The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การแสดงภาคเหนือ
การแสดงภาคกลาง
การแสดงภาคอัสาน
การแสดงภาคใต้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธนัชชา สุเมโท, 2022-09-03 08:31:01

นาฏศิลป์พื้นเมือง

การแสดงภาคเหนือ
การแสดงภาคกลาง
การแสดงภาคอัสาน
การแสดงภาคใต้

จุดมุ่งหมายรายวิชา ยินดีต้อนรับเข้าสู่ รายวิชา นาฏศิลป์ เนื้อหา

นักเรียน กล้าคิด กล้าตอบ เนื้อหาวันนี้ ประวัติความเป็นมา
กล้าแสดงออก
การแสดงภาคเหนือ การแสดงภาคเหนือ

ฟ้อนต่างๆของภาคเหนือ

ความเป็นมา

การแสดงภาคเหนือ




ในภาคเหนือภูมิประเทศเป็นป่าเขา ต้นน้ำลำธาร อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
การทำมาหากินสะดวกสบาย ชาวเหนือจึงมีอุปนิสัยอ่อนโยนยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจไมตรี

การแสดงพื้นเมืองจึงมีลีลาอ่อนช้อยงดงามละเมียดละไมเนิบนาบอ่อนหวาน



การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือเรามักเรียกว่า “ ฟ้อน “ มีลักษณะคล้ายระบำ คือมีผู้
แสดงหลายคนเป็นชุดเป็นหมู่ ร่ายรำทำท่าเหมือนๆกัน แต่งกายเหมือนกัน มีการแปรแถว
แปรขบวนต่างๆ แต่ที่ไม่เรียกว่าระบำ เพราะฟ้อนมีจังหวะและลีลาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ไม่เหมือนระบำหรือการแสดงอื่นๆ

ความเป็นมา(ต่อ)



อาณาบริเวณทางภาคเหนือของไทย ที่เรียกว่า “ล้านนา”นั้น ประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ ๘ จังหวัด คือ เชียงใหม่
เชียงราย ลำปาง พะเยา แพร่ น่านและแม่ฮ่องสอน เคยมีประวัติอันซับซ้อนและยาวนานเทียบได้กับสมัยสุโขทัย เคยมี
กษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ

ให้พระยากาวิละ ซึ่งเป็นผู้ครองเมืองลำปางขึ้นไปปกครองเชียงใหม่ อันถือว่าเป็นศูนย์กลางทั้งด้านปกครอง การ
เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือมีความเด่นอยู่ในรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าเคยอยู่ในอำนาจของรัฐอื่น ๆ มาบางระยะบ้าง ก็มิได้ทำให้รูปแบบของการแสดงต่าง ๆ เหล่านั้นเสื่อมคลายลง ส่วน
ที่ได้รับอิทธิพลก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับการประยุกต์ให้เขารูปแบบของล้านนาดั้งเดิมอย่างน่าชมเชยมาก แสดงว่าสามารถ

รักษาเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์

การฟ้อนรำ

แบ่งได้ ดังนี้ 3 ประเภท

๑. ฟ้อนเมือง หมายถึงการฟ้อนรำแบบพื้นเมือง เป็นการฟ้อนรำที่มีแบบอย่าง
ฟ้อนเมือง ถ่ายทอดสืบ ต่อกันมานานอันประกอบด้วยการฟ้อนรำ ดนตรี และการขับร้อง ซึ่ง
ฟ้อนม่าน ฟ้อนบางอย่างก็มีแต่ดนตรีกับฟ้อนแต่ไม่มีการขับร้องอาจจำแนกได้หลายชนิด
ฟ้อนเงี้ยว
ฟ้อนเล็บแบบดั้งเดิม ผู้แสดงเป็นหญิงทั้งหมด ใช้ดนตรี
ประกอบคือ วงติ่งโนง ประกอบด้วยกลองแอว (กลองติ่ง
โนง) หรือกลองหลวง กลองตะโล้ดโป้ด ปี่แนน้อย ปี่แน
หลวง ฉาบ ฆ้อง ฟ้อนเล็บนี้ภายหลังได้รับการปรับปรุง
ใหม่ ทำให้ลีลาการฟ้อนรำแตกต่างออกไปจากเดิมบ้าง

ฟ้อนดาบ มีกระบวนท่ารำ ๓๒ ท่านับเป็นแบบของล้านนา
โดยเฉพาะ ผู้แสดงเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ ใช้วงปูเจ่เป็นวง
ดนตรีประกอบ มีกลองปูเจ่หรือกลองกันยาว ฉาบ ฆ้องชุด (๓

หรือ ๗ ลูก) เป็นการรำดาบที่สวยงามมาก

ฟ้อนเจิง เป็นการฟ้อนด้วยมือเปล่า ใช้ดนตรีเช่นเดียวกับ

ฟ้อนดาบ ผู้แสดงเป็นผู้ชายมีท่าต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า ๓๐
ท่า ซึ่งมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาตลอด และยังรักษา ฟ้อนผีมด เป็นลักษณะการร่ายรำของคนเข้าทรง เช่นเดียวกับ
การทรงหรือเข้าแม่ศรีของภาคกลางใช้วงดนตรีป๊าด คือ วงปี่พาทย์
แบบอย่างอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน นั่นเอง แต่ใช้เพลงที่ออกทำนองมอญหรือพม่า เป็นการฟ้อนร่วมกัน


ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง สำหรับพิธีการต่าง ๆ

ฟ้อนแง้น เป็นที่นิยมอยู่ในแถบจังหวัดแพร่ น่าน เชียงราย
พะเยา ประกอบการบรรเลงดนตรีสะล้อซึงและปี่ เมื่อซอสิ้นคำลง

และปี่เป่ารับตอนท้ายก็ฟ้อนรำ ฟ้อนได้ทั้งหญิงและชาย ฯลฯ

๒. ฟ้อนม่าน หมายถึงการฟ้อนรำตามแบบอย่างของพม่าหรือมอญ
คงจะเป็นด้วยเมื่อครั้งเชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นของพม่า จึงมีการถ่ายทอด

แบบอย่างการฟ้อนรำ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ

รำม่านหรือฟ้อนพม่า เป็นการรำตามแบบแผน ฟ้อนผีเม็ง เป็นการฟ้อนรำโดยการเข้าทรงเช่นเดียว
ของพม่า โดยการยกแขยแอ่นตัวยืดขึ้นสูง แล้ว กับฟ้อนผีมด นิยมเล่นในงานสงกรานต์ตามแบบแผน ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เป็นการประดิษฐ์ขึ้นจากฟ้อน
ทิ้งตัวลงต่ำทันที จึงดูคล้ายการเต้นช้า ๆ แต่ ของชาวรามัญ (มอญ) ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนา กำเปอ แล้วใช้ปี่พาทย์เป็นดนตรีประกอบการฟ้อนรำมีอยู่
อ่อนช้อย มีทั้งที่รำเดี่ยวและรำหมู่ ตลอดจนรำ ส่วนหนึ่งหลังจากอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ๒ แบบ คือ แบบหนึ่งผู้ฟ้อนรำเป็นหญิงล้วน อีกแบบหนึ่ง
เป็นคู่หญิงชาย แต่ค่อนข้างหาดูได้ยาก ทั้งท่ารำ และพม่าเคยกวาดต้อนเอาเข้ามาอยู่ตามหัวเมืองเหนือ ผู้ฟ้อนรำผสมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ได้จัดแสดงครั้ง
ก็ไม่ค่อยมีแบบแผนมากนัก ดนตรีประกอบใช้ แรกเมื่อขึ้นตำหนักใหม่บนดอยสุเทพ
ดนตรีพื้นเมืองที่ออกสำเนียงพม่าหรือมอญ ในการฟ้อนนี้จะตั้งเตาไฟและหม้อดินบรรจุปลาร้าไว้

ตรงหน้าโรงพิธีซึ่งปลูกแบบเพิงง่าย ๆ การฟ้อนเริ่มด้วย

การที่ผู้เข้าผีเริ่มขยับร่างกาย

๓. ฟ้อนเงี้ยว ความจริงแล้ว ฟ้อนเงี้ยวเป็นการฟ้อนตามแบบแผนของชาวไตหรือไทยใหญ่ การฟ้อน
ของชาวไตมีหลายแบบ ส่วนใหญ่แล้วมักใช้กลองก้นยาว ฉาบ และฆ้อง เท่านั้น มีอยู่บ้างที่ใช้ดนตรีอื่น

คือ ฟ้อนไต

ฟ้อนเงี้ยวแบบดั้งเดิม เป็นการฟ้อนรำของผู้ชาย ฟ้อนกินราหรือกิงกะหลา แบบเดิมเป็นอย่างไรไม่อาจ ฟ้อนกำเปอหรือกำเบ้อ กำเบ้อคงแต่งกายด้วย
ฝ่ายเดียว ไม่มีผู้หญิงปนเหมือนที่มีการประยุกต์ขึ้น ระบุชัดได้ เพราะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงออกไปต่าง ปีกหางอย่างนกหรือผีเสื้อ มีสีต่าง ๆ สวยงาม แต่
ใหม่ ตามแบบดั้งเดิมนั้นไม่กำหนดท่ารำที่แน่นอน แต่ ถ้าเป็นการแสดงทั่วไปก็ไม่มีการแต่งกายอย่างนั้น
จะออกท่ารำ ต่าง ๆ ผสมการตลกคะนองไปด้วยใน ๆ แม้การแต่งกายก็เช่นเดียวกัน เดิมนั้นเป็นการรำ เพียงแต่แบบแผนท่ารำค่อนข้างไปทางธรรมชาติ
ตัว ไม่ลง “มง แซะ มง …” แต่จะออกทำนองกลองก้น เลียนแบบนก มีการรำคู่กัน เกี้ยวพาราสีกัน หรือหยอก
ยาว คือ “บอง บอง บอง เบอง เทิ่ง บอง” การแต่ง ล้อเล่นหัวกัน ดนตรีที่ใช้ประกอบการรำก็คือกลองก้น มากเท่านั้นดังนั้นชาวบ้านก็อาจฟ้อนรำได้
กายก็แต่งแบบชาวไตมีการพันศรีษะด้วยผ้าขาวม้า
ยาว ฉาบ ฆ้อง ไม่มีการร้อง

ฟ้อนโต เป็นการฟ้อนในรูปของสัตย์ เช่น มังกร กิเลน ฟ้อนไต เป็นการฟ้อนรำที่ไม่จำกัดจำนวนคน ฟ้อนดาบ แตกต่างไปจากฟ้อนดาบแบบล้านนา
หรือสิงโต แต่งกายตามแบบของสัตว์นั้น ๆ บางแห่ง อาจออกเป็นขบวนยาวได้ มีลีลาการรำที่ช้าคล้าย เพราะมีความรวดเร็ว คล่องตัวมากกว่าเกือบจะ
เป็นกวางหรือฟาน มีการเต้นตามจังหวะดนตรี กลิ้ง ฟ้อนพื้นเมืองของล้านนา เนื่องจากเนื้อแท้การ ไม่ห่วงเรื่องจังหวะดนตรีเลย กลายเป็นว่าดนตรี
ตัวไปมา หรือเดินอวดร่างกาย อาจมีหลายคน หรือ ฟ้อนนี้ เป็นการฟ้อนเพื่อความสามัคคี จึงได้รับ ต้องช้าเร็ว ตามผู้ฟ้อนรำ ดาบที่ใช้รำนั้นยาวมาก
เป็นคู่ หรือแสดงเดี่ยว ทำให้นึกถึงการแสดงของจีนที่ ความสนใจมากจนกำลังจะได้รับการพัฒนาขึ้นใน แต่เมื่อฟาดเข้าหาตัวแล้ว การงอตัวหลบปลาย
ทำเป็นร่างของสิงโต ใช้คนแสดง ๒ คน เป็นขาคู่หน้า ดาบเป็นที่น่าหวาดเสียวมาก ท่ารำเป็นท่าตาม
๑ คน เป็นขาคู่หลัง ๑ คน ต้องเต้นให้รู้ท่าทางจังหวะ รูปของการรำแบบใหม่ แบบแผนดั้งเดิมไม่มีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด

กันอย่างคล่องแคล่ว

วัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย เช่น ไทยใหญ่ เงี้ยว ชาวไทยภูเขา ยอง เป็นต้นดังนั้น นาฏศิลป์ของภาคเหนือยังได้รับอิทธิพลจาก
นาฏศิลป์พื้นเมืองของภาคเหนือ นอกจากมีของที่เป็น "คนเมือง" แท้ๆ แล้วยังมี ประเทศใกล้เคียง ได้แก่
นาฏศิลป์ ที่ผสมกลมกลืนกับชนชาติต่างๆ และของชนเผ่าต่างๆ นาฏศิลป์ของชน
เผ่าต่างๆ เช่นฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเงี้ยว (เงี้ยว) ระบำเก็บใบชา(ชาวไทยภูเขา) เป็นต้น จีน
พม่า
ระบำเก็บใบชา ระบำชาวเขา ลาว

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ รายวิชา นาฏศิลป์

จุดมุ่งหมายรายวิชา เนื้อหาวันนี้ เนื้อหา

นักเรียน กล้าคิด กล้าตอบ การแสดงภาคกลาง ประวัติความเป็นมา
กล้าแสดงออก
การแสดงภาคกลาง

ฟ้อนต่างๆของภาคเหนือ

ภาคกลางได้ชื่อว่าอู่ข้าวอู่น้ำของไทย มีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำ
หลายสาย เหมาะแก่การกสิกรรม ทำนา ทำสวน ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่
สุขสบาย จึงมีเวลาที่จะคิดประดิษฐ์ หรือสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามได้มาก

และมีการเล่นรื่นเริงในโอกาสต่างๆ มากมาย ทั้งตามฤดูกาล ตาม
เทศกาลและตามโอกาสที่มีงานรื่นเริงภาคกลางเป็นที่รวมของศิลป
วัฒนธรรม การแสดงจึงมี การถ่ายทอดสืบต่อกันและพัฒนาดัดแปลงขึ้น
เรื่อยๆและออกมาในรูปแบบของขนบธรรมเนียมประเพณี และการ

ประกอบอาชีพ

เต้นกำรำเคียว ซึ่งชาวชนบทส่วนมากมีอาชีพการทำนาเป็นหลัก และด้วยนิสัยรักสนุกกับการ
เป็นเจ้าบทเจ้ากลอน จึงได้เกิดการเต้นกำรำเคียวขึ้น ในเนื้อเพลงจะสะท้อนให้
การแสดงพื้นบ้าน เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ลักษณะการรำ จะเน้นความสนุกเป็นใหญ่ มี
ที่มาจาก ทั้งเต้นและรำควบคู่กันไป ในมือของผู้รำข้างหนึ่งจะถือเคียว อีกข้างหนึ่งถือข้าวที่
เกี่ยวแล้ว จึงเรียกการแสดงนี้ว่า "เต้นกำรำเคียว" จะเล่นกันในฤดูเกี่ยวข้าว
การประกอบอาชีพ
เพลงเรือ ลำตัด

การแสดงพื้นบ้าน เพลงฉ่อย เพลงอีแซว
ที่มาจาก กลองยาว เถิดเทิง

การประกอบอาชีพ

นอกจากนี้ การแสดงนาฏศิลป์แบบฉบับไปก็มี เช่น รำวง และ
เนื่องจากเป็นที่รวมของศิลปะนี้เอง ทำให้คนภาคกลางรับการแสดง
ของท้องถิ่นใกล้เคียงเข้าไว้หมด แล้วปรุงแต่งตามเอกลักษณ์ของภาค

กลาง คือการร่ายรำที่ใช้มือ แขนและลำตัว เช่น โขน
ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ลิเก หุ่น หนังใหญ่ เป็นต้น.

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ รายวิชา นาฏศิลป์

จุดมุ่งหมายรายวิชา เนื้อหาวันนี้ เนื้อหา

นักเรียน กล้าคิด กล้าตอบ การแสดงภาคอีสาน ประวัติความเป็นมา
กล้าแสดงออก
การแสดงภาคอีสาน

ฟ้อนต่างๆของภาคเหนือ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาค
อีสาน) ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของ
ภาคอีสานเป็นที่ราบสูง มีแหล่งน้ำ
จากแม่น้ำโขง แบ่งตามลักษณะของ

สภาพความเป็นอยู่ ภาษาและ
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่าง

กัน ประชาชนมีความเชื่อในทาง
ไสยศาสตร์มีพิธีกรรมบูชาภูติผีและ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การแสดงจึงเกี่ยวข้อง
กับชีวิตประจำวัน และสะท้อนให้เห็น
ถึงการประกอบอาชีพและความเป็น

อยู่ได้เป็นอย่างดี

การแสดงของภาคอีสานเรียกว่า เซิ้ง เป็นการแสดงที่ค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉง สนุกสนาน เช่น เซิ้งกระติบ
ข้าว เซิ้งโปงลาง เซิ้งกระหยัง เซิ้งสวิง เซิ้งดึงครกดึงสาก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี ฟ้อนที่เป็นการแสดงคล้าย

กับภาคเหนือ เช่น ฟ้อนภูไท (ผู้ไท) เป็นต้น

ส่วนกลุ่มอีสานใต้ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า
"เรือม หรือ เร็อม" เช่น เรือมลูดอันเร (รำกระทบสาก) รำกระโน็บติงต็อง

(ระบำตั๊กแตนตำข้าว) รำอาไย (รำตัด)

การฟ้อนของภาคอีสานนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ที่ผู้ชมสามารถแยกแยะได้ทันทีว่า "ต่างจากภาคอื่นๆ" แม้จะไม่มีการประกาศให้ทราบล่วงหน้าก่อน
การแสดง ท่าฟ้อนของภาคอีสานนั้นมีความเป็นอิสระสูง ไม่มีข้อจำกัดตายตัว ทั้งมือและเท้า ส่วนใหญ่ท่าฟ้อนจะได้มาจากท่าทาง หรืออริยาบถ
ธรรมชาติ และมีท่าพื้นฐานที่แตกต่างกันไปเฉพาะถิ่น เช่น ฟ้อนผู้ไท ฟ้อนผีฟ้า ฟ้อนไทยดำ เรือมอันเร เป็นต้น

ท่วงทำนองของดนตรี จังหวะ ลีลาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น การแต่งกายของผู้แสดง ทั้งนักแสดงหญิงและชายจะมีความเด่น
มีความสนุกสนานเร้าใจแตกต่างจากภาคอื่นๆ ของไทย ชัด ในฝ่ายหญิงจะนุ่งซิ่นมัดหมี่ สวมเสื้อแขนกระบอก ห่มผ้าสไบหรือ

แพรวา ผมเกล้ามวย ฝ่ายชายจะสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งโสร่งผ้าลาย
เป็นตาๆ ก็พอจะบอกได้ว่าเป็นการแสดงของอีสาน

เครื่องดนตรี นับเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของภาคอีสานอบ่างชัดเจน ภาษาอีสาน แน่นอนว่าเป็นภาษาเฉพาะถิ่นที่มีสำเนียงที่แตก
พิณ แคน โปงลาง โหวด ไหซอง กลองตุ้ม ถึงแม้จะยังไม่มีการบรรเลง ต่าง เป็นการชี้ชัดว่าเป็นการแสดงของภาคอีสาน

ก็พอจะบอกได้ว่า การแสดงต่อไปนี้จะเป็นการแสงของภาคอีสาน

เซิ้งสวิง

เซิ้งสวิง เป็นการละเล่นพื้นเมืองของภาคตะวัน
ออกเฉียงเหนือ ในท้องถิ่นอำเภอยางตลาด

จังหวัดกาฬสินธุ์ การเซิ้งสวิงถือเป็นการละเล่น
และเป็นศิลปะวัฒนธรรมที่ช่วยส่งเสริมด้านจิตใจ
ของประชาชน ซึ่งมีอาชีพในการจับสัตว์น้ำ โดยจะ

มีสวิงเป็นเครื่องมือหลัก จึงได้นำท่าเซิ้งศิลปะ
ท้องถิ่นนั้นมาปรับปรุงให้เป็นท่าที่กระฉับกระเฉง

ยิ่งขึ้นโดยสอดคล้องกับท่วงทำนองดนตรีที่มี
ลักษณะสนุกสนานร่าเริง จึงถือนับว่าเป็นศิลปะ

พื้นเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่งดงาม
แปลกตาออกไปอีกลักษณะหนึ่ง

ฟ้อนภูไท

การฟ้อนภูไทเป็นศิลปะวัฒนธรรมการละเล่นพื้นเมือง
อย่างหนึ่งของชาวผู้ไท ที่เดิมนั้นการร่ายรำแบบนี้

เป็นการร่ายรำเพื่อถวายพระธาตุเชิงชุมแต่อย่างเดียว
ต่อมาการฟ้อนภูไทได้ใช้ในงานแสดงในงานสนุกสนาน

รื่นเริงต่าง ๆ
ฟ้อนภูไทถือเป็นการฟ้อนที่งดงามและเก่าแก่ และเป็น

นาฏศิลป์ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวภูไทกันทีเดียวค่ะ
เนื่องจากชาวภูไทจะอาศัยกระจัดกระจายหลายพื้นที่ใน
อีสาน ซึ่งก็จะจำแนกประเภทของการฟ้อนภูไทตามพื้นที่
และในแต่ละพื้นที่จะมีลีลาการฟ้อนที่แตกต่างกัน การ
ฟ้อนภูไทจะฟ้อนในงานมงคลและงานบุญ อย่างเช่น
บุญมหาชาติ ในการทำบุญแต่ละครั้งหลังวันทำบุญจะมี
การแห่ปัจจัยไปวัด การแห่ขณะไปทำบุญและการแห่

หลังทำบุญนี้เองที่ทำให้เกิดฟ้อนภูไทขึ้น

เซิ้งกระติบข้าว

ต่อมาเป็นการเซิ้งกระติบข้าว เซิ้งกระติบข้าวเป็นการละเล่น
พื้นเมืองของชาวภูไทค่ะ ซึ่งเป็นชาวไทยเผ่าหนึ่งที่มีเชื้อสาย
สืบต่อกันมาในทางภาคอีสาน การเซิ้งกระติบข้าวถือเป็นการ
แสดงของภาคอีสานที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดี เป็นการรำในงาน
รื่นเริง ซึ่งท่าของการรำแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
ศิลปะการดำรงชีวิต ส่วนในเรื่องของการแต่งกาย จะแต่ง
กายตามแบบพื้นเมืองอีสาน คือ นุ่งซิ่นสั้นประมาณเข่า เสื้อ
แขนกระบอก พาดสไบหรือผ้าเบี่ยง และห้อยกระติบข้าวไว้
ข้างตัว ถือเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายที่สุดชุดหนึ่ง จนทำให้
คนทั่วไปเข้าใจว่า การแสดงของภาคอีสานมีลักษณะเป็นการ

รำเซิ้งเพียงอย่างเดียว

เซิ้งโปงลาง

เซิ้งโปงลาง เป็นการแสดงของชาวไทยภาคอีสาน จะ
นิยมเล่นกันมากในจังหวัดกาฬสินธุ์ค่ะ การแสดงจะมี
ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ใช้ท่ารำที่ประดิษฐ์ขึ้นตามทำนอง
เพลง อันเกิดจากแรงบันดาลใจ ด้วยลีลาแคล่วคล่อง
ว่องไว ใช้ดนตรีโปงลาง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีทำด้วยไม้
เนื้อแข็งร้อยต่อกันเหมือนระนาด แต่ใหญ่กว่า ใช้ผู้ชาย
ตีสองคน คนตีคลอเสียงประสาน เรียกว่า ตีลูกเสิร์ฟ
และอีกคนตีเป็นทำนอง เรียกว่า ตีลูกเสพ มีจังหวะที่
เร้าใจและสนุกสนาน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง

ของศิลปะวัฒนธรรมของภาคอีสานที่มีเสน่ห์

เซิ้งบั้งไฟ

เป็นประเพณีและพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้ง
โบราณกาล จากความเชื่อเรื่องตำนานพญาคันคาก
(คางคก) การเซิ้งบั้งไฟถือว่าเป็นประเพณีที่ชุมชนชาว
อีสานสืบทอดกันมาพร้อมกับประเพณีการจุดบั้งไฟ คือ
ก่อนที่จะทำบั้งไฟเพื่อจุดถวายพญาแถนบนสวรรค์ ชาว
บ้านจะรวมตัวกันออกเซิ้ง ไปรอบ ๆหมู่บ้านหรือชุมชนใกล้
เคียง เพื่อบอกบุญขอรับไทยทาน ซื้อ ขี้เกีย (ดินประสิว) มา
ทำเป็น หมื่อ (ดินปืน) เพื่อบรรจุทำเป็นบั้งไฟ และจุดในพิธี

ขอฝนต่อไป
และทั้งหมดนี้คือศิลปะการแสดงของผู้คนในภาคอีสาน ที่
เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ค่ะ เรียกได้ว่าแต่ละการแสดง
เป็นการแสดงที่มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์ของความเป็นอีสาน
แถมยังน่าสนใจไม่แพ้ศิลปะการแสดงในภาคอื่นเลย และ

นอกจากศิลปะการแสดงที่งดงามแล้ว ภาษา หรือแม้
กระทั่งการแต่งกายของคนในแถบภาคอีสานก็งดงามและ

มีเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน

การแสดงพื้นเมืองภาคใต้
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
โดย นางสาวธนัชชา สุเมโท

การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ แบ่งตามกลุ่มวัฒนธรรมได้ ๒ กลุ่ม คือ การแสดงโนรา โดยทั่วไปภาคใต้มีอาณาเขตติดกับทะเลฝั่ งตะวันตกและ
วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ หนังตะลุง ตะวันออก ทางด้านใต้ติดกับมลายู ทำให้รับวัฒนธรรมของ
เพลงบอก มลายูมาบ้างประชากร จึงมีชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม
วัฒนธรรมไทยมุสลิม ลักษณะการแสดงส่วนใหญ่ เพลงนา ประเพณีและบุคลิกบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน คือ พูดเร็ว
ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของมาเลเซีย ได้แก่ อุปนิสัยว่องไว ตัดสินใจ รวดเร็ว เด็ดขาด มีอุปนิสัยรักพวก
ภาคใต้ พ้อง รักถิ่นที่อยู่อาศัย และศิลปวัฒนธรรมของตนเอง จึงมี
รองเง็ง ลิเกฮูลู ความพยายามที่จะช่วยกันอนุรักษ์ไว้จนสืบมาจนถึงทุกวันนี้

มะโย่ง(การแสดงละคร) การแสดง ของภาคใต้มีลีลาท่ารำคล้ายกับการ
ลิเกฮูลู เคลื่อนไหวของร่างกายมากกว่าการฟ้อนรำ ซึ่งจะออกมา
ซำเป็ง ในลักษณะกระตุ้นอารมณ์ให้มีชีวิตชีวาและสนุกสนานเช่น
ซิละ โนรา หนังตะลุง รองเง็ง ตารีกีปัส

นอกจากนี้ยังมีระบำที่ปรับปรุงมาจากกิจกรรมในวิถีชีวิตศิลปาชีพต่าง ๆ โนรา ตารีกีปัส รองเง็ง หนังตะลุง

ระบำร่อนแร่ ส่วนมากจะใช้เพลงของตะลุงราษฎร์
ระบำตารีกีปัส
ระบำปาเต๊ะ ระบำร่อนเร่

ระบำกรีดยาง

เพลงบอกเป็นเพลงพื้นเมืองที่นิยมเล่นทั่วไปในสังคมภาคใต้ เพลงบอก
คณะหนึ่งมีแม่เพลง ๑ คน และลูกคู่อีก ๔-๖ คน การร้องเพลงบอกใช้ภาษา

ถิ่นปักษ์ใต้ โดยร้องด้นเป็นกลอนสดใช้ปฎิภาณร้องไปตามเหตุการณ์ที่
พบเห็น หรือแต่งขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ แม่เพลงต้องมีความ
รอบรู้ มีไหวพริบดี และฝึกฝนจนแม่นยำในเชิงกลอน เพลงชนิดนี้จะร้อง

กลอนครั้งละ ๒ วรรค แล้วลูกคู่ร้องรับ
ในจังหวัดระนอง ผู้ที่นำเพลงบอกมา ส่วนใหญ่เป็นชาว
จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งอพยพย้ายถิ่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดระนอง
และได้นำศิลปะการแสดงพื้นบ้านนี้เข้ามาด้วย จึงทำให้จังหวัดระนองได้มี
การร้องเพลงบอกเรื่อยมา ซึ่งเรียกว่า “เพลงบอก” หรือ “เพลงกระบอก”




โอกาสในการแสดง



การขับร้องเพลงบอกในจังหวัดระนอง นิยมร้องในงานต่างๆ เช่น
งานบวช งานขึ้นบ้านใหม่ งานฝังลูกนิมิต และการบอกศักราชในวันสงกรานต์
งานศพ เป็นต้น นอกจากนี้เพลงบอกยังเล่าเรื่องราวข่าวสารต่างๆ เช่น บอกข่าว
เชิญไปทำบุญ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์งานต่างๆ

เพลงนา ตัวอย่าง การร้องเพลงนา บทอาลัยลา




เพลงพื้นบ้านของชาวชุมพร ใช้ร้องเล่นเมื่อจับกลุ่มเดินไปนา และร้องระหว่าง คนรักกันแม้อยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้
เกี่ยวข้าว ลักษณะคำประพันธ์เป็นกลอนสุภาพ แต่วรรคหนึ่งอาจมี ๙ - ๑๑ เบียดสนิทชิดกายเหมือนตักบาตรร่วมขัน
คำแล้วแต่เนื้อความที่ร้อง และใช้สัมผัสท้ายวรรคเป็นเสียงเดียวกันที่เรียกว่า อยู่ขอบฟ้าเขาเขียวเหมือนอยู่ห้องเดียวกัน
กลอนอา กลอนอี การร้องเพลงนาต้องมีคู่ขับร้องด้วยคนหนึ่ง ผู้ร้องนำต้นบท บทลง : อยู่ขอบฟ้าเขาเขียวเหมือนอยู่ห้องเดียวกัน
เรียกว่า แม่เพลง คู่ขับร้องเรียกว่า ท้ายไฟ และเมื่อร้องจบบทหนึ่งอาจเปลี่ยน
ผูกรักสัมพันธ์ผูกใจมั่นจริง เหอย...
กันเป็นแม่เพลง หรือท้ายไฟก็ได้ เป็นคู่ทุกข์คู่ยากคู่สร้างคู่สม


คู่เคียงเรียงภิรมย์ตลอดกาลไป เหอย...
ตัวอย่าง การร้องเพลงนา บทไหว้ครู



แม่เพลง : ออ...น้อง...หนา...ขอน้อมหัตถ์นมัสการท่านอาจารย์ผู้ประสาท
ท้ายไฟ : ขอน้อมหัตถ์นมัสการท่านอาจารย์ผู้ประสาท...แลท่านเหอย

แม่เพลง : วิชาการสามารถท่านส่งเสริมสั่งสอน
(ซ้ำ... ท่านส่งเสริมสั่งสอน) ท่านชี้แนวชักนำให้ว่าคำว่ากลอน

รำมโนราห์

เป็นนาฏศิลป์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาศิลปะการแสดงของภาค
ใต้ มีความยั่งยืนมานับเป็นเวลาหลายร้อยปี การแสดงโนราเน้นท่ารำเป็น
สำคัญ ต่อมาได้นำเรื่องราวจากวรรณคดีหรือนิทานท้องถิ่นมาใช้ในการ
แสดงเรื่อง พระสุธนมโนห์รา เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อการแสดงมากที่สุดจน

เป็นเหตุให้เรียกการแสดงนี้ว่า มโนห์รา
ตามตำนานของชาวใต้เกี่ยวกับกำเนิดของโนรา มีความเป็นมาหลายตำนาน
เช่น ตำนานโนราจังหวัดตรัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา และ

จังหวัดพัทลุง มีความแตกต่างกันทั้งชื่อที่ปรากฏในเรื่องและเนื้อเรื่องบาง
ตอน ทั้งนี้อาจ สืบเนื่องมาจาก ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนวิธีสืบทอดที่

ต่างกัน จึงทำให้รายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละตำนานแตกต่างกัน
เครื่องประดับของโนรา : เทริด, เครื่องรูปปัด, ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง,
ซับทรวง, ปีก, ผ้านุ่ง, หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา, ผ้าห้อย, หน้าผ้า,

กำไลต้นแขนและปลายแขน, กำไล, เล็บ, หน้าพราน, หน้าทาสี
องค์ประกอบการแสดง : การรำ, การร้อง, การทำบท, การรำเฉพาะอย่าง,

การเล่นเป็นเรื่อง



เครื่องดนตรี : ทับ, กลอง, ปี่ , โหม่ง, ฉิ่ง, กรับ

ลิเกฮูลู หรือ ดีเกฮูลู

เป็นการละเล่นขึ้นบทเป็นเพลงประกอบดนตรีและจังหวะ
ตบมือ มีรากฐานเดิมมาจากคำว่า ลิเก คือการอ่าน

ทำนองเสนาะ และคำว่า ฮูลู ซึ่งหมายถึง ทิศใต้ ซึ่งเมื่อ
รวมความแล้ว คือ การขับกลอนเป็นทำนองเสนาะจาก
ทิศใต้ บทกลอนที่ใช้ขับเรียกว่า ปันตน หรือ ปาตง ใน

ภาษามลายูถิ่นปัตตานี



เครื่องประดับ : เสื้อคอกลม, กางเกงขายาว, ผ้าซอแกะ,
ผ้าโพกศีรษะ



ลักษณะการแสดง : การแสดงลิเกฮูลูคณะหนึ่ง จะมี
ประมาณ 10 คน เป็นชายล้วน มีต้นเสียง 1-3 คน ที่
เหลือจะเป็นลูกคู่ เปิดโล่งไม่มีม่าน ไม่มีฉาก ลูกคู่ขึ้นไป
นั่งล้อมวงร้องรับและตบมือโยกตัวให้เข้ากับจังหวะดนตรี
ส่วนผู้ร้องหรือผู้โต้กลอนจะลุกขึ้นยื่นข้าง ๆ วงลูกคู่



เครื่องดนตรี : รำมะนา, ฆ้อง, ขลุ่ย, ลูกแซก

ระบำตารีกีปัส



ตารีกีปัสเป็นระบำที่ต้องอาศัยพัดเป็นองค์ประกอบสำคัญ เป็นการแสดง
ที่แพร่หลายในหมู่ชาวไทยมุสลิม โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี สำหรับลีลา
ของการแสดงอาจจะมีพลิกแพลงแตกต่างกันไป สำหรับการแสดงชุดนี้

ได้ปรับปรุงท่ารำ เพื่อให้เหมาะสมกับการแสดงที่เป็นหญิงล้วน



เครื่องประดับ : ฝ่ายหญิง เสื้อบานง โสร่งบาติก หรือผ้าซอแกะ ผ้าสไบ
เข็มขัด สร้อยคอ ต่างหู ดอกซัมเปง ฝ่ายชาย เสื้อตือโล๊ะบลางอ กางเกง
ขายาว ผ้ายกเงิน ผ้ายกทอง หรือ ผ้าซอแกะ เข็มขัดเป็นแนะ หมวกสีดำ



องค์ประกอบการแสดง : การแสดงเป็นหมู่ระบำ แสดงเป็นคู่ ระหว่าง
ผู้ชายและผู้หญิง หญิงล้วน, การแสดงเป็นหมู่ระบำโดยใช้ผู้หญิงแสดง

ล้วน



เครื่องดนตรี : ไวโอลิน, แมนโดลิน, ขลุ่ย, รำมะนา, ฆ้อง, มาราคัส

สรุป

ความแตกต่างของการแสดงแต่ละภาค

ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้

การแสดงหรือการร่ายรำที่มี การแสดงหรือการละ พื้นบ้านอีสาน มีลักษณะลีลา การแสดง ของภาคใต้มีลีลา
จังหวะช้า ท่ารำที่อ่อนช้อย เล่น ที่เกิดขึ้นจึงเป็นไป ท่ารำและท่วงทำนองดนตรีใน ท่ารำคล้ายกับการเคลื่อนไหว
นุ่มนวล อ่อนโยน ภาษาพูด ในลักษณะที่สนุกสนาน การแสดงค่อนข้างกระชับ ซึ่งจะออกมาในลักษณ
ก็นุ่มนวลไปด้วย เพลงมี หรือเป็นการร้องเกี้ยว กระฉับกระเฉง รวดเร็ว และ กระตุ้นอารมณ์ให้มีชีวิตชีวา
ความไพเราะ อ่อนหวาน พาราสีกัน สนุกสนาน สนุกสนาน และสนุกสนาน

การอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทยในวัฒนธรรมท้องถิ่น

นาฏศิลป์ไทยเป็นการร่ายรำที่มนุษย์ได้ปรุงแต่งจากลีลาตามธรรมชาติให้สวยสดงดงามโดยมี
ดนตรีเป็นองค์ประกอบในการร่ายรำ ซึ่งนาฏศิลป์ของไทยแบ่งออกตามลักษณะของรูปแบบ
การแสดงเป็นประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท คือ โขน ละคร รำระบำ และการแสดงพื้นเมือง
ซึ่งสร้างสรรค์สุนทรียะด้านจิตใจและอารมณ์ให้กับคนในสังคมและมีอิทธิพลต่อการดำเนิน
ชีวิตของมนุษย์ที่สามารถสะท้อนภาพวิถีชีวิตและกิจกรรมของคนในสังคม

การอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทยในวัฒนธรรมท้องถิ่น

1.แนวอนุรักษ์ ควรมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือมีรสนิยมที่จะสร้างผลงานด้านนาฏศิลป์
โดยศึกษาค้นคว้าจากชุมชนท้องถิ่น เพื่อค้นหางานนาฏศิลป์ที่มีคุณค่าจากภูมิปัญยาชาว
บ้าน และที่สำคัญคือ จะต้องเข้าใจวิธีการสื่อสารเพื่อให้ไปถึงผู้ชม จึงจำเป็นต้องพัฒนาตัว
เองให้เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

2. การสร้างค่านิยมใหม่ ในองค์กรทั้งที่เป็นของรัฐ หรือเอกชน ต้องมีส่วนร่วมในการ

กำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนผู้สร้างงานนาฏศิลป์แนวอนุรักษ์ เพื่อดูดความสนใจของ


ผู้ชมผู้สร้างงานอาจพัฒนารูปแบบเดิมให้มีความทันสมัย กระชับมากขึ้น


3. การจัดกิจกรรมต่างๆ

- โครงการอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทย

- โครงการสืบสานนาฏศิลป์พื้นบ้าน

- โครงการจัดการแสดงนาฏศิลป์ไทย ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทำมาหากินของแต่ละชุมชน

- โครงการจัดการแสดงนาฏศิลป์ไทย ที่เกี่ยวกับความเชื่อของแต่ละชุมชน

- องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนควรให้การสนับสนุนผู้สร้างงานนาฏศิลป์ไทยในแนวอนุรักษ์

และควรยกย่องเชิดชู

จบเนื้อหา
การแสดงพื้นเมือง4ภาค

ในสัปดาห์ที่4 ไม่มีใบงานแต่...
อย่าลืมทำแบบทดสอบหลังเรียนกันนะคะใน

Google from

สรุปการแสดงภาคใต้

การแสดง ของภาคใต้มีลีลาท่ารำคล้ายกับ
การเคลื่อนไหว ซึ่งจะออกมาในลักษณ

กระตุ้นอารมณ์ให้มีชีวิตชีวาและสนุกสนาน


Click to View FlipBook Version