บทที่ 1
จิตวิทยาการศึกษาและความเป็นครู ภาระหน้าที่สาคัญของครู คือ การทาให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนร้ใู ห้ ได้มากท่ีสุดเท่าทีจ่ ะทาได้ ดัง้ น้นั ครูจึงเป็นบคุ คลท่มี บี ทบาท
สาคัญท่ีจะ ทาใหก้ ารเรยี นรู้มีประสทิ ธภิ าพหรอื ไม่ ซง่ึ การที่ครูจะจัดการเรียนรู้ได้ อยา่ งมี
ประสิทธิภาพนั้น ในเบื้องต้นก็จะต้องมีความรู้ในเน้ือหาวิชาท่ี จะต้องรับผิดชอบในการ
จัดการเรียนรู้ และจะต้องมีความรู้ในศาสตร์ อ่ืนๆท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วย
เช่น หลักการจัดการเรียนรู้ หลักสูตร การวัดและประเมินผล เทคโนโลยีการศึกษา และ
จิตวิทยา โดยเฉพาะศาสตร์ทางจิตวิทยานั้นเป็นศาสตร์ที่มีความสาคัญต่อการ จัดการ
เรียนรู้ เน่ืองจากศาสตร์ทางจิตวิทยาจะมีทฤษฎีท่ีอธิบายเก่ียวกับ การเรียนรู้ การ จูงใจ
พัฒนาการของผู้เรียนและปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อ การเรียนรู้ ซ่ึงความรู้ต่างๆเหล่าน้ีหาก
เข้าใจอย่างถ่องแท้จะเป็น ประโยชนต์ ่อการจัดการเรียนรู้ ดงั น้นั วิชาจติ วทิ ยาจงึ มีความ
จาเป็น สาหรับครูอย่างย่ิงต่อการจัดการเรียนรู้ เพราะความรู้ทางจิตวิทยาจะ ช่วยให้ครู
ไดพ้ ฒั นาหรอื เลอื กวธิ กี ารจัดการเรยี นรไู้ ดเ้ หมาะสมกับผู้เรียน
(http://patkru.blogspot.com) ครูจึงไม่เพียงแตจ่ ะต้องมีความรู้ทาง
วชิ าการเพื่อจะสอนนักเรียนเทา่ น้ัน แต่ครูยงั จะตอ้ งเป็นผูช้ ่วยนกั เรยี น
ใหพ้ ฒั นาทงั้ ทางด้านสติปญั ญา บคุ ลิกภาพ อารมณ์ และสงั คมด้วย
ความหมายของจติ วทิ ยา
“จติ วทิ ยา” ในภาษาอังกฤษใช้คาวา่ “psychology” ซ่ึงมรี าก ศัพท์มาจากภาษากรีก 2 ค า
คือ “psyche” และ “logos” ค าวา่ “psyche” แปลเป็น ภาษาไทยวา่ “วญิ ญาณ” (ซึง่ ตรงกับ
ภาษาอังกฤษว่า soul) ส่วน “logos” แปลเป็นภาษาไทยว่า “วิชาการและการศึกษา” (ซึ่ง
ตรงกับ ภาษาอังกฤษว่า study) ดังน้ัน ความหมายของ “จิตวิทยา” ตามรากศัพท์
ภาษาอังกฤษจึงหมายถึง การศึกษาเก่ียวกับวิญญาณ ต่อมามีการศึกษา พฤติกรรมของ
มนุษย์ในเชิงวิทยาศาสตร์กันมากขึ้น โดยมุ่งศึกษา เกี่ยวกับพฤติกรรมการกระทาหรือ
กระบวนการคิด พร้อมๆกับการศึกษา เรื่องสติปัญญา ความคิด ความเข้าใจ การใช้
เหตุผล รวมทั้งเร่ืองของตน (Self) และเร่ืองราวของบุคคลทีแ่ สดงพฤตกิ รรมท่ีมุ่งเน้นเร่ือง
การ ปรับตัวของบุคคล โดยนาการสงั เกตและการทดลองมาเก่ยี วข้องเพ่อื รวบรวมความรู้
มาใช้ในการศึกษาอย่างเป็นระบบ เป็นการศึกษาที่เน้น เฉพาะพฤติกรรมท่ีเก่ียวข้องกับ
ประสบการณ์เท่าน้ัน ได้มีผู้ให้ ความหมายของจิตวิทยาไว้ดังน้ี สุปราณี สนธิรัตน์ และ
คณะ (2537 : 1) ให้ความหมายของ จิตวิทยาไว้ว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ท่ีศึกษาค้นคว้า
เพ่ือน าข้อมูลต่างๆ ความรทู้ ี่ได้จากแนวคดิ ทฤษฎี และการทดลองนามาเสนอเพื่ออธิบาย
และ ควบคุมพฤตกิ รรมทาให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของมนุษย์ เติมศักดิ์ คทวณิช
(2546 : 12) ให้ความหมายของจิตวิทยาไว้ ว่า จติ วทิ ยาเป็นวชิ าท่ีมุ่งศึกษาพฤติกรรมของ
มนุษย์และสัตว์ โดยใช้ ระเบียบวิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ลักขณา สริวัฒน์ (2557 :
11) ให้ความหมายของจิตวิทยาไว้ ว่า การศึกษาในเร่ืองท่ีเก่ียวกับพฤติกรรม
กระบวนการทางจิตของ มนุษย์ในลักษณะท่ีเป็นศาสตร์ท่ีสามารถศึกษา ทดลอง หรือ
พิสูจน์ได้ ดังนั้นจึงสรุปความหมายของจิตวิทยาได้ว่า จิตวิทยาเป็นวิชาที่ ศึกษาเก่ียวกับ
พฤติกรรมและกระบวนการของจิตของมนษุ ย์ โดยอาศัย ระเบียบวธิ กี ารเชงิ วิทยาศาสตร์
เพอื่ ใช้ในการอธิบาย ทานาย และ ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์
จดุ ม่งุ หมายในการศึกษาทางด้านจิตวิทยา
จุดประสงค์ในการศึกษาจิตวิทยาของนักจิตวิทยามี 3 ประการ คือ 1. เพื่อเข้าใจหรือ
อธิบาย (Understanding / Description)) พฤติกรรมของบุคคลและสังคม ว่าทาไมพฤติกรรม
และกระบวนการทาง จิตจงึ เกิดขึ้นไดแ้ ละมีสาเหตุมาจากส่ิงใด 2. เพอื่ ทานาย (Prediction)
พฤติกรรมของบุคคลและสังคม โดยสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีพฤติกรรมลักษณะใด
เกิดข้ึนในอนาคต จะช่วยให้สามารถวางแผนการป้องกัน แก้ไข หรือส่งเสริมพัฒนา
พฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม 3. เพื่อควบคุม (Control) พฤติกรรมของบุคคลและสังคม ซึ่ง
จะ ช่วยให้สามารถปรับพฤติกรรมให้มีลักษณะท่ีเหมาะสมตามท่ีบุคคลและ สังคม
ต้องการมากยงิ่ ข้ึน
ความหมายของจิตวิทยาการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษามีบทบาทสาคัญในการจัดการศึกษา ครูจึง จาเป็นต้องมีความรู้
พ้นื ฐานทางจติ วิทยาการศึกษา ไดม้ ผี ู้ใหค้ วามหมาย ของจิตวทิ ยาการศึกษาไว้ดังนี้ วรรณี
ลิมอักษร (2551 : 2 - 3) ได้สรุปความหมายไว้ว่า จิตวิทยาการศึกษาเป็นสาขาหน่ึงของ
จติ วิทยา ทีส่ นใจศึกษาและวจิ ัย เกย่ี วกบั กระบวนการเรียนรู้ การพัฒนากระบวนการทาง
ความคิด และ โครงสร้างของความรู้ท่ีเกิดขึ้นในตัวผู้เรียน ตลอดจนการจัด
สภาพแวดล้อมและบรรยากาศของการเรียนร้ทู ่ีเหมาะสม จิตวิทยา การศึกษาสอดแทรก
อยู่ระหว่างการสอนกับการเรียนรู้ โดยประสบการณ์ ที่จัดให้น้ันจะส่งผลให้มีการเรียนรู้
เกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงความรู้ ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกิดขึ้นในตัว
ผู้เรียน เป็นลักษณะ การจัดสถานการณ์ภายนอกไปกระตุ้น สนับสนุน หรือส่งเสริมให้
ผู้เรียน มีการเรยี นรู้เกดิ ขึน้ สรุ างค์ โคว้ ตระกูล (2553 : 1) ได้ใหค้ วามหมายไว้วา่ จติ วทิ ยา
การศกึ ษาเปน็ วทิ ยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจยั เก่ยี วกับการเรียนรูแ้ ละ พัฒนาการของผเู้ รียน ใน
สภาพการเรียนการสอนหรือในชั้นเรียน เพ่ือ ค้นคิดทฤษฎีและหลักการที่จะน ามาช่วย
แก้ปัญหาทางการศึกษาและ ส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ นุชลี อุปภัย
(2556 : 3) ได้ให้ความหมายไว้ว่า จิตวิทยา การศกึ ษาเป็นการศกึ ษาหาความรู้เพื่อน ามา
ใช้ในการดา เนินการเรียน การสอนให้มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยแนวคิดและทฤษฎีทาง
จิตวิทยามา เป็นพนื้ ฐานในการสร้างสรรคศ์ ิลปะการสอนให้เกิดคณุ ค่าและเกิด ประโยชน์
สูงสุดแก่ผู้เรียน ดังนั้นจึงสรุปความหมายของจิตวิทยาการศึกษาได้ว่า เป็น ศาสตร์ท่ีน
าแนวคิด ทฤษฎีทางจิตวิทยามาเป็นพื้นฐานในการศึกษาหา ความรู้เก่ียวกับกระบวนการ
เรียนรู้ของผู้เรียน ในสภาพการเรียนการ สอน เพ่ือช่วยให้ผู้สอนสามารถน าความรู้ที่ได้
น้ันไปพัฒนา ปรับปรงุ กระบวนการเรียนการสอนให้มปี ระสทิ ธภิ าพ
วตั ถปุ ระสงค์ของจติ วิทยาการศกึ ษา
Good win and Klausmeier ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของ จิตวิทยาการศึกษาอยู่ 2 ประการ
คือ 1. เป็นการให้ความรู้เก่ียวกับการเรียนรู้ของคนทั้งเด็กและ ผู้ใหญ่และจัดรวบรวม
อย่างมีระบบเข้าเป็นทฤษฎีหลักการและข้อมูล ต่างๆเกี่ยวข้องลักษณะนี้เป็นศาสตร์
ทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ (behavioral science) 2. เป็นการน าความรู้เกี่ยวกับการเรียน
และผู้เรียนมาจัดรูปแบบ เพื่อให้ผู้สอน ผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาได้น าทฤษฎีและ
หลักการไปใช้ ผู้สอนซ่ึงมีหลักทางจิตวิทยาดี ย่อมจะสามารถสร้างส่ิงแวดล้อมที่ดีกว่า
เพอื่ น าไปส่กู ารเรยี นรู้ผสู้ อนเข้าใจ
ความสาคญั ของจติ วิทยาการศึกษาต่ออาชีพครู
การเป็นครูที่ดีนนั้ จะตอ้ งเป็นด้วยจติ วิญาณมีความเขา้ ใจหลกั การ สอนกระบวนการสอน
ตามหลักวิชาการแล้วยังไม่พอ ครูจะต้องรู้เก่ยี วกับ จิตวทิ ยา เพราะครทู ุกคนมีวถิ ีชีวิตอยู่
กับคนแทบจะตลอดเวลาจึงจ าเป็น จะต้องรู้ชีวิตจิตใจของมนุษย์ว่าเขาเหล่านั้นมีความ
ตอ้ งการอะไร ดงั มี กลา่ วว่าคนเปน็ ครูจะต้องรู้จติ วิทยาเพราะว่าจิตวิทยาช่วยครไู ด้ดงั ที่ สุ
รางค์ โค้วตระกูล (2553 : 4 - 5) กล่าวไว้ดังต่อไปน้ี 1. ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย
(Characteristics) ของนักเรียน ที่ครูต้องสอนโดยทราบหลักพัฒนาการท้ังทางร่างกาย
สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม 2. ช่วยให้ครูมีความเข้าใจ
พัฒนาการทางบุคลิกภาพบาง ประการของนักเรียน เช่น อัตมโนทัศน์(Self concept) ว่า
เกิดข้นึ ได้ อยา่ งไร และเรียนรู้ถงึ บทบาทของครูในการท่ีจะช่วยนักเรียนให้มีอัต มโนทัศน์
ทดี่ ีและถูกต้องได้อย่างไร 3. ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อ
จะไดช้ ว่ ยนักเรยี นเปน็ รายบุคคลให้พฒั นาตามศกั ยภาพของแตล่ ะบุคคล 4. ช่วยให้ครรู ู้วิธี
จดั สภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่ วยั และข้ันพัฒนาการของนักเรียน เพื่อ
จูงใจให้นักเรียนมีความสนใจ และอยากจะเรียนรู้ 5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆท่ีมี
อทิ ธพิ ลต่อการเรียนรขู้ อง นกั เรียน เช่น แรงจงู ใจ อตั มโนทัศน์ และการตั้งความ คาดหวงั
ของครูท่ีมีตอ่ นกั เรยี น 6. ช่วยครใู นการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพื่อท าให้ การ
สอนมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้นักเรียนทุกคนเรียนรู้ตาม ศักยภาพของแต่ละบุคคล
โดยค านงึ หัวข้อต่อไปน้ี 6.1 ช่วยครเู ลอื กวัตถุประสงคข์ องบทเรยี นโดยค านึงถึง ลกั ษณะ
นิสัยและความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนที่จะต้อง สอน และสามารถที่จะเขียน
วัตถุประสงค์ให้นักเรียนเข้าใจว่าส่ิงท่ีครู คาดหวังให้นักเรียนรู้มีอะไรบ้าง โดยถือว่า
วัตถุประสงค์ของบทเรียนคือ สิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนทราบว่า เม่ือจบบทเรียนแล้ว
นักเรียนจะสามารถ ท าอะไรได้บ้าง 6.2 ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่
เหมาะสม โดยค านึงถึงลักษณะนิสัยของนักเรียนและวิชาท่ีสอน และ กระบวนการ
เรียนรู้ของนักเรียน 6.3 ช่วยครูในการประเมินไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาครูได้ สอนจนจบ
บทเรียนเท่า นั้นแต่ใช้ประเมินความพร้อมของนักเรียนก่อน สอน ในระหว่างที่ท าการ
สอน เพื่อจะทราบวา่ นกั เรียนมคี วามก้าวหน้า หรือมปี ญั หาในการเรียนรอู้ ะไรบ้าง 7. ช่วย
ครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้ที่ นักจิตวิทยา ได้พิสูจนแ์ ล้ววา่ ได้ผลดีเช่น
การเรียนรู้จากการสังเกต หรือการเลียนแบบ (Observational learning หรือ Modeling) 8.
ชว่ ยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวธิ ีสอนท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ รวมทัง้ พฤติกรรมของครทู ี่มี
การสอนอย่างมีประสิทธิภาพว่ามีอะไรบ้าง เช่น การใช้ค าถาม การให้แรงเสริม และ
การท าตนเป็นต้นแบบ 9. ช่วยครูให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะ
ระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบอ่ืนๆ เช่น แรงจูงใจ (Motivation)
ทัศนคติหรือ อัตมโนทัศน์ของนักเรียนและความ คาดหวังของครูท่ีมีต่อตัวนักเรียน 10.
ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของ ห้องเรียน ให้เอื้อต่อการเรียนรู้
และเสริมสร้างบุคลิกภาพของ นักเรียน ครูและนักเรียนมีความรัก และไว้วางใจซึ่งกัน
และกัน นักเรียน ต่างก็ช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ท าให้ห้องเรียนเป็นสถานท่ีท่ีทุก คนมี
ความสุขและนักเรียนรักโรงเรียน อยากมาโรงเรยี น เนื่องจากการศกึ ษามีบทบาทส าคัญ
ในการช่วยให้เยาวชน พัฒนาการทั้งทางด้านเชาวน์ปัญญา และทางบุคลิกภาพ เพื่อช่วย
ให้ เยาวชนมีความส าเรจ็ ในชวี ติ ทุกประเทศจึงหาทางส่งเสริมการศึกษา ใหม้ คี ณุ ภาพ มี
มาตรฐานความเป็นเลิศ ความรู้เก่ียวกับจิตวิทยา การศึกษาจึงมีส าคัญในการช่วยทั้งครู
และนักการศึกษาผูม้ คี วาม รับผิดชอบในการปรบั ปรงุ หลักสูตรและการเรยี นการสอน
แนวคิดจติ วทิ ยากลุม่ ตา่ งๆ
การศึกษาจิตวิทยาต้องท าความเข้าใจการศึกษาของนักจิตวิทยา ในกลุ่มต่าง ๆ
การศกึ ษาจะช่วยใหเ้ ราเข้าใจพฤติกรรมมนุษยแ์ ละ สามารถมองพฤติกรรมมนษุ ยไ์ ด้หลาย
ทัศนะตามแนวคิดหลักของแต่ละ กลุ่ม ซ่ึงในแต่ละกลุ่มจะมีความเชื่อ ระเบียบวิธีการ
ศึกษา ตลอดจน เนื้อหาสาระ ขอบข่ายของกจิ กรรมแตกต่างกันไปตามความเช่ือพื้นฐาน
ของแต่ละกลุ่ม เราไม่สามารถบอกได้ว่าแนวคิดของกลุ่มไหนถูกต้อง ท่ีสุดวิธีท่ีดีท่ีสุดคือ
จะต้องเลือกแนวคิดบางกลุ่ม หรือผสมผสานแนวคิด จากหลาย ๆ แนวคิดเข้าด้วยกัน
เพื่อน ามาอธิบาย หรือท าความเข้าใจ พฤติกรรมมนุษย์แนวคิดทางจิตวิทยา สามารถ
แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 5 กลุ่ม ดังน้ี 1. แนวทัศนะของกลุ่มจิตวิทยาโครงสร้างนิยม /
โครงสร้างแห่ง จิต (Structuralism) กลุ่มน้ีมีความเช่ือว่าจิตมีองค์ประกอบเป็น 2 ส่วน คือ
กายกับ จิต ท้ังสองส่วนท างานสัมพันธ์กัน จิตควบคุมการท างานของกาย การ ท างาน
ของกายเกดิ เปน็ พฤติกรรม กลุ่มน้ีม่งุ ศึกษา “องคป์ ระกอบและ การท างานของจติ ” หาค
าตอบว่าจิตประกอบไปด้วยการท างานอย่างไร ซ่ึงสรุปได้ว่าโครงสร้างของจิต
ประกอบดว้ ยส่วนยอ่ ย 3 ส่วน(จิตธาต)ุ คอื การรับสมั ผสั ความรู้สึก และจินตนาการ เม่ือ
ท้ังสามส่วนนี้ มา สัมพันธ์กันภายใต้สัดส่วนท่ีเหมาะสม ก็จะก่อให้เกิดรูปแบบโครงสร้าง
แห่งจิตขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดของกลุ่มจิตวิทยาโครงสร้างนิยมก็ได้รับ การโจมตีมาก
ในวธิ ีการท่ีใช้ศึกษา แม้วา่ กลุ่มโครงสรา้ งนยิ มจะยืนยัน ในความเป็นวิทยาศาสตร์ของตน
แต่วิธีการศึกษาท่ีเรียกว่า การ ตรวจสอบตนเอง (Introspection) ก็ยังดูไม่น่าเช่ือถือนัก
เพราะยังอิง การศึกษาในแบบปรัชญา และวิธีการศึกษาดังกล่าวก็มีความเป็นอัตนัย สูง
เนื่องจากการตรวจสอบตนเองจะมีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ หรือไม่น้ัน ข้ึนอยู่กับ
ผู้ตรวจสอบตนเองเป็นส าคัญ (วิไลวรรณ ศรี สงคราม, 2549) 2. แนวทัศนะของกลุ่ม
จิตวิทยาหน้าท่ีนิยม / หน้าท่ีแห่งจิต (Functionalism) กลุ่มหน้าที่นิยมสนใจท่ีจะศึกษา
เก่ียวกับโครงสร้างของจิต เช่นเดียวกับกลุ่มโครงสร้างนิยม แต่นักจิตวิทยากลุ่มน้ีให้
ความส าคัญกับ การท างานของจิตว่ามีหน้าท่ีอย่างไร และมีกระบวนการอย่างไร ที่จะ
ส่งผลต่อการแสดงออกของบุคคล จะท าให้เกิดประโยชน์มากกว่า การศึกษาเฉพาะ
โครงสรา้ งของพฤตกิ รรมภายในเทา่ นั้น และกลุ่มน้มี ุ่ง ศึกษาสงิ่ ที่ชว่ ยใหม้ นุษย์ปรบั ตนต่อ
สิ่งแวดล้อมหรอื แกป้ ัญหาได้ดี และ เนน้ การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการเรยี นรู้ของมนุษย์
ด้วย จิตวิทยากลุ่มหน้าท่ีนิยมเน้นถึงการปรับตัวโดยมีความมุ่ง หมายที่จะปรับตัวให้เข้า
กับส่ิงแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้ค าตอบท่ีว่าอะไรท่ีท าให้มนุษย์มี
ความสามารถท่ีแตกต่างไป จากสตั ว์จ าพวกอืน่ นั่นคือ ต้องการจะทราบว่าอะไรที่ท าให้
มนษุ ยม์ ี ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมไดด้ กี วา่ สัตว์อื่นน่ันเอง (วไิ ลวรรณ
ศรสี งคราม, 2549) ผนู้ าส าคญั ของนกั จติ วิทยากล่มุ หนา้ ท่ีนิยม ไดแ้ ก่ จอห์น ดิวอี้ ( John
Dewey, 1859 – 1952 ) และวิลเล่ียม เจมส์ ( William James, 1842 – 1910 ) จอห์น ดิวอ้ี
นั้น มีความเช่ือว่าส่ิงสาคัญท่ีท า ให้คนเราปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีหรือไม่ ได้แก่
ประสบการณ์ ( experience ) เขาเห็นว่า “การเรียนรู้เกิดข้ึนได้จากการกระทา ( Learning
by doing) ซ่ึงเป็นการให้ความสาคัญกับประสบการณ์ ของมนุษย์ที่จะต้องมีการส่งเสริม
ส่วนวิลเลี่ยม เจมส์ เช่ือว่า สัญชาตญาณ (instinct) เป็นส่วนท่ีทาให้เราปรับตัวเข้ากับ
สง่ิ แวดล้อม คาว่า “สญั ชาตญาณ” ในทัศนะของเจมส์ หมายถึงสิง่ ท่มี ีแล้วในตวั บุคคล ท
าให้บุคคลมีแนวโนม้ ที่จะกระท าอยา่ งใดอย่างหน่ึงโดยที่การ กระทานน้ั ๆไม่ไดเ้ รียนรู้มา
ก่อน แนวคิดของกลุ่มหน้าที่นิยมน้ี นอกจาก เสริมสร้างกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล
ของบุคคลแล้ว ยังนามาใช้ เสริมสร้างพัฒนาพฤติกรรมหรือการกระทาของบุคคลได้โดย
ใหบ้ ุคคล ไดม้ ีประสบการณใ์ หม้ าก โดยเฉพาะประสบการณ์ตรง ปฏิบัติจริง เผชิญปัญหา
และแก้ปญั หาจริงเพ่ือให้ “คิดเก่ง ทาเป็น แก้ปัญหาได้” ซง่ึ อาจจะสอดคล้องกับแนวทาง
ปฏิรูปการศึกษาของไทยในปัจจุบันท่ี “เน้นผู้เรียนเป็นส คัญ” (student center) ท่ีควรต้อง
“เรียนรู้เชิง ประสบการณ์ “(active learning) (http://www.oknation.net) 3. แ น ว ทั ศ น ะ ข
อ ง ก ลุ่ ม จิ ต วิ ท ย า จิ ต วิ เ ค ร า ะ ห์ (Psychoanalysis) แนวคิดของกลุม่ จิตวิเคราะห์
นี้ช่วยให้เห็นความผิดปกติของ พฤติกรรม เข้าใจผู้มีปัญหา เป็นแนวทางในการบ าบัด
รกั ษาความ ผิดปกติ และอาจช่วยให้ระวังตัวเองมิให้จิตของตนผิดปกติไปได้ โดย จิตของ
คนเราแบ่งเปน็ 3 ส่วน คือ (วิไลวรรณ ศรีสงคราม, 2549) 3.1 จิตส านึก (conscious mind)
เป็นสภาวะปกตขิ อง บคุ คลในการด ารงชีวิต รู้ตัวว่าท าอะไร เป็นใครและอยู่ที่ไหน ซึ่งก็
คือ สภาพท่ีบุคคลรู้ตัวว่าแสดงพฤติกรรมอะไรออกไปและแสดงออกไปตาม หลักเหตุผล
หรือแสดงตามแรงผลักดันจากภายนอก 3.2 จิตใต้ส านึก (subconscious mind) เป็นจิตที่
เก็บสะสม ข้อมูลประสบการณ์มากมาย มิได้รู้ตัวในขณะนั้น แต่พร้อมท่ีจะดึงเข้า มาอยู่
ในระดับจติ ส านกึ อาจจะเปน็ รูปแบบของความจ ากไ็ ด้ 3.3 จิ ต ไ ร้ส านึ ก (unconscious
mind) เป็ น ส่ ว น ข อ ง พฤตกิ รรมภายในที่เจ้าตัวไม่ร้สู ึกตัวเลย อาจเนื่องมาจากเจ้าตัว
พยายามเก็บกดไว้ อาจสะท้อนออกมาในรูปของความฝันหรือการ ละเมอ องค์ประกอบ
ของจิต ฟรอยด์ ได้แบ่งองค์ประกอบของจิต เป็น 3 ส่วน ซึ่งทั้งสาม ส่วนน้ีผสมผสานกัน
เป็นบคุ ลกิ ภาพของบุคคล ซึ่งเป็นแรงขบั ให้กระท า พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ดังน้ี 1) อิด (id) เป็น
ส่วนท่ีติดตัวมาโดยก าเนิด เป็นความต้องการ ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซ่ึงรวมถึง ความ
อยาก สัญชาตญาณ และแรงขับ เพ่ือให้ได้มาเพ่ือความต้องการของตน โดยไม่ค านึงถึง
ความถูกต้อง ช่ัว ดี หลักการท่ี id ใช้คือหลักความต้องการของตนเอง(pleasure seeking
principles) 2) อีโก้ (ego) เป็นพลังส่วนที่ผา่ นกระบวนการเรยี นรู้ มาแล้ว เป็นส่วนท่ีควบคุม
การแสดงพฤตกิ รรมของคนๆนน้ั ใหด้ าเนินไป อยา่ งเหมาะสม ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลของอดิ และ
ซุปเปอร์ อีโก้ พยายามแก้ไข ความขัดแย้งต่างๆของอิดและซุปเปอร์อีโก้ ไม่ให้มีความ
ขัดแย้งกันมาก เกินไป จนก่อให้เกิดโรคจิตหรือโรคประสาท หลักการท่ี Ego ใช้คือ หลัก
แห่งความเปน็ จรงิ (Reality Principle) ความมีเหตุผล 3) ซุปเปอรอ์ ีโก้ (super ego) เป็นพลังท่ี
พัฒนาขึ้นจาก การเรียนรู้ในสังคมท่ีเก่ียวกับหลักศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม อุดมคติ
ในการด าเนินชีวิต ข้อบังคับทางสังคม ซุปเปอร์อีโก้อาจได้มาจากการ อบรมเล้ียงดูของ
พ่อแม่ ครอู าจารย์ อย่างไรก็ตามแนวคิดของฟรอยไ์ ด้รับการวพิ ากษว์ ิจารณ์วา่ มองโลกใน
แง่ร้าย เน้นในเรื่องของแรงขับทางเพศมากจนเกินไป 4. แนวทัศนะของกลุ่มจิตวิทยา
พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) นักจิตวิทยาในกลุ่มพฤติกรรมนิยมเน้นศึกษาเฉพาะ
พฤติกรรม ที่สังเกตได้อยา่ งชัดเจน ซึ่งได้แก่ พฤติกรรมภายนอก โดยเชื่อว่าเราจะ ทราบ
ถึงเร่ืองราวของจิตก็โดยศึกษาจากพฤติกรรมที่แสดงออก จัดเป็น กลุ่มที่อธิบาย
พฤติกรรมซึ่งมุ่งท าความเข้าใจบุคคลจากส่ิงที่เป็นรูปธรรม ผลงานของนักจิตวิทยาใน
กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของทฤษฎีการ เรียนรู้ ซึ่งน าไปใช้มากในการปรับพฤติกรรม
ความเชอ่ื ของกล่มุ พฤติกรรมนยิ ม คือ พฤติกรรมทุกอย่าง จะต้องมีสาเหตุ พฤตกิ รรมเปน็
การตอบสนองของบุคคลต่อส่ิงเร้า มุ่ง ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการ
ตอบสนอง ซึง่ สามารถน าไปใช้ ในการพัฒนาและควบคมุ พฤติกรรมของบุคคลได้ โดยใช้
สิ่งเร้ามาเป็น ตัวก าหนดพฤติกรรม ซึ่งกลุ่มพฤติกรรมนิยมเชื่อว่า เราสามารถ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลได้โดยใช้สิ่งเร้าท่ีบุคคลต้องการมา ก าหนดการกระท า
และการใช้แรงเสริมหรอื รางวัลมาท าให้พฤติกรรม ท่ีต้องการเกดิ ซ้ าขน้ึ อกี จนกลายเป็น
พฤติกรรมท่ีถาวร แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มนี้ก็เน้นการลงโทษกับพฤติกรรมท่ีไม่ดีด้วย โดย
เช่ือว่าการลงโทษ จะท าให้บุคคลลดการกระท าท่ีไม่ดีเพ่ือหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม ก็ได้รับการ วิจารณ์ว่าเห็นมนุษย์เป็น
เคร่ืองจักรมากเกินไป เพราะจะจัดกระท ากับ มนุษย์ในลักษณะใดก็ได้ เพราะมนุษย์มี
ความรู้สึกนึกคิด ไม่ได้ค านึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล (วิไลวรรณ ศรีสงคราม
,2549) 5. แ น ว ทั ศ น ะ ข อ ง ก ลุ่ ม จิ ต วิ ท ย า เก ส ตั ล ท์ (Gestalt Psychology)
แนวความคิดของกลุ่มเกสตัลท์ให้ความส าคัญกับการศึกษา พฤติกรรมโดยส่วนรวม
ท้ังหมด จะแยกศึกษาทีละส่วนไม่ได้ เช่ือว่า บุคคลจะแสดงพฤติกรรมใด ๆ ออกมาย่อม
เกดิ จากคุณสมบัติโดย สว่ นรวมของบคุ คลนั้น ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยความรู้ ความคิด ทกั ษะ
ทัศนคติ ฯลฯ ไม่ได้เกิดจากคุณสมบัติใดเพียงอย่างเดียว กลุ่มนี้ได้ช่ืออีก ช่ือหนึ่งว่า
ปัญญานิยม (cognitivism) เน่ืองจากเห็นว่าการศึกษา พฤติกรรมต้องศึกษาจากกระบวน
รับรู้และการคิดในสมองซึ่งเป็นตัวส่ัง การให้เกิดพฤติกรรม ทฤษฎีของกลุ่มเกสตัลท์
เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ จึงให้ ความส าคัญกับการรับรู้และการหยั่งเห็น 5.1 การรับรู้
(perception) เป็นรากฐานของการเรียนรู้ เกิด จากการแปลอาการสัมผัสออกมาอย่างมี
ความหมาย โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจเดิม ประสบการณ์เดิม การรับรู้คือ
กระบวนการแปลหรือตีความต่อส่ิงเร้า ขา่ วสารท่ผี า่ นอวยั วะรับสัมผัสทัง้ หลาย ได้แก่ ตา
ห จมูก ล้ิน และกาย เข้าไปยังสมองในรูปของไฟฟ้าและเคมีสมองจึงเป็นคลังเก็บข้อมูล
มหาศาลก็จะตีความสิ่งเร้าหรือขา่ วสารน้ันโดยอาศัยการเทียบเคยี งกับ ข้อมูลทเ่ี คยสะสม
ไว้ก่อน หรือที่เรียกว่า ประสบการณ์เดิม (http://reg.ksu.ac.th) กฎการเรียนรู้ของกลุ่ม
เกสตัลท์ การเรยี นรู้ของกล่มุ เกสตลั ท์ ทีเ่ นน้ "การรบั รู้เปน็ ส่วนรวมมากกว่าสว่ นย่อย" น้ัน
ได้สรุปเป็นกฎการเรียนรู้ของ ท้ังกลุ่ม ออกเป็น 5 กฎ เรียกว่ากฎการจัดระเบียบเข้า
ด้วยกัน (The Laws of Organization) ดังนี้(http://www.baanjomyut.com) 1) กฎแห่งความ
แน่นอนหรือชัดเจน (Law of Pragnanz) การเรียนรู้ท่ีดีจะต้องเกิดจากความแน่นอนหรือ
ความชัดเจน เช่น รูป (Figure) เป็นสิ่งที่ต้องการเน้นให้สนใจและพ้ืน (Ground) เป็น
ส่วนประกอบหรือฉากหลัง (http://reg.ksu.ac.th) บางครั้ง Figure อาจเปลี่ยนเป็น Ground
และ Ground อาจเปล่ียนเป็น Figure ก็ได้ถ้าผู้สอนหรือผู้น าเสนอ เปลี่ยนส่ิงท่ีต้องการให้
ผู้ เ รี ย น ห รื อ ก ลุ่ ม เ ป้ า ห ม า ย เ บ น ค ว า ม ส น ใ จ ไ ป ต า ม ท่ี ต น ต้ อ ง ก า ร
(http://www.baanjomyut.com) 2) กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) ส่ิงเร้าใดๆ ก็
ตาม ที่มีรูปร่าง ขนาด หรือสี ท่ีคล้ายกัน คนเราจะรับรู้ว่า เป็นส่ิงเดียวกัน หรือพวก
เดียวกัน 3) กฎแห่งความใกล้ชิด (Law of Proximity) ถ้า สิ่งใด หรือสถานการณ์ใดท่ีเกิดขึ้น
ในเวลาต่อเน่ืองกัน หรือในเวลา เดียวกัน อินทรีย์จะเรียนรู้ ว่า เป็นเหตุและผลกัน หรือ
สิ่งเร้าใดๆ ที่อยู่ ใกล้ชิดกัน มนุษย์มีแนวโน้มท่ีจะรับรู้ สิ่งต่างๆที่อยู่ใกล้ชิดกันเป็นพวก
เดยี วกนั หมวดหม่เู ดยี วกนั 4) กฎแห่งความต่อเน่ือง (Law of Continuity) ส่ิง เร้าท่ีมีทิศทาง
ในแนวเดียวกัน ซึ่งผู้เรียนจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน 5) กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of
Closer) ส่ิงเร้า ที่ขาดหายไปผู้เรียนสามารถรับรู้ให้เป็นภาพสมบูรณ์ได้โดยอาศัย
ประสบการณ์เดมิ 5.2 การหยงั่ เหน็ (insight) เปน็ การเกิดความรคู้ วามเข้าใจ อย่างแจ่มแจ้ง
คดิ ช่องทางแกป้ ัญหาไดฉ้ ับพลนั จากการพิจารณาสภาวะ รอบด้าน รู้และเข้าใจปัญหาที่ก
าลังเผชิญอยู่และหาช่องทางในการ แก้ปญั หานัน้ ๆ ได้อยา่ งเหมาะสมและรวดเร็ว เชื่อว่า
เกิดในมนุษย์และ สัตว์ชั้นสูงเท่านั้น (ถ้าเกิดการหย่ังเห็นเม่ือใดก็จะแก้ปัญหาได้เม่ือนั้น
เม่ือแก้ปัญหาได้ก็เกิดการเรียนรู้แล้ว ซึ่งจะเป็นไปได้ดีเพียงใดขึ้นกับ การใช้ความคิด
ความเข้าใจ หรือสติปัญญาของผู้น้ัน) การพัฒนาปรับเปล่ียนพฤติกรรมตามแนวคิดของ
เกสตัลท์น้ัน จะต้องพัฒนาปรับเปลี่ยนความคิดก่อน รวมไปถึงการท า ความเข้าใจและ
วินิจฉัยบุคคลท่ีจะต้องดูผู้น้ันเป็นส่วนรวม ต้องศึกษา เขาในสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบ
เพื่อให้รู้จักผู้น้ันได้โดยแท้จริง รวมท้ังได้แนวทางเข้าใจบุคคลโดยพิจารณาที่โลกแห่งการ
รบั รู้ของเขา เน่ืองจากเขาจะรบั รู้ตามความคดิ ภายในมากกวา่ รับรูโ้ ลกเชงิ ภูมิศาสตร์ ตาม
ความเป็นจริง เม่ือเข้าใจการรับรู้ของใครก็ย่อมเข้าใจความคิดของ ผู้น้ันด้วย
(http://www.oknation.net)
วิธกี ารศกึ ษาคน้ คว้าทางจติ วทิ ยา (The Methods of Psychology)
นักจิตวิทยามีวิธีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลทางจิตวิทยาหลาย วิธี เช่น วิธีพิจารณา
ตนเอง วิธีการสังเกต วิธีการทดลอง วิธีส ารวจ วิธีคลินิก วิธีการศึกษาชีวประวัติของ
บุคคล วิธีการสัมภาษณ์ ซึ่ง สุ รพงษ์ ชูเดช (2544 : 15 - 18) ได้อธิบายไว้ดังน้ี 1. วิธี
พิจารณาตนเอง (Introspection Method) วิธีนี้เป็นการให้บุคคลแสดงความรู้สึกภายในใจ
ออกมาเอง โดยการบรรยายความร้สู ึกตา่ งๆท่ีตนมีอยู่ ดังน้นั ความในใจท่ีคนบอก ออกมา
นั้นเป็นข้อมูลท่ีถูกน ามาพิจารณาข้อสรุป แต่จะเช่ือถือได้หรือไม่ แค่ไหนนั้นข้ึนอยู่กับ
องค์ประกอบบางประการ วิธีนี้มีข้อจ ากัดส าหรับคน ท่ีพูดไม่ได้ นอกจากน้ันการ
บรรยายความรู้สึกของคนมักจะมีการ บิดเบือนยากแก่การสรุปข้อมูลได้อย่างถูกต้อง แต่
ก็เป็นวิธีหนึ่งท่ีเรา พอจะศึกษาความในใจได้ 2. วิธีการสังเกต (Observational method) จุด
เริมตน้ ของจิตวิทยานน้ั มาจากการสงั เกตพฤตกิ รรมของ สตั วแ์ ละมนษุ ย์ วธิ กี ารสังเกตนั้น
มักจะใช้กับพฤติกรรมภายนอก(Overt Behavior) เช่น การกระท า อากัปกิริยา ท่าทาง ค
าพดู ฯลฯ การ สังเกตเพือ่ ประโยชนใ์ นการศกึ ษาวิจยั น้ันตา่ งกับการสังเกต โดยทั่วๆไป ที่
เราใช้อยใู่ นชีวิตประจ าวัน ในแง่ทีก่ ารสงั เกตเพ่อื การศกึ ษาต้องมี ระเบยี บ หลักเกณฑ์ มี
เป้าหมาย ดังน้ันผทู้ าการศกึ ษาจะตอ้ งไดร้ ับการ ฝึกฝนในเร่ืองของการใชก้ ารสังเกต การ
บันทึกพฤตกิ รรมตามสภาพ ความเป็นจรงิ ทไ่ี ด้สังเกตเหน็ และการตีความขอ้ มูลนั้นจะตอ้ ง
ไม่มีความ ล าเอียงหรือน าความคิดเห็นส่วนตัวเข้ามาเก่ียวข้อง อุปสรรคที่ส าคัญ ของ
การใช้วธิ กี ารนี้คอื หากผถู้ กู สังเกตทราบว่าตนก าลงั ถูกสังเกต อาจจะแสร้งท าพฤติกรรม
ท่ีไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ท าให้ข้อมูลที่ได้ ผิดพลาดไปจากความเป็นจริง ปัจจุบันจึงใช้
การลอบสังเกตจากกระจก ที่มองเพียงด้านเดียว (One-Way mirror) เพ่ือไม่ให้ผู้ถูกสังเกต
ทราบ 3. วิธีการทดลอง (Experimental Method) เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมเน่ืองจาก
สามารถศึกษา ความสัมพันธเ์ ชิงสาเหตไุ ด้ มีการควบคุมสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆได้ดี ท า ให้
ข้อสรุปเป็นท่ีน่าเช่ือถือคือ ลักษณะของการทดลองนั้นจะมีตัวแปร (ส่ิงท่ีมีค่าแปรผันได้)
2 ลักษณะคือ ตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ตัว แปรอิสระเป็นตัวแปรท่ีผู้ทดลองสามารถ
ควบคุมได้โดยตรง ท้ังนี้เพื่อ การศึกษาผลของการทดลองอันเป็นตัวแปรตาม ค่าของตัว
แปรตามนี้ ขึ้นอยู่กับการเปล่ียนแปลงค่าของตัวแปรอิสระน่ันเอง นอกจากจะต้องมี ตัว
แปรในการทดลองแลว้ ในการทดลองจะตอ้ งมีการควบคุม สภาพการณแ์ ละกลุ่มตัวอยา่ ง
ซึ่งมี 2 ชนิดคือ กลุ่มควบคุมและกลุ่ม ทดลอง โดยท่ีกลุ่มทั้งสองนี้จะต้องมีสิ่งต่างๆ
เหมือนกัน เช่น คุณสมบัติ ของคนทอี่ ยู่ในกลุ่ม สภาพแวดล้อมท่ีกลุ่มได้รับ ฯลฯ แต่กลุ่ม
ทดลองจะ มีตัวแปรอิสระท่ีจัดกระท า (manipulation variables) ขณะที่กลุ่ม ควบคุมไม่มี
ตัวอย่างเช่น การที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าการท าซ้ าๆ หรือมี การทบทวนอยู่เสมอจะช่วย
ใหจ้ าได้ดี ท าไดโ้ ดยการจดั การทดลองโดย แบง่ นกั เรยี นทม่ี ีจ านวนและคณุ สมบตั ิต่างๆ
เหมือนกันออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหน่ึงให้อ่านโครงเพียง 1 เที่ยว อีกกลุ่มหน่ึงให้อ่านซ้ าๆ
หลายๆสิบ เท่ียว ปรากฏว่าพวกหลังจ าได้ดีกว่าพวกแรก จะทดลองท่ีไหน เมื่อไร สักกี่
กล่มุ กี่ครั้งกไ็ ดผ้ ลเหมือนเดิม จงึ สรุปการทดลองได้ว่า การท าซ้ าๆ หรือการทบทวนมผี ล
ต่อความจ าโดยตรง 4. วิธีส ารวจ (Survey Method) วิธีนี้เป็นวิธีศึกษาพฤติกรรมอย่างมี
ระบบแบบแผนอีกวธิ ี หนึ่งซึง่ คลา้ ยกบั วิธีทดลอง คือ มีการศึกษาตวั แปรต่างๆ แตต่ ัวแปร
เหล่าน้ีอาจไม่สามารถควบคุมโดยตรงทั้งหมดได้ เช่น การส ารวจ ประชามติ ทัศนคติ
และการโฆษณาชวนเชื่อ เป็นต้น วิธีการส ารวจอาจ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตาม
ระยะเวลาในการศึกษาคือ 4.1 แบบส ารวจในระยะสั้น (Cross- Section Approach) เช่น
อยากทราบว่า ส่วนสูงของเด็กไทยทุกอายุต้ังแต่ 5 ขวบถึง 10 ขวบ หลายๆคนมาวัด
สว่ นสูงทีละคนแล้วเฉล่ียดู ท าอย่างน้ที กุ ระดับอายกุ ็จะทราบสว่ นสงู ของ เด็กไทยทุกอายุ
ตัง้ แต่ 5 ขวบถึง 10 ขวบตามท่ีต้องการ 4.2 แบบส ารวจระยะยาว (Longitudinal Approach)
) เช่น อยากทราบว่าส่วน สูงของเด็กไทยในช่วงอายุตั้งแต่ 5 ขวบถึง 10 ขวบ ท าได้โดย
การ วัดส่วนสูงของเด็กคนเดมิ ทกุ ปีตั้งแต่ 5 ขวบถึง 10 ขวบ ใช้เวลา ติดตามส ารวจ 5 ปี
5. วิธีคลินิก (Clinical Method) เป็นวิธีการทางจิตวิทยาท่ีต้องการช่วยให้คนมีสุขภาพจิตดี
ข้ึน โดยการค้นหาสาเหตุเพ่ือแก้ไขพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหา วิธีน้ี ค่อนข้างจะจ ากัดเป็น
รายบคุ คล การศกึ ษาเพ่อื คน้ หาเหตขุ องปัญหาน้ัน นักจิตวิทยาคลนิ ิกใชว้ ธิ กี ารหลายอยา่ ง
เชน่ การทดสอบ (Testing) การศกึ ษารายกรณี (Case Study) การศึกษาประวตั ิ (Case History
Method) การสังเกต (Observation) การสัมภาษณ์ (Interview) ประกอบเร่ืองราวตามท่ีคนไข้
เล่าให้ฟังเพื่อวิเคราะห์หาเหตุ ของปัญหาและหาทางในการบ าบัดรักษาต่อไป 6. วิธี
การศึกษาชีวประวัติของบุคคล (Case History) เป็นวิธีการที่ใช้กันมากตามสถานพยาบาล
โรคจติ แมก้ ระทัง่ ตามโรงเรียนทม่ี เี ดก็ ทมี่ พี ฤติกรรมท่ีเปน็ ปัญหา นกั จิตวิทยาสนใจศกึ ษา
ชีวประวัติของบุคคลด้วยเหตุผลท่ีว่า ชีวประวัติของบุคคลจะเป็นข้อมูล ส าคัญที่ท าให้
เรารู้จักบุคคลคนนั้นอย่างลึกซึ้ง เพราะทราบเบื้องหลัง ความเป็นมาของชีวิต แหล่งที่จะ
ได้ข้อมูลในการศึกษาชีวประวัติของบุคคลได้แก่ 6.1 การสอบถามบุคคลผู้เป็นเจ้าของ
ประวัติ 6.2 บันทึกของโรงเรียน 6.3 จากการสอบถามบิดา มารดา ครู เพ่ือน พ่ีน้องและ
บุคคลอ่ืนๆ ในบ้าน 6.4 จากการสังเกตท่ีบ้าน ในโรงเรียน ในสนามเล่น ใน ถนน ในงาน
สงั คมต่างๆ 6.5 จากบันทกึ ประจ าวนั ทเี่ จา้ ของประวตั ิบนั ทึกไว้ 6.6 จากแบบทดสอบทใี่ ช้
วัดบุคลิกภาพ ความสนใจ ทัศนคติ อารมณ์และอ่ืนๆ 7. วิธีการสัมภาษณ์ (Interview)
ปัจจุบันการสัมภาษณ์ถูกน ามาใช้อย่างกว้างขวางทั้งในด้าน การศึกษา การแสดงความ
คิดเห็นในเร่ืองสาธารณะ การวิจัยตลาดและ อื่นๆ ด้วยเทคนิคอันก้าวหน้าของการ
สัมภาษณ์ การเลือกตัวอย่าง การ หาข้อมูล ดังนั้นการสัมภาษณ์จึงกลายเป็นเคร่ืองมือส
าคัญในการศึกษา ด้านจิตวิทยา การสัมภาษณม์ ีสว่ นคลา้ ยกับแบบสอบถาม คือใช้วิธถี าม
ตอบเพ่ือให้ได้รับความรู้หรือข้อมูลท่ีต้องการ แต่ต่างกับแบบสอบถาม ตรงท่ีการ
สัมภาษณ์เป็นการพูดคุยโดยตรงระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ถูก สัมภาษณ์ ส่วน
แบบสอบถามเปน็ ลกั ษณะทผ่ี ู้ตอบเขียนบรรยายความ คิดเห็นของตนเองหลังค าถาม ไม่
ต้องมีการพบปะกันโดยตรงระหว่าง ผู้ตอบกับผู้ถาม การสัมภาษณ์อาจท าได้ท้ังเป็น
รายบุคคลและเป็นหมู่ มี วิธีด าเนินการดังน้ี 1. ขั้นเตรียม ได้แก่การเตรียมสถานท่ี ค
าถาม นัดเวลา และสร้างความค้นเคย กับผู้ท่ีเราจะสัมภาษณ์ 2. ข้ันสัมภาษณ์ ได้แก่การ
เริ่มต้นสัมภาษณ์ตามท่ีได้เตรียม ไว้ล่วงหน้า พยายาม ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้พูดและแสดง
ความคดิ เห็นให้มากทสี่ ดุ 3. ขัน้ ปิดสัมภาษณ์ ไดแ้ ก่การตดั สนิ ใจยตุ กิ ารสมั ภาษณ์ เมอ่ื เห็น
ว่าได้เรื่องครบ ตามท่ีต้องการแล้ว ควรจะใช้เทคนิคต่าง ๆ ให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกอยากจะ
สนทนาอีกในโอกาสต่อไป การสัมภาษณ์ท าให้ได้ข้อมูลที่เที่ยงตรงดีกว่าการใช้
แบบสอบถาม เพราะในระหว่างการสัมภาษณ์ถ้ามปี ระเด็นใดทีผ่ ูต้ อบยงั ตอบไม่ชดั เจน ผู้
สมั ภาษณ์สามารถท่จี ะถามเพิ่มเติมได้ทนั ท่ี
ความเป็นครู
การเป็นครูน้ันไม่เพียงแต่จะต้องมีความรู้ทางวิชาการเพื่อที่จะ สอนนักเรียนเท่านั้น แต่
ครูยังจะต้องเป็นผชู้ ่วยนักเรียนใหพ้ ัฒนาทั้ง ทางด้านสติปญั ญา บุคลิกภาพ อารมณ์ และ
สังคมด้วย ครูต้องเป็นผู้ให้ ความอบอุ่นแก่นักเรียน เพื่อนักเรียนจะได้มีความเชื่อและ
ไว้ใจครู พร้อม ท่ีจะเข้าพบครูเวลาที่มีปัญหา นอกจากน้ีครูจะต้องเป็นต้นฉบับที่ดีแก่
นักเรียน (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2553 : 2) ค าถามท่ีว่า “ครูคือใคร” น้ัน อาจมีค าตอบได้
หลายค าตอบ ดงั นี้ ครคู อื ผทู้ ท่ี าเร่ืองยากให้เปน็ เรือ่ งง่าย ครคู อื ผ้เู รยี นมอื อาชพี ครูคือ
ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ครูคือ บุคลากรวิชาชีพ ซ่ึงท าหน้าที่หลักด้านการเรียนการ
สอน และสง่ เสริมการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น ดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน
(วรรณี ลิมอักษร, 2551 : 4) ครูเป็น “วิศวกรสังคม” หมายถึง ช่างผู้ช านาญในการสร้าง
สังคมน่ันคือ หากครูให้การศึกษาแก่สมาชิกแก่สังคมอย่างไรสังคมก็จะ เป็นอย่างน้ัน ครู
คือ ครูผู้สอนประสิทธิ์ประสาทความรู้ อบรมบ่มนิสัยศิษย์ให้ เปน็ คนดี ยกระดับวิญญาณ
ความรู้ดีชั่ว ให้แยกแยะความดีความช่ัว และรู้จักการด ารงชีวิตในแนวทางที่ถูกต้องมี
คุณธรรม
ครูทีด่ แี ละมีประสิทธิภาพ
การเป็นครูท่ีดีและมีประสิทธิภาพ เป็นส่ิงท่ีครูทุกคนปรารถนา ซึ่งไม่ใช่เป็นเร่ืองยากถ้า
หากจะเป็น ครทู ด่ี ี เพยี งแค่ท าหนา้ ที่ของการ เป็นครดู ้วยความรกั และศรัทธาในอาชพี มี
จิตใจท่ีคิดอยากจะช่วยเหลือ นักเรียนด้วยความรักและเมตตา รวมทั้งเป็นผู้ท่ีเรียนรู้จัก
พัฒนาตนอยู่ ตลอดเวลา ทุกคนก็สามารถเป็นครูท่ีดีและมีประสิทธิภาพได้ ครูที่ดีและมี
ประสิทธิภาพ หมายถึง ครูที่สามารถสอนให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามความถนัดและ
ความสามารถของตนเอง และช่วย ผู้เรียนให้พัฒนาทั้งทาง ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
และสตปิ ัญญา
ลักษณะของครทู ด่ี แี ละมีประสทิ ธภิ าพ
จากการวิจัยของนักจิตวิทยาการศึกษาท่ีเกี่ยวกับคุณลักษณะ ของครูที่ดีและมี
ประสิทธิภาพหลายท่านนั้นซ่ึง สุรางค์ โค้วตระกูล (2553 : 14-15) ได้สรุปไว้ดังน้ี 1. ต้อง
เป็นนกั มนุษยนิยม (Humanist) คอื เป็นผู้ทย่ี อมรับ นักเรียนอย่างจริงใจ ให้ความอบอุ่น มี
ความเข้าใจนักเรียน มีความ ยุติธรรม และมีคุณลักษณะของครูตามทัศนะชอง
นกั จิตวทิ ยามนุษยนยิ ม และเป็นกัลยาณมิตรของนักเรียน 2. เปน็ ผูท้ มี่ คี วามรู้ และมคี วาม
เข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาการเรียน การสอนคือ ครูต้องเข้าใจธรรมชาติของกระบวนการ
เรียนรู้และสามารถ ท่จี ะใหว้ ธิ ีสอนท่เี หมาะสม และจูงใจให้นักเรียนอยากเรยี นรคู้ รูตอ้ งใช้
วิธกี ารประเมินผลทีส่ ามารถบอกได้ว่าการเรยี นรูไ้ ดเ้ กดิ ขนึ้ จริง 3. เปน็ ผ้ทู ่รี จู้ กั นักเรียน ครู
ไม่เพียงแต่เป็นผู้สอนนักเรียนทาง วิชาการเท่านั้น แต่เป็นผู้ท่ีมีอิทธพิ ลต่อพัฒนาการทาง
บุคลิกภาพของ นักเรียนด้วย ดังนั้นครูต้องมีความรู้เก่ียวกับจิตวิทยาพัฒนาการเพื่อจะ
ช่วยนักเรียนให้มีพัฒนาการทั้งด้านสติปัญญาและด้านบุคลิกภาพด้วย โดยท าตนเป็นผู้
ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียนให้ไปใน ทางบวก เพื่อนักเรียนจะได้
เจริญเติบโตเป็นบุคคล ที่มีชีวิตอยู่ในสังคม อย่างมีคุณค่า มีความภูมิใจในตัวเองและมี
ความสุข 4. เป็นผู้ท่ีมีคุณวุฒิทางวิชาการ โดยเฉพาะในวิชาต่างๆ ท่ีตน จะต้องสอนส
าหรบั ความรู้ด้านวิชาการน้ัน เม่ือนิสิตนกั ศึกษาครเู รียนจบ หลักสูตรแล้ว ก็อาจจะเช่อื ได้
ว่าได้รับการเตรียมตัวพร้อมท่ีจะเป็นผู้สอน ได้ และนอกจากน้ีถ้านิสิตนักศึกษาเป็นผู้ที่
พยายามขวนขวายหาความ รู้อยู่เสมอไม่ว่าจะด้วยการอ่านค้นคว้าด้วยตนเอง หรือไป
อบรมต่อใน วิชาท่ีตนสอนก็จะเป็นบุคคลท่ีมีคุณวุฒิทางวิชาการท่ีทันสมัยเสมอ 5. เป็น
ผนู้ าที่ดแี ละเปน็ ผฟู้ ังท่ดี ี สามารถจะช่วยนกั เรยี นให้มี ความเข้าใจซ่ึงกันและกันในกรณีท่ี
มีความขัดแย้งกัน ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน 6. มีทักษะในการจัดการห้องเรียน
ให้เอ้ือการเรียนรู้ 7. เป็นผู้ทนี่ ิยมในวธิ ีการวทิ ยาศาสตร์และเข้าใจกฎแห่ง พฤติกรรมและ
เป็นนักวิทยาศาสตร์พฤติกรรม 8. จะต้องมีทักษะของชีวิต (Life Skills) คือเป็นผู้สามารถ
สื่อสารกับผู้อ่ืนได้ดี และมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องมีมนุษยสัมพันธ์ สามารถแก้ปัญหา
และตดั สนิ ใจได้ มสี ุขภาพดที ้งั กายและใจ จะต้องมี จุดม่งุ หมายของชวี ิตและมใี จรักอาชีพ
ท่เี ลอื ก
ครูกับปัญหาและอปุ สรรคในการสอน
ปัญหาประจาอาชีพครู แม้ว่าครูผู้สอนจะมีความรู้ดี มีบุคลิกท่ีเหมาะสมกับการเป็นครู
และได้เรียนรู้ในวิชาชีพครูมาแล้วก็ตาม ครูผู้สอนยังต้องพบกับปัญหา อุปสรรค ความ
ยุ่งยากในการสอนมากมาย เป็นปัญหาที่มีความ สลับซับซ้อน และไม่อาจใช้เทคนิค
เดียวกัน สาหรับการแก้ปัญหาอย่าง เดียวกันได้ทุกคร้ัง ซ่ึงจัดได้ว่าเป็นปัญหาประจา
อาชพี ครูประกอบดว้ ย ปญั หาต่างๆ ดงั น้ี Kolesnuik (อา้ งถึงใน วรรณี ลมิ อักษร, 2551 : 6 -
8) 1. ปัญหาด้านความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มีปัญหามากมายของครูผู้สอน
เกิดขนึ้ จากความจริงที่ว่า ไม่มี ใครสองคนทเ่ี หมือนกันเป็นพิมพ์เดียวกนั ในทุกห้องเรียน
จึงมีผู้เรียนท่ี สติปัญญาดี อายุมาก ร่างกายสูงใหญ่ มีแรงจูงใจในการเรียนสูง อารมณ์
มั่นคง ปรับตัวเข้ากับเพ่ือนๆได้ดี สุขภาพดี สุภาพเรียบร้อย และ มีความรับผิดชอบสูง
และอาจมีผู้เรียนท่ีไม่มีลักษณะดังกล่าว หรือมีบาง ลักษณะร่วมช้ันเรียนอยู่ด้วย
นอกจากน้นั ผเู้ รียนแตล่ ะคนยังมาจาก พ้ืนฐานการ เลี้ยงดู วัฒนธรรม สังคม และศาสนา
ท่ีแตกต่างกัน ซึ่งส่ิง ต่างๆเหล่านี้มีผลกระทบต่อลักษณะของผู้เรียนด้านความสนใจ
ความ ต้องการ และระดับความมุ่งหวังจะเห็นได้จากเทคนิคหรือส่ิงล่อใจ บางอย่าง
สามารถน ามาใชไ้ ดผ้ ลดแี ละเป็นทพี่ อใจของผู้เรียนบางคนแต่ ไมอ่ าจใชไ้ ด้ผลดกี ับอกี บาง
คนในห้องเรียนเดียวกันได้ ครูผู้สอนอาจพบ กับปัญหาจ านวนมากพอๆกับจ านวน
ผู้เรียนจึงจ าเป็นต้องหาวิธีการ หลายวิธี มาช่วยแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคล
ของผู้เรียน เพื่อ พัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ 2. ปัญหาการจัดการในชั้น
เรียน ปัญหาท่ีส าคัญอย่างหน่ึงของผู้สอนคือการจัดการชั้นเรียน ให้มีบรรยากาศท่ีดี มี
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมาะกับการเรียนการ สอน และแก้พฤติกรรมการเรียนที่
ไม่เหมาะสม ชอบสร้างความวุ่นวาย และก่อกวนความสงบของชน้ั เรยี น ถ้าหากผู้สอนไม่
สามารถจัดการกับ ปัญหาในช้ันเรียนได้ ก็จะท าให้การจัดการเรียนการสอนไม่บรรลุ
เป้าหมาย ซ่ึงปัญหาการจัดการช้ันเรียนน้ีครูผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจ และมีเหตุผลใน
การพิจารณาพฤตกิ รรมท่ไี ม่เหมาะสมของผู้เรียน รู้ วิธีการป้องกนั ท่ีดี จงึ จะสามารถขจัด
ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนได้ 3. ปัญหาการใช้วิธีสอน ในการจัดการเรียนการสอน
แตล่ ะวิชา ในแตล่ ะระดบั ชนั้ ล้วนมีวธิ ีการทีเ่ หมาะสมแตกต่างกันไป ไมม่ ีวธิ ีการสอนใดท่ี
ดที ่สี ุด แม้ เปน็ ระดบั ชั้นเรยี นเดียวกันแตผ่ ูเ้ รียนมคี วามสามารถแตกต่างกัน ก็ อาจจะต้อง
เลือกใช้วิธีการสอนที่แตกต่างกัน ครูผู้สอนที่ดีจะต้องรู้จัก เลือกวิธีดีที่สุดเหมาะสมที่สุด
มาใช้สอน เพื่อให้การปฏิบัติหน้าท่ีงานสอน มีประสิทธิภาพ ท าให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้
เกิดขึ้นได้ง่าย ดังค ากล่าวที่ว่า “ครูผู้สอนต้องท าเร่ืองยากกลายเป็นเรื่องท่ีง่าย” ปัญหา
ท่ีส าคัญอย่าง หนึ่งก็คือ เมื่อผู้เรียนไม่สนใจ ไม่ตั้งใจเรียน และไม่เห็นความส าคัญของ
การเรียนแลว้ แม้ครูผู้สอนจะเลือกวิธีสอนที่ดีเพียงใดมาใช้ก็ไม่อาจท า ให้การเรียน การ
สอนประสบความส าเร็จ และบรรลุเป้าหมายตามท่ี ต้องการได้ 4. ปัญหาการสร้าง
แรงจูงใจในการเรียน กระบวนการสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้กับผู้เรียนส่วน ใหญ่นิยม
ใช้สิ่งล่อใจหรือเครื่องล่อใจ (Incentive) ซ่ึงมีอยู่มากมาย ท้ังที่ เป็นค าชม รางวัล คะแนน
และวุฒิบัตร เปน็ ต้น การเลือกใช้สิ่งล่อใจ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ ไม่ได้หมายความว่าเป็นส่ิงที่
ผเู้ รียนทกุ คนต้องการ เหมอื นกัน ปัญหาการเลือกใช้สิ่งล่อใจเป็นปัญหาส าคัญอย่างหน่ึง
ที่ ครูผู้สอนจะต้องหาค าตอบให้ไดว้ ่า ผู้เรียนก าลงั ขาดหรือก าลังมีความ ตอ้ งการสง่ิ ใด
แล้วน าเอาส่ิงท่ผี ู้เรียนก าลังขาดหรือต้องการมาเปน็ ตัวกระตุ้น หรอื ล่อใจให้มีแรงจูงใจ
ในการเรียนเกิดข้ึน 5. ปัญหาการวัดผลและประเมินผล ปัญหาที่ครูผู้สอนต้องเผชิญคู่กับ
วิธีสอนก็คือ การวัดผลและ ประเมินผล เป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนได้มีการเรียนรู้
เกดิ ขนึ้ มากน้อย เพยี งใด การสรา้ งและเลือกใชแ้ บบทดสอบใหเ้ หมาะสมกบั วยั ของผเู้ รียน
ธรรมชาติของเนื้อหาวิชาที่สอน จ านวนผู้เข้าการรับทดสอบ เกณฑ์ท่ี น ามาใช้ในการ
ประเมินผล การวัดผลและการประเมินผลจึงเป็นปัญหา ส าคัญของครูผู้สอน การใช้
ข้อสอบแบบปรนัยอาจจะสะดวกในการตรวจ ใหค้ ะแนน แต่ไม่อาจให้ผู้เรียนแสดงความ
คิดเห็นได้อย่างเต็มที่ และ ไม่ได้ฝึกทักษะการเขียนซ่ึงเป็นทักษะที่ส าคัญอย่างหนึ่งของ
การเรียน ให้กับผู้เรียน เมื่อมาใช้แบบข้อสอบอัตนัยก็ไม่สามารถออกข้อสอบให้
ครอบคลุมเน้ือหาทั้งหมด การตรวจให้คะแนนต้องใช้เวลามาก และอาจ ไม่มีความ
ยุติธรรมในการให้คะแนนได้ 6. ปัญหาทางด้านสุขภาพจิต ได้แก่ ปัญหาการปรับตัว
ทางดา้ นอารมณ์และสังคมของ ผ้เู รียน ซ่ึงไมไ่ ด้เป็นปัญหาท่เี กดิ ข้นึ จากสภาพแวดลอ้ มใน
ชั้นเรียนหรือ สภาพแวดล้อมในสถาบันการศึกษาเท่าน้ัน อาจมีปัญหามาจากความ
บกพร่องหรือความพิการทางด้านร่างกายของผู้เรียน ปัญหามาจาก ครอบครัวแตกแยก
ความยากจน หรือได้รับการเล้ียงดูท่ีไม่เหมาะสม ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เป็นหน้าที่
รับผิดชอบโดยตรงของผู้สอน แต่ปัญหา เหล่าน้ีส่งผลกระทบมาสู่กระบวนการจัดการ
เรียนการสอนและการเรยี นรู้ ได้ 7. ปัญหาการสร้างคุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงคใ์ หแ้ ก่ผเู้ รยี น
นอกจากครูผู้สอนปฏิบัติหน้าท่ีรับผิดชอบการสอน เนื้อหาวิชา หรือองค์ความรู้ตาม
หลักสูตรกาหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แล้ว ยังต้องทาหน้าท่ีประสานกับสถาบันต่างๆใน
สงั คม เชน่ สถาบนั ครอบครัว สถาบนั ทางศาสนาและองคก์ รอ่ืนๆในสังคม เพ่ือรว่ มมือกนั
พัฒนา บุคลิกลักษณะที่พึงประสงค์ และสร้างคุณธรรมจริยธรรมตามท่ีสังคม ต้องการ
ให้กับผู้เรียนด้วย ครูผู้สอนจะต้องพบกับปัญหาท่ีเกิดข้ึนซ้าๆ ต้องพูดหรือต้องอธิบายซ้
าๆในเร่ืองเดมิ ที่นา่ เบ่ือหน่าย ปัญหาการไม่ได้ รับความร่วมมือจากครอบครัวบดิ ามารดา
ผู้ปกครองเมื่อต้องใช้การ ลงโทษเพื่อปรับพฤติกรรมให้กับผู้เรียนก็มักจะมีปัญหาความ
ขัดแย้งกับ บิดามารดาของผู้เรียนตามมา 8. ปัญหาในบทบาทของจิตวิทยาการศึกษา
ครูผู้สอนส่วนใหญ่มักจะคาดหวังว่า ความรู้ที่ได้มาจากการ เรียนจิตวิทยาการศึกษาจะ
สามารถน ามาแก้ปัญหาต่างๆได้ทุกปัญหา เน่ืองจากการสอนเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้
ท่ีท างานด้านศิลปะรวมทั้ง งานสอนจะไม่สามารถประสบความส าเร็จได้หากเพียงแต่
ศึกษาจาก ต ารา หนังสือ หรือจดจ ามาจากการเรียนในห้องเรียนเท่านั้น ผู้ที่ท างาน น้ี
จะต้องมีเจตคติท่ีดี มีความถนัด มีความสนใจ มีการฝึกฝน มีความคิด ริเริ่ม และมีการ
ประยุกต์ใช้งานศิลปะที่ท าหรืองานสอนนั้นด้วย จึงไม่ อาจรับประกันได้ว่าผู้ที่มีความรู้
ทางด้านจิตวทิ ยาการศึกษาดีแล้วจะต้อง เป็นครูผู้สอนท่ีดีเสมอไป จิตวทิ ยาการศึกษาจึง
เปน็ เพียงสง่ิ ที่จะช่วยให้ ครูผู้สอนไดม้ ีความรคู้ วามเข้าใจในองค์ประกอบท่สี าคญั ของช้ัน
เรียนท่ี เขาสอน มีวิธีการสอนท่ีดี มกี ารวิจัยเพือ่ แสวงหาความร้มู าใช้ในการ จัดการเรียน
การสอนให้มีประสิทธิภาพ
สรุปครูกับจิตวทิ ยาการศึกษา
ครูจาเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการศึกษา เพ่ือจะได้ เข้าใจพฤติกรรมของ
ผู้เรียนเข้าใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนถึงปัญหาต่างๆ
เก่ียวกับการเรียนการสอน และสามารถจดั สภาพแวดลอ้ มของห้องเรียนให้สอดคลอ้ งกับ
พัฒนาการ ของผู้เรียนได้อยา่ งเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
เตมิ ศักด์ิ คทวณชิ . (2546). จิตวิทยาท่ัวไป. กรงุ เทพฯ : ซีเอด็ ยเู คช่ัน.
นชุ ลี อปุ ภยั . (2556). จิตวิทยาการศึกษา. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั .
วรรณี ลิมอักษร. (2551). จิตวิทยาการศกึ ษา. (พิมพค์ รั้งที่ 4). สงขลา : บริษัท นาฏศิลป์
โฆษณา จากดั .
วิไลวรรณ ศรสี งคราม และคณะ. (2549). จติ วิทยาท่วั ไป. กรุงเทพฯ : ทรปิ เพิล้ กรุ๊ป.
สุรพงษ์ ชูเดช. (2544). เอกสารประกอบการสอน SSC 231 จิตวิทยา ท่ัวไป (General
Psychology).
คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. สุรางค์ โค้วตระกูล.
(2553). จิตวิทยาการศึกษา. (พิมพ์ครั้งท่ี 9). กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.