The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by janjira.Th61, 2021-05-06 02:53:54

บันทึกการเรียนรู้นางสาว เจนจิรา ธุรารัตน์

นางสาว เจนจิรา ธุรารัตน์

ºÑ¹·¡Ö ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃŒÙ

เสนอ
รองศาสตราจารย์ ดร.สําราญ กําจดั ภัย
บนั ทึกการเรียนรู้นีเปนส่วนหนึงของรายวชิ าการวจิ ยั เพอื พฒั นาการเรียนรู้

รหัสวชิ า 21044010
ภาคเรียนที 2 ปการศึกษา 2563

มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร

¤íÒ¹Òí

บนั ทึกการเรียนรู้นี เปนส่วนหนึงของรายวชิ าการวจิ ยั เพอื พฒั นาการเรียนรู้
รหัสวชิ า 21044010 มจี ดุ ประสงค์เพอื บนั ทึก และสรุปความรู้ ทีได้จากการเรียนใน
แต่ละสัปดาห์ ตลอดภาคเรียนที 2 ปการศึกษา 2563 โดยบนั ทึกนีจะมเี นือ้ หาเกียว
กับการวจิ ยั เพอื พฒั นาการเรียนรู้ ทีมที ังหมด 9 หน่วยการเรียนรู้ตลอดจนความรู้สึก
โดยรวมทีผูจ้ ดั ทํามตี ่อรายวชิ านี

ผูจ้ ดั ทําขอขอบพระคณุ รองศาสตราจารย์ ดร.สําราญ กําจดั ภัย อาจารย์ประจาํ
รายวชิ าการวจิ ยั เพอื พฒั นาการเรียนรู้ ทีได้ให้ความรู้และคําแนะนําต่างๆ ในการจดั
ทําบนั ทึกการเรียนรู้จนสําเร็จได้ด้วยดี ผู้จดั ทําหวงั เปนอยา่ งยงิ วา่ บันทึกการเรียนรู้
นีจะเปนประโยชน์และให้ความรู้ต่อผูท้ ีสนใจศึกษาได้เปนอยา่ งดี หากมีขอ้ ผดิ พลาด
ประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ทีนีด้วย

นางสาว เจนจริ า ธุรารัตน์
ผูจ้ ดั ทํา

»ÃÐÇµÑ ÊÔ Ç‹ ¹µÇÑ

ชอื :นางสาว เจนจริ า ธุรารัตน์ ชอื เล่น:จอย
ทีอยูป่ จจบุ นั : 170 หมู่ 1 บา้ นตาลโกน ตําบลตาลโกน
อําเภอสวา่ งแดนดิน จงั หวดั สกลนคร
วนั เดือนปเกิด : 18 กมุ ภาพนั ธ์ 2543 อายุ 21 ป
มพี นี ้อง 2 คน เปนบุตรคนที 2
สัญชาติ : ไทย เชอื ชาติ : ไทย ศาสนา : พุทธ
ส่วนสูง : 173 ซม. นาหนัก 96 กก. หมูเ่ ลือด : O
คติประจาํ ใจ : ทําวนั นีให้ดีทีสุด
โทร : 06-4325-0748
E-mail : [email protected]
Line ID : jenjirajoy1234
Facebook: jenjira Thurarat
ปจจบุ นั กําลังศึกษาอยู่ : มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร คณะครุศาสตร์ สาขาวชิ า
นวตั กรรมและคอมพวิ เตอร์ศึกษา ระดับปริญญาตรี ชนั ปที 3

1.á¹Ç¤Ô´¡ÒÃàÃÂÕ ¹Ãٌ

การเรยี นรู(้ Learning) หมายถึง“การเปลียนแปลงพฤติกรรมทีค่อนข้างถาวร
อันเนืองมาจากการได้รบั ประสบการณ์”

4 คําทีเกียวข้องสัมพันธ์กัน ได้แก่
1) การเปลียนแปลง
2) พฤติกรรม
3) ค่อนข้างถาวร
4) การได้รับประสบการณ์

พฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning behavior) ตาม ทรรศนะของ Bloom และคณะ หมายถึง
พฤติกรรมการเรียนรู้ 3 ด้านใหญ่ ๆ ได้แก่
(1) พฤติกรรมด้านพุทธิพสิ ัย (Cognitive) เชน่ ความจ า ความเข้าใจ การคิดในรูปแบบต่าง ๆ
(2) พฤติกรรมด้านจติ พสิ ัย (Affective) เชน่ ความรู้สึก ความเชอื เจตคติ ค่านิยม เปนต้น
(3) พฤติกรรมด้านทักษะพสิ ัย (Psychomotor) เปนพฤติกรรมเกียวกับการเคลือนไหว การ
ปฏิบตั ิกิจกรรมต่าง ๆ เชน่ การวาดภาพ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง การร้องเพลง การ
พูด อภิปรายการเต้นตามจงั หวะดนตรี เปนต้น

2.¤ÇÒÁÃàŒÙ ºÍé× §µŒ¹à¡ÂÕè Ç¡ºÑ ¡ÒÃÇ¨Ô ÂÑ

ขอบขา่ ยเนือหา
1. ความหมายของการวจิ ยั
2. ความจริงกับการค้นหา
3. ขนั ตอนทัวไปของการวจิ ยั
4. เปาหมายของการวจิ ยั
5. จรรยาบรรณของนักวจิ ยั
6. การจดั ประเภทของการวจิ ยั

นักวจิ ัย ขนั ตอนทัวไปของการวจิ ยั การดําเนินการวจิ ัยโดยทัวไป มขี ันตอนดังนี
จรรยาบรรณ (1) ตระหนักถึงปญหาทีต้องการทําวจิ ัย
จรรยาบรรณนักวจิ ัย (2) กําหนดขอบเขตของปญหาให้ชดั เจน
(3) ศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยทีเกียวข้อง
จรรยาบรรณของนักวจิ ยั (4) ตังสมมุติฐานของการวจิ ัย (ถ้าจําเปน)
(5) เขียนโครงรา่ งการวจิ ัย
(6) สรา้ งหรอื เลือกเครอื งมอื เก็บรวบรวมข้อมูล
(7) ดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
(8) ดําเนินการจัดกระทําข้อมูล หรอื วเิ คราะห์ข้อมูล
(9) สรุปผลการวจิ ัย และเขียนรายงานวจิ ัย
(10) เผยแพรผ่ ลงานวจิ ัย (ถ้าต้องการ)

เปาหมายของการวจิ ยั ความรู้เบอื งต้น การจดั ประเภทของการวจิ ยั
เกียวกับการวจิ ยั
เปาหมายเพอื บรรยายหรอื พรรณนา แบง่ ตามลักษณะของข้อมูลและวธิ กี ารได้มา
เปาหมายเพอื อธบิ าย ความจริงกับการค้นหาความจริง แบง่ ตามประโยชน์การนําผลการวจิ ัยไปใช้
เปาหมายเพอื ทํานาย แบง่ ตามความต้องการข้อสรุปเชงิ เหตแุ ละผลหรอื
เปาหมายเพอื ควบคมุ ไม่

“ความจรงิ ” คือ สิงทีเชอื วา่ จรงิ ณ เวลานัน ๆ แบง่ เปน 2 ลักษณะ ได้แก่
(1) ความจรงิ นัยทัวไป เปนความจรงิ ทีสามารถนําไปใชไ้ ด้อยา่ งกวา้ งขวาง
(2) ความจรงิ ยดื หยุน่ ตามบรบิ ท เปนความจรงิ ทีใชไ้ ด้เฉพาะบรบิ ททีศึกษา ไมย่ นื ยนั การนําไปใชไ้ ด้จรงิ ในบรบิ ทอืน ๆ

3.µÇÑ á»ÃáÅлÃÐàÀ·¢Í§µÇÑ á»Ã

ความหมายของตัวแปร ตัวแปร (Variable) หมายถึงคณุ ลักษณะของสิง
ต่าง ๆ ทีสามารถแปรเปลียนค่า ได้ตังแต่สองค่าขนึ ไป ไมว่ า่ จะเปนค่าที
อยูใ่ นรูปของปริมาณ หรือคณุ ภาพ เชน่ ตัวแปร “เพศ” แปรค่าได้ 2 ค่า
คือ ชาย และหญงิ ตัวแปร “ขนาดของโรงเรียน” แปรค่าได้เปน ขนาด
ใหญพ่ เิ ศษ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก หรือตัวแปร “คะแนน
สอบวชิ า ภาษาไทย” ซงึ มคี ะแนนเต็ม 20 แปรค่าได้เปน 0, 1, 2, … , 20
เปนต้น

ประเภทของตัวแปร 1. แบง่ ตามลักษณะของขอ้ มูล ได้2 ประเภท 2. แบง่ ตามความเปนเหตเุ ปนผลต่อกัน นิยมแบง่
1.1 ตัวแปรเชงิ ปริมาณ (Qualitative variable) เปน 2 ประเภท

คือตัวแปรทีมกี ารแปรค่าต่าง ๆ 2.1 ตัวแปรอิสระ (Independent variable) หรือ
1.1.1 ตัวแปรต่อเนือง “ตัวแปรต้น” หรือ “ตัวแปรเหต”ุ เปนตัวแปรทีเกิด
1.1.2 ตัวแปรไมต่ ่อเนือง ขนึ ก่อน และถือวา่ เปนเหตุ หรือมอี ิทธิพลต่อ
ตัวแปรตาม
1.2 ตัวแปรเชงิ คณุ ภาพ (Quantitative variable)
คือตัวแปรทีมกี ารแปรค่า ต่าง ๆ 2.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เปน
ตัวแปรทีเกิดจากผล อันเนืองมาจากได้รับอิทธิพล
จากตัวแปรอิสระ

3. แบง่ ตามประเภทของการวจิ ยั เชน่
3.1 ถ้าเปนการวจิ ยั เชงิ ทดลอง (Experimental research) แบง่ ตัวแปร ออกเปน 5 ประเภท ได้แก่
3.1.1 ตัวแปรจดั กระทํา
3.1.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable)
3.1.3 ตัวแปรแทรกซอ้ น
3.1.4 ตัวแปรสอดแทรก
3.1.5 ตัวแปรกลาง

4.¢ÍŒ ÁÅÙ áÅлÃÐàÀ·¢Í§¢ÍŒ ÁÙÅ

ขอ้ มูล คือขอ้ เท็จจริงหรือรายละเอียดของสิงต่าง ๆ
ทีเก็บรวบรวมมาจากการนับ การวดั ด้วยแบบ
ทดสอบหรือแบบสอบถาม การสังเกต ฯลฯ ซงึ อาจ
เปนตัวเลขหรือไมใ่ ช่ ตัวเลข ทีสามารถนํามา
วเิ คราะห์เพอื หาค าตอบในสิงทีผูว้ จิ ยั ต้องการ
ศึกษา

ประเภทของขอ้ มูล 1. แบง่ ตามลักษณะขอ้ มูล แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ 2. แบง่ ตามแหล่งทีมาของขอ้ มูลหรือวธิ ีการเก็บ
1 ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณ (Quantitative data) เปนขอ้ มูลที รวบรวมขอ้ มูล แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ
วดั ค่าออกมาเปน ตัวเลขได้วา่ มคี ่ามากหรือน้อยเพยี ง
ใด แบง่ เปน 2 แบบ ได้แก่ 1 ขอ้ มูลปฐมภมู ิ (Primary data) เปนขอ้ มูลทีได้
1.1 ขอ้ มูลแบบต่อเนือง (Continuous data) เปน มาโดยผูว้ จิ ยั เก็บรวบรวม ด้วยตนเองจาก
ขอ้ มูลทีมคี ่าได้ทกุ ค่า ในชว่ งทีกําหนด เชน่ ขอ้ มูล ต้นตอหรือแหล่งกําเนิดของขอ้ มูลโดยตรง
เกียวกับ น้ าหนัก ส่วนสูง ระยะทาง ฯลฯ ขอ้ มูลประเภทนีโดยมาก ได้มาจากการ
1.2 ขอ้ มูลแบบไมต่ ่อเนือง (Discrete data) เปน สัมภาษณ์ ทดลอง การส ารวจ หรือการเก็บ
ขอ้ มูลทีมคี ่าเปนได้ เฉพาะจาํ นวนเต็มหรือ รวบรวมด้วยแบบสอบถามต่าง ๆ
จาํ นวนนับ เชน่ จาํ นวนคน สัตว์ และสิงของต่าง ๆ 2 ขอ้ มูลทตุ ิยภมู ิ (Secondary data) เปนขอ้ มูล
2 ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ (Quantitative data) เปนขอ้ มูล ทีผูว้ จิ ยั ไมไ่ ด้เก็บรวบรวม จากแหล่งกําเนิด
ทีไมส่ ามารถระบุได้วา่ มากหรือน้อย มกั จะอยูใ่ นรูป โดยตรง แต่ได้มาโดยอ้างอิงหรือคัดลอกจากผู้
ขอ้ ความ เชน่ ขอ้ มูลเกียวกับ เพศ ลักษณะพฤติกรรม อืนทีได้เก็บรวบรวมไว
ทีแสดงออก สีผม เบอร์โทรศัพท์ ฯลฯ

3. แบง่ ตามระดับของการวดั แบง่ เปน 4 ประเภท
1 ขอ้ มูลระดับนามบญั ญตั ิ (Nominal scale) คือขอ้ มูลทีมลี ักษณะเปนเพยี ง การจดั ประเภท (Categorizes)
ของคน สัตว์ สิงของ เหตกุ ารณ์หรือเรืองราวต่าง ๆ
2 ขอ้ มูลระดับเรียงอันดับ (Ordinal scale) คือขอ้ มูลทีมลี ักษณะเปนการจดั ประเภท และจดั ล าดับ (Order)
หรือต าแหน่ง (Rank) ของสิงต่าง ๆ
3 ขอ้ มูลระดับอันตรภาค (Interval scale) คือขอ้ มูลทีมลี ักษณะเปนเชงิ ปริมาณ สามารถวดั ค่าเปนตัวเลขทีมี
คณุ สมบตั ิส าคัญ 2 ประการ คือ (1) เรียงล าดับความ มากน้อยได้ และ (2) ชว่ งห่างหรือความแตกต่างระหวา่ ง
ตัวเลขแต่ละค่าเท่ากัน
4 ขอ้ มูลระดับอัตราส่วน (Ratio scale) คือขอ้ มูลทีมลี ักษณะเปนเชงิ ปริมาณ สามารถวดั ค่าเปนตัวเลข

5.»ÃЪҡÃáÅСÅØÁ‹ µÑÇÍ‹ҧ

ประชากร ในทางสถิติคําวา่ “ประชากร (Population)”
หมายถึง ทังหมดของทกุ หน่วยของ สิงทีเราสนใจ
ศึกษา ซงึ หน่วยต่าง ๆ อาจเปน บุคคล องค์กร สัตว์
สิงของ ฯลฯ

ประชากร กลุ่มตัวอยา่ ง
มี 2 ประเภท คือ

(1) ประชากรทีมี (2) ประชากรทีมี กลุ่มตัวอยา่ ง (Sample) หมายถึง ส่วนหนึงของประชากร
จาํ นวนจาํ กัด ทังนี จาํ นวนไมจ่ าํ กัด ทีถกู เลือกขนึ มาด้วย เทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอยา่ งที
เพราะสามารถ แจง ประชากรประเภทนีไม่ เหมาะสม สําหรับใชใ้ นการศึกษาแทนประชากร แล้วนํา
นับจาํ นวนได้ครบถ้วน สามารถแจงนับ ผลสรุ ปทีได้บรรยายหรือสรุ ปอ้างอิงถึงลักษณะประชากร
จาํ นวนได้ครบถ้วน ทีต้องการศึกษา ดังนัน กลุ่มตัวอยา่ ง “ต้องเปนตัวแทนที
ดีของประชากร” จงึ จะชว่ ยให้การสรุปอ้างอิงถึง
ประชากรมคี วามถกู ต้องและเชอื ถือได้

6.ÊÁÁµ°Ô Ò¹·Ò§¡ÒÃÇԨѠáÅÐ
ÊÁÁµ°Ô Ò¹·Ò§Ê¶µÔ

สมมติฐานทางการวจิ ยั เปนขอ้ ความทีเขยี นขนึ เพอื แสดงคํา
ตอบของปญหาการวจิ ยั ทีผูว้ จิ ยั คาดคะเนไวล้ ่วงหน้าอยา่ งมี
เหตผุ ล ซงึ ในการเขยี น สมมติฐานทางการวจิ ยั สามารถเขยี น

ได้อยา่ งใดอยา่ งหนึงใน 2 แบบ คือ

1. แบบไมม่ ที ิศทาง เปนการเขยี นทีไมไ่ ด้ระบุ 2. แบบมที ิศทาง เปนการเขยี นโดยระบุทิศทางของ
ทิศทางของความสัมพนั ธ์ของตัวแปร หรือ ความสัมพนั ธ์ของตัวแปรวา่ สัมพนั ธ์ในทางใด
ทิศทางของความแตกต่างเพยี งแต่ระบุวา่ มี (สัมพนั ธ์กันทางบวก หรือทางลบ) หรือถ้าเปนการ
ความสัมพนั ธ์กันหรือแตกต่างกันเท่านัน เปรียบเทียบก็สามารถ ระบุถึงทิศทางของความ
แตกต่างได้วา่ มากกวา่ หรือน้อยกวา่

สมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เปน
สมมุติฐานทีผูว้ จิ ยั กําหนดขนึ สําหรับใชเ้ พอื การทดสอบตาม
กระบวนการทางสถิติ ซงึ ในการกําหนดนันจะต้องกําหนด

ควบค่กู ันทังสองประเภท คือ

(1) สมมุติฐานกลาง (Null hypothesis) เขยี นแทน (2) สมมุติฐานทางเลือก (Alternative hypothesis)
ด้วย H0 ซงึ เขยี นเปนขอ้ ความหรือประโยค เขยี นแทนด้วย H1 ซงึ เขยี นเปนขอ้ ความหรือประโยค
สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ทีมลี ักษณะเปนกลาง สัญลักษณ์ ทางคณิตศาสตร์เกียวกับค่าพารามเิ ตอร์
เกียวกับ ค่าพารามเิ ตอร์ของประชากร ซงึ แสดงให้ ของประชากร โดยต้องเขยี นให้สอดคล้องกับ
เห็นวา่ ค่าพารามเิ ตอร์ของประชากรเหล่านัน ไมม่ ี สมมติฐานทางการวจิ ยั ทีตังไว
ความแตกต่างหรือไมม่ คี วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปร

7.à¤ÃèÍ× §Á×Íà¡çºÃǺÃÇÁ¢ÍŒ ÁÙÅÇ¨Ô ÂÑ

การเก็บรวบรวมขอ้ มูลเพอื การวจิ ยั จาํ เปนต้องใชเ้ ครือง
มอื ทีมคี ณุ ภาพ เพอื ให้ ได้ขอ้ มูลทีถกู ต้องเหมาะสมเชอื
ถือได้ ซงึ ในการวจิ ยั เรืองหนึง ๆ จะใชเ้ ครืองมอื ชนิดใด
ยอ่ มขนึ อยูก่ ับลักษณะของขอ้ มูลทีต้องการศึกษา

การประเมนิ เปนกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการเรียน
จากการปฏิบตั ิ รู ้ข อ ง ผู้ เ รีย น ผ่ า น ก า ร ล ง มื อ ป ฏิ บั ติ จ ริง ต า ม ภ า ร ะ ง า น ที ไ ด้
ออกแบบไว้ แล้วนําข้อมูลทีได้มาวิเคราะห์ให้ได้
สารสนเทศสําหรับพัฒนาผู้เรียน

การสั งเกต เครืองมือชนิ ดนี การสั งเกต แบบสอบถาม แบบสอบถาม เปนชุดของข้อคําถาม
ใช้ตัวบุคคล(ผู้สั งเกต)ทาํ ทีสร้างขึนในรู ปของเอกสารทังใน
หน้ าทีในการวัดโดยใช้ ลักษณะทีกําหนดและไม่ได้กําหนด
ประสาทสั มผัสทางการได้ คําตอบเพือให้ผู้ตอบได้อ่านแล้ว
เห็น และได้ยินเปนสําคัญใน ตัดสิ นใจเลือกหรือเขียน คําตอบ
การติดตามเฝาดู การแสดง ตามคําชีแจงทีระบุไว้
พฤติกรรมของบุคคล เปนต้น

เครืองมอื เก็บ
รวบรวมขอ้ มูลวจิ ยั

(Test)จะใช้วัดความสามารถของบุคคล การสั มภาษณ์ เปนการสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมาย
ในด้านสติปญญา (Cognitive)โดยสร้าง ระหว่าง ผู้สั มภาษณ์ (ผู้เก็บรวบรวมข้อมูล)กับผู้ถูก
เปนชุดของข้อคําถามต่างๆ เกียวกับ สั มภาษณ์ (ผู้ให้ข้อมูล)เกียวกับเรืองทีต้องการ
ตัวแปรทีต้องการศึ กษา ศึ กษาและมีการบันทึกข้อมูลต่างๆจากการ
สั มภาษณ์ อาจด้วยวิธีการจดบันทึกหรืออัด เทป
แบบทดสอบ การสั มภาษณ์ ก็ได้ขึนอยู่กับความเหมาะสม

8.ÇÔ¸µÕ ÃǨÊͺ¤Ø³ÀÒ¾à¤ÃèÍ× §ÁÍ× Ç¨Ô ÂÑ
áÅÐʶԵԷãèÕ ªŒ

การตรวจสอบคณุ ภาพเครืองมอื วจิ ยั ก่อนนําไปใชใ้ นการ
เก็บรวบรวมขอ้ มูลจริง มคี วามจาํ เปนอยา่ งมาก เพราะ
ถ้าเครืองมอื ทีใชไ้ มม่ คี ณุ ภาพหรือมคี ณุ ภาพอยูใ่ นเกณฑ์
ต่างๆ ขอ้ มูลทีรวบรวมได้ก็จะไมต่ รงกับความเปนจริงอัน
จะนําไปสู่การได้ผลการวจิ ยั ทีไมถ่ กู ต้อง และขาดความ
น่าเชอื ถือ คณุ ภาพของเครืองมอื วจิ ยั ทีใชใ้ นการเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลทีจาํ เปน ต้องได้รับตรวจสอบมี 5 ด้าน

ความเปนปรนัย

อํานาจจาํ แนก ความเทียงตรง

เครืองมอื วจิ ยั ทีใชใ้ น ความยาก
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล

ความเชอื มนั

9.¡ÒÃÇԨѻ¯ÔºµÑ Ô¡ÒÃ㹪é¹Ñ àÃÂÕ ¹

“การวจิ ยั ปฏิบตั ิการ” เปนการวจิ ยั ประเภท การวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียน เปนรูปแบบ กระบวนการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียน
หนึงทีผูท้ ําวจิ ยั คือผูป้ ฏิบตั ิงานใน องค์กร หนึงของการวจิ ยั ปฏิบตั ิการ โดยมผี ูท้ ําวจิ ยั คือ
หรือมสี ่วนเกียวขอ้ งในองค์กรนัน ซงึ อาจมี ครูผูส้ อนในห้องเรียนทีตนเองรับผดิ ชอบ ซงึ ขนั ตอนที 1 สํารวจปญหา
คนเดียว หรือหลายคน หรือทกุ คนใน องค์กร อาจทําคนเดียว หรือร่วมกับ ผูเ้ กียวขอ้ งอืน ๆ ขนั ตอนที 2 ระบุปญหา วเิ คราะห์และค้นหาสาเหตุ
ได้ดําเนินการแก้ไขปญหาหรือพฒั นา ได้ดําเนินการแก้ไขปญหาหรือพฒั นาผูเ้ รียน ขนั ตอนที 3 ระบุแนวทางแก้ปญหาหรือพฒั นา
องค์กรให้ดีขนึ โดยนําเอาวธิ ีการ แนวทาง หรือการเรียนการสอน ของตนให้ดีขนึ โดยนํา ขนั ตอนที 4 วางแผนแก้ปญหาหรือพฒั นา
หรือกิจกรรมต่าง ๆ ทีผา่ นการพจิ ารณา เอาวธิ ีการ แนวทาง หรือกิจกรรมต่าง ๆ ทีผา่ น ขนั ตอนที 5 สร้างหรือเลือกเครืองมอื ในการวจิ ยั
ตรวจสอบเบอื งต้นแล้ววา่ เหมาะสม การพจิ ารณา ตรวจสอบเบอื งต้นแล้ววา่ เหมาะ ขนั ตอนที 6 ดําเนินการแก้ปญหาหรือพฒั นา ตรวจ
สม ไปทดลองปฏิบตั ิการตามแผนทีวางไว สอบ และปรับปรุง แก้ไขการปฏิบตั ิงาน
ขนั ตอนที 7 เก็บรวบรวมขอ้ มูล และวเิ คราะห์ขอ้ มูลขนั
ตอนที 8 สรุปผลการวจิ ยั และสะท้อนความคิดเห็น
ขนั ตอนที 9 จดั ทํารายงานการวจิ ยั

ลักษณะสําคัญของการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียน การเขยี นรายงานการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียน และการนําผลการวจิ ยั ไปใช้
ครูเปนนักวจิ ยั ทังในแงผ่ ูผ้ ลิต (ผูท้ าวจิ ยั ) และผูบ้ ริโภค ปญหา (1) การเขยี นรายงานการวจิ ยั เปนขนั ตอนสุดท้ายของกระบวนการวจิ ยั
การวจิ ยั ต้องเกียวขอ้ งกับงานในหน้าทีครู เปาหมายส าคัญของ (2) การเขยี นรายงานการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียนมี 3 รูปแบบ คือ รูปแบบ
การวจิ ยั ไมไ่ ด้มุง่ สร้างองค์ความรู้ใหม่ กลุ่มเปาหมายอาจเปน ไมเ่ ปนทางการ รูปแบบเปนทางการ และรูปแบบกึงทางการ
รายบุคคล รายกลุ่ม ทังห้องเรียน หรือหลาย ห้องเรียน สามาร (3) การเขยี นรายงานการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียนแบบไมเ่ ปนทางการ
ถด าเนินการวจิ ยั ควบค่ไู ปกับการปฏิบตั ิงานตามปกติได้ ทังใน (4) การเขยี นรายงานการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียนแบบเปนทางการแบง่
และ นอกเวลาเรียน การวจิ ยั ไมไ่ ด้เน้นการสร้างกรอบความคิด เนือหาออกเปน 5 บท
ตามโครงสร้างเชงิ ทฤษฎี มกี ารเก็บขอ้ มูลทังเชงิ ปริมาณและ (5) การเขยี นรายงานการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียนแบบกึงทางการ มี
คณุ ภาพ แต่เน้นขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ มากกวา่ การเขยี นรายงาน การนําเสนอสาระสําคัญตามหัวขอ้ ต่าง ๆ
การวจิ ยั ไมเ่ คร่งครัดในรูปแบบเหมอื นการวจิ ยั เชงิ วชิ าการทัวไป (6) การเขยี นรายงานการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียนแบบกึงทางการ อาจ
ครูสามารถใชผ้ ลการวจิ ยั พฒั นาตนและพฒั นางานในหน้าทีได้ ประกอบด้วยหัวขอ้ ต่าง ๆ
สามารถท าวจิ ยั ได้ทกุ วนั ทกุ สัปดาห์ ท าให้ได้งานวจิ ยั มากมาย (7) การนําผลการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชนั เรียนทังทีเปนงานวจิ ยั ของตนเอง
และไม่ จ าเปนต้องใชง้ บประมาณจ านวนมาก ไมไ่ ด้มุง่ ให้ครูท า และ งานวจิ ยั ของผูอ้ ืน
เพอื ขอผลงาน จดุ เน้นคือ นักเรียน และการพฒั นา สภาพการ (8) ผูท้ ีจะนําผลการวจิ ยั ไปใช้ จาํ เปนต้องศึกษาผลงานวจิ ยั นัน ๆ ให้ดีวา่ ขอ้
เรียนการสอน ส่วนการขอเปนผลงานนันเปนผลพลอยได้ ค้นพบมคี วามน่าเชอื ถือ หรือเปนไปได้เพยี งใด


Click to View FlipBook Version