ค ำน ำ รายงานแบบวิเคราะห์องค์ประกอบการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นการสรุปผลการดำเนินงานของโรงเรียนที่สะท้อนเห็นความสำคัญของการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นภารกิจสำคัญของสถานศึกษา ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ด้านความสำคัญของแบบรูป/ แนวทาง ส่วนที่ 2 ด้านกระบวนการพัฒนารูปแบบ/แนวทาง ส่วนที่ 3 ด้านผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตาม รูปแบบ/แนวทาง โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการสอบระดับชาติ (O-NET) ของกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ให้สูงขึ้น เมื่อ เปรียบเทียบกับปีการศึกษา 2565 2) เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล และกล้าตัดสินใจ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ของกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ให้สูงขึ้นจากปี การศึกษา 2565 และกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรอง คิดอย่างมีระบบ คิดนอกกรอบ คิด สร้างสรรค์ในรายวิชาคณิตศาสตร์ต่อไป ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ร่วมจัดทำรายงานแบบวิเคราะห์องค์ประกอบการพัฒนานวัตกรรม การจัดการเรียนรู้ ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนา การศึกษาในการให้ข้อมูลในทุกๆ เรื่องด้วยดีเสมอมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อสรุปจากการนำเสนอใน รายงานเล่มนี้จะเป็นสารสนเทศสำคัญที่จะนำไปใช้พัฒนายกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีคุณภาพตาม มาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป หากรายงานฉบับนี้มีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขครั้งต่อไป คณะผู้จัดทำ โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์
สำรบัญ หน้ำ ค ำน ำ สำรบัญ บทน ำ ส่วนที่ 1 ด้ำนควำมส ำคัญของรูปแบบ/แนวทำง ตอนที่ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 4 ตอนที่ 2 แนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนา 4 ตอนที่ 3 ประโยชน์/ความสำคัญ 5 ส่วนที่ 2 ด้ำนกระบวนกำรพัฒนำรูปแบบ/แนวทำง ตอนที่ 1 วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนา 8 ตอนที่ 2 หลักการ ทฤษฎี แนวคิดในการพัฒนา 8 ตอนที่ 3 การออกแบบแนวทางการพัฒนา 10 ตอนที่ 4 การมีส่วนร่วมในการพัฒนา 11 ตอนที่ 5 การนำไปใช้ 12 ตอนที่ 6 การประเมินและการปรับปรุง 13 ส่วนที่ 3 ด้ำนผลที่เกิดขึ้นจำกกำรด ำเนินงำนตำมรูปแบบ/แนวทำง ตอนที่ 1 ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษา 14 ตอนที่ 2 การดำเนินงาน/การบริหารจัดการสถานศึกษา 15-17 ตอนที่ 3 การมีเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา 18 ตอนที่ 4 การยอมรับที่มีต่อสถานศึกษา 19 ตอนที่ 5 การออกแบบการจัดการเรียนรู้ของครู 20 ตอนที่ 6 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู 21-22 ตอนที่ 7 การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ของครู 23 ตอนที่ 8 การวัดและประเมินผลของครู 25 ตอนที่ 9 ผู้เรียนมีคะแนนผลการทดสอบ O-NET แต่ละวิชาเพิ่มสูงขึ้น 29-32 ตอนที่ 10ประโยชน์ที่ได้รับ และปัจจัยความสำเร็จ 32 ตอนที่ 11 จุดเด่น/จุดที่ควรพัฒนา 32 ตอนที่ 12 ปัญหา/อุปสรรค 33 ตอนที่ 13 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม 33 ส่วนที่ 4 ภำคผนวก/เอกสำรหลัก/ภำพประกอบ - ภาพกิจกรรม 34-39 - คำสั่งที่เกี่ยวข้อง 39-45
บทคัดย่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นภารกิจสำคัญของสถานศึกษา ซึ่งคุณภาพการศึกษาเป็นเป้าหมายสำคัญของ การจัดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อผู้เรียนได้รับการ ส่งเสริมให้มีศักยภาพสูงสู่มาตรฐานสากล ทางโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ได้วิเคราะห์สภาพการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนในปีการศึกษา 2565 และวิเคราะห์ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ในระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 พบว่าสาระคณิตศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรของทุกสถานศึกษา ที่ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ มีทักษะการคิดคำนวณ คิดวิเคราะห์ และการแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย จึงได้ เล็งเห็น ถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ บูรณาการรูปแบบและเทคนิคต่างๆ ในการ จัดการ เรียนรู้ส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านการคิดและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ จากผลการสอบระดับชาติ (O-NET) ของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2565 ปรากฏ ว่ามีค่าเฉลี่ยในรายวิชาคณิตศาสตร์เท่ากับ 32.34 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยลดลง 4.75 แสดงถึงพัฒนาการที่ลดลง อัน เนื่องมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) จึงทำให้มีการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ปรับรูปแบบกิจกรรม และมีการวางแผนร่วมกันระหว่างผู้บริหาร และครูผู้สอนเพื่อพัฒนาผลการเรียนให้สูงขึ้นกว่าเดิม จนทำให้ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ในปี การศึกษา 2565 เพิ่มขึ้น ทางผู้บริหารและครูผู้สอนจึงนำหลักการจัดการเรียนการสอนและรูปแบบกิจกรรมไป เผยแพร่ บูรณาการให้กับกลุ่มสาระต่างๆ อีกทั้งยังมีการนิเทศติดตามและประเมินผลของรายวิชาคณิตศาสตร์ อีกต่อไปเพื่อพัฒนาผู้เรียนและการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนยังคงดำเนินการต่อไปเพื่อให้ค่าเฉลี่ยถึง เกณฑ์เป้าหมายตามที่สถานศึกษาได้ตั้งไว้ (มีค่าเฉลี่ยในรายวิชาคณิตศาสตร์เท่ากับ 50.00 ขึ้นไป) ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนานวัตกรรมการนิเทศติดตามและประเมินผลเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ RAT MODEL เพื่อให้ผู้เรียนมีผล การ ทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานให้สูงขึ้น รวมทั้งมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเป้าหมายของ โรงเรียน จึงเป็นสิ่งที่ครูผู้สอนทุกคนจะต้องให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่าง หลากหลายและตรงตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัดที่หลักสูตรกำหนดไว้
แบบกำรน ำเสนอผลกำรด ำเนินงำนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ภำยใต้โครงกำร IFTE (Innovation For Thai Education) ประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. 2566 ของส ำนักงำนศึกษำธิกำรภำค 3 ด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้ ส ำนักงำนศึกษำธิกำรจังหวัดรำชบุรี -------------------------------------------------------------------- ชื่อนวัตกรรม การศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษายกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ โดยใช้ RAT MODEL ชื่อผู้สร้ำง นางสาวสกุณา จงฉิม ตำแหน่ง : ครูผู้สอน/หัวหน้ากลุ่มสาระคณิตศาสตร์ โรงเรียน ราษฎร์บำรุงวิทย์ หน่วยงำน/สังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน อ ำเภอ โพธาราม จังหวัด ราชบุรี มือถือ : 084-802-5306 E-mail address : [email protected] แนวทำงกำรคิดค้นนวัตกรรม แสวงหานวัตกรรม/แบบอย่างที่ดีจากแหล่งต่างๆ ที่เคยมีผู้สร้างหรือทำไว้แล้ว แล้วนำมาปรับปรุง หรือพัฒนาใหม่ √ การสร้างนวัตกรรมใหม่ ประเภทของนวัตกรรม ด้านบริหารจัดการ √ ด้านการจัดการเรียนรู้ การนิเทศการศึกษา
ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งคุณภาพการศึกษาเป็นเป้าหมายสำคัญของจัดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมให้มี ศักยภาพสูงสู่มาตรฐานสากล ทางโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ ได้สนองนโยบายดังกล่าว โดยการจัดทำโครงการ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนขึ้น เนื่องจากได้วิเคราะห์สภาพการจัดกิจกรรมการสอนในปีการศึกษา 2565 และวิเคราะห์ผลการสอบระดับชาติ (O-NET) ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าสาระที่ควรพัฒนา คือ รายวิชาคณิตศาสตร์เนื่องจากเป็นวิชาหนึ่งในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรของทุกสถานศึกษาที่ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ มีทักษะการคิดคำนวณ คิดวิเคราะห์ และการแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย จึงได้เล็งเห็น ถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ บูรณาการรูปแบบและเทคนิคต่างๆ ในการจัดการ เรียนรู้ส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านการคิดและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ จากผลการสอบระดับชาติ (O-NET) ของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2565 ปรากฏ ว่ามีค่าเฉลี่ยในรายวิชาคณิตศาสตร์เท่ากับ 32.34 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยลดลง 4.75 แสดงถึงพัฒนาการที่ลดลง อัน เนื่องมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) จึงทำให้ผู้เรียนไม่ สามารถเข้าสอบได้ร้อยละร้อยและผลกระทบจากการที่นักเรียนไม่ได้มาเรียนที่โรงเรียนจึงทำให้ผลสัมฤทธิ์ ดังกล่าวลดลง แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาผู้เรียนและการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนยังคงดำเนินการ ต่อไปเพื่อให้ค่าเฉลี่ยถึงเกณฑ์เป้าหมายตามที่สถานศึกษาได้ตั้งไว้ (มีค่าเฉลี่ยในรายวิชาคณิตศาสตร์เท่ากับ 50.00 ขึ้นไป) ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาปรับปรุงนวัตกรรมและกระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีผลการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานให้สูงขึ้น รวมทั้งมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเป้าหมายของโรงเรียนจึง เป็นสิ่งที่ครูผู้สอนทุกคนจะต้องให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างหลากหลาย ตรง ตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่หลักสูตรกำหนดไว้ แนวทำงกำรแก้ไขปัญหำและกำรพัฒนำ จากปัญหาดังกล่าวข้าพเจ้าได้วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ คณิตศาสตร์ตามมาตรฐาน รายบุคคล รายข้อ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนพัฒนา คุณภาพผู้เรียน วิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ กำหนดแนวทางแก้ไข เพื่อใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียน การสอนมาตรฐานการ เรียนรู้ที่ควรปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จึงได้ดำเนินการร่วมมือระหว่างครู ผู้บริหาร และนักเรียน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมการสอนเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่6 โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ปีการศึกษา 2566 ดำเนินการจัดกิจกรรมสอน เสริม เติมเก่ง จำนวน 1 ห้องเรียน 1 ชั่วโมง/ สัปดาห์/ ภาคเรียน ในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาของ นักเรียนโดยใช้หลักการ จัดการคุณภาพตามกระบวนการ PDCA เป็นตัวขับเคลื่อน ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 : ด้ำนควำมส ำคัญของรูปแบบ/แนวทำง
หลักการ จัดการคุณภาพตามกระบวนการ PDCA เป็นตัวขับเคลื่อน ประโยชน์/ควำมส ำคัญ ความสำคัญของนวัตกรรมต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ การปรับเปลี่ยนคุณลักษณะหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรับเปลี่ยนมาก่อน เพื่อตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าของบริบทโลกาภิวัตน์ที่มีความรู้และนวัตกรรมเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มคุณค่าพัฒนา ซึ่งคุณภาพ การศึกษาเป็นเป้าหมายสำคัญของจัดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายพัฒนาและยกระดับคุณภาพ การศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมให้มีศักยภาพสูงสู่มาตรฐานสากล
ความสำคัญของนวัตกรรมต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ กระบวนการการจัดการใหม่ที่คิดค้น และพัฒนาจากองค์ความรู้และประสบการณ์ เพื่อแก้ปัญหาการพัฒนา ปรับปรุงนวัตกรรมและกระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้น พื้นฐานให้สูงขึ้น รวมทั้งมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเป้าหมายของโรงเรียนจึงเป็นสิ่งที่ครูผู้สอนทุกคน จะต้องให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างหลากหลาย ตรงตามมาตรฐานและตัวชี้วัด ที่หลักสูตรกำหนดไว้
วัตถุประสงค์ 1. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการสอบระดับชาติ (O-NET) ของกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ให้สูงขึ้น เมื่อ เปรียบเทียบกับปีการศึกษา 2565 2. เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล และกล้าตัดสินใจ กลุ่มเป้ำหมำย (ประชำกร / กลุ่มตัวอย่ำง) และระยะเวลำด ำเนินกำร กลุ่มเป้ำหมำย (ประชำกร / กลุ่มตัวอย่ำง) 1. บุคลากรครูในรายวิชาคณิตศาสตร์โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ จำนวนทั้งหมด 3 คน 2. บุคลากรครูมีการจัดการเรียนโดยใช้รูปแบบ RAT MODEL ร้อยละ 70 ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ของกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ให้สูงขึ้นจากปีการศึกษา 2565 ระยะเวลำด ำเนินกำร ตลอดปีการศึกษา 2566 หลักกำร ทฤษฎี แนวคิดในกำรพัฒนำ ในการจัดการเรียนรู้ส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านการคิด โดยมีการวางหลักการ แนวคิดและทฤษฎี ดังนี้ 1) โรงเรียนมีการวิเคราะห์ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) เพื่อยกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระ คณิตศาสตร์ 2) รวบรวมข้อมูลผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2565 เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับวิธีการเรียนการสอนให้กับนักเรียนในปีการศึกษา 2566 ต่อไป 3) วางแผนมอบหมายผู้รับผิดชอบในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ในการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยยึดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 ปรับปรุง 60 4) มีการสอนเสริมโดยปรับพื้นฐานให้ผู้เรียนหลังเลิกเรียนและวันเสาร์โดยครูผู้สอนคณิตศาสตร์ใช้หลัก การ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ The 5Es of Inquiry-Based Learning (5E) 5) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยสนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือ เชื่อมโยงความรู้ที่มีอยู่เดิม หาแนวทางแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองแล้วนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีครู เป็นผู้สนับสนุนให้ผู้เรียนแสดงบทบาทอย่างเต็มที่ หลักการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ The 5Es of Inquiry-Based Learning (5E) มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ Step1 การสร้างความสนใจ (Engagement) Step2 การสํารวจและค้นหา (Exploration) องค์ประกอบที่2 : ด้ำนกระบวนกำรพัฒนำรูปแบบ/แนวทำง
Step3 การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) Step4 การขยายความรู้ (Elaboration) Step5 การประเมินผล (Evaluation) 6) ประเมินผู้เรียนโดยแบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) เพื่อ ตรวจสอบความเข้าใจในการเรียนคณิตศาสตร์ 7) มีการประชุม PLC ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เพื่อเสนอแนวทางและวิธีแก้ไขปัญหาในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ในปีการศึกษา 2566 ต่อไป 8) ครูนำปัญหาที่พบจากการสอนมาศึกษาวิจัยและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ โดยวิจัยเป็นรายบุคคลเพื่อ พัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้สูงขึ้น 9) แสดงผลงานจากการ IFTE ผ่านการประชุมและวารสารประชาสัมพันธ์ 10) แบ่งปันเทคนิคการสอน การจัดทำแผนการเรียนรู้ผ่านการประชุมอบรมภายในโรงเรียนราษฎร์บำรุง วิทย์อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี งำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง ธัญญ์นรี วรวิทย์ธำนท์(2559, บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้โดยใช้ชุดการสอนประกอบวิชาวิทยาศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 พบว่า นักเรียนจำนวนร้อยละ 94.00 ของนักเรียนทั้งหมดที่ได้รับ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้ ชุดการสอนประกอบวิชาวิทยาศาสตร์มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 80 ชองคะแนนเต็ม และนักเรียนที่ได้รับ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้ชุดการสอนประกอบ วิชาวิทยาศาสตร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สุวธิดำ ล้วนสำ (2558, บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตวิทยาศาสตร์สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้จากนักเรียน ครู ผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ควรมีเนื้อหาให้ความรู้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายชัดเจน มีภาพประกอบสีสันสวยงาม ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมี 5 ชุดกิจกรรม แต่ละชุดกิจกรรม ประกอบด้วย 1) ชื่อชุดกิจกรรม 2) คำนำ 3) สารบัญ 4) คำชี้แจง 5) สาระสำคัญ/จุดประสงค์6) ใบความรู้/ใบกิจกรรม 7) แบบทดสอบก่อนเรียน 8) แบบทดสอบหลังเรียน มีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.40/85.50 ผลการทดลองใช้ชุดการเรียนรู้พบว่า นักเรียนให้ความสนใจ และมีส่วนร่วม ในการปฏิบัติกิจกรรมอย่างสนุกสนานนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้เรียนมีคุณลักษณะของจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้ชุดกิจกรรม การเรียนรู้สูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรมอยู[ในระดับสูง และนักเรียนมีความคิดเห็นต่อชุด กิจกรรม การเรียนรู้อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ปริญภรณ์ อุไรรัมย์(2555, หน้ำ 10-11) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E สำหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง พืชน่ารู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่1 ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.02/82.08 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการ เรียนด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง พืชน่ารู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ แบบวัฏจักร 5E โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก นิตติยำ เหง้ำโอสำ (2563, บทคัดย่อ) การสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ครูภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิคคำถาม 5W 1H การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้ของครูเกี่ยวกับการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคคำถาม 5W 1H ก่อนและหลังสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) ศึกษา ความสามารถของ ครูด้านการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคคำถาม 5W 1H เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน จับใจความ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่5 3) เปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้เทคนิคคำถาม 5W 1H ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า หลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 กำรออกแบบแนวทำงกำรพัฒนำ RAT MODEL คือ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ โดยกำหนดเป้าหมาย/แนวทางและกระบวนการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภายใต้ผังแสดง RAT MODEL ดังนี้ หลักการ/แนวคิดเกี่ยวกับ RAT MODEL
ค ำอธิบำย RAT MODEL R : Regulate วำงหลักกำรปฏิบัติงำน คือ การกำหนดการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์สภาพปัญหาและ กำหนดจุดพัฒนาการจัดการเรียนการสอน A : Action การดูแลช่วยเหลือนักเรียนเชิงรุกโดยยึดหลักเข้าใจ และพัฒนา T : Technolgies วัสดุ อุปกรณ์ วิธีการทางเทคโนโลยี ให้มีคุณภาพ หลากหลาย ทันสมัยกับบความ ต้องการของผู้เรียน M : Modern เป็นการนำแนวคิด วิธีการ กระบวนการหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ PLC = Professional Learning Community การสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (โดยมีการ ประชุมกับ คณะ IFTE วิเคราะห์ปัญหาที่พบเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้) กำรมีส่วนร่วมในกำรพัฒนำ สถานศึกษามีการดำเนินการวางแผนร่วมกับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์การจัดกิจกรรม กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและจัดกิจกรรมที่เน้นทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองและเขียนสื่อความให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในรายวิชาคณิตศาสตร์ด้วยกระบวนการ ที่ส่งเสริมทักษะของการคิดและลงมือปฏิบัติตามรายวิชา สถานศึกษามีการ IFTE จากคณะกรรมการจำนวน 4 ครั้ง โดยผลที่เกิดขึ้นจากการ IFTE ทาง คณะกรรมการได้แนะนำดังนี้ ครั้งที่ 1 IFTE เรื่องของการดูหลักสูตรตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละครั้งและศึกษาด้วย มาตรฐานและตัวชี้วัดของแต่ละรายวิชาตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 ปรับปรุง 60 โดยวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ในปีการศึกษา 2565 เพื่อนำตัวชี้วัดที่มีผลสัมฤทธิ์ที่ต่ำกว่า ระดับประเทศมาพัฒนาก่อนเป็นลำดับแรก นอกจากนั้นครูผู้สอนควรศึกษาโครงสร้างของรายวิชาที่สอนในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องและตรงตามตัวชี้วัดเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัด กระบวนการเรียนการสอนให้มีผลสัมฤทธิ์ในรายวิชาที่สูงขึ้นตามลำดับ ครั้งที่ 2 IFTE 1) การเขียนแผนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและให้ครูเป็นผู้ช่วยโดยเน้นในเรื่องของสมรรถนะของ หลักสูตรและการปฏิบัติในเรื่องของการออกแบบการเรียนรู้รายวิชาวาคณิตศาสตร์โดยสอดแทรกแนว ข้อสอบ O-NET ไว้ในแต่ละบทเรียนเพื่อตอบสนองนโยบายของ สมศ. (เรื่องการประกันคุณภาพ) 2) การบูรณาการหลักสูตรด้านทุจริตการศึกษา 3) การปรับกิจกรรมการเรียนการสอนและการวัดผลให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเรียนการสอนในยุค โควิด (covid-19) ในปัจจุบันโดยเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดและมาตรฐานของรายวิชาคณิตศาสตร์ 4) การเตรียมสื่อการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้กับผู้เรียนในยุคโควิด (covid-19) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้กับสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายและเหมาะสมกับสถานการณ์ใน ปัจจุบัน
5) จัดการเรียนรู้โดยใช้คำถามกระตุ้นนักเรียนทั้งก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน โดยครูจัดกิจกรรม การสอนตามหลักการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ The 5Es of Inquiry-Based Learning (5E) 6) หลังแผนการสอนควรมีการประเมินแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) และความพึงพอใจที่บ่งชี้ถึง ความเข้าใจของผู้เรียนเพื่อนำมาพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ครั้งที่ 3 IFTE 1) มีการนิเทศการสอนจากผู้บริหาร ฝ่ายวิชาการและครูในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ (เดือนละ 1 ครั้ง) แล้วนำ ผลจากการนิเทศมาประชุม PLC เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ 2) ให้ผู้สอนนำแนวข้อสอบ O-NET (3 ปี ย้อนหลัง) มาใช้ร่วมกับการเรียนการสอนเพื่อฝึกฝนการคิด วิเคราะห์ ในการทำข้อสอบของผู้เรียน 3) ผู้สอนควรแทรกคำถามท้ายบทเรียน โดยให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ในรายสาระที่เรียนโดยกระตุ้นให้คิด อย่างสร้างสรรค์และค้นหาคำตอบได้อย่างอิสระ 4) เน้นย้ำเรื่องการประเมินผลการเรียนรู้ก่อนเรียน (pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) เพื่อ หาแนวทางในการพัฒนาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 5) ผู้สอนควรตั้งคำถามที่แสดงความคิดสร้างสรรค์และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหลายรูปแบบ 6) นำผลที่ได้จากการคิดวิเคราะห์ตัวชี้วัดและมาตรฐานมาปรับในเรื่องการเรียนการสอนและนำมารายงาน ในรูปแบบวรสาร ครั้งที่ 4 IFTE 1) สรุปผลที่ได้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาคณิตศาสตร์ 2) ใช้กำหนดเป้าหมาย/แนวทางและกระบวนการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แสดงกระบวนการ ดำเนินงานภายใต้ผังแสดง RAT MODEL กำรน ำไปใช้ ผลกำรใช้นวัตกรรม 1) ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะในการเรียนที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการเรียนมากยิ่งขึ้นในรายวิชา คณิตศาสตร์ 2) ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมของรายวิชาคณิตศาสตร์ มากขึ้น 3) ผู้สอนมีการนำเทคนิคการสอนที่เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองและเทคนิคการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ The 5Es of Inquiry-Based Learning (5E) เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือ เชื่อมโยงความรู้ที่มีอยู่เดิม หาแนวทางแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองแล้วนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยนำไปปรับ ใช้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับประถมศึกษา (All System)
กำรประเมินและกำรปรับปรุง แบบประเมินควำมพึงพอใจต่อกำรใช้นวัตกรรม แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม การบริหารจัดการศึกษา การจัดการเรียนรู้ การนิเทศ ติดตามและประเมินผล ตารางที่ 1 : แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของผู้อำนวยการ มีความพึงพอใจต่อ การใช้นวัตกรรมระดับมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 80 และมีความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมระดับมากคิดเป็น ร้อยละ 20 แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของคณะครูฝ่ายบริหารงานวิชาการ และครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ทั้งหมดจำนวน 7 คน มีความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมระดับ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 92.53 มีความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมระดับมากคิดเป็นร้อยละ 5.37 และมี ความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมระดับปานกลางคิดเป็นร้อยละ 2.10
ข้อมูลสำรสนเทศของสถำนศึกษำ โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ รหัส 1170100037 ตั้งอยู่เลขที่ 24 ถนน โพธาราม ตำบล โพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ โทรศัพท์ 032-240364 โทรสาร 032-240364 e-mail [email protected] ได้รับอนุญาตจัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2483 เปิดสอนระดับ ก่อนประถมศึกษา ถึงระดับ ประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวนนักเรียนทั้งหมด 769 คน จำนวนครูและจำนวนบุคลากรของโรงเรียน 32 คน ผู้อำนวยการ นางเบญจมาศ คำโทน วุฒิการศึกษาสูงสุง ศษ.ม. สาขา การบริหารการศึกษา ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2554 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 12 ปี โทรศัพท์ 086-1665802 e-mail : [email protected] นางเบญจมาศ คำโทน ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ ปรัชญาของโรงเรียน สุวิชาโน ภวํ โหนฺติ ผู้รู้ดี เป็นผู้เจริญ ค าขวัญของโรงรียน มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม เลิศล ําวิชาการ องค์ประกอบที่ 3 : ด้ำนผลที่เกิดขึ้นจำกกำรด ำเนินงำนตำมรูปแบบ/แนวทำง
กำรด ำเนินงำน/กำรบริหำรจัดกำรสถำนศึกษำ สถานศึกษามีการดำเนินการวางแผนร่วมกับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์การจัดกิจกรรม กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและจัดกิจกรรมที่เน้นทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองและเขียนสื่อความให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในรายวิชาคณิตศาสตร์ด้วยกระบวนการ ที่ส่งเสริมทักษะของการคิดและลงมือปฏิบัติตามรายวิชา สถานศึกษามีการ IFTE จากคณะกรรมการจำนวน 4 ครั้ง โดยผลที่เกิดขึ้นจากการ IFTE ทาง คณะกรรมการได้แนะนำดังนี้ ครั้งที่ 1 IFTE จัดการประชุมวางแผนเรื่องของการดูหลักสูตรตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ ละครั้งและศึกษาด้วยมาตรฐานและตัวชี้วัดของแต่ละรายวิชาตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 ปรับปรุง 60 โดยวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ในปีการศึกษา 2565 เพื่อนำตัวชี้วัดที่มี ผลสัมฤทธิ์ที่ต่ำกว่าระดับประเทศมาพัฒนาก่อนเป็นลำดับแรก นอกจากนั้นครูผู้สอนควรศึกษาโครงสร้างของ รายวิชาที่สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องและตรงตามตัวชี้วัดเพื่อเป็นแนวทางในการ พัฒนาการจัดกระบวนการเรียนการสอนให้มีผลสัมฤทธิ์ในรายวิชาที่สูงขึ้นตามลำดับ ภาพที่ 1 จัดการประชุมวางแผนเรื่องของการดูหลักสูตรตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครั้งที่ 2 IFTE 1) การเขียนแผนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและให้ครูเป็นผู้ช่วยโดยเน้นในเรื่องของสมรรถนะของ หลักสูตรและการปฏิบัติในเรื่องของการออกแบบการเรียนรู้รายวิชาวาคณิตศาสตร์โดยสอดแทรกแนวข้อสอบ O-NET ไว้ในแต่ละบทเรียนเพื่อตอบสนองนโยบายของ สมศ. (เรื่องการประกันคุณภาพ)
2) การบูรณาการหลักสูตรด้านทุจริตการศึกษา 3) การปรับกิจกรรมการเรียนการสอนและการวัดผลให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเรียนการสอนในยุค โควิด (covid-19) ในปัจจุบันโดยเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดและมาตรฐานของรายวิชาคณิตศาสตร์ 4) การเตรียมสื่อการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้กับผู้เรียนในยุคโควิด (covid-19) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้กับสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายและเหมาะสมกับสถานการณ์ใน ปัจจุบัน 5) จัดการเรียนรู้โดยใช้คำถามกระตุ้นนักเรียนทั้งก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน โดยครูจัดกิจกรรม การสอนตามหลักการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ The 5Es of Inquiry-Based Learning (5E) 6) หลังแผนการสอนควรมีการประเมินแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) และความพึงพอใจที่บ่งชี้ถึงความ เข้าใจของผู้เรียนเพื่อนำมาพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ภาพที่ 2 ภาพการเขียนแผนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญและให้ครูเป็นผู้ช่วยโดยเน้นในเรื่องของ สมรรถนะของหลักสูตรและการปฏิบัติ ครั้งที่ 3 IFTE 7) มีการนิเทศการสอนจากผู้บริหาร ฝ่ายวิชาการและครูในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ (เดือนละ 1 ครั้ง) แล้วนำ ผลจากการนิเทศมาประชุม PLC เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ 8) ให้ผู้สอนนำแนวข้อสอบ O-NET (3 ปี ย้อนหลัง) มาใช้ร่วมกับการเรียนการสอนเพื่อฝึกฝนการคิด วิเคราะห์ ในการทำข้อสอบของผู้เรียน 9) ผู้สอนควรแทรกคำถามท้ายบทเรียน โดยให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ในรายสาระที่เรียนโดยกระตุ้นให้คิด อย่างสร้างสรรค์และค้นหาคำตอบได้อย่างอิสระ 10) เน้นย้ำเรื่องการประเมินผลการเรียนรู้ก่อนเรียน (pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 11) ผู้สอนควรตั้งคำถามที่แสดงความคิดสร้างสรรค์และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหลายรูปแบบ
12) นำผลที่ได้จากการคิดวิเคราะห์ตัวชี้วัดและมาตรฐานมาปรับในเรื่องการเรียนการสอนและ นำมา รายงานในรูปแบบวรสาร ภาพที่ 3 ภาพการนิเทศการสอนจากผู้บริหาร ฝ่ายวิชาการและครูในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ (เดือนละ 1 ครั้ง) ครั้งที่ 4 IFTE 13) สรุปผลที่ได้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาคณิตศาสตร์ 14) ใช้กำหนดเป้าหมาย/แนวทางและกระบวนการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แสดงกระบวนการ ดำเนินงานภายใต้ผังแสดง RAT MODEL ภาพที่ 4 ภาพสรุปผลที่ได้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาคณิตศาสตร์
กำรมีเครือข่ำยพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำ เนื่องจากนวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษา RAT MODEL เป็นนวัตกรรมที่ใช้การจัดการเรียนรู้ภายใน โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ โดยมีการเผยแพร่ให้กับบุคลากรภายในโรงเรียนได้รับรู้รับทราบและปฏิบัติผ่าน กระบวนการ PLC และการประชุมประจำเดือน แผ่นพับ RAT MODEL และได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำเสนอผลงานตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนา การศึกษาประจำปีงบประมาณ 2566 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดราชบุรี ลงชื่อผู้รายงาน……………………………………………………… นางสาวสกุณา จงฉิม (ตำแหน่งครูผู้สอนรายวิชาคณิตศาสตร์) ลงชื่อผู้รายงาน……………………………………………………… นางสาวเอื้องฟ้า ทับกิ (ตำแหน่งครูผู้สอนรายวิชาคณิตศาสตร์) ลงชื่อ………………………………………………………ผู้รับรอง นางเบญจมาศ คำโทน (ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์) วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2566
กำรยอมรับที่มีต่อสถำนศึกษำ ข้าพเจ้า นางเบญจมาศ คำโทน ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ เกี่ยวข้องเป็นผู้บริหาร ของ นางสาวสกุณา จงฉิม และ นางสาวเอื้องฟ้า ทับกิตำแหน่งครูผู้สอนรายวิชาคณิตศาสตร์ขอรับรองว่า ผลงานนี้เป็นนวัตกรรมที่ผู้รายงานดำเนินการศึกษาพัฒนาตามรายงานข้างต้นทุกประการ ลงชื่อ………………………………………………………..ผู้รับรอง นางเบญจมาศ คำโทน (ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์)
กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนรู้ของครู ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในศตวรรษที่ 21 ทำให้ผู้คนทั่ว โลกเข้าถึงแหล่งความรู้บนโลกอินเทอร์เน็ตได้กว้างและไกลกว่าที่เคยเป็นมาในยุคไหน การเรียนรู้ในระบบ การศึกษาแบบเดิมจึงไม่ตอบโจทย์การสร้างทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 อีกต่อไป ทักษะการออกแบบ กระบวนการเรียนรู้ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักกิจกรรม ครูอาจารย์ และ บุคลากรในแวดวงการศึกษาจำเป็นต้องมี กระบวนการออกแบบการเรียนรู้ (Learning Design Process) กระบวนการออกแบบการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การเรียนรู้ที่ผู้เรียนไม่รู้สึกว่ากำลังเรียนอยู่ ควรเป็นการ เรียนรู้ที่พวกเขาได้เลือกโจทย์ด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสนุกสนานท้าทาย โดยกระบวนการนี้แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ 1. ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ (Learning Objective) ควรพิจารณาจากตัวตน ความชอบ ความถนัดของ คนๆ นั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่บังคับหรือยัดเยียดให้เรียนตามหลักสูตรเพียงอย่างเดียว หากยังค้นหาเป้าหมายการ เรียนรู้ให้เจอ ให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราอยากเติบโตไปเป็นคนแบบไหน ทุกวันนี้มีความสนใจเรื่อง อะไรบ้าง เมื่อคนเราได้เรียนรู้ในสิ่งที่อยากเรียนจริงๆ ย่อมเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะผลักดันตัวเองให้ก้าวไป ข้างหน้า 2. กระบวนการเรียนรู้ (Learning Process) ข้อนี้เป็นสิ่งที่คนในยุคดิจิทัลได้เปรียบมาก เพราะปัจจุบัน เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตและเอื้ออำนวยให้มนุษย์มีทางเลือกในการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง โจทย์ สำคัญคือการออกแบบวิธีใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวผู้เรียน ประกอบกับการสร้าง สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ที่เหมาะสม และส่งเสริมให้เกิดการลงมือทำเพื่อสะสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง 3. การวัดผลการเรียนรู้ (Learning Evaluation) ขั้นตอนสุดท้ายคือการวัดผล ซึ่งจะไม่ใช่การสอบเก็บ คะแนนเหมือนการเรียนรู้แบบเก่าอีกต่อไป แต่เป็นการประเมินจากผลงานที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความ เข้าใจในสิ่งที่ได้เรียนไป หรือพูดคุยเพื่อให้ผู้เรียนสะท้อนถึงสิ่งที่ได้รับจากกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 สิ่งสำคัญในกระบวนการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 คือ การสร้างทักษะด้านต่างๆ ที่จำเป็นแก่ผู้เรียน อย่างรอบด้าน แน่นอนว่าทักษะเหล่านั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการฟังเลคเชอร์เพียงอย่างเดียว ผู้สอนจึงต้อง ปรับบทบาทจากการถ่ายทอดความรู้เพียงฝ่ายเดียว มาเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ เอื้อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากการเรียนรู้อย่างครบถ้วนรอบด้าน โดยทาง BASE Playhouse ได้ฝากเช็ก ลิสต์สำคัญ 5 ข้อในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ ได้แก่ 1. ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้จากเป้าหมายของผู้เรียน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดความกระตือรือร้นในการ พัฒนาตัวเองไปสู่เป้าหมายนั้น ผู้สอนอาจเริ่มจากการชวนพูดคุยว่าผู้เรียนวางแผนอนาคตไว้อย่างไรบ้าง จากนั้น จึงอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของชุดความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจำเป็นต้องมีเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น
2. เริ่มจากความสนใจของผู้เรียน ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกกลุ่มสาระวิชา เช่น ถ้าจะสอน คณิตศาสตร์ให้กับเด็กที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ เราก็ควรเชื่อมโยงสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากการ หยิบยกหัวข้อประวัติศาสตร์ที่เขาสนใจขึ้นมา แล้วหาวิธีสอดแทรกความรู้ทางคณิตศาสตร์เข้าไปในหัวข้อนั้น 3. ต้องมีการลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดทักษะ เพราะการเรียนรู้ที่ได้ผลดีมักเกิดจากการลงมือทำซ้ำๆ จน เชี่ยวชาญ และสามารถพัฒนาต่อยอดได้จากประสบการณ์ของตนเอง ไม่ใช่ทำแค่เพราะมีคนอื่นมาบอกให้ทำ แบบนั้นแบบนี้ 4. ใช้เทคโนโลยีช่วยสนับสนุนในการขยายผล โดยปัจจุบันมีเทคโนโลยีการศึกษามากมายที่ถูก พัฒนาขึ้นและใช้กันอย่างแพร่หลาย ยกตัวอย่างเช่น Gather Town โปรแกรมประชุมออนไลน์ในรูปแบบโลก เสมือนจริง ให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังเล่นเกมและได้พบปะกับเพื่อนฝูง สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพิ่มสีสัน ให้กับการเรียนการสอนออนไลน์ได้ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนรู้สึกว่าได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน มากขึ้น 5. เห็นผลงานเพื่อวัดผลจริง หลังผ่านกระบวนการเรียนรู้แล้ว ควรมีผลงานออกมาในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง เพื่อใช้วัดผลสัมฤทธิ์จากการเรียนรู้ อย่างถ้าเป็นกิจกรรมออนไลน์ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท สำคัญ ส่วนใหญ่ก็มักจะวัดประเมินความสำเร็จของผู้เรียนได้ทันทีหลังสิ้นสุดกิจกรรม กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ของครู วิธีสอนแบบสำธิต หมายถึง การที่ครูหรือนักเรียนคนใดคนหนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้นักเรียนดู หรือ ให้เพื่อนๆดูอาจเป็นการแสดงการใช้เครื่องมือแสดงให้เห็นกระบวนการวิธีการ กลวิธีหรือการทดลองที่มี อันตราย ซึ่งไม่เหมาะที่จะให้นักเรียนทำการทดลอง การสอนวิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและ สามารถทำในสิ่งนั้นได้ถูกต้อง และยังเป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และถือว่าเป็นการได้ ประสบการณ์ตรงวิธีหนึ่ง วิธีสอนแบบสาธิต จึงเป็นการสอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็นผู้ วางแผน ดำเนินการ และลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมบ้างเล็กน้อย วิธีสอนแบบนี้จึงเหมาะสำหรับ จุดประสงค์การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพ เป็นต้น ควำมมุ่งหมำย เพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติตามได้ เมื่อใดจึงจะใช้กำรสอนแบบสำธิต 1. เมื่อนำเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนสาธิตให้ผู้ดูเพื่อให้ผู้เรียนตั้งปัญหาและเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยาก
ค้นหาคำตอบต่อไป 2. เพื่อสร้างปัญหาให้ผู้เรียนคิด 3. เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด ความจริงหลักทฤษฎี โดยนักเรียนสามารถมองเห็น โดยตรง 4. เมื่ออธิบายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ส่วนไหนทำหน้าที่อะไร 5. เมื่อเครื่องมือที่จะทำการทดลองมีราคาแพง หรือเกิดอันตรายได้ง่าย 6. ควรคำนึงถึงฤดูกาล โอกำสในกำรใช้ 1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจในบทเรียน 2. ช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาที่ยาก ต้องใช้เวลานานให้เข้าใจง่ายขึ้นและประหยัดเวลา 3. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลไกวิธีในการปฏิบัติงานซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เช่น การทำ กิจกรรม วิชาศิลปะ หัตถกรรม งานประดิษฐ์ นาฏศิลป์ 4. เพื่อช่วยสรุปบทเรียน 5. เพื่อใช้ทบทวนบทเรียน 6. เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคิดรวบยอด ความจริง หลักทฤษฎี โดยนักเรียนมองเห็นได้โดยตรง เพื่อ ทดสอบหรือยืนยันการสังเกตในครั้งก่อนๆ ว่าผลเหมือนเดิมหรือไม่ ประเภทของกำรสำธิต แบบที่ 1 1. สำธิตให้ดูทั้งชั้น การสาธิตให้ดูทั้งชั้นผู้สอนจะต้องระวังให้ทุกคนมองเห็นและเข้าใจการสาธิตในแต่ละ ครั้ง อย่างไรก็ตามการสาธิตให้ดูทั้งชั้นย่อมมีผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจดีพอเนื่องจากบางคนมีพื้นความรู้หรือ ประสบการณ์แตกต่างกัน 2. กำรสำธิตให้ดูเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่ เมื่อมีผู้เรียนจำนวนหนึ่ง เรียนไม่เข้าใจดีพอ จึงจำเป็นต้องสาธิต ให้ดูใหม่เป็นกลุ่มเล็ก ในแต่ละชั้นเรียนอาจมีผู้เรียนได้เร็วมาก ปานกลางหรือช้าไปบ้าง การสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เฉพาะที่มีความรู้ไล่เลี่ยกันจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนแต่ละหมู่ทำงานอย่างเต็มความสามารถของตน 3. กำรสำธิตให้ดูเป็นรำยบุคคล เมื่อผู้สอนสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เป็นกลุ่มแต่ผู้เรียนบางคนไม่อาจจะเข้าใจ การสาธิตทั้งชั้นหรือเป็นกลุ่มได้ หรือผู้เรียนบางคนไม่ได้เข้าร่วม ผู้สอนจึงต้องสาธิตให้ดูเป็นรายบุคคล แบบที่ 2 1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว ( Teacher- Demonstration) 2. ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงสาธิต (Teacher-Student- Demonstration ) 3. กลุ่มนักเรียนล้วนเป็นผู้สาธิต (Student Group Demonstration ) 4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต (Individual Student Demonstration )
5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต ( Guest Demonstration ) ขั้นตอนกำรสอน 1. ขั้นเตรียมการสอน กำหนดจุดประสงค์ในการสาธิตให้ชัดเจน จัดลำดับเนื้อหาตามขั้นตอนให้เหมาะสม เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอน สิ่งที่จะให้นักเรียนปฏิบัติ ตลอดจนคำถามที่จะใช้ให้รอบคอบ เตรียมสื่อการเรียนการสอนและเอกสารประกอบให้พร้อม กำหนดเวลาในการสาธิตให้พอเหมาะ กำหนดวิธีการวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน เตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมเพื่อให้นักเรียนมองเห็นการสาธิตให้ทั่วถึง ทดลองสาธิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการติดขัด 2. ขั้นตอนการสาธิต บอกจุดประสงค์การสาธิตให้นักเรียนทราบ บอกกิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติ เช่น นักเรียนจะต้องจดบันทึก สังเกตกระบวนการ สรุป ขั้นตอน ตอบคำถาม เป็นต้น ดำเนินการสาธิตตามลำดับขั้นตอนที่เตรียมไว้ ประกอบกับอธิบายตัวอย่างชัดเจน ขั้นสรุปและประเมินผล ผู้สอนเป็นผู้สรุปความสำคัญ ขั้นตอนของสิ่งที่สาธิตนั้นด้วยตนเอง ให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจในบทเรียนนั้นๆมากน้องเพียงใด ผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนเข้าใจเนื้อเรื่อง ขั้นตอนการสาธิตมากน้อยเพียงใด เช่น ให้ตอบคำถาม ให้เขียนรายงาน ให้แสดงสาธิตให้ดู ฯลฯ ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นภายหลังจากการสาธิตแล้ว กำรพัฒนำสื่อกำรเรียนรู้ของครู ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ประสบผลสำเร็จนั้น ครูผู้สอนจะต้องทำการวางแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ พร้อม ๆ ไปกับการผลิตและการใช้สื่อการเรียนรู้ ซึ่งแนวทางในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ มีดังต่อไปนี้ 1.. วิเคราะห์วัตถุประสงค์ เนื้อหา 2. วิเคราะห์กิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เนื้อหา
3. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ควรพิจารณาลักษณะของกิจกรรม ดังต่อไปนี้ 3.1) ผู้เรียนต้องลงมือปฏิบัติอย่างตื่นตัว 3.2) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ 3.3) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีอิสระในการคิดแก้ปัญหา หรือพัฒนาชิ้นงาน หรือ โครงการ 3.4) ต้องคำนึงให้ผู้เรียนร่วมเรียนรู้ หรือทำงานเป็นกลุ่ม 4. วิเคราะห์กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้น ว่าจะต้องใช้สื่อการเรียนรู้ประเภทใดที่ช่วยสร้างความ เข้าใจในความคิดรวบยอดนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเน้นกิจกรรมที่ผ่านกระบวนการที่ผู้เรียนต้องลงมือค้นหาคำตอบ ทำความเข้าใจด้วยตนเอง หรือสะท้อนการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 5. จัดเตรียม สื่อการเรียนรู้ อาจจะผลิตขึ้นมาใหม่ หรือปรับปรุงจากของเดิม อาจอยู่ในรูปของ 5.1) ชุดการทดลอง 5.2) ชุดกิจกรรม 5.3) สิ่งตีพิมพ์ เช่น เอกสาร ตำรา วารสาร 5.4) เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เช่น อินเตอร์เนต E-Learning มัลติมีเดีย Web-based learning 5.6) แหล่งเรียนรู้ตามธรรมชาติ 5.6) แหล่งการเรียนรู้อื่น ๆ 6. นำไปใช้ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เช่น 6.1) ผู้เรียน 6.2) ครูผู้สอน 6.3) สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก 7. ประเมินผลสื่อ โดยพิจารณาจาก 7.1) ประเมินผลผลิต คือ ประเมินคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านเนื้อหา ด้านการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านสื่อ และด้านประเมินผล 7.2) ประเมินบริบทการใช้ เพื่อหาบริบทที่เหมาะสมในการใช้สื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพใน สภาพจริง เช่น การจัดจำนวนสมาชิกในกลุ่มที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในกิจกรรมการแก้ปัญหาที่ใช้ Web-based learning 7.3) ประเมินด้านความคิดเห็น เจตคติที่มีต่อการเรียนจากสื่อการเรียนรู้ 7.4) ประเมินด้านความสามารถ (Performance) ของผู้เรียน ความสามารถของผู้เรียนประเมินได้ จากการกระทำที่แสดงออกโดยตรงจากการทำงานด้านต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ที่กำหนดให ที่เป็น
สภาพจริงหรือใกล้เคียงกับสภาพจริง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแก้ปัญหา หรือปฏิบัติงานจริง อาจประเมินได้จาก กระบวนการทำงาน กระบวนการคิด (Cognitive process) โดยเฉพาะการคิดในระดับสูง (higher-order thinking) ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การคิดวิพากษ์วิจารณ์ การคิดแบบสร้างสรรค์ การคิดเชิงเหตุผล เป็นต้น นอกจากนี้อาจประเมินเกี่ยวกับกระบวนการทำงาน เช่น กระบวนการการแก้ปัญหา 7.5) ประเมินด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กำรวัดและประเมินผลของครู การวัดผล หมายถึง กระบวนการหรือวิธีการในการกำหนดตัวเลขให้กับคุณลักษณะต่างๆ ของคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ คือ จะต้องดำเนินการอย่างมีขั้นตอน เป็นระเบียบแบบแผน โดย มีเครื่องมือช่วยวัด ซึ่งจะทำให้ตัวเลขใช้แทนลักษณะของสิ่งที่เราต้องการ การประเมินผล หมายถึง การนำเอาผลจากการวัดหลายๆ ครั้งมาสรุป ตีราคา คุณภาพของผู้เรียนอย่างมี หลักเกณฑ์ว่า สูง ต่ำ ดี เลว อย่างไร หลักของการวัดผลการศึกษา ได้แก่ 1. กำหนดวัตถุประสงค์การวัดให้ชัดเจน 2. วัดให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 3. เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับ 1 และ 2 4. ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ 5. มีความยุติธรรมในการวัด 6. แปลผลอย่างถูกต้อง 7. นำผลที่วัดได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า เครื่องมือที่ใช้ในการวัดการศึกษา มีหลายชนิดแต่ละชนิดต่างก็มีความเหมาะสมกับการวัดแตกต่างกัน ประกอบด้วย 1. การทดสอบ (Testing) 2. แบบสอบถาม (Questionnaires) 3. แบบสำรวจ (Checkists) 4. มาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5. การสังเกต (Observation)
6. การสัมภาษณ์ (Interview) 7. การบันทึก (Records) 8. สังคมมิติ (Sociometry) 9. การศึกษารายกรณี (Case Study) 10. การให้สร้างจินตนาการ (Projective Technique) ประเภทของแบบทดสอบ มีดังต่อไปนี้ 1. แบ่งโดยใช้วิธีตอบเป็นเกณฑ์ ประกอบด้วยแบบทดสอบเขียนตอบ (Essay Test) แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) และแบบทดสอบให้ปฏิบัติ (Performance Test) 2. แบ่งโดยใช้วิธีดำเนินการสอบเป็นเกณฑ์ มี 6 ชนิด คือ แบบทดสอบรายบุคคล เป็นกลุ่ม วัดความเร็ว วัดความสามารถสูงสุด ข้อเขียนและปากเปล่า 3. แบ่งโดยใช้สิ่งที่ต้องการวัดเป็นเกณฑ์ มี 5 ประเภท ได้แก่ วัดผลสัมฤทธิ์ ความถนัด วัดบุคลิกภาพและ เจตคติ คุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบ ต้องประกอบด้วยความยาก อำนาจจำแนก ความเชื่อมั่นหรือความ เชื่อถือได้ ความเที่ยงตรง ความเป็นปรนัย ความยุติธรรม สามารถนำไปใช้ได้ดี ถามลึก จำเพาะเจาะจง ยั่วยุ และประสิทธิภาพ สำหรับความเที่ยงตรง (Validity) เป็นเรื่องราวของความต้องการหรือตั้งใจจะให้ข้อเสนอวัด อะไร ชนิดของความเที่ยงตรงมี 3 ชนิด ได้แก่ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างและความ เที่ยงตรงเชิงสัมพันธ์กับเกณฑ์ สถิติเบื้องต้นสำหรับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ผู้ประเมินต้องเข้าใจวิธีการและเลือกสถิติที่ เหมาะสมใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน การวัดแนวโน้มสู่ส่วนกลางเป็นการหาค่าสถิติเพื่อบอก ลักษณะที่เป็นตัวแทนของข้อมูล ค่าสถิติที่นิยมใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ยหรือมัชฌิมเลขคณิต (Mean : ) มัธยมฐาน (Median : Mdn.) และฐานนิยม (Mode : Mo.) คะแนนมาตรฐาน (Standard Score) หมายถึง คะแนนดิบที่ แปลงรูปให้มีหน่วยวัดเท่ากันเพื่อให้สามารถนำเปรียบเทียบหรือรวมกันอย่างมีความหมาย ทั้งนี้เพราะคะแนน ดิบหรือคะแนนสอบแต่ละวิชาไม่สามารถนำมารวมกันหรือเปรียบเทียบกันได้ เช่น คะแนนเต็มไม่เท่ากัน เป็น ต้น การแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนนมาตรฐาน ต้องอาศัยพื้นฐานที่สำคัญ คือ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (s)
การประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง เป็นการใช้เทคนิคประเมินผลหลากหลายวิธี เกณฑ์ที่นำมาใช้ ประกอบการพิจารณาประเมินผลตามสภาพจริงนั้น ประกอบด้วย เกณฑ์ระดับคุณภาพและเกณฑ์การพิจารณา ตัดสิน ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ 1. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สามารถวัดหรือสังเกตเห็นได้ด้วยความรู้ ความเข้าใจทักษะ กระบวนการและด้านจิตใจ 2. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้หรือภาระงานการปฏิบัติในลักษณะผลผลิตหรือผลงาน ผลการกระทำหรือ พฤติกรรมและกระบวนการ เช่น การทดลอง เป็นต้น 3. เลือกวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผล 4. สร้างเครื่องมือและประเมินผลการเรียนรู้ – กำหนดเกณฑ์การประเมินตามสภาพจริง – เกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม – เกณฑ์แบบแยกองค์ประกอบ การประเมินตามสภาพจริงนั้น ต้องใช้เทคนิคหลากหลาย ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การรายงาน ตนเอง บันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง แบบทดสอบปฏิบัติจริง และใช้แฟ้มผลงาน สรุปสำระส ำคัญของผลงำนทำงวิชำกำร : หนังสือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สามารถสรุปเป็นประเด็น ดังต่อไปนี้ ประเด็นที่ 1 ธรรมชาติของการวัดผลทางการศึกษา 1.1 การวัดผลการศึกษา เป็นการวัดในสิ่งที่เป็นนามธรรม 1.2 มีหน่วยการวัดไม่คงที่หรือมีความแตกต่างกัน เพราะหน่วยการวัดจะเปลี่ยนตามเครื่องมือ 1.3 มีความคลาดเคลื่อน อาจเกิดจากเครื่องมือที่ใช้วัด 1.4 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถวัดลักษณะต่างๆ ได้ วัดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น เช่น วัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำศัพท์ เป็นต้น 1.5 เป็นงานสัมพันธ์ เพราะผลจากการวัดไม่มีความหมายในตัวเอง ต้องนำผลไปสัมพันธ์กับสิ่งอื่น เช่น คะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เกณฑ์ที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เป็นต้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การวัดผลทางการศึกษาจะประสบกับปัญหาและข้อยุ่งยากหลายประการ เพราะเป็น การวัดทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือมนุษย์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยากแก่การควบคุม แต่ จัดว่าเป็นเครื่องมือ (Tools) หรือ วิถีทาง (Means) ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย (Ends) และมีส่วนให้ครู ผู้บริหาร ผู้เกี่ยวข้องสามารถพัฒนางานการศึกษาของเด็กให้ดีขึ้นได้ ประเด็นที่ 2 การวัดพฤติกรรมทางการศึกษา นั้นต้องศึกษาจุดมุ่งหมายทางการศึกษาทุกวิชา เพื่อเน้นให้ ผู้เรียนเกิดพฤติกรรม 3 ด้าน คือ 2.1 ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมทางสมองมี 6 ขั้น ได้แก่ ความรู้ความจำ ความ เข้าใจ การนำไปใช้วิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า 2.2 ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจ ความรู้สึกของมนุษย์มี 5 ขั้น ได้แก่ การรับรู้ การตอบสนอง การสร้างคุณค่า การจัดระบบคุณค่าและการสร้างลักษณะนิสัย 2.3 ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมด้านทักษะในการปฏิบัติกิจกรรมมี 7 ขั้น ได้แก่ การรับรู้ การเตรียมพร้อมปฏิบัติ การตอบสนองตามแนวทางที่กำหนดให้ ความสามารถด้านกลไก การ ตอบสนองที่ซับซ้อน การดัดแปลงให้เหมาะสมและการริเริ่ม ดังนั้นผู้สอนทุกวิชาควรสอนให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน จะเป็นด้านใดมาก-น้อย ขึ้นอยู่กับ จุดมุ่งหมายของแต่ละวิชาและการวัดผลก็ต้องวัดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้านด้วยและต้องวัดให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์ของแต่ละวิชา ประเด็นที่ 3 การสร้างแบบทดสอบ ในการประเมินผลขึ้นอยู่กับประเภทของการประเมิน วัตถุประสงค์ และลักษณะของการประเมินที่แตกต่างกัน ซึ่งการประเมินมี 2 ประเภท คือ 3.1 การสร้างแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม จะเป็นการวัดความสามารถทางสมอง 6 ด้าน คือ ความรู้ ความ เข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์และการประเมินค่า ขั้นตอนในการวางแผนสร้างแบบทดสอบ ได้แก่ – กำหนดวัตถุประสงค์ของการวัดว่าต้องการอะไร วัดใคร นักเรียนชั้นใด ระดับใด เป็นต้น – ศึกษาเนื้อหาทั้งหมดที่จะนำมาทดสอบ โดยพิจารณาจากขอบเขตของเนื้อหาที่ต้องการทดสอบ ประกอบด้วย เนื้อหาอะไร แต่ละเนื้อหามีขอบเขตอย่างไร – ศึกษาจุดมุ่งหมายของการสอนเนื้อหา เพื่อเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าข้อสอบนั้นเน้นพฤติกรรมด้านใด มาก น้อยเพียงใด จึงสามารถวัดได้ตรงจุดมุ่งหมายของการสอน
– สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร จำเป็นมากในการวางแผนสร้างข้อสอบ และใช้เป็นแนวยึดในการ เป็นข้อมูลการทดสอบ (Test Content) 3.2 การสร้างข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ เป็นการวัดผลตามจุดประสงค์เชิงคุณภาพ ข้อสอบจึงต้องเป็นการวัด พฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ สิ่งที่ต้องพิจารณาในการวัดพฤติกรรมตามจุดประสงค์ คือ – พฤติกรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ เมื่อวางแผนเงื่อนไขหรือมีการเร้าเสียก่อน ดังนั้นการวัดผลตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงต้องเตรียมเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จะทำให้พฤติกรรมนั้นขึ้นไว้ก่อนเสมอ – พฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้น คาดหวังว่าเมื่อเรียนรู้ไปได้สมควรแก่เวลาน่าจะเกิดพฤติกรรมอย่างนั้น พฤติกรรมนี้เองเป็นสิ่งที่ผู้ทำหน้าที่ต้องการวัดเพื่อดูผลการเรียนรู้ของเด็กบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวังหรือไม่ พฤติกรรมที่คาดหวังพิจารณาแบ่งได้ 2 พวก คือ 1. พฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในลำดับขั้นของการเรียนรู้พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในลำดับขั้นของการ เรียนรู้พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นภายหลัง เกิดการเรียนรู้ผ่านมา 2. พฤติกรรมที่คาดหวังปลายทาง เป็นพฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในขั้นสุดท้าย เมื่อกระบวนการเรียน การสอนสิ้นสุดลง จะเกิดในลักษณะจุดประสงค์การเรียนการสอนหรือเป้าหมายของการเรียนการสอน – เกณฑ์ที่จะยอมรับพฤติกรรมต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อให้พฤติกรรมนั้น เกิดขึ้น แต่อาจจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่แท้จริง เกิดโดยบังเอิญจึงไม่คงทนถาวร ผู้เรียนมีคะแนนผลกำรทดสอบ O-NET แต่ละวิชำ โรงเรียน....ราษฎร์บำรุงวิทย์............ อำเภอ......โพธาราม............... จังหวัด........ราชบุรี............... มีนักเรียน เข้ารับการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในปีการศึกษา 2565 ดังนี้ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งหมดจำนวน.....80...คน เข้ารับการทดสอบจำนวน.....80......คน คิดเป็นร้อยละ.....100.............. ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียนทั้งหมดจำนวน.....-.......คน เข้ารับการทดสอบจำนวน.................คน คิดเป็นร้อยละ................... มีผลการทดสอบ ดังนี้
ตำรำงที่ 1 ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2565 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน......ราษฎร์บำรุงวิทย์.......................................... กลุ่มสาระ การเรียนรู้/วิชา จำนวน นักเรียน (คน) คะแนน สูงสุด (MAX) ต่ำสุด (Min) เฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ภำษำไทย 80 92.50 27.25 60.77 16.00 * อัตนัย 17.00 3.00 12.37 3.28 * ปรนัย 76.00 20.00 48.40 14.11 ภำษำอังกฤษ 80 100 6.25 43.13 20.11 คณิตศำสตร์ 80 86.38 0.00 32.34 18.95 วิทยำศำสตร์ 80 75.00 20.00 44.63 12.78 จากตารางที่ 1 พบว่า ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2565 ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน......ราษฎร์บำรุงวิทย์.........เป็นดังนี้ วิชำภำษำไทย พบว่า มีนักเรียนเข้าสอบ....80........คน คะแนนรวมสูงสุด....92.50...........คะแนน ต่ำ สุด....27.25..........คะแนน และคะแนนเฉลี่ย (Mean) เท่ากับ .....60.77........... ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ....16.00........ เมื่อพิจารณาผลสอบอัตนัย คะแนนสูงสุด.....17.00..........คะแนน ต่ำสุด....3.00... คะแนน และคะแนนเฉลี่ย (mean) เท่ากับ .....12.37............ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ...16.00.... ส่วนผลสอบปรนัย คะแนนสูงสุด....76.00.........คะแนน ต่ำสุด....20.00...........คะแนน มีคะแนนเฉลี่ย (Mean) เท่ากับ.....48.40..........ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ....14.11......... วิชำภำษำอังกฤษ พบว่า มีนักเรียนเข้าสอบ...80.........คน คะแนนสูงสุด.....100............คะแนน ต่ำ สุด......6.25..........คะแนน และคะแนนเฉลี่ย (Mean) เท่ากับ ...43.13........... ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ....20.11......... วิชำคณิตศำสตร์พบว่า มีนักเรียนเข้าสอบ.....80.......คน คะแนนสูงสุด......86.38.............คะแนน ต่ำ สุด....0.00............คะแนน และคะแนนเฉลี่ย (Mean) เท่ากับ ....32.34.......... ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ....18.95......... วิชำวิทยำศำสตร์พบว่า มีนักเรียนเข้าสอบ...80........คน คะแนนสูงสุด......75.00..............คะแนน ต่ำสุด....20.00.....คะแนน และคะแนนเฉลี่ย (Mean) เท่ากับ ....44.63... ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่า กับ.....12.78........
ตำรำงที่.2...เปรียบเทียบผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2565 ชั้น.....ป.6.......... โรงเรียน.....ราษฎร์บำรุงวิทย์......... กับคะแนนระดับจังหวัด ระดับสังกัด และระดับประเทศ กลุ่มสาระ การเรียนรู้/วิชา คะแนนเฉลี่ย (Mean) ระดับโรงเรียน ระดับจังหวัด ระดับสังกัด ระดับประเทศ ภำษำไทย 60.77 56.06 56.48 53.89 * อัตนัย 48.40 44.74 11.07 11.06 * ปรนัย 12.37 11.32 45.41 42.84 ภำษำอังกฤษ 43.13 39.06 47.90 37.62 คณิตศำสตร์ 32.34 29.40 32.19 28.06 วิทยำศำสตร์ 44.63 40.83 43.04 39.34 จากตารางที่ ..2.. พบว่า ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2565 ระดับชั้น...................ป.6........................ โรงเรียน.......ราษฎร์บำรุงวิทย์........................................เป็นดังนี้ วิชาภาษาไทย มีคะแนนเฉลี่ย สูงกว่า คะแนนเฉลี่ยระดับจังหวัด คะแนนเฉลี่ยระดับสังกัด และ คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ วิชาภาษาอังกฤษ มีคะแนนเฉลี่ย สูงกว่า คะแนนเฉลี่ยระดับจังหวัด คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ แต่ คะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนต่ำกว่า คะแนนเฉลี่ยระดับสังกัด วิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย สูงกว่า คะแนนเฉลี่ยระดับจังหวัด คะแนนเฉลี่ยระดับสังกัด และ คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ. วิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย สูงกว่า คะแนนเฉลี่ยระดับจังหวัด คะแนนเฉลี่ยระดับสังกัด และ คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ.
แผนภูมิแสดงกำรเปรียบเทียบผลกำรทดสอบทำงกำรศึกษำระดับชำติขั้นพื้นฐำน (O-NET) ปีกำรศึกษำ 2565 ชั้น...........ป.6..................... โรงเรียน......รำษฎร์บ ำรุงวิทย์.......................... กับคะแนนระดับจังหวัด ระดับสังกัด และระดับประเทศ ประโยชน์ที่ได้รับและปัจจัยควำมส ำเร็จ 1. ครูให้ความร่วมมือในการดำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพและมีความต่อเนื่องในการดำเนินงาน 2. ผู้บริหารให้ความสำคัญและกำกับ ติดตามอย่างต่อเนื่อง 3. ผู้ปกครองให้ความสำคัญและมีเวลาให้กับบุตรหลาน 4. นักเรียนให้ความสำคัญและตั้งใจเรียน 5. มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ PDCA. จุดเด่น/จุดที่ควรพัฒนำ จุดเด่น ผลการพัฒนารูปแบบการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษายกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ โดยใช้ RAT MODEL ที่ได้พัฒนาขึ้นโดยนำไปใช้ใน กระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนได้มีจุดเด่น ดังต่อไปนี้ 1. โรงเรียนมีรูปแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้การจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เฉลี่ย โรงเรียน 60.77 43.13 32.34 44.63 45.22 จังหวัด 56.06 39.06 29.4 48.83 43.34 สังกัด 56.48 47.90 32.19 43.04 44.90 ประเทศ 53.89 37.62 28.06 39.34 39.73 0.00 10.00 20.00 30.00 40.00 50.00 60.00 70.00 แผนภูมิแสดงการเปรียบเทียบผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้น พื้นฐาน (O-NET)ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน จังหวัด สังกัด ประเทศ
2. ครูผู้สอนในรายวิชาต่างๆ สามารถนำ RAT MODEL ไปต่อยอดพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ มีคุณภาพและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เพิ่มขึ้น จุดที่ควรพัฒนำ สถานศึกษาควรนำนวัตนกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการศึกษาการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ โดยใช้ RAT MODEL ไปปรับให้มี ความหลากหลายน่าสนใจและง่ายต่อการนำไปใช้ให้ได้กับทุกรายวิชา จนทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ ผู้เรียนสูงขึ้น อีกทั้งยังนำไปพัฒนาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ของทุกกลุ่มสาระ ในโรงเรียนให้มีการพัฒนาที่เพิ่มขึ้น ปัญหำ/อุปสรรค อันเนื่องมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) จึงทำให้ ผู้เรียนไม่สามารถเข้าสอบได้ร้อยละร้อยและผลกระทบจากการที่นักเรียนไม่ได้มาเรียนที่โรงเรียนจึงทำให้ ผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบไปยังผลการทดสอบระดับชาติด้วย แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาผู้เรียน และการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนยังคงดำเนินการต่อไปเพื่อให้ค่าเฉลี่ยถึงเกณฑ์เป้าหมายตามที่ สถานศึกษาได้ตั้งไว้ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ในการพัฒนาคุณภาพนักเรียน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยผ่านกิจกรรมการ เรียนรู้ ต้อง คำนึงถึงองค์ประกอบของการจัดการความรู้ได้แก่ บุคลากรครู ผู้ปกครอง นักเรียน สื่อ เทคโนโลยีและ กระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
- คำสั่งที่เกี่ยวข้อง - ภาพกิจกรรม ภำพประกอบโครงกำร Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมกำรศึกษำเพื่อพัฒนำกำรศึกษำ ประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. 2566 ของส ำนักงำนศึกษำธิกำรจังหวัดรำชบุรี กำรศึกษำเพื่อพัฒนำกำรศึกษำยกระดับผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนรู้คณิตศำสตร์ระดับชั้นประถมศึกษำปีที่ 6 โรงเรียนรำษฎร์ บ ำรุงวิทย์ โดยใช้ RAT MODEL ภาพที่ 1 แผนภาพ RAT MODEL นวัตกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษายกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราษฎร์บ ารุงวิทย์ องค์ประกอบที่ 4 : ภำคผนวก/เอกสำรหลัก/ภำพประกอบ
ภาพที่ 2 ผู้อ านวยการ คณะครูฝ่ายบริหารงานวิชาการ มีการวิเคราะห์ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ปีการศึกษา 2565 เพื่อวางแผนยกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ภาพที่ 3 รวบรวมข้อมูลผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2564 และ ปีการศึกษา 2565 เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนในปีต่อไป
ภาพที่ 4 วางแผนมอบหมายผู้รับผิดชอบในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ในการด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยยึด มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 ปรับปรุง 60 ภาพที่ 5 วางแผนการจัดสอนเสริมโดยปรับพื้นฐานให้ผู้เรียนโดยครูผู้สอนคณิตศาสตร์ใช้หลักการสอนแบบ หลักการสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ The 5Es of Inquiry-Based Learning (5E) มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ Step1 การสร้างความสนใจ (Engagement) Step2 การส ารวจและค้นหา (Exploration) Step3 การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) Step4 การขยายความรู้ (Elaboration) Step5 การประเมินผล (Evaluation)
ภาพที่ 6 และ 7 ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ประเมินผู้เรียนโดยแบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test) และแบบทดสอบ หลังเรียน (post-test) เพื่อตรวจสอบความเข้าใจในการเรียนคณิตศาสตร์
ภาพที่ 8 ผู้อ านวยการ คณะครูฝ่ายบริหารงานวิชาการ มีการประชุม PLC ร่วมกับกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพื่อเสนอ แนวทางและวิธีแก้ไขปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ภาพที่ 9 จัดการประชุมภายในโรงเรียนเพื่อแบ่งปันเทคนิคการสอนให้กับครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ
ภาพที่ 10 และ 11 แผ่นพับ RAT MODEL
บันทึกข้อควำม ส่วนรำชกำร โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ สังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 เรื่อง การเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมการศึกษา โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ เรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนธารพระพรวิทยานุสรณ์ ข้าพเจ้า นางเบญจมาศ คำโทน ผู้รับผิดชอบผลงานนวัตกรรมการศึกษา โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ ชื่อนวัตกรรม การศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษายกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ โดยใช้ RAT MODEL เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว สมควร นำผลงานนวัตกรรม เผยแพร่ แก่สถานศึกษาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียนได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป ในการนี้ จึงใคร่ขออนุญาตเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมการศึกษา โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ......................................................... ( นางเบญจมาศ คำโทน ) ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์
ที่ ธพว. 67 / 2566 วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 เรื่อง การเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมการศึกษา โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ เรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ ตามที่ โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ ได้เผยแพร่ผลงานนวัตกรรมการศึกษา โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ชื่อนวัตกรรม การศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษา ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ โดยใช้ RAT MODEL แก่สถานศึกษาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการพัฒนาการจัดการ เรียนรู้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียนได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป นั น ทางโรงเรียนได้รับผลงานนวัตกรรมการศึกษา โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และได้มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการ เรียนรู้ต่อไป ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลงานที่มีประโยชน์ เป็นอย่างมาก จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ......................................................... ( นางพรทิพย์ อารีย์ ) ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนธารพระพรวิทยานุสรณ์ โรงเรียนธารพระพรวิทยานุสรณ์ 69/1 ถนนหน้าวัดโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 70120
กำรรับรองนวัตกรรม ข้าพเจ้า นางเบญจมาศ คำโทน ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ เกี่ยวข้องเป็น ผู้บังคับบัญชาของนางสาวสกุณา จงฉิม และ นางสาวเอื้องฟ้า ทับกิตำแหน่งครูผู้สอนรายวิชา คณิตศาสตร์ ขอรับรองว่าผลงานนี้เป็นนวัตกรรมที่ผู้รายงานดำเนินการ ศึกษาพัฒนาตามรายงานข้างต้น ทุกประการ ลงชื่อ ผู้รับรอง (นางเบญมาศ คำโทน) ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์
ค ำสั่ง โรงเรียนรำษฎร์บ ำรุงวิทย์ ที่ พิเศษ/๒๕๖๖ แต่งตั้งคณะกรรมกำรด ำเนินงำนโครงกำร Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมกำรศึกษำเพื่อพัฒนำกำรศึกษำประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ด้วยสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดราชบุรี ได้จัดโครงการคัดเลือกนวัตกรรมการปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ด้านการบริหารจัดการ ด้านการเรียนรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำวิธีและการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ สร้างนวัตกรรมให้กับผู้เรียน และพัฒนา กระบวนการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด อาศัยความเป็นมาในมาตรา ๓๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกอบกับมาตรา (๔) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๑ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ กำหนดให้ผู้อำนวยการสถานศึกษา เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จึง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมการศึกษาเพื่อ พัฒนาการศึกษาเพื่อยกระดับ คุณภาพการศึกษา ดังนี้ ตามคำสั่ง พิเศษ/๒๕๖๖ ลงนามเมื่อวันที่ ๒๒/พ.ค./๒๕๖๖ โดยมีคณะกรรมการ ประกอบด้วย คณะกรรมกำรอ ำนวยกำรโครงกำร Innovation For Thai Education (IFTE) ๑. นางสาวชุติมา คำเนียม ผู้รับใบอนุญาต/ผู้จัดการ ประธาน ๒. นางเบญจมาศ คำโทน ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองประธาน ๓. นางสาวกัญญาภัทร ศิลาหิรัญ หัวหน้าฝ่ายบริหารวิชาการ กรรมการ ๔. นางสาวสกุณา จงฉิม หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กรรมการ ๕ นางอาภา ขุนณรงค์ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กรรมการ ๖. นางสาวเอื้องฟ้า ทับกิ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กรรมการ/เลขานุการ โดยบทบาทหน้าที่ คือ ดำเนินการสนับสนุนให้เกิดประสิทธิภาพด้านการพัฒนานวัตกรรมตาม โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ กับครูและบุคลากร ได้แก่ การอบรมพัฒนาความรู้ด้านการพัฒนานวัตกรรมการ กำหนด/พัฒนาเครื่องมือ นำไปสู่การเผยแพร่ข้อมูล การรายงานต่อหน่วยงานต้นสังกัด
หน้ำที่ ให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ และอำนวยความสะดวกในการดำเนินการโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดราชบุรี ให้เป็นไปด้วยความ เรียบร้อย คณะกรรมกำรกำรนิเทศ Innovation For Thai Education (IFTE) และผู้รับกำรโค้ช ระดับสถำนศึกษำ ๑. นางเบญจมาศ คำโทน ประธาน ๒. นางสาวกัญญาภัทร ศิลาหิรัญ รองประธาน ๓. นางสาวมัณฑนา นาคประยูร กรรมการ ๔. นางสาวศศิธารา ตันฑเจริญรัตน์ กรรมการ ๕. นางสาวนุชิตา เบ้าคำ กรรมการ ๖. นางสาวอุษณีย์ ดาวเรือง กรรมการ ๗. นางอาภา ขุนณรงค์ กรรมการ ๘. นางวรรณภา หงส์ศุภางค์พันธุ์ กรรมการ ๙. นางสาวชาบดี ประกอบธรรม กรรมการ ๑๐. นางสาวสกุณา จงฉิม กรรมการ ๑๑. นางสาวเอื้องฟ้า ทับกิ กรรมการ/เลขานุการ หน้ำที่ ๑. ดำเนินการวางแผน ติดตาม ดูแลให้คำปรึกษาและสนับสนุนแก่ผู้รับการโค้ชภายในโรงเรียน เพื่อให้บรรลุผล ตามตัวชี้วัดตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตร ๒. ดำเนินการโค้ชแก่ผู้รับการโค้ชภายในสถานศึกษาโดยใช้รูปแบบ RAT Model ๓. ส่งเสริม กระบวนการคิดด้วยการถามคำถามระดับสูงอย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้รับการโค้ช ดำเนินการสอน ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตร ๔. ประเมินสภาพการจัดการเรียนการสอนของผู้รับการโค้ชในแต่ละครั้งตามที่ได้ตั้งเป้าหมายและ กลวิธีการ สอนหรือเทคนิคการสอน ๕. สรุปผลการ IFTE ให้ข้อมูลป้อนกลับและชี้แนะช่วยเหลือรวมทั้งแก้ไขปัญหาร่วมกัน ๖. ประสานคณะกรรมการดำเนินโครงการ เพื่อจัดเตรียมความพร้อมในการรองรับการโค้ชของ Innovation For Thai Education (IFTE) ระดับจังหวัด ๗. ดำเนินการโค้ชร่วมกับ Innovation For Thai Education (IFTE) ระดับจังหวัดตามตารางการโค้ชที่กำหนด ๘. เข้าเครือข่าย Innovation For Thai Education (IFTE) ในการบริหารการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับ จังหวัด เพื่อพัฒนาการศึกษาและยกระดับคุณภาพของผู้เรียน
ทั้งนี้ให้คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และบังเกิดผลดีแก่ทาง ราชการ วันที่ ๑๙ เดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ลงชื่อ (นางเบญจมาศ คำโทน) ผู้อำนวยการโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์
แบบรำยงำนกำรสร้ำงเครือข่ำยควำมร่วมมือในกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ ******************************** ค ำชี้แจง ให้กรอกข้อมูลในตารางตามที่เป็นจริง โดยพิจารณาตามเกณฑ์ที่กำหนด เกณฑ์กำรพิจำรณำระดับคุณภำพ ระดับคุณภำพ 1 หมำยถึง มีกำรด ำเนินงำนแต่ไม่พบร่องรอย หลักฐำน หรือมีแต่ไม่ชัดเจน ระดับคุณภำพ 2 หมำยถึง มีกำรด ำเนินงำนที่พบร่องรอยหลักฐำนชัดเจน ระดับคุณภำพ 3 หมำยถึง มีกำรด ำเนินงำนที่พบร่องรอยหลักฐำนชัดเจน ครบถ้วน สมบูรณ์ รูปแบบกำรบริหำรจัดกำรเครือข่ำย .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ข้อที่ ประเด็นกำรประเมิน/ตัวบ่งชี้ กำรปฏิบัติ ระดับคุณภำพ หลักฐำน/ ร่องรอยเชิง ประจักษ์ มี ไม่มี 3 2 1 1 มีการแต่งตั้งจากผู้แทนหน่วยงานทางการศึกษา และ ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเป็นเครือข่าย (ค ำสั่งแต่งตั้ง) ภำคผนวก 2 มีการวางแผนและกำหนดบทบาทหน้าที่ของเครือข่ายที่ ชัดเจน (ค ำสั่งแต่งตั้ง) ภำคผนวก 3 สมาชิกเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการมีความรู้และเข้าใจ เกี่ยวกับโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) (ค ำสั่งแต่งตั้ง) ภำคผนวก 4 สมาชิกเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการให้การสนับสนุนการ ทำงาน (ค ำสั่งแต่งตั้ง) ภำคผนวก 5 สมาชิกเครือข่ายร่วมดำเนินงานติดตาม และประเมินผล การดำเนินโครงการ (ค ำสั่งแต่งตั้ง) ภำคผนวก
ลงชื่อ.........................................ผู้รำยงำน (นำงเบญจมำศ ค ำโทน) ผู้อ ำนวยกำรโรงเรียนรำษฎร์บ ำรุงวิทย์