The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Chayada Sangphadung, 2021-02-14 22:25:07

chaiyapum

chaiyapum

ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวดั ชยั ภมู ิ

สมยั ก่อนกรงุ ศรีอยธุ ยา

ผนื แผ่นดนิ ไทยในอดตี เตม็ ไปดว้ ยอารยธรรมอนั สงู ส่งในนามของอาณาจกั รต่าง ๆ ท่ี

ววิ ฒั นาสบื ต่อกันมาโดยมิขาดสาย เมอื งไทย แผ่นดินไทย จงึ เป็นขุมทรพั ย์อนั มหาศาลของวงการ

นักปราชญ์ทางโบราณคดีทัว่ โลก ดินแดนท่ีเป็ นประเทศ ไทยปัจจุบันจึงกลายเป็ นแผ่นดินแห่ง

ประวตั ศิ าสตร์ และอารยธรรมทส่ี าคญั ทส่ี ดุ แหง่ หน่งึ ในเอเชยี

ซง่ึ ดนิ แดนแห่งน้ี เมอ่ื ครงั้ โน้นเรยี กว่า “ดนิ แดนสุวรรณภมู ”ิ หรอื แหลมอนิ โดจนี ก่อนทช่ี าติ

ไทยจะไดเ้ ขา้ มาตงั้ ภมู ลิ าเนานนั้ เดมิ เป็นทอ่ี ยขู่ องชน ๓ ชาติ คอื ขอม,มอญและละวา้

ก. ขอม อยทู่ างภาคตะวนั ออกของลมุ่ แมน่ ้าโขงตอนใตอ้ นั เป็นทต่ี งั้ ของ

ประเทศกมั พชู าปัจจบุ นั น้ี

ข. มอญหรือรามญั อยทู่ างตะวนั ออกของลมุ่ แมน่ ้าสาละวนิ ตลอดจนถงึ ลุม่ แมน่ ้า

อริ วดี ซง่ึ เป็นอาณาเขตของสาธารณรฐั สงั คมนยิ มแหง่ สหภาพ

พมา่ ในปัจจบุ นั

ค. ละว้า อยทู่ างลมุ่ แมน่ ้าเจา้ พระยา ซง่ึ เป็นอาณาเขตของประเทศไทย

ปัจจบุ นั อาณาเขตละวา้ แบ่งเป็น ๓ อาณาจกั ร คอื

๑.อาณาจกั รทวารวดี หรือละว้าใต้ มอี าณาเขตทางภาคกลางบรเิ วณล่มุ แมน่ ้า

เจา้ พระยาแผ่ออกไปจากชายทะเลตะวนั ตกและตะวนั ออกของอ่าวไทยซง่ึ มนี ครปฐมเป็นราชธานี

๒.อาณาจกั รยางหรือโยนกหรือละว้าเหนือ มอี าณาเขตทเ่ี ป็นภาคเหนือของประเทศ

ไทยในปัจจบุ นั มรี าชธานอี ยทู่ เ่ี มอื งเงนิ ยาง
๓. อาณาจกั รโคตรบูรณ์หรือพนม มอี าณาเขตท่เี ป็นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทย

ในปัจจบุ นั ตลอดไปจนถงึ ฝัง่ ซา้ ยแมน่ ้าโขง มเี มอื งนครพนมเป็นราชธานี

แต่ก่อนท่จี ะมคี นไทยอพยพเขา้ มานัน้ ดนิ แดนแห่งน้ีไดม้ กี ารเปลย่ี นแปลงในรปู ของผู้เขา้
ครอบครอง

ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ ขอมได้เรมิ่ แผ่อานาจเข้าไปในอาณาเขตของละว้า และ
สามารถครอบครองอาณาเขตละว้าทงั้ ๓ ได้ ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ โดยเฉพาะอาณาจกั รโคตรบูรณ์
ขอมไดร้ วมเขา้ เป็นอาณาจกั รของขอมโดยตรง

- อาณาจกั รทวารวดี ส่งคนมาเป็นอุปราชปกครอง
- อาณาจกั รยางหรอื โยนก ใหช้ าวพน้ื เมอื งปกครองตนเองแต่ตอ้ งสง่ ส่วยใหแ้ ก่ขอม
ในระยะเวลาประมาณ ๒๐๐ ปี ขอมไดแ้ ผ่ขยายศลิ ปวทิ ยาการอนั เป็นความรทู้ างศาสนา
ปรชั ญา สถาปัตยแ์ ละอารยธรรมอกี มากมาย ซง่ึ ไดร้ บั การถ่ายทอดจากอนิ เดยี และต่อมาพุทธศตวรรษ
ท่ี ๑๖ อานาจของขอมต้องเส่อื มลงดนิ แดนส่วนใหญ่ไดเ้ สยี แก่พม่าไป ซง่ึ ในเวลานนั้ พม่ามอี าณาเขตอยู่
ทางลุ่มแม่น้าอริ วดตี อนเหนือ ไดร้ กุ รานอาณาดนิ แดนของพวกมอญโดยลาดบั มา และได้สถาปนาเป็น



อาณาจกั รขน้ึ มกี ษัตรยิ ์ทรงพระนามว่า อโนระธามงั ช่อ หรอื พระเจา้ อนุรุทมหาราช ปราบได้ดนิ แดน
มอญลาวได้ทงั้ หมด แต่ภายหลงั เม่อื พระเจา้ อนุรุทสน้ิ พระชนมแ์ ลว้ พม่ากห็ มดอานาจ ขอมกไ็ ดอ้ านาจ
อกี ครงั้ หน่ึง แต่ครงั้ หลงั น้ีกเ็ ป็นความรุ่งเรอื งตอนปลาย จงึ อยไู่ ดไ้ ม่นานนัก เปิดโอกาสใหไ้ ทยซ่งึ ไดเ้ ขา้
มาตงั้ ทพั อยเู่ ขตละวา้ เหนือ โดยขยายอานาจเขา้ มาแลว้ ขบั ไลข่ อมเจา้ ของเดมิ ออกไป

จากประวตั ศิ าสตรด์ งั กล่าว อาณาจกั รทวารวดเี ป็นอาณาจกั รหน่ึงของละวา้ ซง่ึ มอี าณาเขต
อยใู่ นภาคกลางของประเทศไทย ตงั้ ขน้ึ ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ สบื ต่อมาจนกระทงั่ พุทธศตวรรษท่ี ๑๖
เมอ่ื พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ แหง่ ขอมไดแ้ ยกขยายอานาจออกมาตงั้ ลุ่มน้าเจา้ พระยา

อาณาจกั รโคตรบูรณ์หรอื พนม มอี าณาเขตอย่ใู นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือทงั้ หมด ซ่งึ มี
ความเจรญิ รงุ่ เรอื งสงู สดุ ในสมยั ขอมตอนปลาย

ถ้าอาศยั เหตุผลทางประวตั ศิ าสตรป์ ระกอบกบั ภูมศิ าสตรก์ น็ ่าจะเช่อื ว่าดนิ แดนส่วนหน่ึง
ของอาณาจกั รโคตรบรู ณ์ หรอื พนมกค็ งครอบคลมุ มาถงึ ดนิ แดนทเ่ี ป็นทต่ี งั้ ของเมอื งชยั ภมู ใิ นปัจจบุ นั

โดยศกึ ษาจากหลกั ฐานศลิ ปะวดั โบราณในจงั หวดั ชยั ภมู ิ อนั ไดแ้ ก่ใบเสมาหนิ ทรายแดงท่ี
พบทบ่ี า้ นกุดโงง้ ตาบลหนองนาแซง อาเภอเมอื ง จงั หวดั ชยั ภมู ิ ซง่ึ แกะสลกั เป็นรปู เสมาธรรมจกั ร บรรจุ
ตวั อกั ษรอนิ เดยี โบราณ (ซง่ึ ศลิ ปอนิ เดยี เองกเ็ ป็นตน้ ฉบบั ของขอม) ศลิ ปวตั ถุชน้ิ น้จี ดั อยใู่ น
"ศลิ ปทวารวด"ี นอกจากน้ียงั จะเหน็ ไดช้ ดั จากพระธาตุบ้านแก้ง หรอื พระธาตุหนองสามหม่นื เป็นพระ
ธาตุส่เี หล่ยี มจตั ุรสั กว้างประมาณ ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๒๕ เมตร ก่อด้วยอฐิ ถอื ปูนจากฐานของพระ
ธาตุขน้ึ ไปประมาณ ๑๐ เมตร ทาเป็นซมุ้ ประตูทงั้ สท่ี ศิ แต่ละทศิ จาหลกั เทวรปู ลกั ษณะเป็น
ศลิ ปทวารวดี

ปรางค์กู่ เป็นโบราณสถานท่ตี งั้ ห่างจากจงั หวดั ประมาณ ๒ กโิ ลเมตร เป็นปรางค์เก่าแก่
ก่อสรา้ งด้วยศลิ าแลง ภายในปรางคม์ พี ระพุทธรปู เป็นศลิ ปทวารวดปี ระดษิ ฐานอยู่ ดูจากศลิ ปและการ
ก่อสรา้ ง ตลอดทงั้ วตั ถุก่อสรา้ งใชศ้ ลิ าแลง สนั นษิ ฐานวา่ คงจะสรา้ งในสมยั เดยี วกนั กบั ประสาทหนิ พมิ าย

ภพู ระ เป็นภูเขาเต้ยี อย่ทู ่ตี าบลนาเสยี ว อาเภอเมอื งชยั ภูมิ ระยะห่างจากตวั จงั หวดั ๑๒
กโิ ลเมตร ตามผนังภูพระจาหลกั เป็นพระพุทธรูปใหญ่องค์หน่ึง นัง่ ขดั สมาธริ าบ พระหตั ถ์ขวาวางอย่ทู ่ี
พระเพลาพระหตั ถ์ซ้ายวางพาดอยู่ท่พี ระชงฆ์ หน้าตกั กว้าง ๕ ฟุต เรยี กว่า "พระเจ้าต้ือ" และรอบ
พระพุทธรปู มรี อยแกะทบั เป็นรปู พระสาวกอกี องคห์ น่งึ สนั นิษฐานวา่ คงจะสรา้ งในสมยั ขอมร่นุ เดยี วกบั ท่ี
สรา้ งปรางค์กู่ก็เป็นได้ พระพุทธรูปเหล่าน้ีมลี กั ษณะเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง มอี ายุระหว่างพุทธ
ศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙

พระธาตุกดุ จอก สรา้ งเป็นแบบปรางคป์ ระดษิ ฐานพระพุทธรปู สมยั ทวารวดี อยภู่ ายในตวั
ปรางคส์ รา้ งในสมยั ขอมเช่นกนั อาศยั จากหลกั ฐานต่าง ๆ ประวตั ศิ าสตรป์ ระกอบกบั ทางดา้ นภูมศิ าสตร์
กน็ ่าจะเชอ่ื ว่า เมอื งชยั ภูมใิ นปัจจบุ นั เป็นเมอื งทข่ี อมสรา้ งขน้ึ รว่ มสมยั เดยี วกนั กบั ลพบุร,ี พมิ าย แต่ขอม
จะสรา้ งช่อื เม่อื ใดหรอื ศกั ราชใดนนั้ หาหลกั ฐานทป่ี รากฏแน่ชดั ไมไ่ ด้ นอกจากจะสนั นษิ ฐานว่าสรา้ งขน้ึ ใน
สมยั ขอมมอี านาจเขา้ ครอบครองในเขตลาว โดยอาศยั หลกั โบราณคดวี นิ ิจฉยั เปรยี บเทยี บตลอดจน



ศลิ ปการก่อสรา้ งเทวรปู ศลิ ปกรรมเป็นตน้ ว่าการแกะสลกั ตามฝาผนงั ตามปรางคก์ ู่มสี ่วนคลา้ ยคลงึ กบั
ประสาทหนิ พมิ ายมากและอย่ใู นบรเิ วณทร่ี าบสูงโคราชดว้ ยกนั ระยะทางระหว่างประสาทหนิ พมิ ายกบั
ปรางคก์ ู่ ชยั ภมู หิ า่ งกนั ประมาณ ๑๐๐ กโิ ลเมตรเศษ ๆ เท่านนั้

เมอ่ื อนุมานดูแลว้ เมอื งชยั ภมู ปิ ัจจบุ นั เป็นเมอื งทอ่ี ยใู่ นอทิ ธพิ ลของขอมมาก่อนและสรา้ งใน
สมยั เดยี วหรอื รนุ่ เดยี วกนั กบั เมอื งพมิ ายหรอื ประสาทหนิ พมิ ายดงั หลกั ฐานปรากฏขา้ งตน้

สมยั อยธุ ยา

ในรชั สมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑ ซง่ึ ในสมยั น้ีเองเป็น
ครงั้ แรกทเ่ี มอื งเวยี งจนั ทน์ไดม้ าขอเป็นเมอื งขน้ึ ของกรงุ ศรอี ยธุ ยา หลงั จากทางกรงุ ศรอี ยธุ ยาไดร้ บั เมอื ง
เวยี งจนั ทน์เขา้ เป็นเมอื งขน้ึ แลว้ ชาวเมอื งเวยี งจนั ทน์ก็ไดอ้ พยพเขา้ มาประกอบอาชพี ตดิ ต่อกบั กรุงศรี
อยุธยามากขน้ึ เรอ่ื ย ๆ การเดนิ ทางจากเวยี งจนั ทน์เขา้ มายงั อยธุ ยาเสน้ ทางกผ็ ่านพน้ื ทข่ี องเมอื งชยั ภูมิ
ปัจจบุ นั ขา้ มลาชี ขา้ มช่องเขาสามหมด(สามหมอ) ชาวเวยี งจนั ทน์ทอ่ี พยพเดนิ ทางผ่านไปผ่านมา เหน็
ทาเลแห่งน้ีเป็นทาเลดีเหมาะในการเพาะปลูกทาไร่ ทานา จงึ ได้พากันเข้ามาตงั้ ถน่ิ ฐานทามาหากิน
เน่อื งจากความอุดมสมบูรณ์ของพน้ื ทต่ี ลอดทงั้ ผเู้ ขา้ มาอยอู่ าศยั ในแถบน้ีมแี ต่ความสนั ตสิ ขุ สงบเรยี บรอ้ ย
ดนิ แดนแห่งน้ีจงึ ถูกขนานนามว่า "ชยั ภูม"ิ เรม่ิ สรา้ งบ้านเรอื นอย่กู นั เป็นหลกั แหล่ง ผู้อพยพส่วนใหญ่
อาศยั อยหู่ นาแน่นตามลุ่มลาชี ตามบงึ ตามหนองน้าต่าง ๆ เม่อื มคี นเพมิ่ จานวนมากขน้ึ กต็ งั้ เป็นหมบู่ า้ น
โดยใชช้ ่อื หมู่บ้านตามลกั ษณะท่ตี งั้ เช่นบ้านอย่รู มิ ฝัง่ ชกี ็ตงั้ ช่อื ว่าบ้านลุ่มลาชี ถ้าใกล้หนองน้าก็ตงั้ ช่อื
บา้ นตามหนองน้านนั้ เช่น บา้ นหนองนาแซง บา้ นหนองหลอด ฯลฯ

ชาวพ้นื เมอื งชยั ภูมไิ ด้รบั สบื ทอดอารยธรรมต่าง ๆ จากบรรพบุรุษเหล่าน้ี เช่น ทางดา้ น
ภาษาพดู ภาษาเขยี น (ตวั หนังสอื ทเ่ี ขยี นใส่ใบลานหรอื หนังสอื ผกู ) วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณี
และวฒั นธรรมอ่นื ๆ ซง่ึ ถอื เป็นเอกลกั ษณ์ของชาวชยั ภมู ิ

เม่อื มคี นอยู่ในแดนน้ีมากขน้ึ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช จงึ ได้โปรดให้เมอื งชยั ภูมขิ น้ึ
ตรงต่อเมอื งนครราชสมี า เพราะอยใู่ กลก้ ว่าและสะดวกในการปกครองดแู ล ตงั้ แต่นนั้ มาเป็นอนั ว่าเมอื ง
ชยั ภมู ิ อยใู่ นความปกครองของเมอื งนครราชสมี า ตลอดมา

สมยั กรงุ ธนบรุ ี

หลงั จากกรุงศรอี ยุธยา เสยี เอกราชแก่พมา่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าทาลายลา้ งผลาญโดยท่ี
ต้องการจะมใิ ห้ไทยตงั้ ตวั ขน้ึ อีก ได้รบิ ทรพั ย์จบั เชลย เผาผลาญทาลายปราสาทราชมณเฑยี ร วดั วา
อารามตลอดจนบา้ นเมอื งของราษฎรครงั้ นัน้ พมา่ ได้กวาดตอ้ นผคู้ นไปเป็นเชลยประมาณ ๓๑,๐๐๐ คน
กรงุ ศรอี ยธุ ยาเกอื บจะไมม่ อี ะไรเหลอื อยเู่ ลย นอกจากซากสลกั หกั พงั สภาพเหมอื นเมอื งรา้ ง อยธุ ยาเมอื ง
หลวงของไทย ซง่ึ เคยรงุ่ เรอื งมาหลายรอ้ ยปีมกี ษตั รยิ ป์ กครองตดิ ต่อกนั มาถงึ ๓๔ พระองค์ ต้องมาเสยี
แก่พมา่ กเ็ พราะการทค่ี นไทยแตกความสามคั คกี นั เองแต่กรงุ ศรอี ยธุ ยากย็ งั ไมส่ น้ิ คนดี คอื สมเดจ็ พระเจา้
ตากสนิ มหาราช ไดพ้ าสมคั รพรรคพวกยกออกจากรุงศรอี ยุธยา ไปรวมกาลงั อย่ทู ่เี มอื งจนั ทบุรมี อี าณา
เขตตลอดบรเิ วณหวั เมอื งชายทะเลดา้ นตะวนั ออกต่อแดนกมั พชู า จนถงึ เมอื งชลบุรี ซง่ึ ขณะนนั้ หวั เมอื ง



ต่าง ๆ ท่มี ไิ ด้ถูกกองทพั พมา่ ย่ายี มกี าลงั คน กาลงั อาวุธ กถ็ อื โอกาสตงั้ ตวั เป็นอสิ ระ เป็นชุมชนต่าง ๆ
ขน้ึ และหวงั ทจ่ี ะเป็นใหญ่ในเมอื งไทยต่อไป

ชุมนุมท่ีสาคญั มี ๕ ชมุ นุม คือ
๑. ชมุ นุมเจา้ พระยาพษิ ณุโลก (เรอื ง) อาณาเขตตงั้ แต่เมอื งพชิ ยั ลงมาจนถงึ เมอื ง
นครสวรรค์
๒. ชมุ นุมเจา้ พระฝาง (เรอื น) อาณาเขตตงั้ แต่เมอื งเหนอื พชิ ยั ถงึ เมอื งแพร่ เมอื งน่านและ
เมอื งหลวงพระบาง
๓. ชมุ นุมเจา้ นครศรธี รรมราช มอี าณาเขตตอนใตต้ ่อแดนมลายขู น้ึ มาถงึ เมอื งชุมพร
๔. ชมุ นุมเจา้ พมิ ายหรอื กรมหม่นื เทพพพิ ธิ โอรสสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ เมอ่ื กรงุ ศรี
อยุธยาเสยี แก่พม่า พระพมิ ายเจา้ เมอื งถอื ราชตระกูลและมคี วามจงรกั ภกั ดตี ่อราชวงศ์จงึ ยกกรมหม่นื
เทพพพิ ธิ ขน้ึ เป็นใหญ่ ณ เมอื งพมิ าย ชุมนุมน้ีมอี าณาเขตบรเิ วณหวั เมอื งดา้ นตะวนั ออกเฉียงเหนือจด
แดนลานชา้ ง กมั พชู า ตลอดลงมาจนถงึ สระบรุ ี
ดจู ากอาณาเขตของชุมนุมพมิ ายในสมยั น้แี ลว้ ครอบคลมุ เมอื งนครราชสมี าและเมอื งชยั ภูมิ
ด้วย เม่อื เหตุการณ์เป็นเช่นน้ีเมอื งต่าง ๆ ท่อี ยู่ในอาณาบรเิ วณน้ีก็ตกอยู่ในอานาจของกรมหม่นื เทพ
พพิ ธิ แห่งชุมนุมพมิ าย
๕. ชมุ นุมพระยาตาก ตงั้ ตวั เป็นใหญ่อยทู่ เ่ี มอื งจนั ทบุรี มอี าณาเขตตงั้ แต่แดนกรงุ กมั พชู า
ลงมาจนถงึ ชลบรุ ี
พ.ศ. ๒๓๑๑ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ไดย้ กทพั มาปราบชุมนุมพมิ ายไดส้ าเรจ็ และ
ใหข้ น้ึ ต่อเมอื งนครราชสมี าตามเดมิ และในช่วง ๑๕ ปี ของสมยั ธนบุรี ประวตั เิ มอื งชยั ภูมไิ ม่ได้กล่าวไว้
เลย แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในเขตเมอื งพมิ ายและเมอื งนครราชสมี ากร็ วมอยเู่ ขตเมอื งชยั ภมู แิ ละ
การปกครองก็มรี ูปแบบเหมอื นสมยั อยุธยาตอนปลาย เพราะฉะนัน้ เมอื งชยั ภูมกิ ็ยงั ข้นึ ตรงต่อเมอื ง
นครราชสมี า เชน่ เดมิ ตลอดรชั สมยั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช

สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์

เดมิ ทอ้ งทช่ี ยั ภมู ิ มผี คู้ นอาศยั มากพอควร กระจดั กระจายอาศยั อยตู่ ามแหล่งทม่ี คี วามอุดม
สมบูรณ์ อย่ใู นความปกครองของเมอื งนครราชสมี า ยงั ไม่มหี ลกั ฐานแน่ชดั ว่าในสมยั น้ีใครเป็นผนู้ าหรอื
เป็นเจา้ เมอื งชยั ภูมิ อาจจะเป็นเพราะในเขตน้ีผคู้ นยงั น้อย ยงั ไม่รวมตวั กนั เป็นกล่มุ กอ้ นจงึ ยงั ไม่สมควร
ทจ่ี ะแต่งตงั้ ใครมาปกครองเป็นทางการได้

ประมาณ พ.ศ. ๒๓๖๐ ได้มขี ุนนางชาวเวยี งจนั ทน์คนหน่ึงมนี ามว่า อ้ายแล (แล) ตาม
ประวตั เิ ดมิ มตี าแหน่งเป็นพ่เี ลย้ี งราชบุตรเจา้ อนุเวยี งจนั ทน์ ไดล้ าออกจากหน้าท่แี ล้วอพยพครอบครวั
และไพรพ่ ลชาวเมอื งเวยี งจนั ทน์ขา้ มแม่น้าโขง เลอื กหาภูมลิ าเนาทเ่ี หมาะเพ่อื ตงั้ หลกั แหล่งทามาหากนิ
ขนั้ แรกตงั้ ถน่ิ ฐานอยทู่ บ่ี า้ น "น้าขนุ่ หนองอจี าน" (ปัจจบุ นั อยใู่ นทอ้ งทอ่ี าเภอสงู เนิน จงั หวดั นครราชสมี า)



ต่อมาไดอ้ พยพมาอย่ทู ่ี "โนนน้าอ้อม" (ทุกวนั น้ีชาวบ้านเรยี กบา้ นชลี อง) โดยมนี ้าลอ้ มรอบจรงิ ๆ โนน

น้าอ้อมอยู่ระหว่างบ้านขเ้ี หลก็ ใหญ่กบั บ้านหนองนาแซงกับบ้านโนนกอกห่างจากศาลากลางจงั หวดั

ชยั ภูมิ ประมาณ ๖ กโิ ลเมตร และได้ตงั้ หลกั ฐานมนั่ คง เม่อื พ.ศ. ๒๓๖๒ คงใช้ช่อื เมอื งตามเดมิ คอื

เรยี กว่าเมอื งชยั ภูมิ (เวลานัน้ เขยี นเป็นไชยภูม)ิ นายแลได้นาพวกพ้องทนุบารุงบ้านเมอื งนัน้ จนเจรญิ

เป็นปึกแผ่น เป็นชยั ภูมทิ าเลทเ่ี หมาะแก่การทามาหากนิ ผูค้ นในถน่ิ ต่าง ๆ จงึ พากนั อพยพมาอย่ดู ้วย

เป็นจานวนมาก ถงึ ๑๓ หมบู่ า้ น คอื

๑. บา้ นสามพนั ๒. บา้ นบ่งุ คลา้

๓. บา้ นกุดตุม้ ๔. บา้ นบอ่ หลุบ (ขา้ ง ๆ บา้ นโพนทอง)

๕. บา้ นบอ่ แก ๖. บา้ นนาเสยี ว (บา้ นเสย้ี ว)

๗. บา้ นโนนโพธิ ์ ๘. บา้ นโพธนิ ์ ้าลอ้ ม

๙. บา้ นโพธหิ ์ ญา้ ๑๐.บา้ นหนองใหญ่

๑๑.บา้ นหลุบโพธิ ์ ๑๒.บา้ นกุดไผ่ (บา้ นตลาดแรง้ )

๑๓.บา้ นโนนไพหญา้ (บา้ นรา้ งขา้ ง ๆ บา้ นเมอื งน้อย)

นายแลได้เก็บส่วยผ้าขาวจากชายฉกรรจ์ ประมาณ ๖๐ คน ในหมู่บ้านเหล่านั้นไป

บรรณาการแก่เจา้ อนุเวยี งจนั ทน์ เจา้ อนุเวยี งจนั ทน์จงึ ไดป้ นู บาเหน็จความชอบตงั้ ใหน้ ายแลเป็นท่ี

"ขนุ ภกั ดชี ุมพล" ซง่ึ เป็นตาแหน่งระดบั หวั หน้าคุมหมบู่ า้ นขน้ึ กบั เวยี งจนั ทน์

ในปี พ.ศ. ๒๓๖๕ ขุนภกั ดชี ุมพล(แล) เห็นว่าบ้านโนนน้าอ้อม (ชลี อง) ไม่เหมาะเพราะ

บรเิ วณคบั แคบและอดน้า (น้าสกปรก) จงึ ย้ายเมอื งชยั ภูมมิ าตงั้ ท่แี ห่งหน่ึงระหว่างหนองปลาเฒ่ากบั

หนองหลอดต่อกนั (หา่ งจากศาลากลางจงั หวดั เวลาน้ปี ระมาณ ๒ กโิ ลเมตร) และใหช้ อ่ื บา้ นใหมน่ ้วี ่า

"บา้ นหลวง"

พ.ศ. ๒๓๖๖ ท่บี า้ นหลวงน้ีไดม้ คี นอพยพมาตงั้ ถนิ่ ฐานหนาแน่นขน้ึ อกี มชี ายฉกรรจ์ ๖๖๐

คนเศษ ขนุ ภกั ดชี ุมพล (แล) ไปพบบ่อทองคาทบ่ี รเิ วณเชงิ เขาภขู เ้ี ถา้ ทล่ี าหว้ ยซาดเรยี กวา่ "บอ่ โขโล"

ซง่ึ อย่ทู างทศิ ตะวนั ออกของภูเขาพญาฝ่ อ (พระยาพ่อ) อย่ใู นทอ้ งท่จี งั หวดั เพชรบูรณ์ จงึ ไดเ้ กณฑช์ าย

ฉกรรจท์ งั้ ปวงไปช่วยเก็บหาทอง มคี รงั้ หน่ึงทข่ี ดุ ร่อนทองอยฝู่ ัง่ แมน่ ้าลาห้วยซาด ได้พบทองก้อนหน่ึง

กลง้ิ โขโ่ ล่ ทุกวนั น้ีเสยี งเพย้ี นมาเป็นบ่อโขโหล หรอื บ่อโขะโหละ อย่ใู นเขตอาเภอหนองบัวแดง (ภาชนะ

ทน่ี ายแลและลกู น้องใชร้ ่อนทองคานนั้ เป็นภาชนะไมร้ ปู คลา้ ยงอบจบั ทาสวน ชาวบา้ นเรยี กวา่ "บา้ ง" หา

ไดง้ า่ ยในจงั หวดั ชยั ภมู )ิ

นายแลได้นาทองก้อนโข่โล่นัน้ ไปถวายเจ้าอนุเวยี งจนั ทน์ ได้รบั บาเหน็จความชอบคือ

ไดร้ บั การแต่งตงั้ ใหเ้ ป็นเจา้ เมอื งไชยภมู ิ

ในเวลานัน้ เมอื งต่าง ๆ ท่อี ยู่ใกล้เมอื งชยั ภูมเิ ช่นเมอื งส่มี ุม เมอื งเกษตรสมบูรณ์ เมอื งภู

เขยี ว ไดข้ น้ึ ตรงต่อเมอื งนครราชสมี าและกรงุ เทพมหานครหมดแลว้ ดว้ ยเกรงพระบรมเดชานุภาพ

ขนุ ภกั ดชี ุมพลจงึ หนั มาขน้ึ ตรงต่อเมอื งนครราชสมี าและสง่ สว่ ยใหก้ รงุ เทพฯ แต่บดั นนั้ มา

พ.ศ. ๒๓๖๙ เจา้ อนุวงศเ์ วยี งจนั ทรเ์ ป็นขบถยดึ เมอื งนครราชสมี ากวาดตอ้ นผคู้ นไปเมอื ง



เวยี งจนั ทน์ เมอ่ื ถงึ ทุ่งสมั ฤทธิ ์คุณหญงิ โมภรรยาเจา้ เมอื งนครราชสมี าไดค้ มุ คนลุกขน้ึ ต่อสูก้ บั ทหารของ
เจา้ อนุวงศ์ นายแลเจา้ เมอื งชยั ภูมพิ รอ้ มด้วยเจา้ เมอื งใกลเ้ คยี งได้ยกทพั ออกไปสมทบกบั คุณหญงิ โมตี
กระหนาบทพั เจา้ อนุวงศเ์ วยี งจนั ทน์แตกพา่ ยไป

ฝ่ายทหารลาวทล่ี ่าถอยแตกพ่าย มคี วามแคน้ นายแลมากทเ่ี อาใจออกหา่ งมาเขา้ กบั ไทย จงึ
ยกพวกทเ่ี หลอื เขา้ จบั ตวั นายแลทเ่ี มอื งชยั ภูมิ เกลย้ี กล่อมใหเ้ ป็นพวกตน แต่นายแลไมย่ อมจงึ ถูกจบั ฆ่า
เสยี ทใ่ี ตต้ น้ มะขามใหญ่รมิ หนองปลาเฒา่ ซง่ึ ประชาชนได้สรา้ งศาลไวเ้ ป็นทส่ี กั การะจนปัจจุบนั

เม่อื พระยาภกั ดีชุมพล (แล) เจ้าเมอื งชยั ภูมถิ ึงแก่อนิจกรรมบ้านเมืองเกิดระส่าระสาย
เพราะขาดหวั หน้าปกครอง ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๗๕ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรง
โปรดเกล้า ฯ ให้นายเกต มาเป็นเจ้าเมอื งชยั ภูมิ โดยตงั้ ให้มบี รรดาศกั ดเิ ์ ป็นพระภกั ดชี ุมพล นายเกต
เดิมเป็ นชาวอยุธยา บ้านอยู่คลองสายบัวกรุงเก่า ตามประวัติเดิมว่าเป็ นนักเทศน์ เคยเข้าเฝ้ า
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ได้พจิ ารณาเหน็ ว่าท่ตี งั้ เมอื งชยั ภูมไิ ม่เหมาะสม จงึ ได้ยา้ ยเมอื งจากทต่ี งั้
เดมิ มาตงั้ อย่ทู ่ี "บา้ นโนนปอปิด" (คอื บา้ นหนองบวั เมอื งเก่าปัจจุบนั ) และไดเ้ กบ็ ส่วยทองคาส่งกรงุ เทพฯ
เป็นบรรณาการ พระภกั ดชี ุมพล (เกต) รบั ราชการสนองพระเดชพระคุณเรยี บรอ้ ยมาเป็นเวลา ๑๕ ปี ก็
ถงึ แก่อนิจกรรม

พ.ศ. ๒๓๘๘ พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตงั้ ให้หลวง
ปลดั (เบ้ยี ว) รบั ราชการในตาแหน่งเจา้ เมอื งได้ ๑๘ ปี กถ็ ึงอนิจกรรม ลาดบั ต่อมาเกดิ ขา้ วยากหมาก
แพง ผคู้ นเกดิ ระส่าระสาย อพยพแยกยา้ ยไปหากนิ ในทต่ี ่าง ๆ เป็นจานวนมาก

เม่ือ พ.ศ. ๒๔๐๖ พระยากาแหงสงคราม (เมฆ) ผู้ว่าราชการเมืองนครราชสีมาได้ส่ง
กรมการเมอื งออกไปสอบสวนดูว่า มขี ้าราชการเมอื งไชยภูมคิ นใดบ้างท่มี เี ช้อื สายเจา้ เมอื งเก่า ก็ได้
ความวา่ มอี ยู่ ๓ คน คอื

๑. หลวงวเิ ศษภกั ดี (ท)ิ บุตรพระยาภกั ดชี ุมพล (แล)
๒. หลวงยกบตั ร (บุญจนั ทร)์ บุตรพระภกั ดชี มุ พล (เกต)
๓. หลวงขจรนพคุณบตุ รพระภกั ดชี มุ พล (เบย้ี ว)
พระยากาแหงสงคราม (เมฆ) จงึ ไดห้ าตวั กรมการทงั้ สามดงั กล่าวนาเขา้ เฝ้าพระบาท
สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เพอ่ื ทรงพจิ ารณาหาตวั ผเู้ หมาะสมตาแหน่งเจา้ เมอื งชยั ภมู ิ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ลวงวเิ ศษภกั ดี (ท)ิ เป็นพระ
ภกั ดชี ุมพลตาแหน่งเจ้าเมอื งชยั ภูมิ หลวงยกบตั รเป็นหลวงปลดั หลวงขจรนพคุณเป็นหลวงยกบตั ร
แลว้ ใหป้ ่าวรอ้ งใหร้ าษฎรทอ่ี พยพโยกยา้ ยไปอยทู่ อ่ี ่นื กลบั ภมู ลิ าเนาเดมิ
ในสมยั พระภกั ดชี ุมพล (ท)ิ เป็นเจา้ เมอื งนัน้ พจิ ารณาเหน็ ว่าบา้ นหนิ ตงั้ มที าเลกว้างขวาง
เป็นชยั ภูมดิ ี จงึ ยา้ ยตวั เมอื งจากบา้ นโนนปอปิด มาตงั้ เมอื งใหมท่ ่บี ้านหนิ ตงั้ และมาอย่จู นทุกวนั น้ี พระ
ภกั ดชี มุ พล (ท)ิ รบั ราชการสนองพระเดชพระคุณมาดว้ ยดเี ป็นเวลา ๑๒ ปี กถ็ งึ แก่อนจิ กรรม
พ.ศ. ๒๔๑๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ตงั้ หลวงปลดั (บุญจนั ทน์) บุตรพระภกั ดชี ุมพล
(เกต) เป็นพระภกั ดชี ุมพล ตาแหน่งเจา้ เมอื งไชยภูมสิ บื ต่อมา ในระยะเวลาน้ีการส่งส่วยเงนิ ยงั ค้างอยู่



มาก จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เก็บส่งลดลงกว่าเดมิ เป็นคนละ ๔ บาท พระภกั ดชี ุมพล (บุญ
จนั ทร)์ รบั ราชการสนองพระเดชพระคณุ มาดว้ ยความเรยี บรอ้ ย ๑๓ ปี กถ็ งึ แก่อนจิ กรรม

พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ลวงภกั ดสี ุนทร (เสง) บุตรหลวงขจรนพคุณ
เป็นพระภกั ดชี ุมพล ตาแหน่งเจา้ เมอื งไชยภูมสิ บื ต่อมา และไดอ้ อกจากราชการเพราะชราภาพ รบั เบย้ี
หวดั ปีละ ๑ ชงั่
.

การจดั รปู การปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล

ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระหฤทยั (บวั ) มาดารงตาแหน่งเจา้
เมอื งชยั ภูมิ ไดเ้ ปลย่ี นเขตเมอื งชยั ภูมเิ สยี ใหม่ โดยยกท้องท่ีเมอื งสม่ี ุม (ปัจจุบนั คอื อาเภอจตั ุรสั เหตุท่ี
เรยี กเมอื งสม่ี ุมเพราะเรยี กตามช่อื สระสเ่ี หล่ยี ม) เมอื งบาเหน็จณรงค์ เมอื งภูเขยี ว เมอื งเกษตรสมบูรณ์
ซง่ึ เดมิ ขน้ึ ตรงต่อเมอื งนครราชสมี าใหย้ บุ เป็นอาเภอขน้ึ ต่อเมอื งชยั ภมู ิ เมอ่ื รวมทงั้ อาเภอเมอื งชยั ภมู ดิ ว้ ย
เป็น ๕ อาเภอ พระหฤทยั (บวั ) จดั การบา้ นเมอื งอยู่ ๔ ปีเศษ เม่อื ราชการบา้ นเมอื งเรยี บรอ้ ยแลว้ โปรด
เกลา้ ฯ ใหก้ ลบั กรงุ เทพฯ

ต่อมาไดม้ พี ระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บแบ่งเขตหวั เมอื งต่าง ๆ ใหมเ่ ป็นมณฑลเป็นจงั หวดั เมอื ง
ชยั ภูมเิ ป็นจงั หวดั หน่ึงอยู่ในเขตมณฑลนครราชสมี า ต่อมาได้มพี ระราชบญั ญัติแบ่งเขตการปกครอง
แผ่นดนิ ใหย้ บุ มณฑลทงั้ หมดเป็นจงั หวดั เมอื งชยั ภมู เิ ป็นจงั หวดั หน่งึ ซง่ึ มเี จา้ เมอื งหรอื ขา้ หลวง หรอื
ผวู้ ่าราชการรบั ผดิ ชอบในการบรหิ ารแผน่ ดนิ จนถงึ ปัจจบุ นั น้ี

การจดั รปู การปกครองในสมยั ปัจจบุ นั

การปรบั ปรุงระเบยี บการปกครองหวั เมอื ง เม่อื มกี ารเปล่ยี นแปลงการปกครองประเทศมา
เป็นระบอบประชาธปิ ไตยนัน้ ปรากฏตามพระราชบญั ญัติระเบยี บบรหิ ารราชการแห่งราชอาณาจกั ร
สยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จดั ระเบยี บราชการบรหิ ารส่วนภูมภิ าคออกเป็นจงั หวดั อาเภอจงั หวดั มฐี านะเป็น
หน่วยบรหิ ารราชการแผ่นดิน มขี ้าหลวงประจาจงั หวัดและกรมการจงั หวดั เป็นผู้บริหารเม่อื ก่อน
เปลย่ี นแปลงการปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจงั หวดั และอาเภอแลว้ ยงั แบ่งเขต
การปกครองออกเป็นมณฑลด้วย เม่อื ได้มปี ระกาศใช้พระราชบญั ญัติระเบียบราชการบรหิ ารแห่ง
ราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จงึ ได้ยกเลกิ มณฑลเสยี สาเหตุท่ยี กเลกิ ก็เน่ืองจากการคมนาคม
สะดวกขน้ึ การส่อื สารรวดเรว็ เพ่อื เป็นการประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยของแผ่นดนิ และรฐั บาลม่งุ กระจายอานาจ
ไปส่สู ่วนภมู ภิ าคมากขน้ึ

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รฐั บาลไดอ้ อกพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผ่นดนิ อกี
ฉบบั หน่ึง ในส่วนทเ่ี กย่ี วกบั จงั หวดั มหี ลกั การเปลย่ี นแปลงไปจากเดิมคอื ใหจ้ งั หวดั มฐี านะเป็นนิตบิ ุคคล
อานาจบรหิ ารในจงั หวดั ได้เปล่ยี นมาอยู่กับคน ๆ เดียว คือ ผู้ว่าราชการจงั หวดั โดยมคี ณะกรมการ
จงั หวดั เป็นทป่ี รกึ ษา



และได้มีการแก้ไขปรบั ปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดิน ตามนัย
ประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบับท่ี ๒๑๘ ลงวนั ท่ี ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยจดั ระเบียบบรหิ าร
ราชการส่วนภมู ภิ าค เป็น

๑. จงั หวดั
๒. อาเภอ
จงั หวดั นนั้ ใหร้ วมทอ้ งทห่ี ลาย ๆ อาเภอขน้ึ เป็นจงั หวดั มฐี านะเป็นนติ บิ คุ คล การตงั้ ยบุ และ
เปลย่ี นแปลงเขตจงั หวดั ใหต้ ราเป็นพระราชบญั ญตั แิ ละใหม้ คี ณะกรรมการจงั หวดั เป็นทป่ี รกึ ษาของผู้ว่า
ราชการจงั หวดั ในการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ในจงั หวดั นนั้ ๆ

ทม่ี า : ประวตั ิมหาดไทยส่วนภมู ิภาคจงั หวดั ชยั ภมู ิ. กทม : หา้ งหนุ้ สว่ นจากดั มติ รเจรญิ การพมิ พ์, ๒๕๒๖.


Click to View FlipBook Version