The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

10 พระมหาวิรถ รายงานวิชาอรรถกถาวิเคราะห์ ผศ.ดร.แม่ชีกฤ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ณัฐวุฒิ วากะดวน, 2023-09-21 07:33:34

10 พระมหาวิรถ รายงานวิชาอรรถกถาวิเคราะห์ ผศ.ดร.แม่ชีกฤ

10 พระมหาวิรถ รายงานวิชาอรรถกถาวิเคราะห์ ผศ.ดร.แม่ชีกฤ

รายงาน เรื่อง ศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท จัดทำโดย พระมหาวิรถ เขมจาโร รหัสประจำตัว ๖๖๐๑๒๐๕๐๒๓ นิสิตปริญญาโท สาขาพระพุทธศาสนา เสนอ ผศ. ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาอรรถกถาวิเคราะห์ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย


ก คำนำ งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา “อรรถกถาวิเคราะห์” ซึ่งเป็นการวิเคราะห์อรรถกถาธรรมบท ที่มาใน ขุททกนิกาย หมวดหนึ่งในพระสุตตันตปิฎก พระไตรปิฎกภาษาบาลี โดยพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นพระคันถรจนา จารย์เถรวาทได้รจนาไว้ เรียกว่า “ธัมมปทัฏฐกถา” เพื่อให้เข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้น รายงานฉบับนี้มี วัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑. เพื่อศึกษาคัมภีร์ธรรมบท ๒. เพื่อศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรคใน คัมภีร์ธรรมบท เป็นการศึกษาเชิงเอกสารโดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ธัมมปทัฏฐกถาหรืออรรถกถาธรรมบทนั้น แบ่งออกเป็น ๒๖ วรรค แต่ละวรรคมีชื่อปรากฏตามเนื้อหา สาระของบทแห่งธรรมในเรื่องนั้น ๆ เรื่องใดมีเนื้อหาสัมพันธ์กัน ก็จัดเข้าในหมวดหมู่เดียวกัน ซึ่งรายงานฉบับนี้ ผู้เขียนได้“ศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท” ซึ่งเป็นวรรคที่ ๒๕ มีเนื้อเรื่องทั้งหมด ๑๒ เรื่อง ภิกขุวรรค หมวดว่าด้วยภิกษุ เป็นหมวดที่พระบรมศาสดา ทรงตรัสถึงสิ่งที่ภิกษุผู้มีปัญญาในพุทธศาสนานี้ พึงกระทำ คือ สำรวมอินทรีย์ มีความมักน้อยสันโดษ รักษาพระวินัยบัญญัติ คบหากัลยาณมิตร มีความ ขยันหมั่นเพียร มีการงานสุจริต ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย มุ่งหมายการเจริญกัมมัฏฐาน ละความยึดมั่นถือมั่น ในรูป ไม่ประมาท รู้จักเตือนตน รู้จักพึ่งพาตนเอง หากรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาขาดตกบกพร่องไปบ้างสิ่งหนึ่งประการใด ผู้ศึกษาขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทที่ ๑ บทนำ ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ คำถามการศึกษา ๒ ๑.๓ วัตถุประสงค์การศึกษา ๒ ๑.๔ ขอบเขตการศึกษา ๒ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการศึกษา ๓ ๑.๖ วิธีดำเนินการศึกษา ๓ ๑.๗ กรอบแนวคิดในการศึกษา ๓ ๑.๘ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๓ บทที่ ๒ ศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ๔ ๒.๑ โครงสร้างของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ๔ ๒.๒ พระคาถาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ๘ ๒.๓ ศึกษาเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ๑๖ ๒.๓.๑ เรื่องภิกษุ ๕ รูป ๑๖ ๒.๓.๒ เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ ๑๗ ๒.๓.๓ เรื่องพระโกกาลิกะ ๑๙ ๒.๓.๔ เรื่องพระเถระผู้ยินดีในธรรม ๒๐ ๒.๓.๕ เรื่องภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๒๑ ๒.๓.๖ เรื่องพราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๒๒ ๒.๓.๗ เรื่องภิกษุหลายรูป ๒๓ ๒.๓.๘ เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป ๒๕ ๒.๓.๙ เรื่องพระสันตกายเถระ ๒๖


ค ๒.๓.๑๐ เรื่องพระนังคลกูฏเถระ ๒๗ ๒.๓.๑๑ เรื่องพระวักกลิเถระ ๒๘ ๒.๓.๑๒ เรื่องสุมนสามเณร ๒๙ บทที่ ๓ สรุปผลการศึกษา ๓๑ บรรณานุกรม ๓๔


๑ บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา คำว่า ภิกษุตามเนื้อหาสาระในภิกขุวรรคนี้หมายถึง บุคคลผู้สำรวมมือ เท้า และวาจา ไม่เบียดเบียด สัตว์ทั้งหลาย มุ่งเจริญกัมมัฏฐาน ไม่ถือมั่นรูป ในวรรคนี้มีเนื้อหาสาระสำคัญที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เกี่ยวกับภิกษุ และเป็นสาระสำคัญที่พระองค์ทรงปรารภถึงพฤติกรรมแตกต่างกันของภิกษุแต่ละรูปแต่ละกลุ่ม เช่น เรื่องภิกษุ ๕ รูป ผู้สำรวมในทวารรูปละทวาร มีจักษุทวารเป็นต้น พระองค์ทรงแสดงว่า ภิกษุผู้สำรวมทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย วาจา และใจ ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้เรื่องภิกษุผู้ฆ่าหงส์ พระองค์ทรงแสดงว่า บุคคลผู้ สำรวมมือ เท้า วาจา สำรวมตน ยินดีเจริญกัมมัฏฐาน มีจิตตั้งมั่น อยู่ผู้เดียว สันโดษ เรียกว่า ภิกษุ และเรื่อง พระนังคลกูฏเถระ ผู้เตือนตนเอง เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานจนสามารถบรรลุพระอรหัตตผล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภถึงพระองค์เองเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ภิกษุทั้งหลาย มีปรากฏอยู่ในหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ดังข้อความว่า “ภิกษุ เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง จงพิจารณาดูตนด้วยตนเอง ถ้าเธอคุ้มครองตนเองได้แล้ว มีสติ เธอก็จักอยู่เป็นสุข”๑ ภิกษุในพระพุทธศาสนาจะต้องศึกษาและประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จนสามารถพัฒนาตนสู่อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็น จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา หลักคำสอนว่าด้วยศีล สมาธิ ปัญญานั้นมีปรากฏชัดเจนในคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ซึ่งพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ นั้นได้บรรจุไว้ทั้งหมด ๕ คัมภีร์คือ ๑. ขุททกปาฐะ ๒. ธรรมบท ๓. อุทาน ๔. อิติวุตตกะ ๕. สุตตนิบาต ในส่วนของคัมภีร์ธรรมบทนั้นเป็นคาถาล้วนมีทั้งหมด ๒๖ วรรค ๓๐๕ เรื่อง ๔๒๓ คาถา ในจำนวน ๒๖ วรรคนั้น วรรคที่ ๒๕ เป็นวรรคที่สอนเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแรกที่ภิกษุมีปัญญาในศาสนานี้พึงกระทำ เรียกว่า ภิกขุวรรค หมวดว่าด้วยภิกษุ มีจำนวน ๑๒ เรื่อง คือ ๑. เรื่องภิกษุ ๕ รูป ๒. เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ ๓. เรื่องพระโกกาลิกะ ๔. เรื่องพระเถระผู้ยินดีในธรรม ๕. เรื่องภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๖. เรื่องพราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๗. เรื่องภิกษุหลายรูป ๘. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป ๙. เรื่องพระสันตกายเถระ ๑๐. เรื่องพระนังคลกูฏเถระ ๑๑. เรื่องพระวักกลิเถระ ๑๒. เรื่องสุมนสามเณร ๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๙/๑๕๑


๒ เนื้อหาในแต่ละเรื่องเป็นการอธิบายมุ่งเน้นเกี่ยวกับภิกษุ ในเรื่องภิกษุ ๕ รูป อธิบายถึงเรื่องสำรวมทวาร เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ เป็นเรื่องมักน้อยสันโดษ เรื่องพระโกกาลิกะ เป็นเรื่องระมัดระวังวินัยบัญญัติ เรื่องพระเถระผู้ ยินดีในธรรม เป็นเรื่องคบกัลยาณมิตร เรื่องภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง เป็นเรื่องผู้ขยันขันแข็ง เรื่องพราหมณ์ ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง เป็นเรื่องมีอาชีพสะอาด เรื่องภิกษุหลายรูป เป็นเรื่องทรงสอนไม่ให้เบียดเบียนสัตว์ ทั้งหลาย เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป เป็นเรื่องมุ่งเจริญกัมมัฏฐาน เรื่องพระสันตกายเถระ เป็นเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูป เรื่องพระนังคลกูฏเถระ เป็นเรื่องไม่ประมาท เรื่องพระวักกลิเถระ เป็นเรื่องการรู้จักเตือนตน เรื่องสุมนสามเณร เป็นเรื่องการรู้จักพึ่งตนเอง ดังนั้นผู้ศึกษาจึงมีความสนใจที่จะศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ทั้ง ๑๒ เรื่อง ซึ่งมีนัยยะและเหตุการณ์ที่น่าสนใจ เชื่อมโยงกับพระสูตรในพระไตรปิฎก เพื่อเป็นแนวทางแห่ง การศึกษาค้นคว้าและนำไปประพฤติปฏิบัติต่อไป ๑.๒ คำถามการศึกษา ๑.๒.๑ ธรรมบทคืออะไร ๑.๒.๒ โครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบทเป็นอย่างไร ๑.๓ วัตถุประสงค์การศึกษา ๑.๓.๑ เพื่อศึกษาคัมภีร์ธรรมบท ๑.๓.๒ เพื่อศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ๑.๔ ขอบเขตการศึกษา ๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเนื้อหา ผู้ศึกษาจะศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท มีจำนวน ๑๒ เรื่อง คือ ๑. เรื่องภิกษุ ๕ รูป ๒. เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ ๓. เรื่องพระโกกาลิกะ ๔. เรื่องพระเถระผู้ยินดีในธรรม ๕. เรื่องภิกษุ ผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๖. เรื่องพราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๗. เรื่องภิกษุหลายรูป ๘. เรื่องภิกษุ๕๐๐ รูป ๙. เรื่องพระสันตกายเถระ ๑๐. เรื่องพระนังคลกูฏเถระ ๑๑. เรื่องพระวักกลิเถระ ๑๒. เรื่องสุมนสามเณร ๑.๔.๒ ขอบเขตด้านเอกสาร ผู้วิจัยจะศึกษาจากพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ และคัมภีร์อรรถ กถาภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รวมถึงตำราวิชาการทางพระพุทธศาสนา งานวิจัย ที่นักปราชญ์ แต่งและรวบรวมไว้ แล้วสรุปเนื้อหาสาระสำคัญภิกขุวรรคในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท


๓ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการศึกษา โครงสร้างและเนื้อหา หมายถึง โครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรคที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก และอรรถกถา ภิกขุวรรค หมายถึง คัมภีร์ธรรมบท วรรคเกี่ยวกับภิกษุคำสอนเกี่ยวกับภิกษุมีทั้งหมด ๑๒ เรื่อง ได้แก่ ๑. เรื่องภิกษุ ๕ รูป ๒. เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ ๓. เรื่องพระโกกาลิกะ ๔. เรื่องพระเถระผู้ยินดีในธรรม ๕. เรื่องภิกษุผู้คบ ฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๖. เรื่องพราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๗. เรื่องภิกษุหลายรูป ๘. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป ๙. เรื่องพระสันตกายเถระ ๑๐. เรื่องพระนังคลกูฏเถระ ๑๑. เรื่องพระวักกลิเถระ ๑๒. เรื่องสุมนสามเณร ธรรมบท หมายถึง พระธัมมปทัฏฐกถาหรืออรรถกถาธรรมบท บทแห่งธรรมบ้าง คำสอนที่ทำให้ถึง พระธรรมบ้าง ธรรมที่ตรัสไว้เป็นบทบ้าง ๑.๖ วิธีดำเนินการศึกษา รายงานฉบับนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร (Documentary Research) มีขั้นตอนดำเนินการศึกษา ดังต่อไปนี้ ๑. ศึกษาค้นคว้า และรวบรวมจากเอกสารชั้นปฐมภูมิ (Primary Sources) ได้แก่ พระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๙ อรรถกถาธรรมบทภิกขุวรรค ๒. ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารชั้นทุติยภูมิ (Secondary Sources) ได้แก่ อรรถกถา ภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และพระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาคที่ ๘ ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ๔. สรุปและนำเสนอผลการศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ๑.๗ กรอบแนวคิดในการศึกษา ๑.๘ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑.๘.๑ ทำให้ทราบถึงไตรสิกขาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ๑.๘.๒ ทำให้ทราบโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ๑.๘.๓ ทำให้ทราบแนวทางการปฏิบัติไตรสิกขาในภิกขุวรรคในอรรถกถาธรรมบท โครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรค ในคัมภีร์ธรรมบท ศึกษาข้อมูล - ศีล - สมาธิ - ปัญญา การปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ในภิกขุวรรคอรรถกถาธรรมบท


๔ บทที่ ๒ ศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ในบทที่ ๒ นี้ผู้ศึกษาจะศึกษาโครงสร้างของภิกขุวรรค หมวดว่าด้วยภิกษุ ซึ่งเป็นวรรคที่ ๒๕ ในคัมภีร์ ธรรมบท มีจำนวน ๒๖ วรรค ในส่วนของภิกขุวรรคมี ๑๒ เรื่อง นอกจากนั้นผู้วิจัยจะศึกษาเนื้อหาทั้ง ๑๒ เรื่องจาก คัมภีร์ธรรมบทโดยจะนำเสนอการบรรยายเชิงพรรณนา ดังต่อไปนี้ ๒.๑ โครงสร้างของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ภิกขุวรรค เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ธรรมบท ซึ่งคัมภีร์ธรรมบทอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ในเล่มที่ ๒๕ มี ๕ คัมภีร์ คือ ๑. ขุททกปาฐะ ๒. ธรรมบท ๓. อุทาน ๔. อิติวุตตกะ ๕. สุตตนิบาตในธรรมบทมีทั้งหมด ๒๖ วรรค ดังนี้ แผนภูมิและโครงสร้างธรรมบท๑ ลำดับ วรรค จำนวนเรื่อง จำนวนพระคาถา ๑ ยมกวรรค ๑๔ ๒๐ ๒ อัปปมาทวรรค ๙ ๑๒ ๓ จิตตวรรค ๙ ๑๑ ๔ ปุปผวรรค ๑๒ ๑๖ ๕ พาลวรรค ๑๕ ๑๖ ๖ ปัณฑิตวรรค ๑๑ ๑๔ ๗ อรหันตวรรค ๑๐ ๑๐ ๘ สหัสสวรรค ๑๔ ๑๖ ๙ ปาปวรรค ๑๒ ๑๓ ๑๐ ทัณฑวรรค ๑๑ ๑๗ ๑๑ ชราวรรค ๙ ๑๑ ๑๒ อัตตวรรค ๑๐ ๑๐ ๑๓ โลกวรรค ๑๑ ๑๒ ๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๖๐-๑๗๐


๕ ๑๔ พุทธวรรค ๙ ๑๘ ๑๕ สุขวรรค ๘ ๑๒ ๑๖ ปิยวรรค ๙ ๑๒ ๑๗ โกธวรรค ๘ ๑๔ ๑๘ มลวรรค ๑๒ ๒๑ ๑๙ ธัมมัฏฐวรรค ๑๐ ๑๗ ๒๐ มรรควรรค ๑๐ ๑๗ ๒๑ ปกิณณกวรรค ๙ ๑๖ ๒๒ นิรยวรรค ๙ ๑๔ ๒๓ นาควรรค ๘ ๑๔ ๒๔ ตัณหาวรรค ๑๒ ๒๖ ๒๕ ภิกขุวรรค ๑๒ ๒๓ ๒๖ พราหมณวรรค ๓๙ ๔๑ ในจำนวน ๒๖ วรรคนี้ผู้วิจัยได้คัดเลือกภิกขุวรรคมาศึกษาวิเคราะห์เหตุผลในการเลือกภิกขุวรรค เนื่องจากเป็นวรรคที่พระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องเกี่ยวกับภิกษุ ต้องการศึกษาว่าแท้จริงแล้วคำว่าภิกษุนั้นมีลักษณะ อย่างไร คำว่า ภิกษุในภิกขุวรรคนั้นมุ่งหมายถึงอะไร ในขณะเดียวกันพระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นสิ่งที่ภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นบรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นเหตุให้เจริญงอกงาม พระพุทธศาสนา และในภิกขุวรรคนั้นมีจำนวนเรื่องทั้งหมด ๑๒ เรื่อง เป็นเรื่องที่น่าสนใจในการศึกษาประเด็น ธรรมะที่ซ่อนอยู่ในคำว่า ภิกษุในภิกขุวรรค ผู้ศึกษาจะนำเสนอชื่อเรื่องตามลำดับ ดังต่อไปนี้ ลำดับ ชื่อเรื่องในภิกขุวรรค ๑ ภิกษุ ๕ รูป ๒ ภิกษุฆ่าหงส์ ๓ พระโกกาลิกะ ๔ พระเถระผู้ยินดีในธรรม ๕ ภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๖ พราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๗ ภิกษุหลายรูป


๖ ๘ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ๙ พระสันตกายเถระ ๑๐ พระนังคลกูฏเถระ ๑๑ พระวักกลิเถระ ๑๒ สุมนสามเณร เรื่องเกี่ยวกับภิกษุทั้ง ๑๒ เรื่องนี้ การวางโครงเรื่องจะมีลักษณะบอกเนื้อหาของพระธรรมเทศนาเป็น พระคาถา นำส่วนแรกของพระคาถามาตั้งไว้ เนื้อหาในส่วนนี้จะเป็นบทเกริ่นนำของพระอรรถกถาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ ธรรมบท กล่าวถึงสถานที่พระพุทธเจ้าตรัสพระคาถา ทรงปรารภใคร เมื่อไหร่ อย่างไร และเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ เกี่ยวกับบุคคลนั้น ๆ เป็นตัวเดินเรื่อง ในเรื่องจะมีภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงสาเหตุของเหตุการณ์ที่บุคคลในเรื่องเป็น อย่างนี้สืบเนื่องมาจากอะไร ผู้วิจัยจะศึกษาบทพระคาถาเริ่มต้นเรื่องในภิกขุวรรคทั้ง ๑๒ เรื่อง ดังต่อไปนี้ ลำดับ พระคาถาเริ่มเรื่อง ชื่อเรื่อง ๑ จกฺขุนา สํวโร สาธูติ ภิกษุ๕ รูป ๒ หตฺถสญฺญโตติ ภิกษุฆ่าหงส์ ๓ โย มุขสญฺญโตติ พระโกกาลิกะ ๔ ธมฺมาราโม ธมฺมรโตติ พระเถระผู้ยินดีในธรรม ๕ สลาภํ นาติมญฺเญยฺยาติ ภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๖ สพฺพโส นามรูปสฺมินฺติ พราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๗ เมตฺตาวิหารีติ ภิกษุหลายรูป ๘ วสฺสิกา วิย ปุปฺผานีติ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ๙ สนฺตกาโยติ พระสันตกายเถระ ๑๐ อตฺตนา โจทยตฺตานนฺติ พระนังคลกูฏเถระ ๑๑ ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขูติ พระวักกลิเถระ ๑๒ โย หเวติ สุมนสามเณร


๗ จากบทพระคาถาเริ่มต้นเรื่องทั้ง ๑๒ เรื่อง จะเห็นว่ามีคำว่า “ภิกฺขุ” ปรากฏอยู่ในบาทพระคาถาจำนวน ๑ เรื่อง สำหรับ ๑๑ เรื่องนอกจากนี้จะมีคำว่า “ภิกฺขุ” ปรากฏอยู่ในพระคาถาบาทต่อไป และปรากฏอยู่ใน เนื้อความตอนแก้อรรถ และบางเรื่องมีพระคาถาเพียง ๑ พระคาถา บางเรื่องมี ๒ พระคาถา บางเรื่องมีมากกว่า ๒ พระคาถา สำหรับเรื่องที่มี ๑ พระคาถา ผู้วิจัยจะศึกษาดังต่อไปนี้ ลำดับ พระคาถาเริ่มต้นเรื่อง ชื่อเรื่อง ๑ หตฺถสญฺญโตติ ภิกษุฆ่าหงส์ ๒ โย มุขสญฺญโตติ พระโกกาลิกะ ๓ ธมฺมาราโม ธมฺมรโตติ พระเถระผู้ยินดีในธรรม ๔ สพฺพโส นามรูปสฺมินฺติ พราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๕ วสฺสิกา วิย ปุปฺผานีติ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ๖ สนฺตกาโยติ พระสันตกายเถระ ๗ ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขูติ พระวักกลิเถระ ๘ โย หเวติ สุมนสามเณร ในเนื้อหาทั้ง ๘ เรื่องนี้มีพระคาถา เพียงเรื่องละ ๑ พระคาถา หากมองในแง่การจดจำ จะทำให้ผู้ศึกษา ง่ายต่อการจดจำ ส่วนเรื่องที่มี๒ พระคาถานั้น ผู้วิจัยจะศึกษาดังต่อไปนี้ ลำดับ พระคาถาเริ่มต้นเรื่อง ชื่อเรื่อง ๑ อตฺตนา โจทยตฺตานนฺติ พระนังคลกูฏเถระ ๒ สลาภํ นาติมญฺเญยฺยาติ ภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ส่วนเรื่องที่มีมากกว่า ๒ พระคาถานั้น ผู้วิจัยจะศึกษาดังต่อไปนี้ ลำดับ พระคาถาเริ่มต้นเรื่อง ชื่อเรื่อง ๑ จกฺขุนา สํวโร สาธูติ ภิกษุ๕ รูป ๒ เมตฺตาวิหารีติ ภิกษุหลายรูป


๘ ๒.๒ พระคาถาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ภิกขุวรรคทั้ง ๑๒ เรื่องเป็นพระคาถาปัฐยาวัตรฉันท์เป็นส่วนมาก ปัฐยาวัตรฉันท์คือ ๑ คาถามี ๔ บาท บาทละ ๘ คำ ๑ คาถาจึงมี๓๒ คำ ไม่นับรวม อิติ ศัพท์ คำสุดท้ายของคาถา เวลาสวดจะหยุดทุก ๔ คำ ผู้วิจัยจะ ศึกษาพระคาถาในภิกขุวรรค ดังต่อไปนี้ ลำดับ พระคาถา ชื่อเรื่อง ๑ จกฺขุนา สํวโร สาธุ สาธุ โสเตน สํวโร ฆาเนน สํวโร สาธุ สาธุ ชิวฺหาย สํวโร กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาจาย สํวโร มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร สพฺพตฺถ สํวุโต ภิกฺขุ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตีติ. “การสํารวมตา เป็ นการดีการสํารวมหู เป็ นการดี การสํารวมจมูก เป็ นการดีการสาํรวมลิ้น เป็นการดี การสํารวมกายเป็ นการดีการสํารวมวาจา เป็ นการดี การสํารวมใจเป็ นการดีความสาํรวมทวารท้งัปวง เป็นการดี ภิกษุผสู้าํรวมทวารท้งัปวงยอ่มพน้จากทุกขท์ ้งัปวงได”้ ๒ บาทที่ ๑ มี ๘ คำ ดังนี้ จกฺ - ขุ - นา - สํ- ว - โร - สา - ธุ บาทที่ ๒ มี ๘ คำ ดังนี้ สา -ธุ –โส - เตน – สํ–ว–โร บาทที่ ๓ มี ๘ คำ ดังนี้ ฆา - เน - น - สํ–ว-โร – สา -ธุ บาทที่ ๔ มี ๘ คำ ดังนี้ สา -ธุ – ชิวฺ– หา -ย – สํ–ว–โร บาทที่ ๕ มี ๘ คำ ดังนี้ กา – เย- น – สํ–ว-โร – สา -ธุ บาทที่ ๖ มี ๘ คำ ดังนี้ สา -ธุ –วา –จา -ย – สํ–ว-โร บาทที่ ๗ มี ๘ คำ ดังนี้ ม – น - สา – สํ–ว-โร – สา -ธุ บาทที่ ๘ มี ๘ คำ ดังนี้ สา -ธุ – สพฺ- พตฺ -ถ - สํ-ว-โร บาทที่ ๙ มี ๘ คำ ดังนี้ สพฺ- พตฺ -ถ - สํ-วุ-โต - ภิกฺ-ขุ บาทที่ ๑๐ มี ๘ คำ ดังนี้ สพฺ- พ - ทุกฺ-ขา - ป - มุจฺ-จ- ติ ทั้งหมดมี๑๐ บาท คือ ๒ พระคาถาครึ่ง รวมเป็น ๘๐ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ ภิกษุ๕ รูป ๒ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๐-๓๖๑/๑๔๖


๙ ๒ หตฺถสญฺญโต ปาทสญฺญโต วาจาย สญฺญโต สญฺญตตฺตโม อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต เอโก สนฺตุสิโต ตมาหุ ‘ภิกขูติ. “บุคคลผู้สำรวมมือ สำรวมเท้า สำรวมวาจา สำรวมตน ยินดีธรรมภายใน มีจิตตั้งมั่น อยู่ผู้เดียว สันโดษ บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่า เป็นภิกษุ” ๓ บาทที่ ๑ มี ๑๐ คำ ดังนี้ หตฺ - ถ - สญฺ - ญ - โต - ปา -ท - สญฺ - ญ - โต บาทที่ ๒ มี ๑๑ คำ ดังนี้ วา - จา - ย - สญฺ - ญ - โต - สญฺ - ญ - ตตฺ - ต – โม บาทที่ ๓ มี ๙ คำ ดังนี้ อชฺ - ฌตฺ - ต - ร - โต - ส - มา - หิ– โต บาทที่ ๔ มี ๑๑ คำ ดังนี้ เอ - โก - สนฺ - ตุ - สิ- โต - ต - มา - หุ - ภิก - ขุ ทั้งหมดมี๔ บาท คือ ๑ พระคาถา รวมเป็น ๔๑ คำ ภิกษุฆ่าหงส์ ๓ โย มุขสญฺญโต ภิกฺขุ มนฺตภาณี อนุทฺธโต อตฺถํ ธมฺมญฺจ ทีเปติ มธุรํ ตสฺส ภาสิตนฺติ. “ภิกษุรูปใดสำรวมปาก พูดโดยใช้มันตา๔ เสมอ ไม่ฟุ้งซ่าน แสดงแต่อรรถและธรรม เท่านั้น ภาษิตของภิกษุนั้น ไพเราะ” บาทที่ ๑ มี ๘ คำ ดังนี้ โย - มุ - ข - สญฺ - ญ - โต - ภิกฺ - ขุ บาทที่ ๒ มี ๘ คำ ดังนี้ มนฺ - ต -ภา - ณี - อ - นุทฺ - ธ - โต บาทที่ ๓ มี ๘ คำ ดังนี้ อตฺ - ถํ - ธมฺ - มญฺ - จ - ที- เป - ติ บาทที่ ๔ มี ๘ คำ ดังนี้ ม - ธุ - รํ - ตสฺ - ส - ภา - สิ- ตํ ทั้งหมดมี๘ บาท คือ ๒ พระคาถา รวมเป็น ๓๒ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ พระโกกาลิกะ ๓ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๒/๑๔๖ ๔ มันตา หมายถึงปัญญา (ขุ.ธ.อ. ๘/๕๓)


๑๐ ๔ ธมฺมาราโม ธมฺมรโต ธมฺมํ อนุวิจินฺตยํ ธมฺมํ อนุสฺสรํ ภิกฺขุ สทฺธมฺมา น ปริหายตีติ. “ภิกษุมีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม พิจารณาใคร่ครวญถึงธรรม ระลึกถึงธรรมอยู่ ย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม”๕ บาทที่ ๑ มี ๘ คำ ดังนี้ ธมฺ - มา - รา - โม - ธมฺ - ม - ร - โต บาทที่ ๒ มี ๘ คำ ดังนี้ ธมฺ - มํ - อ - นุ - วิ- จินฺ - ต - ยํ บาทที่ ๓ มี ๘ คำ ดังนี้ ธมฺ - มํ - อ - นุสฺ - ส - รํ - ภิกฺ - ขุ บาทที่ ๔ มี ๙ คำ ดังนี้ สทฺ - ธมฺ - มา - น - ป - ริ- หา - ย - ติ ทั้งหมด ๘ บาท คือ ๒ พระคาถา บาทที่ ๔ มี ๙ คำ รวม ๓๓ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ พระเถระ ผู้ยินดีในธรรม ๕ สลาภํ นาติมญฺเญยฺย นาญฺเญสํ ปิหยํ จเร อญฺเญสํปิหยํ ภิกฺขุ สมาธึ นาธิคจฺฉติ. อปฺปลาโภปิ เจ ภิกฺขุ สลาภํ นาติมญญติ ตํ เว เทวา ปสํสนฺติ สุทฺธาชีวมตนฺทิตนฺติ. “ภิกษุไม่ควรดูหมิ่นลาภของตน ไม่ควรเที่ยวปรารถนาลาภของคนอื่น เมื่อภิกษุปรารถนาลาภของคนอื่น ย่อมไม่บรรลุสมาธิ ถ้าภิกษุแม้จะมีลาภน้อย แต่ไม่ดูหมิ่นลาภของตน เทวดาทั้งหลายย่อมสรรเสริญภิกษุนั้นแล ว่าเป็นผู้มีอาชีพหมดจด ไม่เกียจคร้าน” ๖ บาทที่ ๑ มี ๘ คำ ดังนี้ ส - ลา - ภํ - นา - ติ - มญฺ- เญยฺ - ย บาทที่ ๒ มี ๘ คำ ดังนี้ นาญฺ - เญ - สํ - ปิ- ห - ยํ - จ - เร บาทที่ ๓ มี ๘ คำ ดังนี้ อญฺ - เญ - สํ- ปิ - ห - ยํ - ภิกฺ - ขุ บาทที่ ๔ มี ๘ คำ ดังนี้ ส - มา - ธึ - นา - ธิ - คจฺ - ฉ - ติ บาทที่ ๕ มี ๘ คำ ดังนี้ อปฺ - ป - ลา - โภ - ปิ - เจ - ภิกฺ - ขุ ภิกษุผู้คบ ฝ่ายผิด รูปใดรูปหนึ่ง ๕ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๔/๑๔๗ ๖ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๕-๓๖๖/๑๔๗-๑๔๘


๑๑ บาทที่ ๖ มี ๘ คำ ดังนี้ ส - ลา - ภํ - นา - ติ - มญ - ญ -ติ บาทที่ ๗ มี ๘ คำ ดังนี้ ตํ - เว - เท - วา - ป - สํ - สนฺ - ติ บาทที่ ๘ มี ๘ คำ ดังนี้ สุทฺ - ธา - ชี- ว- ม- ตนฺ - ทิ - ตํ ทั้งหมด ๘ บาท คือ ๒ พระคาถา รวมเป็น ๖๔ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ ๖ สพฺพโส นามรูปสฺมึ ยสฺส นตฺถิ มมายิตํ อสตา จ น โสจติ ส เว ‘ภิกฺขูติ วุจฺจตีติ. “ผู้ใดไม่มีความยึดถือในนามรูปว่าเป็นของเรา โดยประการทั้งปวง และไม่เศร้าโศก เพราะนามรูปแปรผันไป ผู้นั้นแล เราเรียกว่า ภิกษุ”๗ บาทที่ ๑ มี ๘ คำ ดังนี้ สพฺ - พ - โส - นา - ม - รู- ปสฺ - มึ บาทที่ ๒ มี ๘ คำ ดังนี้ ยสฺ - ส - นตฺ - ถิ - ม - มา - ยิ- ตํ บาทที่ ๓ มี ๘ คำ ดังนี้ อ - ส - ตา - จ - น - โส - จ - ติ บาทที่ ๔ มี ๘ คำ ดังนี้ ส - เว - ภิกฺ - ขู- ติ - วุจฺ - จ - ติ ทั้งหมด ๔ บาท คือ ๑ พระคาถา รวมเป็น ๓๒ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ พราหมณ์ ถวายทาน อันเลิศ ๕ อย่าง ๗ เมตฺตาวิหาริ โย ภิกฺขุ ปสนฺโน พุทฺธสาสเน, อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ สงฺขารูปสมํ สุขํ. สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ, สิตฺตา เต ลหุเมสฺสติ; เฉตฺวา ราคญฺจ โทสญฺจ ตโต นิพฺพานเมหิสิ. ปญฺจ ฉินฺเท ปญฺจ ชเห ปญฺจ จุตฺตริ ภาวเย, ปญฺจสงฺคาติโค ภิกฺขุ ‘โอฆติณฺโณติ วุจฺจติ. ฌาย ภิกฺขุ มา จ ปมาโท, มา เต กามคุเณ ภมสฺสุ จิตฺตํ, มา โลหคุฬํ คิลี ปมตฺโต, มา กนฺทิ `ทุกฺขมิทนฺติ ทยฺหมาโน. นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส, นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน, ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญา จ, ส เว นิพฺพานสนฺติเก. สุญฺญาคารํ ปวิฏฺฐสฺส สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน อมานุสี รติ โหติ สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโต. ภิกษุหลายรูป ๗ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๗/๑๔๘


๑๒ ยโต ยโต สมฺมสติ ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ, ลภติ ปีติปาโมชฺชํ อมตนฺตํ วิชานตํ. ตตฺรายมาทิ ภวติ อิธ ปญฺญสฺส ภิกฺขุโน; อินฺทฺริยคุตฺติ สนฺตุฏฺฐิ ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร. มิตฺเต ภชสฺสุ กลฺยาเณ สุทฺธาชีเว อตนฺทิเต, ปฏิสนฺถารวุตฺยสฺส อาจารกุสโล สิยา; ตโต ปาโมชฺชพหุโล ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสสีติ. “ภิกษุผู้อยู่ด้วยเมตตา เลื่อมใสในพุทธศาสนา ก็จะพึงบรรลุสันตบท อันเป็นที่ระงับสังขารเป็นสุข ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรือที่เธอวิดแล้วจักถึงเร็ว เธอตัดราคะ โทสะได้แล้ว ต่อจากนั้น ก็จักบรรลุนิพพาน ภิกษุพึงตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ พึงละสังโยชน์เบื้องสูง ๕ และพึงเจริญอินทรีย์ ๕ ให้ยิ่งขึ้นไป ภิกษุผู้ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้อง ๕ ได้แล้ว เราเรียกว่า ผู้ข้ามโอฆะได้ ภิกษุ เธอจงเพ่งพินิจ และอย่าประมาท จงอย่าปล่อยจิตของเธอ ให้วนเวียนอยู่ในกามคุณ อย่าเผลอกลืนก้อนเหล็กแดง (ในนรก) อย่าเร่าร้อนคร่ำครวญอยู่ว่า นี่ทุกข์จริง ฌาน ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาก็ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ผู้มีทั้งฌานและปัญญานั่นแล จึงนับว่าอยู่ใกล้นิพพาน ภิกษุผู้เข้าไปยังเรือนว่าง มีจิตสงบ เห็นแจ้งธรรมโดยชอบ ย่อมเกิดความยินดีที่ไม่ใช่เป็นของคนทั่วไป ขณะใด ภิกษุพิจารณาเห็นความเกิด และความเสื่อมของขันธ์ทั้งหลาย


๑๓ ขณะนั้น เธอย่อมได้รับปีติปราโมทย์ ซึ่งเป็นอมตธรรมสำหรับผู้รู้ทั้งหลาย ในอมตธรรมนั้น ธรรมนี้คือ ความสำรวมอินทรีย์ ความสันโดษ และความสำรวมในปาติโมกข์ เป็นเบื้องต้นของภิกษุผู้มีปัญญาในศาสนานี้ เธอจงคบภิกษุที่เป็นกัลยาณมิตร มีอาชีพหมดจด ไม่เกียจคร้าน ควรทำการปฏิสันถาร และฉลาดในเรื่องมารยาท เพราะปฏิบัติตามคุณธรรมดังกล่าวนั้น เธอก็จักมากด้วยความปราโมทย์ จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้” ๘ บาทที่ ๑-๒ มี ๑๖ คำ คือ เมตฺ-ตา-วิ-หา-ริ-โย-ภิกฺ-ขุ ป-สนฺ-โน-พุทฺ-ธ-สา-ส-เนบาท ที่ ๓-๔ มี ๑๖ คำ คือ อ-ธิ-คจฺ-เฉ-ป-ทํ-สนฺ-ตํ สงฺ-ขา-รู-ป-ส-มํ-สุ-ขํ บาทที่ ๕-๖ มี ๑๖ คำ คือ สิญฺ-จ-ภิกฺ-ขุ-อิ-มํ-นา-วํ สิตฺ-ตา-เต-ล-หุ-เมสฺ-ส-ติ บาทที่ ๗-๘ มี ๑๖ คำ คือ เฉตฺ-วา-รา-คญฺ-จ-โท-สญฺ-จ ต-โต-นิพฺ-พา-น-เม-หิ-สิ บาทที่ ๙-๑๐ มี ๑๖ คำ คือ ปญฺ-จ-ฉินฺ-เท-ปญฺ-จ-ช-เห ปญฺ-จ-จุตฺ-ต-ริ-ภา-ว-เย บาทที่ ๑๑-๑๒ มี ๑๖ คำ คือ ปญฺ-จ-สงฺ-คา-ติ-โค-ภิกฺ-ขุโอ-ฆ-ติณฺ-โณ-ติ-วุจฺ-จ-ติ บาทที่ ๑๓ มี ๙ คำ คือ ฌา - ย - ภิกฺ - ขุ - มา - จ - ป - มา - โท บาทที่ ๑๔ มี ๑๑ คำ คือ มา - เต - กา - ม - คุ - เณ - ภ - มสฺ - สุ - จิตฺ - ตํ บาทที่ ๑๕ มี ๑๐ คำ คือ มา - โล - ห - คุ - ฬํ - คิ- ลี - ป - มตฺ - โต บาทที่ ๑๖ มี ๑๒ คำ คือ มา-กนฺ-ทิ-ทุกฺ-ข-มิ-ทนฺ-ติ-ทยฺ-ห-มา-โน บาทที่ ๑๗-๑๘ มี ๑๖ คำ คือ นตฺ-ถิ-ฌา-นํ-อ-ปญฺ-ญสฺ-ส นตฺ-ถิ-ปญฺ-ญา-อ-ฌา-ยิ-โน บาทที่ ๑๙-๒๐ มี ๑๖ คำ คือ ยมฺ-หิ-ฌา-นญฺ-จ-ปญฺ-ญา-จ ส-เว-นิพฺ-พา-น-สนฺ-ติ-เก บาทที่ ๒๑-๒๒ มี ๑๖ คำ คือ สุญฺ-ญา-คา-รํ-ป-วิฏฺ-ฐสฺ-ส สนฺ-ต-จิตฺ-ตสฺ-ส-ภิกฺ-ขุ-โน บาทที่ ๒๓-๒๔ มี ๑๖ คำ คือ อ-มา-นุ-สี-ร-ติ-โห-ติสมฺ-มา-ธมฺ-มํ-วิ-ปสฺ-ส-โต บาทที่ ๒๕-๒๖ มี ๑๖ คำ คือ ย-โต-ย-โต-สมฺ-ม-ส-ติขนฺ-ธา-นํ-อุ-ท-ยพฺ-พ-ยํ บาทที่ ๒๗-๒๘ มี ๑๖ คำ คือ ล-ภ-ติ-ปี-ติ-ปา-โมชฺ-ชํ อ-ม-ตนฺ-ตํ-วิ-ชา-น-ตํ ๘ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๘-๓๗๖/๑๔๘-๑๕๐


๑๔ บาทที่ ๒๙-๓๐ มี ๑๖ คำ คือ ตตฺ-รา-ย-มา-ทิ-ภ-ว-ติ อิ-ธ-ปญฺ-ญสฺ-ส-ภิกฺ-ขุ-โน บาทที่ ๓๑-๓๒ มี ๑๖ คำ คือ อินฺ-ทฺริ-ย-คุตฺ-ติ-สนฺ-ตุฏฺ-ฐิ ปา-ฏิ-โมกฺ-เข-จ-สํ-ว-โร บาทที่ ๓๓-๓๔ มี ๑๖ คำ คือ มิตฺ-เต-ภ-ชสฺ-สุ-กลฺ-ยา-เณ สุทฺ-ธา-ชี-เว-อ-ตนฺ-ทิ-เต บาทที่ ๓๕-๓๖ มี ๑๖ คำ คือ ป-ฏิ-สนฺ-ถา-ร-วุตฺ-ยสฺ-ส อา-จา-ร-กุ-ส-โล-สิ-ยา บาทที่ ๓๗-๓๘ มี ๑๖ คำ คือ ต-โต-ปา-โมชฺ-ช-พ-หุ-โล ทุกฺ-ขสฺ-สนฺ-ตํ ก-ริสฺ-ส-สิ ทั้งหมด ๓๘ บาท คือ ๙ พระคาถาครึ่ง รวมเป็น ๓๑๔ คำ ๘ วสฺสิกา วิย ปุปฺผานิ มชฺชวานิ ปมุญฺจติ, เอวํ ราคญฺจ โทสญฺจ วิปฺปมุญฺเจถ ภิกฺขโวติ. “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงสลัดราคะและโทสะทิ้งเสีย เหมือนต้นมะลิสลัดดอกที่เหี่ยวแห้ง ฉะนั้น” ๙ บาทที่ ๑ มี ๘ คำ คือ มิตฺ-เต-ภ-ชสฺ-สุ-กลฺ-ยา-เณ บาทที่ ๒ มี ๘ คำ คือ มชฺ-ช-วา-นิ-ป-มุญฺ-จ-ติ บาทที่ ๓ มี ๘ คำ คือ เอ-วํ-รา-คญฺ-จ-โท-สญฺ-จ บาทที่ ๔ มี ๘ คำ คือ วิปฺ-ป-มุญฺ-เจ-ถ-ภิกฺ-ข-โว ทั้งหมด ๔ บาท คือ ๑ พระคาถา มี ๓๒ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ๙ สนฺตกาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน สุสมาหิโต วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุ อุปสนฺโตติ วุจฺจตีติ. “ภิกษุผู้มีกายสงบ มีวาจาสงบ มีใจสงบ มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว และเป็นผู้ละโลกามิสได้เราเรียกว่าผู้สงบระงับ” ๑๐ บาทที่ ๑ มี ๘ คำ ดังนี้ สนฺ-ต-กา-โย-สนฺ-ต-วา-โจ บาทที่ ๒ มี ๙ คำ ดังนี้ สนฺ-ต-ม-โน-สุ-ส-มา-หิ-โต บาทที่ ๓ มี ๘ คำ ดังนี้ วนฺ-ต-โล-กา-มิ-โส-ภิกฺ-ขุ บาทที่ ๔ มี ๘ คำ ดังนี้ อุ-ป-สนฺ-โต-ติ-วุจฺ-จ-ติ ทั้งหมด ๔ บาท คือ ๑ พระคาถา มี ๓๒ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ พระสันตกาย เถระ ๙ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๗/๑๕๐ ๑๐ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๘/๑๕๐


๑๕ ๑๐ อตฺตนา โจทยตฺตานํ, ปฏิมํเสตมตฺตนา โส อตฺตคุตฺโต สติมา สุขํ ภิกฺขุ วิหาหิสิ. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ, อตฺตาว อตฺตโน คติ; ตสฺมา สํยม อตฺตานํ อสฺสํ ภทฺรํว วาณิโชติ. “ภิกษุ เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง จงพิจารณาดูตนด้วยตนเอง ถ้าเธอคุ้มครองตนเองได้แล้ว มีสติเธอก็จักอยู่เป็นสุข ตนแล เป็นที่พึ่งของตน ตนแล เป็นคติของตน เพราะฉะนั้น เธอจงสงวนตน ให้ดี เหมือนพ่อค้าม้าสงวนม้าพันธุ์ดี ฉะนั้น” ๑๑ บาทที่ ๑-๒ มี ๑๖ คำ ดังนี้ อตฺ-ต-นา-โจ-ท-ยตฺ-ตา-นํ ป-ฏิ-มํ-เส-ต-มตฺ-ต-นา บาทที่ ๓-๔ มี ๑๖ คำ ดังนี้ โส-อตฺ-ต-คุตฺ-โต-ส-ติ-มา สุ-ขํ-ภิกฺ-ขุ-วิ-หา-หิ-สิ บาทที่ ๕-๖ มี ๑๖ คำ ดังนี้ อตฺ-ตา-หิ-อตฺ-ต-โน-นา-โถ อตฺ-ตา-ว-อตฺ-ต-โน-ค-ติ บาทที่ ๗-๘ มี ๑๖ คำ ดังนี้ ตสฺ-มา-สํ-ย-ม-อตฺ-ตา-นํ อสฺ-สํ- ภทฺ-รํ-ว-วา-ณิ-โช ทั้งหมด ๘ บาท คือ ๒ พระคาถา รวเป็น ๖๔ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ พระนังคลกูฏ เถระ ๑๑ ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ ปสนฺโน พุทฺธสาสเน อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ สงฺขารูปสมํ สุขนฺติ. “ภิกษุผู้มากด้วยความปราโมทย์เลื่อมใสในพุทธศาสนา พึงบรรลุสันตบท อันเป็นธรรมเข้าไปสงบระงับสังขาร เป็นสุข” ๑๒ บาทที่ ๑-๒ มี ๑๖ คำ ดังนี้ ปา-โมชฺ-ช-พ-หุ-โล-ภิกฺ-ขุ ป-สนฺ-โน-พุทฺ-ธ-สา-ส-เน บาทที่ ๓-๔ มี ๑๖ คำ ดังนี้ อ-ธิ-คจฺ-เฉ-ป-ทํ-สนฺ-ตํ สงฺ-ขา-รู-ป-ส-มํ-สุ-ขํ ทั้งหมด ๔ บาท คือ ๑ พระคาถา รวเป็น ๓๒ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ พระวักกลิ เถระ ๑๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๘-๓๘๐/๑๕๑ ๑๒ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๘๑/๑๕๑


๑๖ ๑๒ โย หเว ทหโร ภิกฺขุ ยุญฺชติ พุทฺธสาสเน โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมาติ. “ภิกษุใดแลยังหนุ่มแน่น ย่อมประกอบขวนขวายในพุทธศาสนา ภิกษุนั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนดวงจันทร์พ้นจากเมฆ ฉะนั้น”๑๓ บาทที่ ๑-๒ มี ๑๖ คำ ดังนี้ โย-ห-เว-ท-ห-โร-ภิกฺ-ขุยุญฺ-ช-ติ-พุทฺ-ธ-สา-ส-เน บาทที่ ๓-๔ มี ๑๖ คำ ดังนี้ โส-มํ-โล-กํ-ป-ภา-เส-ติอพฺ-ภา-มุตฺ-โต-ว-จนฺ-ทิ-มา ทั้งหมด ๔ บาท คือ ๑ พระคาถา รวเป็น ๓๒ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ สุมนสามเณร จากพระคาถาทั้ง ๑๒ เรื่องนี้ ทำให้ทราบว่า ๔ บาทเป็น ๑ พระคาถา มี ๘ เรื่อง คือ ๑. ภิกษุฆ่าหงส์ ๒. พระโกกาลิกะ ๓. พระเถระผู้ยินดีในธรรม ๔. พราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๕. ภิกษุ ๕๐๐ รูป ๖. พระสันตกายเถระ ๗. พระวักกลิเถระ ๘. สุมนสามเณร ส่วนที่เป็น ๒ พระคาถา มีอยู่ ๒ เรื่อง คือ ๑. พระนังคลกูฏเถระ ๒. ภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ส่วนที่มากกว่า ๒ พระคาถา มี ๒ เรื่อง คือ ๑. ภิกษุ ๕ รูป ๒. ภิกษุหลายรูป ๓.๓ ศึกษาเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ในบทนี้ผู้ศึกษาจะศึกษาเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์รรมบททั้ง ๑๒ เรื่อง ได้แก่ ๑. เรื่องภิกษุ๕ รูป ๒. เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ ๓. เรื่องพระโกกาลิกะ ๔. เรื่องพระเถระผู้ยินดีในธรรม ๕. เรื่องภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๖. เรื่องพราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๗. เรื่องภิกษุหลายรูป ๘. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป ๙. เรื่องพระสันตกาย เถระ ๑๐. เรื่องพระนังคลกูฏเถระ ๑๑. เรื่องพระวักกลิเถระ ๑๒. เรื่องสุมนสามเณร ผู้วิจัยจะศึกษาสรุปเนื้อหาใน แต่ละเรื่องเพื่อเห็นภาพรวมในการศึกษาเนื้อหา ดังต่อไปนี้ ๓.๓.๑ เรื่องภิกษุ ๕ รูป เมื่อครั้งพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ๕ รูป ตรัสพระธรรมเทศนาว่า “จกฺขุนา สํวโร สาธุ” ดังนี้ เป็นต้น เล่ากันมาว่า มีภิกษุ ๕ รูป แต่ละรูปรักษาทวาร ๕ ไม่เหมือนกัน มีจักษุทวารเป็นต้น ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุ ทั้ง ๕ รูป เมื่อนั่งอยู่ด้วยกัน เกิดข้อถกเถียงกันว่า "ผมรักษาทวารที่รักษาได้ยาก ผมรักษาทวารที่รักษาได้ยาก" ๑๓ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๘๒/๑๕๒


๑๗ ภิกษุทั้ง ๕ รูป ต่างก็หาข้อสรุปไม่ได้ จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เพื่อนำความขึ้นกราบทูลพระศาสดาให้ ทรงตัดสินว่าใครรักษาทวารได้ดีเยี่ยมกว่ากัน พระศาสดาไม่ทรงยังภิกษุแม้รูปหนึ่งให้น้อยใจว่าทวารที่ตนรักษานั้นดีเยี่ยมไปกว่ากัน เพราะว่าทวาร เหล่านั้นแม้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่รักษาได้โดยยาก พระองค์ทรงแก้ความเข้าใจผิดของภิกษุทั้ง ๕ รูป แล้วทรงนำตักกสิล ชาดกมาเล่าให้ภิกษุทั้ง ๕ รูปฟัง ทรงประชุมชาดกว่า “แม้กาลนั้น เธอทั้งหลายเป็นชน ๕ คน มีอาวุธในมือ แวดล้อมพระมหาสัตว์ซึ่งเสด็จออกไปเพื่อประโยชน์จะยึดเอาราชสมบัติในเมืองตักกสิลา เดินทางไปไม่สำรวมแล้ว ในอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น ที่รากษสทั้งหลายนำเข้ามา ด้วยอำนาจแห่งทวาร มีจักษุทวารเป็นต้น ในระหว่างทาง ไม่ประพฤติในโอวาทของบัณฑิต แลดูอยู่ ถูกรากษสทั้งหลายเคี้ยวกิน ถึงความสิ้นไปแห่งชีวิต ส่วนพระราชาผู้ทรงสำรวมในอารมณ์เหล่านั้น ไม่เอื้อเฟื้อถึงนางยักษิณีผู้มีเพศดุจเทพยดา แม้ติดตาม ไปอยู่ข้างหลัง ๆ เสด็จถึงเมืองตักกสิลาโดยสวัสดิภาพ แล้วถึงความเป็นพระราชา คือเราแล” แล้วตรัสว่า “ธรรมดา ภิกษุ ควรสำรวมทวารแม้ทั้งหมด เพราะว่า ภิกษุสำรวมทวารเหล่านั้นนั่นแล ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้” ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในทวารที่ไม่สำรวม ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ซึ่งมีวัฏฏะเป็นมูลทั้งสิ้น ส่วนภิกษุผู้ตั้งอยู่ในทวาร ที่สำรวม ย่อมพ้นจากทุกข์ซึ่งมีวัฏฏะเป็นมูลแม้ทั้งสิ้น ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า “ภิกษุผู้สำรวมทวารทั้งปวง ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”๑๔ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ภิกษุ ๕ รูปก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สรุปความว่า ความส ารวมทวารทั้งหลายมีกายทวารเป็นต้น เป็นคุณยังประโยชน์ให้ส าเร็จแก่ผู้ปฏิบัติรักษาคือ ให้เกิดมีอินทรีย์สังวร ความส ารวมในอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดี ยินร้าย ในเวลาที่ตาเป็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้สูดกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ ใจรับรู้ธรรมารมณ์ และให้เกิดศีลสังวร ความส ารวมในศีล ศีลนี้เป็น หนึ่งในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อปฏิบัติรักษาได้อย่างดีแล้ว จิตย่อมเกิดความตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้วก็ สามารถพิจารณาข้ออรรถข้อธรรมได้ด้วยสติปัญญาที่บริสุทธ์ิเพอ่ืเป็นหนทางไปสู่ความหลุดพนจากทุกข์ ้ ทั้งปวงได้ดังนี้แล ๓.๓.๒ เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนาเป็นต้น ว่า “หตฺถสญฺญโต” ดังนี้ เล่ากันว่า สหายสองคนชาวกรุงสาวัตถี ออกบวชด้วยกันและไปไหนก็ชอบไปด้วยกัน อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุ ทั้ง ๒ รูปนั้นพร้อมกับเพื่อนภิกษุด้วยกัน ไปสรงน้ำที่แม่น้ำอจิรวดี แล้วได้ยืนผิงแดดพูดกันถึงสาราณียกถา ขณะนั้นมีหงส์๒ ตัวบินวนอยู่บนท้องฟ้า ภิกษุ ๒ รูปจึงกล่าวท้าทายกันว่า “จะดีดก้อนกรวดใส่ตาของหงส์ตัวหนึ่ง” ๑๔ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๑/๑๔๖


๑๘ ว่าแล้วภิกษุรูปหนึ่งก็ดีดก้อนกรวดใส่ตาหงส์ทั้งสองข้าง หงส์ตัวนั้นส่งเสียงดังร้องด้วยความเจ็บปวด ตกลงแทบเท้าของภิกษุเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายที่เห็นดังนั้นจึงกล่าวติเตียนว่า “ผู้มีอายุ เธอบวชในพระพุทธศาสนา ทำปาณาติบาต นับว่าทำกรรมไม่สมควร” แล้วพาภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้นไปเฝ้าพระศาสดา พระองค์ตรัสถามได้ความจริงแล้ว ก็ทรงประทานโอวาทแก่ ภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้น แล้วทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า "ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าธนญชัยเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครชื่ออินทปัตตะ ในแคว้นกุรุ พระโพธิสัตว์ ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น เมื่อเติบใหญ่ทรงเรียนศิลปะทั้งหลายในเมืองตักกสิลา แล้ว พระบิดาจึงแต่งตั้งให้เป็นอุปราช ต่อมาเมื่อแห่งพระบิดาสวรรคต ก็ได้ครองราชย์สืบต่อจากพระบิดา ทรง ตั้งอยู่ในราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการ มีการให้ทาน เป็นต้น ทรงประพฤติตนอยู่ในศีล ๕ ชื่อว่า กุรุธรรม เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงรักษาศีล ๕ อยู่อย่างนั้น ก็ทำให้พระชนนี พระอัครมเหสี พระอนุชา อุปราช พราหมณ์ปุโรหิต พนักงานรางวัด นายสารถี เศรษฐี มหาอำมาตย์ ผู้ตวงวัตถุด้วยทะนาน คนรักษาประตู และหญิง คนใช้รูปงาม รักษาศีล ๕ ตามไปด้วย อนึ่งพระองค์มีช้างมงคลคู่บารมี ชื่อว่า “อัญชนาสภะ” เป็นสัตว์มีบุญมาก ขณะเดียวกันที่แคว้นกาลิงคะ ของพระราชาพระนามว่า กาลิงคะ ในพระนครทันตบุรีเกิดฝนแล้งไม่ตก ต้องตามฤดูกาล ชาวแคว้นพากันกราบทูลว่า "เมื่อนำช้างอัญชนาสภะของพระราชาโพธิสัตว์นั้นมาแล้ว ฝนจักตก” พระเจ้ากาลิงคะจึงส่งพวกพราหมณ์ไปเพื่อทูลขอช้างนั้นกะพระโพธิสัตว์ เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายนำช้างมาแล้ว ฝนก็ยังไม่ตก และพระองค์ทราบว่าที่เมืองอินทปัตตะเหตุที่ฝนตก เพราะว่าพระโพธิสัตว์ทรงรักษากุรุธรรม พระเจ้ากาลิงคะจึงทรงส่งพวกพราหมณ์และอำมาตย์ไปอีก พร้อมรับสั่งให้ จารึกกุรุธรรมที่พระราชาโพธิสัตว์นั้นรักษาลงในแผ่นทองคำแล้วนำกลับมาด้วย พระเจ้ากาลิงคะได้ทอดพระเนตร กุรุธรรมที่พวกพราหมณ์และอำมาตย์จารึกลงในแผ่นทองคำ พระองค์ก็ทรงสมาทานบำเพ็ญให้บริบูรณ์ด้วยดี ฝนจึง ตกในแคว้นของพระองค์ แว่นแคว้นก็สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร” พระศาสดาครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแล้ว ทรงตรัสอีกว่า “ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตในครั้งก่อน เมื่อความรำคาญแม้มีประมาณน้อยเกิดขึ้นแล้ว ทำศีลเภทของตนให้ เป็นเครื่องรังเกียจแล้วอย่างนี้ ส่วนเธอบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้เช่นกับด้วยเรา ยังทำปาณาติบาตอยู่ นับว่า ได้ทำกรรมอันหนักยิ่งนัก ธรรมดาภิกษุควรเป็นผู้สำรวมด้วยมือ เท้า และวาจา” เมื่อจบพระธรรมเทศนา ประชาชน จำนวนมากต่างก็บรรลุอริยผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น สรุปความว่า บุคคลผู้สำรวมกาย วาจา ใจ ของตนให้ดี แล้วยินดีในการเจริญกัมมัฏฐาน คือทั้งสมถ กัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ย่อมได้รับการยกย่องว่า “เป็นบัณฑิต” ส่วนภิกษุผู้ไม่สำรวมกาย วาจา และใจ ของตนให้ดี ไม่ยินดีในการเจริญสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ย่อมไม่ชื่อว่าเป็นภิกษุ ผู้มีความสำรวมแล


๑๙ ๓.๓.๓ เรื่องพระโกกาลิกะ เมื่อครั้งที่พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุชื่อโกกาลิกะ แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ ว่า “โย มุขสญฺญโต” เป็นต้น มีเรื่องเล่า พระโกกาลิกะเมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้น เป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือนได้ยาก มากไปด้วยความเห็นผิด ด่าพระอัครสาวกโดยประการต่าง ๆ เมื่อมรณภาพ ด้วยผลของกรรมนั้นจึงไปเกิดในปทุมนรก เสวยวิบากกรรมเพราะการด่าพระอัครสาวก เรื่องนี้มีปรากฏในพระสูตร๑๕ ก็เมื่อพระโกกาลิกะเกิดในปทุมนรก ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมศาลาว่า “โอ! ภิกษุชื่อโกกาลิกะ ถึงความพินาศแล้ว เพราะอาศัยปากของตน ก็เมื่อเธอด่าพระอัครสาวกทั้งสองอยู่นั่นแล แผ่นดิน ได้ให้ช่องแล้ว” พระศาสดาเสด็จมาที่นั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายถึงเหตุแห่งการสนทนากัน เมื่อพระองค์ทรงทราบ ความแล้วจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อโกกาลิกะ ฉิบหายเพราะอาศัยปากของตนในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ ในกาลก่อน โกกาลิกะก็ฉิบหายแล้วเพราะอาศัยปากของตนเหมือนกัน” เพื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น พระองค์ ได้ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าประกอบเรื่องนั้น ในอดีตกาล เต่าอาศัยอยู่ในสระแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ มีลูกหงส์สองตัวเที่ยวหากินอยู่บริเวณนั้น จึงทำความคุ้นเคยกับเต่า เป็นผู้สนิทสนมกันอย่างมาก ต่อมาวันหนึ่ง ลูกหงส์สองตัวจึงถามเต่าผู้เป็นสหายว่า “เพื่อนเต่า ที่อยู่ของพวกเราในถ้ำทองบนพื้นแห่งภูเขาชื่อจิตตกูฏ ในหิมวันตประเทศ เป็นประเทศที่ น่ารื่นรมย์ ท่านจักไปกับพวกเราไหม” เต่าได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า “ฉันจักไปได้อย่างไรกัน” หงส์ทั้งสองตัวจึงบอกว่า “พวกเราจักนำท่านไป ถ้าว่าท่านสามารถจะรักษาปากของตนไว้ได้” เต่าจึงบอกว่า “เพื่อนเอ๋ย ฉันสามารถรักษาได้แน่นอน ขอท่านทั้งหลายจงพาฉันไปเถิดนะ” หงส์ทั้งสองจึงให้เต่าคาบท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ส่วนตนคาบปลายทั้งสองแห่งท่อนไม้นั้น แล้วบินไปสู่อากาศ พวกเด็กชาวบ้านเห็นหงส์หามเต่าไปบนกาศอย่างนั้นจึงพูดกันว่า “หงส์สองตัวนำเต่าไปด้วยท่อนไม้” ฝ่ายเต่าอยากจะโต้ตอบว่า “ใครว่าหงส์ทั้งสองพาเราไป เรื่องอะไรของพวกเด็กเปรตอย่างพวกเจ้า” จึงเผลออ้าปากปล่อยท่อนไม้ที่ตนคาบไว้ ทำให้ตกลงไปที่พระลานหลวง ในพระนครพาราณสีเต่าหลุด จากท่อนไม้ที่คาบตกลงมากระดองเต่ากระแทกพื้นแตกตาย แล้วพระองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุพึงเป็นผู้สำรวมปาก ประพฤติสม่ำเสมอ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ” ในเวลาเทศนาจบลง ชนจำนวมากต่างก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล ๑๕ สํ.ส. เล่ม ๑๕/ข้อ๕๙๘ ขุ.สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๘๔


๒๐ สรุปความว่า เต่าพูดไม่ถูกเวลาย่อมเกิดความฉิบหายตายเพราะปากพาซวย ภิกษุก็เช่นกัน ต้องสำรวม วาจา กล่าวด้วยความมีสติ กล่าวด้วยความไพเราะ รู้จักกาลเวลาที่จะกล่าว จึงจะถึงความเจริญ งอกงามในธรรม ของพระศาสดา ส่วนภิกษุรูปใดไม่สำรวมวาจา มีวาจาน่ารังเกียจ ย่อมถึงความฉิบหายดังเต่าปากพล่อยตัวนั้นแล ๓.๓.๔ เรื่องพระธรรมารามเถระ เมื่อครั้งพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระธรรมารามเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ธมฺมาราโม ธมฺมรโต” เป็นต้น เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งพระศาสดาตรัสบอกภิกษุทั้งหลายถึงการปรินิพพานจักมีอีก ๔ เดือนข้างหน้า ภิกษุหลายพันรูปพากันห้อมล้อมพระศาสดาปรึกษากันถึงเรื่องปรินิพพานของพระองค์บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้ ยังเป็นปุถุชนไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ร้องไห้ฟูมฟายจับกลุ่มกัน ส่วนพระอรหันต์ก็ได้เกิดธรรมสังเวช ขณะที่ภิกษุผู้เป็นปุถุชนพากันจับกลุ่มคร่ำครวญกันอยู่นั้น พระธรรมารามะไม่เกี่ยวข้องกับภิกษุ เหล่านั้นเพราะคิดว่า อีก ๔ เดือนแต่นี้ไปพระศาสดาจักปรินิพพาน ตัวท่านเองก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์ จึงได้เพียร พยามปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานเพื่อบรรลุพระอรหันต์ในขณะที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา กล่าวหาว่าพระธรรมารามะมิได้มีแม้สักว่าความเยื่อใย ในพระศาสดา ไม่ทำแม้สักว่าการปรึกษากับพวกภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายพระศาสดาจึงรับสั่งให้เรียกพระธรรมารามะมา ตรัสถามว่าเป็นอย่างที่ภิกษุทั้งหลายกล่าวหาหรือไม่ พระธรรมารามะก็กราบทูลว่าเป็นจริงอย่างนั้น เพราะอีก ๔ เดือนแต่นี้ไปพระศาสดาจักปรินิพพาน ส่วนตัวท่านเองก็เป็นผู้ที่มีราคะอยู่ จึงเพียรพยายามเพื่อเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง พระศาสดาจึงทรงอนุโมทนาความตั้งใจจริงของพระธรรมารามะ ท่ามกลางหมู่ภิกษุ และทรงสรรเสริญการปฏิบัติบูชาพระองค์มากกว่าการบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้และของหอม เวลาจบเทศนา ภิกษุนั้นบรรลุพระอรหันต์ พระธรรมเทศนาของพระองค์มีประโยชน์แก่ผู้ประชุมกันอยู่ในที่นั้นแล สรุปความว่า พระศาสดาทรงสรรเสริญการปฏิบัติธรรมบูชาพระองค์มากกว่าการบูชาด้วยสิ่งของมี ดอกไม้และของหอมเป็นต้น การปฏิบัติธรรมคือการยินดีในธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้แล้วน้อมนำมาประพฤติ ปฏิบัติจนบรรลุมรรคผลนิพพาน ภิกษุผู้ยินดีในธรรม ปฏิบัติธรรมเจริญกัมมัฏฐานบูชาพระศาสดาเหมือนอย่างท่าน พระธรรมารามะนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามพระโอวาทของพระศาสดาโดยแท้ แม้พระองค์จะปรินิพพานแล้ว ภิกษุผู้ยินดีในธรรม มีสติปัญญาพิจารณาถึงธรรมอยู่เนือง ๆ ปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ย่อมไม่เสื่อมจาก พระสัทธรรม คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประเภท๑๖ และโลกุตรธรรม ๙ ประการ๑๗ ๑๖ อภิ.วิ. ๓๕/๖๑๑/๓๓๖ ๑๗ อภิ.สํ๓๔/๗๐๖/๒๗๘, ๙๑๑/๓๕๕ , ขุ.ปฏิ. ๓๑/๖๒๐/๕๓๕


๒๑ ๓.๓.๕ เรื่องภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภภิกษุผู้คบภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ตรัสพระ ธรรมเทศนาเป็นต้นว่า “สลาภํ นาติมญฺเญยฺย” ดังนี้ ดังได้สดับมา ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายของพระเทวทัตรูปหนึ่ง เป็นสหายของภิกษุอีกรูปหนึ่ง ภิกษุผู้เป็น ฝักฝ่ายของพระเทวทัตนั้น เห็นภิกษุนั้นไปบิณฑบาตกับภิกษุทั้งหลายจึงถามว่า “ไปไหนมา” ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายพระศาสดาตอบว่า “ไปเที่ยวบิณฑบาตอยู่ที่โน้น” ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายพระเทวทัตถามต่อไปว่า “ท่านได้บิณฑบาตแล้วหรือ” ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายพระศาสดาตอบว่า “ เออ เราได้แล้ว” ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายพระเทวทัตจึงชักชวนให้ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายพระศาสดานั้นให้พักอยู่กับตนในที่นั้นสัก ๒-๓ วัน เพราะมีลาภสักการะเกิดขึ้นเป็นอันมาก ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระตถาคตว่า “พระเจ้าข้า ภิกษุนี้บริโภคลาภและสักการะที่ เกิดขึ้นแก่พระเทวทัต เธอเป็นฝักฝ่ายของพระเทวทัต” พระศาสดารับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า “ได้ยินว่า เธอได้ทำอย่างนั้น จริงหรือ” ภิกษุรูปนั้นจึงกราบทูลว่า “จริง พระเจ้าข้า ข้าพระองค์อาศัยภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งอยู่ในที่นั้น ๒-๓ วัน แต่ว่า ข้าพระองค์มิได้ชอบใจลัทธิของพระเทวทัต” ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะเธอว่า “เธอไม่ชอบใจลัทธิของพระเทวทัต ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอ เที่ยวไปประหนึ่งว่าชอบใจลัทธิของชนผู้ที่เธอพบเห็นแล้วทีเดียว เธอทำอย่างนี้ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาล ก่อน เธอก็เป็นผู้เห็นปานนั้นเหมือนกัน” พระองค์จึงนำอดีตนิทานมหิลามุขชาดก๑๘ มาเล่าให้ประชุมชนในที่นั้นฟัง ว่า “ช้างชื่อมหิลามุข ฟังคำของพวกโจรก่อนแล้ว เที่ยวฟาดบุคคลผู้ไปตามอยู่ แต่พอฟังคำของสมณะ ผู้สำรวมดีแล้ว ก็เป็นช้างประเสริฐ ตั้งอยู่แล้วในคุณทั้งปวง” แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุเป็นผู้ยินดีด้วยลาภของตนเท่านั้น การปรารถนาลาภของผู้อื่น ไม่สมควร เพราะบรรดาฌาน วิปัสสนา มรรคและผลทั้งหลาย แม้ธรรมสักอย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ ปรารถนาลาภของผู้อื่น แต่คุณชาติทั้งหลายมีฌานเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ยินดีด้วยลาภของตนเท่านั้น” ดังนี้ จบเทศนา ชนจำนวนมากบรรลุอริยผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น สรุปความว่า ภิกษุไม่ควรดูหมิ่นลาภที่เกิดจากตน ไม่ควรเที่ยวหาลาภของผู้อื่น ควรพอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ดำรงตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา มักน้อย สันโดษ จึงจักชื่อว่าเป็นภิกษุ เป็นที่น่าเลื่อมใสของ ประชาชน แม้เทวดาทั้งหลายต่างก็สรรเสริญ เพราะความเป็นผู้ไม่ย่อท้อด้วยอาศัยกำลังแข้งของตนเลี้ยงชีพ ๑๘ ขุ.ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๖ อรรถกถา ขุ.ชา.เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๖


๒๒ ๓.๓.๖ เรื่องพราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์ชื่อปัญจัคคทายก ตรัสพระธรรมเทศนา นี้ว่า “สพฺพโส นามรูปสฺมึ” เป็นต้น เล่ากันมาว่า พราหมณ์คนหนึ่งถวายทานอันเลิศ ๕ เวลา คือ ในเวลาที่ตนเก็บเกี่ยวข้าวกล้าเสร็จแล้ว ในเวลาขนข้าวลาน ในเวลานวดข้าว ในเวลาเอาข้าวสารลงในหม้อ และในเวลาที่ตนคดข้าวใส่ภาชนะ พราหมณ์นั้น เมื่อยังไม่ให้แก่ปฏิคาหกผู้ที่มาถึงแล้ว ย่อมไม่บริโภค เพราะเหตุนั้น เขาจึงได้มีชื่อว่า “ปัญจัคคทายก” นั่นแล วันหนึ่งพระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งผลทั้ง ๓ ของพราหมณ์นั้นและนางพราหมณีของเขา จึงได้ เสด็จไปโปรดพราหมณ์และภรรยาในเวลาบริโภคของพราหมณ์ พระองค์ประทับยืนอยู่ที่ประตู ขณะนั้นพราหมณ์ก็ หันหน้าเข้าเรือนไม่เห็นพระศาสดา ส่วนนางพราหมณีของเขากำลังเลี้ยงดูเขาอยู่ เห็นพระศาสดา จึงคิดว่า “พราหมณ์นี้ถวายทานอันเลิศในฐานะทั้ง ๕ แล้วจึงบริโภค ก็บัดนี้ พระสมณโคดมเสด็จมาประทับ ยืนอยู่ที่ประตู ถ้าว่าพราหมณ์เห็นพระสมณโคดมนี่แล้ว จักนำภัตของตนไปถวาย เราจักไม่อาจเพื่อจะหุงต้มเพื่อเขา ได้อีก” คิดแล้วนางก็หันหลังให้พระศาสดา ทั้งชำเลืองสายตาดูว่าพระศาสดาหลีกไปแล้วหรือยัง พระศาสดาก็ยังประทับยืนอยู่ในที่เดิม นางมิได้พูดว่า “นิมนต์พระองค์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด” ก็เพราะ กลัวว่าพราหมณ์จะได้ยิน แต่นางเดินไปออกพูดค่อยๆ ว่า “นิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด” พระศาสดาทรงสั่นพระเศียร ด้วยอาการอันทรงแสดงว่า “เราจักไม่ไป” เมื่อพระศาสดาผู้เป็นที่เคารพ ของมหาชนทรงสั่นพระเศียร นางพรหามณีกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ จึงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ขณะนั้น พระศาสดาทรงเปล่งพระรัศมีไปตรงเรือน พราหมณ์เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของนางพราหมณี และมองเห็นแสงสว่างแห่งพระรัศมีอันมีวรรณะ ๖ ประการ จึงได้เห็นพระศาสดา พรหามณ์จึงตำหนิภรรยา แล้วก็ ถือเอาอาหารที่ตนบริโภคแล้วครึ่งหนึ่งไปถวายพระศาสดา กราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ถวาย ทานอันเลิศในฐานะทั้ง ๕ แล้ว จึงบริโภค แต่ส่วนแห่งภัตส่วนหนึ่งเท่านั้น อันข้าพระองค์แบ่งครึ่งจากส่วนนี้บริโภค ส่วนแห่งภัตส่วนหนึ่งยังเหลืออยู่ ขอพระองค์ได้โปรดรับภัตส่วนนี้ของข้าพระองค์เถิด” พระศาสดาไม่ทรงแสดงอาการรังเกียจอาหารอันเป็นเดน ตรัสว่า “พราหมณ์ ส่วนอันเลิศก็ดี ภัตที่ท่าน แบ่งครึ่งบริโภคแล้วก็ดี เป็นของสมควรแก่เราทั้งนั้น แม้ก้อนภัตที่เป็นเดน เป็นของสมควรแก่เราเหมือนกัน พราหมณ์ เพราะพวกเราเป็นผู้อาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพ เป็นเช่นกับพวกเปรต” แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า “ภิกษุผู้อาศัยอาหารที่บุคคลอื่นให้เลี้ยงชีพ ได้ก้อนภัตอันใด จากส่วนที่เลิศก็ตาม จากส่วนปานกลางก็ตาม จากส่วนที่เหลือก็ตาม ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อชมก้อนภัตนั้น และ ไม่เป็นผู้ติเตียนแล้ว ขบฉันก้อนภัตนั้น ธีรชนทั้งหลายย่อมสรรเสริญแม้ซึ่งภิกษุนั้นว่า เป็นมุนี”


๒๓ พราหมณ์พอได้ฟังพระคาถานั้น ก็เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส แล้วคิดว่า “โอ! น่าอัศจรรย์จริง พระราชบุตรผู้ ชื่อว่าเจ้าแห่งดวงประทีป มิได้ตรัสว่า ‘เราไม่มีความต้องการด้วยภัตอันเป็นเดนของท่าน’ ยังตรัสอย่างนั้น” พราหมณ์ยืนอยู่ที่ประตูนั่นเอง ก็ทูลถามปัญหากะพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ ตรัสเรียกพวกสาวกของพระองค์ว่า ‘ภิกษุ’ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลชื่อว่าเป็นภิกษุ” พระศาสดาทรงใคร่ครวญแล้วตรัสว่า “พราหมณ์ บุคคลผู้ไม่กำหนัด ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ชื่อว่าเป็นภิกษุ” จบพระธรรมเทศนา พราหมณ์และนางพราหมณีผู้เป็นภรรยาบรรลุพระอนาคามิผล เทศนาได้มี ประโยชน์แม้แก่ประชุมชนในที่นั้น ดังนี้แล สรุปความว่า บุคคลผู้ไม่กำหนัด ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตน อยู่ในพระโอวาทของระศาสดา ทำศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดมีขึ้นแก่ตน เว้นจากความยึดถือในนามรูป ซึ่งมีอยู่ว่า เป็นของเราก็ดี ผู้ไม่เศร้าโศกเพราะนามรูปนั้น ซึ่งไม่มีอยู่ก็ดี พระศาสดาตรัสเรียกว่า “ภิกษุ” ดังนี้แล ๓.๓.๗ เรื่องภิกษุหลายรูป เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุหลายรูป ตรัสพระธรรมเทศนาเป็นต้น ว่า “เมตฺตาวิหารี” ดังนี้ สมัยหนึ่ง พระมหากัจจายนะอาศัยกุรรฆรนคร ในอวันตีชนบท อยู่ที่ภูเขาชื่อปวัตตะ มีอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อโสณกุฏิกัณณะ เลื่อมใสในธรรมกถาของพระเถระอยากจะบวชกับท่าน แม้ถูกท่านห้ามถึง ๒ ครั้งว่า "โสณะ พรหมจรรย์มีภัตหนเดียว นอนผู้เดียวตลอดชีพ เป็นสิ่งที่บุคคลทำได้ด้วยยากแล" ก็เป็นผู้เกิดอุตสาหะอย่างแรงกล้า ในการบรรพชา ในวาระที่ ๓ อ้อนวอนพระเถระหนักเข้าจึงได้บรรพชาแล้ว เวลาผ่านไป ๓ ปีจึงได้อุปสมบทเป็น ภิกษุ เพราะเหตุในชนบททุรกันดารมีภิกษุน้อย อยู่ต่อมา ท่านปรารถนาจะเฝ้าพระศาสดา อำลาพระอุปัชฌาย์ไปพระเชตะวัน ถวายบังคมพระศาสดา ได้รับการปฏิสันถารแล้ว พระศาสดาทรงอนุญาตให้อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันนั้นแล ให้ราตรีส่วนมากผ่านพ้นไปใน ที่กลางแจ้ง แล้วเข้าไปพระคันธกุฎีในเวลากลางคืน ในเวลาใกล้รุ่งพระศาสดาทรงเชื้อเชิญให้สวดพระสูตรด้วยกัน ๑๖ สูตร มีกามสูตรเป็นต้น โดยทำนองสรภัญญะที่จัดเป็นอัฏฐกวรรค๑๙ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงอนุโมทนาโดยพิเศษ จึงได้ประทานสาธุการแก่ท่านในเวลาจบสรภัญญะ ว่า “ดีละ ๆ ภิกษุ” ดังนี้ ๑๙ ขุ.สุ.เล่ม ๒๕ / ข้อ ๔๐๘-๔๒๓


๒๔ พระศาสดาครั้นประทานสาธุการแล้ว ฝ่ายพระโสณเถระคิดว่า "เวลานี้ เป็นเวลาสมควรที่จะกราบทูล ข่าวที่พระอุปัชฌายะให้มา" ดังนี้แล้ว จึงทูลขอพร ๕ ประการ๒๐ กะพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ๑. ขอให้อุปสมบทด้วยคณะเพียง ๕ รูปได้ ๒. ขอให้ใช้รองเท้าหลายชั้นได้ ๓. ขอให้อาบน้ำได้ เนืองนิตย์ ๔. ขอให้ใช้เครื่องปูลาดที่ทำด้วยหนังได้ (๔ ข้อนี้เฉพาะในปัจจันตชนบท) ๕. มีมนุษย์สั่งถวายจีวรแก่ภิกษุอยู่นอกสีมา ภิกษุผู้รับสั่งจึงมาบอกให้เธอรับ แต่เธอรังเกียจไม่ยอมรับ ด้วยกลัวเป็นนิสสัคคีย์ ขออย่าให้เป็นนิสสัคคีย์ ท่านอยู่ในสำนักของพระศาสดา ๒-๓ วัน ก็ทูลลาพระศาสดากลับ ในวันรุ่งขึ้น พระเถระพาท่านเที่ยว ไปบิณฑบาตไปถึงหน้าบ้านของอุบาสิกาผู้เป็นมารดา ฝ่ายอุบาสิกาเห็นบุตรแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก ไหว้แล้ว ถวาย บิณฑบาตโดยเคารพแล้วกล่าวว่า “ในวันข้างหน้า โยมจักทำการฟังธรรมของพระคุณท่าน” พระโสณะก็รับนิมนต์ อุบาสิกาคิดว่า “เราถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ ทำการบูชาแล้วจักฟังธรรมกถาแห่งบุตรของเรา” จึงได้ตั้ง ให้หญิงรับใช้คนเดียวให้เฝ้าเรือน ส่วนตนก็ได้พาบริวารทั้งหมดไปเพื่อฟังธรรมกถาของบุตร ในขณะเดียวอุบาสิกาออกจากบ้านไปฟังธรรมนั้น พวกโจรก็เข้าปล้นเรือนของเธอ ก็เรือนของอุบาสิกา นั้น ล้อมด้วยกำแพง ๗ ชั้น ประกอบด้วยซุ้มประตู ๗ ซุ้ม เขาล่ามสุนัขที่ดุไว้ในที่ซุ้มประตูทุกด้าน อีกทั้งยังให้ขุดคู ไว้ในที่น้ำตกแห่งชายคาภายในเรือน แล้วก็ใส่ดีบุกจนเต็ม เวลากลางวัน ดีบุกนั้นปรากฏเป็นประดุจว่าละลายเดือด พล่านอยู่เพราะแสงแดดแผดเผา ส่วนในเวลากลางคืนก็ปรากฏเป็นก้อนแข็งกระด้าง เขาปักขวากเหล็กใหญ่ไว้ที่พื้น ในระหว่างคูนั้นติด ๆ กันไป พวกโจรเหล่านั้นจะเข้าปล้นหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้โอกาสสักทีเพราะการรักษาแน่นหนาอย่างนี้ มา ครั้งนี้ทราบความที่อุบาสิกาไม่อยู่บ้าน จึงพากันขุดอุโมงค์เข้าไปสู่เรือน โดยทางเบื้องล่างแห่งคูดีบุกและขวากเหล็ก แล้วส่งหัวหน้าโจรไปหาอุบาสิกาที่กำลังฟังธรรมอยู่นั้นว่า “ถ้าว่า อุบาสิกานั้นได้ยินว่าพวกเราเข้าไปปล้นในบ้าน นางรีบกลับมาบ้าน ท่านก็เอาดาบฟันอุบาสิกานั้นให้ตายเถิด” พวกโจรจุดไฟในบ้านให้สว่างแล้วเปิดประตูห้องเก็บสมบัติสิ่งของมีค่าต่าง ๆ ขนออกไป ฝ่ายหญิงรับใช้ เห็นพวกโจรทำอย่างนั้น ก็รีบไปบอกอุบาสิกาผู้เป็นเจ้านายว่ามีโจรเข้าปล้นบ้าน ส่วนอุบาสิกาเมื่อได้ทราบ เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วแทนที่จะแสดงอาการตกใจ แต่กลับบอกว่า “พวกโจรอยากได้อะไร ก็จงขนเอาไปเถิด เราจะ ฟังธรรมกถาพระลูกชายของเรา เจ้าอย่าขัดขวางการฟังธรรมของเรา เจ้าจงกลับไปรอที่บ้านเถิด” หญิงรับใช้ก็ กลับไปกลับมาระหว่างบ้านกับวัดอยู่อย่างนั้นหลายรอบ ครั้งสุดท้ายอุบาสิกาเรียกนางมาแล้วพูดว่า “แนะนางตัวดี เจ้ามาหาเราหลายครั้งแล้ว เจ้าไม่ฟังคำสั่งของเราเลยหรือ ก็บอกแล้วไงว่าพวกโจรอยากได้อะไรก็เอาไปเถิด เราจะ ฟังธรรมกถาของพระลูกชาย เจ้าอย่ามาขัดขวางการฟังธรรมในที่นี้” แล้วก็บอกหญิงรับใช้คนนั้นกลับไป ๒๐ มหาวัคค์ เล่ม ๕ / ข้อ ๒๓-๒๓


๒๕ หัวหน้าโจรได้ฟังถ้อยคำของอุบาสิกานั้นจากหญิงรับใช้แล้ว คิดว่า “เมื่อพวกเรานำสมบัติสิ่งของต่าง ๆ ของหญิงผู้รักษาธรรมเช่นนี้ไป ฟ้าจะผ่ากระบาลพวกเราเป็นแน่” ดังนี้แล้ว จึงบอกพวกโจรให้เก็บสมบัติที่ขนออก มาแล้วนั้นให้กลับเข้าไว้ในที่เดิม พวกโจรก็เลื่อมใสในธรรมะ ขอให้อุบาสิกายกโทษให้แล้ว ทั้งหมดก็ปรารถนาจะ บวชกับพระโสณะ อ้อนวอนขอบวชและก็ได้บวชตามต้องการ ในกาลจบพระคาถา ภิกษุทั้งหลายก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในที่แห่งตนนั่งนั้น แล้วเหาะขึ้นสู่ฟ้า ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ก้าวล่วงทางกันดาร ๑๒๐ โยชน์ทางอากาศนั่นแล สรรเสริญพระสรีระ ซึ่งมีวรรณะดุจวรรณะแห่งทองของพระศาสดา ถวายบังคมพระบาทแล้ว ดังนี้แล สรุปความว่า ธรรมะย่อมรักษาบุคคลผู้ประพฤติธรรม ภิกษุผู้อยู่ด้วยเมตตา เลื่อมใสในพะพุทธศาสนา ย่อมสามารถบรรลุพระนิพพานอันเป็นที่ระงับสังขารเป็นสุข ฌานย่อมไม่เกิดมีแก่ผู้มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่เกิดมีแก่ ผู้ไม่มีฌาน ผู้มีทั้งฌานและปัญญานับว่าอยู่ใกล้พระนิพพานแล ๓.๓.๘ เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “วสฺสิกา วิย ปุปฺผานิ” เป็นต้น ดังได้ทราบมา มีภิกษุจำนวนมากเรียนพระกัมมัฏฐานกับพระศาสดาแล้วบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่า เห็นดอกมะลิที่แย้มบานแล้วในเวลาเช้าตรู่ หลุดออกจากขั้วในเวลาเย็น จึงพากันพากเพียรพยายาม ด้วยความหวัง ว่า “พวกเราจักหลุดพ้นจากกิเลสมีราคะเป็นต้น ก่อนกว่าดอกไม้ทั้งหลายหลุดออกจากขั้ว” ภิกษุเหล่านั้นพยายามเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏทุกข์พระศาสดาทรงตรวจดูภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุพึงพยายามเพื่อหลุดพ้นจากวัฏทุกข์ให้ได้ ดุจดอกไม้ที่หลุดจากขั้วฉะนั้น” ประทับนั่งที่ พระคันธกุฎีนั่นเอง ทรงเปล่งพระรัศมีไปแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงสลัดราคะและโทสะทิ้งเสีย เหมือนต้นมะลิสลัดดอกที่เหี่ยวแห้ง ฉะนั้น”๒๑ ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ดังนี้แล สรุปความว่า ภิกษุผู้หวังบรรลุมรรคผลนิพพานจักต้องปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อสลัดราคะและโทษะอันเป็นกิเลสเครื่องหมักดอกจิตใจให้เศร้าหมองนั้นทิ้งเสีย เหมือนต้นมะลิสลัดดอกที่เหี่ยว แห้งทิ้ง ฉะนั้นแล ๒๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๗/๑๕๐


๒๖ ๓.๓.๙ เรื่องพระสันตกายเถระ พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสันตกายเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาเป็นต้นว่า “สนฺตกาโย” ดังนี้ ดังได้สดับมา มีพระเถระรูปหนึ่งในอดีตกาลท่านเคยเกิดเป็นราชสีห์ กิริยาอาการคะนองมือและเท้า ของพระเถระนั้นไม่มี นัยว่าราชสีห์ทั้งหลายถือเอาอาหารในวันหนึ่งแล้ว เข้าไปสู่ถ้ำเงิน ถ้ำทอง ถ้ำแก้วมณีและถ้ำ แก้วประพาฬ ถ้ำใดถ้ำหนึ่ง นอนที่จุรณแห่งมโนศิลาและหรดาลตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ลุกขึ้นแล้วตรวจดูที่แห่งตน นอนแล้ว ถ้าเห็นว่าจุรณแห่งมโนศิลาและหรดาลกระจัดกระจายแล้ว เพราะความที่หาง หู หรือเท้าอันตัวกระดิก แล้ว จึงคิดว่า “การทำเช่นนี้ไม่สมควรแก่ชาติหรือโคตรของเจ้า” แล้วก็นอนอดอาหารไปอีกตลอด ๗ วัน แต่เมื่อไม่ มีความที่จุรณทั้งหลายกระจัดกระจายไป จึงคิดว่า “การทำเช่นนี้สมควรแก่ชาติและโคตรของเจ้า” ดังนี้แล้ว ก็ออก จากที่อาศัย บิดกาย ชำเลืองดูทิศทั้งหลาย บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง แล้วก็หลีกไปหากิน ภิกษุทั้งหลายเห็นความประพฤติเรียบร้อยทางกายของท่าน จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า “พระเจ้าข้า ภิกษุผู้เช่นกับพระสันตกายเถระ พวกข้าพระองค์ไม่เคยเห็นแล้ว ก็การคะนองมือ คะนองเท้า หรือการบิดกายของ ภิกษุนี้ในที่แห่งภิกษุนี้นั่งแล้วไม่มี” พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุพึงเป็นผู้สงบทางทวาร ทั้งหลายมีกายทวารเป็นต้นโดยแท้ เหมือนสันตกายเถระฉะนั้น”แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า “ภิกษุผู้มีกายสงบ มีวาจาสงบ มีใจสงบ มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว และเป็นผู้ละโลกามิสได้เราเรียกว่าผู้สงบระงับ” ๒๒ ในกาลจบเทศนา พระเถระตั้งอยู่ในพระอรหัต เทศนาได้เป็นประโยชน์แม้แก่ชนผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล สรุปความว่า ภิกษุชื่อว่าผู้มีกายสงบแล้ว เพราะไม่ทำทุจริตทั้งหลายทางกายมีปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่าผู้มีวาจาสงบแล้ว เพราะไม่มีวจีทุจริตทั้งหลายมีมุสาวาทเป็นต้น ชื่อว่าผู้มีใจสงบแล้ว เพราะไม่มีมโนทุจริต ทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้น ชื่อว่าผู้ตั้งมั่นดีแล้ว เพราะทวารทั้ง ๓ มีกายเป็นต้น ตั้งมั่นแล้วด้วยดีชื่อว่ามีอามิสในโลก อันคายแล้ว เพราะความที่อามิสในโลกเป็นของอันตนสำรอกเสียแล้วด้วยมรรค ๔ พระศาสดาตรัสเรียกว่า “ชื่อว่าผู้ สงบ” เพราะความที่กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น ที่มีอยู่ในภายในใจสงบระงับแล้ว นั่นแล ๒๒ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๘/๑๕๐


๒๗ ๓.๓.๑๐ เรื่องพระนังคลกูฏเถระ เมื่อครั้งพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนังคลกูฏเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “อตฺตนา โจทยตฺตานํ” เป็นต้น ดังได้สดับมา คนทุกข์ยากผู้หนึ่ง ทำการรับจ้างชนเหล่าอื่นเลี้ยงชีวิต ภิกษุรูปหนึ่งเห็นเขานุ่งผ้าชิ้นเก่า แบกไถ เดินไปอยู่ จึงพูดกับเขาว่า “การที่เธอบวชจะไม่ประเสริฐกว่าการเป็นอยู่อย่างนี้หรือ” คนทุกข์ยากตอบว่า “จะมีใครให้กระผมผู้เป็นอยู่อย่างนี้บวชเล่าขอรับพระคุณเจ้า” ภิกษุรูปนั้นจึงกลว่าว่า “ถ้าหากเธออยากบวช ฉันก็จักให้เธอบวช” คนทุกข์ยากตอบรับด้วยความดีใจ พระเถระจึงนำเขาไปพระเชตวัน อาบน้ำให้เขาด้วยมือของตน พักผ่อนแล้วให้บวช ให้เขาเก็บไถ พร้อมกับผ้านุ่งเก่า ๆ ไว้ที่กิ่งไม้ใกล้ที่พัก แม้ในเวลาอุปสมบทเธอได้ปรากฏชื่อว่า “นังคลกูฏเถระ” นั่นแล พระนังคลกูฏเถระนั้นอาศัยลาภสักการะซึ่งเกิดขึ้นเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เลี้ยงชีพอยู่ กระสันขึ้น แล้ว เมื่อไม่สามารถเพื่อจะบรรเทาได้ จึงคิดจะลาสิกขากลับไปอยู่บ้าน แต่ท่านก็ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งกล่าวสอนตนเอง จนทำให้จิตใจสงบได้ผ่านไปสัก ๒-๓ วัน ก็เกิดกระสันขึ้นอีก จึงไปที่ต้ไม้นั้นกล่าวสอนตนเหมือนอย่างนั้นนั่นแล ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านไปอยู่ในที่นั้นเนืองๆ จึงถามท่าน ท่านก็ตอบว่า “ไปหาอาจารย์ ขอรับ” ดังนี้แล้ว ต่อมา ๒-๓ วันเท่านั้น ท่านก็บรรลุพระอรหัตผล ภิกษุทั้งหลายเมื่อจะทำการล้อเล่นกับท่าน จึงกล่าวว่า “ท่านนังคลกูฏะผู้ใหญ่ ทางที่เที่ยวไปของท่าน เป็นประหนึ่งหารอยมิได้แล้ว ชะรอยท่านจะไม่ไปยังสำนักของอาจารย์อีกกระมัง” พระเถระตอบว่า “อย่างนั้น ขอรับ เมื่อกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องยังมีอยู่ ผมได้ไปแล้ว แต่บัดนี้ กิเลสเครื่อง เกี่ยวข้อง ผมตัดเสียได้แล้ว เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ไป” ภิกษุทั้งหลายฟังคำตอบนั้นแล้วก็พากันไปกราบทูลพระศาสดา ฝ่ายพระศาสดาตรัสตอบว่าเป็นอย่างที่ พระนังคลกูฏะกล่าว การเตือนตนด้วยตนเอง ถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต ดังนี้ในกาลจบเทศนา ชนจำนวนมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล สรุปความว่า ภิกษุจงตักเตือนตนด้วยตนเอง คือจงยังตนให้รู้สึกด้วยตนเอง ตรวจตราดูตนด้วยตนเอง เพราะเธอตักเตือนพิจารณาดูตนอย่างนั้นอยู่ ชื่อว่าปกครองตนได้ เพราะความเป็นผู้มีตนปกครองแล้วด้วยตนเอง ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะความเป็นผู้มีสติตั้งมั่นแล้ว จักอยู่สบายในทุกอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่น นอน เป็นต้น ก็อยู่ เป็นสุข


๒๘ ๓.๓.๑๑ เรื่องพระวักกลิเถระ เมื่อครั้งพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระวักกลิเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ” เป็นต้น ดังได้สดับมา ท่านพระวักกลิเถระนั้นเกิดในตระกูลพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี เมื่อเจริญเติบโตแล้ว เห็น พระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาต แลดูพระสรีระของพระศาสดาแล้ว ไม่อิ่มด้วยการเห็นพระสรีรสมบัติจึงบรรพชา ในสำนักพระศาสดา ด้วยเข้าใจว่า “ด้วยอุบายนี้เราจักได้เห็นพระศาสดาเป็นนิตยกาล” ดังนี้แล้ว ก็ยืนอยู่ในที่อัน ตนยืนอยู่แล้ว สามารถเพื่อจะแลเห็นพระทศพลได้ ละกิจวัตรทั้งหลาย มีการสาธยายและมนสิการในพระ กัมมัฏฐานเป็นต้น เที่ยวมองดูพระศาสดาอยู่ทั้งวัน พระศาสดาทรงรอความแก่กล้าแห่งญาณของท่านอยู่ จึงไม่ตรัสอะไร ทรงทราบว่าบัดนี้ ญาณของพระ วักกลิถึงความแก่กล้าแล้ว จึงตรัสโอวาทว่า “วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร ดูก่อน วักกลิผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม วักกลิเป็นความจริง บุคคล เห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม”๒๓ พระวักกลินั้น ถึงแม้พระศาสดาสอนอยู่อย่างนั้น ก็ไม่อาจเพื่อละการดูพระศาสดาไปในที่อื่นได้เลย พระศาสดาทรงดำริว่า “ภิกษุนี้ไม่ได้ความสังเวชแล้ว จักไม่รู้สึกตัว” เมื่อวัสสูปนายิกสมัยใกล้เข้า มาแล้ว จึงเสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์ ในวันเข้าพรรษาทรงขับไล่ท่านด้วยพระดำรัสว่า “วักกลิ เธอจงหลีกไป” พระวักกลิคิดว่า “พระศาสดาไม่รับสั่งกะเรา” ไม่อาจเพื่อดำรงอยู่ ณ ที่ตรงพระพักตร์ของพระศาสดา ได้ตลอดไตรมาส จึงคิดว่า “ชีวิตของเราไม่มีประโยชน์อะไร เราจักโดดลงจากภูเขานี้แหละ” ดังนี้แล้ว จึงขึ้น ภูเขาคิชฌกูฏ พระศาสดาทรงทราบความเมื่อยล้าของท่านแล้ว ทรงดำริว่า “ภิกษุนี้ไม่ได้ความปลอบโยนจากเรา พึงยังอุปนิสัยแห่งมรรคและผลทั้งหลายให้ฉิบหาย” จึงทรงเปล่งพระรัศมีไปแล้ว เพื่อจะทรงแสดงพระองค์ให้ ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แล้วเทศนาโปรดจนบรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ครั้นในกาลต่อมา พระศาสดาทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งสาวกผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายว่า “ผู้เป็นสัทธาธิมุต” ดังนี้แล สรุปความว่า ภิกษุผู้มากด้วยปราโมทย์ แม้โดยปกติ ย่อมปลูกความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ภิกษุ นั่นมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างนั้นแล้ว พึงบรรลุพระนิพพานในพระพุทธศาสนาอันมีชื่อว่า “สันตบท เป็นที่เข้าไปสงบสังขาร เป็นสุข” ในกาลทุกเมื่อแล ๒๓ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค


๒๙ ๓.๓.๑๒ เรื่องสุมนสามเณร พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในบุพพาราม ทรงปรารภสุมนสามเณร ตรัสพระธรรมเทศนาเป็นต้นว่า “โย หเว” ดังนี้ สุมนสามเณรนี้เป็นสัทธิวิหาริกของท่านพระอนุรุทธเถระ เรื่องมีอยู่ว่า พระอนุรุทธเถระระลึกถึงสุมน เศรษฐีผู้เป็นสหายเก่าในอดีตชาติท่านรำพึงว่า “สุมนเศรษฐีผู้เป็นสหายของเรา ให้กหาปณะแล้วรับเอาส่วนบุญ จากบิณฑบาตซึ่งเราถวายแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะ ในกาลนั้น บัดนี้เกิดในที่ไหนหนอแล” ท่านก็ได้เล็งเห็นเศรษฐีนั้นอยู่ที่บ้านชื่อว่ามุณฑนิคม เชิงเขาใกล้ดงไฟไหม้ อุบาสกชื่อมหามุณฑะ ใน มุณฑนิคมนั้น มีบุตรสองคน คือ “มหาสุมนะ” และ “จูฬสุมนะ” ในบุตรสองคนนั้น สุมนเศรษฐีเกิดเป็นจูฬสุมนะ ก่อนเข้าพรรษามาถึง ท่านพระอนุรุทธเถระจึงไปโปรดอุบาสกชื่อมหามุณฑะ ในขณะที่จูฬสุมนะผู้เป็นลูกชายนั้นมี อายุ ๗ ขวบ มหามุณฑอุบาสกเป็นผู้คุ้นเคยของพระเถระแม้ในกาลก่อน เขาเห็นพระเถระครองจีวรในเวลา บิณฑบาต จึงกล่าวกะมหาสุมนะผู้บุตรว่า “ลูกรัก พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระของเรามาแล้ว เจ้าจงไปรับบาตรของ ท่านก่อนที่คนอื่นจะมารับไปก่อนเถิด ส่วนพ่อจักให้คนปูอาสนะไว้” มหาสุมนะได้ทำอย่างนั้นแล้ว อุบาสกถวาย อาหารพระเถระภายในเรือนโดยเคารพแล้ว นิมนต์พระอนุรุทธเถระเพื่อจำพรรษาตลอดไตรมาส พระอนุรุทธเถระก็ รับคำนิมนต์จำพรรษาอยู่ที่หมู่บ้านนั้น ครั้งนั้น อุบาสกปฏิบัติพระเถระนั้นตลอดไตรมาส วันเวลาล่วงไปอย่างรวดเร็ว เป็นเหมือนปฏิบัติอยู่วัน เดียวเท่านั้น พอถึงวันมหาปวารณาออกพรรษา จึงนำไตรจีวรและอาหารวัตถุมีน้ำอ้อย น้ำมันและข้าวสารเป็นต้น มาถวายพระเถระ ฝ่ายพระเถระไม่รับวัตถุทานนั้นเพราะไม่มีผู้จัดถวาย และบอกว่าแม้แต่สามเณรก็ไม่มี อุบาสกกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น มหาสุมนะผู้เป็นบุตรของกระผมจักเป็นสามเณร” พระเถระกล่าวว่า “ อุบาสก ความต้องการด้วยมหาสุมนะของฉัน ก็ไม่มี” อุบาสกกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าจงให้จูฬสุมนะ บวชเถิด” พระเถระรับว่า “ดีละ” แล้วให้จูฬสุมนะบวช จูฬสุมนะนั้นบรรลุอรหัตในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเอง พระเถระอยู่ในที่นั้นกับจูฬสุมนสามเณรนั้นประมาณกึ่งเดือนแล้ว ลาพวกญาติของเธอว่า “พวกฉันจัก เฝ้าพระศาสดา” ดังนี้แล้วไปทางอากาศ ลงที่กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่าในหิมวันตประเทศ” ในวันหนึ่ง สุมนสามเณรต้องการนำน้ำจากสระอโนดาตมารักษาอาการปวดท้องของท่านพระอนุรุทธ เถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของตน แต่พญานาคนามว่า “ปันนกนาคราช” ที่เฝ้าอยู่สระอโนดาตไม่ยอมให้และเกิด ความโกรธขึ้นมาแผ่พังพานขวางกั้นเอาไว้ สุมนสามเณรจึงแสดงฤทธิ์เพื่อให้ปันนกนาคราช มีความเคารพยำเกรงใน พระรัตนตรัย โดยเหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วเนรมิตกายสูง ๑๒ โยชน์เหยียบเทียบลงพังพานของหัวหน้าพญานาค ทันทีที่สามเณรเอาเท้าเหยียบลงไปบนพังพานของพญานาค แผ่นพังพานของพญานาคก็เล็กลงเหลือขนาดเท่าทัพพี


๓๐ น้ำในสระอโนดาตก็พุ่งออกมาให้สามเณรรองใส่ภาชนะที่นำมาจนเต็มตามความต้องการ พวกเทวดา พากันแซ่ซ้องสาธุการกันไปทั่วบริเวณ ในที่สุดสามเณรก็สามารถนำน้ำไปถวายพระเถระได้สำเร็จ เมื่อท่านอนุรุทธ เถระฉันน้ำที่สุมนสามเณรนำมานั้น การปวดท้องของพระเถระก็หายไปทันที พระยานาคนั้นรู้ฤทธานุภาพของสามเณร จึงยอมสยบต่อสุมนสามเณร ขอให้สุมนสามเณรยกโทษให้ และบอกว่าถ้าต้องการน้ำที่สระอโนดาตตนก็จักนำมาถวายเอง ไม่ต้องไปให้ลำบาก ฝ่ายพระศาสดาเองทรงทราบ เรื่องราวทั้งหมดโดยลำดับ จึงตรัสสรรเสริญคุณของสุมนสามเณรให้เป็นคุณปรากฏขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ในศาสนาของเรา บุคคลแม้เป็นเด็ก ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้สมบัติเห็นปานนี้เหมือนกัน” เมื่อธรรมเทศนาจบลง ชนจำนวนมากต่างก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล สรุปความว่า ภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ควรเพียรพยายามประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในธรรมวินัยอยู่เสมอ แม้เป็นภิกษุ หนุ่มสามเณรน้อย เมื่อปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานตามพระโอวาทของพระศาสดาก็สามารถ บรรลุมรรคผลนิพพานได้ภิกษุนั้นสามารถทำโลกกล่าวคือขันธโลกเป็นต้น ให้สว่างได้ คือทำให้มีแสงสว่างเป็นอัน เดียวกัน ด้วยญาณอันสัมปยุตด้วยอรหัตมรรคของตน ดุจพระจันทร์ที่พ้นแล้วจากเครื่องกำบังมีเมฆหมอกเป็นต้น ฉะนั้น กล่าวโดยสรุป ในจำนวน ๒๖ วรรคนี้ ผู้ศึกษาได้คัดเลือก “ภิกขุวรรค” ซึ่งเป็นวรรคที่ ๒๕ มาศึกษาโครงสร้างและเนื้อหา เหตุผลในการเลือก ภิกขุวรรค เนื่องจากเป็นวรรคที่พระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องเกี่ยวกับภิกษุในพระพุทธศาสนา มีการสำรวมกาย สำรวม วาจา สำรวมใจ เป็นต้น คำว่า “ภิกษุ” ในภิกขุวรรคนั้น พระบรมศาสดาทรงตรัสถึงภิกษุผู้มีปัญญาในศาสนานี้พึง กระทำ คือ สำรวมอินทรีย์ มีความมักน้อยสันโดษ รักษาพระวินัยบัญญัติ คบหากัลยามิตร มีความขยันหมั่นเพียร มี การงานสุจริต ไม่ให้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย มุ่งเจริญกัมมัฏฐาน ละความยึดมั่นถือมั่นในรูป ไม่ประมาท รู้จักเตือน ตน รู้จักพึ่งพาตนเอง ดำรงตนอยู่ในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา บำเพ็ญสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงตามพระโอวาทของพระบรมศาสดา กระทำตนให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังเนื้อความปรากฏใน พระบาลีว่า “ภิกษุ เธอจงวิดเรือ๒๔ นี้ เรือที่เธอวิดแล้วจักถึงเร็ว เธอตัดราคะ โทสะได้แล้ว ต่อจากนั้น ก็จักบรรลุนิพพาน” ๒๕ ๒๔ เรือ ในที่นี้หมายถึงอัตภาพ (ขุ.ธ.อ.๘/๖๖) ๒๕ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๙/๑๔๘


๓๑ บทที่ ๓ สรุปผลการศึกษา การศึกโครงสร้างและเนื้อหาในภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท มีวัตถุประสงค์ ๒ ข้อ คือ ๑. เพื่อศึกษา คัมภีร์ธรรมบท ๒. เพื่อศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษา เชิงเอกสารโดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ตำราพร้อมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการศึกษาโครงสร้างและเนื้อหาของภิกขุวรรคในคัมภีร์ธรรมบท ภิกขุวรรค เป็นส่วนหนึ่งของ คัมภีร์ธรรมบท ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ในเล่มที่ ๒๕ มี ๕ คัมภีร์ คือ ๑. ขุททกปาฐะ ๒. ธรรมบท ๓. อุทาน ๔. อิติวุตตกะ ๕. สุตตนิบาต คัมภีร์ธรรมบทมีทั้งหมด ๒๖ วรรค สำหรับ ภิกขุวรรคนั้นมีทั้งหมด ๑๒ เรื่อง พระพุทธเจ้าเน้นหนักเกี่ยวกับภิกษุคำว่า “ภิกษุ” ดังนั้นในธรรมบทจึงนำเรื่องที่ เกี่ยวกับภิกษุที่พระศาสดาตรัสไว้ดังปรากฏในพระไตรปิฎกและคัมภีร์ธรรมบทนั้น มาจัดไว้เป็นหมวดหมู่หนึ่ง เพื่อ กล่าวสอนภิกษุให้รู้จักการสำรวมกาย วาจา ใจ เป็นต้น ให้ชื่อว่าหมวด “ภิกขุวรรค” ดังนี้ ลำดับ ชื่อเรื่องในภิกขุวรรค ๑ ภิกษุ๕ รูป ๒ ภิกษุฆ่าหงส์ ๓ พระโกกาลิกะ ๔ พระเถระผู้ยินดีในธรรม ๕ ภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง ๖ พราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ๗ ภิกษุหลายรูป ๘ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ๙ พระสันตกายเถระ ๑๐ พระนังคลกูฏเถระ ๑๑ พระวักกลิเถระ ๑๒ สุมนสามเณร


๓๒ โครงเรื่องทั้ง ๑๒ เรื่องนั้น มีลักษณะบอกเนื้อหาของพระธรรมเทศนาเป็นพระคาถา นำส่วนแรกของ พระคาถามาตั้งไว้ เนื้อหาในส่วนนี้จะเป็นบทเกริ่นนำของพระอรรถกถาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ธรรมบท กล่าวถึง สถานที่ พระพุทธเจ้าตรัสพระคาถา ปรารภใคร และเล่าเรื่องประกอบเนื้อหาของเรื่อง และบางเรื่องมีพระคาถาเพียง ๑ พระคาถา บางเรื่องมี ๒ พระคาถา บางเรื่องมีมากกว่า ๒ พระคาถา สำหรับเรื่องที่มี ๑ พระคาถา ภิกขุวรรคทั้ง ๑๒ เรื่อง เป็นคาถาปัฐยาวัตรฉันท์ รายละเอียดเกี่ยวกับปัฐยาวัตรฉันท์คือ ๑ คาถามีทั้งหมด ๔ บาท บาท ละ ๘ คำ มีทั้งหมด ๓๒ คำ เวลาสวดจะหยุดทุก ๔ คำ ตัวอย่าง ดังนี้ พระคาถา ชื่อเรื่อง หมายเหตุ สพฺพโส นามรูปสฺมึ ยสฺส นตฺถิ มมายิตํ อสตา จ น โสจติ ส เว ‘ภิกฺขูติ วุจฺจตีติ. “ผู้ใด ไม่มีความยึดถือ ในนามรูปว่า เป็นของเรา โดยประการทั้งปวง และไม่เศร้าโศกเพราะนามรูป แปรผันไป ผู้นั้นแล เราเรียกว่า ภิกษุ” บาทที่ ๑ มี ๘ คำ ดังนี้ สพฺ - พ - โส - นา - ม - รู- ปสฺ - มึ บาทที่ ๒ มี ๘ คำ ดังนี้ ยสฺ - ส - นตฺ - ถิ - ม - มา - ยิ- ตํ บาทที่ ๓ มี ๘ คำ ดังนี้ อ - ส - ตา - จ - น - โส - จ - ติ บาทที่ ๔ มี ๘ คำ ดังนี้ ส - เว - ภิกฺ - ขู- ติ - วุจฺ - จ - ติ ทั้งหมด ๔ บาท คือ ๑ พระคาถา รวมเป็น ๓๒ คำ เป็นปัฐยาวัตรฉันท์ พราหมณ์ ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง ลำดับเรื่องที่ ๖ ในภิกขุวรรค เนื้อหาของภิกขุวรรคทั้ง ๑๒ เนื้อหากล่าวโดยสรุป คือ ๑. เรื่องภิกษุ ๕ รูป อธิบายถึงการสำรวมทวาร มีจักษุทวารเป็นต้น ของภิกษุ ๕ รูป ๒. เรื่องภิกษุฆ่าหงส์ เป็นเรื่องภิกษุต้องรู้จักสำรวมมือ สำรวมเท้า สำรวมตน มักน้อยสันโดษ ๓. เรื่องพระโกกาลิกะ เป็นเรื่องภิกษุว่ากล่าวได้ยาก ไม่สำรวมปาก ปากพาให้ฉิบหาย ๔. เรื่องพระเถระผู้ยินดีในธรรม เป็นเรื่องพระเถระที่ได้ทราบข่าวว่าอีก ๔ เดือนข้างหน้า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน จึงรีบเร่งทำความเพียรจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ๕. เรื่องภิกษุผู้คบฝ่ายผิดรูปใดรูปหนึ่ง เป็นเรื่องของภิกษุผู้ไม่พอใจในลาภของตนเอง ปรารถนาลาภของผู้อื่น เข้าไป คบหาสมาคมกับภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายของพระเทวทัต ๖. เรื่องพราหมณ์ถวายทานอันเลิศ ๕ อย่าง กล่าวถึงพราหมณ์และพราหมณีผู้ถวายทานด้วยของอันเลิศ ๕ อย่าง ๗. เรื่องภิกษุหลายรูป เป็นเรื่องกล่าวถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย


๓๓ ๘. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป เป็นเรื่องภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูป มุ่งมั่นเจริญกัมมัฏฐานเพื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ๙. เรื่องพระสันตกายเถระ เป็นเรื่องของพระเถระรูปหนึ่งในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นราชสีห์กิริยาอาการคะนอง มือและเท้าของพระเถระนั้นไม่มี ๑๐. เรื่องพระนังคลกูฏเถระ เป็นเรื่องไม่ประมาท รู้จักตักเตือนตนด้วยตนเอง ๑๑. เรื่องพระวักกลิเถระ เป็นเรื่องภิกษุผู้มากด้วยปราโมทย์ แม้โดยปกติ ย่อมปลูกความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ๑๒. เรื่องสุมนสามเณร เป็นเรื่องกล่าวถึงสามเณรผู้เป็นสัทธิวิหาริกของท่านพระอนุรุทธเถระ ผู้ปราบพยศพยานาค ชื่อว่า “ปันนกนาคราช” จนละทิฐิมานะ แม้สุมนสามณรจะเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ควรประมาทท่าน เพราะว่าธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ประพฤติปฏิบัติตามย่อมสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นเดียวกับภิกษุนั่นแล


๓๔ บรรณานุกรม ก. ข้อมูลปฐมภูมิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ________. อรรถกถาภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐. ข. ข้อมูลทุติยภูมิ (๑) หนังสือ: มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๘. พิมพ์ครั้งที่ ๑๘. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๕๕. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกแก่นธรรม ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔. พิมพ์ครั้งแรก. โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร, ๒๕๖๐. (๒) วิทยานิพนธ์: นางสาวจรงใจ เกรียงบูรพา. “การปฏิบัติกรรมฐานเพื่อรักษาตนตามแนวอัตตวรรคในอรรถกถาธรรมบท”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๕. (๓) บทความ: สุชญา ศิริธัญภร. “วิจารคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย”. วารสารมหา จุฬาวิชาการ. ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘): หน้า ๑๘๕ (๓) สาระสังเขปออนไลน์: http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35


Click to View FlipBook Version