โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง กระดาษจากกาบกล้วย จัดทำโดย 1. นางสาว นภาทิพย์ พรหมแก้ว เลขที่ 6 2. นางสาว เมธาวดี สำรวมจิตต์ เลขที่ 21 3. นางสาว จันทรรัตน์ สะโรจน์เลขที่ 24 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เสนอ นางสาว ปรีดา บัวยก กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์เละเทคโนโลยี โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดโพธาวาส) สำนักการศึกษาเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เรื่อง กระดาษจากกาบกล้วย จัดทำโดย 1. นางสาว นภาทิพย์ พรหมแก้ว เลขที่ 6 2. นางสาว เมธาวดี สำรวมจิตต์ เลขที่ 21 3. นางสาว จันทรรัตน์ สะโรจน์ เลขที่ 24 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เสนอ นางสาว ปรีดา บัวยก กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์เละเทคโนโลยี โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดโพธาวาส) สำนักการศึกษาเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
บทคัดย่อ กล้วยมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Musa sapientum linnaeus อยู่ในวงศ์ Musaceae ลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ กล้วยเป็นพันธุ์ไม้ล้มลุก เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำไท กล้วยหอมทอง ฯลฯ ใบแบนยาวใหญ่ก้าน ใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็นปลีเเละมักยาวเป็นงวงมีลูกเป็น หวีๆ โครงงานกระดาษจากกาบกล้วย ซึ่งได้ทำการทดลอง 1. เพื่อศึกษาการทำกระดาษกิจกรรมด้วยปรากฏว่า กล้วยที่นำไปทำกระดาษต้องเป็นกาบกล้วยที่ตากแห้งแล้วนำไปต้มพร้อมกับใส่โซดาไฟลงไปในหม้อ แล้วนำไป ปั่นเพื่อให้มีเยื่อกล้วยทำให้กระดาษอยู่ตัว 2. เพื่อศึกษาประโยชน์ของกาบกล้วยปรากฏว่าต้นกล้วยเมื่อโค่นต้น แล้วสามารถนำต้นไปประกอบอาหารได้ ใบสามารถนำไปใส่อาหารและสามารถนำไปทำอื่นๆได้มากมายจึง เลือกเอากลับมาทำกระดาษแทนกระดาษสาที่ทำจากเยื่อปอสา 3. เพื่อทดลองความทนทานของกระดาษจาก กาบกล้วยปรากฏว่ากระดาษจากกาบกล้วยมีความทนทานเท่ากับกระดาษสาสามารถใช้แทนกระดาษสาได้ และสามารถนำวัสดุในชุมชนมาแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน คำสำคัญ : กาบกล้วย , ประโยชน์ของกาบกล้วย , ความทนทานของกระดาษจากกาบกล้วย ก
กิตติกรรมประกาศ โครงงานวิทยาศาสตร์ฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณา ความช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาอย่างดียิ่งจาก นางสาว มุกดา เกตมณี และคณะ ครูปรีดา บัวยก อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ที่ได้กรุณาถ่ายทอดความรู้ แนวคิดวิธีการ คำแนะนำ และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่ยิ่ง ข้าพเจ้าจึง ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบคุณ คุณฟองจันทร์ สะโรจน์ ผู้ปกครอง ที่อำนวยความสะดวกในการใช้อุปกรณ์ อีกทั้งคำแนะนำใน การใช้อุปกรณ์ต่างๆ ขอขอบคุณ บ้านเลขที่ 258/49 ถ.ลูกเสือ ต.มะขามเตี้ย จ.สุราษฎร์ธานี รหัสไปรษณีย์ 84000 พี่เอื้อเฟื้อ สถานที่ในการทำการทดลองและการใช้เครื่องมือในการทำการทดลอง ขอขอบคุณ บิดา มารดา พี่ น้อง เเละเพื่อนๆ โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดโพธาวาส) ที่ได้ให้ความช่วยเหลือใน ด้านต่างๆนอกจากนี้ยังมีผู้ที่ให้การช่วยเหลืออีกหลายด้าน ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถกล่าวน้ำได้ทั้งหมด จึง ขอขอบคุณทุกท่านเหล่านั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วย คุณประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงานวิทยาศาสตร์ฉบับนี้ ข้าพเจ้า ขอมอบเป็นกตัญญูกตเวทีแด่บิดามารดา และบูรพาอาจารย์ที่เคยอบรมสั่งสอน รวมทั้งผู้มีพระคุณทุกท่าน คณะผู้จัดทำ ข
สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สาบัญสาร ค-ง สารบัญตาราง จ สารบัญภาพ ฉ บทที่ 1 บทนำ 1 ที่มาและความสำคัญ 1 วัตถุประสงค์ 2 ขอบเขต 2 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 2 บทที่ 2 เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3 กระดาษ 4 การผลิตเยื่อ 6 การฟอกเยื่อ 7 การเตรียมน้ำเยื่อ 8 การทำแผ่นกระดาษ 8 การปรับปรุงของกระดาษเดินแผ่น 9 การแปรรูปกระดาษ 9 กล้วย 11 ดอก 12 ผล 13 ชนิดของกล้วย 14 กระดาษสา 20 ค
หน้า วิธีทำกระดาษสา 20 โซดาไฟ 21 ความหมายของโซดาไฟ 21 ข้อควรระวังเมื่อใช้โซดาไฟ 21 การปฐมพยาบาลเบื้องต้น 22 วิธีการใช้โซดาไฟ 22 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ 24 วัสดุอุปกรณ์ 24 สารเคมี 24 ขั้นตอนการดำเนินการ 25 บทที่ 4 ผลการดำเนินการ 26 ตารางบันทึกผล 26 บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา อภิปราย และข้อเสนอแนะ 27 สรุปผลการศึกษา 27 ข้อเสนอแนะ 27 บรรณานุกรม 28 ภาคผนวก 29-32 ง
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 3. การฝอกเยื่อ 15 4.1 คุณลักษณะของกระดาษจากกาบกล้วย 34 4.2 การศึกษาความพึงพอใจต่อกระดาษจากกาบกล้วย 34 จ
สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ 1 กระดาษ 12 ภาพที่ 2 กล้วย 19 ภาพที่ 3 ดอก 20 ภาพที่ 4 ผล 21 ภาพที่ 5 ชนิดของกล้วย 22 ภาพที่ 6 โซดาไฟ 29 ภาพที่ 7 ที่มาของกล้วย 38 ภาพที่ 8 ตัดต้นกล้วยที่ตัดผลออกแล้ว 39 ภาพที่ 9 เอากาบกล้วยมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ 39 ภาพที่ 10 นำกาบกล้วยที่หั่นแล้วไปตากแดด 39 ภาพที่ 11 นำกาบกล้วยที่ตากแดดแล้วมาต้ม 39 ภาพที่ 12 ใส่โซดาไฟไปในกาบกล้วยที่ต้มอยู่ 39 ภาพที่ 13 เทกาบกล้วยที่ต้มเสร็จแล้วลงในตะแกรง 39 ภาพที่ 14 ล้างกาบกล้วยด้วยน้ำสะอาด 40 ภาพที่ 15 นำกาบกล้วยที่ล้างสะอาดแล้วมาปั่น 40 ภาพที่16 เทเยื่อกาบกล้วยลงใน 40 ภาพที่ 17 นำเยื่อกาบกล้วยมาเกลี่ยลงในตะแกรง 40 ภาพที่ 18 นำตะแกรงไปตากแดดให้แห้งสนิท 40 ภาพที่ 19 ลอกกระดาษจากกาบกล้วยออกจากตะแกรง 40 ฉ
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของโครงงาน กล้วยมีความผูกพันในวิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน คนไทยรู้จักใช้ประโยชน์จากต้นกล้วยในทุกๆส่วนมา ตั้งแต่ในสมัยโบราณ เช่นนำก้านกล้วยมาทำม้าก้านกล้วยให้เด็กขี่เล่น นำใบตองมาห่ออาหาร ใช้รักษาผิวหนังที่ แดงปวดเนื่องจากถูกแดดเผา นำกาบกล้วยทำเส้นใยหรือทำเชือกทอผ้าและทำอาหารสัตว์ กล้วยยังนำมาใช้ ในพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งในชีวิตประจำวันด้วย กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเปลือกหุ้มเช่นเดียวกับผลไม้อื่นๆ แต่วิธีการ ปอกเปลือกกล้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ เพียงใช้มือเด็ดปลายหรือจุก ก็สามารถปอกเปลือกได้ด้วยมือ และรับประทานได้ทันที จึงเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย ดังคำโบราณว่า "ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก" ส่วนของต้นกล้วยที่นำมาใช้ประโยชน์เป็นประจำส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการบริโภคได้แก่ผลกล้วย ใบตอง ปลีกล้วย แต่ในส่วนของต้นกล้วยเราใช้ในพิธีกรรมต่างๆเช่น พิธีการแห่ขันหมากของไทยงานแกะสลัก หยวกกล้วยให้สวยงามใช้ประกอบในงานพิธี นอกจากนี้ก็มีการตัดเป็นชิ้นสำหรับเป็นฐานกระทง นำต้นมาตาก แห้งเป็นเชือกกล้วย นำมาทำอาหารสัตว์ จนนำมาทำเป็นปุ๋ยในท้ายที่สุด เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าจึง นำเอาส่วนกาบกล้วยมาศึกษาวิจัยเป็นโครงงานกระดาษจากกาบกล้วย เนื่องด้วยกล้วยเป็นพืชอายุสั้นออกผล ครั้งเดียวแล้วต้นก็จะตายไป หลังจากเก็บผลผลิตแล้วจึงเหลือส่วนลำต้นเป็นจำนวนมากเกินความต้องการใช้ งาน จากข้อมูลในปีพ.ศ. 2556 พบว่ามีปริมาณและมูลค่าการส่งออกกล้วยสดของไทยมีปริมารวม 18,478 ตัน มูลค่ารวม 584 ล้านบาท สามารถบ่งชี้ถึงปริมาณต้นกล้วยจำนวนมากที่ถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย หากนำส่วน ลำต้นกล้วยมาศึกษาพัฒนาคุณภาพเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษจากกาบกล้วยจะเป็นการส่งเสริมให้ใช้ทรัพยากร อย่างคุ้มค่าโดยเพิ่มมูลค่ากาบกล้วยให้มีประโยชน์ใช้สอยเช่นเดียวกับกระดาษสา สามารถนำมาห่อของขวัญ ทำงานประดิษฐ์ สำหรับกระดาษทำมือที่รู้จักกันดีและขายกันแพร่หลายในประเทศไทยคือกระดาษสาทำมาจากเปลือก สา ซึ่งเป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของภาคเหนือ ในสมัยโบราณทำกระดาษสาเพื่อนำมาใช้ทำกระดาษ และ กระดาษว่าว ต่อมาได้รับความนิยมจึงได้รับการพัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้นและได้พัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตจน สามารถส่งขายในประเทศและต่างประเทศ งานกระดาษทำมือหรือHandmade มีเสน่ห์ในชิ้นงานเป็นที่นิยม อย่างมากในปัจจุบัน ในภาคกลางที่มีต้นกล้วยอยู่เป็นจำนวนมากหากสามารถนำกาบกล้วยมาพัฒนาเป็น กระดาษกาบกล้วยที่มีคุณภาพและมีความสวยงาม และสร้างความมีเอกลักษณ์ของกระดาษท้องถิ่นโดยพัฒนา เป็นของใช้ ของที่ระลึกที่สอดคล้องกับความโดดเด่นในแต่ละจังหวัดก็จะทำให้กระดาษกาบกล้วยเป็นที่ต้องการ ของตลาดในที่สุด และอาจเป็นแนวทางในการพัฒนาอาชีพให้กับชุมชนท้องถิ่นได้
2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการทำกระดาษจากกาบกล้วย 2. เพื่อศึกษาประโยชน์ของกาบกล้วย 3. เพื่อทดลองความทนทานของกระดาษจากกาบกล้วย สมมติฐาน กระดาษจากเยื่อกล้วยที่ผสมแป้งมันจะมีความแตกต่างกว่ากระดาษที่ไม่ผสมแป้งมัน ตัวแปรต้น เยื่อกาบกล้วยที่ผสมแป้งมัน ตัวแปรตาม ความเหนียวของกระดาษ ตัวแปรควบคุม ปริมาณ กาบกล้วย สารเคมี และสีที่ใช่ในการทำกระดาษ ขอบเขต 1. เยื่อกล้วยที่ใช้มาทำการศึกษาเป็นเยื่อกล้วยจากกล้วยต่างๆหลายชนิด 2. ส่วนของกล้วยที่นำมาใช้ในกระบวนการทำกระดาษ คือส่วนกาบกล้วย ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. สมาชิกทุกคนสามารถทำกระดาษจากกาบกล้วยได้ 2. เพื่อสร้างประโยชน์ไห้กับกาบกล้วย 3. เพื่อศึกษาควานทนทานของกระดาษจากกาบกล้วย
3 บทที่ 2 เอกกระสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เอกสารที่เกี่ยวข้อง กระดาษจากกาบกล้วย โดยแยกเป็นข้อดังนี้ กล้วย ชื่อวิทยาศาสตร์ : Musa sapientum Linnaeus. ชื่องวงศ์ : MUSACEAE. ชื่อสามัญ : Banana. ชื่ออื่นๆ : กล้วยมะลิอ่อง (จันทบุรี) กล้วยใต้ (เชียงใหม่, เชียงราย) กล้วยอ่อง (ชัยภูมิ) กล้วยตานีอ่อง (อุบลราชธานี) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร ลำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นลำ ต้นเทียม สีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 25-40 ซม. ยาว 1-2 เมตร ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีนวลสีขาว เส้นใบขนานกันในแนวขวาง ก้านใบเป็น ร่องแคบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดห้อยลง เรียกว่า หัวปลี มีใบประดับขนาดใหญ่หุ้มสีแดงเข้ม เมื่อบานจะ ม้วนงอขึ้น ด้านนอกมีนวล ด้านในเกลี้ยง ผล รูปรี ยาว 11-13 ซม. ผิวเรียบ ปลายเป็นจุก เนื้อในมีสีขาว พอสุก เปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน รับประทานได้ หวีหนึ่งมี 10-16 ผล เมล็ดกลม สีดำ กระดาษ ความหมายของกระดาษ วัตถุเป็นแผ่นบาง ๆ ทำจากเส้นใยของพืช เช่น ยูคาลิปตัส สน ไผ่ อ้อยฟาง ใช้เขียน หรือพิมพ์หนังสือ หรือห่อ ของ เป็นต้น การแปรรูปกระดาษ เป็นขั้นตอนการนำกระดาษไปแปรรูปเป็นแผ่นโดยทำตามที่ผู้ใช้ต้องการ วิธีการทำกระดาษ 1. การทำเยื่อกระดาษ (Pulping) 2. การเตรียมน้ำเยื่อ (Stock Preparation) 3. การทำให้เป็นแผ่นกระดาษ (Papermaking) 4. การตกแต่งผิวและการตัดให้เป็นขนาดที่ต้องการ (Finishing)
4 1. กระดาษ รูปที่ 1.1 ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/กระดาษ 1.1 ความหมายของกระดาษ กระดาษหมายถึงวัตถุแผ่นบาง ๆ โดยทำมาจากใยเปลือกไม้ ฟาง เศษผ้า และอาจมีส่วนผสมอย่างอื่นเพื่อช่วย ให้คุณสมบัติของกระดาษดีขึ้น 1.2 ความเป็นมาของกระดาษ ประวัติของกระดาษเริ่มเมื่อประมาณ 5,000 ปีแล้วมา ชาวอียิปต์โบราณได้คิดค้นวิธีการทำกระดาษขึ้นจากต้น กกชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกว่า “ไซเปอรัส ปาไปรัส (Cyperus papyrus)” ต้นกกชนิดนี้ขึ้นตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์มี ความสูง 2 ถึง 3 เมตร โดยประมาณ ชาวอียิปต์นำต้นกกมาตัดให้ได้ขนาดตามขนาดกระดาษที่ต้องการ เสร็จ แล้วลอกเปลือกออก วางเป็นแนวสานขัดเข้าด้วยกันแล้วจึงนำไปแช่ในน้ำจนนิ่ม ทุบให้ส่วนที่สานกันอยู่ให้ แบนเป็นแผ่นติดกัน ตากให้แห้ง สุดท้ายใช้หินขัดผิวให้เรียบ แล้วนำมาใช้เขียนหนังสือหรือภาพ ต่างๆ กระดาษที่ได้นี้ถูกเรียกตามชื่อต้นกกว่า “ปาไปรัส (Papyrus)” เนื่องจากต้นกกชนิดนี้เจริญเติบโตขึ้นได้ ในสภาพภูมิอากาศแถบแม่น้ำไนล์ การผลิตกระดาษปาไปรัสจึงถูกจำกัดอยู่ในย่านนี้ในยุคสมัยของกรีกและ โรมัน ได้มีการนำหนังสัตว์ที่เรียกว่า “พาร์ชเม้นท์ (parchment)” มาใช้ในการจารึกหนังสือนอกเหนือจากการ ใช้กระดาษปาไปรัสซึ่งนำเข้าจากอียิปต์ที่มีราคาสูงขึ้นและเกิดการขาดแคลนอันมีสาเหตุมาจากต้นกกที่ใช้ทำ กระดาษมีจำกัด กรรมวิธีการทำพาร์ชเม้นท์เริ่มจากการนำหนังสัตว์เช่น หนังวัว หนังแกะ หรือหนังแพะมาแช่ ในน้ำประมาณ 1 วันเพื่อขจัดเลือดและสิ่งสกปรกออก จากนั้น นำหนังสัตว์ที่ได้ไปแช่ในอ่างที่เป็นสารละลาย ประเภทด่างไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์เพื่อขจัดขนออก นำหนังสัตว์ดังกล่าวไปขึงให้ตึงกับกรอบไม้ ผึ่งให้แห้ง ใช้มีด ขูดขนที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หลุดออกและเป็นการทำให้ผิวเรียบ มีความหนาที่สม่ำเสมอกัน หนังสัตว์ซึ่งมี ส่วนประกอบของคลอลาเจน (Collagen) เป็นส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายกาว เมื่อเวลาแห้งจึงทำให้หนังสัตว์
5 คงรูปเป็นแผ่นอยู่ได้และสามารถนำไปใช้ต่อไป พาร์ชเม้นท์ที่มีคุณภาพดีมีชื่อเรียกว่า “เวลลัม (vellum)” ซึ่ง จะมีผิวที่เรียบ ทนทาน เหมาะสำหรับใช้ในการขีดเขียน ต่อมาได้มีการพัฒนาพาร์ชเม้นท์ให้เหมาะกับการใช้ขีด เขียนมากขึ้น โดยคิดค้นให้พาร์ชเม้นท์มีความขาวขึ้น เรียบขึ้น ตลอดจนสามารถรับหมึกได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมี การย้อมให้พาร์ชเม้นท์มีสีต่าง ๆ ด้วยเช่น สีน้ำเงิน เขียว แดง ส้ม ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการคิดค้นการทำกระดาษ จนเป็นที่นิยมและเป็นหลักในการพัฒนาจนถึงปัจจุบันกลับเป็นชาวจีน ประมาณปี ค.ศ. 105 ชาวจีน ผู้หนึ่งมี ชื่อว่า ไจ่หลุน ได้นำเศษผ้าขี้ริ้วเก่า เศษไม้มาต้มกับน้ำและทุบจนเปื่อยอยู่ในน้ำเป็นเยื่อกระดาษ นำน้ำเยื่อ ดังกล่าวมาเทลงบนตะแกรงผ้าแล้วเกลี่ยให้ทั่ว ส่วนของน้ำจะซึมผ่านตะแกรงเหลือแต่เยื่อกระดาษที่ยังเปียกอยู่ เมื่อนำไปตากแดดให้แห้งก็สามารถลอกและนำมาใช้เขียนได้ ต่อมาไจ่หลุนได้คิดค้นวิธีการทำกระดาษให้ดีขึ้น โดยใช้ตะแกรงจุ่มลงในอ่างที่มีน้ำเยื่ออยู่ แล้วค่อย ๆ ช้อนเอาเยื่อกระดาษขึ้นมาก่อนจะนำไปตากแห้งและใช้งาน วิธีนี้ทำให้กระดาษที่ได้มีความหนา สม่ำเสมอขึ้น กระดาษที่ได้จากการทำด้วยวิธีของไจ่หลุนจะมีความเหนียวขึ้นกว่าวิธีของชาวอียิปต์เนื่องจาก การเรียงตัวของเส้นใยต่าง ๆ ไม่เป็นระเบียบ การใช้กระดาษที่ผลิตโดยวิธีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายขึ้นในประเทศ จีน หลังจากนั้นก็ถูกเผยแพร่ต่อไปยังเกาหลี ญี่ปุ่น เอเชียกลาง อาหรับ และไปยังยุโรป มีการตั้งโรงผลิต กระดาษตามเมืองใหญ่ ๆ หลายแห่ง สำหรับที่อาหรับ การทำกระดาษจะทำจากเศษผ้าเก่าเป็นวัตถุดิบเสียส่วน ใหญ่เนื่องจากขาดแคลนเยื่อไม้ ประกอบกับเครื่องมือที่ใช้ทำกระดาษไม่ค่อยดีนัก กระดาษที่ได้จึงถูกปรับปรุง โดยนำไปเคลือบด้วยแป้ง ทำให้กระดาษของชาวอาหรับมีสีขาวและเหมาะกับการใช้ขีดเขียนได้ดีขึ้น กระดาษ ของชาวอาหรับจะถูกนำไปจำหน่ายในยุโรปซึ่งมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กรรมวิธีการผลิตกระดาษใน ยุคนั้นมักถูกเก็บเป็นความลับไม่เป็นที่เปิดเผย ในคริสศตวรรษที่ 13 ชาวอิตาเลียนได้พัฒนาการผลิตกระดาษ ให้ดีกว่าที่ทำจากอาหรับโดยเน้นพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในขบวนการผลิต ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปก็มีการ พัฒนากรรมวิธีในการผลิตกระดาษเรื่อยมาจนมีการนำเครื่องจักรมาช่วยในการผลิต โดยในปี ค.ศ. 1490 ได้มี การตั้งโรงงานผลิตกระดาษด้วยเครื่องจักรขึ้นที่เมือง เฮอฟอร์ดชายร์ (Herfordshire) ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1798 ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เอ็ม ดิโดต์ (M. Didot) ได้ประดิษฐ์เครื่องจักรผลิตกระดาษแบบอัตโนมัติเครื่อง แรก ในปี ค.ศ. 1807 ที่ประเทศอังกฤษ พี่น้องตระกูลโฟร์ดริเนียร์ (Fourdrinier) และทีมงานได้นำแนวคิด ของ นิโคลัส หลุยส์ โรเบิร์ต (Nicholas Loius Robert) ผู้ซึ่งเคยทำงานอยู่ในโรงผลิตกระดาษของเอ็ม ดิโดต์ มาสร้างเครื่องจักรผลิตกระดาษม้วนได้สำเร็จ และเครื่องจักรนี้ได้ถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า “เครื่องโฟร์ดริเนียร์” ซึ่งถือเป็นเครื่องต้นแบบสำหรับเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระดาษจนถึงปัจจุบันสำหรับเยื่อกระดาษซึ่งเดิมทีใช้ เศษผ้ามาเป็นวัตถุดิบ เมื่อมีความต้องการกระดาษมากขึ้น เศษผ้าเริ่มขาดแคลน จึงมีการทดลองใช้วัสดุอื่นมา เพื่อแทน เช่น ปอ ซังข้าวโพด อ้อย ไผ่ เปลือกไม้ เนื้อไม้ จนพบว่าเยื่อที่ทำจากเนื้อไม้ยืนต้นเหมาะที่จะนำมา ทำกระดาษที่สุด การผลิตกระดาษในปัจจุบันมีการใช้เยื่อไม้หลายชนิดเข้าด้วยกัน เยื่อใยยาวมักจะได้มาจาก ต้นสนซึ่งจะช่วยเรื่องความเหนียวของกระดาษ เยื่อใยสั้นอาจจะใช้เยื่อของต้นยูคาลิตัส โดยนำเนื้อไม้มาสับเป็น ชิ้นเล็ก ๆ นำไปบดหรือย่อย ฟอกจนเป็นน้ำเยื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตกระดาษต่อไป ในปัจจุบันมีการผลิต กระดาษหลากหลายชนิดเพื่อนำไปใช้สำหรับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันนอกจากจะใช้เพียงเพื่อการขีด เขียน เช่นเพื่อนำไปใช้ทำบรรจุภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง (ฝ้า ผนัง) ใช้ในการพิมพ์ ทำปกหนังสือ หรือแม้กระทั่งใช้ เป็นกระดาษสุขภัณฑ์
6 1.3 วิธีการทำกระดาษ การทำกระดาษเริ่มต้นตั้งแต่การนำไม้ไปทำเยื่อเพือ่ให้ได้เส้นใยออกมา แล้วจึงนำเยื่อที่ได้ไปผสมกับสารเติม แต่งในอัตราส่วนต่าง ๆ เพื่อปรับสมบัติกระดาษให้ได้ตรงความต้องการใช้งาน จากนี้นนำไปทำเป็นแผ่นโดยใช้ เครื่องจักรผลิตกระดาษ แล้วจึงนำไปแปรรูปใช้งาน กระบวนการผลิตจะแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน โดย เรียงลำดับตามขึ้นตอนการปฏิบัติการจริงภายในโรงงานได้ดังนี้ 1. การผลิตเยื่อ (Pulping) 2. การเตรียมน้ำเยื่อ (Stock Preparation) 3. การทำแผ่นกระดาษ (Papermaking) 4. การปรับปรุงสมบัติกระดาษขณะเดินแผ่น (Web Modification) 5. การแปรรูป การผลิตเยื่อ วัตถุ ประสงค์หลักของการผลิตเยื่อ เพื่อต้องการแยกเส้นใยออกมาจากองคืประกอบอื่นของไม้ การผลิตเยื่อ สามารถทำได้หลายวิธีทั้งโดยวิธีเคมี หรือ เชิงกลในบางกรณีอาจจะต้องนำไปผ่านการฟอกให้ขาวก่อน ในการ ผลิตเยื่อจึงประกอบด้วย กรรมวิธีผลิตเยื่อ และ การฟอกเยื่อ กรรมวิธีผลิตเยื่อ (Pulping Process) เยื่อมีหลายชนิดการเรียกชื่อขึ้นอยู่กับกรรมวิธีผลิต ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบ ต่าง ๆ ของพลังงานที่ใช้ ได้แก่ พลังงานความร้อน พลังงานเคมี และ พลังงานกล การผลิตเยื่อเชิงกล (Mechanical Pulping Process) จะ ใช้พลังงานกลควบคู่ไปกับพลังงานความร้อนใน การแยกเส้นใยออกมา โดยท่อนไม้/ชิ้นไม้จะถูกส่งเข้าเครื่องบด ซึ่งจะทำหน้าที่บด และตัดจนชิ้นไม้แหลก ละเอียดเป็นเยื่อไม้ เยื่อที่ได้เรียกว่าเยื่อไม้บด หรือเยื่อเชิงกล ให้ผลผลิตเยื่อในช่วงมากกว่าร้อยละ 85 เยื่อไม้ บดมีเนื้อค่อนข้างหยาบกระด้าง เส้นใยที่ได้ส่วนใหญ่ไม่สมบูรณ์ มีการขาดและตัดเป็นท่อน ๆ นอกจากนี้ยังมี กลุ่มของเส้นใยปนอยู่ด้วย ในเยื่อไม้บดจึงประกอบด้วย เส้นใยฝอย (fines) ซึ่งเกิดจากการฉีกขาดของเส้นใย, เส้นใยเดี่ยว (individual fiber) ไม่ค่อยสมบูรณ์, มัดขอเส้นใย (bundle of fiber) ซึ่ง ประกอบด้วยเส้นใย หลาย ๆ เส้นเกาะติดกันเป็นมัด เยื่อชนิดนี้เมื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำกระดาษ จะให้คุณสมบัติตาม ส่วนประกอบทั้ง 3 คือ เส้นใยฝอยจะเพิ่มคุณสมบัติด้านทึบแสง เส้นใยซึ่งไม่ค่อยสมบูรณ์ และยังคงมีลีกนีนตก ค้างอยู่มาก ทำให้พันธะระหว่างเส้นใยต่ำ การกลับสีเร็ว เยื่อชนิดนี้จึงไม่เหมาะที่จะนำไปทำกระดาษที่ต้องรับ แรงสูงหรือเก็บนาน ๆ มีราคาถูก เหมาะสำหรับทำสิ่งพิมพ์ราคาถูก เช่น หนังสือพิมพ์ หรือใช้เป็นเยื่อชั้นใน กระดาษแข็ง การผลิตเยื่อเคมี (Chemical Pulping Process) การผลิตเยื่อตามกรรมวิธีนี้จะใช้พลังงานเคมีและ พลังงานความร้อนในกรทำให้เส้นใยแยกจากกัน โดยชิ้นไม้จะถูกส่งเข้าหม้อต้มเยื่อ (digester) สาร เคมีและ ความร้อนจะละลายลิกนินออกไป เหลือส่วนที่ไม่ละลายคือเยื่อ เยื่อเคมีมีหลายชนิดเรียกชื่อตามสารเคมีที่ใช้ใน การผลิตเช่น เยื่อซัลเฟต เยื่อซัลไฟต์ และ เยื่อโซดา เยื่อเคมีให้ผลผลิตเยื่อประมาณร้อยละ 40 มีลักษณะนุ่ม สี ค่อนข้างคล้ำ เส้นใยที่ได้จะสมบูรณ์ เยื่อชนิดนี้มีปริมาณการใช้สูงมาก เพราะสามารถพัฒนาศักยภายของเส้น ใยให้สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เหมาะทั้งใช้ในงานรับแรง และเพื่อการสื่อสาร ถ้าใช้ในงานรับแรง เช่น นำไปทำกระดาษบรรจุภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องฟอก แต่ถ้าใช้เพื่อการสื่อสารจะต้องนำไปฟอกให้ขาวก่อนและเศษ
7 กระดาษ (Secondary Pulp) ในปัจจุบันเศษกระดาษ (reclaimed and waste paper) นับ ได้ว่าเป็นแหล่ง เส้นใยที่สำคัญแหล่งหนึ่ง ได้มีการนำเส้นใยกระดาษที่ใช้แล้วทั้งภายในและภายนอกประเทศมาเป็นวัตถุดิบใน การผลิตกระดาษ เยื่อที่ได้จากเศษกระดาษที่ใช้แล้วเรียกว่า secondary pulp ส่วยเยื่อที่ยังไม่เคยใช้ทำ กระดาษเรียกว่า virgin pulp เส้นใยที่ได้จากเศษกระดาษชนิดนี้เรียว่า recycled fiber เนื่อง จากกระดาษที่ ผ่านการใช้แล้วมีมากมายหลายประเภท เช่น ถ้าเป็นกระดาษที่ผ่านการพิมพ์ต่าง ๆ ก่อนนำมาทำเป็นเยื่อต้อง ผ่านกระบวนการเอหมึกออก (deinking) เสียก่อนแล้วจึงนำไปฟอก (bleaching) ให้ ขาว สำหรับนำไปผลิต กระดาษสำหรับพิมพ์ หรือกระดาษชำระ แต่ถ้าจะนำไปผลิตกระดาษเหนียว หรือกระดาษสีน้ำตาลก็ไม่ จำเป็นต้องเอาหมึกออก เยื่อจากกระดาษหรือเศษกระดาษที่ได้ส่วนมากจะนำไปเป็นวัตถุดิบในการ ผลิต กระดาษพิมพ์เขียน ทำเป็นเยื่อชั้นในกระดาษแข็ง หรือทำกระดาษชำระเป็นต้น การฟอกเยื่อ (Bleaching) การฟอกเยื่อเป็นการทำให้เยื่อมีสีขาวเหมาะกับการใช้กระดาษเพื่อการสื่อสารต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 วิธี คือ • วิธีฟอกเยื่อเพื่อขจัดลิกนินออก (removing lignin) • วิธีฟอกเยื่อเพิ่อเปลี่ยนสีของลิกนินให้อยู่ในรูปไม่มีสี (bleaching lignin) เยื่อเคมีจะฟอกโดยใช้สารเคมีทำ ปฏิกิริยากับบิกนินแล้วกำจัดลิกนินออก การฟอกแบบนี้มีหลายขึ้นตอน โดยทั่วไปจะมีตั้งแต่ 3-6 ขั้นตอน (CEH CEDEP CEOP) เยื่อที่ได้มีความขาวสว่างสูงประมาณร้อยละ 80-95 เมื่อวัดด้วยเครื่องวัดแบบ Elrepho ขั้นตอนในการฟอกจะมีชื่อเรียกตามสารเคมีที่ใช้ฟอก และ ขั้นตอนการฟอกจะเรียงลำดับตามอักษรที่ใช้เรียก เช่น การฟอกแบบ CEDED สารเคมี สัญลักษณ์ เรียกชื่อขั้นตอนการฟอก Chlorine C ขั้นคลอริเนชั่น (chlorination stage) Sodium hydroxide E ขั้นแอ็กซ์แทรกชั่น (extraction stage) Calcium hypochlorite stage) H ขั้นไฮโปคลอไรด์ (hypochlorite Chlorine dioxide (chlorinedioxide stage) D ขั้นคลอรีนไดออกไซด์ Hydrogen peroxide P ขั้นเปอร์ออกไซด์ (peroxide stage) Oxygen O ขั้นออกซิเจน (oxygen stage) Ozone Z ขั้นโอโซน (ozone stage) Acid A ขั้นแอสิด (acid stage) ตารางที่ 3
8 การเตรียมน้ำเยื่อ ในขั้นการเตรียมน้ำเยื่อนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ เพื่อพัฒนาศักยภาพของเส้นใย โดยการนำเยื่อ ไปบด และ ปรับปรุงสมบัติกระดาษให้ได้ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน โดยการผสมหรือใส่สารเติมแต่งชนิดต่าง ๆ ตามอัตราส่วนที่กำหนด ส่วนผสมที่ได้นี้เรียกว่า “น้ำเยื่อ” หรือ “สต็อก” (stock) เยื่อ ที่นำมาทำกระดาษ ทุกชนิดจะต้องผ่านการบด มากหรือ น้อยขึ้นอยุ่กับระดับคุณภาพของเยื่อ เยื่อบางชนิดไม่จำเป็นต้องบด เช่น เยื่อไม้บด และเยื่อเวียนทำใหม่ ในขั้นการเตรียมน้ำเยื่อประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ในการบดและผสมโดยมีขึ้นตอนการปฏิบัติการ เรียงลำดับดังนี้ 1. การกระจายเส้นใย (defibering) กระจายเยื่อเพื่อให้เส้นใยแยกออกจากกันเป็นอิสระในน้ำโดยใช้อุปกรณ์ที่ เรียกว่าไฮดราพับเพอร์ (hydrapulper) 2. การบดเยื่อ (refining) บดเยื่อเพื่อให้เส้นใยแตกแขนงเป็นการเพิ่มศักยของพันธะระหว่างเส้นใยให้สูงขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้คือรีไฟเนอร์ (refiner) 3. การผสมน้ำเยื่อ (blending) เป็นการเติมสารเติมแต่งลงไปผสมกับเยื่อที่ผ่านการบดแล้ว โดยผสมในถึงใบพัด กวน เยื่อจะถูกเก็บในถังที่เรียกว่า แมชชีน เชสต์ (machine chest) 4. การแยกสิ่งสกปรกออกจากน้ำเยื่อ (screening and cleaning) โดยใช้ pressure screen หรือ flat screener เพื่อคัดวัสดุที่มีขนาดใหญ่กว่าเส้นใยออก แล้วผ่านเข้าสู่เครื่องทำความสะอาด เรียกว่า เซนตริฟิวด์ คลีนเนอร์ (chetrifugal cleaner) คัดแยกวัสดุอื่นออกไป โดยใช้หลักการถ่วงจำเพาะ 5. การควบคุมความข้นของน้ำเยื่อ (consistency regulator) เพื่อควบคุมให้น้ำเยื่อข้นคงที่ การทำแผ่นกระดาษ หลังการผสมน้ำเยื่อเรียบร้อยแล้ว น้ำเยื่อจะถูส่งเข้าสู่เครื่องจักรผลิตกระดาษเพื่อทำเป็นแผ่นกระดาษที่ยาว ต่อเนื่องกัน ซึ่งเรียกว่า เว็บเปเปอร์ (web paper) เครื่องจักรที่ใช้ผลิตกระดาษมีหลายแบบ ส่วนใหญ่เป็นแบบ โฟร์ดริเนียร์(fourdrinier) และแบบไซลินเดอร์ (cylinder) เครื่องจักรผลิตกระดาษทุกแบบจะมีส่วนประกอบต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่หลัก 3 ประการคือ 1. การแยกน้ำออก (draining) ทำหน้าที่เป็นตะแกรงรองรับน้ำเยื่อ น้ำจะลอดผ่านตะแกรงทำให้เยื่อก่อตัวเป็น แผ่นเปียก (wet sheet forming) 2. การกดน้ำออก (pressing) ทำหน้าที่กดหรือบีบน้ำออกจากแผ่นเปียก ทำให้เกิดการยึดติดแน่นระหว่างเส้น ใยภายในกระดาษ (consolidation of wet) 3. การอบกระดาษ (drying) แผ่นกระดาษจะถูกอบให้แห้งเพื่อไล่น้ำออกจนกระดาษแห้งเหลือความชื้น ประมาณร้อยละ 4-6 ส่วนประกอบหลักของเครื่องจักรผลิตกระดาษ ได้แก่ 1. ถังจ่ายเยื่อ (head box) ทำหน้าที่จ่ายน้ำเยื่อเข้าสู่ตะแกรงลวดเดินแผ่น 2. ส่วนตะแกรงลวดเพินแผ่น (wire section หรือ forming section) ทำหน้าที่สำคัญ 2 ประการ คือ การก่อ ตัวเป็นแผ่นกระดาษด้วยกระบวนการกรองและการแยกน้ำออก (dewatering) แผ่นเปียกที่ออกจากส่วนนี้จะมี น้ำอยู่ร้อยละ 80
9 3. ส่วนกดกระดาษ (press section) ทำ หน้าที่กดหรือบีบน้ำออกจากแผ่นเปียกทำให้เกิดการยึดติดแน่น ภายในเนื้อกระดาษ กระดาษที่ออกจาส่วนนี้จะมีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 55-60 การเอาน้ำออกมาให้ได้มากกว่า ด้วยแรงกดไม่สามารถทำได้เพราะจะทำให้กระดาษขาด 4. ส่วนอบกระดาษ (drying section) ในส่วนนี้จะมีลูกอบให้ความร้อนกับกระดาษ ทำให้กระดาษแห้ง โดย กระดาษที่ออกมาจากส่วนนี้จะมีความชื้นประมาณร้อยละ 4-6 5. ส่วนรีดกระดาษ (calender) ทำหน้าที่ปรับแผ่นกระดาษให้เรียบและมีเนื้อแน่นขึ้น แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ สำหรับกระดาษบางชนิด เช่นกระดาษชำระ 6. ส่วนพับกระดาษเข้าม้วน ทำหน้าที่นำกระดาษเข้าม้วน การปรับปรุงสมบัติกระดาษขณะเดินแผ่น การปรับปรุงสมบัติกระดาษในขณะเดินแผ่นทำได้ 2 ลักษณะ คือ 1. การปรับปรุงผิวกระดาษ (surface modification) กระดาษ เมื่อผ่านลูกอบแห้งแล้วจะเข้าสู่ส่วนรีดกระดาษ เพื่อปรับปรุงกระดาษให้เรียบขึ้น และ เพิ่มความหนาแน่นของเนื้อกระดาษ ส่งผลให้กระดาษบางลงนอกจาก ปรับปรุงผิวกระดาษ ที่ส่วนนี้ยังสามารถทำการปรับปรุงผิวกระดาษในขณะที่เดินแผ่นด้วยวิธีการ ฉาบผิว (surface sizing) ซึ่ง จะทำก่อนที่เข้าลูกอบกระดาษ โดยใช้น้ำแป้งฉาบบนผิวกระดาษ ทำให้กระดาษมีผิวเรียบ ขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความแข็งแรงของพันธะที่ผิวกระดาษ ทำให้ผิวกระดาษแข็งแรง สามารถต้านทานการ ขูดลลหรือการถูกดึงผิวกระดาษได้ดี ซึ่งเป็นสมบัติที่สำคัญมากสำหรับกระดาษที่ใช้พิมพ์ กระดาษที่ผ่านการ ปรับปรุงลักษณะนี้ได้แก่ กระดาษออฟเซ็ต นอกจากนี้กระดาษทิชชูก็สามารถปรับปรุงกระดาษได้โดยเชิงกล โดยทำให้เกิดรอยย่น (creping) หรือพิมพ์ลายนูน (embossing) บนผิวกระดาษเพื่อให้กระดาษนุ่มมือขึ้น 2. การเปลี่ยนรูปร่างและม้วนกระดาษ (physical modification) เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่างของม้วน กระดาษในขณะเดินแผ่น เพื่อให้เหมาะสมกับม้วนขนาดที่ลูกค้าต้องการ โดยการคลายม้วน (rewinding) และ ตัดเป็นแผ่น (sheeting) การแปรรูปกระดาษ เป็นขั้นตอนการนำกระดาษม้วนไปแปรรูปเป็นแผ่น โดยนำไปตัดขนาดให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ โดยใช้ เครื่องตัดแบ่งม้วนโฟลิโอ (folio sheeter) การแปรรูปเป็นแผ่นกระดาษจะเริ่มต้นด้วยการนำม้วนกระดาษ (roll) เข้าสู่เครื่องตัด ซึ่งจะตัดแบ่งกระดาษม้วนย่อย 4 ม้วน (แล้วแต่ขนาดของเครื่องของโรงงานนั้น ๆ) ม้วน กระดาษย่อยจะถูกส่งต่อเข้าสู่ชุดมีดตัด (rotary fly knife) ตัด กระดาษแต่ละม้วนให้เป็นแผ่น จนได้จำนวนที่ ต้องการแล้วจึงส่งไปห่อ แต่ละห่อจะมีจำนวนแผ่นระบุไว้อย่างแน่นอน จำนวนบรรจุขึ้นอยู่กับลูกค้ากำหนด และน้ำหนักมาตรฐานของกระดาษด้วย กระดาษแต่ละห่อจะรอการบรรจุรวมเพื่อจำหน่ายให้ลูกค้าต่อไป 1. สมบัติของกระดาษ สมบัติเชิงโครงสร้างของกระดาษคือลักษณะทางโครงสร้างของกระดาษที่ปรากฏในกระดาษแต่ละชิ้น สมบัติ เชิงโครงสร้างตัวกล่าวที่สำคัญมีดังนี้ 2. น้ำหนักพื้นฐาน (Basis Weight) หมายถึง น้ำหนักของกระดาษต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ โดยวัดจากกระดาษที่ถูก เก็บไว้ในสภาวะที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ การวัดมี 2 ระบบ คือระบบน้ำหนัก พื้นฐานแบบ อิมพีเรียล ( Imperila Basis Weight System) กับ ระบบน้ำหนักพื้นฐานแบบเมตริก (Metric Basis Weight System) สำหรับประเทศไทย เราใช้ระบบหลังคือ ระบบน้ำหนักพื้นฐานแบบเมตริก ซึ่งเป็น
10 การกำหนดน้ำหนักพื้นฐานของกระดาษเป็นกรัมต่อหนึ่งตารางเมตร (gm/m²) หรือ เรียกว่า แกรมเมจ (Grammage) ในการสื่อสารกันในวงการพิมพ์มักเรียกสั้น ๆ ว่า กรัม หรือ แกรม 3. ความหนา (Caliper) หมายถึง ระยะห่างระหว่างผิวกระดาษด้านหนึ่งไปยังผิวกระดาษอีกด้านหนึ่งโดยวัดใน แนวตั้งฉากกับผิวกระดาษและวัดในสภาวะและวิธีการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ หน่วยวัดจะเป็นมิลลิเมตร ไมโครเมตร หรือเป็นนิ้ว สำหรับเมืองไทยนิยมใช้เป็นมิลลิเมตร สิ่งที่มีผลทำให้เกิดความหนาของกระดาษที่ แตกต่างกันคือ น้ำหนักพื้นฐานของกระดาษ เยื่อกระดาษที่นำมาใช้ กรรมวิธีในการทำและบดเยื่อ แรงกดของ ลูกกลิ้งในขบวนการทำรีดกระดาษระหว่างผลิต ดังนั้น น้ำหนักพื้นฐานของกระดาษที่เท่ากัน ก็อาจมีความหนา ที่ไม่เท่ากันได้ 4. ความสม่ำเสมอของการกระจายตัวของเส้นใยกระดาษ ( Formation) หมายถึง การเปรียบเทียบปริมาณ ของเส้นใยในบริเวณต่าง ๆ ของกระดาษว่ามีความเท่ากันหรือต่างกันอย่างไร กระดาษที่มีความสม่ำเสมอของ การกระจายตัวของเส้นใยที่ดี จะทำให้กระดาษเรียบเสมอกันทั้งแผ่นและมีความหนาเท่าเทียมกัน เมื่อนำไป พิมพ์ก็จะได้ภาพพิมพ์ที่ดีไม่กระดำกระด่าง 5. แนวเส้นใย (Grain Direction) หมายถึง แนวการเรียงตัวของเส้นใยกระดาษ ถึงแม้ว่าเส้นใยของกระดาษจะ วางตัวไม่เป็นระเบียบ แต่เมื่อดูภาพรวมจะพบว่าการเรียงตัวของเส้นใยส่วนใหญ่จะมีทิศทางไปในแนวเดียวกัน และเป็นแนวเดียวกับการไหลของน้ำเยื่อและการเคลื่อนของตะแกรงในเครื่องผลิต ซึ่งเรียกแนวนี้ว่าแนวขนาน เครื่อง ส่วนแนวที่ตั้งฉากกับแนวขนานเครื่องเรียกว่าแนวขวางเครื่อง จากการศึกษาเรื่องความชื้นกับเส้นใย พบว่าเมื่อความชื้นสูงขึ้น อัตราการขยายตัวด้านกว้างของเส้นใยจะสูงกว่าด้านยาวของเส้นใย ดังนั้นการ ขยายตัวของกระดาษด้านแนวขวางเครื่องจะสูงกว่าด้านขนานเครื่องเมื่อกระดาษพบกับความชื้นที่สูงขึ้น ซึ่ง เป็นสิ่งที่โรงพิมพ์ต้องคำนึงถึงในการเลือกใช้กระดาษให้ถูกแนวเพื่อลดปัญหาการพิมพ์สีเหลื่อม 6. ความสามารถในการคงขนาด (Dimensional Stability) หมายถึง ความสามารถของกระดาษในการรักษา ขนาดทั้งด้านกว้าง ด้านยาว และความหนาให้คงเดิมเมื่อได้รับสภาพแวดล้อมที่ต่างไป เช่นได้รับความชื้นที่เพิ่ม ได้รับแรงกดทับ ความสามารถในการคงขนาดที่ดีช่วยลดปัญหาในการพิมพ์ เช่น ลดปัญหาการพิมพ์สีเหลื่อม 7. ความพรุน (Porosity) หมายถึงการเปรียบเทียบปริมาณและขนาด ความลึกของหลุมบนกระดาษต่อหนึ่ง หน่วยพื้นที่ ความพรุนมากช่วยทำให้อากาศและของเหลวซึมผ่านได้ง่าย ดังนั้นเมื่อกระดาษที่มีความพรุนสูง ได้รับหมึกพิมพ์หมึกก็จะซึมลงในหลุม ทำให้หมึกแห้งตัวเร็วแต่ยังผลให้เนื้อสีที่คงเหลืออยู่บนผิวน้อย ภาพพิมพ์ จึงดูซีดและไม่คมชัด 8. ความเรียบ (Smoothness) หมายถึง ระดับความเรียบของผิวกระดาษเทียบกับความเรียบของผิวแก้ว ความเรียบของผิวกระดาษที่ดี ทำให้การรับเม็ดหมึกได้ดีไม่กระจายตัวออก ทำให้เม็ดสกรีนคม
11 2. กล้วย รูปที่2.1 ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki 2.1 ความหมายของกล้วย กล้วย คือ ชื่อไม้ล้มลุกหลายชนิดในสกุล Musa วงศ์ Musaceaeจัดแยกออกได้เป็น ๒ จําพวก จําพวกที่แตก หน่อเป็นกอ ผลสุกเนื้อนุ่ม กินได้ มีหลายชนิดและหลายพันธุ์ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่กล้วยหอม บางชนิดผล สุกเนื้อแข็ง มักเผา ต้ม หรือเชื่อมกิน เช่นกล้วยกล้าย กล้วยหักมุก,จําพวกที่ไม่แตกหน่อเป็นกอ ขยายพันธุ์ด้วย เมล็ด ใบประดับไม่ร่วง เช่น กล้วยนวล กล้วยผา. 2.2 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ กล้วยมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่สำคัญๆ ดังนี้ ลำต้น กล้วยมีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า หัว หรือ เหง้า (rhizome) ที่หัวมีตา (bud) ซึ่งจะเจริญเป็นต้น เกิด หน่อ (sucker) หลายหน่อ เรียกว่า การแตกกอ หน่อที่เกิด หรือต้นที่เห็นอยู่เหนือดิน ความจริงแล้วมิใช่ ลำต้น เราเรียกว่า ลำต้นเทียม(pseudostem) ส่วนนี้เกิดจากการอัดกันแน่นของกาบใบ ที่เกิดจากจุดเจริญของ ลำต้นใต้ดิน กาบใบจะชูก้านใบ และใบ และที่จุดเจริญนี้ จะมีการเจริญเป็นดอกตามขึ้นมาหลังจากสิ้นสุดการ เจริญของใบ ใบสุดท้ายก่อนการเกิดดอก เรียกว่า ใบธง
12 รูปที่ 3.1 ที่มา : www.kroobannok.com ดอก ดอกของกล้วยออกเป็นช่อ (inflorescence) ในช่อดอกยังมีกลุ่มของช่อดอกย่อยเป็นกลุ่มๆ ระหว่างกลุ่มของ ช่อดอกย่อยแต่ละช่อจะมีกลีบประดับ หรือที่เราเรียกกันว่า กาบปลี(bract) มีสีม่วงแดงกั้นไว้ กลุ่มดอกเพศ เมียอยู่ที่โคน และกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย เป็นส่วนที่เราเรียกว่า หัวปลี(male bud) ระหว่างกลุ่มดอกเพศ เมีย และดอกเพศผู้ มีดอกกะเทย แต่บางพันธุ์ก็ไม่มี ในช่อดอกย่อยแต่ละช่อมีดอกเรียงซ้อนกันอยู่ ๒ แถว ถ้า เป็นดอกเพศเมีย ดอกเหล่านี้จะเจริญต่อไปเป็นผล
13 รูปที่4. 1 ที่มา : www.kroobannok.com ผล ผลกล้วยเกิดจากดอกเพศเมีย ซึ่งอยู่ที่โคน กลุ่มของดอกเพศเมีย ๑ กลุ่ม เจริญเป็นผล เรียกว่า ๑ หวี ช่อดอก เจริญเป็น ๑ เครือ ดังนั้นกล้วย ๑ เครืออาจมี ๒ - ๓ หวี หรือมากกว่า ๑๐ หวี ทั้งนี้แล้วแต่พันธุ์กล้วยและการ ดูแล ผลของกล้วยมีการเจริญได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ จึงทำให้กล้วยส่วนใหญ่ไม่มีเมล็ด เมล็ด เมล็ดกล้วยมีลักษณะกลมเล็ก บางพันธุ์มีขนาดใหญ่ เปลือกหนา แข็ง มีสีดำ ราก เป็นระบบรากฝอย แผ่ไปทางด้านกว้างมากกว่าทางแนวดิ่งลึก ใบ ใบกล้วยมีลักษณะเป็นแผ่นใบใหญ่ มีความกว้างประมาณ ๗๐ - ๙๐ เซนติเมตร ความยาว ๑.๗ - ๒.๕ เมตร ปลายใบมน รูปใบขอบขนาน โคนใบมน และแผ่นใบมีสีเขียว
14 ชนิดของกล้วย รูปที่2.3 ที่มา : www.kroobannok.com ชนิดของกล้วยในประเทศไทย กลุ่ม AA ที่พบในประเทศไทยมี กล้วยป่า สำหรับกล้วยกินได้ในกลุ่มนี้มีขนาดเล็ก รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสด ได้แก่ กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอมจันทร์ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยไข่จีน กล้วยน้ำนม กล้วยไล กล้วย สา กล้วยหอม กล้วยหอมจำปา กล้วยทองกาบดำ กล้วยไข่ (Kluai Khai) เป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญที่นิยมรับประทาน และส่งออกต่างประเทศ เนื่องจาก ให้ เนื้อแน่น นุ่มหวาน เปลือกบาง และมีกลิ่นหอม ซึ่งถือว่าเป็นกล้วยที่นิยมรับประทาน และปลูกมากเป็นอันดับ แรกๆเหมือนกับกล้วยน้ำว้า และกล้วยหอม กล้วยเล็บมือนาง (Kluai Leb Mu Nang) เป็นกล้วยประจำท้องถิ่นของภาคใต้ที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก ผลกล้วยมีลักษณะเรียวเล็ก ทำให้มีขนาดเหมาะแก่การเคี้ยว ผลมีสีเหลืองทอง เนื้อมีความนุ่มคล้าย กับกล้วยหอม มีรสหวาน และมีกลิ่นหอม กล้วยหอมจันทร์ก้านใบสีชมพูอมแดง มีนวล ตั้งขึ้น มีร่องกว้าง มีครีบ เส้นใบสีชมพูอมแดง กล้วยชนิดนี้มี ก้านเครือตั้งขึ้น เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 14 ผล ผลเล็ก รูปร่างคล้ายกล้วยเล็บมือนาง ผลเรียงเวียนไปทางเดียวกัน เมื่อสุกมีสีเหลืองคล้ายกัน เนื้อมีสีขาวเหลือง รสหวานเนื้อเหนียว กลิ่นหอม กล้วยไข่ทองร่วง ต้น ลำต้นสูงประมาณ 2.5 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 เซนติเมตรกาบลำต้นด้าน นอกมีสีเขียวมีปื้นดำมาก ด้านในมีสีเขียวอมเหลืองใบก้านใบสีเขียวอมเหลือง ร่องใบเปิด ดอกปลีรูปไข่ค่อนข้าง แหลมสีแดงอมม่วง ปลายกาบสีแดงผล เครือหนึ่งมี 6 - 7 หวี หวีหนึ่งมี 14 - 16 ผลเปลือกบางผลไม่มีเหลี่ยม ปลายผลมน ลักษณะคล้ายกล้วยไข่แต่ผลใหญ่กว่าเปลือกสีเขียวอมเหลืองเมื่อสุกมีสีเหลืองสดใสเนื้อมีสีเหลือง เข้มรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยการใช้ประโยชน์ ผลใช้รับประทานสด กล้วยไข่จีน นับเป็นผลไม้ที่มีศักยภาพทางการตลาดสูงทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งฝ่าย การเกษตร ประจำกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ รายงานว่า กล้วยไข่ของไทยกำลังได้รับความนิยมสูงในจีนไม่ว่า
15 จะเป็นมณฑลเสฉวน มหานครฉงชิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว มณฑลเจ้อเจียง มณฑลเจียงซู และมณฑล อันฮุย ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น กล้วยน้ำนม ลักษณะลำต้น:ลำต้นเทียมมีความสูงน้อยกว่า 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านในสีเขียว มีไขมาก ใบ:ก้านใบมีครีบ ครีบมีสีชมพูเล็กน้อย เส้นกลางใบสีเขียว ก้าน ช่อดอก:เครือออกดอกขนานกับพื้นดิน ส่วนปลีห้อยลง ก้านเครือมีขน ลักษณะของใบประดับ:ปลีมีใบประดับ รูปไข่ยาว สีแดงคล้ำ ปลายแหลม มีไขปานกลาง ใบประดับม้วนขึ้น ลักษณะดอก:ดอกมีก้านดอกสั้น ผล:ขนาด ผลสั้นป้อม ปลายผลมีจุกเล็กน้อยและเกสรตัวเมียเมื่อแห้งไม่หลุดจากผล การเรียงของผลเป็นระเบียบ จำนวน หวีต่อเครือประมาณ 6 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 10 - 12 ผล ผลดิบมีสีเขียวเข้มเมื่อสุกมีสีเหลืองทอง เนื้อ:เนื้อ ผลสีเหลืองครีม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสชาติหวาน เนื้อเหนียว ไม่มีเมล็ด กล้วยไล ลักษณะลำต้น:ลำต้นเทียมสูงประมาณ 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นเทียม มากกว่า 15 เซนติเมตร สีของกาบลำต้นเทียม สีเขียวมีประดำปานกลาง ด้านในมีสีชมพูปน มีไข ปานกลาง ใบ:ก้านใบ สี เขียว เปิดกว้าง มีปีกเล็กน้อยสีเขียว เส้นก้านใบสีเขียว ก้านช่อดอก:ก้านช่อ ดอกมีขน ลักษณะของใบประดับ: ใบประดับรูปไข่ยาว มีไขน้อย สีด้านบนสีเทาปนม่วงเข้ม สี ด้านล่างสีเทาปนส้ม ปลายใบประดับแหลม ม้วนขึ้น การจัดเรียงของใบประดับ:การเรียงของใบ ประดับไม่ค่อยซ้อนกันมาก ลักษณะดอก:ดอกก้านสั้น ผล:ผลขนาด เล็ก ใกล้เคียงกับกล้วยไข่ กว้าง ประมาณ 3.4 เซนติเมตร 9.2 เซนติเมตร ผลรูปร่างป้อมกว่ากล้วยไข่ เครือ หนึ่งมีน้อยกว่า 7 หวี ๆ หนึ่งมี10 - 16 ผล เมื่อสุกสีส้มอมเหลือง เนื้อ:รสหวาน ไม่มีเมล็ด กล้วยสา ต้น ลำต้นสูง 2 - 2.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร กาบด้านนอกมีสีเขียวอ่อนมี ลายประดำ กาบด้านในมีสีเขียวอ่อนใบก้านใบยาวโคนก้านใบมีปื้นดำเล็กน้อย ตัวใบมีสีเขียวอ่อน รูปทรงใบ ยาวปลายเรียวดอกปลีสีม่วงอมแดงเข้ม ปลีเป็นรูปทรงกระบอก ยาว 15 - 17 เซนติเมตรผลเครือหนึ่งมี 5 - 7 หวี หวีหนึ่งประมาณ 10 ผล ขนาดกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 9 เซนติเมตร ลักษณะผลคล้าย กล้วยไข่ ผลเหยียดยาวตรง เนื้อผลสีครีม รสหวาน หอมการใช้ประโยชน์ ผลใช้รับประทานสด กล้วยหอม การกินกล้วยหอมยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง จึงช่วยป้องกันการเป็นโรคที่ เกี่ยวกับสมองได้ด้วยในกล้วยหอมยังถือเป็นแหล่งรวมวิตามินบีที่สูงมาก ซึ่งวิตามินบีนี้ จะช่วยในการทำงาน ของระบบประสาท และทำให้การทำงานของสมองได้สมดุล กล้วยหอมจำปา รูปไข่ค่อนข้างยาว สีด้านบน สีแดงอมม่วง สีด้านล่างสีซีดปลายสีแดง ปลายใบประดับแหลม ม้วนขึ้น การจัดเรียงของใบประดับ:การเรียงของใบประดับไม่ค่อยซ้อนกันนัก ลักษณะดอก:ดอกก้านสั้น ผล: เครือหนึ่งมี 7-10 หวี หวีหนึ่งมี 10 - 15 ผล ขนาดผลใกล้เคียงกับกล้วยหอมจันทน์ กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 8 - 10 เซนติเมตร รูปร่างผลคล้ายกล้วยไข่ แต่ผอมกว่ากล้วยไข่ ปลายผลไม่มีจุก เปลือกบาง เมื่อสุกมีสีเหลืองจำปา เนื้อ:เนื้อมีสีเหลือง รสหวาน มีเมล็ดบ้างไม่มากนัก กล้วยทองกาบดำ ต้น ลำต้นสูง 3.5 - 4.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้น 12 - 15 เซนติเมตรกาบด้านนอกมีสี เขียวอ่อน มีลายดำเล็กน้อยกาบด้านในมีสีเขียวอ่อนใบก้านใบสีเขียวอ่อนร่องใบเปิดดอกสีม่วงอมแดงลักษณะ เรียวยาว ผล เครือหนึ่งมี 5 - 7 หวี หวีหนึ่งมี 10 - 17 ผล ผลมีลักษณะยาวเรียวการใช้ประโยชน์ผลใช้ รับประทานสด กลุ่ม AAA กล้วยกลุ่มนี้มีจำนวน โครโมโซม 2n = 33 ผลจึงมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มแรก รูปร่างผลเรียวยาว มีเนื้อนุ่ม
16 รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสดเช่นกันได้แก่ กล้วยหอมทอง กล้วยนาก กล้วยครั่ง กล้วยหอมเขียว กล้วยกุ้ง เขียว กล้วยหอมแม้ว กล้วยไข่พระตะบอง กล้วยคลองจัง กล้วยหอมทอง รูปร่างยาว ปลายผลมีจุก หวีหนึ่งมี 12-16 ผล เครือหนึ่งมี 4-6 หวี เมื่อสุกเปลือกจะเปลี่ยนสีเหลืองทอง เนื้อมีสีครีม-ส้มอ่อนๆ รสหวาน และมี กลิ่นหอม ไม่มีเมล็ด กล้วยนาก เปลือกกล้วยสีออกสีนาก คือสีอมแดงค่อนข้างคล้ำ (นากเป็นโลหะผสม ระหว่างทองคำ เงินและทองแดง คนโบราณใช้ทำเข็มขัดนาก กำไลนาก) พันธุ์กล้วยนากมีกล้วยนากแดง กล้วย น้ำครั่ง กล้วยครั่ง กล้วยกุ้งแดง ผลดิบผิวเขียวอมแดงหม่น ผลสุกผิวสีนากแดง มีกลิ่นหอม รสหวาน กึ่งกล้วย ไข่กึ่งกล้วยหอม เนื้อออกสีเหลืองส้ม ชาวมอญและชาวกระเหรี่ยงน้ำมาบดป้อนลูกเด็กเล็กแดง เป็นกล้วยที่กิน กันมากในประเทศพม่ากล้วยครั่ง ต้น ลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร กาบลำต้นด้านนอกสีเขียวปนชมพูปนแดงใบ ก้านใบมีร่องกว้างสีชมพูปนแดง มีปีกเส้นกลางใบสีชมพูปนแดงแผ่นใบสีเขียวมีสีแดงเรื่อ ๆ ดอก ก้านช่อดอกสี แดง มีขน ปลีรูปไข่ ค่อนข้างยาว ปลายหลมด้านนอกสีแดงอมม่วงด้านในสีแดงซีดผลเครือหนึ่งมี 5 - 6 หวี สี ผลแดงอมม่วงเข้มจนดูสีคล้ำ ลักษณะคล้ายกล้วยนากมาก แต่ผลเล็กกว่า จำนวนผลต่อหวีมากกว่า มีผลจะไม่ สดใสเท่า เนื้อสีเหลือง กลิ่นหอม เริ่มสุกรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อสุกจะหวาน เนื้อนุ่ม กล้วยหอมเขียว กล้วยหอมเขียวมีสรรพคุณและวิธีใช้เหมือนกับกล้วยหอมทุกประการ นอกเหนือจากการ รับประทานผลสด เพียงต่างกันที่เนื้อผลของกล้วยหอมเขียวจะมีเนื้อผลนิ่มกว่า กล้วยกุ้งเขียว บางพื้นที่เรียก "กล้วยกุ้ง" ว่ากล้วยนาก กุ้งแดง ปลูกกันมากแถบภาคใต้ นิยมรับประทานเป็น ผลสุก ใบนำมาประกอบเครื่องบูชาเทวดาในงานมงคลต่างๆ ได้เป็นพืชล้มลุกในตระกูล Musa สูง 3-4 เมตร กาบด้านนอกมีสีเขียวปนแดง ด้านในสีชมพู มีปื้นแดงเป็นแถบใบ ออกเป็นใบเดี่ยว ก้านใบมีสีชมพูปนแดง ร่อง ใบเปิดค่อนข้างกว้าง พื้นมีสีเขียวเข้ม ขณะที่ท้องใบจะมีสีชมพูกล้วยหอมแม้ว มีคุณประโยชน์บำรุงร่างกาย จากภายในสู่ภายนอกเช่นเดียวกับกล้วยหอมทั่วไป คือ มีวิตามินซีแคลเซียมในปริมาณสูง ช่วยรักษากระดูก ฟันและเหงือกให้แข็งแรง กล้วยไข่พระตะบอง ต้น ลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกสีเขียว มีประดำหนา โดยเฉพาะใต้ขอบใบ ด้านในมีสีเขียวอมเหลืองใบก้านใบสี เขียวร่องใบเปิดขอบก้านใบมีสีชมพูเล็กน้อยดอก ใบประดับรูปไข่ปลายแหลม สีแดงอมม่วง ด้านในสีซีดผล เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่งมี 14 - 16 ผล ผลโตกว่ากล้วยไข่ทั่วไปก้านผลค่อนข้างสั้นผลไม่มีเหลี่ยม ปลายผลมนโค้งขึ้นเล็กน้อย เปลือกค่อนข้างหนา เนื้อด้านในสีเหลือง รสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเล็กน้อย การใช้ประโยชน์วิธีการแก้รสเปรี้ยวให้นำไปต้มทั้งเปลือกหรือนำไปทำกล้วยบวชชี กลุ่ม BB ในประเทศไทยจะมีแต่กล้วยตานีซึ่งเป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย รับประทานผล อ่อนได้ โดยนำมาใส่แกงเผ็ด ทำส้มตำ ไม่นิยมรับประทานผลแก่ เพราะมีเมล็ดมาก แต่คนไทยและคนเอเชีย ส่วนใหญ่รับประทานปลีและหยวก ไม่มีกล้วยกินได้ในกลุ่ม BB ในประเทศไทย แต่พบว่ามีที่ประเทศฟิลิปปินส์ กล้วยตานีกล้วยตานีนั้นไม่ได้มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศไทย แต่แท้จริงแล้วมีถิ่นกำเนิดมาจาก แคว้นอัสสัม ในประเทศอินเดียกล้วยตานี1เครือ จะมีทั้งหมด 8หวี และใน 1หวีก็จะมีอยู่ประมาณ 10 – 14ผล โดยลักษณะ ผลของกล้วยตานีจะมีลักษณะมีเหลี่ยม ผลป้อมและใหญ่ เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลือง รสชาติหวาน แต่คนส่วน ใหญ่นิยมกินกล้วยน้ำว้ามากกว่าเพราะกล้วยตานีนั้นมีเมล็ดอยู่เป็นจำนวนมาก
17 กลุ่ม BBB กล้วยในกลุ่มนี้เกิดจากกล้วยตานี (Musa balbisiana) เนื้อไม่ค่อยนุ่ม ประกอบด้วยแป้งมาก เมื่อสุกก็ยังมีแป้ง มากอยู่ จึงไม่ค่อยหวาน ขนาดผลใหญ่ เมื่อนำมาทำให้สุกด้วยความร้อน จะทำให้รสชาติดีขึ้น เนื้อเหนียวนุ่ม เช่น กล้วยเล็บช้างกุด กล้วยเล็บช้างกุด ต้น ลำต้นสูง 3.5 - 4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 - 20 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมี สีเขียวมีนวลไม่มีปื้นดำ ด้านในมีสีเขียวใบก้านใบมีสีเขียวเส้นกลางใบสีเขียวดอก ช่อดอกไม่มีขน ปลีค่อนข้าง ป้อมมีความกว้างมาก ปลายมน ด้านนอกมีสีแดงอมม่วง มีนวล ด้านในมีสีแดงสดใส เมื่อกาบปลีกางออกจะตั้ง ฉากกับช่อดอก ไม้ม้วนงอขึ้น กาบปลีแต่ละใบจะซ้อนกันลึกผล เครือหนึ่งมีประมาณ 8 หวีขึ้นไป หวีหนึ่งมี 14 - 18 ผล ลักษณะผลป้อมคล้ายกล้วยตานี ปลายผลมน ก้านผลยาว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง รสหวาน เนื้อมี แป้งมาก บางผลมีเมล็ด ถ้าต้มแล้วเนื้อจะแน่นเหนียวการใช้ประโยชน์ ผลใช้รับประทานสด กลุ่ม AAB กล้วยกลุ่มนี้เกิดจากการผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี เมื่อผลสุก มีรสชาติดีกว่ากล้วยกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยน้ำ กล้วยน้ำฝาด กล้วยนมสวรรค์ กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยไข่โบราณ กล้วยทองเดช กล้วยศรีนวล กล้วย ขม กล้วยนมสาว แต่มีกล้วยกลุ่ม AAB บางชนิดที่มีความคล้ายกับ ABB กล่าวคือ เนื้อจะค่อนข้างแข็ง มีแป้ง มาก เมื่อสุกเนื้อไม่นุ่ม ทั้งนี้อาจได้รับเชื้อพันธุกรรมของกล้วยป่าที่ต่าง sub species กัน จึงทำให้ลักษณะ ต่างกัน กล้วยในกลุ่มนี้เรียกว่า plantain subgroup ซึ่งจะต้องทำให้สุกโดยการต้ม ปิ้ง เผา เช่นเดียวกับกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยกล้าย กล้วยงาช้าง กล้วยนิ้วจระเข้ กล้วยหิน กล้วยพม่าแหกคุก กล้วยน้ำฝาด ต้นลำต้นสูงประมาณ 3.5 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตรกาบด้านนอกสีเขียว มีประดำเล็กน้อย ด้านในสีเขียวใบก้านใบสีเขียวอ่อน ร่องใบเปิดดอกปลีมีสีแดงอมม่วง รูปไข่ปลายแหลมเมื่อ กาบปลีเปิดม้วนงอขึ้นผลก้านเครือสีเขียวมีขน เครือหนึ่งมี 7 - 8 หวี หวีหนึ่งมี 14 - 16 ผล ผลมีเหลี่ยมชัดเจน เปลือกหนาสีเขียวอมเหลืองปลายผลมีจุกเมื่อสุกมีสีเหลืองเนื้อสีขาวอมเหลืองมีรสหวานเล็กน้อย การใช้ ประโยชน์ ผลใช้รับประทานสด กล้วยนมสวรรค์ต้น ลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตรกาบด้านนอกเขียว ด้านในสีเขียวอมเหลืองใบ ก้านใบมีสีเขียว ร่องใบเปิดดอก ปลีใหญ่รูปไข่สีแดงอมม่วง ปลายแหลมผลก้านเครือ มีขนเครือหนึ่งมี 10 - 12 หวี หวีหนึ่งมี 20 - 24 ผล ผลอ้วนกลมคล้ายกล้วยไข่ เปลือกหนาสีเขียวเข้มผลมี ขนาดปานกลาง เมื่อสุกมีสีเหลืองทองเนื้อผลมีสีเหลืองอมส้มรสหวานอมเปรี้ยวการใช้ประโยชน์ผลใช้ รับประทานสด กล้วยนิ้วมือนาง ต้น ลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 16 - 18 เซนติเมตร กาบด้าน นอกเขียว ด้านในสีเหลืองอมเขียวใบก้านใบสีเขียวร่องใบเปิดดอกปลีมีสีแดงรูปไข่เรียวแหลมปลายแหลมผล ก้านเครือมีขน เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่งมี 10 -16 ผล ผลยาว 12 -16 เซนติเมตร กว้าง 3 - 4 เซนติเมตร สุกมีสีเหลือง รสหวานเล็กน้อย การใช้ประโยชน์ ผลใช้รับประทานสด กล้วยกล้าย ผล:เครือหนึ่งมี 1-2 ช่อหรือหวี หวีหนึ่งมี 6-7 ผล เครือหนึ่งมี 12-13 ผล ผลยาวประมาณ 36 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 6.5 7.5 เซนติเมตร เรียงไม่เป็นระเบียบเช่นกล้วยชนิดอื่น ๆ ก้านผลสั้น โค้งงอ มีเหลี่ยม เปลือกค่อนข้างหนา เมื่อสุกมีสีเหลือง เช่นกล้วยน้ำว้า เนื้อ:เนื้อสีส้ม รสหวาน
18 กล้วยหิน กล้วยหิน ชื่อวิทยาศาสตร์: Musa ABB group เป็นกล้วยที่มีความสำคัญในฟิลิปปินส์ ผลขนาด กลางถึงใหญ่ ป้อมสั้น เป็นเหลี่ยม เปลือกหนา สีเหลือง เนื้อผลสีขาวครีม เนื้อละเอียด ผลมีแกนกลาง รสหวาน กล้วยพม่าแหกคุก ต้น ลำต้นสูง 2.5 - 3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตรกาบด้านนอกเขียว อ่อนมีปื้นดำ ใบ ก้านใบสีเขียวอ่อนโคนก้านใบมีปื้นดำ ฐานใบโค้งมนดอก เรียวปลายแหลมด้านนอกสีแดงอม ม่วงด้านในสีแดงเมื่อกาบปิดจะม้วนงอขึ้นผล เครือหนึ่งมี 5 - 7 หวี หวีหนึ่งมี 10 - 15 ผล ลักษณะผลคล้าย กล้วยนมหมีแต่ผิดเปลือกจะเป็นมันและไม่มีรอยแตกเนื้อผลสีขามรสหวานมีกลิ่นเล็กน้อยการใช้ประโยชน์ผลใช้ รับประทานสด กลุ่ม ABB กล้วยกลุ่มนี้เป็นลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี มีแป้งมาก ขนาดผลใหญ่ ไม่นิยมรับประทานสด เพราะ เมื่อสุกรสไม่หวานมาก บางครั้งมีรสฝาด เมื่อนำมาต้ม ปิ้ง ย่าง และเชื่อม จะทำให้รสชาติดีขึ้น ได้แก่ กล้วย หักมุกเขียว กล้วยหักมุกนวล กล้วยเปลือกหนา กล้วยส้ม กล้วยนางพญา กล้วยนมหมี กล้วยน้ำว้า สำหรับ กล้วยน้ำว้าแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามสีของเนื้อ คือ น้ำว้าแดง น้ำว้าขาว และน้ำว้าเหลือง คนไทยรับประทาน กล้วยน้ำว้า ทั้งผลสด ต้ม ปิ้ง และนำมาประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังมีกล้วยน้ำว้าดำ ซึ่งเปลือกมีสีครั่งปนดำ แต่เนื้อมีสีขาว รสชาติอร่อยคล้ายกล้วยน้ำว้าขาว สำหรับกล้วยตีบ เหมาะที่จะรับประทานผลสด เพราะเมื่อ นำไปย่าง หรือต้มจะมีรสฝาด กล้วยหักมุกเขียว มีขนาดใหญ่ เปลือกผลหนาเป็นเหลี่ยมปลายผลลีบเล็กลงก้านผลยาวเมื่อสุกจะกลายเป็นสี เหลืองอมน้ำตาล และมีนวลปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นเนื้อภายในผลมีสีส้มกลิ่นหอมกล้วยหักมุกในเครือหนึ่งๆ จะมีอยู่ประมาณ 7 หวี และในแต่ละหวีจะมีผลอยู่ประมาณ 10-16 ผล กล้วยชนิดนี้หากนำไปปิ้งไฟจะทำให้มี กลิ่นหอมน่ารับประทานยิ่งขึ้น กล้วยส้ม ต้น ลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร กาบด้านนอกเขียวมีประ ดำเล็กน้อย ด้านในสีเขียวใบ ก้านใบสีเขียว ร่องใบเปิดดอกปลีรูปร่างป้อมขนาดเล็กปลายมนด้านนอกสีแดงอม ม่วงด้านในสีแดงตลอดกาบปลีผล ก้านเครือสีเขียวมีขน เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่งมี 16 - 18 ผล ผลมี เหลี่ยมคล้ายกล้วยหักมุกเปลือกหนาสีเขียวเข้มก้านผลยาวปลายผลมีจุกใหญ่เมื่อสุกมีสีเหลืองทองเนื้อผลมีสี เหลืองอมส้มรสหวานอมเปรี้ยวการใช้ประโยชน์ผลใช้รับประทานสด กล้วยนางพญา ต้น ลำต้นสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตรกาบลำต้นด้าน นอกสีชมพูอมแดง ด้านในมีสีเขียวอมเหลืองใบ ก้านสีเขียว ร่องใบเปิด ครีบสีชมพูเล็กน้อยดอกปลีสีแดงรูปไข่ ค่อนข้างแหลม ผล เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่ง มี 10 - 16 ผล ผลมีเหลี่ยมชัดเจน ผลดิบมีสีเขียวเข้ม ก้านผลยาว เมื่อ สุกมีสีเหลืองสดใสและมีจุดประสีน้ำตาลเนื้อด้านในสีเหลืองอมส้มรสหวานการใช้ประโยชน์ผลใช้รับประทานสด ใช้ทำข้าวต้มมัดรสชาติดี กล้วยนมหมีต้น ลำต้นสูง 2 - 2.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 - 15 เซนติเมตร กาบด้านนอกเขียวอ่อน มี ประดำเล็กน้อย ใบ ก้านใบผอม สีเขียวอ่อน ฐานใบโค้งมน ดอก ผลค่อนข้างใหญ่รูปทรงเรียวปลายแหลม ด้าน นอกสีแดงอมม่วง เมื่อกาบเปิดจะม้วนงอขึ้นผล ผลมีขนาดใหญ่ ปลายผลชี้ไม่เป็นระเบียบปลายผลจะมีจุกใหญ่ ปลายมน ผลกว้าง 5 - 6 เซนติเมตร ยาว 12 - 13 เซนติเมตร ผลมักจะพบแถบลายแตกสีน้ำตาล แต่ผลสุกสี เหลือง เนื้อสีขาวแน่น รสชาติหวาน เปลือกบาง การใช้ประโยชน์ ผลใช้รับประทานสด
19 กล้วยน้ำว้า เป็นกล้วยพันธุ์หนึ่ง พัฒนามาจากลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานีบริโภคกันอย่าง แพร่หลาย ปลูกง่าย รสชาติดี กลุ่ม ABBB กล้วยในกลุ่มนี้เป็นลูกผสมเช่นกัน จึงมีแป้งมาก และมีอยู่พันธุ์เดียวคือ กล้วยเทพรส หรือกล้วยทิพรส ผลมี ขนาดใหญ่มาก บางทีมีดอกเพศผู้หรือปลี บางทีไม่มี ถ้าหากไม่มีดอกเพศผู้ จะไม่เห็นปลี และมีผลขนาดใหญ่ ถ้ามีดอกเพศผู้ ผลจะมีขนาดเล็กกว่า มีหลายหวีและหลายผล การมีปลีและไม่มีปลีนี้เกิดจากการกลายพันธุ์ แบบกลับไปกลับมาได้ ดังนั้นจะเห็นว่า ในกอเดียวกันอาจมีทั้งกล้วยเทพรสมีปลี และไม่มีปลี หรือบางครั้งมี ๒ - ๓ ปลี ในสมัยโบราณเรียกกล้วยเทพรสที่มีปลีว่า กล้วยทิพรส กล้วยเทพรสที่สุกงอมจะหวาน เมื่อนำไปต้มมี รสฝาด กล้วยเทพรส ต้น ลำต้นสูง 3.5 - 4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีปื้น ดำบ้างเล็กน้อย มีนวลตรงผิวกาบเล็กน้อย ด้านในมีสีเขียว ใบ ก้านใบมีร่องแคบ เส้นกลางใบสีเขียวดอกช่อ ดอกไม่มีขน ปลีรูปไข่ค่อนข้างป้อม ปลายมน ด้านบนมีสีแดงอมม่วงด้านล่างมีสีแดงเข้มผล เครือหนึ่งมี 5 - 7 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 11 ผล ผลใหญ่คล้ายกล้วยหักมุก กว้าง 6 - 7 เซนติเมตร ยาว 18 - 20 เซนติเมตรก้าน ผลยาว การใช้ประโยชน์ ใช้รับประทานสดและใช้แปรรูป 2.4 กาบกล้วย ชื่อพื้นเมือง : ตังหนูต้น (ชัยภูมิ, ภาคตะวันออก) กาบกล้วย (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pisonia excelsa Blume ชื่อวงศ์ : NYCTAGINACEAE ลักษณะ : ไม้ต้น กิ่งอ่อนและก้านช่อดอกมีขนสั้นๆ แต่จะร่วงไปในเวลาต่อมา ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม บางครั้ง เรียงชิดกันที่ปลายกิ่ง รูปไข่ถึงรูปรีแกมรูปขอบขนาน ช่อดอกแบบช่อแยกแขนงสั้นๆ เป็นกระจุกหรือเป็นแบบซี่ ร่ม ออกตามปลายกิ่ง ดอกเล็กมาก สีเขียวอ่อน มี 5 กลีบ ผลเรียวยาว รูปกระบอง มี 5 พู คล้ายผลมะเฟือง มี เมล็ดเดียว รูปขอบขนาน 3. กระดาษสา 3.1 ความหมายของกระดาษสา กระดาษสา เป็นกระดาษชนิดหนึ่ง ที่ทำมาจากต้นปอสา ซึ่งเป็นพืชเส้นใยในตระกูลเดียวกับหม่อนและขนุน มี หลายชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาคเหนือเรียกปอสา ภาคอีสานเรียก ปอกะสา หรือปอสา ภาค ตะวันตกเรียกหมกพี หรือหมอพี ส่วนภาคใต้เรียกปอฝ้าย เส้นใยปอสาส่วนใหญ่ได้จากเปลือกของลำต้น ใช้เป็น วัตถุดิบคุณภาพดี ทนทานไม่เปื่อยยุ่ย เก็บรักษาได้นาน 3.2 คุณลักษณะของกระดาษสา ลักษณะทั่วไป ต้องมีลักษณะเป็นแผ่น มีความเหนียวนุ่ม ไม่ขาดง่าย มีความหนาบาง ความหยาบ และความ ละเอียด สม่ำเสมอกัน ไม่มีรอยฉีกขาด ไม่มีสิ่งปนเปื้อนหรือตำหนิ และไม่มีราปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดตลอด ชิ้นงาน ลวดลายใบตองมีความประณีต วัสดุที่นำมาตกแต่งให้เป็นลวดลายเหมาะสม สะอาด ไม่มีสิ่งสกปรก ไม่ เปรอะเปื้อน สีต้องสม่ำเสมอไม่เลอะเทอะ ไม่ซีดจาง หรือหลุดหลอกยกเว้นย้อมสีด้วยเทคนิคสมัยใหม่ การ เคลือบเงาต้องเรียบสม่ำเสมอไม่เป็นเม็ด และต้องไม่ทำให้กระดาษขาดความสวยงามตามธรรมชาติหรือทำให้
20 เสียรูปทรง กรอบแตกหลุดหลอก ปริมาณความชื้นต้องไม่เกิน 15 โดยน้ำหนักขนาดให้เป็นไปตามข้อตกลง ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้เป็นฉลาก 3.3 วิธีทำกระดาษสา การเตรียมวัตถุดิบ ในขั้นตอน การเตรียมวัตถุดิบ ต้องคัดเลือกปอสาที่อ่อนและแก่แยกจากกัน นำไปแช่น้ำประมาณ 3 ชั่วโมงและไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง การแช่น้ำจะทำให้เปลือกปอสาอ่อนตัว จากนั้นนำไปใส่ภาชนะต้ม ใส่โซดาไฟ หรือน้ำด่างจากขี้เถ้า เพื่อช่วยให้โครงสร้างของเปลือกปอสาเปื่อยและแยกจากกันเร็วขึ้น ใช้โซดาไฟประมาณ 10-15% อย่าใช้มากไป เพราะอาจไปทำลายเยื่อมากเกินไป ต้มให้ได้นาน 2-3 ชั่วโมง จากนั้นเมื่อต้มเสร็จแล้ว นำปอสาล้างน้ำจนหมดด่าง ต่อมาขั้นที่ 2 การทำเป็นเยื่อ มี 2 วิธี ให้เลือก คือทุบด้วยมือ หรือใช้เครื่องตีเยื่อ ถ้าทุบด้วยมือ ใช้ปอสา หนักประมาณ 2 กิโลกรัม ต้องทุบนาน 5 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้เครื่องจะใช้เวลาประมาณ 35 นาที จากนั้นนำเยื่อไป ฟอกไม่ให้ขาวนัก แต่ถ้าชอบขาวๆต้องใช้ผงฟอกสีเข้าช่วย ขั้นตอนที่ 3 คือ การทำเป็นแผ่นกระดาษ นำเยื่อปอสาใส่ในอ่างหรือภาชนะที่เหมาะสม ใส่น้ำระดับ พอเหมาะแล้วใช้ไม้พายคนเยื่อในอ่างให้ทั่ว เพื่อให้เยื่อลอยตัวและกระจายออกจากกันสม่ำเสมอ การลอก กระดาษและตกแต่งเพิ่มเติม จากนั้นนำแม่พิมพ์สำหรับทำแผ่นกระดาษมาซ้อนเยื่อต่อไป ส่วนการทำแผ่นมีให้ เลือก 2 วิธี คือแบบตักกับแบบแตะ แบบตัก ใช้แม่พิมพ์ลักษณะเป็นตะแกรงไนลอน ขนาด 50 คูณ 60 เซนติเมตร หรือทำขนาดตามขนาดกระดาษ ที่ต้องการ ช้อนตักเยื่อเข้าหาตัว ยกตะแกรงขึ้นตรงๆแล้วเทน้ำออกไปทางด้านหน้าโดยเร็ว จะช่วยให้กระดาษมี ความสม่ำเสมอสำหรับแบบแตะ มักใช้ตะแกรงที่ทำจากผ้าใยบัวหรือผ้ามุ้งที่มีเนื้อละเอียดและใช้วิธีชั่งน้ำหนัก ของเยื่อเป็นตัวกำหนดความหนาของแผ่นกระดาษ นำเยื่อใส่ในอ่างน้ำ ใช้มือเกลี่ยกระจายเยื่อบนแผ่นให้ สม่ำเสมอ ขั้นตอนสุดท้ายลอกแผ่นกระดาษ นำตะแกรงไปตากแดดประมาณ 1-3 ชั่วโมง กระดาษสาจะแห้ง ติดกันเป็นแผ่น จึงลอกกระดาษสาออกจากแม่พิมพ์ เปลือกปอสาหนัก 1 กิโลกรัม สามารถทำกระดาษสาได้ ประมาณ 10 แผ่น
21 4. โซดาไฟ รูปที่ : 4.1 ที่มา : www.kroobannok.com 4.1 ความหมายของโซดาไฟ โซดาไฟ หรือคอสติกโซดา (อังกฤษ: caustic soda) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นิยามว่า คือ "สารประกอบชนิดหนึ่ง ชื่อ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เป็นของแข็งสีขาว ดูดความชื้นดีมาก ละลายน้ำ ได้ดี ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทำสบู่ เส้นใยเรยอน" โซดาไฟถูกใช้ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และยังใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย เช่น ในการผลิตเยื่อและกระดาษ สบู่และ ผลิตภัณฑ์ซักฟอก เคมีภัณฑ์ การทำความสะอาด โรงกลั่นน้ำมัน การใช้งานทางอุตสาหกรรมโลหะ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเส้นใยเรยอน สิ่งทอ และอื่น ๆ การใช้สารเคมีแก้ปัญหาท่ออุดตัน เวลาที่ท่อระบายน้ำทิ้งต่าง ๆ อุดตัน ส่วนใหญ่จะนึกถึง โซดาไฟ หรือ คอสติกโซดา หรือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ บางครั้งรู้จักกันในชื่อ สารเคมีผงมัน หรือ โซดาแผดเผา สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป หรือร้านขาย อุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน คุณลักษณะสารเคมีเป็นของแข็งสีขาว ไม่มีกลิ่น มีฤทธิ์เป็นด่าง ยิ่งเข้มข้นมากยิ่งมีฤทธิ์ มาก ร้อน และสามารถกัดผิวหนังให้เปื่อยยุ่ยได้ในระยะเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที ผู้คนส่วนมากอาจจะไม่รู้ถึง คุณลักษณะของสารเคมี และการทำปฏิกิริยาทางเคมีดีพอ เมื่อนำไปใช้งานจริงทำให้เกิดปัญหาติดตามมาอย่าง คาดไม่ถึง เช่น เวลาที่ท่ออุดตัน ก็จะไปซื้อโซดาไฟ มาเทใส่ลงไปในท่อที่อุดตัน (วิธีใช้งาน ควรใส่โซดาไฟใน ภาชนะที่มีน้ำอยู่ก่อน แล้วคนให้ละลายให้หมดก่อนที่จะนำไปเทใส่ท่อระบายน้ำ เพื่อกันไม่ให้โซดาไฟไปเกาะ ผนังท่อเพิ่มการอุดตันอีก) การแก้ไขปัญหาลักษณะนี้ สามารถใช้ได้กับการอุดตันบางประเภทเท่านั้นเอง เช่น การอุดตันที่เกิดจากคราบไขมัน คราบสบู่ คราบผงซักฟอก ข้อควรระวังเมื่อใช้โซดาไฟ โซดาไฟสามารถทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้อย่างเฉียบพลัน ถ้าสุดดมฝุ่นควันของสารจะทำให้ระคายเคือง ต่อระบบทางเดินหายใจ อาจเกิดปอดอักเสบ น้ำท่วมปอดได้ หากเข้าตาจะมีฤทธิ์ทำลาย ตั้งแต่ระคายเคือง หรือรุนแรงกระทั่งทำให้ตาบอดได้ หากถูกผิวหนังจะทำให้เกิดการไหม้จนเป็นแผลลึก หากรับประทานเข้าไป จะเกิดการไหม้ในปาก ลำคอ และทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หมดสติ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่ เคยได้รับสารเข้าไปทางปาก อาจมีการพัฒนากลายเป็นมะเร็งในภายหลัง 12-42 ปี หลังจากกินเข้าไป
22 การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ถ้าหายใจเข้าไปให้รีบย้ายผู้ป่วยออกมา ให้ได้รับอากาศบริสุทธิ์แล้วรีบนำส่งแพทย์ หากเข้าตารีบล้างตาด้วย น้ำอุ่นทันที โดยค่อย ๆ ให้น้ำไหลผ่านตา 30 นาที เปิดเปลือกตาไว้ พยายามอย่าให้น้ำล้างตาไหลข้างที่มี สารเคมีไหลเข้าตาข้างที่ไม่เป็นอะไรโดยเด็ดขาด เมื่อถูกผิวหนังให้รีบล้างออก โดยให้น้ำไหลผ่านบริเวณที่ถูก สารอย่างน้อย 30 นาที พร้อมกับถอดชุดและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เปื้อนสารออกแล้วรีบนำส่งแพทย์ให้เร็วที่สุด โซดาไฟกับปฏิกิริยาต่อเนื่อง แม้ว่าโซดาไฟเป็นสารไม่ติดไฟ แต่ถ้าสัมผัสกับสารบางชนิด เช่น กรดเข้มข้น หรือทำปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับ น้ำ จะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกันจนเกิดความร้อนพอเพียง และทำให้สารที่วางอยู่ใกล้สามารถติดไฟได้ การ ดับเพลิงจึงต้องดูสารที่เป็นคู่ปฏิกิริยาทางเคมี และรวมถึงการเลือกใช้เครื่องดับเพลิงให้ถูกต้องกับเหตุการณ์ 4.2 วิธีการทำโซดาไฟ โซดาไฟ หรือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) มีสถานะเป็นของแข็งสีขาวหรืออาจอยู่ในรูปของเหลวที่เป็น สารละลาย ถือเป็นสารเคมีที่มีความสำคัญมากในภาคอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งในสถานะของแข็ง และของเหลว บางครั้งเรียกกันว่า ผงมัน ส่วนในรูปสารละลายมักพบความเข้มข้น 50% โซดาไฟก้อน เป็นสถานะปกติของโซดาไฟที่อยู่ในรูปของแข็ง มีลักษณะเป็นผลึกหรือผงสีขาว มีคุณสมบัติใน การละลายน้ำได้ดี เมื่อละลายน้ำจะให้ฤทธิ์เป็นด่างแก่ ใช้มากในภาคอุตสาหกรรม และมีใช้บ้างในภาค ครัวเรือน และการเกษตร ลักษณะเฉพาะของโซดาไฟ 1. เป็นก้อนผลึกหรือผงสีขาว 2. ละลายน้ำได้ด่างแก่ 3. มวลอะตอมเท่ากับ 39.9971 กรัม/โมล 4. ความหนาแน่น 2.1 กรัม/ลบ.ซม. 5. จุดหลอมเหลวที่ 318 องศาเซลเซียส 6. จุดเดือดที่ 1390 องศาเซลเซียส 7. ความสามารถในการละลายน้ำ 111 กรัม/100 มล. ที่ 20 องศาเซลเซียส โซดาไฟเหลว เป็นผลิตภัณฑ์ของโซดาไฟที่อยู่ในรูปของเหลวที่ละลายอยู่ในตัวทำละลาย (น้ำ) มีฤทธิ์เป็นด่าง ไม่มีกลิ่น แต่สามารถเกิดไอระเหยได้ เมื่อสัมผัสจะลื่นเหมือนสบู่ พบจำหน่ายมากในปัจจุบัน ได้แก่ โซดาไฟ 32% และ50% เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้มากในภาคอุตสาหกรรม การผลิตโซเดียมไฮดรอกไซด์ 1. การผลิตจากสารละลาย NaCl หรือเกลือแกง ด้วยหลักการอิเล็กโทรไลซิสของเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ได้แก่ เมมเบรนเซลล์ (Membrane cell) และไดอะแฟรม เซลล์ (Diaphragm cell) โดยการนำเกลือมาแยกด้วยกระแสไฟฟ้ากระแสตรงทำให้เกิดก๊าซคลอรีน และ โซเดียมไอออน จากนั้นโซเดียมไอออนจะทำปฏิกิริยากับน้ำในเซลล์จนเกิดโซเดียมไฮดรอกไซด์ ก๊าซไฮโดรเจน และก๊าซคลอรีน ดังสมการ 2NaCl + H2O+2e- = H2 + 2NaOH + Cl2
23 2. การผลิตจากปูนขาว ด้วยการละลายโซดา (NaCO3) ในน้ำปูนขาว (Ca(OH)2) ที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ทำให้ได้โซเดียมไฮดร อกไซด์ และแคลเซียมคาร์บอเนต ดังสมการ NaCO3 + Ca(OH)2 = 2NaOH + CaCO3 โดยโซเดียมไฮดรอกไซด์จะระเหยตัวออก และไหลเข้าสู่ท่อเหล็กเย็นเพื่อกลั่น ซึ่งจะมีโซเดียมไฮดรอกไซด์ ประมาณ 92% 3. การผลิตจากสารประกอบเฟอร์ไรท์ สารประกอบเฟอร์ไรท์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต คือ NaO.FeO3 จากการเตรียมด้วยสารประกอบเฟอร์ไรท์กับ ผงโซดาที่อุณหภูมิ 1100 ถึง 1200 องศาเซลเซียส และเข้าสู่กระบวนการชะด้วยน้ำจนได้โซเดียมไฮดรอกไซด์ และตะกอนสารประกอบเฟอร์ไรท์ ดังสมการ NaO.FeO3 + H2O = 2NaOH + FeO3 ประโยชน์โซดาไฟ โซดาไฟสามารถใช้ในรูปของโซดาไฟก้อน และโซดาไฟเหลว ในด้านต่างๆ คือ – เป็นสารตั้งต้นในการผลิตโซดาไฟเหลว – ใช้สำหรับอุตสาหกรรมผลิตสบู่ ด้วยการทำปฏิกิริยากับไขมันเปลี่ยนเป็นสบู่ – ใช้สำหรับขจัดคราบสกปรก และสิ่งอุดตันในท่อระบายน้ำ ด้วยก้อนหรือละลายน้ำเทราดบริเวณที่มีการอุด ตันของท่อ – ใช้สำหรับปรับสภาพความเป็นกรดของน้ำให้เป็นด่าง โดยเฉพาะในระบบบำบัดน้ำเสียที่ต้องปรับความเป็น กรด-ด่างของน้ำ – ใช้สำหรับการตกตะกอนของแร่ธาตุหรือโลหะหนักในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย – ใช้ฟื้นสภาพของเรซินของระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ – ใช้ในกระบวนการฟอกย้อมไหม โดยเฉพาะขั้นตอนการลอกกาวไหมที่ต้องต้มละลายกาวไหมด้วยโซดาไฟ สำหรับการฟอกไหมในระดับครัวเรือน ชาวบ้านเรียกโซดาไฟว่า ผงมัน ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายเคมีฟอกไหม
24 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ ในการทำงานเรื่องกระดาษจากกาบกล้วย ทางขณะผู้จัดทำได้มีการดำเนินการดังนี้การดำเนินการ โครงงาน 1. วัสดุอุปกรณ์ 1.1 กาบกล้วย 1.2 หม้อ 1.3 มีด 1.4 ช้อน 1.5 ตะแกรงแม่พิมพ์ 1.6 เครื่องปั่น 1.7 โซดาไฟ 1.8 ที่กรอง 1.9 กะละมัง 2. สารเคมี 2.1 โซเดียมไฮดรอกไซด์ NaOH
25 3. ขั้นตอนการดำเนินการ 3.1 ตัดต้นกล้วยที่ตัดผลออกแล้ว 3.2 เอากาบกล้วยมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ 3.3 นำกาบกล้วยที่หั่นแล้วไปตากแดด 3.4 นำกาบกล้วยที่ตากแดดแล้วมาต้ม 3.5 ใส่โซดาไฟไปในกาบกล้วยที่ต้มอยู่ 3.6 เทกาบกล้วยที่ต้มเสร็จแล้วลงในตะแกรง 3.7 ล้างกาบกล้วยด้วยน้ำสะอาด 3.8 นำกาบกล้วยที่ล้างสะอาดแล้วมาปั่น 3.10 เทเยื่อกาบกล้วยลงในกะละมัง 3.11 นำเยื่อกาบกล้วยมาเกลี่ยลงในตะแกรง 3.12 นำตะแกรงไปตากแดดให้แห้งสนิท 3.13 ลอกกระดาษจากกาบกล้วยออกจากตะแกรง
26 บทที่ 4 ผลการดำเนินการ ตารางบันทึกผล ตารางที่ 4.1 คุณลักษณะของกระดาษจากกาบกล้วย คุณลักษณะ มาตรฐานของกระดาษ ความสวยงาม ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำในแต่ละครั้ง ความคงทน เก็บไว้ได้นาน จากตารางที่ 4.1 คุณลักษณะของกระดาษจากกาบกล้วย พบว่ามีความสวยงามขึ้นอยู่กับพื้นผิวด้วย คุณลักษณะในตัวของมันเอง มีความคงทนเก็บไว้ได้นานพอสมควร สามารถใช้แทนกระดาษสาได้ ตารางที่ 4.2 การศึกษาความพึงพอใจต่อกระดาษจากกาบกล้วย รายการ ค่าเฉลี่ย ̅ ระดับ 1. คุ้มค่า 1 พึ่งพอใจมากที่สุด 2 .สวยงาม 0.6 มาก 3. คงทน 0.8 พึ่งพอใจมากที่สุด 4. ราคาถูก 1 พึ่งพอใจมากที่สุด 5. อายุการใช้งาน 1 พึ่งพอใจมากที่สุด จากตารางที่ 4.2 การศึกษาความพึงพอใจต่อกระดาษจากกาบกล้วย พบว่าความรวมความพึงพอใจต่อกระดาษ จากกาบกล้วยอยู่ในระดับ 5พึ่งพอใจมากที่สุด โดยมีด้าน ความคุ้มค่า ราคาถูก และ อายุการใช้งาน ด้าน รองลงมา คือ ความคงทน และสุดท้าย ด้านความสวยงาม
27 บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา อภิปราย และข้อเสนอแนะ กระดาษจากกาบกล้วยได้ทำการสรุปผลและข้อเสนอแนะดังนี้ 1. สรุปผลดำเนินการ จกการศึกษาคุณลักษณะของกระดาษจากกาบกล้วยพบว่าความสวยงามของพื้นผิวขึ้นอยู่กับตัวกาบกล้วยความ ทนทานสามารถเก็บไว้ได้นานพอสมควรอีกทั้งยังสามารถใช้แทนกระดาษสาได้อีกด้วย 2. ข้อเสนอแนะ 2.1 การศึกษาเปรียบเทียบความแข็งแรงของกระดาษ 2.1 การทำกระดาษจากกาบกล้วย
28 บรรณานุกรม เขมรัตน์ แสงสุนทร.(2524).ประเภทของกล้วย.นครสวรรค์:สำนักงานกศน.จังหวัด นครสวรรค์:กศน.อำเภอบรรพตพิสัยจำกัด. มุกดา เกตมณี.(2563).กระดาษจากาบกล้วย.นครปฐม:สำนักงานโรงเรียนสามพรานวิทยา. เมดไทย.(2563).ประโยชน์ของกล้วย.กรุงเทพฯ:สำนักงานเมดไทยจำกัด.
29 ภาคผนวก
30 ที่มาของกล้วย กล้วยเป็นไม้ผลที่คนไทยรู้จักกันมานาน เนื่องจากกล้วยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคดังกล่าว จากการศึกษาพบว่า กล้วยมีวิวัฒนาการถึง 50 ล้านปี มาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไม้ผลที่มนุษย์รู้จักบริโภคเป็นอาหารกันอย่างแพร่หลาย เชื่อกันว่า กล้วยเป็นไม้ผลชนิด แรก ที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน และได้แพร่พันธุ์จากเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังดินแดนอื่นๆ ในระยะเวลาต่อมากล้วยมีการปลูกกันมากในเอเชียใต้ แม้ในปัจจุบัน ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีการปลูก กล้วยมากที่สุดในโลก และมีพันธุ์กล้วยมากมายอีกด้วย เหมาะสมกับที่มีการกล่าวกันไว้ในหนังสือของชาว อาหรับว่า "กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย" ต่อมา ได้มีหมอของจักรพรรดิโรมันแห่งกรุงโรมชื่อว่า แอนโตนิอุส มูซา (Antonius Musa) ได้นำหน่อกล้วยจากอินเดีย ไปปลูกทางตอนเหนือของอียิปต์ เมื่อประมาณ 2,000 ปี มาแล้ว หลังจากนั้น มีการแพร่ขยายพันธุ์กล้วยไปในดินแดนของแอฟริกา ที่ชาวอาหรับเข้าไปค้าขาย และ พำนักอาศัย จนกระทั่งเมื่อประมาณ ค.ศ. 965 ได้มีการกล่าวถึงกล้วยว่า ใช้ในการประกอบอาหารชนิดหนึ่ง ของชาวอาหรับ ซึ่งอร่อย และเป็นที่เลื่องลือมาก ชื่อว่า กาลาอิฟ (Kalaif ) เป็นอาหารที่ปรุงด้วยกล้วย เมล็ดอัลมอนด์ น้ำผึ้ง ผสมกับน้ำมันนัต (Nut oil) ซึ่งสกัดจากผลไม้เปลือกแข็งชนิดหนึ่ง นอกจากใช้ประกอบ อาหารแล้ว ชาวอาหรับยังใช้กล้วยทำยาอีกด้วย ชาวอาหรับเรียกกล้วยว่า "มูซา" ตามชื่อของหมอ ที่เป็นผู้นำ กล้วยเข้ามาในอียิปต์เป็นครั้งแรก ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 ชาวโปรตุเกสได้เดินเรือไปค้าขายบริเวณ ชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา และได้นำกล้วยไปแพร่พันธุ์ที่หมู่เกาะคะแนรี ซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่งตะวันตก เฉียงเหนือของทวีป หลังจากนั้น ชาวสเปนจึงได้นำกล้วยจากหมู่เกาะคะแนรีเข้าไปปลูกในหมู่เกาะอินดีส ตะวันตกในอเมริกากลาง โดยเริ่มปลูก ที่อาณานิคมซันโตโดมิงโก บนเกาะฮิสปันโยลาเป็นแห่งแรก แล้วขยาย ไปปลูกที่เกาะอื่นในเวลาต่อมา ส่งผลให้ดินแดนในอเมริกากลางมีการปลูกกล้วยเป็นพืชเศรษฐกิจกันอย่าง แพร่หลาย และนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้กลายเป็นแหล่งปลูกกล้วยส่งเป็นสินค้าออกมาก ที่สุดของโลก โดยปลูกมากในประเทศคอสตาริกา และประเทศฮอนดูรัส
31 1. ตัดต้นกล้วยที่ตัดผลออกแล้ว 2. เอากาบกล้วยมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ 3. นำกาบกล้วยที่หั่นแล้วไปตากแดด 4. นำกาบกล้วยที่ตากแดดแล้วมาต้ม 5. ใส่โซดาไฟไปในกาบกล้วยที่ต้มอยู่ 6. เทกาบกล้วยที่ต้มเสร็จแล้วลงในตะแกรง
32 7. ล้างกาบกล้วยด้วยน้ำสะอาด 8. นำกาบกล้วยที่ล้างสะอาดแล้วมาปั่น 10. เทเยื่อกาบกล้วยลงในกะละมัง 11. นำเยื่อกาบกล้วยมาเกลี่ยลงในตะแกรง 12. นำตะแกรงไปตากแดดให้แห้งสนิท 13. ลอกกระดาษจากกาบกล้วยออกจากตะแกรง