอาด และการจัดระเบียบในการเก็บรวบรวม ขน และก าจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยของประชาชน หรือผู้ประกอบกิจการในเขตท้องถิ่นนั้นใด้ ดังต่อไปนี้ (ตามมาตรา 20) 3.1 การห้ามการถ่ายเททิ้งซึ่งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในที่หรือทางสาธารณะ นอกจากในที่ที่ ราชการส่วนท้องถิ่นจัดไว้ให้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดของที่หรือทางสาธารณะในเขตท้องถิ่นนั้นๆ 3.2 ก าหนดให้มีที่รองรับสิ่งปฏิกูล (หมายถึง ห้องส้วม ) หรือที่รองรับมูลฝอย (หมายถึงถัง ขยะ) ส าหรับสถานที่เอกชน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ส านักงาน สถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือ สถานที่ใดๆ ทั้งนี้สามารถก าหนดได้ทั้งปริมาณและคุณลักษณะตามหลักวิชาการของที่รองรับสิ่งปฏิกูลและมูล ฝอยได้ด้วย 3.3 ก าหนดหลักเกณฑ์ และวิธี การเก็บรวบรวม ขน และก าจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยที่ถูก สุขลักษณะ ส าหรับเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสถานประกอบการใดๆได้ตามลักษณะและสภาพที่การ ประกอบกิจการนั้นก่อให้เกิดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยแต่ละประเภท
7 3.4 ก าหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการให้บริการเก็บ ขนสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยของราชการ ส่วนท้องถิ่น ที่จะเก็บจากประชาชนผู้ใช้บริการที่ราชการส่วนท้องถิ่นจัดให้ ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมนี้จะต้องไม่ เกินกว่าอัตราที่ได้ก าหนดไว้ในกฎกระทรวง 3.5 ก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขด้านสุขลักษณะในการเก็บ ขน และก ารก าจัดสิ่ง ปฏิกูลหรือมูลฝอยส าหรับให้ผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้รับท าการเก็บ ขน หรือก าจัดสิ่งปฏิกูล หรือมูลฝอย โดยท าเป็น ธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการตามมาตรา 19 ต้องถือปฏิบัติ เช่น ผู้ประกอบกิจการรถ ดูดส้วม ต้องใช้รถที่มีการปกปิดมิดชิด ไม่หกเรี่ ยราด สิ่งปฏิกูลที่ดูดไปแล้วต้องน าไปก าจัดด้วยระบบที่ถูกหลัก สุขาภิบาล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีอ านาจออกข้อก าหนดของท้องถิ่นก าหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงตามลักษณะของ การให้บริการที่ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 19 จะพึงเรียกเก็บจากประชาชนที่ใช้บริการ ได้ 3.6 เรื่องอื่นๆ ที่จ าเป็นต้องก าหนดเพื่อให้การเก็บรวบรวม ขนและก าจัดถูกต้องด้วยสุขลักษณะ หมวดที่ 4 สุขลักษณะของอาคาร ความหมายและขอบเขต จากค าจ ากัดความตามมาตรา 4 บัญญัติว่า อาคาร หมายความว่า ตึก บ้าน เรือน โรง ร้าน แพ คลังสินค้า ส านักงาน หรือสิ่งที่สร้างขึ้นอย่าง อื่น ซึ่งบุคคลอาจเข้าอยู่หรือเข้าใช้สอยได้จึงครอบคลุมอาคารประเภทต่างๆ ทุกชนิด การควบคุมของราชการส่วนท้องถิ่น 1. ราชการส่วนท้องถิ่นมีอ านาจในการควบคุมเกี่ยวกับการใช้อาคารให้ถูกสุขลักษณะได้ ซึ่งมิใช่การ ควบคุมเรื่องการก่อสร้างอาคารและการเข้าใช้อาคาร ซึ่งต้องขออนุญาตจากเจ้ าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมาย ควบคุมอาคาร ส่วนการควบคุมดูแลการใช้อาคารให้ถูกสุขลักษณะเป็นการด าเนินการเมื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครอง อาคารได้ปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคารโดยถูกต้องแล้ว และการดูแลตามกฎหมายการสาธารณสุขนี้ เจ้า พนักงานท้องถิ่นไม่จ าเป็นต้องออกเป็นข้อก าหนดชองท้องถิ่น เพราะบทกฎหมายแม่บทก าหนดให้เจ้าของหรือผู้ ครอบครองอาคารใดๆ ต้องปฏิบัติดังนี้ 1.1 ต้องไม่ท าให้อาคารหรือส่วนของอาคารมีสภาพช ารุดทรุดโทรม อยู่ในสภาพรกรุงรังจน อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย (มาตรา 21) 1.2 ต้องไม่ท าให้อาคารมีสินค้า เครื่องเรือนหรือสัมภาระ สะสมไว้มากเกินสมควรหรือจัดสิ่งของ เหล่านั้นซับซ้อนกันเกินไป จนอาจเป็นเหตุให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ให้โทษ หรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของ ผู้อยู่อาศัย หรือไม่ถูกต้องด้วยสุขลักษณะของการใช้เป็นที่อยู่อาศัย (มาตรา 22) 1.3 ต้องไม่ยอมให้มีคนอยู่มากเกินไปในอาคาร จนอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อยู่ในอาคาร ตามเกณฑ์ที่ก าหนดในประกาศกระทรวงกระทรวงสาธารณสุข (มาตรา 24) ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่
8 ระบาดของโรคทางเดินหายใจ ปัจจุบันได้ก าหนดเกณฑ์จ านวนคนต่อจ านวนพื้นที่ของอาคารประเภทบ้าพักอาศัย ห้องเช่า หอพัก โรงแรม และอาคารโรงงาน ต้องมีคนไม่เกิน หนึ่งคนต่อพื้นที่สามตารางเมตร 2. เมื่อปรากฎว่าอาคารใดไม่ถูกสุขลักษณะตามข้อก าหนดข้อ 1.1-1.3 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจออก ค าสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร จัดการแก้ไข /เปลี่ยนแปลง/รื้อถอนอาคาร/ย้ายสินค้า เครื่ อง เรือน/สัมภาระ/ให้จัดเสียใหม่ แล้วแต่กรณีปัญหา และถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ปฏิบัติตามค าสั่งภายในเวลาที่ ก าหนด เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจด าเนินการแทนได้ โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายส าหรับ การนั้น (มาตรา 23) หมวด 5 เหตุร าคาญ ความหมายและขอบเขต บทบัญญัติมาตรา 25 ได้ก าหนดลักษณะที่ถือว่าเป็นเหตุร ำคำญ ได้แก่ (1)ลักษณะของการจัดให้มีแหล่งน้ า ทางระบายน้ า ที่อาบน้ า ส้วม หรือที่ใส่มูลหรือเถ้า อยู่ในท าเลที่ไม่เหมาะสม สกปรก หมักหมมสิ่งของ มีการเททิ้ง สิ่งใดเป็นเหตุให้มีกลิ่นเหม็น หรือน่าจะเป็นแหล่งเพาะพันธ์พาหะน าโรค จนอาจก่อให้เกิดความเสื่อมหรืออาจเป็น อันตรายต่อสุขภาพ (2)การเลี้ยงสัตว์ในที่หรือโดยวิธีใดหรือมีจ านวนมากเกินสมควรจนอาจก่อให้เกิดความเสื่อม หรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (3)อาคารที่อยู่อาศัยของคนหรือสัตว์ โรงงานหรือสถานประกอบกิจการใดๆไม่มี หรือมีแต่มิได้ควบคุมดูแลให้การระบายอากาศ การระบายน้ า การก าจัดสิ่งปฏิกูล หรือการควบคุมสารพิษ ปราศจากกลิ่นเหม็นหรือละอองสารเป็นพิษอย่างเพียงพอจนอาจก่อให้เกิดความเสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อ สุขภาพ หรือ(4)การกระท าใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น การกระท าใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระท าของบุคคล/กลุ่มบุคล/หน่วยงาน/สถานประกอบการหรือ โรงงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบจนเป็นเหตุให้เสื่อมหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ย่อมถือว่าเป็นการก่อเหตุร าคาญ การควบคุมของราชการส่วนท้องถิ่น 1. ในกรณีที่มีเหตุร าคาญเกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นในที่หรือทางสาธารณะ กฎหมายตามมาตรา 27 ให้อ านาจ แก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นดังนี้ 1.1 ออกค าสั่งเป็นหนังสือให้บุคคลที่เป็นต้นเหตุ/เกี่ยวข้องกับการก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุ ร าคาญนั้น ระงับหรือป้องกันเหตุร าคาญภายในเวลาอันสมควร 1.2 ถ้าผู้ได้รับค าสั่งไม่ปฏิบัติตามค าสั่งและเหตุร าคาญนั้นอาจเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุข ภาพ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นเข้าระงับเหตุนั้น โดยผู้รับค าสั่งเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย 2. ในกรณีที่มีเหตุร าคาญเกิดขึ้นในสถานที่เอกชน ให้อ านาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นดังนี้
9 2.1 ออกค าสั่งเป็นหนังสือให้บุคคลที่เป็นต้นเหตุ/เกี่ยวข้องกับการก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุ ร าคาญนั้น ระงับหรือป้องกันเหตุร าคาญภายในระยะเวลาอันสมควร 2.2 ถ้าผู้ได้รับค าสั่งไม่ปฏิบัติตามค าสั่ง เจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจเข้าระงับเหตุร าคาญนั้นได้และ ถ้าการนั้นเกิดจากการกระท าหรือการละเลยของเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่นั้น ผู้นั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย 2.3 กรณีที่เหตุร าคาญนั้นอาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพหรือมีผลกระทบต่อสภาวะความเป็น อยู่ที่เหมาะสมกับการด ารงชีพ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจออกค าสั่งห้ามมิให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองใช้หรือ ยินยอมให้บุคคลใดใช้สถานที่นั้น จนกว่าจะเป็นที่พอใจว่าได้ระงับเหตุร าคาญนั้นแล้ว หมวด 6 การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ ความหมายและขอบเขต โดยที่บทนิยามศัพท์ไม่มี จึงอาจพิจารณาตามหลักที่วิญญูชนพึงจะเข้าใจได้ ดังนี้ สัตว์หมายถึง สัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่าหรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่คนเราสามารถ น ามาเลี้ยงได้ การเลี้ยง หมายถึง กรรมวิธีหรือวิธีการที่จะดูแลให้สัตว์นั้นเจริญเติบโตและมีชีวิตอยู่ได้ การปล่อย หมายถึง (1) อาจจะเป็นการเลี้ยงแบบปล่อย เช่น การปล่อยโคกินหญ้าที่สนาม หรือ (2) อาจจะเป็นการปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ เช่น การปล่อยนก เป็นต้น การควบคุมของราชการส่วนท้องถิ่น 1. เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการด ารงชีพของประชาชน หรือเพื่ อ การป้องกันโรคติดต่อที่เกิดจากสัตว์ในชุมชน กฎหมายการสาธารณสุขจึงให้อ านาจแก่ราชการส่วนท้องถิ่นในการ ออกข้อก าหนดของท้องถิ่น เพื่อก าหนดให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของพื้นที่ในเขตอ านาจของราชการส่วน ท้องถิ่นนั้นเป็น “เขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์” ได้ตามมาตรา 29 โดยอาจก าหนดเป็น 1.1 เขตห้ามเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์บางชนิดโดยเด็ดขาด หรือ 1.2 เขตห้ามเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์บางชนิดเกินกว่าจ านวนที่ก าหนด หรือ 1.3 เขตห้ามเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์บางชนิดโดยต้องอยู่ภายใต้มาตรการอย่างใดอย่างหนึ่ง 2. กรณีที่มีการปล่อยสัตว์ในที่หรือทางสาธารณะอันเป็นเขตห้ามปล่อย โดยไม่ปรากฎเจ้าของ ให้เจ้า พนักงานท้องถิ่นมีอ านาจด าเนินการตามมาตรา 30 ดังนี้ 2.1 จับและกักสัตว์ดังกล่าวไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน ถ้ามีเจ้าของมารับภายใน 30 วัน ให้ผู้นั้น เสียค่าใช้จ่ายส าหรับการเลี้ยงสัตว์นั้น นอกจากนี้ยังต้องเสียค่าปรับอีก โทษฐานปล่อยสัตว์ในที่ห้ามปล่อย ตาม มาตรา 73 วรรค 2
10 2.2 เมื่อพ้นก าหนด 30วันแล้ว ไม่มีผู้ใดมาแสดงตัวเป็นเจ้าของ ให้สัตว์นั้นตกเป็นของราชการ ส่วนท้องถิ่น 2.3 กรณีที่การกักสัตว์อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์นั้นหรือสัตว์อื่น หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเกิน สมควร เจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจขายทอดตลาดสัตว์นั้นก่อนครบก าหนด 30 วันก็ได้ แล้วหักค่าใช้จ่ายและเก็บส่วน ที่เหลือไว้แทนสัตว์นั้น 2.4 กรณีที่สัตว์นั้นเป็นโรคติดต่ออันอาจจะเป็นอันตรายต่อประชาชน เจ้าพนักงานท้องถิ่นมี อ านาจท าลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควรได้ทันที หมวด 7 กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ความหมายและขอบเขต กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หมายถึง กิจการที่มีกระบวนการผลิตหรือกรรมวิธีการผลิต ที่ก่อให้เกิด มลพิษหรือสิ่งที่ท าให้เกิดโรค ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของ คนงานหรือผู้ประกอบการ หรือ ประชาชน ที่อยู่ในบริเวณข้างเคียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมลพิษทางอากาศ ทางน้ า ทางดิน ทางเสียง แสง ความร้อน ความ สั่นสะเทือน รังสี ฝุ่นละออง เขม่า เถ้า หรือมลพิษอื่นใด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ 5/2538 เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 และ ประกาศกระทรวงส าธารณสุข เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (ฉบับที่ 4) ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2546 ก าหนดให้กิจการ 133 ประเภท ซึ่งแบ่งออกเป็น 13 กลุ่มประเภทกิจการ เป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อ สุขภาพ ได้แก่ (1) กิจการที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ มี 3 กิจการ (2) กิจการที่เกี่ยวกับสัตว์และผลิตภัณฑ์ มี 8 กิจการ (3) กิจการที่เกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม น้ าดื่ม มี 26 กิจการ (4) กิจการที่เกี่ยวกับยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ เครื่องส าอาง ผลิตภัณฑ์ช าระล้าง มี 5 กิจการ (5) กิจการที่เกี่ยวกับการเกษตร มี 9 กิจการ (6) กิจการที่เกี่ยวกับโลหะหรือแร่ มี 6 กิจการ (7) กิจการที่เกี่ยวกับยานยนต์ เครื่องจักรหรือเครื่องกล มี 7 กิจการ (8) กิจการที่เกี่ยวกับไม้ มี 8 กิจการ (9) กิจการที่เกี่ยวกับการบริการ มี 15 กิจการ (10)กิจการที่เกี่ยวกับสิ่งทอ มี 8 กิจการ (11)กิจการที่เกี่ยวกับหิน ดิน ทราย ซีเมนต์หรือวัตถุที่คล้ายคลึง มี 11 กิจการ
11 (12)กิจการที่เกี่ยวกับปิโตรเลี่ยม ถ่านหิน สารเคมี มี 17 กิจการ (13)กิจการอื่นๆ มี 10 กิจการ (รายละเอียดรายชื่อกิจการ ดูจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในภาคผนวก) การควบคุมของราชการส่วนท้องถิ่น 1. อ านาจในการออกใบอนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา 32(1) ก าหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอ านาจออกข้อก าหนดของท้องถิ่น ก าหนดประเภทของกิจการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุภาพ ให้บางประเภท กิจการหรือทุกประเภทกิจการ ให้เป็นกิจกำรที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นนั้น และโดยที่บทบัญญัติมาตรา 33 วรรคแรก ก าหนดว่า “เมื่อพ้นก าหนดเก้าสิบวันที่ข้อก าหนดของ ท้องถิ่นตามมาตรา 32(1) ใช้บังคับ ห้ามมิให้ผู้ใดด าเนินกิจการตามประเภทที่มีข้อก าหนดของท้องถิ่นก าหนดให้ เป็นกิจการที่ต้องควบคุมตามมาตรา 32(1) ในลักษณะที่เป็นการค้า เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ....” หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการใดๆ ที่เข้าข่าย เป็นกิจการที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นตามที่ราชการส่วนท้องถิ่น ก าหนดตามมาตรา 32(1) และประกอบการในลักษณะที่เป็นการค้าจะต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน ด าเนินกิจการ 2. อ านาจในการก าหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไป ราชการส่วนท้องถิ่นมีอ านาจในการออกข้อก าหนดของท้องถิ่นในการก าหนดหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขทั่วไป โดยอาจแยกได้เป็น 2 ส่วน คือ 2.1 การดูแลสภาพ หรือสุขลักษณะของสถานที่ที่ใช้ด าเนินการ ซึ่งหมายถึง สภาพสุขาภิบาลสิ่ง แวดล้อมของสถานประกอบการ ทั้งในด้านการดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบของโครงสร้างอาคาร การรักษาสภาพการใช้งานของเครื่องมือ อุปกรณ์ ระบบการระบายอากาศ แสง เสียง ระบบการก าจัดสิ่งปฏิกูลมูล ฝอย ให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดี 2.2 มาตรการป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งหมายถึง ระบบป้องกันอุบัติภัย อัคคีภัย ระบบการ ก าจัดมลพิษ ระบบการป้องกันการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหาร รวม ทั้งระบบการป้องกันตนเองของผู้ปฏิบัติใน สถานประกอบการนั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาด้านมลพิษที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนงาน ชุมชน ข้างเคียง และประชาชนทั่วไป 3. อ านาจในการก าหนดเงื่อนไขในใบอนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา 33 วรรคสอง ก าหนดว่า “ในการออกใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง เจ้า พนักงานท้องถิ่นอาจก าหนดเงื่อนไขโดยเฉพาะ ให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติเพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพของ สาธารณชนเพิ่มเติมจากที่ก าหนดไว้โดยทั่วไปในข้อก าหนดท้องถิ่น ตามมาตรา 32(2) ก็ได้”
12 ดังนั้น เจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอ านาจก าหนดเงื่อนไขการปฏิบัติข องผู้ประกอบกิจการเพิ่มเติม จากที่ได้ก าหนดในหลักเกณฑ์ทั่วไปได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจ าเป็นของลักษณะของกิจการนั้นๆ เพื่อการป้องกัน อันตรายต่อสุขภาพของสาธารณชน หมวด 8 ตลาด สถานที่จ าหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร ความหมายและขอบเขต จากค าจ ากัดความตามมาตรา 4 บัญญัติว่า ตลาด หมายถึง สถานที่ซึ่งปกติจัดไว้ให้ผู้ค้าใช้เป็นที่ชุมนุมเพื่อจ าหน่ายสินค้าประเภทสัตว์ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ หรืออาหารอันมีสภาพเป็นของสด ประกอบ หรือปรุงแล้วหรือของเสียง่าย ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีการ จ าหน่ายสินค้าประเภทอื่นด้วยหรือไม่ก็ตาม และหมายความรวม ถึงบริเวณซึ่งจัดไว้ส าหรับให้ผู้ค้าใช้เป็นที่ชุมนุม เพื่อจ าหน่ายสินค้าประเภทดังกล่าวเป็นประจ าหรือเป็นครั้งคราว หรือตามวันที่ก าหนด สถานที่จ าหน่ายอาหาร หมายถึง อาคาร สถานที่ หรือบริเวณใดๆ ที่มิใช่ที่หรือทางสาธารณะ ที่ จัดไว้เพื่อประกอบอาหารหรือปรุงอาหารจนส าเร็จ และจ าหน่ายให้ผู้ซื้อสามารถบริโภคได้ทันที ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น การจ าหน่ายโดยจัดให้มีบริเวณไว้ส าหรับการบริโภค ณ ที่นั้น หรือน าไปบริโภคที่อื่นก็ตาม สถานที่สะสมอาหาร หมายถึง อาคาร สถานที่ หรือบริเวณใดๆ ที่มิใช่ที่หรือทางสาธารณะ ที่จัด ไว้ส าหรับเก็บอาหารอันมีสภาพเป็นของสด หรือของแห้ง หรืออาหารในรูปลักษณะอื่นใด ซึ่งผู้ซื้อต้องน าไปท า ประกอบ หรือปรุง เพื่อบริโภคในภายหลัง การควบคุมของราชการส่วนท้องถิ่น 1. เรื่องตลาด 1.1 ตามมาตรา 34 กฎหมายก าหนดให้ผู้ที่ต้องการจัดตั้งตลาดต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงาน ท้องถิ่นก่อน และผู้ที่ได้ รับอนุญาตแล้ว หากต้องการจะเปลี่ยนแปลง ขยายหรือลดสถานที่ตลาด ก็ต้องได้รับ อนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน จึงจะด าเนินการได้ เว้นแต่เป็นการจัดตั้งตลาดของกระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์การของรัฐที่ จัดตั้งตามอ านาจหน้าที่ ไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น แต่ต้องปฏิบัติตามข้อก าหนดของท้องถิ่น 1.2 ราชการส่วนท้องถิ่น มีอ านาจออกข้อก าหนดของท้องถิ่น ในเรื่องต่อไปนี้ (1) เรื่องเกี่ยวกับที่ตั้ง เนื้อที่ แผนผัง สิ่งปลูกสร้าง (2) เรื่องหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดสถานที่ การวางสิ่งของ (3) การก าหนดเวลาปิดและเปิดตลาด
13 (4) เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาด การก าจัดสิ่งปฏิกูลมูล ฝอย การระบายน้ าทิ้ง การระบายอากาศ (5) เรื่องสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้ขายและผู้ช่วยขายของในตลาด 2. สถานที่จ าหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร 2.1 มาตรา 38 กฎหมายก าหนดให้ ผู้ที่ต้องการจัดตั้งสถานที่จ าหน่ายอาหารและสถานที่สะสม อาหารต้องขออนุญาตและต้องแจ้งไว้ดังนี้ (1) กรณีที่จัดตั้งสถานที่จ าหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหารที่มีพื้นที่เกินกว่า 200 ตารางเมตร และมิใช่เป็นการขายของในตลาด ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น (2) กรณีที่จัดตั้งสถานที่จ าหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหารที่มีพื้นที่ไม่เกินกว่า 200 ตารางเมตร และมิใช่เป็นการขายของในตลาด ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น 2.2 ราชการส่วนท้องถิ่นมีอ านาจออกข้อก าหนดของท้องถิ่น ตามมาตรา 40 ได้ดังนี้ (1) ก าหนดประเภทของของสถานที่จ าหน่ายอาหาร/สะสมอาหาร ตามประเภทของ อาหาร ลักษณะของสถานที่ประกอบ หรือวิธีการจ าหน่าย (2) ก าหนดหลักเกณฑ์เรื่องสุขลักษณะของบริเวณที่ใช้ปรุง ประกอบ จ าหน่ายอาหาร บริเวณที่จัดไว้ส าหรับบริโภคอาหาร (3) ก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการป้องกันมิให้เกิดเหตุร าคาญและการป้องกัน โรคติดต่อ (4) ก าหนดเวลาจ าหน่ายอาหาร (5) ก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้จ าหน่ายอาหาร ผู้ปรุง และผู้ให้ บริการ (6) ก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะของอาหาร กรรรมวิธีการจ าหน่าย ปรุง ประกอบ เก็บรักษาและสะสมอาหาร (7) ก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะของภาชนะอุปกรณ์ น้ าใช้และของใช้อื่นๆ หมวด 9 การจ าหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ความหมายและขอบเขต จากค าจ ากัดความในมาตรา 4 ได้ก าหนดค านิยามค าว่าที่หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีค าว่า สินค้า จึงอาจ พิจารณาความหมายได้ ดังนี้
14 ที่หรือทางสาธารณะ หมายถึง สถานที่หรือทางซึ่งมิใช่เป็นของเอกชนและประชาชนสามารถใช้ ประโยชน์หรือใช้สัญจรได้ สินค้า หมายถึง ข้าวของ วัสดุทุกชนิด ที่น ามาขาย จ าหน่ายได้ ซึ่งรวมถึงอาหารและน้ าดื่ม น้ าแข็ง ด้วย หรือกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ หาบเร่ แผงลอยที่จ าหน่ายในที่หรือทางสาธารณะนั่นเอง การควบคุมของราชการส่วนท้องถิ่น 1. มาตรา 41 กฎหมายก าหนดให้ ผู้ที่จ าหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการจ าหน่ายโดย ลักษณะวิธีการจัดวางสินค้าในที่หนึ่งที่ใดเป็นปกติหรือเร่ขาย จะต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน 2. ราชการส่วนท้องถิ่นมีอ านาจออกข้อก าหนดของท้องถิ่นได้ตามมาตรา 43 ดังนี้ (1) ก าหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะส่วนบุคคลของผู้จ าหน่ายยสินค้าหรือผู้ช่วยจ าหน่าย สินค้า สุขลักษณะในการใช้กรรมวิธีการจ าหน่าย ปรุงประกอบอาหาร หรือสินค้าอื่น (2) หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดวางสินค้า (3) ก าหนดเวลาส าหรับการจ าหน่ายสินค้า (4) การรักษาความสะอาด การป้องกันเหตุร าคาญและโรคติดต่อ 3. ราชการส่วนท้องถิ่นด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจรยังมีอ านาจในการประกาศเขตควบคุม การจ าหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ได้ดังนี้ ทั้งนี้ต้องค านึงถึงประโยชน์การใช้ที่ทางสาธารณะของชุมชน ในท้องถิ่นนั้นๆด้วย (1) ก าหนดให้บริเวณที่หรือทางสาธารณะหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของพื้นที่ในเขตท้องถิ่นนั้น - เป็นเขตห้ามจ าหน่ายหรือซื้อสินค้าโดยเด็ดขาด - เป็นเขตห้ามจ าหน่ายสินค้าบางชนิดหรือบางประเภท - เป็นเขตห้ามจ าหน่ายสินค้าตามก าหนดเวลา - เป็นเขตห้ามจ าหน่ายสินค้า โดยวิธีการจ าหน่ายในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรือก าหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ ละเงื่อนไขในการจ าหน่าย ณ บริเวณนั้น (2) การก าหนดเขตดังกล่าว จะต้องปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ ที่ท าการของราชการส่วนท้อง ถิ่น และบริเวณที่จะก าหนดเขต โดยต้องก าหนดวันที่จะบังคับไว้แต่ต้องไม่น้อยกว่า 15 วัน นับแต่วันประกาศ จากบทบัญญัติข้างต้น ตั้งแต่หมวด 3 ถึงหมวด 9 ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 เป็นเครื่องมือที่ส าคัญของราชการส่วนท้องถิ่นและเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการที่บริหารจัดการให้ท้องถิ่น เป็นเมืองน่าอยู่ น่าอาศัย และสามารถคุ้มครองให้ประชาชนในท้องถิ่นมีหลักประกันด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและมี สุขภาพอนามัยที่ดีได้ ดังแผนภูมิดังต่อไปนี้
15 แผนภูมิ แสดงขอบเขตการคุ้มครองของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 •กิจการตลาด •กิจการร้านอาหาร • กิจการเก็บ ขน/ก าจัดสิ่งปฏิกูล/มูลฝอย(ธุรกิจ) •กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (133 ประเภท) •การขายสินค้าในที่/ทางสาธารณะ การคุ้มครองประชาชนของกฎหมายสาธารณสุข กิจการที่ต้องควบคุมตามกฎหมาย • บ้าน/ ครัวเรือน/ ชุมชน •โรงเรียน/ สถานศึกษา •วัด/ ศาสนสถาน • สถานีขนส่ง/ สถานีรถไฟ • สถานพยาบาล • สถานประกอบกิจการอื่น ๆ ต้องขอ อนุญาต /แจ้ง เจ้าพนักงานท้องถิ่น ราชการส่วนท้องถิ่น ต้องปฏิบัติ ให้ถูก สุขลักษณะ ก่อนประกอบการ ต้องก าจัด สิ่งปฏิกูล/ มูลฝอย ต้องดูแล อาคารให้ถูก สุขลักษณะ ต้องไม่ ก่อ เหตุร าคาญ ข้อก าหนดของท้องถิ่น ประกาศเพิ่ม กิจการทั่วไป •สถานที่สะสมอาหาร •การเลี้ยงสัตว์หรือปล่อยสัตว์
16 กลไกการบังคับใช้กฎหมาย ในการบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 กฎหมายได้ก าหนดโครงสร้าง อ านาจ หน้าที่ขององค์กร ส่วนราชการต่างๆ และบุคคลทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้มีลักษณะที่ ประสานสอดคล้องกัน ทั้งนี้เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ได้กระจาย อ านาจในการควบคุมดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย ลงสู่หน่วยงานในระดับท้องถิ่น ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิด ประชาชนมากที่สุด และก าหนดให้หน่วยงานส่วนกลางเป็นผู้ก าหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานและวิธีปฏิบัติ เพื่อการ สนับสนุนและสอดส่องดูแลการปฏิบัติงานของหน่วยงานส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังได้ก าหนดให้มีเจ้า พนักงาน สายวิชาการซึ่งเรียกว่า “เจ้าพนักงานสาธารณสุข” เป็นผู้ตรวจตราดูแลและวินิจฉัยทางวิชาการ ซึ่งอ านาจหน้าที่ขององค์กร บุคคลผู้ด ารงต าแหน่งและหน่วยงานราชการต่างๆ ตามพระราชบัญญัติการ สาธารณสุข พ.ศ. 2535 เป็นดังต่อไปนี้ 1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้จึงมีบทบาทและมีอ านาจหน้าที่ ดังนี้ 1. แต่งตั้ง “เจ้าพนักงานสาธารณสุข” ตามมาตรา 5 2. แต่งตั้ง “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ให้เป็นกรรมการสาธารณสุข ตามมาตรา 9 3. ออกกฎกระทรวง/ประกาศกระทรวง โดยค าแนะน าของคณะกรรมการสาธารณสุข ทั้งในเรื่อง หลักเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการควบคุมก ากับดูแลกิจการหรือการด าเนินการในเรื่องต่างตามพระราชบัญญัตินี้ 4. อนุมัติให้ราชการส่วนท้องถิ่นสามารถใช้ข้อก าหนดของท้องถิ่นที่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงที่ ออกตามมาตรา 6 ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นกรณีที่ข้อก าหนดในกฏกระทรวงไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของท้องถิ่น นั้น และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสาธารณสุขด้วย 5. พิจารณาก าหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และค าสั่งเกี่ยวกับการสาธารณสุข โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสาธารณสุข 6. พิจารณาค าอุทธรณ์ของผู้ที่ได้รับค าสั่งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขแล้ว เห็นไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่พอใจค าสั่งนั้น ซึ่งยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีฯภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับ ค าสั่งนั้น(ตามมาตรา 66) อย่างไรก็ตาม ปัจุจบันรัฐมนตรีได้มอบอ านาจการพิจารณาอุทธรณ์ให้รัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงสาธารณสุขในเขตกรุงเทพมหานคร และมอบอ านาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตต่างจังหวัด และ ค าสั่งของรัฐมนตรีฯให้เป็นที่สุด (ตามมาตรา 67)
17 2. คณะกรรมการสาธารณสุข ประกอบด้วยปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรม ควบคุมโรค อธิบดีกรมการ แพทย์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแ พทย์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดี กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้บัญชาการต ารวจ แห่งชาติ เลขาธิการส านักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกรุงเทพมหานคร และมี ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีอีกไม่เกิน 5 คน เป็นกรรมการ และมีอธิบดีกรมอนามัยเป็นกรรมการ และเลขานุการ โดยบทบัญญัติมาตรา 10ก าหนดให้คณะกรรมการ มีอ านาจหน้าที่ดังนี้คือ 2.1 พิจารณาแนวนโยบาย แผนงานและมาตรการ ด้านการสาธารณสุข รวมทั้งก าหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ด้านสุขลักษณะ เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีฯ ออกนโยบายหรือกฎกระทรวง ประกาศกระทรวง แล้วแต่กรณี 2.2 มีอ านาจในการให้ค าปรึกษาแนะน าแก่ราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่น รวมทั้ง มีอ านาจในการควบคุม สอดส่อง ดูแล และสนับสนุน ราชการส่วนท้องถิ่นและเจ้าพนักงานท้องถิ่น เพื่อการออก ข้อก าหนดของท้องถิ่นและการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้(ตามมาตรา 10) 2.3 ในกรณีที่ปรากฎแก่คณะกรรมการสาธารณสุข ว่าราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น ซึ่งมีเขตอ านาจในท้องถิ่นใดไม่ด าเนินการตามอ านาจหน้าที่ที่ก าหนดไว้ตามพระราชบัญญัตินี้โดย ไม่มี เหตุผลอันสมควร ให้คณะกรรมการ สาธารณสุข แจ้งต่อผู้มีอ านาจควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของราชการส่วน ท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น เพื่อสั่งให้ราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงาน ท้องถิ่นด าเนินการตามอ านาจหน้าที่หรือแก้ไขการด าเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร (ตามมาตรา 11) 2.4 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อปฏิบัติการใดตามที่คระกรรมการสาธาณรสุขมอบหมาย 3. คณะอนุกรรมการ คณะอนุกรรมการ หมายถึง คณะบุคคลที่คณะกรรมการสาธารณสุขได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่คณะกรรมการสาธารณสุขมอบหมาย (ตามมาตรา 16) ซึ่งขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งแล้วหลายคณะ เช่น คณะอนุกรรมการพิจารณาทบทวนกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามประกาศกระกาศกระทรวงฯ คฯ อนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 ว่าด้วยสุขลักษณะของตลาด เป็นต้น จากบทบาทอ านาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการสาธารณสุขข้างต้น ก็ จะเห็นความเห็นสัมพันธ์ของรัฐมนตรีฯและคณะกรรมการฯ ในการปฏบัติหน้าที่สนับสนุนราชการส่วนท้องถิ่น ได้ดังแผนภูมิต่อไปนี้
18 แผนภูมิ แสดงอ านาจหน้าที่ของรัฐมนตรีและคณะกรรมการสาธารณสุข 4. อธิดีกรมอนามัย อธิบดีกรมอนามัยถือว่าเป็นแกนส าคัญในการผลักดันให้คณะกรรมการสาธารณสุขด าเนินการตาม อ านาจหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 มาตรา 8 ยังได้ให้อ านาจ อธิบดีกรมอนามัยในการออกค าสั่งให้เจ้าของวัตถุหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่อให้เกิดความเสียหาย ระงับการ กระท าหรือกระท าการใดๆ เพื่อแก้ไขหรือป้องกันความเสียหายเช่นว่านั้นได้ตามที่เห็นสมควร ในกรณีที่เกิดหรือมี สั่ง แจ้ง รมว.สาธารณสุข 1. แต่งตั้งเจ้าพนักงาน สธ.& ผู้ทรงคุณวุฒิ 2. ออก กฎ /ประกาศ กระทรวง 3.พิจารณาอุทธรณ์ 4. ออก กฎ/ประกาศกระทรวง มาตรฐาน หลักเกณฑ์ 5. ก าหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการ 6. ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ 7. อนุมัติการใช้ข้อก าหนดท้องถิ่นที่แตกต่าง 1. ให้ค าแนะน า 2. ให้ความเห็น 3. ให้ความเห็นชอบ คณะกรรมการฯ 6. ก าหนดโครงการ ประสานงาน 4. ให้ค าแนะน าและปรึกษา 5. ควบคุม / สอดส่อง 7. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จพง.ท้องถิ่น ส่วนราชการอื่น ออกข้อก าหนด ปฏิบัติตาม พรบ. ผู้มีอ านาจ ควบคุมดูแล เมื่อพบว่าไม่ ด าเนินการตาม อ านาจหน้าที่ โดยไม่มี เหตุผล รายงาน
19 เหตุอันควรสงสัยว่าจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการด ารงชีพของ ประชาชนซึ่งจ าเป็นต้องมีการแก้ไขโดยเร่งด่วน ซึ่งสามารถใช้อ านาจนี้ได้ในขอบเขตทั่วประเทศ และถ้าผู้ที่ได้รับ ค าสั่งไม่ปฏิบัติตาม ก็สามารถสั่งให้เจ้าพนักงานสาธารณสุข หรือแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้นายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัดเข้าด าเนินการแก้ไขได้โดยผู้กระท าต้องเสียค่าใช้จ่าย 5. ราชการส่วนท้องถิ่น หมายถึง องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนต าบล กรุงเทพมหานคร และเมือง พัทยา มีอ านาจในการออกข้อก าหนดของท้องถิ่น ตามที่พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 ให้อ านาจไว้ เพื่อใช้บังคับในเจตอ านาจของท้องถิ่นนั้น ในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 ได้ให้อ านาจแก่ราชการส่วนท้องถิ่นในการออกข้อก าหนด ของท้องถิ่น ในเรื่องต่อไปนี้ คือ 5.1 เรื่องการก าจัดสิ่งปฏิกูลมูลฝอย ตามมาตรา 20 (1)-(6) 5.2 เรื่องการก าหนดเขตการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ ตามมาตรา 29 5.3 เรื่องการก าหนดกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่ต้องควบคุมในท้องถิ่น และหลักเกณฑ์ ทั่วไป ตามมาตรา 32 (1)-(2) 5.4 เรื่องสุขลักษณะของตลาด ตามมาตรา 35 (1)-(4) 5.5 เรื่องสุขลักษณะของสถานที่จ าหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร ตามมาตรา 40 (1)-(7) 5.6 เรื่องสุขลักษณะของการจ าหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ตามาตรา 43 (1)-(5) 5.7 เรื่องแบบหนังสือรับรองการแจ้งและวิธีการแจ้ง ตามมาตรา 48 และหลักเกณฑ์ วิธีการขอใบ แทนและการออกใบแทน ตามมาตรา 50 วรรค 2 5.8 เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขอและการออกใบอนุญาต ตามมาตรา 54 การขอต่อ อายุใบอนุญาต ตามมาตรา 55 วรรค 3 การขอรับใบแทนและการออกใบแทนใบอนุญาต ตามมาตรา 58 วรรค 2 5.9 เรื่องอัตราค่าธรรมเนียม ตามมาตรา 63 6. เจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานท้องถิ่น หมายถึง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดส าหรับในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เปลี่ยนจากผู้ว่าราชการจังหวัด) นายกเทศมนตรีส าหรับในเขตเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนต าบลส าหรับใน เขตองค์การบริหารส่วนต าบล ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครส าหรับในเขตกรุงเทพมหานคร และ นายกเมืองพัทยา ส าหรับในเขตเมืองพัทยา และก าหนดให้มีอ านาจ ดังนี้ 6.1 ออกใบอนุญาต และออกหนังสือรับรองการแจ้งแก่ผู้ประกอบกิจการที่กฎหมายก าหนดให้ต้อ ขออนุญาตหรือต้องแจ้งแล้วแต่กรณี ตามมาตรา 54 และมาตรา 48 ตามล าดับ
20 6.2 ออกค าสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายให้แก้ไขและปรับ ปรุงให้ถูกต้อง ถ้าไม่แก้ไขตามค าสั่ง ให้มีอ านาจออกค าสั่งให้หยุดกิจการนั้นได้ ตามมาตรา 45 6.3 ออกค าสั่งพักใช้ใบอนุญาต ตามมาตรา 59 หรือเพิกถอนใบอนุญาต ตามมาตรา 60 6.4 ออกค าสั่งให้หยุดกิจการกรณีที่ค้างช าระค่าธรรมเนียมติดต่อกันเกินกว่า 2 ครั้ง จนกว่าจะเสีย ค่าธรรมเนียมและค่าปรับ ตามมาตรา 65 6.5 ออกค าสั่งให้หยุดกิจการ ส าหรับกิจการที่ต้องแจ้งแต่ไม่แจ้ง และเคยได้รับโทษมาแล้ว ยังฝ่า ฝืนอีก และถ้าไม่หยุดอาจสั่งห้ามด าเนินกิจการนั้นได้แต่ไม่เกิน 2 ปี ตามมาตรา 52 6.6 ออกค าสั่งให้ผู้ใดหรือผู้ประกอบการใดที่ก่อให้เกิดปัญหาเหตุเดือดร้อนร าคาญต่อประชาชน ปรับปรุงแก้ไขหรือระงับเหตุร าคาญ หรือกระท าการเพื่อการป้องกันเหตุร าคาญในอนาคตได้ 6.7 ตรวจตราดูแลกิจการต่างๆ ตามอ านาจในมาตรา 44 (1)-(5) ได้ ซึ่งอ านาจตามมาตรา 44 มีดังนี้ (1) มีหนังสือเรียกบุคคลใดๆ มาให้ถ้อยค าหรือแจ้งข้อเท็จจริง หรือท าค าชี้แจงเป็น หนังสือหรือให้ส่งเอกสารหลักฐานใดเพื่อตรวจสอบ หรือเพื่อประกอบการพิจารณา (2) เข้าไปในอาคารหรือสถานที่ใดๆ ในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาท าการ เพื่อตรวจสอบหรือควบคุมให้เป็นไปตามข้อก าหนดของท้องถิ่นหรือตามพระราชบัญญัตินี้ (3) แนะน าให้ผู้ได้รับใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการแจ้งปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อน ไขในใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการแจ้งหรือตามข้อก าหนดของท้องถิ่นหรือตามพระราชบัญญัตินี้ (4) ยึดหรืออายัดสิ่งของใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพประชาชนเพื่อ ประโยชน์ในการด าเนินคดี หรือเพื่อน าไปท าลายในกรณีจ าเป็น (5) เก็บหรือน าสินค้าหรือสิ่งของใดๆ ที่สงสัยว่าจะไม่ถูกสุขลักษณะหรือจะก่อให้เกิด เหตุร าคาญจากอาคารหรือสถานที่ใดๆ เป็นปริมาณตามสมควรเพื่อเป็นตัวอย่างในการตรวจสอบตามความจ าเป็น ได้โดยไม่ต้องใช้ราคา 6.8 มีอ านาจแต่งตั้งข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น เป็น “ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้า พนักงานท้องถิ่น” ซึ่งจะก าหนดให้มีอาจหน้าที่ตามาตรา 44 (1)-(5) ทุกข้อหรือบางข้อ หรือข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ 7. เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสาธารณสุข หมายถึง เจ้าพนักงานซึ่งได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณ สุขให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ขณะ นี้มีเจ้าพนักงานสาธารณสุข ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วน ท้องถิ่น ซึ่งจะมีบทบาทส าคัญในการช่วยเหลือและให้ค าปรึกษาแนะน าแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นในการปฏิบัติการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ โดยกฎหมายได้ก าหนดอ านาจหน้าที่ไว้ดังนี้
21 7.1 แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อออกค าสั่ง กรณีที่พบว่ามีการปฏิบัติไม่ถูกต้อง หรือฝ่าฝืน พระราชบัญญัติ หรือกฎกระทรวง หรือข้อก าหนดของท้องถิ่น เพื่อให้แก้ไขหรือปรับปรุงให้ถูกต้อง ตามมาตรา 46 วรรค 1 7.2 กรณีที่พบว่าจะเป็นอันตรายร้ายแรง ต่อสุขภาพของประชาชนโดยส่วนรวมซึ่งสมควรจะ ด าเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน ให้มีอ านาจออกค าสั่งให้ผู้ประกอบการแก้ไขหรือระงับเหตุนั้นได้ แล้วแจ้งให้เจ้า พนักงานท้องถิ่นทราบ ตามมาตรา 46 วรรค 2 7.3 เพื่อให้สามารถปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าพนักงานสาธารณสุขมี อ านาจตามมาตรา 44 (1)-(5) 8. ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หมายถึง ข้าราชการหรือพนักงานของราชการส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นนั้น ให้มีอ านาจปฏิบัติการตรวจตรา ก ากับดูแล ตามมาตรา 44 แต่กฎหมายก าหนดว่า เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะให้อ านาจ เพียงข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อ หรือทั้ง 5 ข้อก็ได้ 9. คณะกรรมการเปรียบเทียบคดี โดยทั่วไปการเปรียบเทียบคดีหรือเปรียบเทียบปรับนั้น มักจะให้เป็นอ านาจของเจ้าพนักงานต ารวจ แต่ โดยที่พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 ต้องการให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงได้ก าหนดให้มี คณะกรรมการเปรียบเทียบคดีขึ้นเป็นการเฉพาะ ตามบทบัญญัติมาตรา 85 โดยก าหนดให้มีคณะกรรมการ เปรียบเทียบคดี ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร (ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนส านักอัยการสูงสุด ผู้แทนส านักงานต ารวจ แห่งชาติ และผู้แทนกรุงเทพมหานคร ) และต่างจังหวัด (ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด อัยการจังหวัด และผู้ บังคับการต ารวจภูธรจังหวัด) ซึ่งจะมีอ านาจเปรียบเทียบปรับได้ในทุกความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ส าหรับกรณีความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษจ าไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ให้เป็นอ านาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือผู้ที่ได้รับมอบ หมายจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการ เปรียบเทียบปรับได้ (ตามมาตรา 85) 10. ผู้ประกอบการ เอกชน และประชาชน มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง และข้อก าหนดของท้องถิ่น แต่ถ้า เจ้าพนักงานใช้อ านาจโดยมิชอบหรือไม่เป็นธรรม ผู้ประกอบการ เอกชน และประชาชนมี สิทธิอุทธรณ์โต้แย้ง ค าสั่งนั้นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(หรือต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขส าหรับเขต กรุงเทพมหานคร หรือต่อผู้ว่าราการจังหวัดส าหรับเขตต่างจังหวัด )ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบค าสั่งของเจ้า พนักงาน ตามมาตรา 66
22 แผนภูมิ แสดงกลไกการบังคับใช้กฎหมายการสาธารณสุข -สนับสนุน -สอดส่องดูแล -ออกข้อก าหนด -อนุญาต/ไม่อนุญาต -ออกค าสั่ง ตาม ม. 8 ออกค าสั่ง กฎ / ประกาศกระทรวง รมว.สาธารณสุข คณะกรรมการฯ อธิบดีกรมอนามัย ราชการส่วนท้องถิ่น จพง.ท้องถิ่น คณะอนุ กก. ผู้ได้รับการแต่งตั้ง ผปก. / เอกชน / ประชาชน มีการฝ่าฝืน พรบ. คณะกรรมการเปรียบเทียบคดี เปรียบเทียบคดี(ปรับ) ด าเนินคดีทางศาล จพง.ท้องถิ่น / ผู้ได้รับมอบหมาย แจ้ง จพง.สธ. แต่งตั้ง อุทธรณ์
23 แนวทางการด าเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย การด าเนินงานให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 นั้น ตามบทบัญญัติของกฎหมาย ได้ก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการไว้ดังนี้ 1. การออกข้อก าหนดท้องถิ่น ราชการส่วนท้องถิ่นต้องด าเนินการออกข้อก าหนดท้องถิ่นตามที่พระราชบัญญัติได้ให้อ านาจไว้เพื่อ ใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับให้ผู้ประกอบกิจการหรือกิจกรรมใดๆ ต้องปฏิบัติตามข้อก าหนดนี้ เพื่อให้เกิดสภาวะ ที่เหมาะสมต่อการด ารงชีพของประชาชน 2. การควบคุมกิจการที่ต้องขอใบอนุญาต 2.1 การอนุญาตให้ประกอบกิจการ กฎหมายได้ก าหนดให้กิจการหลายประเภทที่ผู้ที่จะด าเนินการจะต้องขออนุญาตต่อเจ้าพนักงาน ท้องถิ่นก่อนด าเนินการ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นกิจการที่มีผลกระทบต่อสาธารณชน เช่น กิจการที่เป็นอั นตรายต่อ สุขภาพที่อาจก่อให้เกิดเสียง เขม่า ควัน หรือสารพิษ ที่เป็นอันตรายต่อชุมชนข้างเคียงหรือผู้ปฏิบัติงาน บาง ประเภทก็อาจก่อให้เกิดน้ าเสีย กลิ่นเน่าเหม็น รวมทั้งมลพิษอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือกิจการร้านอาหาร ตลาด หาบเร่ และแผงลอยจ าหน่ายอาหาร ก็เป็นกิจการที่อาจส่งผลกระทบต่อการแพร่ระบาดของโรคและสุขภาพ ของประชาชนผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านขยะมูลฝอยอีกด้วย มาตรการการออกใบอนุญาตยังเป็นการป้องกันมิให้กิจการต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นโดยปราศจากการควบคุม และต้องได้รับการตรวจสอบเกี่ยวกับความเหมาะสมของสถานที่ตั้ง โครงสร้าง อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ รวมทั้งระบบป้องกันหรือบ าบัดของเสียและก าจัดสิ่งปฏิกูลมูลฝอย เป็นต้น ก่อนที่จะอนุญาตให้ด าเนินกิจการ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจหรือหลักประกันว่า กิจการเหล่านี้จะไม่ก่อเหตุเดือดร้อน ร า คาญ หรืออันตรายต่อสุขภาพ ของประชาชน ในการออกใบอนุญาตส าหรับกิจการประเภทต่างๆ นั้น พระราชบัญญัติฯ ได้ก าหนดไว้ดังนี้ (1) ให้ราชการส่วนท้องถิ่นออกข้อก าหนดของท้องถิ่นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขการขอ การออก และการต่อใบอนุญาต ตามมาตรา 54 หมายความว่า ราชการส่วนท้องถิ่นมีอ านาจที่จะ ก าหนดรูปแบบ วิธีการ และขั้นตอนการขอ การออก และการต่ออายุใบอนุญาตได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับ พระราชบัญญัติ (2) ผู้ประกอบการจะต้องยื่นค าขอใบอนุญาตก่อนด าเนินการ หรือก่อนวันหมดอายุต่อ เจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามมาตรา 55 (3) เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องตรวจความถูกต้องและความสมบูรณ์ของค าขอ
24 - ถ้าไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง ต้องแจ้งให้แก้ไขทั้งหมดในคราวเดียวกันภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับค าขอ ตามมาตรา 56 วรรค 1 - ถ้าสมบูรณ์ถูกต้อง ให้ออกใบอนุญาตภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับค าขอตาม มาตรา 56 วรรค 2 - ถ้าจะไม่อนุญาต ต้องมีหนังสือแจ้งพร้อมด้วยเหตุผลให้ผู้ขออนุญาตทราบ ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับค าขอ ตามาตรา 56 วรรค 2 - ในกรณีที่จ าเป็น อาจจะขยายเวลาในการออกใบอนุญาตหรือมีค าสั่งไม่ อนุญาตได้ไม่เกิน 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 15 วัน โดยต้องมีหนังสือแจ้งการขยายเวลาและเหตุจ าเป็นแต่ละครั้งด้วย ตาม มาตรา 56 วรรคท้าย (4) ใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ มีอายุ 1 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาตและให้ ใช้ได้เพียงในเขตอ านาจของราชการส่วนท้องถิ่นที่เป็นผู้ออกใบอนุญาตนั้นเท่านั้น การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นมาตรการที่จะป้องกันและควบคุม ปัญหาตั้งแต่เบื้องต้น ส่วนการต่อหรือไม่ต่ออายุใบอนุญาต เป็นมาตรการที่จะตรวจสอบว่ากิจการดังกล่าวยังคงมี สภาพที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลพิษสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นมาตรการการตรวจสอบเป็น ประจ าทุกปี 2.2 การสั่งให้แก้ไขหรือปรับปรุงและให้หยุดด าเนินการ เป็นมาตรการก ากับดูแลกิจการที่ได้รับ อนุญาตแล้ว ถ้าปรากฏว่าผู้ด าเนินกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ข้อก าหนดของท้องถิ่น ค าสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจออกค าสั่งให้แก้ไขหรือปรับปรุงให้ถูกต้องได้ และถ้า ไม่แก้ไข เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็สามารถใช้มาตรการออกค าสั่งให้หยุดด าเนินกิจการนั้นเป็นการชั่วคราว ตามาตรา 45 วรรคหนึ่งก็ได้ หรือจะใช้มาตรการการสั่งพักใช้ใบอนุญาตก็ได้ 2.3 การสั่งพักใช้ใบอนุญาต เป็นมาตรการการควบคุมผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่ปฏิบัติหรือไม่ ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามบทแห่งพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง หรือข้อก าหนดของท้องถิ่น หรือเงื่อนไขที่ระบุไว้ใน ใบอนุญาต ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้ภายในเวลาที่เห็นสมควรแต่ต้องไม่เกิน 15 วัน ตามมาตรา 59 ซึ่งหมายความว่า ต้องหยุดกิจการเป็นการชั่วคราวนั่นเอง 2.4 การสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เป็นมาตรการที่จะมิให้ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตได้ประกอบกิจการ ต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี กล่าวคือหากเกิดกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้ -การไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ข้อก าหนดของ ท้องถิ่น ค าสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น และเหตุนั้นก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพหรือสภาวะความ เป็นอยู่ของประชาชน
25 - กรณีที่เคยถูกพักใช้ใบอนุญาตตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป และมีเหตุที่จะต้องถูกพักใช้อีก หมายถึงว่า เมื่อถูกสั่งพักใช้ครั้งที่ 3 จะสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้หรือจะยังคงสั่งพักใช้อีกก็ได้ - กรณีที่ต้องค าพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระท าผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หมายความว่ เป็น กรณีที่ผู้ด าเนินกิจการไม่ยอมรับผิดเป็นเหตุให้ต้องด าเนินการทางศาล และเมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าผิด ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้ ตามมาตรา 60 ซึ่งผู้ที่ถูกเพิกถอนจะ ขอรับใบอนุญาตส าหรับกิจการที่ถูกเพิกถอนอีกไม่ได้จนกว่าจะพ้นก าหนด 1 ปี นับแต่วันถูกสั่งเพิกถอน ตาม มาตรา 62 แผนภูมิ แสดงมาตรการควบคุมส าหรับกิจการที่ต้องขออนุญาต ผู้ประกอบกิจการ (1) ต้องขออนุญาต (2) ต้อขอต่ออายุใบอนุญาต ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น (3) ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตาม พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ข้อก าหนดท้องถิ่น เงื่อนไขในใบอนุญาต ถ้าไม่ปฏิบัติ จพง.ท้องถิ่น มีอ านาจ สั่งให้แก้ไขปรับปรุงได้ สั่งพักใช้ใบอนุญาตได้ ครั้งละไม่เกิน 15 วัน สั่งเพิกถอบ ใบอนุญาตได้ ถ้าไม่แก้ไข สั่งให้หยุดด าเนิน กิจการชั่วคราวได้ ในกรณี ถูกพักใช้แล้ว 2 ครั้ง และถูกพักใช้อีก ต้อค าพิพากษา ว่าผิด เกิดอันตราย ร้ายแรงต่อสุขภาพ ผู้ถูกเพิกถอนห้ามท ากิจการ นั้นจนกว่าจะพ้น 1 ปี
26 3. การควบคุมกิจการที่ต้องแจ้ง 3.1 การออกหนังสือรับรองการแจ้ง ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ก าหนดให้กิจการประเภทสถานที่ จ าหน่ายอาหารและสะสมอาหารที่มีพื้นที่ไม่เกิน 200 ตารางเมตร ต้องแจ้งเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่ อนประกอบ กิจการ โดยมีวิธีการและขั้นตอน ดังนี้ - ผู้ประกอบการสถานที่จ าหน่ายอาหารและสะสมอาหารที่มีพื้นที่ไม่เกิน 200 ตารางเมตร ตาม มาตรา 38 ต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ ตามที่ก าหนดไว้ในข้อก าหนดของท้องถิ่น ตามมาตรา 48 วรรค 1 - เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องออกใบรับแก่ผู้แจ้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการประกอบกิจการใน ระหว่างที่ยังไม่ได้รับหนังสือรับรองการแจ้ง ตามมาตรา 48 วรรค 2 - เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องตรวจความถูกต้องของการแจ้ง ถ้าการแจ้งถูกต้อง ต้องออกหนังสือรับ การแจ้ง ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง หากการแจ้งไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องแจ้งให้ผู้แจ้งทราบ ภายใน 7 วันท าการ และผู้แจ้งต้องแก้ไขภายใน 7 วันท าการ - ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะเลิกหรือโอนกิจการ ให้แจ้งแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบด้วย 3.2 กรณีที่มิได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นและเคยได้รับโทษเพราะเหตุที่ฝ่าฝืนด าเนินกิจการโดย มิได้แจ้งมาแล้วครั้งหนึ่ง และยังฝ่าฝืนเช่นนั้นอีก เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจสั่งให้ผู้นั้นหยุดด าเนินกิจการ จนกว่า จะด าเนินการแจ้ง ถ้ายังฝ่าฝืนอีก ให้สั่งห้ามการด าเนินกิจการนั้นไว้ตามเวลาที่ก าหนด แต่ต้องไม่เกิน 2 ปี (มาตรา 52) 4. การควบคุมกิจการที่ไม่ต้องขออนุญาตหรือต้องแจ้ง โดยที่มาตรา 45 ระบุว่าในกรณีที่ปรากฎว่าผู้ด าเนินการใดๆ ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งครอบคลุมทุกกิจการทั้งที่ต้องขอ หรือไม่ต้องขอใบอนุญาต(เพราะเหตุที่มิได้ท าเป็นการค้า) หรือกิจการที่ต้อง แจ้ง) ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ข้อก าหนดของท้องถิ่น หรือประกาศที่ออกตาม พระราชบัญญัตินี้ หรือค าสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ก าหนดไว้เกี่ยวกับการด าเนินกิจการนั้น ให้เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นมีอ านาจสั่งให้ผู้ด าเนินการนั้น แก้ไขหรือปรับปรุงให้ถูกต้องได้ ถ้าผู้ด าเนินกิจการนั้นไม่แก้ไข หรือถ้าการด าเนินกิจการนั้น จะก่อให้เกิดหรือมีเหตุอันควรสงสัย ว่าจะเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะสั่งให้ผู้นั้นหยุดด าเนินกิจการนั้น ไว้ทันทีเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะเป็นที่พอใจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าปราศจ ากอันตรายแล้วก็ได้ และค าสั่งให้ แก้ไขนั้น ให้ก าหนดระยะเวลาที่จะต้องปฏิบัติตามค าสั่งไว้ตามสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นกรณี ที่มีค าสั่งหยุดด าเนินกิจการทันที ตามมาตรา 45 วรรค 2
27 แผนภูมิ แสดงการควบคุมกิจการที่ไม่ต้องขออนุญาต(เพราะเหตุที่มิได้ประกอบกิจการเป็นการค้า) 5. วิธีการออกค าสั่ง ตามมาตรา 53 และ มาตรา 61 ได้ก าหนดไว้ว่า การออกค าสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการสั่งหยุด/ห้ามด าเนินกิจการ หรือ สั่งพักใช้ /เพิกถอนใบอนุญาต ต้อง ท าเป็นหนังสือแจ้งผู้ถูกสั่ง กรณีไม่พบหรือไม่ยอมรับค าสั่ง ให้ส่งค าสั่งโดยทางไปรษณีย์ตอบรับ หรือให้ปิดค าสั่ง นั้นไว้ในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย ณ ภูมิล าเนาหรือส านักท าการงานของผู้นั้น และให้ถือว่าผู้นั้นได้รับทราบค าสั่งแล้ว ตั้งแต่เวลาที่ค าสั่งไปถึงหรือวันปิดค าสั่งแล้วแต่กรณี ผู้ประกอบกิจการ ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ปฏิบัติตาม เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจ พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อก าหนดของท้องถิ่น ค าสั่งของ จพง.ท้องถิ่น กรณีปกติ สั่งให้แก้ไข/ปรับปรุง ภายในก าหนดเวลา แต่ต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน กรณีที่เกิดหรือมีเหตุอันควรสงสัย ว่าจะเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อ สุขภาพของประชาชน สั่งให้หยุดกิจการทันทีเป็นการ ชั่วคราวจนกว่าจะปราศจากอันตรายนั้น ถ้าผู้ประกอบการไม่แก้ไข
28 6. ค่าธรรมเนียมและค่าปรับ จากบทบัญญัติมาตรา 5 ได้ก าหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอ านาจออกกฎกระทรวงว่า ด้วยอัตราค่าธรรมเนียม ซึ่งตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ .ศ. 2535 ก าหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นสามารถ เก็บค่าธรรมเนียมได้ใน 3 กรณี คือ (1) ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการเก็บ และขนสิ่งปฏิกูลมูลฝอย ตามมาตรา 20(4) (2) ค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาต ตามาตรา 19 (กิจการเก็บ ขน ก าจัดสิ่งปฏิกูลมูลฝอยที่ท าเป็น ธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ) มาตรา 33 (กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) มาตรา 34 (การจัดตั้งตลาด) มาตรา 38 (สถานที่จ าหน่ายหรือสะสมอาหารที่มีพื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร) มาตรา 41 (การ จ าหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ) (3) ค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือรับรองการแจ้ง ตามาตรา 48 ประกอบมาตรา 65 ผู้ที่ต้องขออนุญาตหรือต้องแจ้งตามพระราชบัญญัตินี้ มีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามอัตราและระยะเ วลาที่ ราชการส่วนท้องถิ่นก าหนด (มาตรา 65) แต่อัตราค่าธรรมเนียมจะก าหนดเกินอัตราในกฎกระทรวงไม่ได้ (มาตรา 63) และกรณีที่ไม่ช าระค่าธรรมเนียมตามระยะเวลาที่ก าหนด จะต้องเสียค่าปรับเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 20 ของจ านวน เงินที่ค้างช าระ (มาตรา 65) ดังนั้นราชการส่วนท้องถิ่นจ าเป็นจะต้องออกข้อก าหนดของท้องถิ่น ดังนี้ (1) ก าหนดอัตราค่าธรรมเนียม โดยดูอัตราจากกฎกระทรวง ว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการ เก็บ ขน และก าจัดสิ่งปฏิกูลมูลฝอยและอัตราค่าธรรมเนียมอื่นๆ พ .ศ. 2545 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2545 (2) ต้องก าหนดเวลาของการช าระค่าธรรมเนียม กรณีที่ผู้มีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ค้างช าระค่าธรรมเนียมติดต่อกันเกินกว่า 2 ครั้ง หมายถึงการไม่ ช าระค่าธรรมเนียมติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอ านาจสั่งให้ผู้นั้นหยุดการด าเนินการไว้ได้จนกว่า จะเสียค่าธรรมเนียมและค่าปรับจนครบจ านวน (มาตรา 65 วรรค 2)
29