The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookitc.dpt, 2023-09-17 23:20:55

ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

Keywords: km

องค์ความรู้ตามภารกิจ ด้านการผังเมือง ดำเนินการจัดทำองค์ความรู้ของกรมโยธาธิการและผังเมือง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาเมือง โทรศัพท์ 0 2299 4621 โทรสาร 0 2299 4628 สงวนลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม การดำเนินการใดๆ ไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ ต้องได้รับอนุญาต


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า ก การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ คำนำ ศาสตร์พระราชา คือ หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงยึดหลักผลประโยชน์ของปวงชน และพัฒนาคนเป็นสำคัญ นับเป็นกระบวนการทำงาน แบบบูรณาการ และสร้างสรรค์นวัตกรรมจากความเข้าใจ ศึกษาผู้คนด้วยการสังเกตและใช้เป็นแนวทาง ในการแก้ไขปัญหา เพื่อจะเป็นการสืบสานพระราชปณิธาน ตามหลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ที่ใช้ทรงงาน ผ่านโครงการพระราชดำริหลาย ๆ โครงการ และด้วยพระอัจฉริยภาพในการขจัดความทุกข์ร้อนของราษฎร ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลที่สะท้อนผ่านการบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร ตามแนวพระราชดำริ “จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ” โดยมีการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมตามความแตกต่างของลักษณะภูมิประเทศ ทั้งน้ำแล้ง น้ำท่วม น้ำเสีย น้ำเค็ม และน้ำกร่อย อย่างสมดุลและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิต ของชุมชนซึ่งส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พสกนิกรบนแผ่นดินไทยภายใต้ร่มพระบารมีอย่างร่มเย็นในทุกมิติ อย่างยั่งยืน กรมโยธาธิการและผังเมือง โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาเมือง จึงได้จัดโครงการสัมมนา ตามศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เรื่อง “การจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ” เมื่อวันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2566 เพื่อน้อมนำแนวทางพระราชดำริเกี่ยวกับเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ ตามศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน มาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนภารกิจขององค์กร โดยมุ่งเน้น ให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงมหาดไทย และบุคลากรของกรมโยธาธิการและผังเมือง มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ ตลอดจนสมรรถนะที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานขับเคลื่อนศาสตร์ พระราชาสู่การพัฒนาตามแนวพระราชดำริและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์และประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ สถาบันสารสนเทศ ทรัพยากรน้ำ ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยาย หัวข้อ การจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อให้กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และมีการจัดการความรู้ในส่วนราชการ อย่างเป็นระบบ สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาเมือง กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้นำองค์ความรู้ ที่ได้รับจากการสัมมนาดังกล่าว มาจัดทำองค์ความรู้ของกรมโยธาธิการและผังเมือง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน้อมนำแนวทางพระราชดำริเกี่ยวกับเรื่องของ การบริหารจัดการน้ำตามศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน มาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อน ภารกิจขององค์กร ต่อไป คณะผู้จัดทำ


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า ข การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ สารบัญ หัวข้อ หน้า ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล................................................................................................................................. 61 หัวข้อ “การจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ดร.สุทัศน์ วีสกุล......................................................................................................................................... 10 หัวข้อ “การจัดทำและพัฒนาผังน้ำเพื่อการบริหารจัดการน้ำ” ดร.รอยล จิตรดอน.................................................................................................................................... 18 หัวข้อ “ประโยชน์ของผังน้ำ กับการวางแผนชลศาสตร์”


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 1 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หัวข้อ : การจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ขอเล่าประวัติชีวิตการทำงาน คือ เมื่อปีพ.ศ. 2512 ประเทศชาติไทยอยู่ในภาวะสงคราม เริ่มตั้งแต่ เวียดนามแตก เขมรแตก ลาวแตก ตามกฎโดมิโนบอกว่าต่อไปจะเป็นไทย จนถึงมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประเทศไทยจึงมีการวางแผนลับในการป้องกันประเทศ ทำให้ผมต้องเปลี่ยนงานจากกระทรวงการต่างประเทศ ไปสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีหน้าที่ในการช่วยวางแผนรับสงคราม ทำให้ต้องไปคลุกคลีอยู่ ในป่ากับกองทัพภาคต่าง ๆ ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้เป็นเวลา 11 ปี โดยเป็นเลขาของแม่ทัพทั้ง 4 ภาค ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ชื่อพลโทเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งผมเป็นคนวางแผนชนะการก่อการร้ายโดย ไม่ต้องรบไม่ต้องฆ่ากัน เพราะเห็นว่าการยิงผู้ก่อการร้ายตายหนึ่งคนจะทำให้คนจากครอบครัวของเขาหนีเข้าป่า เป็นสมาชิกเพิ่มอีก 4 - 5 คน ยิ่งต่อสู้ยิ่งทำลายก็ยิ่งทำให้บ้านเมืองพังพินาศเท่านั้น จึงเปลี่ยนเป็นการใช้ เครื่องมือที่เรียกว่า “พัฒนาเพื่อความมั่นคง” โดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ สังคม เป็นอาวุธสำคัญ จนทำให้ ผู้ก่อการร้ายมอบตัวทั้งหมดในปีพ.ศ. 2524 จากการที่ต้องอยู่ในป่าทำให้เห็นว่าในพื้นที่ทุรกันดารมีโครงการ พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่ก่อนที่ส่วนราชการจะเข้าถึง และในปีพ.ศ. 2524 จึงได้มีโอกาสได้เข้าไปถวายงาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ซึ่งในช่วงนั้นมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนต่อมา ได้เป็นเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ชื่อมูลนิธิชัยพัฒนา คำว่าชัยชนะต้องเกิดจากสงคราม มูลนิธิจึงตั้งชื่อเป็นลักษณะนั้น แต่เป็นสงครามที่ ไม่ต้องใช้อาวุธฆ่ากัน เป็นสงครามที่ชนะปัญหาสิ่งแวดล้อม ชนะความยากจน ชนะปัญหาเรื่องน้ำ เราต้องต่อสู้ กับทุกปัญหาที่แวดล้อมมนุษย์ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกต่างประสบปัญหาเหมือนกัน เช่น หิมะถล่ม น้ำท่วม พายุรุนแรง ฝุ่นควัน PM 2.5 เป็นต้น และมีการคาดการณ์ว่าทศวรรษหน้าจะเกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะ ทรัพยากรน้ำ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงเริ่มแก้ปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำมาแล้วกว่า 70 ปี พวกเราจึงควรตามรอยเบื้องพระยุคลบาท เริ่มจากขอให้ทุกคนปฏิบัติตามทศพิธราชธรรมอย่างน้อยหนึ่งข้อ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงปฏิบัติให้เห็น ให้พวกเราเกิดปิติแล้ว


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 2 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ทศพิธราชธรรม 10 ประการ 1 ประกอบด้วย ทานัง ศีลัง ปริจาคัง อาชชะวัง มัททะวัง ตะปัง อักโกธะ อะวีหิสัญจะ ขันติญจะ และอะวิโรธะนัง โดยขอนำทศพิธราชธรรมหนึ่งข้อเพื่อใช้เป็นสิ่งนำทาง คือ “ตะปัง” หรือ “ตบะ” ซึ่งอาจารย์จากวัดบวรนิเวศวิหารได้ให้ความหมายว่า “เจตนารมณ์อย่างแรงกล้า” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ทรงแสดงให้เห็นแล้วว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” ซึ่งท่านได้ ให้สัญญากับประชาชนนับตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นครองราชจนถึงวันที่เสด็จสวรรคตว่าท่านจะครองแผ่นดิน โดยแผ่นดิน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชีวิตและต้องส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคตที่จะ อยู่ในแผ่นดินนี้ด้วย โดยเรียกเป็นภาษาสากลว่า “การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development)” มนุษย์เป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย ทุกอย่างที่นำจากแผ่นดินมาใช้จะทำลายไปด้วยพร้อมกัน เช่น การหายใจเข้านำ ออกซิเจนเก็บไว้แล้วหายใจออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้น้ำมันเติมรถแล้วปล่อยควันเสียไปสู่ สิ่งแวดล้อมทำให้เกิด PM 2.5 ทั้งที่มนุษย์ต้องใช้ดิน น้ำ ลม ไฟ มาใช้ยังชีวิต แต่มนุษย์กลับมองข้ามเรื่องสำคัญ อย่างนี้ไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงแสดงให้คนไทยเห็นมากว่า 70 ปีแล้ว 1 ทศพิธราชธรรม 10 คือธรรมสำหรับพระราชา ในการใช้พระราชอำนาจและการบำเพ็ญประโยชน์ต่ออาณาประชาราษฎร ตามพระราชกรณียกิจ 10 ประการ ดังนี้ 1. ทานัง หรือการให้ หมายถึงการพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ การทรงเสียสละพระกำลังในการปกครองแผ่นดิน การพระราชทาน พระราชดำริอันก่อให้เกิดสติปัญญาและพัฒนาชาติ การพระราชทานเสรีภาพอันเป็นหัวใจแห่งมนุษย์ 2. ศีลัง หรือการตั้งและทรงประพฤติพระราชจรรยานุวัตร พระกาย พระวาจา ให้ปราศจากโทษ ทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมาย และนิติราชประเพณี และในทางศาสนา อันได้แก่ เบญจศีลเสมอ 3. ปริจาคัง หรือการบริจาค อันได้แก่ การที่ทรงสละสิ่งไม่เป็นประโยชน์หรือมีประโยชน์น้อยเพื่อสิ่งที่ดีกว่า คือ เมื่อถึงคราวก็สละได้ แม้พระราชทรัพย์ ตลอดจนพระโลหิต หรือแม้แต่พระชนม์ชีพ เพื่อรักษาธรรมและพระราชอาณาจักรของพระองค์ 4. อาชชะวัง หรือความซื่อตรง อันได้แก่ การที่ทรงซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อพระราชสัมพันธมิตร และอาณาประชาราษฎร 5. มัททะวัง หรือทรงเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร ทรงมีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโส และอ่อนโยนต่อบุคคลที่เสมอกัน และต่ำกว่า 6. ตะปัง หรือความเพียรที่แผดเผาความเกียจคร้าน คือ การที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพระราชอุตสาหะปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ให้เป็นไปด้วยดี โดยปราศจากความเกียจคร้าน 7. อักโกธะ หรือความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฎ ไม่พยายามมุ่งร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล และสำหรับ พระมหากษัตริย์นั้นต้องทรงมีพระเมตตาไม่ทรงก่อเวรแก่ผู้ใด ไม่ทรงพระพิโรธโดยเหตุที่ไม่ควร และแม้จะทรงพระพิโรธ ก็ทรงข่มเสียให้สงบได้ 8. อะวีหิสัญจะ คือ ทรงมีพระราชอัธยาศัยกอปรด้วยพระมหากรุณา ไม่ทรงก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น ทรงปกครอง ประชาชนดังบิดา ปกครองบุตร 9. ขันติญจะ คือ การที่ทรงมีพระราชจริยานุวัตร อันอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาพระราชหฤทัย และพระอาการ พระกาย พระวาจาให้เรียบร้อย 10. อะวิโรธะนัง คือ การที่ทรงตั้งอยู่ในขัตติยราชประเพณี ไม่ทรงประพฤติผิดจากพระราชจริยานุวัตร นิติศาสตร์ ราชศาสตร์ ไม่ทรงประพฤติ ให้คลาดจากความยุติธรรม ทรงอุปถัมภ์ยกย่องคนที่มีความชอบ ทรงบำราบคนที่มีความผิดโดย ปราศจากอำนาจอคติ ๔ ประการ และไม่ทรงแสดง ให้เห็นด้วยพระราชหฤทัยยินดียินร้าย


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 3 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ การจำลองความคิดที่เกิดจากการเรียนรู้จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมา 35 ปีคือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 หากดูรูปเก่า ๆ จะเห็นว่าผมจดบันทึก อยู่ตลอด เพราะว่าต้องส่งสิ่งที่จดบันทึกให้พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร หลังจากที่เสด็จกลับถึง กรุงเทพมหานคร หากผ่านไป 48 ชั่วโมงแล้วไม่มีพระราชกระแสรับสั่งกลับมาถือว่าเข้าใจถูกต้อง แต่ถ้ามี ข้อผิดพลาด ภายใน 48 ชั่วโมงจะถูกเรียกตัวเข้าพบ เพื่อสอบถามว่าเหตุใดจึงจดบันทึกอย่างนั้น เหตุใดจึงเข้าใจ อย่างนั้น แล้วจะทรงสอนให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณนายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่กล่าวถึง “Geosocial: ภูมิสังคม” ซึ่งเป็นคำใหญ่และเป็นคำแรกที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงสอน ซึ่งผมได้ใช้คำนี้กำหนดเป็นหลักสูตร “การพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน ตามแนวพระราชดำริ” สำหรับสอน นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยแม่โจ้แล้ว 16 รุ่น ซึ่งได้ส่งหนังสือไปส่วนราชการให้ผู้สนใจสมัครเข้ารับ การศึกษาโดยมีทุนการศึกษาพระราชทานปีละสิบกว่าทุน การเรียนรู้จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มา 35 ปี สามารถสรุปในกระดาษแผ่นเดียวได้ตามรูป “จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที” ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับ ชีวิตทั้งหมด คือ ลุ่มน้ำเจ้าพระยามาจากแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ถ้าหากปิง วัง ยม น่าน ตายทุกพื้นที่ก็จะตาย ตามไปด้วย หากฤดูแล้งไม่มีน้ำส่งมาจากแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน จะทำให้น้ำทะเลทะลักเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา หากป่าต้นน้ำลำธารถูกทำลาย ในที่สุดก็จะส่งผลถึงกรุงเทพมหานครเนื่องจากแผ่นดินนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน และหากไม่สามารถบริหารน้ำได้ป่าก็จะหายไปหมด ชีวิตของมนุษย์ผูกพันกับน้ำอย่างยิ่ง ความต้องการให้ประเทศ มีความเจริญทางด้านอุตสาหกรรม ซึ่งทุกโรงงานอุตสาหกรรมต้องใช้น้ำสะอาดแล้วผ่านออกมาเป็นน้ำเสียทั้งหมด และเนื่องจากที่พระองค์ท่านไม่มีอำนาจหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 ทำให้พระองค์ท่าน


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 4 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ไม่สามารถบังคับผู้ใดได้ การจะปฏิบัติตามเพราะศรัทธาความรู้ที่พระองค์ท่านทิ้งไว้หรือไม่ ท่านไม่เคยบังคับ ไม่เคยชักชวน โดยท่านจะกล่าวเพียงว่าให้ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ให้พยายามสร้างความเข้าใจสิ่งที่ท่านสอน ที่ท่านแสดงออกมา 4,700 โครงการ ซึ่งที่ถูกควรจะเป็น 4,700 บทเรียน โดยเริ่มจากบนท้องฟ้า ที่พระองค์ท่าน เห็นก้อนเมฆเป็นน้ำ แล้วคิดหาวิธีว่าจะนำน้ำจากท้องฟ้าลงมาสู่พื้นดินอย่างไร จึงเกิดโครงการฝนหลวง เมื่อฝนตก กระทบหลังคา หากมองในระดับประเทศก็กระทบยอดเขา เมื่อน้ำทุกหยดตกลงมาจากท้องฟ้ากระทบยอดเขาก็ เริ่มทำงาน ทรงใช้น้ำเป็นพาหะในการพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงรับสั่งให้ปฏิบัติ 3 อย่าง คือ 1) มองทุกอย่างฉันทำ โดยการมองแล้วมีคำถามว่าทำไมท่านจึงเสด็จไป ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น แล้วหาคำตอบให้ได้2) จดทุกอย่าง ที่ฉันพูด เพื่อเตือนความจำ และเป็นบทเรียนให้คนรุ่นหลังได้อ่านเป็นตำราต่อไป ซึ่งพระองค์ท่านเองก็จด แต่จดต่างจากเรา โดยพระองค์ท่านทรงจดผ่านกล้องถ่ายรูป 3) สรุปทุกอย่างที่ฉันคิด บางครั้งท่านทรงคิดดัง ๆ ทุกครั้งเมื่อทรงเสด็จและได้ปรึกษาหารือปัญหากับประชาชน หรือการทำประชาพิจารณ์ จากภาพที่เห็น พระองค์ทรงประทับนั่งอยู่ท่ามกลางประชาชน นั่นคือการทำประชาพิจารณ์อย่างแท้จริง สรุปที่ฉันคิด คือ หลังจากที่พูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้านแล้วจะทรงคาดการณ์ผลในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้าว่าเกิด การเปลี่ยนแปลงอย่างไร ขอให้เตรียมพร้อมไว้ก่อน ทรงเน้นในการเตรียมแผนรองรับไว้ก่อน เนื่องจาก การวางแผนเตรียมการใช้งบประมาณน้อยกว่าและไม่ทำให้ประชาชนได้รับความทุกข์ ภูเขา เมื่อน้ำทุกหยดที่ลงมาจากท้องฟ้ากระทบยอดเขาก็เริ่มทำงาน โดยการปลูกป่าต้นน้ำลำธาร หรือ พื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ (โซน C) 2 จากน้ำหยดเดิมกลางภูเขาทำอ่างเก็บน้ำ และเขื่อน ระหว่างพักน้ำก็เลี้ยงปลา ในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนช่วยให้ได้โปรตีนในราคาถูก เมื่อน้ำไหลลงถึงตีนเขาก็ปลูกป่าที่ 2 เป็น พื้นที่ป่า เพื่อเศรษฐกิจ (โซน E) เช่น สวนลำไย สวนลิ้นจี่ในภาคเหนือ สวนยาง สวนปาล์มในภาคใต้ เมื่อน้ำเริ่มไหลบนที่ราบ ผ่านเรือกสวนไร่นาปลูกข้าวปลาอาหาร พระองค์ท่านอยู่นอกวังปีละ 8 เดือน โดยทรงประทับอยู่จังหวัดเชียงใหม่ สกลนคร นราธิวาส และหัวหินแห่งละ 2 เดือน เพื่อทรงงานเนื่องจากแหล่งอาหารของประชาชนอยู่นอกวัง อยู่ต่างจังหวัด พระองค์ท่านสร้างความปลอดภัยด้านอาหารให้กับประชาชนชาวไทย ดูแล ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้อยู่ใน 2 การตรวจสอบข้อจำกัดของพื้นที่ด้านป่าไม้ ในการตรวจสอบของพื้นที่พัฒนาโครงการกับการจําแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ ในพื้นที่ป่าสงวน แห่งชาติของกรมป่าไม้ แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ ดังนี้ 1. พื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ (โซน C) เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่กําหนดไว้เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ พันธุ์พืช และ พันธุ์สัตว์ที่มีคุณค่าหายาก เพื่อการป้องกันภัยธรรมชาติอันเกิดจากน้ำท่วมและการพังทลายของดิน ตลอดทั้งเพื่อประโยชน์ในด้านการศึกษา การวิจัย นันทนาการของประชาชน และความมั่นคงของชาติ 2. พื้นที่ป่าเพื่อเศรษฐกิจ (โซน E) เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่กําหนดไว้เพื่อผลิตไม้และของป่า รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจตามมติ คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกําหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ และการจําแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลน พื้นที่เพื่อการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ และ พื้นที่ประสานการใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างทรัพยากรป่าไม้กับทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ เช่น ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรแร่ และทรัพยากร พลังงาน เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ ตลอดทั้งต้องไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จําแนกให้เป็นเขตพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ พื้นที่ลักษณะนี้ ได้แก่ พื้นที่พัฒนาป่าธรรมชาติ พื้นที่พัฒนาทรัพยากรป่าไม้ พื้นที่พัฒนาตามหลักวนศาสตร์ชุมชน พื้นที่พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ 3. พื้นที่ป่าที่เหมาะสมต่อการเกษตร (โซน A) เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีสมรรถนะที่ดิน เหมาะสมต่อการเกษตร หรือมีศักยภาพสูงใน การพัฒนาด้านการเกษตร ตามผลการจําแนกสมรรถนะที่ดินของกรมพัฒนาที่ดิน รัฐสามารถพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งต้องไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะจําแนกให้เป็นเขตพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ และพื้นที่ป่าเพื่อเศรษฐกิจ


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 5 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ สภาพที่พร้อมผลิต เมื่อน้ำไหลลงรวมเป็นแม่น้ำให้เมืองใหญ่อุปโภค บริโภค โดยเมืองใหญ่ทุกเมืองจะตั้งอยู่ ริมแม่น้ำ เช่น กรุงเทพมหานคร กรุงธนบุรี และกรุงศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ลุ่มระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากอยู่ในช่วงรบกับประเทศเพื่อนบ้าน กรุงศรีอยุธยาใช้น้ำสู้กับศัตรู พระองค์ท่านยังทรงรับสั่งอีกว่าชาวกรุงศรีอยุธยาใช้น้ำให้เป็นประโยชน์ เนื่องจากแม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำ เจ้าพระยามีระดับต่างกันหากปีใดฝนแล้งก็ส่งน้ำจากอีกแม่น้ำมาใช้ได้ บ้านเรือนคนไทยในสมัยก่อนจึง ปลูกบ้านแบบใต้ถุนสูงเพื่อรับน้ำ คนไทยสมัยก่อนเป็นคนน้ำ มีวิถีชีวิตที่อยู่กับน้ำสอดคล้องกับภูมิสังคม แต่ปัจจุบันคนไทยอยู่ฝืนกับภูมิศาสตร์จึงทำให้เกิดความทุกข์ คนในเมืองใช้ทรัพยากรอย่างเดียวโดยไม่มีการผลิต ทุกสิ่งที่คนเมืองบริโภคถูกส่งมาจากต่างจังหวัดทั้งหมด จึงเป็นเหตุผลให้พระองค์ทรงอยู่ต่างจังหวัด 8 เดือน และอยู่กรุงเทพมหานครเพื่อประกอบพระราชพิธี 4 เดือน คนเมืองถ่ายของเสียจึงมีโครงการพระราชดำริ เพื่อบำบัดของเสีย เช่น แหลมผักเบี้ยที่ลำเลียงน้ำเสียจากเพชรบุรีระยะทาง 18 กิโลเมตร ผ่านระบบท่อ โดยใช้ระบบการตกตะกอน Wetland 3 หรือพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยใช้พืช 22 ชนิด ที่สามารถฟอกน้ำได้ แล้วใช้ป่าชายเลน ในการกรองอีกชั้นหนึ่ง เห็นได้ว่าวงจรครบทั้งหมด แต่ละจุดต้องมีการบริหารทั้งสิ้น แต่ถ้าหากเราตัดไม้ทำลายป่า เมื่อฝนตกก็หอบหน้าดิน ขยะ ไหลลงไปสู่แม่น้ำ ทับถมทำให้ท้องน้ำตื้นเขินรับน้ำไม่ได้ทำให้เกิดน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้คืองานของพระองค์ท่าน ไม่ว่าเราจะอยู่จุดใดของแผ่นดินไทยก็จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณทั้งหมด เนื่องจากน้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เมื่อแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน แห้งแล้ง พื้นที่นาข้าวก็จะไม่มีน้ำเพาะปลูก จึงต้องให้ความสนใจและรับผิดชอบ จากเหตุผลดังกล่าว จึงควรมีการบริหารภูมิสังคม เนื่องจากสภาพภูมิประเทศแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลางที่เป็นลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จึงควรบริหาร ทรัพยากรตามความเหมาะสม นอกจากนี้พระองค์ท่านยังให้ความสำคัญถึงเรื่องของคน หรือสังคม ที่แต่ละแห่ง จะมีความคิด ค่านิยม ความต้องการแตกต่างกัน เห็นว่าโครงการของรัฐไม่ค่อยประความสำเร็จเนื่องจากใช้ โครงสร้างเดียวกันสำคัญทุกภาค จึงควรต้องศึกษาพื้นที่แต่ละแห่ง การวางผังเมืองต้องดูฟังก์ชั่นของเมือง เป็นลำดับแรกว่าเมืองมีหน้าที่อย่างไร มีภารกิจอะไร เมืองจะขยายไปทางใด ต้องมองไปในอนาคตแล้วค่อยวางผัง ให้สอดคล้องกับภูมิสังคมของเมืองด้วยความรู้จริง ซึ่งคำที่พระองค์ท่านทรงสอน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” หมายถึงว่าจะทำเรื่องใดควรจะรู้ถึงปัญหาก่อนเหมือนกับหมอที่ต้องวินิจฉัยโรค หากว่าหมอวินิจฉัยโรคผิดรักษาผิด คนไข้ก็ตาย จึงต้องควรหาสาเหตุ เช่น น้ำท่วมเกิดจากอะไร แล้วก็วางแผนไปตามนั้น จึงต้องเข้าใจปัญหา ความต้องการ เข้าถึงการปฏิบัติ เข้าถึงเครื่องมือ เข้าถึงหลักการบริหาร จึงเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 Wetland หมายความว่า พื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งคือพื้นที่ที่ผิวดินมีน้ำนองหรือท้วมขังที่อาจเป็นอยู่อย่างถาวรตลอดทั้งปีหรือตามฤดูกาล การมน้ำท้วมขัง บนผิวดินเป็นเวลานานทำให้เกิดสภาพที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชน้ำ (hydrophytes) และการมีอยู่ของดินชุ่มน้ำ (hydric soils) ที่มี ลักษณะเฉพาะ


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 6 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ สำหรับเรื่องน้ำหากจะนำเรื่อง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาใช้จะต้องทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจเหมือนกัน ทั้งหมดเพราะจะทำให้เกิดพลัง แล้วพลังจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างจังหวัดพะเยาที่ใช้เวลา 11 ปีในการพัฒนา โดยวันแรกที่ดำเนินโครงการกรมประมงได้นำคณะนั่งเรือในกว๊านพะเยา เมื่อเรือตะกุยโคลน ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งทั้งกว๊าน ในกว๊านมีผักตบชวาเต็มไปหมด ซึ่งมีคนประมาณ 15 คน เข้ามาขอถวาย เป็นโครงการพระราชดำริ ท่านจึงทรงรับและดำเนินการโดยความเข้าใจว่าปัญหาของกว๊านเริ่มจากบนเขาต้นน้ำ ที่เกิดการทำลายป่า เมื่อฝนตกจึงพาตะกอนลงสู่กว๊าน รวมทั้งน้ำเน่าน้ำเสียก็เทลงกว๊าน อุตสาหกรรมประจำท้องถิ่น คือปลาส้ม เมื่อทำปลาส้มเสร็จก็ทิ้งน้ำเสียที่มีความเค็ม และจุลินทรีย์ลงกว๊านที่มีผักตบฉวาขึ้นเต็ม จึงได้ดำเนินการเพิ่มปลากินพืชเพื่อทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยน โดยไม่ต้องโกยโคลนขึ้นจากกว๊าน รวมทั้งทำฝายทดน้ำ สะพานดิน และบ่อดักตะกอน โดยทำเป็นระบบ จนทำให้ในปัจจุบันชาวบ้านร้องเรียนสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ติดตามงานผ่านวีดิโอคอล ว่าอุตสาหกรรมในท้องถิ่น ไม่มีผักตบฉวาที่เป็นวัตถุดิบ ทำให้กลุ่มชาวบ้านต้องนำเข้าผักตบฉวาจากจังหวัดชัยนาท จึงต้องคิดหาพื้นที่ปลูก ผักตบฉวา เพื่อให้ทุกคนไม่ได้รับผลกระทบ และได้ผลประโยชน์ทุกฝ่าย มีการบริหาร ดิน น้ำ ลม ไฟ และทำให้เกิด องค์กรที่เกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่ายถึงแม้ว่าจะอยู่ต่างพรรคการเมืองต่างร่วมกันมาเพื่อขอให้ช่วยแก้ไขปัญหา จึงได้สอบถามว่าเหตุใดจึงมารวมตัวกันได้ สิ่งที่พวกเขาตอบมาจับใจอย่างยิ่ง คือ “ใช่ เราคนละพรรค เราคิด ไม่เหมือนกัน แต่อะไรที่เกี่ยวกับบ้านเรานั้น เรารวมกันเป็นหนึ่ง” ถ้าคนไทยทุกพื้นที่คิดและปฏิบัติอย่างนี้ ประเทศไทยจะสงบ จะมีความสมบูรณ์พูนสุขขึ้นอีกมาก จากความร่วมมือของชุมชนท้องถิ่นทำให้ระหว่าง 11 ปี


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 7 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ที่ดำเนินโครงการไม่มีอุปสรรคใดเลย ซึ่งต้องขอขอบคุณกรมโยธาธิการและผังเมืองที่ช่วยจัดการน้ำเสียจาก พื้นที่เมืองที่จะส่งสู่กว๊าน ปัญหาในการทำงานของประเทศไทย คือ หน่วยงานแต่ละหน่วยไม่ประสานงานกัน จึงจำเป็นต้องมีคน กลางคอยประสาน ซึ่งมูลนิธิชัยพัฒนาทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่าง กรมประมง กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง และทหารช่าง ในการจัดงบประมาณเป็นแผนปฏิบัติลงไปพร้อมกัน โดยมีศูนย์ บัญชาการระดับท้องถิ่น และมีสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) : Hydro and Agro informatics Institute หรือ สสนก. ช่วยติดตั้งระบบไอที และมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือ จากการที่ ภาคเอกชนต้องทำ CSR : Corporate Social Responsibility 4 ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่จะต้องรายงาน เรื่องสิ่งแวดล้อมว่าได้ทำเรื่องใดบ้างทุกปีจึงดึงเงินจากบริษัทเหล่านั้นมาใช้ให้ถูกทาง ถูกที่ ถูกภารกิจ เห็นได้ว่า ทุกฝ่าย Win Win ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย งบประมาณของรัฐก็ใช้น้อยลงตามไปด้วย ส่วนผลผลิตของท้องถิ่นก็ได้ บริษัทการตลาดช่วยในการกระจายและขายสินค้า ซึ่งเป็นการบูรณาการทุกภาคส่วน เป็นการทำงานเป็นทีม พระองค์ท่านได้สร้างศูนย์ศึกษาการพัฒนา 6 แห่ง และรับสั่งว่า “ให้เป็นสถานที่ที่หน่วยราชการต่าง ๆ มาเรียนรู้ว่าการทำงานร่วมกันให้กับประชาชนนั้น เขาทำกันอย่างไร” มีหน่วยงาน 15 หน่วยอยู่ร่วมกัน 4 CSR : Corporate Social Responsibility คือ รูปแบบการทำธุรกิจรูปแบบนึง ที่บริษัทหรือองค์กรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยส่วนมากจะปรากฏให้เห็นในรูปแบบของกิจกรรมเพื่อสังคมที่ดำเนินการภายใต้หลักจริยธรรมอันดีทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อแสดงออก ถึงความตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 8 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ โดยไม่ต้องคิดถึงต้นสังกัด 15 หน่วยไม่ต้องเอารถแทรกเตอร์มา 15 คัน แต่ใช้เพียง 1 – 2 คัน แล้ววางแผน การใช้งานซึ่งทำให้ประหยัดงบประมาณอย่างนี้ถึงเป็นศูนย์บริการที่แท้จริง โดยเอาประชาชนเป็นโจทย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่ทำเป็นหน่วยงานแรกที่นำ คอมพิวเตอร์มาใช้ โดยจ้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บริหารศูนย์ไอที เพื่อสำรวจข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) สำหรับประชาชนในการสำรวจตนเองว่ามีความต้องการอะไร และข้อมูลพื้นฐานระดับหมู่บ้าน (กชช. 2ค) ที่เป็นเครื่องเมืองของรัฐ แล้วนำ 2 เรื่องนี้มาพบกัน โดยปัจจุบันกรมการพัฒนาชุมชนได้นำเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนของคนไทย ซึ่งศูนย์ไอทีได้จัดทำข้อมูลได้ละเอียดมากที่สุดในโลก เมื่อมีข้อมูล ที่ดี จึงดำเนินการวางแผน จัดทำโครงการ และทำให้แผนงานสำเร็จ การจะยึดหลักภูมิสังคมต้องจำแนกแยกแยะพื้นที่ว่ามีสาเหตุของปัญหาแตกต่างกันอย่างไร เช่น ทำสำเร็จ ที่พะเยา แต่การที่จะนำไปใช้กับพื้นที่คล้ายกัน เช่น บึงบอระเพ็ดควรจะต้องทำการสำรวจก่อนเริ่มทำโครงการ เนื่องจากถึงแม้จะคล้าย แต่อาจจะมีบางประเด็น บางปัจจัย หรือระบบนิเวศบางส่วนที่ไม่เหมือนกันก็ได้ ซึ่งกว๊านพะเยามีแม่น้ำอิงเชื่อมโยงระหว่างกว๊านพะเยากับแม่น้ำโขง ทำให้ปลาในกว๊านพะเยาเป็นปลา ชนิดเดียวกับแม่น้ำโขง แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมของแม่น้ำอิงเปลี่ยนไป ส่งผลให้ระบบนิเวศในกว๊านพะเยา เปลี่ยนตามไปด้วยจนปลาในกว๊านพะเยาเปลี่ยนประเภท สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ควรมีการเรียนรู้ทั้งหมดก่อนที่ จะเริ่มวางแผน เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ถูก ซึ่งเห็นว่าปัจจุบันรูปแบบของการวางแผนเปลี่ยนไปแล้ว จึงควรเริ่ม จากเปลี่ยนแปลงตัวเราก่อน จากตัวอย่างความสำเร็จก็ได้แสดงให้เห็นแล้ว โดย ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมกันบริหาร แล้วทำให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันทุกจังหวัด จากการที่น้ำจะผ่านทุกเขตจังหวัด จึงควรคิดถึงกันส่งต่อกันด้วย กริดไฟฟ้า5 ทำอย่างไร ควรจะทำกริดน้ำอย่างนั้นด้วย เช่น อดีตเมื่อทำถนนจะขุดคลองขนาดไปด้วยเพื่อนำดิน มาถมถนน แต่ปัจจุบันคลองหายไป เมื่อมีน้ำมาแต่ไม่มีทางเดินของน้ำจึงทำให้น้ำท่วม ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ควรมี การฟื้นฟู และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรมีหน้าที่ในการดำเนินการ และมีความยินดีที่ได้รับทราบจาก ดร.รอยล ว่าบทบาทหน้าที่และอำนาจของกรมโยธาธิการและผังเมืองกำลังจะมีการปรับ ซึ่งขอให้ประสบความสำเร็จในงาน ตามหน้าที่ เนื่องจากการพัฒนาประเทศควรมีผังเมืองในการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรักษาทรัพยากร ของประเทศไว้ ซึ่งเป็นการควบคุม ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นพื้นฐานของชีวิต เห็นว่าปัจจุบันค่าของเงินของ แต่ละประเทศไม่ได้ขึ้นกับการเก็บทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่สิ่งที่รองรับ คือ ทรัพยากร ประเทศใดมีการควบคุมทรัพยากรมากเงินของประเทศจะมีค่ามากขึ้น เช่น ประเทศเพื่อนบ้านที่ถึงแม้จะมี ทรัพยากรมากแต่ไม่มีการควบคุมจึงทำให้ค่าของเงินในประเทศอ่อน อีกทั้งจำนวนประชากรของประเทศที่มี เพิ่มขึ้นจากอดีตมาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรจึงได้คิดเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ ทรัพยากรที่มีอยู่เพียงพอกับคนทั้งประเทศ คำว่า “พอประมาณ” ของเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ต้องประมาณ ตนก่อน การปลูกผักกินเองไม่ใช่เศรษกิจพอเพียง แต่เศรษฐกิจพอเพียง คือ วิธีคิด โดยต้องประเมินตนเอง 5 กริดไฟฟ้า (Grid Electrical) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันสำหรับการจ่ายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ประกอบไปด้วยสถานีผลิตพลังงานไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่นำส่งพลังงานจากแหล่งที่ห่างไกลให้กับศูนย์ที่ต้องการใช้และสายกระจายแรงต่ำที่เชื่อมต่อลูกค้าแต่ละราย


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 9 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ก่อนว่ามีทุนเท่าไร และเมื่อมีทุนเท่านี้ควรจะทำอะไร เช่น ชุมชนดงขี้เหล็กซึ่งเคยปลูกข้าวแต่พื้นที่ชุมชนมีน้ำน้อย จึงเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลที่ใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าว 10 เท่า ซึ่งก่อนโควิด – 19 ทราบว่ามีกองทุนของชุมชน สามร้อยกว่าล้านบาท และเมื่อสำรวจล่าสุดเงินกองทุนมีถึง 620 ล้านบาท ถึงแม้จะเป็นชุมชนเล็ก ๆ แต่เมื่อ เปลี่ยนชนิดของพืชที่เพาะปลูก โดยปลูกพื้นที่ใช้น้ำน้อยสอดคล้องสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ สอดคล้องกับตลาด และมีการบริหารจัดการที่ดี ทำให้ชุมชนมีสวัสดิการที่ดีเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ต้องการให้ทำตัวเป็นคนจน แต่ให้รวยอย่างยั่งยืน รวยให้สอดคล้องกับภูมิสังคมของตนเองที่มีอยู่ โดยให้ประชาชนนำแล้วรัฐส่งเสริม คำว่าประชารัฐ เกิดขึ้นตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 หมายถึง ประชาและรัฐต้อง เดินไปพร้อมกัน ไม่ใช้รัฐเป็นผู้ควบคุม เป็นคนกำหนดระเบียบ พิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ ถ้าเปรียบเทียบ กับกีฬามวย ระบบราชการมีมาร้อยปีแล้วถือว่าแก่แล้ว รัฐจึงไม่ควรจะเป็นนักมวยขึ้นชกเอง ควรเปลี่ยนเป็น พี่เลี้ยงนักมวย เป็นคนให้น้ำ โค้ชให้ภาคเอกชน หรือประชาชนเป็นผู้ต่อย หน่วยราชการไม่ควรลงไปทำเอง หมดยุคที่หน่วยราชการต้องทำเองแล้ว ปัจจุบันแทบไม่มีคนเก่งระดับหัวกะทิที่เข้าทำงานราชการแล้ว จึงควรเปลี่ยน วิธีการทำงานให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจพอเพียง มีหลักในการคิด 3 อย่าง คือ 1. พอประมาณ หรือการประมาณตน ต้องประเมินตนเองก่อนว่ามีพละกำลังมีสถานะทางการเงินอย่างไร จะทำเกษตรทราบหรือไม่ว่าดินเป็นอย่างไร มีน้ำเท่าไร ปัจจุบันสงครามเอาชนะกันด้วยการมีกินหรือไม่ ปัจจัย 4 จึงเป็นอาวุธสำคัญ จึงเห็นว่าควรใช้ตบะ หรือเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าในการนำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เป็นแผน แล้วจะทำให้ประเทศชาติพัฒนาไปได้ 2. มีเหตุผล ใช้เหตุผลตัดสินโดยไม่ให้ความโลภเป็นตัวนำ เช่น ประเทศไทยควรจะเป็นศูนย์อาหารของโลก หรือไม่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ควรเป็นศูนย์อาหารฮาลาล ความพร้อมในด้านอาหารมีพร้อมแล้วแต่ระบบ บริหารไม่เข้าไปรองรับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปลูกยางพารากันมาก แต่ยางพารากินไม่ได้ จึงเห็นว่าควรเปลี่ยนเป็น ปลูกพืชที่กินได้ และส่งเสริมให้สร้างโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แล้วส่งผลผลิตออกสู่ต่างประเทศ ทางท่าเรือน้ำลึกสงขลา ซึ่งปัจจุบันทำสำเร็จแล้วโดยซื้อวัวจ่อย (วัวผอม) จากภาคอีสาน ขนส่งทางรถไฟมาเลี้ยงดู ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้40 วัน แล้วส่งออกเป็นอาหารฮาลาลไปมาเลเซีย บรูไน ที่ส่งไปเท่าไรก็ขายหมด และขอเสนอความเห็นว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปลี่ยนจาก EEC เป็น AEC (A Economic Zone) เป็นศูนย์อาหาร โรงงานผลิตอาหาร ซึ่งมีท่าเรือพร้อมอยู่แล้ว ให้เป็นศูนย์อาหารของโลก ทำให้มีอาหารรับประทาน เพราะการผลิต สินค้าถ้าขายไม่ได้ก็จะกลายเป็นของค้างโกดัง แต่สินค้าเกษตรถึงแม้จะขายไม่ได้แต่สามารถนำมารับประทานได้ 3. ภูมิคุ้มกัน เตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดความเสี่ยงภัยพิบัติ สำหรับทฤษฎีใหม่ เป็นทฤษฎีที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงแถมให้คนที่ทำเกษตรในการนำไปสู่ เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหลักสำคัญ คือการบริหารการใช้พื้นที่ให้มีทุนทั้งหลายอยู่ในพื้นที่ของตนเอง โดยไม่ต้องรอน้ำ รอฝน มี Water Bank ในแปลงเกษตรทุกแปลงมีสระน้ำของตัวเอง โดยบริหารแบ่งสัดส่วนดินและน้ำ รวมทั้ง ตัดค่าใช้จ่าย โดยทฤษฎีใหม่มีการวางไว้ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 พอมีพอกิน ขั้นที่ 2 เหลือกินเหลือใช้ จึงนำไปขาย


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 10 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ โดยมีการรวมกลุ่ม ขั้นที่ 3 ทำวิสาหกิจชุมชนเพื่อแปรรูปผลผลิต แล้วหาเงินโดยการกู้ธนาคารมาเป็นทุน ในการดำเนินการ เพื่อให้รวย นี่เป็นการเปลี่ยนกระบวนการทำงาน โดยร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมบริหาร ให้ต่อเนื่อง เชื่อมโยงกัน ขอสรุปว่า 1) แนวพระราชดำริ ได้มีการทดลอง ทดสอบแล้ว มีการรายงาน ถวายงานเป็นระยะ และได้มี การพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จจากล่างขึ้นบนจริง ๆ คือ ประชาชนเป็นหลัก แล้วภาครัฐเข้าไปเสริมโดยการสร้าง Infrastructure ทำให้ลดภาระของส่วนราชการขณะนี้ประชาชนหวังพึ่งโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว ทำให้สิ่งที่ภาครัฐสร้างไม่พอสำหรับประชาชนทุกคน หลักสำคัญ คือ ให้มีน้ำอยู่ในแปลงของตนเอง เริ่มจาก หน่วยราชการต่าง ๆ ต้องมีการประสานงานกัน 2) เปลี่ยนบทบาทใหม่ โดยส่วนราชการเป็นพี่เลี้ยง คอยให้ความรู้ เมื่อชุมชนเข้มแข็งขึ้น ประเทศชาติส่วนรวมก็จะเข้มแข็งขึ้น การเมืองดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น โดยมีน้ำเป็น พาหะที่จะทำให้ประเทศชาติอยู่รอด ขออภัยที่ใช้เวลานาน เนื่องจากงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรที่ทรงงานมา 70 ปี ไม่สามารถนำมาเล่าได้เพียง 10 นาที ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจและหวังว่าจะร่วมมือร่วมใจในการทำให้ ประเทศชาติ โดยคิดว่าทำต่อให้ลูกของเราได้อยู่บนแผ่นดินนี้ได้อย่างมีความสุข ขอขอบคุณ


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 11 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หัวข้อ : การจัดทำและพัฒนาผังน้ำเพื่อการบริหารจัดการน้ำ การบรรยายในหัวข้อเรื่อง การจัดทำและพัฒนาผังน้ำเพื่อการบริหารจัดการน้ำ จะเป็นการให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีสิ่งใดอยู่แล้วบ้าง มีครบถ้วนหรือไม่ และควรจะทำอย่างไรเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำครบ องค์ประกอบ เนื่องจากกรมชลประทานดูแลพื้นที่ชลประทานในประเทศทั้งหมดร้อยละ 20 และในแผนบริหาร จัดการน้ำจะเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ของพื้นที่การเกษตรทั้งประเทศ ซึ่งยังเหลือพื้นที่อีกร้อยละ 70 – 80 ที่อยู่นอกเขต ชลประทาน ดังนั้น การที่ชุมชนสามารถดูแลและบริหารจัดการน้ำได้นั้น หากพึ่งองค์กรหน่วยเดียวก็จะได้ ไม่ครบถ้วน จึงจำเป็นต้องมีการทำงานในลักษณะเครือข่ายโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้การบริหาร จัดการน้ำครบถ้วนในทุกพื้นที่ ให้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาและลดความเหลื่อมล้ำ ความเป็นมาในการจัดทำผังน้ำของส่วนราชการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ 1. ปี พ.ศ. 2543 กรมโยธาธิการและผังเมืองได้น้อมนำเอาแนวพระราชดำริมาจัดทำผังเมืองรวม เบื้องต้นบริเวณหนองใหญ่ จังหวัดชุมพร ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้มาตรการทางผังเมืองในการแก้ปัญหา น้ำท่วม โดยการจัดทำผังและมาตรการบรรเทาอุทกภัย 2. ปี พ.ศ. 2559 เกิดผังระบบการระบายน้ำครอบคลุม 25 ลุ่มน้ำ ครบถ้วนและชัดเจน แต่เป็นผังระดับ จังหวัดและระดับลุ่มน้ำ ส่วนผังที่ลดระดับลงมา เช่น ตำบล อำเภอ ซึ่งชุมชนสามารถดูแลได้นั้นยังไม่อยู่ในผังนี้


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 12 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ 3. ปี พ.ศ. 2563 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดทำโครงการทำผังน้ำครอบคลุม 22 ลุ่มน้ำ ซึ่งจัดทำไปแล้ว 8 ลุ่มน้ำ ใกล้เสร็จแล้ว 6 ลุ่มน้ำ รวมเป็น 14 ลุ่มน้ำ และยังไม่ได้จัดทำ 8 ลุ่มน้ำ โดยข้อมูลผังน้ำของ สทนช. จะเป็นข้อมูลพื้นฐานให้ลุ่มน้ำทั้ง 22 ลุ่มน้ำในการบริหารจัดการ แต่ก็ยังเป็น การบริหารโครงการพื้นที่ขนาดใหญ่ ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดเล็ก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ได้จัดทำผังน้ำระดับชุมชนร่วมกับชุมชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เกิดการใช้งานและเกิดการพัฒนา โดยใช้หลักการแนวทรงงานในพระราชดำริชัดเจน ส่งผลให้เกิดเครือข่าย 1,827 หมู่บ้าน และแกนนำ 60 ชุมชนที่ช่วยขยายผล ขณะนี้สสน. มีแผนที่ระดับน้ำตำบล ซึ่งรอการจัดทำอยู่ แต่มีข้อมูลพื้นฐานครบถ้วนแล้ว 4,626 ตำบล ดังนั้น โจทย์ในการทำให้เกิดการทำงานทั้ง Top down ระดับจังหวัดซึ่งเป็นผังน้ำระดับลุ่มน้ำ กับผังน้ำระดับตำบลซึ่งเป็น Bottoms Up เพื่อให้เกิดการทำงาน ประสานกันและไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างไร อันนี้คือโจทย์ ในที่นี้ขอนำเสนอรายละเอียดก่อนที่จะไป ตอบคำถามของโจทย์


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 13 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรได้พระราชทานแนวทางในการแก้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่เมืองชุมพร โดยเมื่อปี พ.ศ. 2540 พายุโซนร้อนซีต้าผ่านจังหวัดชุมพรทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม กรมโยธาธิการและผังเมือง จึงได้มีโครงการจัดทำผังเมืองรวมเมืองหนองใหญ่ จังหวัดชุมพร โดยได้อัญเชิญพระราชดำรัสใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรที่พระราชทานคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดชุมพร และใช้มาตรการทางผังเมืองเพื่อเป็นแนวทางในการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณหนองใหญ่ โดยผังเมืองรวมเมืองหนองใหญ่ร่างเสร็จเมื่อเดือนเมษายน 2543 และประกาศใช้โดยผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2544 ซึ่งถือเป็นต้นแบบในการใช้ผังเมืองรวมเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ลดความเสียหาย ในชีวิตและทรัพย์สิน โดยมีหลักการ คือ 1) ใช้โซนนิ่งในการรักษาพื้นที่รอบแก้มลิงหนองใหญ่ให้เป็นที่โล่งรับน้ำ ลดความเสี่ยงจากปัญหาอุทกภัย 2) กำหนดพื้นที่ควบคุมการพัฒนาคลอง ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างริมคลองไม่ให้ เป็นอุปสรรคต่อระบบระบายน้ำ ทำให้น้ำได้ตามธรรมชาติ และใช้ประสิทธิภาพคลองที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เมื่อน้ำรวมอยู่ที่หนองใหญ่แล้ว ก็ขุดลอกคลองผันน้ำให้ระบายน้ำลงสู่ทะเลโดยเร็ว ดังนั้น ผังเมืองรวมมาใช้ ร่วมกับมาตรการก็จะเกิดประสิทธิภาพเต็มที่ การพัฒนาแก้มลิงหนองใหญ่นั้น เป็นต้นแบบโครงการวางผังและ มาตรการบรรเทาอุทกภัยในเวลาต่อมา การวางผังมาตรการบรรเทาอุทกภัยของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่ได้ จัดทำเสร็จสิ้นแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเสี่ยงอุทกภัย ใช้การกำหนดมาตรการทางผังเมือง เพื่อป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ประโยชน์ที่ได้ก็คือผังการใช้ประโยชน์ที่ดินและผังระบบโครงสร้างพื้นฐานไปใช้ พัฒนาในทิศทางที่สอดคล้องกันเป็นประโยชน์ข้อที่ 1 และประโยชน์ข้อที่ 2 คือปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วม บรรเทาอุทกภัย ระบายน้ำ และใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกัน เป็นการป้องกันการท่วมตัวเมือง การดำเนินการของกรมโยธาธิการและผังเมืองเน้นเรื่องการสร้างคันกั้นน้ำล้อมรอบตัวเมือง และคันกั้นน้ำใน แนวถนนและแนวคลองที่สำคัญ โดยใช้ผังเมืองเป็นเครื่องมือ ซึ่งแตกต่างจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 14 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ที่ใช้ผังเมืองเป็นเครื่องมือเช่นเดียวกัน แต่เน้นเรื่องการระบายน้ำ การเก็บกักน้ำ และการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยขออนุญาตย้ำ เนื่องจากการป้องกันการสับสนว่ามีการทำงานที่ซ้ำซ้อน โดยขอชี้แจงให้เข้าใจว่าเป็นการใช้ เครื่องมือเดียวกันแต่มองต่างมุม เพราะฉะนั้นถ้าสามารถใช้เครื่องมือเดียวกันแล้วนำไปสู่ชุมชน ให้เกิดการมีส่วนร่วม ให้ชุมชนร่วมเป็นเจ้าของข้อมูล ก็จะนำไปสู่การพัฒนาที่อาศัยเครือข่าย ลดการใช้งบประมาณของรัฐ สำหรับผังน้ำ ของ สทนช. ได้จัดทำตามพระราชบัญญัติว่าต้องทำ แต่ยังทำไม่แล้วเสร็จ ซึ่งผังน้ำของ สทนช. นั้น กรมโยธาธิการ และผังเมืองสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งกรมชลประทานสามารถนำไปวางผังพื้นที่ชลประทานให้ สอดคล้องกับผังน้ำได้ เห็นได้ว่าทุกส่วนเริ่มมีทิศทางเดียวกันในการพัฒนา และใช้เป็นข้อมูลผังน้ำของ สทนช. ไปสนับสนุน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติและหน่วยงานท้องถิ่นก็สามารถใช้ประกอบการอนุญาต ก่อสร้างถมดินในเขตทางน้ำได้องค์ประกอบหลักของผังน้ำนั้นจะเห็นว่ามีการแบ่งประโยชน์การใช้ที่ดิน โดยประเด็นหลักก็คือ ต้องมีทางให้น้ำไหลผ่านโดยใช้คาบการเกิดน้ำท่วม 100 ปีไม่ให้กีดขวางทางน้ำมากนัก ให้น้ำ Flow ไปในลักษณะตามธรรมชาติซึ่งคาดว่าจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. 2554 ได้เพราะน้ำท่วม เมื่อปี พ.ศ. 2554 เป็นน้ำท่วมไหลหลากล้นคันกั้นน้ำที่แตกประมาณ 20 แห่ง


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 15 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ตัวอย่างของผังน้ำซึ่งไม่ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาแต่อยู่ในรายงานก็คือ แสดงความจุลำน้ำ ข้อมูลคุณภาพน้ำ และสิ่งที่สำคัญที่สุด มีการคำนวณสมดุลน้ำนอกเขตชลประทาน เพราะว่านอกเขตชลประทาน มีพื้นที่มากกว่าเขตชลประทาน ถ้าสมดุลน้ำเป็นบวกแสดงว่าสามารถพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ชนบทนั้นได้ ทำให้สามารถวางเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 16 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ผังน้ำเพื่อการพัฒนาชุมชนโดยสสน. เป็นตัวอย่างของการวางผังน้ำแผนผังน้ำจัดทำเป็นผังเป็นสเกลมิติ โครงสร้างของผังประกอบด้วย เส้นทางน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ลำห้วย หนองน้ำ บึง สระน้ำ และโครงสร้าง ชลประทานต่าง ๆ เช่น อ่างเก็บน้ำ ผังน้ำมีประโยชน์ คือ ใช้ในการเฝ้าระวังภัยในภาวะวิกฤต การวิเคราะห์แผน บริหารการน้ำ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาแหล่งน้ำ และเป็นข้อมูลสำหรับจัดสมดุลน้ำ คำนวณปริมาณน้ำท่วม น้ำแล้ง จากที่ได้หารือกับอธิบดีพบว่าบางพื้นที่หากมีบ่อดินหรือบ่อทราย เช่น จังหวัดอ่างทอง ก็สามารถกำหนด จุดตำแหน่งลงไปได้และสามารถเชื่อมต่อได้ซึ่งจากการทำงานจริง พบว่าการเชื่อมต่อทางน้ำกับแหล่งน้ำ สามารถตั้งแหล่งกักเก็บน้ำได้


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 17 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ข้อมูลที่ใช้ก็คือ Static Data คือ ข้อมูลที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง และ Dynamic Data หรือ ข้อมูล ที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ระดับน้ำซึ่งแปรเปลี่ยนทุกครั้งที่ฝนตก และข้อมูลที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงก็คือ ระดับตลิ่ง ความจุลำน้ำ พื้นที่ชลประทานต่าง ๆ การประยุกต์ใช้ผังน้ำที่บ้านหนองตาจอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แล้งมากที่สุด มีปริมาณฝนต่ำกว่า 1,000 มิลลิเมตร แต่ชุมชนสามารถใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอาคารน้ำล้นหน้าท่อ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีไม่มีความเหลื่อมล้ำ ในชุมชน


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 18 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ประเด็นสุดท้าย คือ ข้อมูลแผนที่น้ำระดับตำบล สสน. มีข้อมูลพื้นฐานอยู่ประมาณ 4,000 ตำบล 32 ชั้นข้อมูลในระบบ GIS เพื่อใช้เป็นฐานการทำผังน้ำให้ครบถ้วน ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นตัวอย่างข้อมูลที่มีอยู่ ปัจจุบัน สสน. ได้นำข้อมูลมาทาบกับข้อมูลชุมชนที่เข้มแข็งของกระทรวงมหาดไทย ทำให้สามารถชี้เป้า ได้ว่าถ้ามีการจัดทำแผน และมีเงินพัฒนาแหล่งน้ำ จะทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ สุดท้าย ขอนำเสนอแนวทางการทำงานร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง โดย 1. สสน. พร้อมเป็นหน่วยงานสนับสนุนในการถ่ายทอดความรู้ด้านสารสนเทศ จัดทำระบบรองรับ การทำงาน 2. สสน. พร้อมให้การสนับสนุนข้อมูล จากที่มีฐานข้อมูลมากกว่า 4,000 ตำบล 32 ชั้นข้อมูล มีข้อมูล หมู่บ้านเศรษฐกิจดีเด่นระดับจังหวัดของกระทรวงมหาดไทย ที่เกิดจากแผนที่น้ำตำบลที่จัดทำโดยท้องถิ่น 3. สามารถนำฐานข้อมูลมาใช้ต่อยอด ของแต่ละจังหวัดได้สามารถใช้ทำแผนพัฒนาภูมิสังคม ของจังหวัด เชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์ข้อมูลน้ำระดับจังหวัดได้ 4. สสน. มีบุคลากรทั้งในส่วนพื้นที่และส่วนกลางที่พร้อมร่วมกันทำงานได้ 5. มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปภัมภ์มีพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ รวม 26 แห่ง เป็น Area Based พร้อมเป็นฐานข้อมูลและฐานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อใช้สนับสนุนการทำงานกับ กรมโยธาธิการและผังเมือง


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 19 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ดร.รอยล จิตรดอน เลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ หัวข้อ : ประโยชน์ของผังน้ำ กับการวางแผนชลศาสตร์ จากที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้เล่าถึงหลักคิดขององค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรว่าพระองค์ท่าน ทรงคิดทรงทำสิ่งใดไว้บ้าง และดร.สุทัศน์ วีสกุล ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางในการที่จะพัฒนาเรื่องของผังน้ำ ที่เป็นส่วนหนึ่ง ของผังภูมิสังคมกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กระทรวงมหาดไทยเข้าไปสนับสนุนตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรีโดยปราจีนบุรีเป็นจังหวัดแรกที่มีผังน้ำทุกตำบล หากย้อนกลับไปเมื่อ 4 - 5 ปี ที่ผ่านมาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีในขณะนั้นได้ดำเนินการเรื่องนี้เนื่องจากเขื่อนนฤบดินทรจินดา ซึ่งเป็นเขื่อน สุดท้ายก่อนที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรจะสิ้นพระชนม์ เขื่อนนฤบดินทรจินดามีความจุประมาณ 200 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่แต่ละปีมีน้ำฝนตกในพื้นที่ประมาณ 500 – 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงริเริ่มทำผังน้ำ จังหวัดปราจีนบุรีมีถนนชื่อสุวรรณศรซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางจากสระบุรีถึง สระแก้ว แต่ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่ขวางทางน้ำที่ไหลมาจากเขาใหญ่ถ้าบริหารจัดการน้ำไม่ถูกก็จะสร้างปัญหา มหาศาล จากที่เคยนำผังน้ำมาใช้งานจริง จึงขอเล่าประสบการณ์ให้ทราบว่าผังน้ำช่วยได้อย่างไร เพราะถ้าหาก นำผังน้ำมาใช้งานจริงก็จะทำให้เห็นข้อมูลดีขึ้น วันที่เริ่มทำผังน้ำ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรท่านทรง ย้ำรับสั่งพระราชทานลงมาให้ทราบว่า ไม่ควรรอข้อมูลให้ถูกต้องทั้งหมด แต่ให้ใช้ข้อมูลที่ถูกต้องร้อยละ 70 ก็เพียงพอ แล้วต่อไปจะค่อย ๆ ดีขึ้น หากรอข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วนทั้งหมดก็ไม่มีทางที่โครงการจะเกิดขึ้น นั่นคือจุดเริ่มต้น และเมื่อมีประสบการณ์ถึงจุดหนึ่งจะทำให้แผนงานดีขึ้น แต่หากสร้างเครื่องมือแล้วนำไปทำแผน โดยที่ยังไม่ได้ใช้คิดว่าข้อสรุปไปสู่แผนจะทำให้ได้แผนจากฝัน ไม่ใช่แผนจากการปฏิบัติวันที่ได้มีโอกาสถวายงาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ท่านทรงฝึกให้เป็นนักปฏิบัติแต่ต้องมีเครื่องมือที่จะใช้ประกอบการคิดด้วย และสิ่งที่ท่านทรงสอนอีกเรื่องหนึ่ง คือ เวลาคิดอะไร ให้คิด 2 - 3 ตลบไม่ควรคิดตลบเดียว เพราะการคิด 2 ตลบ จะทำให้เห็น Impact และหากคิด 3 ตลบ จะทำให้เห็นว่าโจทย์ข้างหน้าจะเป็นอะไร ซึ่งจะสร้างความยั่งยืน ให้เกิดขึ้นได้ยกตัวอย่างการใช้ผังน้ำที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดยากจนอันดับ 2 ของภาคเหนือ แต่ปัจจุบัน กลายเป็นจังหวัดที่มีฐานะดีเขตที่ยากจนมากที่สุดของจังหวัดแพร่ คือ วังชิ้น หลังจากเริ่มพัฒนาแหล่งน้ำ เริ่มทำผังน้ำเพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำก็กลายเป็นพื้นที่ที่รวยขึ้นมาได้ภายใน 2 – 3 ปี หรือเขื่อนบางลาง จังหวัดปัตตานีก็พบกับปัญหาอย่างหนักในปี พ.ศ. 2557 โดยมีฝนตกมากในพื้นที่ รวมทั้งคลื่นในอ่าวไทยยกสูง เมื่อน้ำในเขื่อนบางลางล้น การระบายน้ำออกจากเขื่อนจึงทำได้ยาก ผังน้ำเป็นเครื่องมือที่ทำให้สามารถรอดมาได้ ซึ่งปรากฏว่าวันนั้นประเทศมาเลเซียส่งคำถามถึงนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ว่าทำอย่างไรทั้งที่ฝนตก มากขนาดนี้ถึงยังรอดอยู่ได้ทำไมไทยเตรียมการได้เร็วขนาดนั้น ซึ่งได้ทราบเรื่องนี้ตอนที่ท่านนายกรัฐมนตรี ไปตรวจเยี่ยมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี จึงได้มีโอกาสแสดงว่าปีพ.ศ. 2557 ชุมชน บริหารน้ำอย่างไร และพื้นที่สำคัญอีกพื้นที่หนึ่ง คือ ทะเลน้อยทะเลหลวง จังหวัดพัทลุง ซึ่งทุกคนทราบดีว่าถ้าหาก


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 20 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว คือ ป่าพรุควนเคร็ง ถ้าเปรียบเทียบระหว่างจังหวัดนครศรีธรรมราช และ จังหวัดพัทลุง จะเห็นว่ามีพัฒนาการที่ต่างกันค่อนข้างมาก เนื่องจากการรวมตัวของชาวบ้าน ซึ่งเป็นผลจากการที่ น้ำท่วมปีละ 4 - 5 ครั้ง จากพายุที่เข้าทะเลน้อยทะเลหลวง จึงได้ทำการบริหารระบบข้อมูล ทั้งระดับตำบล ระดับจังหวัด และส่วนกลางที่กระทรวงมหาดไทย ร่วมดำเนินการไปพร้อมกันโดยใช้ผังน้ำเป็นตัวช่วย หรือ คลองบ้านนาจังหวัดนครนายกที่ได้นำทรายจากพื้นที่ไปถมที่ดิน เพื่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อให้เกิด ทะเลสาบ 7 – 9 แห่ง สามารถจุน้ำได้เป็นร้อยล้านลูกบาศก์เมตร แต่แทบจะไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์เลย กลับกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวแคมป์ปิ้ง ซึ่งช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด 19 ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมบริเวณคลองบ้านนา ก็พบว่าพื้นที่แคมป์ปิ้งบริเวณทะเลสาบคลองบ้านนามีค่าเช่าที่พักถึงคืนละ 2,000 บาท ในขณะที่โรงแรมต่าง ๆ ในพื้นที่อื่นต้องลดราคาเหลือคืนละ 1,000 บาท เห็นว่าทางออกสำหรับอนาคตของประเทศไทยต้องอาศัย กระทรวงมหาดไทยในการบริหารจัดการน้ำ ความสำคัญของผังน้ำ จากที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กรุณาเล่าให้ฟังแล้วว่า เศรษฐกิจพอเพียงสอนให้ มีเหตุและผล เป็นหลักสำคัญในการนำไปสู่Risk Management ไม่ใช่ Maximize Profit หรือการกำหนดราคา เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดอีกต่อไป จากอดีตประเทศไทยใช้หลัก Supply Management เพราะมีน้ำเกินพอ แต่ปัจจุบันน้ำขาดแคลนปีละเกือบแสนล้านลูกบาศก์เมตร จึงต้องเปลี่ยนเป็น Demand Management ซึ่งเป็นไปตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การเปลี่ยนเป็น Demand Management จะทำแบบ Top Down ไม่ได้แต่ต้องอาศัยชาวบ้านในระดับตำบล Demand Management คือ การที่ต้องใช้น้ำซ้ำให้ได้ โดยเฉพาะ ภาคอีสาน


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 21 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ จังหวัดแพร่ แต่เดิมคิดว่าจังหวัดแพร่ไม่มีโครงสร้างน้ำ แต่เมื่อได้สอบถามชาวบ้านในระดับตำบล ส่วนราชการร่วมกับชาวบ้านในการทำข้อมูลให้เป็นชุดเดียวกัน แผนที่ตรงกัน แล้วร่วมกันคิดว่าจะต้องแก้ไข อย่างไร ต้องบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งได้ดำเนินการตามที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรท่านทรงสอน จากที่ได้ตาม ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เข้าเฝ้าที่วังไกลกังวล เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศรท่านทรงใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการสอน จากการทำอย่างนี้ทำให้ได้โครงสร้างน้ำเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว จากข้อมูลเดิมที่ส่วนราชการมี ทำให้พบแก้มลิงจำนวนพันกว่าไร่ในจังหวัดสุโขทัยที่ไม่อยู่ในบัญชีของจังหวัด มีแก้มลิงอยู่ 3 - 4 แห่งขนาดพื้นที่400 - 500 ไร่ ที่ไม่ปรากฏว่าหน่วยงานใดเป็นผู้ทำ เนื่องจากขาดผัง ขาดแผนที่ ขาดการบริหารจัดการซึ่งเป็นหัวใจของการที่จะทำให้เกิดแผนงานที่ดีเมื่อทำแผนที่ข้อมูลชุดเดียวกันกับทุกภาคส่วน ก็ทำให้จับมือกันทำงานได้การจับมือกันทำงาน คือ “เข้าถึง” เมื่อเข้าถึงการพัฒนาก็เกิด ปัจจุบันคนแพร่ จะทราบดีว่าถ้าหากขาดน้ำ ควรจะทำอ่างเก็บน้ำที่ใด และเมื่อจังหวัดสุโขทัยจับมือกับจังหวัดแพร่ก็ทำให้ทราบว่า น้ำไม่ได้หลากมาจากจังหวัดแพร่ แต่หลากมาจากลำปาง และอุตรดิตถ์เห็นได้ว่าถ้าไม่ได้สอบถามจากชาวบ้าน ก็ไม่เข้าใจ จากเดิมที่คิดว่าจังหวัดแพร่ไม่มีอ่างเก็บน้ำ เมื่อสอบถามชาวบ้านแล้วปรากฏว่ามีอ่างเก็บน้ำ 163 อ่าง ที่พิสูจน์ทราบแล้วมีประมาณ 20 อ่าง ที่ทราบว่าหน่วยราชการใดเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ 10 กว่าอ่าง และจากผังน้ำทำให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ร่วมมือกับสุโขทัย ในการจัดทำศูนย์น้ำแห่งแรก ของประเทศไทย แล้วมอบหมายให้แต่ละตำบลรายงานระดับน้ำของแต่ละอ่างสัปดาห์ละ 1 ครั้ง นั่นคือ การเริ่ม ด้วยหน้าที่ เมื่อทำตามหน้าที่สำเสร็จ จึงเริ่มมีแนวทางที่ดีว่าจะเดินต่ออย่างไร เช่น มีระบบดักตะกอน แล้วก็ทราบว่า แต่ละปีมีฝนบริเวณใด และเมื่อติดตามปริมาณน้ำฝนก็ทำให้คาดการณ์ได้ว่าจะต้องระบายอย่างไร และเก็บอย่างไร เห็นได้จากปีพ.ศ. 2558 จังหวัดแพร่ทราบว่าจะเกิดภัยแล้ง จึงใช้วิธีฟื้นระบบถังเพื่อเก็บน้ำตั้งแต่เดือนมกราคม โดยใช้งบประมาณเพียง 10 ล้านบาท สิ่งนี้คือการเปลี่ยนวิธีคิด ทำให้รอดด้วย ราคาถูกด้วย กลายเป็นการลงทุน เป็น Investment แต่ถ้ารอให้เกิดวิกฤตน้ำแล้งเกิดขึ้นก่อน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถ ในการขนส่งน้ำกิโลเมตรละ 30 บาท ซึ่งเป็น Cost หรือค่าใช้จ่าย การเปลี่ยนสิ่งที่เคยเป็นค่าใช้จ่ายมาเป็นการลงทุน กลายเป็นทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันความมั่นคง คือ สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรท่านทรงรับสั่ง จึงเกิดเศรษฐกิจพอเพียง คือ แทนที่คิดถึงกำไรสูงสุดก็เปลี่ยนมาเป็นการบริหารความเสี่ยง


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 22 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ จากภาพ การมีฝาย อ่างเก็บน้ำ เมื่อเกิดพายุเข้าสามารถที่จะเตรียมพร้อมได้เนื่องจากทุกตำบลต้อง รายงานข้อมูลทุกสัปดาห์ ขอบอกเล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีพ.ศ. 2554 โดยเดือนกุมภาพันธ์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในสมัยนั้นได้สอบถามสถานการณ์น้ำ จึงได้เรียนให้ทราบว่า มีการคาดการณ์ว่า จะเกิดน้ำท่วม ซึ่งท่านได้สอบถามว่าถ้าหากน้ำท่วมจะให้กองทัพบกทำอย่างไร จึงได้เรียนว่าขอให้เปลี่ยนจาก การซ้อมรบเป็นการเตรียมซ้อมรับภัยพิบัติ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าทหารได้เข้ามาช่วยเหลือในเมื่อเกิด เหตุการณ์น้ำท่วม แล้วเดือนมิถุนายนนายกรัฐมนตรีส่งทีมงานมาสอบถามว่ามีโอกาสที่น้ำจะท่วมหรือไม่ จนถึงเดือนกรกฎาคมพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ซึ่งขณะนั้นทรงประทับอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ท่านโปรดให้เข้าเฝ้าเพื่อส่งสัญญาณเตือน แต่ขณะนั้นอยู่ในระหว่างการเลือกตั้งจึงไม่มีการบริหาร จัดการน้ำ จนเกิดน้ำท่วมที่กำแพงเพชร สุโขทัย ไล่ลงมา เห็นได้ว่าทั้งหมดเดินได้ด้วยผังน้ำ เพราะผังน้ำจะมี ข้อมูลให้ทราบว่าน้ำจะมาจากทางใด เก็บน้ำไว้ได้อย่างไร และต้องเร่งระบายออกทางใด


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 23 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ กรณีของภาคใต้มีพายุเข้าจังหวัดปัตตานีเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 จังหวัดปัตตานีมีฝายที่เขื่อน ปัตตานีและ 2 ข้างทางเป็นคูน้ำ จึงได้ทำการแก้ปัญหาด้วยใช้วิธี “คลองยืมดิน” ซึ่งเป็นหลัก 2 in 1 ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงรับสั่ง เดิมคลองส่งน้ำในจังหวัดปัตตานีมีต้นน้ำที่กว้างกว่าปลายน้ำ ซึ่งระบายน้ำไม่ดี จึงใช้วิธีคลองยืมดิน เพื่อปรับเปลี่ยนให้ปลายน้ำกว้างขึ้น ซึ่งทำให้เพิ่มความสามารถ ในการระบายน้ำทันที 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีทั้งนี้ต้องทราบว่าน้ำจากอ่าวไทยจะยกตัวอย่างไร ซึ่งข้อมูลนี้ ทราบจากการที่ทรงรับสั่งให้ผมขึ้นเฮลิคอปเตอร์สำรวจพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เนื่องจากเป็นพื้นที่ตัวอย่างที่ดีที่สุด เพราะว่าในอดีตจะมีคลองขวางทางน้ำก่อนที่จะไหลลงอ่าวไทยทุกชายหาดของประเทศไทย และคลองนี้จะช่วย ไม่ให้ชายหาดถูกกัดเซาะเพราะมีผักบุ้งทะเล และน้ำจืดช่วยดันชายหาดไว้ซึ่งจากการบินสำรวจพื้นที่นราธิวาส จึงทำให้เห็นแนวคลองน้ำจืดที่ช่วยดันน้ำอยู่ ที่กล่าวได้อย่างนี้เนื่องจากได้เคยนำวิธีคลองยืมดินไปทดลองในพื้นที่ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากเดิมที่ชายหาดถูกกัดเซาะ ปรากฏว่าหลังจากใช้วิธีคลองยืมดินก็สามารถ รักษาชายหาดไว้ได้โดยนำน้ำจากบริเวณเส้นทางรถไฟไปเก็บไว้ในสระขนาดเกือบ 100 ไร่ บริเวณชายหาด ซึ่งสระน้ำจืดนี้จะช่วยดันชายหาด เห็นได้ว่าธรรมชาติช่วยธรรมชาติคือหัวใจในการแก้ปัญหา


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 24 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ จากการทดลองที่บ้านปิยมิตร 3 จังหวัดยะลา โดยทำเป็นฝายเก็บน้ำ จากอดีตที่เละเทะก็ทำให้พื้นที่ ฟื้นฟูดังเดิม


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 25 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ จากรูป ด้านบนคืออ่าวไทย ด้านล่างคือเขื่อนบางลาง ตรงกลางคือเขื่อนปัตตานีก่อนที่น้ำจะผ่าน เข้าตัวเมือง ด้านขวามือคือตำบลรูสะมิแล ด้านซ้ายคือตำบลปะกาฮะรัง เห็นได้ว่าเหนือเขื่อนมี 2 คลอง จึงใช้วิธี คลองยืมดิน ทำให้ได้ความจุน้ำเพิ่ม และจากการที่คลองถูกขวางด้วยถนนวงแหวนก็จัดการเปิดบล็อกทำให้ คลองกลับมาทำงานได้ เมื่อน้ำทะเลยกตัวก็หยุดการระบายน้ำจากบางลาง แล้วเมื่อน้ำทะเลลงจึงระบายน้ำบางลาง พื้นที่แก้มลิงก็ใช้งานได้ เห็นได้ว่าน้ำท่วมที่ปัตตานีลดลง โดยชาวบ้านจะเตรียมเกี่ยวข้าวให้หมดในเดือนตุลาคม เพื่อเตรียมรับน้ำหลากในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม แล้วก็กลับมาปลูกใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งหมด นี้ก็มาจากผังน้ำ แล้วในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนพื้นที่เกษตร จากเดิมทำนาอย่างเดียวเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำสวน เลี้ยงปลาส่งขายประเทศมาเลเซีย ทำให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 26 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ จากรูป ถนนวงแหวนจะอยู่ตรงกลางรูป ส่วนที่เป็นเส้นยึกยักคือคลองที่มีอยู่เดิม สีเขียวคือส่วนที่ เปลี่ยนจากท่อขนาดเล็กเป็นบล็อกคอนกรีต ทำให้คลองกลับมาทำงานได้สิ่งที่ยังขาดคือ คลองทางด้านรูสะมิแล ที่จะออกชายหาดรูสะมิแลที่เป็นหาดโคลน ซึ่งหาดโคลนไม่สามารถขุดคลองขนาดใหญ่ได้เนื่องจากจะทำให้ ชายหาดเสียหาย คล้ายกับที่จังหวัดเพชรบุรีที่เป็นหาดเลน นั่นเป็นสาเหตุที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทำที่ปึกเตียน โดยลดระดับถนนปึกเตียนลงมาเป็นคอนกรีตยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อให้น้ำบ่าออก แล้วทางด้านทิศตะวันออกของถนนปึกเตียนก็เป็นคลองในพระราชดำริ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เรามีตัวอย่างที่ดีมากมาย เช่น ถนนลดระดับให้น้ำบ่าออก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกิด การใช้งาน ไม่มีองค์กรที่จะดูแลในระดับพื้นที่ ซึ่งกลไกที่ช่วยจะประสานงานทุกส่วนเข้าด้วยกันคือผังน้ำ


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 27 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ ลุ่มน้ำตรัง ได้ดำเนินการโดยแบ่งพื้นที่อำเภอทุ่งสงเป็นพื้นที่เล็ก ๆ แล้วก็ให้แต่ละพื้นที่ช่วยกันทำผังน้ำ ซึ่งทุ่งสงมีความสำคัญ เพราะเป็นหัวใจของโลจิสติกในภูมิภาค ทุ่งสงเป็นเมืองของนักเดินทางมาตั้งแต่สมัยอดีต จนถึงปัจจุบัน จึงได้มีเส้นทางรถไฟไปนครศรีธรรมราชและตรัง แต่ผู้ที่ใช้ประโยชน์คือมาเลเซียที่ใช้เป็น เส้นทางในการขนส่งสินค้า รวมทั้งอินเดียก็ขอให้ทำ Land Bridge เพราะการที่อินเดียส่งสินค้าไปขายต้องผ่าน สิงคโปร์ซึ่งเสียเวลา รวมทั้งประเทศจีนลงทุนสร้างท่าเรือที่แอฟริกา การจะขนส่งสินค้าไปจีนต้องอ้อมผ่านสิงคโปร์ Land Bridge ที่ภาคใต้ของประเทศไทยจึงเป็นความหวังของนานาชาติ อดีตจังหวัดตรังเห็นว่าทุ่งสงเป็นตัวเทน้ำ ลงไปที่จังหวัด แต่เมื่อทำผังน้ำเสร็จก็เห็นความจริงว่าไม่ใช่ แต่น้ำเกิดจากฝนที่ตกในพื้นที่จังหวัดเอง รวมทั้งการที่ไม่ได้แผ่น้ำ แต่พยายามให้น้ำออกทางปากแม่น้ำทางเดียว ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน และจากที่ได้ทราบว่า คำว่า “ตรัง” แปลว่า “ควน” หรือรอนคลื่น ดังนั้น จังหวัดตรังจึงต้องบริหารน้ำต่างจาก พื้นที่อื่นของภาคใต้โดยต้องบริหารน้ำแบบภาคอีสาน คือ เป็นลุ่มน้ำย่อย ๆ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก จากการลงพื้นที่ จังหวัดตรังแล้วเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาของคนในพื้นที่ จึงทำการปรับเปลี่ยนหลายเรื่อง ทุ่งสงเป็นพื้นที่เดียว ที่ทำถนนเป็นสะพานเพื่อที่จะไม่ลดขนาดของคลอง โดยทำเป็นสลักยื่นเข้าไปในคลอง ทำให้ลดปัญหาน้ำท่วมได้ ซึ่งถ้าหากนำตัวอย่างจากทุ่งสงไปทำที่ทวีวัฒนาจะช่วยประหยัดงบประมาณมากกว่าการสร้างอุโมงค์น้ำอย่างมาก โดยทิ้งบล็อกลงไปที่ก้นคลองทำให้คลองทวีวัฒนาให้ลึกเพิ่ม 2 เมตร แล้วดันน้ำออกปลายคลองบริเวณ ซอยเพชรเกษม 69 ซึ่งคลองในกรุงเทพมหานครจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้เพราะว่ามีโคลนเลนที่อยู่ก้นคลอง เกือบเท่ากับน้ำ จึงควรทำบล็อกเพิ่มความลึกของคลอง ซึ่งดีกว่าการทำอุโมงค์ เพราะถ้าหากฝนตกต้องใช้วิธีสูบน้ำ เข้าอุโมงค์แต่ถ้าทำบล็อกในคลองจะทำให้น้ำเข้าได้ตลอดเส้นทางของคลอง การที่เราไปดูตัวอย่างที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นแล้วก็กลับมาทำอุโมงค์ที่กรุงเทพมหานคร โดยที่ลืมไปว่าสภาพพื้นที่ด้านทิศตะวันตกของเมือง โตเกียวสูงกว่าด้านทิศตะวันออกเกือบ 30 เมตร เมื่อฝนตกน้ำจึงหลากจากทางตะวันตกไปตะวันออกของเมือง


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 28 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ โตเกียวจึงทำจุดรับน้ำบริเวณตะวันออกแล้วส่งน้ำลงทะเลได้เลย แต่พื้นที่กรุงเทพมหานครต้องสูบน้ำออกจากอุโมงค์ 30 เมตร แล้วการที่ฝนตกในเมืองน้ำจึงไม่เข้าอุโมงค์ ซึ่งเห็นว่าควรสร้างอุโมงค์สำหรับรับน้ำหลากจาก นครสวรรค์ดีกว่า การได้ Concept ที่ถูกต้องมาจากผังน้ำ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และจาก Practice จึงสามารถ เตือนภัยได้อย่างถูกต้อง พรุควนเคร็ง จังหวัดพัทลุง ในอดีตมีน้ำท่วม 4 - 5 ครั้งต่อปี แต่ปัจจุบันแทบจะไม่มีน้ำท่วม เนื่องจาก การดำเนินการ ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขุดลอกบริเวณทะเลให้เป็นร่อง ทำให้มีปลา พรุก็ไม่มีไฟไหม้ ดินที่ขุดลอก ก็นำไปพูนเก็บไว้ให้ควายน้ำในทะเลน้อยสามารถขึ้นไปอยู่ตอนน้ำท่วมได้ จากพื้นที่ทะเลน้อยทำให้คิดได้ว่า การทำถนน 4 เลนในภาคอีสาน ถ้าหากมีการขุดร่องระบายน้ำข้างถนนให้ดี ก็จะสามารถใช้เป็นที่เก็บน้ำ ดินที่ขุดก็นำมาถมเป็นถนนได้ หรือบนเกาะแตนที่อยู่ใกล้กับเกาะสมุยมีน้ำมากจนมีควายน้ำ แต่คนบนเกาะสมุย ไม่มีน้ำใช้ต้องต่อท่อนำน้ำไปจากเขื่อนรัชชประภา ทั้งที่เกาะแตนอยู่ห่างไปแค่ 1 กิโลเมตร พื้นที่พรุควนเคร็งนี้ ดำเนินการคล้ายกับที่ปัตตานีคือ ทำคลองยืมดิน แล้วขออนุญาตขยายคอสะพานถนนช่วงที่ผ่านถนนเอเชีย รวมทั้งขยายคอสะพานของทางรถไฟด้วย ทำให้น้ำไม่ท่วมและแห้งเร็ว


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 29 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายกมีทะเลสาบขนาด 200 กว่าไร่ ถึง 7 แห่ง แต่ส่วนราชการไม่มีข้อมูลว่า มีทะเลสาบอยู่ในจังหวัด เพราะทะเลสาบเหล่านี้เกิดจากการขุดหน้าดินไปถมพื้นที่เพื่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ทะเลสาบเหล่านี้สามารถจุน้ำได้ถึงร้อยล้านลูกบาศก์เมตรแต่ไม่ได้นำมาใช้ เมื่อน้ำแล้งจังหวัดนครนายกขาดน้ำดิบ สำหรับทำประปา เพราะถึงแม้ว่าจังหวัดนครนายกจะมีเขื่อนขุนด่านปราการชล แต่เขื่อนก็มีความจุน้ำเพียง สองร้อยกว่าล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งส่งให้กรุงเทพมหานครผ่านทางรังสิตแห่งเดียวน้ำก็แทบจะไม่พอแล้ว เพราะคนนครนายกไม่ได้นำทะเลสาบมาใช้ประโยชน์เลย การช่วยระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเขื่อนคลองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์แต่เดิมจะระบาย ออกทางด้านรังสิตปทุมธานีซึ่งระบายได้ประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีพ.ศ.2554 ระบายน้ำได้เพียง 20 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในขณะที่แม่น้ำเจ้าพระยาต้องรับน้ำ 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงทำให้น้ำท่วม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงรับสั่งว่าต้องระบายให้ได้ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะนี้ขยายแล้วสามารถระบายน้ำได้ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประกอบกับเมื่อปีพ.ศ. 2565 ได้ทดลองใช้ แนวเส้นทางคลองร้อยคิว จังหวัดสมุทรปราการ ที่มีขีดความสามารถในการระบายน้ำได้ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ช่วยในการระบายน้ำลงอ่าวไทย ทำให้ไม่มีพื้นที่ใดน้ำท่วม ซึ่งเห็นว่าสามารถใช้ได้ผลจริงและข้อดีของการเปลี่ยน คลองส่งน้ำทางด้านรังสิตตั้งแต่คลอง 7 ถึงคลอง 16 ทั้งหมดเป็น 2 in 1 แต่ต้องใช้เรือผลักดันน้ำของทหารเรือ ช่วยในการส่งน้ำจากรังสิตไปที่บางปะกง เนื่องจากพื้นที่บางปะกงสูงกว่ารังสิต 1 เมตร ส่วนทางด้านจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะผลักดันน้ำออกทางแม่น้ำท่าจีน ซึ่งปรากฏว่า 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ฝนตกหนักที่จังหวัดสุพรรณบุรีทำให้น้ำออกไม่ได้จนน้ำล้นเขื่อนกระเสียว เนื่องจากแม่น้ำท่าจีนมีปัญหา ในการระบายน้ำบริเวณกระเพาะหมูจังหวัดสมุทรสาคร จึงมีแนวคิดในการทำประตูน้ำเช่นเดียวกับคลองลัดโพธิ์


ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หน้า 30 การจัดการน้า ชุมชนตามแนวพระราชดา ริ จังหวัดสมุทรปราการ เพราะน้ำจากด้านบนไหลได้200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีแต่เมื่อผ่านจังหวัด สมุทรสาครเหลือแค่ 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีซึ่งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีสถานีสูบน้ำชลหารพิจิตร ในขณะที่ฝั่งตะวันตกยังไม่มีสถานีสูบน้ำ จึงทำให้พื้นที่บางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำท่วมเพราะไม่มี ทางให้น้ำเดินลงสู่ทะเล สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงทำตัวอย่างให้เห็น คือ ขยายการระบายน้ำ ที่คลองลัดโพธิ์ การขยายการระบายน้ำต้องทำที่ด้านล่างก่อน ถ้าขยายที่ด้านบนแล้วไม่ขยายด้านล่างน้ำจะเดิน ได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทำ คือ ทำคลองผันน้ำ 1,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีที่ บางบาล – บางไทร - วงแหวน 3 ทั้งที่ด้านล่างระบายน้ำไม่ได้ ซ้ำร้ายจากสถานการณ์Climate Change จะส่งผลให้น้ำทะเลที่ปากอ่าวไทย สูงขึ้น 40 เซนติเมตร ซึ่งเห็นได้จากที่ปีนี้น้ำที่เขื่อนเจ้าพระยามีเพียง 2,800 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปรากฏว่า ปทุมธานีน้ำเกือบจะล้นตลิ่งเพราะน้ำทะเลยกตัว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ คือ เพิ่มการระบายน้ำทาง ฝั่งตะวันตก นั่นคือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงรับสั่งกับ ดร.สุเมธ และผมว่า ขอให้ขยาย การระบายน้ำทางด้านตะวันตก สรุป คือ ผังน้ำเป็นตัวช่วย และกระทรวงมหาดไทยคือผู้ทำให้สำเร็จได้โดยวางแผนในการรับมือว่าจะ แผ่น้ำไปทางฝั่งตะวันออกได้อย่างไร และจะแผ่น้ำไปทางตะวันตกอย่างไร เพราะตอนที่น้ำจะลงอ่าวไทยจำเป็น จะต้องแผ่น้ำ ถ้าอ่าวไทยยกตัวสูงขึ้นแล้วไม่แผ่น้ำ ในอนาคตวัดพระแก้วอาจจะน้ำท่วม ถ้าหากว่ายังใช้แต่แม่น้ำ เจ้าพระยาแห่งเดียวในการระบายน้ำอยู่อย่างนี้ ยกตัวอย่างจากเวลารถติด จะไปทางด่วนหรือจะเลือกไป เส้นทางลัด คนส่วนใหญ่ก็จะไปเส้นทางลัด น้ำท่วมก็คล้ายกับรถติดที่มีเส้นทางลัดแต่ไม่ใช้ หวังว่า กระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้สร้างการใช้งานทางลัด ข้อมูลผังน้ำย่อยที่ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ มีแล้วซึ่งสามารถส่งต่อได้ทั้งหมด จึงขอให้กระจายงานออกไปให้ได้โดยใช้ผังน้ำเป็นกลไก ซึ่งผู้ที่ จะทำให้เกิดผังระดับตำบลได้คือ กระทรวงมหาดไทย ถึงวันนี้จากความสำเร็จที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร และ ดร.สุเมธ ช่วยทำไว้ คือ คิดแบบ แมคโคร (Macro) และทำอย่าง ไมโคร (Micro) แต่การที่จะคิดแบบ แมคโคร (Macro) และทำอย่าง แมคโคร (Macro) ได้ ต้องอาศัยกระทรวงมหาดไทยเท่านั้นที่จะเป็น กลไกในการสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และผังน้ำจะเป็นตัวช่วยในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ทรงรับสั่งไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2553 ว่า “น่าจะพร้อมแล้วที่จะทำ แมคโคร (Macro)


ที่ปรึกษา นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้บริหารสูงสุดของส่วนราชการ (CEO) นางสาวอัญชลี ตันวานิช ที่ปรึกษาด้านการผังเมือง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความรู้ (CKO) บรรณาธิการ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาเมือง หัวหน้าคณะทำงานการจัดการความรู้ (CKM Team) กองบรรณาธิการ สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาเมือง 1. นางสาวไพรินทร์ ดุราศวิน หัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2. นางสาวจิตกุศล เปาประดิษฐ นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ 3. นางสาวสุชีรา เรืองรัศมีชัย นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ 4. นายเมธี รุจสกนธ์ นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ 5. นางสาวอรณี มีสา พนักงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล


Click to View FlipBook Version