The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อุบลราชธานี ผ้าประจำจังหวัด และ ผ้าประจำอำเภอ 25 อำเภอ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wanchaichanawong, 2022-06-10 13:15:28

อุบลราชธานี ผ้าประจำจังหวัด และ ผ้าประจำอำเภอ 25 อำเภอ

อุบลราชธานี ผ้าประจำจังหวัด และ ผ้าประจำอำเภอ 25 อำเภอ

ผา้ กาบบวั

จังหวัดอุบลราชธานี มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 200 ปี เมื่อนับย้อนไปในสมัยท่ี
ยังเป็นเมืองประเทศราชของสยามครั้งกรุงธนบุรี สืบเน่ืองมายังต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระประ
ทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคาผง) เป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช
จากประวัติศาสตร์อันยาวนานของจังหวัดอุบลราชธานี ทาให้เกิดการสะสมของภูมิปัญญาทาง
วัฒนธรรมในหลายๆ ด้าน หน่ึงในภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันเป็นส่ิงท่ีภาคภูมิใจของ
ชาวจังหวัดอุบลราชธานี น่ันคือ “ผ้าทอเมืองอุบล” ซึ่งภูมิปัญญาด้านการทอผ้ากระจายอยู่ท้ัง
25 อาเภอ ของจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นวัฒนธรรมที่มีชีวิตสืบทอดเอกลักษณ์ของผ้า
ลายผ้าโบราณ ลายประยุกต์ ลายร่วมสมัย ในพ้ืนท่ีต้นกาเนิด ทาให้เกิดการสร้างงานสร้าง
อาชพี มาจนถงึ ปัจจบุ นั

ในวโรกาสอันเป็นมหามงคล เน่ืองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า
พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2565 ข้าพระพุทธเจ้า นายพงศ์รัตน์
ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ขอทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือลายผ้าเอกลักษณ์
ของจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อดารงไว้ซ่ึงเอกลักษณ์ ศิลปะอันล้าค่า จากภูมิปัญญาของชาว
อุบลราชธานี สืบไป

นายพงศร์ ตั น์ ภริ มย์รตั น์
ผู้วา่ ราชการจงั หวดั อบุ ลราชธานี

นางศลิษา ภิรมย์รัตน์
ประธานแม่บ้านมหาดไทยจงั หวัดอุบลราชธานี

21 มถิ นุ ายน 2565

สารบัญ
เร่ือง หนา้

- ลายผา้ เอกลักษณป์ ระจาจงั หวัดอบุ ลราชธานี 1

- ลายผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอ ๒๕ อาเภอ ของจงั หวดั อบุ ลราชธานี 3

- ประวตั ิ อาเภอเมืองอบุ ลราชธานี 4

“ผา้ ไหมลายปราสาทผงึ้ ” ผา้ ลายโบราณ ผา้ เอกลกั ษณ์ประจา อาเภอเมอื งอุบลราชธานี

- ประวตั ิ อาเภอศรีเมอื งใหม่ 5
“ผ้าขาวมา้ ยอ้ มสธี รรมชาติ” ผา้ เอกลกั ษณ์ประจา อาเภอศรเี มอื งใหม่

- ประวัติ อาเภอโขงเจยี ม 6
“ผา้ ฝา้ ยโขงสีปูนมูลสีคราม” ผ้าเอกลักษณ์ประจา อาเภอโขงเจยี ม

- ประวตั ิ อาเภอเขือ่ งใน 7
“ผ้าฝา้ ยลายปลาอดี ” ผ้าเอกลักษณ์ประจาอาเภอ เขอ่ื งใน

- ประวัติ อาเภอเขมราฐ 8
“ผ้าฝ้ายลายนาคน้อย” ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอ เขมราฐ

- ประวัติ อาเภอเดชอดุ ม 9
“ผ้าไหมมัดหมลี่ ายดาวลอ้ มเดอื น” ผ้าเอกลกั ษณ์ประจา อาเภอเดชอุดม

- ประวัติ อาเภอนาจะหลวย 10
“ผ้าฝ้ายย้อมสธี รรมชาติ” ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจา อาเภอนาจะหลวย

- ประวตั ิ อาเภอน้ายืน 11
“ผา้ ไหมลายล้าน้ายนื ” ผ้าเอกลกั ษณ์ประจา อาเภอนา้ ยนื

- ประวัติ อาเภอบุณฑริก 12
“ผา้ ไหมลายบวั ขาวหรือลายบณุ ฑริก” ผา้ เอกลกั ษณ์ประจา อาเภอบณุ ฑรกิ

- ประวตั ิ อาเภอตระการพืชผล 13
“ผ้ามัดหม่ลี ายเกษมสีมา” ผา้ เอกลกั ษณ์ประจา อาเภอตระการพืชผล

- ประวตั ิ อาเภอกดุ ขา้ วป้นุ 14
“ผ้าไหมกาบบัวลายเต่างบั ” ผา้ เอกลักษณป์ ระจา อาเภอกุดขา้ วปุ้น

สารบัญ หนา้
15
เร่อื ง 16
17
- ประวัติ อาเภอม่วงสามสิบ 18
“ผา้ ฝ้ายลายสายรุ้ง” ผ้าเอกลักษณป์ ระจา อาเภอมว่ งสามสิบ 19
20
- ประวตั ิ อาเภอวารนิ ชาราบ 21
“ผ้าฝ้ายกาบบวั ” ผา้ เอกลกั ษณ์ประจา อาเภอวารนิ ชาราบ 22
23
- ประวัติ อาเภอพิบลู มงั สาหาร 24
“ผา้ ฝา้ ยลายบัวเมืองอบุ ลฯ” ผา้ เอกลักษณ์ประจา อาเภอพิบลู มงั สาหาร 25
26
- ประวตั ิ อาเภอตาลสมุ
“ผ้าด้ายใยประดษิ ฐ์ลายกรกนก” ผ้าเอกลักษณป์ ระจา อาเภอตาลสุม

- ประวัติ อาเภอโพธิไ์ ทร
“ผา้ ฝา้ ยลายดอกผักแวน่ ” ผ้าเอกลกั ษณ์ประจา อาเภอโพธิ์ไทร

- ประวตั ิ อาเภอสาโรง
“ผา้ ไหมลายส้มโฮง” ผ้าเอกลกั ษณ์ประจา อาเภอสาโรง

- ประวัติ อาเภอดอนมดแดง
“ผ้าฝา้ ยลายหมวี่ ง” ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจา อาเภอดอนมดแดง

- ประวตั ิ อาเภอสริ นิ ธร
“ผ้าฝ้ายลายเรอื งแสง” ผ้าเอกลกั ษณ์ประจา อาเภอสริ นิ ธร

- ประวัติ อาเภอทุ่งศรีอุดม
“ผ้าฝ้ายลายขดิ ” ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจา อาเภอทงุ่ ศรีอุดม

- ประวัติ อาเภอนาเยยี
“ผ้าฝา้ ยลายสายล้าโดม” ผ้าเอกลักษณป์ ระจา อาเภอนาเยยี

- ประวัติ อาเภอนาตาล
“ผ้าฝ้ายมดั หมย่ี ้อมคราม” ผา้ เอกลักษณ์ประจา อาเภอนาตาล

- ประวตั ิ อาเภอเหลา่ เสอื โกก้
“ผ้าขาวมา้ มดั ย้อมลายเสือ” ผา้ เอกลกั ษณ์ประจา อาเภอเหลา่ เสือโกก้

สารบัญ หนา้
เร่ือง 27

- ประวัติ อาเภอสว่างวีระวงศ์ 28
“ผ้าไหมลายกาบบวั ” ผา้ เอกลกั ษณ์ประจา อาเภอสวา่ งวีระวงศ์

- ประวัติ อาเภอน้าขุน่
“ผ้าไหมลายลกู แกว้ ” ผ้าเอกลกั ษณ์ประจา อาเภอน้าข่นุ

- บรรณานกุ รม
- ภาคผนวก

ประวตั ิจังหวดั อุบลราชธานี
ประวตั ิการทอผา้ จังหวัดอบุ ลราชธานี

- คณะผ้จู ัดทา

1

ลายผา้ เอกลักษณป์ ระจาจังหวัดอุบลราชธานี

จังหวัด อบุ ลราชธานี

ชือ่ ลายผ้า กาบบัว

ผ้ากาบบวั

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาจงั หวดั อบุ ลราชธานี

"ผา้ กาบบวั " เปน็ ผ้าเอกลักษณ์จังหวดั อุบลราชธานี ทอพงุ่ ดว้ ยมับไม ( ไหมเกลียวหางกระรอก )
สลบั ทอ ยกขดิ และมัดหม่เี ส้นยนื ยอ้ มแยกสีอยา่ งซ่นิ ทิวตน้ แบบของผ้ากาบบัว น้นั มีการคิดคน้ และ
ออกแบบ โดยนายมีชยั แตส้ ุจรยิ า ซง่ึ เปน็ บุตรของนางคาปุน ศรใี ส ผูค้ วบคุมการทอผา้ ตัวอยา่ ง ณ
แหล่งทอผา้ คาปนุ ผา้ กาบบวั ต้นแบบการทอด้วยไหมในท้องถิ่นท้งั หมด นาไปเปน็ ตัวอย่างในการ
เผยแพรอ่ บรมให้แก่กลมุ่ ทอผ้าทัว่ ทั้งจงั หวดั อบุ ลราชธานี ตัง้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๓ จนถึงปจั จุบนั

ขอ้ มลู การขน้ึ ทะเบยี น

"ผา้ กาบบวั " ได้มกี ารประกาศให้เปน็ ลายผา้ เอกลักษณ์ประจาจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันอังคาร
ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยคณะทางานพิจารณาลายผ้าพ้ืนเมือง ตามโครงการสืบสานผ้าไทย
สายใยเมืองอุบลฯ และได้มอบหมายให้ นายมีชัย แต้สุจริยา ซ่ึงเป็นผู้คิดค้น ลายผ้ากาบบัว
ผ้าเอกลักษณ์เมืองอุบล และมีมติให้ใช้ผ้าที่ได้สร้างนวัตกรรมลายผ้าเอกลักษณ์น้ี ชื่อว่า “ผ้ากาบบัว”
ออกเสยี งง่าย ไพเราะ และงา่ ยตอ่ การจา ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ความนิยมในเรื่องสีของยุคปัจจุบัน โดยจะเห็น
ได้ว่าในการนาเสนอข่าวแฟช่ัน ของทุกปี จะต้องมีการนาเสนอสีแนวธรรมชาติ ( Earth Tone ) อยู่
เสมอ สีของกาบบัว ( ภาษาท้องถน่ิ ) หรอื กลีบบวั ซึ่งไล่อ่อนแก่จาก ขาว ชมพู เทา เขียว น้าตาล อยู่ใน
ความนิยมเสมอ และยังสอดคล้องกับการย้อมจากพืชพรรณธรรมชาติอีกด้วย และมีความหมาย
เหมาะสมกบั ชอ่ื จงั หวดั อบุ ลราชธานี

2

กราฟฟคิ ลาย “ กาบบวั ” ลาย “ กาบบวั ”

รายละเอยี ดการทอผา้
ผ้ากาบบัวเป็นผ้าท่ีมีลักษณะรวมเอาเอกลักษณ์อันโดดเด่นของผ้าพื้นเมืองอุบลราชธานี มารวมไว้

หลายชนิด ไดแ้ ก่ ลักษณะของซน่ิ ทิว มบั ไม มัดหมผ่ี า้ ขิดหรือจก
ซ่ินทิว ผ้ากาบบัวต้องมีเส้นยืนหรือร้ิวหรือทิว 2 สีตามลักษณะของซิ่นทิวด้ังเดิม ซึ่งเป็นที่นิยมของสตรี

เมืองอุบล ฯ อย่างแพรห่ ลายมาก่อน
มับไม ผ้ากาบบัว ต้องมีเส้นพุ่งมับไม ซ่ึงเกิดจากการเข็นคือ ป่ันเกลียวเส้นพุ่ง 2 เส้นเข้าด้วยกัน

การเข็นมบั ไมน้ีพบในผา้ ท่ีเรยี กว่า ผา้ ไหมควบหรอื ผา้ ไหมหางกระรอกหรอื ผา้ วา และซ่นิ เขน็
มัดหม่ี ผ้ากาบบัว จะสวยงามมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับลวดลายหมี่ เป็นองค์ประกอบหลัก

ลายหมี่ในผ้ากาบบวั ท้งั ลายดั้งเดมิ และลายประยุกตข์ ้ึนใหม่
ขิด ผ้ากาบบัว ต้องมีเส้นพุ่งท่ีเป็นเส้นใหญ่หรือเส้นนูนขึ้น จากเน้ือผ้าเป็นการเลียนแบบเส้นลาย

ของกลบี บัว ซง่ึ ใช้วิธีขิด
จก การจกเปน็ การตกแต่งใหผ้ ้ากาบบวั มคี วามวิจิตรงดงามยิ่งขึ้น เป็นวิธีท่ียากและเสียเวลามากข้ึน

ผ้ากาบบัวจงึ อาจจะมจี กหรือไม่มีกไ็ ด้ โดยเจตนาของผู้คดิ ผ้ากาบบัว มงุ่ ที่จะคงลักษณะผ้าซิ่นหัวจกดาวของ
สตรีชัน้ สงู ของเมืองอบุ ลราชธานีเอาไว้

กรรมวิธีการทอ เริ่มจากการเตรียมเส้นยืนหรือการค้นเครือหูก จะเตรียมเส้นยืนให้เป็นเส้นไหม
2 สี สลับกัน ซ่ึงคือลักษณะของซ่ินทิว ส่วนเส้นพุ่ง ประกอบด้วยเส้นไหม 4 ชนิด คือ เส้นไหมสีพื้น เส้น
ไหมมับไม ( เส้นที่ป่ันเกลียวเส้นไหม 2 สีเข้าด้วยกัน ) เส้นไหมสาหรับขิด ( โดยนาเส้นไหมมาควบกัน
2 เส้นเพื่อให้เส้นไหมมีขนาดใหญ่ข้ึน ) เส้นไหมหมี่ ( เส้นไหมท่ีนามามัดย้อมเป็นลวดลายเรียบร้อยแล้ว )
เมื่อเตรียมเส้นไหมพุ่งท้ัง 4 ชนิด เรียบร้อยแล้ว จึงนาไปทอในหูกท่ีค้นเครือไว้ โดยในการทอผู้ทอจะต้อง
จดจารายละเอยี ด และลาดับของการสอดเส้นไหมพุ่งและการเก็บขดิ ตามลวดลายท่ีวางไว้

3

ลายผา้ เอกลกั ษณ์ประจาอาเภอ

๒๕ อาเภอ ของจังหวดั อุบลราชธานี

4

อาเภอเมืองอบุ ลราชธานี

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอเมืองอบุ ลราชธานี ”

พระวอ พระตา สองพ่ีน้องปกครองอยู่ท่ีหนองบัวลุ่มภู ขนานนามว่า นครเข่ือนขันกาบแก้วบัวบาน

ตอ่ มาพระเจา้ สิริบุญสาร เจ้าเมืองนครเวียงจันทร์ ได้ยกทัพมารุกราน พระตาตายในที่รบพระวอรวมไพร่พล
หนีไปอยู่นครจาปาศักด์ิ ในปี พ.ศ.2321 พระเจ้าสิริบุญสาร ได้ยกทัพมาราวี ทาให้พระวอตายในที่รบ
ทา้ วคาผง ทา้ วทศิ พรหม บุตรพระตา และทา้ วกา่ บุตรพระวอ ได้อพยพผู้คนมาอยู่ที่ดอนมดแดง เกาะกลาง
แม่นา้ มลู แต่ทาเลที่ตง้ั ไมเ่ หมาะจะสรา้ งบา้ นเมือง จึงอพยพมาอยทู่ ด่ี งอผู่ ้งึ ใกล้กบั หว้ ยแจระแม

เม่ือปี พ.ศ. 2322 และได้กราบบังคมทูลสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช ขอข้ึนอยู่ในขอบขันธสีมา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานชื่อว่า
“ อุบลราชธานี " และทรงตั้งท้าวคาผงเป็น
“ พระปทุมราชวงศา ” ข้ึนเป็นเจ้าเมืองคนแรก ใน
การปรบั ปรุงการปกครองคร้งั ใหญ่
อาเภอเมืออบุ ลราชธานี เดิมชื่อ “ อาเภอ
บุพปลนิคม ” เมอื่ ปพี .ศ.2452 เปลีย่ นช่ือเป็น
“ อาเภอบูรพาอบุ ล ” พ.ศ.2456 เปลยี่ นชอ่ื
ใหมเ่ ปน็ “ อาเภอเมืองอุบล ” และเมื่อวันที่
24 เมษายน 2460 ได้เปลีย่ นช่อื เปน็ ครัง้
สุดทา้ ย ในชื่อว่า “ อาเภอเมอื งอบุ ลราชธานี ”

ผา้ ไหมลายปราสาทผึ้ง ผา้ ไหมลายปราสาทผึ้ง
(ผา้ ลายโบราณ)
ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอเมอื งอบุ ลราชธานี

ผ้าลายน้ีเป็นผ้าลายเก่าแก่ที่ชาวบ้านสืบทอดกันมา

อย่างยาวนาน ซ่ึงชาวบ้านจะใช้สาหรับนุ่งห่มในงานบุญประเพณี

โดยเฉพาะงานบุญบง้ั ไฟ การฟ้อนกลองตุม้ เพื่อขอฝน การทาผ้าลายประสาทผ้ึงนี้ มาจากความเชือ่ ทว่ี า่ เมื่อมผี ูต้ าย

ในหมู่บา้ น ผชู้ ายในหมู่บา้ นจะช่วยกันทาปราสาทผ้ึง ซึง่ ทาด้วยกาบกลว้ ย ประดบั ประดาดว้ ยขี้ผ้ึงใหส้ วยงาม
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย เช่ือว่าผู้ตายจะได้อยู่ปราสาทเหมือนปราสาทผึ้ง จึงได้เอาลวดลายปราสาทผึ้งมาทอบน

ผืนผ้า จะเป็นลายปราสาทผ้ึง เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านสืบต่อมาผ้าไหมลายปราสาทผึ้ง เป็นผ้าไหมลวดลาย

เอกลักษณ์ ของอาเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ผ้าหนึ่งผืน ประกอบด้วย ลายประสาทผ้ึง

ลายโคมเก้า ลายหม่คี ่นั ลายหมากจับ ลายเอี๊ย และลายขอ้

5

อาเภอศรีเมืองใหม่

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอศรเี มอื งใหม่ ”

อาเภอศรีเมืองใหม่ เดิมช่ือ เมืองโขงเจียม อาเภอน้ีมีการย้ายท่ีตั้งว่าการอาเภอหลายคร้ัง เดิมตั้งอยู่

บ้านปากแซง ในปี 2364 เรียกว่า เมืองโขงเจียมเหนือ ต่อมาในปี 2424 ย้ายไปต้ังท่ีทาการใหม่ท่ีบ้านนา
คอ เรียกว่าเมืองโขงเจียมใต้ ประมาณปี พ.ศ.2446 ย้ายท่ีทาการไปอยู่ท่ีบ้านนาเอือด เรียกว่า อาเภอโขง
เจียม พ.ศ.2457 ย้ายที่ว่าการอาเภอไปต้ังท่ีบ้านด่านปากมูล พ.ศ.2500 ย้ายท่ีว่าการอาเภอไปต้ังใหม่ท่ี
โคกหมาจอก มกี ารจดั วางผังเมืองขนึ้ ใหม่ โดยมวี งกลมเสาธงกลางเมืองเป็นศูนย์กลางหมู่บ้านที่ย้ายมาตั้งใหม่
นจี้ งึ มชี ่ือว่า บา้ นศรีเมอื งใหม่ อาเภอโขงเจยี ม ตอ่ มา พ.ศ.2514
ไปเปล่ียนช่ือเป็นอาเภอศรีเมืองใหม่จนถึงปัจจุบัน
คาว่า ศรีเมืองใหม่ หมายถึง ที่อยู่อาศัย (เมือง)
ท่ีสร้างข้ึนใหม่ ที่เพียบพร้อมด้วยความสุขความ
เจริญและความสง่างาม

ผ้าขาวมา้ ยอ้ มสธี รรมชาติ

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอศรเี มอื งใหม่

เดิมที่การทอผ้าในหมู่บ้านกุดง่วย เป็นการ

ทอ เพ่ือใช้เองในครัวเรือนใช้สอยในชีวิตประจาวัน

แลว้ ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า เป็นเครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่ง

กาย เช่น ผ้าขาวม้า ผ้าซ่ิน ผ้าสไบ ผ้าโสร่ง เป็นต้น

และเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น

ใหค้ งอยู่ ในการผลติ นนั้ จะใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นมีทั้ง ผ้าขาวมา้ ยอ้ มสธี รรมชาติ
ฝ้ายและไหมท่ีปลูกและเลี้ยงกันเองในชุมชน ซึ่ง

เปน็ การสบื ทอดภูมิปญั ญาจากบรรพบุรุษ ซ่ึงจะใชเ้ วลาวา่ งจากการทานา ทาไร่มาทอผา้ ใช้กันเอง มีการทาลวดลาย

บนเน้ือผ้า เช่น ลายชิด ต่อมาจึงได้มีการรวมกลุ่มสตรีในหมู่บ้าน เพื่อมาทอผ้าข้ึน เพ่ือทอผ้าใช้เองและจาหน่าย

และขายให้แม่ค้าท่ีมารับซ้ือในหมู่บ้าน ส่วนในปัจจุบันทางกลุ่มได้ผลิตผ้าขาวม้าเพื่อจาหน่ายโดยจะให้สมาชิกใน

กล่มุ แยกกนั ทอตามบ้านของสมาชิกศรเี มอื งใหม่ผ้าขาวม้าย้อมสธี รรมชาติฝา้ ย

6

อาเภอโขงเจยี ม

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอโขงเจยี ม ”

อาเภอโขงเจียมเดิมมีฐานะเป็นเมือง ชื่อเมืองโขงเจียม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

โปรดเกล้าฯใหต้ ัง้ เม่อื พ.ศ.2364 โดยให้ขน้ึ ตรงต่อเมืองนครจาปาศักดิ์ ครั้งถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่ัง

เกล้าเจ้าอยู่หัว (ภายหลังจากปราบปรามกบฏอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว) โปรดเกล้าฯให้เมืองโขง

เจียมไปขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ เม่ือ พ.ศ.2371 ในคราวปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคในรัชกาล

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวราว พ.ศ.2443-2445 เมืองโขงเจียมถูกลดฐานะเป็นอาเภอข้ึน

ตรงตอ่ เมืองเขมราฐ ต่อมาได้ยุบเมอื งเขมราฐลงเปน็ อาเภอ ขน้ึ ตรงต่อเมอื งยโสธร เมืองโขงเจยี มจงึ มีฐานะ
เป็นอาเภอข้ึนตรงต่อเมืองยโสธร ปี พ.ศ.2457

ใ น รั ช ก า ล พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ม ง กุ ฎ เ ก ล้ า

เจ้าอยู่หัว ได้ย้ายท่ีว่าการอาเภอมาตั้งท่ีบริเวณ

บ้านด่านปากมลู และเปลี่ยนชื่อเปน็ อาเภอสุวรรณ

วารี เม่ือปี พ.ศ.2460 และในปี พ.ศ.2482

ทางราชการได้ประกาศเปล่ียนช่ืออาเภอสุวรรณ

วารีเป็นอาเภอโขงเจียมอีกคร้ังหนึ่ง พ.ศ.2500

ได้ย้ายท่ีว่าการอาเภอโขงเจียมมาต้ังที่โคกหมา

จอก (บ้านศรีเมืองใหม่ ตาบลนาคาในปัจจุบัน)

ส่วนท่ีเป็นท่ีต้ังอาเภอโขงเจียมเดิมน้ัน ให้ต้ังเป็น

กิ่งอาเภอบ้านด่าน และยกฐานะเป็นอาเภอบ้าน

ด่านเม่ือ พ .ศ.2502 ต่อมา พ.ศ .2514

ได้เปล่ยี นช่อื เปน็ อาเภอโขงเจยี มอีกคร้ังหน่ึง คาว่า

“โขง" หมายถึงหัวหน้าช้างหรืออาจจะมาจากคา

ว่า “โขลง" ที่หมายถึง ฝูงช้างก็ได้ คาว่า ผ้าฝา้ ยโขงสปี นู มูลสคี ราม
“เจียม" คาดว่า เพ้ียนมาจากคาว่า “เจียง" (ส่วย)

ซ่ึงแปลว่า “ช้าง" ดังนั้นอาเภอโขงเจียมจึงน่าจะ

หมายถึง "เมืองท่มี ชี ้างมาอย่รู วมกนั เปน็ ฝงู ใหญ่"

ผา้ ฝา้ ยโขงสปี นู มูลสีคราม

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอโขงเจยี ม

ไดร้ ับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติของบ้านชะชอมทไ่ี ดร้ ับแสงรุ่งอรุณในชมุ ชน ถ่ายทอดความงดงาม
ออกมาเปน็ ลวดลายบนผนื ผ้าเพ่อื ใหเ้ หน็ ถึงความประทบั ใจธรรมชาติสาหรับผู้มาเยอื น

7

อาเภอเขือ่ งใน

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอเขอ่ื งใน ”

อาเภอเขื่องใน ก่อตั้งมาต้ังแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ก็ไม่ได้มีฐานะเป็น

เมืองเชน่ เมอื งอ่นื ๆ แม้ว่าจะไมม่ ีการต้งั เปน็ เมอื ง แต่กบั ปรากฎวา่ มรหมู่บ้านใหญ่ๆ และสาคัญหลายหมู่บ้าน
ที่มีท้าวฝ่ายซ่ึงมีอานาจหน้าท่ีเท่าเทียมนายอาเภอในปัจจุบัน ทาหน้าที่ปกครองดูแลขึ้นตรงต่อเมือง
อุบลราชธานี ช่วงปี พ.ศ.2443-2445 ช่ือของอาเภอเข่ืองในปรากฎขึ้นครั้งแรก ช่ืออาเภอปจิมูปลนิคม
พ.ศ.2452 เปลี่ยนชื่อเป็นอาเภอปจิมอุบล พ.ศ.2456 เปลี่ยนชื่อเป็นอาเภอตระการพืชผล พ.ศ.2460
เปลี่ยนช่ือมาเปน็ อาเภอเขื่องในจนถงึ ปจั จุบนั
ที่ตั้งของอาเภอเขื่องในอยู่ใกล้แม่น้าชี รวมทั้งมี
หนองน้า (เข่ือง = ท่ีซึ่งปลาช่อน ปลาดุกอาศัยอยู่
เวลาปลาไข่) เรยี งรายกนั อยู่ 2 แห่ง หนองน้าท่ีอยู่
ใกล้แม่น้าเรียก เข่ืองใน ถัดเข้ามาเรียกเข่ืองกลาง
ผู้คนท่ีอพยพมาครั้งแรกเลือกตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน
ริมเข่ืองใน ชื่อเมืองจึงได้ช่ือตามสภาพพื้นท่ีว่า
"อาเภอเขอื่ งใน"

ผ้าฝา้ ยลายปลาอดี

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอเขอื่ งใน

ซ่ึงเป็นการดัดแปลงมาจากลวดลายของปลาอีด ซ่ึงเป็น ผา้ ฝา้ ยลายปลาอดี
ปลาน้าจืดขนาดเล็กที่พบในท้องถ่ิน พบมากฤดูเก็บเกี่ยวข้าว
ชาวอีสานนิยมนามาทาเป็นอาหาร ประเภทอ่อมหรือห่อหมก
เปน็ สิง่ ที่สะท้อนให้เห็นความอุดมสมบรู ณ์

ผ้าลายปลาอีด มีลักษณะคล้ายผ้าลายขัดพ้ืนฐาน ส่วนใหญ่จะทอด้วยฝ้ายหรือเส้นด้ายสาเร็จรูป

หน่ึงผืนประกอบด้วย 2 สี คือ สีพ้ืนและตัดเป็นลวดลายด้วยสีขาว สีท่ีนิยมใช้มีหลากหลายสี เช่น ดา น้าเงิน

เหลือง เขียว ชมพู ขึ้นกับความต้องการของตลาด ความยากของการทอผ้าลายน้ี คือ เป็นลายขนาดเล็ก
ละเอยี ด ต้องอาศัยฝมี อื และความชานาญ รปู แบบการทอผ้าลายปลาอีดสมี ่วง

8

อาเภอเขมราฐ

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอเขมราฐ ”

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังบ้าน “ โศกกงพะเนียง "

เป็นเมือง "เขมราษฎร์ธานี" ขึ้นตรงต่อกรุงเทพเม่ือปี พ.ศ.2357 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคครั้งใหญ่ มณฑลอีสานถูกแบ่งออกเป็น 5

บริเวณ สาหรับบริเวณอุบลราชธานี มีอยู่ 3 เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองเขมราฐและเมืองยโสธร

แต่ละเมือง มีเมืองที่ข้ึนสังกัดอยู่หลายอาเภอ เมืองเขมราฐมีอาเภอท่ีอยู่ในความปกครอง 6 อาเภอ

คือ อาเภออุไทยเขมราฐ อาเภอประจิมเขมราฐ อาเภออานาจเจริญ อาเภอคาเขื่อนแก้ว อาเภอโขงเจียม

และอาเภอ วารนิ ชาราบ ตอ่ มาในปี พ.ศ.2452 ไดม้ ีการปรับปรงุ การปกครอง

ในบรเิ วณเมอื งอบุ ลราชธานีอกี คร้งั หนงึ่ เมืองเขมราฐถูกลดฐานะ

เปน็ ลงเปน็ อาเภอและรวมอาเภออุทัยเขมราฐกับอาเภอประจิม

เขมราฐเข้าด้วยกัน เป็นอาเภออไุ ทยเขมราฐขน้ึ กบั เมืองยโสธรแต่

ก็ยังคงเป็นบริเวณอบุ ลราชธานอี ยู่เช่นเดมิ ปี พ.ศ. 2454 ในรัชกาล

พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัวไดม้ กี ารแยกมณฑล

อสี านออกเป็น 2 มณฑล คอื มณฑลอุบลกับมณฑลรอ้ ยเอด็

อาเภออุไทยเขมราฐ จึงไดเ้ ปลีย่ นชือ่ เปน็ “ อาเภอเขมราฐ " เม่อื ปี พ.ศ.2455

ขึน้ อยู่กบั จงั หวัดอบุ ลราชธานี ตลอดมาจนถงึ ปจั จบุ ัน ผ้าทอลายนาคนอ้ ย
เมือง "เขมราษฎร์" ได้ถูกเปล่ียนช่ือมาเป็น "เขมราฐ" ต้ังแต่

สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก็มีความหมายเดียวกัน คือ "ดินแดนแห่งความ

เกษมสขุ " (ราษฎร์ = รัฐ, รัฎฐ์ = แวน่ แคว้น หรือ ดินแดน ส่วนคาว่า

"เขม" หมายถึง ความเกษมสุข)

ผ้าทอลายนาคนอ้ ย

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอเขมราฐ

เป็นลายพญานาคซ้อนกันและเป็นลายที่โด่งดังท่ีสุด หมายถึงส่ิงล้ีลับ มีเร่ืองเล่ากันว่า คร้ังหน่ึงเมือง
เขมราฐหนาวและมดื อึมครึมผดิ ปกติ นาคาได้แปลงกายเป็นมนุษย์ทีส่ ะสวยข้ึนจากแม่น้ามาขอยืมฟืนจากยายคน
หนึง่ เพ่อื ไปทอผ้า โดยนางไดข้ อยืมฟนื ไปเป็น 5 วันแล้วจะนามาคืน เม่ือครบ 5 วันแม้ว่าเมืองเขมราฐจะกลับมา
มดื และหนาวเยน็ อีกคร้ัง แตค่ ราวนนี้ างนาคกลับมาในชุดสไบผ้าซิ่นลายนาคน้อย พร้อมกับฟืนในมือ สวยงามจน
ยายต้องเอ่ยถามถึงลวดลายบนผ้าซิ่น นางนาคจึงขอให้ยายทอผ้ามัดหมี่ลายนาคน้อย และให้พร 3 ประการว่า
หากผู้ใดครอบครองผา้ มัดหม่ลี ายนี้กจ็ ะมีอายยุ นื ครอบครัวอยูเ่ ยน็ เป็นสุข บ้านเมืองสงบไม่เกดิ สงคราม”

9

อาเภอเดชอดุ ม

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอเดชอดุ ม ”

อาเภอเดชอดุ ม เดมิ เปน็ เมืองข้ึนตรงต่อกรงุ เทพฯ เรยี กชือ่ ว่า เมืองเดชอุดม ตั้งขึ้นเม่ือปี พ.ศ.2388
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมา พ.ศ.2443 มีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาค
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เดชอุดมมีฐานะเป็นเมือง แต่รวมอยู่ในบริเวณขุขันธ์
เน่ืองจากเมอื งเดชอุดมเป็นเมืองท่ีเคยมีความสาคัญ พนื้ ท่ีกวา้ งขาวงจึงแบ่งเป็นหลายอาเภอ คืออาเภอกลาง
อาเภอตะวันออก อาเภอตะวันตก ต่อมาปี พ.ศ.2455 เมืองเดชอุดมและอาเภอในสังกัดถูกยุบรวมเป็น
อาเภอเดชอดุ ม ข้ึนตรงตอ่ จงั หวดั ศรีสะเกษ และไดโ้ อนมาขนึ้ กับจังหวดั อุบลราชธานี เมอ่ื ปี พ.ศ.2471

"เดชอุดม" หมายถึง ดินแดนท่ีมีวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรือง
บ้านเมือง สง่างามและมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
( เดช=อานาจ ความงาม ความสุกใส ชื่อเสียง อุดม=สูงสุด
ยิ่ง เลศิ มากมาย )

ผา้ ไหมมดั หมลี่ ายดาวลอ้ มเดอื น

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอเดชอดุ ม

ผ้าลายดาวลอ้ มเดือน ไหมมัดหม่ผี ้าไหมมัดหมี่

บ้านสองคอนเดมิ มกี ารทอเพื่อสวมใสในครัวเรอื น และบุญ

ประเพณี ต้ังแตร่ นุ่ ปู่ ยา่ รว่ มเจ็ดสบิ ปี โดยส่วนใหญ่ในชมุ ชน

มีเช้ือสายการทอผ้ามาจากจังหวัดสรุ ินทร์ กระบวนการผลติ เริ่ม ผา้ ไหมมดั หมล่ี ายดาวลอ้ มเดอื น
ต้งั แตต่ ้นนา้ กลางน้าถึงปลายนา้ มีการปลูกหม่อนในชมุ ชน

เพือ่ ใชใ้ นการเล้ียงตัวหนอนไหมเพอื่ ผลติ เป็นเส้นไหม นาไปใช้ในการถกั ทอเปน็ ผ้าไหมทม่ี หี ลายรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็น ผา้ ไหมมัดหม่ี ผา้ ปลาไหล โสร่ง ซ่ิน มีลวดลายความสวยงามท่ีแตกต่างกันไปจากลวดลายต่างๆ ได้
มีการการประยุกต์ จนมีลวดลายท่ีเปน็ อตั ลกั ษณ์ของชุมชนคอื ผา้ ลายดาวลอ้ มเดือน

10

อาเภอนาจะหลวย

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอนาจะหลวย ”

อาเภอนาจะหลวย แต่เดิมคือตาบลนาจะหลวย ตาบลโนนสมบูรณ์ ตาบลโนนสวรรค์ ตาบล
พรสวรรค์ และตาบลโสกแสง ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของอาเภอเดชอุดม ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่
ไม่สะดวกแก่การติดต่อราชการ จึงได้แยกตาบลดังกล่าวออกมาต้ังเป็นกิ่งอาเภอเม่ือ ปี พ.ศ.2515 และได้
ยกฐานะเปน็ อาเภอเมือ่ ปี พ.ศ.2530

คาว่า "นาจะหลวย" เรียกเพี้ยนมาจากคาว่า "จะรอย,จะโรย เป็นภาษาส่วย ซ่ึงแปลว่าพังพอน"
เม่ือรวมกันเป็นช่อื อาเภอ "นาจะหลวย" แล้วมีความหมายว่า พ้นื ทีป่ ลูกข้าวท่ีเป็นทีอ่ ย่อู าศัยของพงั พอน

ผ้าฝา้ ยยอ้ มสธี รรมชาติ

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอนาจะหลวย

แตเ่ ดิมสตรีบ้านดงสวา่ ง เมือ่ ว่างเว้นจาก

การทานาแล้วกจ็ ะทอผ้าใช้เองในครัวเรอื น และเปน็

หมบู่ า้ นทมี่ คี วามอดุ มสมบูรณ์ ของพันธไ์ุ ม้หลากหลาย

พันธุ์ จึงได้มกี ารเรยี นรู้ และเปน็ ภมู ปิ ัญญา ของชาวบ้าน

ดงสว่าง ทีน่ าแกนไม้ เปลอื กไม้ ดอกไม้ ใบไม้ รากไม้ ฯลฯ

มาต้มเคย่ี ว และนามายอ้ มเสน้ ฝ้าย แล้วนาไปทอ จากท่ีทอ

ไว้ใชเ้ อง นาไปเป็นของฝาก ของท่ีระลึก เครื่องสมมา รบั ไหวญ้ าติ

ผ้ใู หญ่จนเป็นทตี่ อ้ งการและมคี วามต้องการมากขึ้น

ต่อมาในปี 2545 สตรีมกี ารรวมตวั จงึ ไดก้ อ่ ตงั้ กลุ่มสตรี ผา้ ฝา้ ยยอ้ มสธี รรมชาติ
ทอผ้าบา้ นดงสว่างขึน้ และมกี จิ กรรมการทอผ้าฝา้ ยสธี รรมชาติ

จาหน่ายทั้งในและนอกหมู่บ้าน สร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับสตรีบ้านดงสว่าง ผ้าฝ้ายสีธรรมชาติบ้านดงสว่าง

เป็นผ้าทอมือ ฝ้ายแท้ และย้อมด้วยสีธรรมชาติ เป็นผลิตภัณฑ์ที่รักษาสุขภาพ ไม่เกิดอาการแพ้ใดๆ สีประดู่

สีอิฐ สีพ้ืนทั้งสองลักษณะจะคล้าย และใกล้เคียงกัน ใช้ไม้ประดู่ หรือเศษไม้นามาหมัก แล้วเตรียมย้อมต่อไป

ซึ่งกล่าวคือสีจะออกเป็นสีไม้จากธรรมชาติ หรือสีอิฐ สังเกตจากสีของอิฐกาแพง สีออกส้มๆ นวลๆ เม่ือนามา

ย้อมผ้าฝ้าย จะเกิดสีที่สวยงามคนนิยมนาไปประกอบกับเส้ืองานมงคลต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานหมั้น

ขนึ้ บ้านใหม่ เปน็ ต้น

11

อาเภอนา้ ยนื

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอนา้ ยนื ”

เดิมบริเวณอาเภอน้ายืนมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งตั้งอยู่บ้านจันลานาโดม ชื่อเมืองโดมประดิษฐ์ ต้ังในปี

พ.ศ.2424 ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั โดยให้ข้ึนตรงต่อเมืองจาปาศักด์ิ พ.ศ.2446
เมืองโดมประดิษฐ์มีฐานะเป็นอาเภอ ข้ึนตรงต่ออาเภอเดชอุดม พ.ศ.2455 อาเภอโดมประดิษฐ์ยุบเป็น
ตาบล โดมประดิษฐ์ อยู่ในเขตการปกครองของอาเภอเดชอุดม พ.ศ.2512 กระทรวงมหาดไทยประกาศ
แบ่งท้องทอี่ าเภอเดชอุดม 4 ตาบล คือ ตาบลโดมประดษิ ฐ์ ตาบลยาง ตาบลโซง และตาบลตาเกา ตั้งเป็นกิ่ง
อาเภอน้ายืน ไดร้ ับการยกย่องขนึ้ เปน็ อาเภอนา้ ยนื ในปี พ.ศ.2517

ประวัติการต้ังช่ืออาเภอ : อาเภอน้ายืนได้ชื่อว่า ผา้ ไหมลายลานา้ ยนื
"น้ายืน" น่าจะมาจากสาเหตุ 2 ประการด้วยกันคือ
1. ต้ังตามช่ือหมู่บ้าน"น้ายืน" ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ
ท่ีว่าการอาเภอ ซ่ึงห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร
2. ตั้งตามลักษณะที่เป็นจริงของธรรมชาติ โดยท่ีว่าการ
อาเภอตั้งอยู่ระหว่างลาห้วย 3 สาย ไหลมาบรรจบกันคือ
ลาห้วยบอน ลาห้วยโซง และลาห้วยตาเอ็ม ซึ่งมีน้าไหลอยู่
ตลอดทั้งปี เป็นแหล่งท่ีอุดมสมบูรณ์เหมาะสาหรับการทามา
หากินอย่างย่ิง "น้ายืน" = ลักษณะของความอ่ิมเอิบ ซึมซาบ
ท่จี ะยังคงมอี ยอู่ ยา่ งย่ังยนื

ประวตั ผิ า้ ไหมลายลานา้ ยนื

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอนา้ ยนื

ประวัติผา้ ลายลาน้ายนื : “ผา้ ลายลานา้ ยืน” เป็นลายผ้า ท่ีนาเอาเอกลกั ษณจ์ ากการทอผ้าของชาว
อาเภอน้ายืน มาประดิษฐเ์ ป็นลวดลายใหม่ ดงั น้ี

ขิด จากลักษณะเด่นของการทอผ้าของชนชาวไทอสี าน มับไม จากลกั ษณะเดน่ ของการทอผ้าของชาว
กวย/กยู มดั หม่ี จากลกั ษณะเดน่ ของการทอผ้าของชนชาวกัมพูชา และ ลายลกู แก้วลาแพนกลุม่ ใหญ่
ทค่ี ดิ ค้นประดิษฐ์ขึน้ โดยการพัฒนาจากศลิ ปหัตถกรรมเครือ่ งจักสานลายลกู แกว้ หรือลายดอกแก้ว ทัง้ น้ี
ผ้าลายลาน้ายืน มีความหมายดังต่อไปน้ี

๑. ขดิ ลายสามเหลยี่ ม หมายถึง ดนิ แดนสามเหลย่ี มมรกต
๒. มบั ไ.ม หมายถงึ ความร้รู กั สามคั คี กลมเกลียวเป็นหนึ่งอนั เดียวกันของชาวอาเภอน้ายืน
๓. หมีค่ องเอยี้ (เออื้ ) หมายถงึ สายน้าทีเ่ ออื้ อานวย อม่ิ เอิบ ซมึ ซาบ ที่จะยังคงมอี ยูอ่ ยา่ งยัง่ ยืน
๔. หมี่โคมเกา้ (ลายลูกแก้วลาแพนกล่มุ ใหญ่) หมายถงึ ความกา้ วหนา้ ความเจรญิ รงุ่ เรือง

12

อาเภอบุณฑรกิ

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอบณุ ฑรกิ ”

เม่ือปี พ.ศ.2390 พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้ยกบ้าน "ดงกระชุ"
(บ้านไร่) ขึ้นเป็น "เมืองบัว" ข้ึนตรงต่อนครจาปาศักด์ิต่อมารัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ระหว่างปี พ.ศ.2443-2445 มีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคคร้ังใหญ่ เมืองดอกบัวได้
ลดฐานะลงเป็นอาเภอ แต่ยังคงข้ึนกับนครจาปาศักด์ิเช่นเดิม ในปี พ.ศ.2446 ไทยเสียดินแดนจาปาศักดิ์
ใหก้ ับฝรง่ั เศสจึงได้โอนอาเภอบวั มาขึ้นกับอาเภอเดชอุดม บรเิ วณขุขันธจ์ นถงึ ปี พ.ศ.2452
ไ ด้ เ ป ล่ี ย น ชื่ อ อ า เ ภ อ บั ว เ ป็ น อ า เ ภ อ บุ ณ ฑ ริ ก
ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ.2455อาเภอบุณฑริกถูกลดฐานะลงเป็นก่ิงอาเภอ
และในปี พ.ศ.2460 ได้เปล่ียนชื่อเป็นก่ิงอาเภอโพนงาม
โดยขึ้นอยู่กับอาเภอเดชอุดม จังหวัดขุขันธ์เช่นเดิม
จนกระทั่งถึง พ.ศ.2471 จึงได้โอนมาข้ึนกับจังหวัด
อุบลราชธานี พ.ศ.2482 เปลี่ยนช่ือเป็นก่ิงอาเภอ
บุณฑริกอีกคร้ังหน่ึง พ.ศ.2501 ได้รับการยกฐานะข้ึน
เป็นอาเภอบณุ ฑรกิ

ผ้าไหมลายบวั ขาวหรอื ลายบณุ ฑรกิ

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอบณุ ฑรกิ
ผ้าลายบัวขาวหรือลายบุณฑริก เกิดขึ้นจากแนวคิดของ ผา้ ไหมลายบัวขาวหรอื บณุ ฑรกิ

นายฤทธิสรรค์ เทพพิทักษ์ นายอาเภอบุณฑริกในขณะน้ัน
ทีอ่ ยากไดผ้ า้ ไหมยอ้ มสธี รรมชาติทีม่ ีลวดลายท่เี ปน็ เอกลกั ษณ์ ของอาเภอบณุ ฑรกิ จึงมอบหมายใหโ้ ครงการส่งเสริม
ศิลปาชีพอาเภอบุณฑรกิ โดยกลุ่มชาวบ้านสมพรรัตน์ชว่ ยดาเนินการออกแบบให้

ซึ่งกลุ่มชาวบ้านได้ออกแบบลวดลายไปให้คัดเลือกประมาณ ๓๔ ลาย และลายที่ได้รับการคัดเลือกคือลาย
ดอกบัวขาวหรือลายบุณฑริก ซึ่งออกแบบโดยนางนริศรา เรืองสูง ผ้าลายบัวขาว หรือลายบุณฑริก เป็นผ้าไหม
มัดหมท่ี ่ีประยุกต์ลวดลายจากลายกาบบัว ซ่ึงเป็นลวดลายเอกลกั ษณ์ของจังหวดั อบุ ลราชธานี

13

อาเภอตระการพชื ผล

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอตระการพชื ผล ”

อาเภอตระการพชื ผล เดิมมฐี านะเป็นเมือง ช่ือเมอื งตระการพืชผล ตั้งข้ึนเม่ือ พ.ศ.2406 ในรัชกาล

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้ยกฐานะบ้านสะพือเป็นเมืองตระการพืชผล ข้ึนตรง
ต่อเมืองอุบลราชธานีในช่วงปี พ.ศ.2443-2445 ได้มีการปรับปรุงการปกครองในส่วนภูมิภาคคร้ังใหญ่
เมืองตระการพืชผลถูกลดฐานะเป็นอาเภอโดยข้ึนตรงต่อเมืองอุบลราชธานี เช่นเดิมในปี พ.ศ.2452
ทางราชการได้รวมเขตปกครองอาเภอตระการพืชผลกับอาเภอพนานิคมเข้าด้วยกันเป็นอาเภอพนานิคม
และไดย้ า้ ยทว่ี า่ การอาเภอไปตงั้ ท่ีบา้ นขุหลุ ตาบลขหุ ลุ แตย่ งั ใชช้ อื่ เดิม

ต่ อ ม า ไ ด้ เ ป ล่ี ย น ชื่ อ ต า ม ที่ ตั้ ง เ ป็ น อ า เ ภ อ ขุ ห ลุ
เม่ือ พ.ศ.2460 ครั้นถึง พ.ศ.2482 ได้เปล่ียน
ชื่อไปเป็นอาเภอพนานิคมอีกคร้ัง และสุดท้าย
เพ่ือรักษาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์
ทางการจึงได้เปลี่ยนช่ือกลับมาเป็นอาเภอ
ตระการพชื ผลอกี ครั้ง เม่ือปี พ.ศ.2483

ผา้ มดั หม่ีลายเกษมสมี า

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอตระการพชื ผล

ผ้ามัดหม่ีลายเกษมสีมา เป็นลายผ้าท่ีช่างทอผ้า ผ้ามัดหมี่ลายเกษมสมี า
บ้านเกษมได้คิดค้นลายผ้าให้ประสานสอดคล้องกับประเพณี
วัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งในอดีตบ้านเกษม ตาบลเกษม
แ ห่ ง นี้ เ ค ย มี ฐ า น ะ เ ป็ น เ มื อ ง เ ก ษ ม สี ม า ใ น ช่ ว ง ปี
พ.ศ.2425 – 2452 โดยมีพระพิชัยชาญณรงค์เป็นเจ้าเมือง
คนแรก และมีประวัติศาสตร์เร่ืองราวที่น่าสนใจอีกมากมาย

เช่น ตานานนกหัสดีลิงค์ งานศิลปหัตถกรรม และยังมีพิพิธภัณฑ์เมืองเกษมสีมาซึ่งเป็นแหล่งรวบรวม

และถ่ายทอดวถิ ชี วี ิตของชาวอีสานในอดีตไว้อกี ด้วย
โดยผ้ามัดหม่ีลายเกษมสีมาน้ี ได้จำลองกำรมัดหมี่เป็นลำยนกหัสดีลิงค์ ลำยดอกยำงนำ ลำยต้นสน

ลำยโคมห้ำ ทอเป็นผืนผ้ำที่มีควำมประณีตงดงำม และย้อมสีจำกเปลือกไม้ ซ่ึงมีควำมสวยงำม

เหมำะแกก่ ำรสวมใส่ และอนรุ ักษ์ไว้ เปน็ มรดกใหล้ ูกหลำนสืบไป

14

อาเภอกุดข้าวปุ้น

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอกดุ ขา้ วปนุ้ ”

อาเภอกุดข้าวปุ้น เดิมคือ ตาบลข้าวปุ้น ตาบลแก้งเค็ง ตาบลโนนสวาง ตาบลกาบิน และ
ตาบลหนองทันน้า ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของอาเภอตระการพืชผล เมื่อบ้านเมืองเจริญและมีประชากร
เพ่ิมมากข้ึน จึงได้ขอแยกออกมาตั้งเป็นก่ิงอาเภอกุดข้าวปุ้น เมื่อปี พ.ศ.2514 และต่อมาได้ยกฐานะเป็น
อาเภอกุดขา้ วปนุ้ เม่ือปี พ.ศ.2522

คาว่า “กุดข้าวปุ้น” มีความหมายได้สองนัย คือ “ลาน้าท่ีคดงอเหมือนเส้นขนมจีน หรือ “ชาวบ้านได้
อาศยั ท่ใี นทแ่ี หง่ นี้ในขบวนการทาขนมเสน้ ” (กุด = บงึ ,ลานา้ ปลายด้วน ขา้ วปนุ้ = ขนมจีน, ขนมเสน้ )

ผา้ ไหมกาบบวั ลายเตา่ งับ

ผ้ า เ อ ก ลั ก ษ ณ์ ป ร ะ จ า อ า เ ภ อ กุ ด ข้ า ว ปุ้ น
เป็นผ้าท่ีทอ ด้ วยช่างทอ ฝีมือประ ณี ต

ทอแน่น สีที่ใช้มีความกลมกลืนและสีไม่ตก ลวดลาย
ท่ีใช้มีความละเอียดมีการประยุกต์ลวดลายให้
ทนั สมัย โทนสีสดใส เป็นผ้ากาบบัวประยุกต์ลายของ
ผ้าเป็นรูปเต่ารับตามช่ือหมู่บ้านเดิม ช่ือบ้านเต่างับ
ผ้าลายปราสาทผ้ึงอุบลราชธานี

ผา้ ไหมกาบบวั ลายเตา่ งบั

15

อาเภอม่วงสามสิบ

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอมว่ งสามสบิ ”

อาเภอม่วงสามสิบ เดิมคือ "บ้านที" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ
ให้ยกฐานะขึน้ เป็นเมือง "เกษมสีมา" ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2425 จนถึงคราวปรับปรุง
การปกครองครั้งใหญ่ระหว่างปี พ.ศ.2443-2445 เมืองเกษมสีมาถูกลดฐานะลงเป็นอาเภอ ต่อมา
ปี พ.ศ.2452 ทางราชการได้รวมอาเภอเกษมสีมากับอาเภออุตรูปลนิคม (ซึ่งอยู่ใกล้เคียง) เข้าด้วยกัน
เรียกชื่อใหมว่ า่ "อาเภออุตรอุบล" แตต่ อ่ มาได้เปลี่ยนช่อื เปน็ อาเภอ "ม่วงสามสิบ" ตามช่ือของหมู่บ้านดั้งเดิม
จนถงึ ปจั จบุ นั ท่มี าของคาวา่ "ม่วงสามสิบ" มีเรื่องเล่าขานกันมา 3-4 ประการ คือ 1.พ่อค้าวัวได้ต้อนวัวมา
พกั อยทู่ ่ีหมบู่ า้ น วัวจึงอาศัยมะมว่ งสุกกินแทนหญ้าหมดไป 30 ผล
2.ท่ีหมู่บ้านนี้เคยมีการจัดการแข่งขันกิน
มะ ม่ว งค นท่ี ชน ะ เ ลิศ กิ น ไ ด้ ถึ ง 3 0 ผ ล
3. พ่อค้าวัวต้อนวัวมาค้างแรมที่หมู่บ้านนี้แล้ว
ได้ถ่ายมูลไว้ ต่อมามูลวัวได้งอกออกเป็นต้น
ม ะ ม่ ว ง 3 0 ต้ น 4 . ใ น ปี พ . ศ . 2 4 5 9
นายอาเภอเกษมสีมา ได้อพยพหาแหล่งที่ตั้ง
อาเภอใหม่ และได้มาพบบริเวณท่ีร่มรื่นอุดม
สมบูรณ์ โดยเฉพาะมีต้นมะม่วงข้ึนรวมอยู่ถึง
30 ต้น จึงได้ต้ังช่ือหมู่บ้านข้ึนโดยให้ช่ือว่า
"บ้านมว่ งสามสบิ "

ผ้าฝา้ ยลายสายรงุ้ ผ้าฝ้ายลายสายรงุ้

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอมว่ งสามสบิ

ผ้ากาบบัวประกายรุ้งมีทั้งฝ้ายและไหม ได้รับรางวัล

OTOP ระดับ ๕ ดาว นิยมทอสีสันที่สดใส แสดงถึงวิถีชีวิตท่ีมี

ความสุข มีสสี นั มีความอดุ มสมบูรณ์ งดงามดังสายรงุ้ หลากสี ผ้าฝา้ ยกาบบวั สายรุ้ง มาจากแรงบนั ดาลใจ

ของคุณแม่พิสมัย จึงจิตรักษ์ท่ีนาเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” มาเป็นแนวคิดที่แสดงถึงความชุ่มชื่นหลัง

ฝนตก เปน็ สายรุ้งท่แี สดงคือพัฒนาการ ของชาวบา้ นในการทอผา้ ที่สรรสร้างลายผ้าให้วิจิตงดงามมากย่ิงข้ึน

แต่ก็ยังคงรักษาความเป็นผ้ากาบบัวเอาไว้ได้อย่างสวยงาม ด้วยผ้ากาบบัวสายรุ้งที่มีการใส่ด้ินเงิน ดิ้นทอง

ลงไปในการทอ ทาให้ผ้ากาบบัว เปล่งประกายเม่ือต้องแสง จึงนิยมนาไปตัดสูท ท่ีต้องการความเป็น

ทางการและแฝงไปดว้ ยความหรูหรา จงึ ได้รับความนยิ มเป็นอยา่ งมาก

16

อาเภอวารนิ ชาราบ

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอวารนิ ชาราบ ”

แต่เดิมเป็นหมู่บ้านข้ึนกับเมืองจาปาศักดิ์ ชื่อ "บ้านนากอนจอ" ได้ขอต้ังเป็นเมือง "วารินชาราบ"
ปี พ.ศ.2423 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างปี พ .ศ.2443-2445
ได้ลดฐานะลงเป็นอาเภอหนึ่งของเมืองเขมราฐ จนมาถึง พ.ศ.2456 ทางราชการได้รวมอาเภอทักษิณอุบล
กบั อาเภอวารนิ ชารายเขา้ ด้วยกัน เรียกชื่อว่า "อาเภอวารนิ ชาราบ" จนถึงปัจจุบัน

การต้ังช่ืออาเภอ ลักษณะพ้ืนที่ของตัวอาเภอเป็น
ท่ีราบเกือบ 100% มีลาน้าไหลผ่านหลายสาย
รวมทั้งห้วย หนอง คลองบึง ท่ีมีน้าใต้ดินไหลซึม
ซับดนิ ใหช้ ุ่มช่นื มพี นั ธุไ์ ม้ข้ึนเขียวชะอุ่มอยู่ตลอดปี
(วาริน = น้า ชา = ชา คา = น้าที่ไหลขึ้นมาจาก
ใตด้ ินโดยธรรมชาติอยา่ งไมข่ าดสาย ราบ = ที่ราบ)

ผ้าฝา้ ยลายกาบบวั

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอวารนิ ชาราบ

สีผ้ากาบบัว เป็นสีของกาบบัว หรือกลีบบัว ผ้าฝ้ายลายกาบบวั
ซ่ึงไล่จากสีอ่อนไปแก่ จากขาว ชมพู เทา เขียว
น้าตาล ซึ่งผ้ากาบบัวมีความหมายและเหมาะสม
สอดคลอ้ งกบั ชอื่ ของ จังหวดั อุบลราชธานี

ผ้ากาบบัวอาจทอด้วยฝ้ายหรือไหม ประกอบด้วยเส้นยืนย้อมอย่างน้อยสองสีเป็นร้ิวตามลักษณะ
“ซ่นิ ทิว”นอกจากนีย้ งั ทอพุ่งด้วยไหมสีมับไม ( ไหมป่ันเกลียวหางกระรอก ) มัดหม่ีและขิด ลักษณะเฉพาะ
ของผา้ กาบบวั แบ่งเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ ผา้ กาบบวั ( ธรรมดา ) ผา้ กาบบัว ( จก ) และผา้ กาบบัว ( คา )

17

อาเภอพบิ ูลมังสาหาร

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอพบิ ลู มังสาหาร ”

อาเภอพิบลู มงั สาหารเดมิ ชือ่ "บา้ นกวา้ งลาชะโด" ข้นึ ตรงตอ่ เมืองอุบลราชธานี ต่อมาในปี พ.ศ.2406

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯให้ยกฐานะขึ้นเป็นเมือง "พิบูลมังสาหาร" หลังจากน้ัน
เมืองพบิ ูลมังสาหารกม็ ฐี านะเปน็ เมอื ง ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานตี ลอดมา จนได้มีการปรับปรุงการปกครอง
คร้ังใหญ่ในรัชกาลพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองพิบูลมังสาหารจึงได้มีฐานะเป็นอาเภอขึ้น
ตรงต่อเมืองอุบลราชธานีตั้งแต่ปี พ.ศ.2443 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน "พิบูลมังสาหาร" หมายถึง ดินอุดม
ทอี่ ุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารประเภทเนอ้ื นานาชนดิ

ผา้ ฝา้ ยลายบวั เมอื งอบุ ลฯ

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอพบิ ลู มงั สาหาร

ลายผ้า “บัวเมืองอุบล” ต้นกาเนิดที่เมืองพิบูลมังสาหาร

ลายผ้าเป็นรูปดอกบัวซ่ึงมีแรงบันดาลใจมาจากตราสัญลักษณ์ ผา้ ฝา้ ยลายบวั เมอื งอบุ ลฯ
ประจาจงั หวัดอบุ ลราชธานี

ดอกบัวสีชมพู แทนความหมายของดอกบัวสาย ชึ่งถือ
เป็นดอกบัวประจาถิ่นของจังหวัดอุบลราชชธานีและดอกบัวสี
ชมพูยังหมายถึงตัวแทนของพระพุทธเจ้าและได้รับการยกย่อง
ใหเ้ ป็นดอกบัวบชู าทถ่ี อื วา่ ประเสรฐิ ทีส่ ดุ

ด อ ก บั ว ใ น ล า ย ผ้ า มี ๓ ด อ ก ห ม า ย ถึ ง
พระรัตนตรัย ซ่ึงเป็นองค์ประกอบสาคัญของพระพุทธศาสนา
ถือว่าเปน็ สิง่ ประเสริฐ เป็นมงคลสูงสุด และเป็นแหล่งรวมความ
ดีงามทัง้ ปวง ประกอบดว้ ย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

ดอกบวั มี ๒ ลักษณะคือ ดอกบัวตูม และดอกบัวบาน ซ่งึ อย่เู หนอื น้าหรอื พน้ น้า แทนความหมายว่า
ดอกตูมพ้นน้าด้านซ้ายและขวา หมายถึง คนอุบลราชธานี โดยเฉพาะคนพิบูลมังสาหาร เป็นผู้มีความเฉลียว
ฉลาด แต่ต้องรอแสงจากพระอาทิตย์จึงจะบาน นั้นคือผู้คนมีลักษณะนิสัยพร้อมรับการเรียนรู้ในส่ิงใหม่ ๆ
เปรยี บเสมือนผู้ทรงภมู ปิ ัญญาที่จะแนะนาเพื่อให้เกดิ ปญั ญาดั่งแสงสวา่ งสาดสอ่ งดอกบัวใหส้ ามารถบานละพร่ังได้
อยา่ งดงาม เป็นการแสดงถึงอปุ นสิ ัยอ่อนนอ้ มถอ่ มตนของผคู้ นชาวอบุ ลราชธานีและพบิ ลู มงั สาหาร

ดอกบานตรงกลาง หมายถึง ความรุ่งเรืองเบ่งบานของบ้านเมืองที่เจริญก้าวหน้าเป็นลาดับ
เส้นโค้งรูปคล่ืน ๓ เส้น แทนความหมายของแม่น้าสายหลักของจังหวัดอุบลราชธานี ๓ สาย คือ แม่น้าโขง
แม่น้าชี และแม่น้ามลู

18

อาเภอตาลสมุ

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอตาลสมุ ”

อาเภอตาลสุม แต่เดิมคือตาบลตาลสุม ตาบลคาหว้า ตาบลจิกเทิง ตาบลนาคาย ตาบลสาโรง
และตาบลหนองกุง ซ่ึงอยู่ในเขตการปกครองของอาเภอพิบูลมังสาหารมาก่อน เม่ือท้องที่เจริญขึ้นทางการ
จึงได้แยกตาบลดังกล่าวออกมาต้ังเป็นก่ิงอาเภอ เม่ือ พ.ศ.2521 และได้ยกฐานะข้ึนเป็นอาเภอ
เม่ือ พ.ศ. 2531 อาเภอตาลสุมได้ชื่อตามต้นตาลท่ีข้ึนอยู่ริมเซบกเป็นจานวนมาก โดยเกิดข้ึนมาเอง
ตามธรรมชาติ และมีเฉพาะในพ้ืนท่ีบริเวณดังกล่าวนี้เท่าน้ัน จึงเรียกว่า "ตาลสุม" ( สุม=วางทับซ้อนๆ กัน
วางทบั กนั รวมกนั )

ผา้ ดา้ ยใยประดษิ ฐล์ ายกรกนก

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอตาลสมุ

ผ้าลายกรกนก เกิดจากชาวอาเภอ

ตาลสุมได้ร่วมกันสร้างสรรค์ และออกแบบ

ลวดลายผ้าที่เกิดจากฝักบัว ซึ่งเป็นผลผลิต

ท่ี มี จ า น ว น ม า ก ใ น พื้ น ท่ี อ า เ ภ อ ต า ล สุ ม

โดยการทานาบัว ซึ่งสีของดอกบัวจะมี

ความสวยงาม โดดเด่น ออกดอกเป็นสีชมพู

หรือสีบานเย็น มาออกแบบไว้ในผืนผ้า

โ ด ย ก ลุ่ ม วิ ส า ห กิ จ ชุ ม ช น ท อ ผ้ า ก า บ บั ว

บ้านทุ่งเจริญ หมู่ที่ 8 ตาบลสาโรง อาเภอตาลสุม ผา้ ด้ายใยประดษิ ฐล์ ายกรกนก

จังหวัดอุบลราชธานี ได้เป็นผู้คิดค้นลวดลาย

โดยใช้เส้นใยด้ายประดษิ ฐ์

ดังคาขวัญของอาเภอตาลสุม ที่กล่าวว่า “ตาลสุมน่าอยู่ ผู้คนใฝ่ธรรม ลือนามผ้าห่มดี ฝักบัว

มรี สหวานตน้ ตาลงามสงา่ ตานานน้ามูลใส กราบไหว้หลวงปู่สวนศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ แหลง่ เศรษฐกจิ พอเพยี ง”

19

อาเภอโพธไ์ิ ทร

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอโพธไ์ิ ทร ”

อาเภอโพธไิ์ ทร แตเ่ ดิมคอื ตาบลโพธ์ิไทร ตาบลสาโรง และตาบลม่วงใหญ่ ซ่ึงอยู่ในเขตการปกครอง
ของอาเภอเขมราฐ เน่ืองจากมีอาณาเขตกว้างขวางไกลจากอาเภอมาก เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้ามา
บริหารราชการแผ่นดินได้โดยสะดวกทางการจึงได้แยก 3 ตาบลดังกล่าวออกมาตั้งเป็นกิ่งอาเภอโพธิ์ไทร
เม่ือ พ.ศ.2524 และยกฐานะเปน็ อาเภอในปี พ.ศ.2530

ช่ืออาเภอได้มาจากต้น "โพธ์ิไทร" เก่าแก่ ท่ีมีอยู่ในวัดศรีบุญเรือง ซ่ึงเช่ือกันว่า เป็นท่ีสิงสถิตของ
รุกขเทวดา มีความศกั ดิ์สทิ ธ์เิ ปน็ ทเ่ี ลือ่ มใสศรัทธาของชาวบ้านอย่างยิ่ง

ผ้าฝา้ ยลายดอกผกั แวน่ ผา้ ฝา้ ยลายดอกผกั แวน่

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอโพธไิ์ ทร

ผ้าทอมือเป็นผ้าพื้นเมืองท่ีมีความนิยม และมี

คุณค่ายิ่ง ช่ึงลวดลายจะแสดงออกถึงภูมิปัญญาท้องถ่ิน
ของแต่ละชุมชนจะเห็นได้ ผ้าทอมือลายดอกผักแว่น
เป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินของชาวบ้านโนนทัน หมู่ ๑๑
ตาบลโพธิ์ไทร อาเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
ได้รับ การถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ช่ือดอกผักแว่นมา
จากพ้ืนเพของชาวบา้ นแถบนี้ มีอาชพี ทานา วิถีชีวิตอยู่
กบั ท้องทงุ่ ท้องนา ซ่ึงในทุ่งนาจะมีพืชผักอยู่ชนิดหนึ่งท่ี
ชอบเกิดในฤดูทานา ( ฤดูฝน ) ชาวบ้านเรียกว่า
"ผกั แวน่ " ใช้รับประทานกับน้าพริกดอกจะมสี ีขาว

20

อาเภอสาโรง

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอสาโรง ”

อาเภอสาโรง เดิมคือตาบลสาโรง ตาบลหนองไฮ ตาบลโนนกาเล็น ตาบลค้อน้อย ตาบลโคกสว่าง
ตาบลโนนกลาง ตาบลโคกก่อง ตาบลขามป้อม และตาบลบอน ซ่งึ อยใู่ นเขตการปกครองของอาเภอวารินชา
ราบ ต่อมาเพ่ือสะดวกในการพัฒนาท้องถิ่น จึงได้ขอแยกออกมาต้ังเป็นก่ิงอาเภอสาโรง เม่ือปี พ.ศ.2528
และไดย้ กฐานะเป็นอาเภอสาโรงเมอ่ื ปี พ.ศ.2535

ประวัติการต้ังช่ืออ้าเภอ : คาว่า "สาโรง" เป็นช่ือ
ต้นไม้ชนิดหน่ึง ดอกเหม็ด ใช้เมล็ดในของผลทา
น้ามัน เรียกว่า "น้ามันปลูกไม้" ใช้ประโยชน์เป็นชื่อ
มันชนดิ หนง่ึ เหมอื น "มันสาปะหลงั

ผา้ ลายสม้ โฮง ผ้าลายสม้ โฮง

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอสาโรง

ประวัตลิ ายผ้า : ตน้ ส้มโฮง เป็นต้นไม้ประจา
อาเภอ ลายผ้าเปน็ ดอกส้มโฮง ทโ่ี ปรยลงมาจาก
สวงสวรรค์เพอ่ื ให้ดินแดนมคี วามอุดมสมบรู ณ์
มสี ายน้าและปลาแหวกว่าย คอื ความอดุ มสมบูรณ์
ของชาวอาเภอสาโรง การมกี นิ มีอยอู่ ย่างปลอดภยั
และไม่ขาดแคลน มีเสน้ ยืน เส้นต้งั คอื การรวม
พลังความสามคั คีกลมเกลียว ของชาวสาโรง ซ่ึงมี
การทอทั้งเสน้ ไหมและฝ้าย

21

อาเภอดอนมดแดง

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอดอนมดแดง ”

อาเภอดอนมดแดง แตเ่ ดิมคอื ตาบลเหลา่ แดง ตาบลคาไฮใหญ่ ตาบลดอนมดแดง และตาบล
ทา่ เมอื ง ซึง่ อยใู่ นเขตการปกครองของอาเภอเมอื ง ตอ่ มาเมอื่ มเี ศรษฐกิจเจรญิ มากข้นึ จึงขอแยกเป็นกิ่ง
อาเภอเม่อื ปี พ.ศ.2534 และไดย้ กฐานะเปน็ อาเภอเมือ่ ปี พ.ศ.2539
อาเภอดอนมดแดงได้ชื่อตามเกาะ ( ดอน )กลาง
ลาน้ามูล ห่างจากตัวเมืองอุบลฯ โดยล่องไป
ตามลาน้ามูลระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร
เจ้าคาผลเคยอพยพไพร่พลจากจาปาศักด์ิมาอยู่
ไม่ได้นาน ก็ต้องอพยพต่อไปอยู่ท่ีดงอู่ผ้ึง
(อาเภอเมืองปัจจุบัน) เพราะพื้นท่ีลุ่มต่า น้าท่วมขัง
และมมี ดแดงชุกชมุ มาก

ผ้าฝา้ ยลายหมว่ี ง ผา้ ฝา้ ยลายหมว่ี ง

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอดอนมดแดง
โครงสรา้ งการวางลายผา้ แบบหม่ีชิน การออกแบบตง้ั แต่อดตี ถงึ

ปัจจบุ ันมกี าหนดรูปแบบของการวางลายที่มตี าแหน่งทีแ่ น่นอนจนทาให้
เรียกช่อื ผา้ มดั หม่ีสามรปู แบนของการวางลายไส้ 4 รูปแบบ ได้แก่

1.หม่ีช้อ คือ ผ้าไหมมัดหม่ีที่มีการทาลวดลายเป็นจุดๆ จุดหน่ึงก็คือหน่ึงสา น่ันคือมัดเส้นด้ายเป็น
เปลาะตามลาของสน้ ด้าย โดยเวน้ ระยะช่องไฟไวพ้ องาม หมีขอ้ เปน็ ลายพ้ืนฐานทม่ี ชี นาดเลก็ ทส่ี ุด

2.หมี่ลวด คือ ผ้ามัดหมี่ท่ีมีลวดลายเดียวกัน โดยโดรงสร้างของลายมีลักษณะเป็นลายแถบแนวนอน
เกิดจากการผกู ประกอบลายเรียงตอ่ กนั ในแนวนอนและจดั องค์ประกอบตัวลาย

3.หมี่ล่าย คือ ผ้ามัดหม่ีที่มีลวดลายเดียวกัน โดยโครงสร้างของลายมีลักษณะเป็นลายแถบแนวเฉียง
เกิดจากการผูกเรียงตอ่ กันเอียงจากแนวไปทางใดทางหนึง่ และจัดองค์ประกอบตวั ลายหรอื แมล่ ายต่อเข้าด้วยกัน
ต่อเนือ่ งสัมพันธก์ ันตลอดทงั้ ผืนผ้า

4.หมีค่ ั่น คือ ผา้ มัดหมที่ ี่มกี ารวางลวดลายมดั หม่สี ลบั ตื่นลายด้วยเสน้ สขี นึ้ เปน็ ชว่ ง ๆ ตามตั้งของเส้นพุ่ง
ตลอดทงั้ ผืนผา้

22

อาเภอสิรินธร

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอสริ นิ ธร ”

อาเภอสิรินธร ได้รับการประกาศจัดต้ังขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพ่ือเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสท่ีทรงมีพระชนมายุครบ 36 พรรษาในปี พ.ศ.2534
ยังความปิติโสมนัสและสานึกในพระมหากรุณาธิคุณตลอดจนความเป็นสิริมงคลแก่ประชาชน
ชาวอุบลราชธานีอย่างหาท่ีสุดมิได้ โดยได้ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้พระนามาภิไธยของ
พระองค์ "สริ ินธร" เป็นชอ่ื อาเภอ เมอ่ื วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2533

ผา้ ฝา้ ยลายเรอื งแสง

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอสริ นิ ธร

ผ้ า เ รื อ ง แ ส ง ไ ด้ แ ร ง บั ล ด า ล ใ จ จ า ก

วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือนิยมเรียกกันว่า วัด

เ รื อ ง แ ส ง ต้ั ง อ ยู่ ที่ อ า เ ภ อ สิ ริ น ธ ร

จังหวัดอุบลราชธานี เป็นวัดที่ต้ังอยู่บนเนินเขาสูง

โดยจาลองสภาพแวดล้อมของวัดป่าหิมพานต์หรือ

เขาไกรลาศ บริเวณบนยอดเขาจะมองเห็น

พระอุโบสถสีปัดทองตั้งเด่นเป็นสง่า จุดเด่นของวัด

คือการได้มาชมภาพเรืองแสงเป็นสีเขียวของ ต้น

กัลปพฤกษ์ท่ีเป็นจิตรกรรมท่ีอยู่บนผนังด้านหลัง

ของอุโบสถในยามค่าคืน ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสม ผา้ ฝา้ ยลายเรอื งแสง
สาหรับการมาชมและถ่ายภาพคือ ต้ังแต่เวลา

๖.๐๐.๑๙.๓๐ น. ซ่ึงหากโชคดีก็จะได้เห็นดวงดาว

มากมาย เตม็ ทอ้ งฟา้ อกี ดว้ ย แตภ่ าพเรอื งแสงนห้ี ากมองดว้ ยตาเปล่าจะเหน็ เพยี งเลก็ นอ้ ย จะไม่เหน็ เป็นสีเขยี วชัดเจน

เทา่ กับภาพท่ถี า่ ยด้วยกลอ้ งถา่ ยภาพ เพราะฉะนัน้ นักทอ่ งเทยี่ วบางทา่ นท่ีมาเก็บภาพความงดงามผ่านสายตาต้อง
เผ่อื ใจไวเ้ ลก็ นอ้ ย

23

อาเภอทงุ่ ศรอี ดุ ม

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอทงุ่ ศรอี ดุ ม ”

อาเภอทุ่งศรีอุดมเดิมเป็นท้องท่ีการปกครองของอาเภอเดชอุดม ต่อมาเม่ือมีความเจริญทาง
เศรษฐกิจสังคมมากข้ึน จึงได้แยกตาบลทุ่งเทิง ตาบลหนองอ้ม ตาบลนาเกษม ตาบลกุดเรือ และตาบลโคก
ชาแระออกมาจัดต้งั เป็น กิ่งอาเภอทุ่งศรีอุดม เมอ่ื วันท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2535และในวันท่ี 30 กันยายน ปี
เดียวกัน ทางราชการได้แยกท้องที่บางส่วนของตาบลทุ่งเทิงมาจัดต้ังเป็นตาบลใหม่คือตาบลนาห่อม แต่ใน
วันท่ี 1 มิถุนายนของปีถัดมา ตาบลทุ่งเทิงก็ถูกโอนกลับไปขึ้นกับอาเภอเดชอุดม เนื่องจากราษฎรในพื้นท่ี
เดินทางไปติดต่อราชการได้สะดวกกวา่ มาท่กี ง่ิ อาเภอ

ก่ิงอาเภอทุ่งศรีอุดมได้รับการยกฐานะเป็น
อาเภอทุ่งศรีอุดม เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2540
โดยแบง่ พืน้ ทีป่ กครองออกเปน็ 5 ตาบล ประกอบด้วย
ตาบลหนองอ้ม ตาบลนาเกษม ตาบลกุดเรือ ตาบลโคก
ชาแระ และตาบลนาห่อม คาว่า "ทุ่งศรีอุดม" หมายถึง
พ้ืนท่ีราบโล่ง อุดมสมบูรณ์ และมีความเจริญรุ่งเรือง
อย่างย่ิง

ผา้ ฝา้ ยลายขดิ

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอทงุ่ ศรอี ดุ ม

เปน็ ผา้ ฝา้ ยทอมือย้อมด้วยสีธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบชนิด ผ้าฝา้ ยลายขดิ
ต่างๆ ท่ีมีอยู่ในชุมชน เนื้อผ้ามีความนุ่ม คงทนถาวร
ลา ยผ้ า มีค วา ม โ ด ด เ ด่ นค ง คว าม ด้ั งเ ดิ ม โ บร า ณ
เป็นผ้าขิดลายนาคโบราณ ซ่ึงลายนาคเป็นความเช่ือถือ
ศรทั ธานบั ถือพญานาคซ่งึ เปน็ สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ปิ ระจาชมุ ชน

จึงนามาประดษิ ฐค์ ดิ ค้น อออกมาเป็นลายผ้านาคโบราณ อย่างสวยงามลงตัว ซง่ึ มีความเชื่อว่า หากท่านใดได้
มผี า้ ชดิ ลายนาคโบราณไว้ เหมอื นมพี ญานาคคอยปกปักรกั ษา

24

อาเภอนาเยยี

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอนาเยยี ”

อาเภอนาเยีย เดิมคือ ตาบลนาเยีย ตาบลนาดี และตาบลนาเรือง อยู่ในเขตการปกครองของ
อาเภอเดชอุดม เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อราชการ จึงได้แยกออกมาตั้งเป็นก่ิงอาเภอนาเยีย
เมือ่ พ.ศ.2536

คาว่า "นาเยีย" มคี วามหมายว่า "แหล่งพชื พนั ธธ์ุ ญั ญาหาญหรือท่ีเก็บข้าว, น้า, นาข้าว ที่สมบูรณ์"
( นา = พนื้ ท่สี าหรับปลกู ข้าว เขีย = ยุ้งขา้ ว )

ผ้าฝา้ ยลายสายลาโดม ผ้าฝา้ ยลายสายลาโดม

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอนาเยยี

ประมาณ ปี 2563 นายวินิจ เทพนิต
นายอาเภอนาเยีย นายสะท้อน ปราบจันดี
พัฒนาการอาเภอ นาเยียร่วมกับส่วนราชการ
ไดจ้ ดั ประชมุ ร่วมกัน ในการทอผ้าฝ้ายท่ีเป็นลาย
เอกลักษณ์ของอาเภอ จึงเชิญกลุ่มทอผ้าฝ้าย
ในอาเภอนาเยียมาหารือ อาเภอได้คัดเลือก
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าฝ้ายทอมือบ้านหินลาด
หมู่ที่ 8 ตาบล นาเรือง เป็นกลุ่มทอผ้าฝ้าย
ลายอัตลักษณ์ของอาเภอ การทอผ้าเป็นลาย
ด้ังเดิมคล้ายตาหมากรุกทอดยาวคล้ายลาน้า
จึ ง ไ ด้ ต้ั ง ชื่ อ ต า ม ภู มิ ศ า ส ต ร์ ข อ ง อ า เ ภ อ ซึ่ ง มี
ลาโดมใหญ่ เป็นแหล่งน้าขนาดใหญ่ ไหลผ่าน
หลายหมู่บ้านหลายกิโลหล่อเล้ียงชีพประชาชน
ในอาเภอนาเยีย ว่า “ผ้าฝ้ายลายสายลาโดม”
เรอื่ ยมาจนถงึ ปัจจบุ นั

25

อาเภอนาตาล

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอนาตาล ”

อาเภอนาตาล เดิมคือตาบลนาตาล ตาบลกองโพน ตาบลพะลาน และตาบลพังเคน อยู่ในเขต
การปกครองของอาเภอเขมราฐทางราชการเห็นว่าเป็น ท้องท่ีที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม
อยา่ งรวดเร็ว จึงได้แยกออกมาตง้ั เป็น "อาเภอนาตาล" เมือ่ ปี พ.ศ.2537

บ้านนาตาล" ได้ชื่อตามสภาพภูมิประเทศที่เป็นที่ราบลุ่ม เหมาะแก่การทานาและปลูกพืชพรรณ
ธญั ญาหารตา่ งๆ ชาวบ้านจงึ ได้ยึดเอาเป็นทาเลทตี่ งั้ หมูบ่ ้านและ ให้ชอ่ื ว่า "บ้านนาตาล"

ผ้าฝา้ ยมดั หมยี่ อ้ มคราม ผ้าฝา้ ยมดั หม่ยี อ้ มคราม

ผ้าเอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอนาตาล

กลุ่มแปรูปผ้าฝ้ายมัดหมีย้อมครามบ้าน
นากลาง เป็นกลุ่มท่ีมีการทอผ้าฝ้ายย้อมคราม
อยแู่ ล้ว ตอ่ มาไดม้ กี ารเพิ่มมูลค่าของผ้าฝ้ายย้อม
คราม โดยการคิดค้นลายผ้า ซึ่งผ้าฝ้ายมัดหมี่
ลายข้าวหลามตัด จุดเร่ิมต้นเกิดแรงบันดาลใจ
สภาพแวดล้อมในท้องถ่ิน ซึ่งส่วนใหญ่ลายล้อม
ไปด้วยท้องทุ่งนา สระน้า ประกอบเหมาะกับ
ที่ตั้งของกลุ่ม ท่ีอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งนา ซ่ึงถ้า
มองภาพรวมจะคล้ายส่ีเหล่ียมหลายๆ ช่อง จึง
เกิดแนวคดิ นามารังสรรค์ข้ึนเป็นลายผ้า ชื่อลาย
"ข้าวหลามตดั "

อตั ลกั ษณ์หรือจดุ เดน่ ของผลติ ภณั ฑ์

สีคราม หมายถึง สีที่สื่อถึงพลัง ความฉลาดล้าลึก ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นหนึ่งเดียวกับ
ธรรมชาติ ผลประโยชน์ รายได้ และความสงู สง่

ลายข้าวหลามตัด : เป็นรูปล่ีเหล่ียมขนมเปียกปูน หมายถึง การเงิน ทรัพย์สิน โชคลาภ โอกาส
ความมน่ั คง

26

อาเภอเหล่าเสอื โกก้

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอเหลา่ เสอื โกก้ ”

อาเภอเหล่าเสือโก้ก เดิมคือตาบลแพงใหญ่ ตาบลโพนเมือง ตาบลหนองบก และตาบลเหล่าเสือโก้ก
ซ่ึงอยู่ในเขตการปกครองของอาเภอเมือง ต่อมาเม่ือประชากรมากข้ึนจึงได้ขอแยกออกมาตั้งเป็นอาเภอเหล่า
เสือโกก้ เม่ือปี พ.ศ.2537 พืน้ ทชี่ าวบา้ นมาตั้งรกรากทามาหากินครั้งแรกน้ันมีสภาพเป็น "เหล่า" (ไร่ร้าง) ชื่อ
เดิมว่า "บ้านเหล่านาชี" อุดมไปด้วยแหล่งน้าและป่าไม้ เสือเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งท่ีมีอยู่อย่างชุกชุมและมักจะ
เข้ามาลักจับสัตว์เล้ยี งกินเปน็ อาหารอย่เู สมอ เช้ามดื วนั หนง่ึ คนกับเสือเดนิ มาประจนั หนา้ กัน

โดยบังเอิญ เสือร้อง "โฮก" ( โก้ก ) ด้วยความตกใจ
และวิ่งหนีไป นับเป็นนิมิตรหมายที่ดีชาวบ้านจึงได้
พากนั ตงั้ ชื่อบ้านเสียใหม่วา่ "บ้านเหลา่ เสือโกก้ "

ผา้ ขาวมา้ มดั ยอ้ มลายเสอื

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอเหลา่ เสอื โกก้

การคิดค้นลายผ้าอัตลักษณ์ของอาเภอ เหล่าเสือโก้ก

จึงเป็นการคิดค้นอัตลักษณ์ที่โดดเด่น ประวัติความเป็นมา และ

ภูมิปัญญาพื้นถิ่นรวมเข้าด้วยกัน ช่างทอผ้า ช่างตัดเย็บเส้ือผ้าใน

พ้ืนได้ระดมความคิดเห็น ตึงเอาเสือท่ีเป็นสัญลักษณ์ของอาเภอ

เหล่าเสือโก้ก และทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินมาเป็น ผา้ ขาวมา้ มดั ยอ้ มลายเสอื
วัตถุดิบสาคัญในการแต่งแต้มสีสันของลายผ้า อาเภอเหล่าเสือ

โก้กเนนั การถักทอ มดั ยอ้ มในทกุ กระบวนการการผลิตผ้าโดยใช้สี

จากธรรมชาติ สจี ากเปลือกไม้ ใบไม้ โคลน พืชสมนุ ไพร

อาทิ เช่น สีเหลืองได้จากขมิ้นชัน สีน้าตาล ได้จากเปลือกประดู่ แปลกตะแบก ใบลาไย สีเขียวได้จากใบหูกวาง

ใบหม่อน ใบมะม่วง ฯลฯ เหล่าน้ีล้วนเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายจากธรรมชาติและหาได้ง่ายในครัวเรือนสีเหลือง

สีน้าตาล สีดาและสีส้ม เป็นสีท่ีนิยมนามาใช้เพื่อเป็นทนสัญลักษณ์ของเสือ มีการออกแบบ วาดลวดลายจาก

จินตนาการของช่างผู้มีความสามารถ จุดลายบนตัวเสือตัดสีสลับกันอย่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ นอกจากน้ียังมี

การออกแบบลวดลายโดยใช้สีเด่นของเสือมาถักทอจากลายเส้นเล็กๆ กลายเป็นผ้าผืนใหม่ "เป็นผ้าขาวม้า

ลายมัดยอ้ มเสอื " ทีแ่ สดงความเป็นอาเภอเหลา่ เสอื โก้กไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

27

อาเภอสวา่ งวีระวงศ์

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “อาเภอสวา่ งวรี ะวงศ์ ”

อาเภอสว่างวีระวงศ์ได้ชื่อตามพระนามของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน แสนทวีสุข)
และสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (ธมมธโร พิมพ์ แสนทวีสุข) ซ่ึงสมเด็จท้ังสองรูปมีชาติกาเนิดท่ีบ้านสว่าง
และเป็นพระสงฆ์คนั ถธุระท่ีชาวบ้านและชาวจงั หวัดอบุ ลฯ ให้ความเคารพนบั ถือศรทั ธาอยา่ งมาก

อาเภอสว่างวีระวงศ์คือตาบลสว่าง ตาบล
แก่งโดม ตาบลบุ่งมะแลง และตาบลท่าช้าง ซ่ึงอยู่
ในเขตการปกครองของอาเภอวารินชาราบ ต่อมา
เม่ือท้องท่ีมีเศรษฐกิจดีข้ึน และมีประชากรมากข้ึน
จึงไดแ้ ยกออกมาจัดตัง้ เป็นอาเภอสว่างวีระวงศ์ เมื่อ
1 เมษายน 2538

ผา้ ไหมกาบบวั

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอสวา่ งวรี ะวงศ์

ผ้ากาบบัว ถูกประกาศเป็นลาย ผ้าเอกลักษณ์

ประจาจงั หวัดอบุ ลราชธานี เมื่อวันอังคารท่ี ๒๕ เมษายน

๒๕๔๓ โดยคณะทางานพิจารณาลายผ้าพ้ืนเมือง ตาม ผ้าไหมลายกาบบัว
โครงการสืบสานผ้าไทยสายใยเมืองอุบลฯได้ร่วมพิจารณา

ศึกษาประวัติความเป็นมาของลายผ้าในอดีตที่ทรงคุณค่า

มาปรับปรุงออกแบบสร้างสรรค์ลายผ้าได้คัดเลือกให้ช่ือ

ว่า "ผ้ากาบบวั " เป็นลายผ้าเอกลักษณป์ ระจาจงั หวดั อบุ ลราชธานมี คี ุณลกั ษณะดังนี้สีผา้ กาบบัว เปน็ สีของกาบบัว

หรือกลีบบัว ซ่ึงไล่จากสีอ่อนไปแก่ จากชาว ชมพู เทา เขียว น้าตาลซ่ึงผ้ากาบบัวมีความหมายและเหมาะสม

สอดคล้องกับชื่อของ จังหวัดอุบลราชธานีผ้ากาบบัวอาจทอด้วยฝ้ายหรือไหมประกอบด้วยเส้นยืนย้อมอย่างน้อย

สองสีเป็นร้ิวตามลักษณะ"ซิ่นทิว" นอกจากน้ียังทอพุ่งด้วยไหมสีมับไม ( ไหมปั่นเกลียวหางกระรอก ) มัดหม่ีและ

ชิด ลักษณะเฉพาะของผ้ากาบบัว แบ่งเป็น ๓ ประเภท ไต้แก่ ผ้ากาบบัว ( ธรรมดา ) ผ้ากาบบัว ( จก ) และผ้า

กาบบวั ( คา )

28

อาเภอนา้ ขนุ่

ประวตั กิ ารกอ่ ตง้ั “อาเภอนา้ ขนุ่ ”

อาเภอน้าขุ่น เดิมคือ ตาบลตาเกา ตาบลโคกสะอาด ตาบลขี้เหล็ก และตาบลไพบูลย์ ซึ่งอยู่
ในเขตการปกครองจองอาเภอน้ายืน เพื่อประโยชน์ในด้านการปกครองและอานวยความสะดวก
แก่ประชาชน จงึ ไดแ้ ยกออกมาต้ังเปน็ อาเภอน้าขนุ่ เม่อื ปี พ.ศ.2539

ที่มาของคาว่า "น้าขุ่น" นั้นแต่เดิมช่ือ "ละเอาะ" ( เขมร ) ซึ่งแปลว่า "ขุ่น" ด้วยเหตุท่ีน้าในหนอง
ริมหมู่บ้านจะขนุ่ อยตู่ ลอดเวลา เพราะเป็นแหลง่ น้าที่สตั วป์ า่ นานาชนิดลงมาดื่มกนิ เป็นประจา

ผ้าไหมลายลกู แกว้ ผา้ ไหมลายลูกแก้ว

ผา้ เอกลกั ษณป์ ระจาอาเภอนา้ ขนุ่

ผ้าลายลูกแก้ว หรือผ้าแพรเหยียบ
เป็นผ้าทอลายในตัว ซ่ึงผู้ทอจะต้องเลือก
เหยียบไม้สลับตะกอ ซ่ึงมี ๔ ตะกอ เป็น
ลวดลายของชนเผ่าชาวเขมร นับเป็นมรดก
ทางวฒั นธรรมท่ีสืบทอดตอ่ กันมาจากบรรพบุรุษ
สู่ลูกหลาน บรรพบุรุษได้คิดคันมาจากลวดลาย
ของผลหวายป่า ลกั ษณะคล้ายผลระกาหรือสละ
ซงึ่ อดีตจะนิยมนาไปย้อมมะเกลือให้มีสีดาต่อมา
จึงได้มีการประยุกต์ย้อมสีธรรมชาติ มัดหมี่
ลวดลายต่างๆ เพิ่มความสวยงามและทอลาย
เล็กลง โดยในปัจจุบันได้มีการปลูกต้นคราม
และผลิตเนื้อคราม จงึ ได้นา"คราม" มาย้อมให้ได้
สีธรรมชาตทิ ่สี วยงาม

บรรณานกุ รรม

- กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2564. เฉลิมราชพัสตรา. กรงุ เทพฯ :
บริษัทอรมรินทรพ์ ร้นิ ต้ิง แอนดพ์ บั ลิชช่งิ จากดั (มหาชน).

- คาปนุ ศรีใส และคณะ, 2563. เอกสารประกอบการพิจารณาผ้าตัวอยา่ ง. อุบลราชธานี
- ดร.พรภัทร จาเรญิ และคณะ, 2563. วารสารวชิ าการศลิ ปะวฒั นาธรรมอสี าน.

สภาศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทยกลุม่ ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนอื , นครราชสมี า.
- ผศ.ดร.วศิ ปัตย์ ชยั ชว่ ยและคณะ, 2561. ผ้าทอเมืองอบุ ลราชธานี ศรวี นาลัย. โรงพมิ พ์
เรือนแกว้ การพมิ พ์.
- ร.ต.ต.หญิงสุดา ขเมนิลและคณะ, ผ้ากาบบวั ผา้ ไทย สายใยเมอื งอบุ ล เทดิ ไท้ 72 พรรษา
มหาราชินี. โรงพมิ พ์ ศิริธรรม ออฟเซ็ท, อุบลราชธาน.ี

ภาคผนวก

ประวตั ิจงั หวัดอบุ ลราชธานี

ประวัติจงั หวดั อบุ ลราชธานี

ประวตั กิ ารกอ่ ตงั้ “จงั หวดั อบุ ลราชธาน”ี
เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย สถาปนาข้ึนเป็นเมืองประเทศราชข้ึนตรงต่อกรุงเทพมหานคร

มาตั้งแต่ พ.ศ.2335 ในอดีตเคยเป็นจังหวัดท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุดในประเทศ ก่อนจะแยกออกเป็น
จังหวัดยโสธร และอานาจเจริญ ตามลาดับ มีแม่น้าสายสาคัญไหลผ่าน คือ โขง ชี มูน และยังมีลาน้า
สาขาอีกหลายสาย ทาให้เป็นแหล่งทามาหากินท่ีอุดมสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็เป็นเส้นทางคมนาคม
ท่ีเช่ือมต่อกับบ้านเมืองต่างๆ จึงทาให้มีกลุ่มชาติพันธ์ุเข้ามาอาศัยร่วมกันอย่างหลากหลาย เช่น ไทลาว
ผู้ไท กยู เขมร บรู 1 กุลา2 เป็นตน้ ในแง่ประวัติศาสตร์หรือเมืองหนองบัวลุ่มภู่ ด้วยสาเหตุความขัดแย้ง
ทางการเมืองกับราชสานักเวียงจันทน์ จึงเข้ามาพึ่งราชสานักจาปาศักดิ์ ก่อนจะเข้ามาสวามิภักด์ิ
กับกรุงธนบุรี และกลายมาเป็นเมืองประเทศราชของกรุงเทพมหานคร เมื่อมีการปฏิรูปการปกครอง
ในสมยั รัชกาลที่ 5 เป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองอุบลราชธานีก็อยู่ในฐานะที่ต้ังบัญชาการมณฑลฯ
มีพระเจ้าน้องยาเธอ 2 พระองค์ เสด็จมาเป็นข้าหลวงใหญ่ปกครอง (ธิดา สาระยา, 2536; บาเพ็ญ
ณ อุบล, 2557) ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าว จึงหลอมรวม
ผสมผสานเป็นอัตลักษณ์แบบเมืองอุบลราชธานี ซึ่งอาจสังเกตได้จากงานศิลปกรรมและวัฒนธรรม
ประเพณบี างอย่าง

สิ่งที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นอุบลราชธานี ได้อย่างชัดเจนอย่างหน่ึงคือ งานหัตถกรรมผ้าทอ
ซึ่งเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่เกิดจนถึงตาย นอกเหนือจากประโยชน์
ใช้สอยในชีวิตประจาวันแล้ว ผ้ายังเป็นวัตถุทางวัฒนธรรม (Cultural object) ที่บันทึกและบอกเล่า
เร่ืองราว ความเช่ือ ประเพณี วิถีชีวิต รสนิยม ของชนกลุ่มน้ันเอาไว้อีกด้วย (สุมิตร ปิติพัฒน์, อนุชา
ทีรคานนท์ และเทียมจิตร์ พ่วงสมจิตร์, 2553) ในบทนี้จึงจะกล่าวถึงภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม
วัฒนธรรม ของเมืองอุบลราชธานีโดยสังเขป เพ่ือให้เข้าใจถึงบริบทต่างๆ ที่มีส่วนกาหนดรูปแบบและ
ความหมายของผา้ ทอเมอื งอุบลราชธานีในแงม่ รดกทางวฒั นธรรม

1 กลุ่มชาติพันธ์ุที่พูดตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร สาขากะตู อาศัยอยู่บริเวณบ้านเวินบึก อาเภอโขงเจียม
จังหวัดอบุ ลราชธานี

2 กุลาหรือชาวไทใหญ่ทเ่ี ดินทางมาคา้ ขายและตอ่ มาได้ตั้งถนิ่ ฐานทีบ่ ริเวณอาเภอเขอื่ งใน จงั หวัดอบุ ลราชธานี

จังหวดั อบุ ลราชธานี เป็นจงั หวัดท่มี ีเขตปกครองกว้างขวางท่สี ุดทางดา้ นตะวันออกของภาค
อีสาน ตัง้ อยู่ทางด้านตะวันออกของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศ อยู่ห่างจาก
กรงุ เทพมหานคร ประมาณ 930 กโิ ลเมตร หรือ 5๗5 กิโลเมตรโดยทางรถไฟ ปจั จบุ นั มีเน้อื ที่
ประมาณ 16,112.650 ตารางกิโลเมตรหรอื ประมาณ 10.069 ล้านไร่ คดิ เป็นร้อยละ 9.16 ของ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื และมีอาณาเขต ดงั น้ี

ทิศเหนอื ตดิ ต่อกบั จังหวัดอานาจเจรญิ จังหวัดยโสธร และสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศตะวนั ออกติดตอ่ กบั สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศใตต้ ดิ ตอ่ กับประเทศกมั พชู าและจงั หวดั ศรีสะเกษ
ทิศตะวันตกตดิ ต่อกับจังหวัดศรสี ะเกษและจังหวัดยโสธร
แนวพรมแดนตดิ ต่อกับประเทศเพ่ือนบ้านคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและ
ประเทศกมั พชู า รวมความยาวประมาณ 428 กิโลเมตร แบง่ ออกเป็นติดต่อกบั สปป.ลาว 361
กโิ ลเมตร (จากอาเภอ เขมราฐ-อาเภอนา้ ยืน ตดิ ตอ่ กบั แขวงสะหวันนะเขต แขวงสาละวนั และแขวง
จาปาสกั ) ตดิ ตอ่ กับกมั พชู า 67 กิโลเมตร ( อาเภอน้ายนื ตดิ ต่อกับจงั หวัดเขาพระวิหาร)

ปัจจุบันจงั หวัดอุบลราชธานแี บ่งเขตการปกครองออกเปน็ 25 อาเภอ ไดแ้ ก่ 1.อาเภอเมอื ง

อุบลราชธานี 2.อาเภอวารินชาราบ 3.อาเภอพิบูลมงั สาหาร 4.อาเภอเดชอดุ ม 5.อาเภอเข่อื งใน
6.อาเภอโขงเจยี ม 7.อาเภอตระการพชื ผล 8.อาเภอสิรนิ ธร 9.อาเภอเขมราฐ 10.อาเภอบุณฑริก
11.อาเภอศรีเมอื งใหม่ 12.อาเภอมว่ งสามสิบ 13.อาเภอนาจะหลวย 14.อาเภอน้ายนื 15.อาเภอ
กุดขา้ วปุ้น 16.อาเภอโพธ์ิไทร 17.อาเภอสาโรง 18.อาเภอตาลสมุ 19.อาเภอดอนมดแดง 20.อาเภอ
ท่งุ ศรอี ุดม 21.อาเภอนาเยยี 22.อาเภอเหลา่ เสอื โก้ก 23.อาเภอน้าข่นุ 24.อาเภอนาตาล 25.อาเภอ
สว่างวีระวงศ์

จังหวัดอุบลราชธานี ต้ังอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า แอ่งโคราช สูงจากระดับน้าทะเล โดยเฉลี่ย
ประมาณ 68 เมตร (227 ฟุต) ลักษณะโดยทั่วไปเป็นท่ีสูงต่า เป็นท่ีราบลาดเอียงไปทางตะวันออก
มีแม่น้าโขงเป็นแนวเขตก้ันจังหวัดอุบลราชธานีกับธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และมีภูเขา
สลบั ซบั ซ้อนหลายแห่ง ทางบรเิ วณชายแดนตอนใตท้ สี่ าคัญคือ เทือกเขาบรรทัดและเทือกเขาพนมดงรัก
ซึ่งก้ันอาณาเขตระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและกัมพูชา
พ้ืนที่ของอุบลราชธานีเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การต้ังถ่ินฐาน เนื่องจากมีที่ราบและแม่น้าสาคัญสายหลัก
ของภาคอีสานถึง 3 สายไหลผ่าน คือ แม่น้าชี แม่น้ามูล และแม่น้าโขง นอกจากน้ียังมีลาน้าสายใหญ่
ที่กาเนิดจากที่ดอนและเทือกเขาในพ้ืนที่ เช่น ลาเซบก ลาเซบาย ลาโดมใหญ่ และลาโดมน้อย เป็นต้น
ไหลผ่านที่ราบทางด้านเหนือใต้ไปลงแม่น้ามูล ซึ่งทอดเป็นยาวกลางพื้นที่ไปบรรจบกับแม่น้าโขงบริเวณ
ปากมูลทางตะวันออกของจังหวัด ลาน้าน้อยใหญ่เหล่านี้ได้ยังความอุดมสมบูรณ์และชุ่มชื้นแก่ผืนดิน
ทาให้เกิดสภาวะแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมตอ่ การดารงชวี ิตของมนษุ ย์ พืช และสตั วแ์ ต่คร้งั บรรพกาล

ประวัตผิ ้าทอจงั หวดั อุบลราชธานี

ประวตั ิ ผา้ ทอเมอื งอุบลราชธานี
ผ้าทอเมืองอุบลราชธานี มีช่ือเสียงในเร่ืองลวดลายผ้าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ด้วยลวดลายผ้า

มีการพัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลราชธานี เป็นมรดกสิ่งทอที่ได้รับการขึ้น
ทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ( Intangible cultural heritage) ของชาติโดย
กระทรวงวฒั นธรรมในปี พ.ศ.๒๕๕๗

จากหลักฐานผ้าโบราณ เราพบว่าเจา้ นายเมืองอุบลฯได้พยามออกแบบลวดลายผ้าเอกลักษณ์ของ
ตนเองเพื่อบ่งบอกความแตกตา่ งจากราชสานักล้านช้าง ซ่ึงลวดลายผ้าเป็นส่ือสัญลักษณ์แห่งอานาจและ
บ่งบอกความเก่ียวดองกับราชสานักสยาม โดยเฉพาะส่วนลวดลายตีนซ่ิน ได้แก่ กระจับย้อย ที่หม่อม
เจยี งคา ชุมพล ณ อยุธยา ในพระองคเ์ จ้าฯ กรมหม่ืนสรรพสิทธิประสงค์ ใช้นุ่งดังหลักฐานภาพถ่ายถือ
เป็นแบบอยา่ งในการ นุ่งซนิ่ เมอื งอบุ ลราชธานี และมตี วั อยา่ งผา้ โบราณลายใกล้เคียงกัน บ่งชี้ว่าเจ้านาย
เมืองอุบลฯ พยามประยุกต์ลายท้องถ่ินเพื่อให้ใกล้เคียงกับลวดลายกรวยเชิงของผ้าราชสานักสยาม
แต่ช่ือลวดลายยังอ้างถึงชื่อพืชท้องถ่ิน"กระจับควาย" ที่มีก้านย้อยลง เราสันนิษฐานว่า ต่อมาเจ้านาย
เมืองอุบลฯจึงไดอ้ อกแบบ"ลายตนี ตวย" ที่พยามถอดลวดลาย "กรวยเชงิ " ของผ้าลายอย่างของราชสานัก
สยามท่ีเป็น ผ้าเขียนลายตามแบบสยามผลิตท่ีอินเดีย ด้วยการประยุกต์วิธีการผลิตเป็นเทคนิคขิดของ
ท้องถ่ินอีสานโดยคงรูปแบบองค์ประกอบลวดลายตามต้นฉบับไว้ คาว่า "ตวย" มาจากคาว่า "กรวย"
ซึ่งคุณมีชัย แต้สุจริยา ศิลปินปราชญ์เมืองอุบลฯ ต้ังข้อสังเกตว่าคนปัจจุบันจะเรียกชื่อลายสลับกัน
ระหวา่ ง"ลาตีนตวย" และ "ลายตีนกระจับย้อย"

นอกจากนี้ชาวเมืองอุบลฯ ยังมีหลักฐานผ้าลายเอกลักษณ์พ้ืนถิ่นที่เกี่ยวข้องกับผ้าทอ
แบบเจ้านายเมืองอุบลฯ คือ " ซิ่นทิว " ท่ีมีหลักฐานสาคัญบันทึกภาพไว้ในธูปแต้ม บนฝาผนัง
ด้านในอุโบสถของวัดทุ่งศรีเมือง อาเภอเมืองอุบลฯ จังหวัดอุบลราชธานี (ราวสมัยรัชกาลที่ ๔)
โดยเป็นสังเกตว่าช่างทอผ้าเมืองอุบลฯ เคยมีการสืบทอดการทอผ้าชนิดน้ีอย่างแพร่หลาย
โดยเฉพาะอาเภอเมอื งอุบลฯ ซ่งึ สีสันของตัวอยา่ งผา้ ซ่นิ ทิวโบราณท่ีสารวจพบในเมืองอุบลฯ ยังมี
สสี นั เหมอื นผา้ ซน่ิ ทวิ ทปี่ รากฎในธปู แต้มอีกด้วยคือ "ซ่ินทิวโครงสีร้ิวคราม" และ " ซ่ินทิวโครงสี
ริ้วแดง " จากหลักฐานภาพถ่ายเจ้านายฝ่ายหญิงเมืองอุบลฯ สันนิษฐานว่าราวรัชกาลที่ ๕
เจ้านายเมืองอุบลราชธานี ได้มีการนาลวดลาย "ทิว" (เครือเส้นยืน ที่ไล่สลับสีแก่อ่อน)
มาประยุกต์ออกแบบผ้าซิ่นให้สวยงามมีคุณค่าเป็น "ซิ่นทิวมุก" โดยการทอเสริมกับเทคนิค "ยก
มุก" (เสริมเส้นยืนพเิ ศษ) และ " จก-ดาว " ( เสริมเส้นพุ่งพิเศษเป็นช่วงๆ จุดๆ " ลายดาว " ) เพ่ือ
ใช้สาหรับเจ้านายเมืองอุบลฯ นับเป็นผ้าเอกลักษณ์ที่มีการทอเฉพาะที่เมืองอุบลฯ ซ่ึงจาก
งานวิจัยศึกษาเปรียบเทียบผ้าทอใน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทาให้เราพบ
หลกั ฐานสนบั สนุนข้อสนั นษิ ฐานวา่ " ซ่นิ ทิวมุก/ชืน่ หวิ มกุ จกดาว " น่าจะเป็นการประยุกต์เทคนิค
การทอและลวดลายมาจาก ‘ ซ่ินมกุ " ของชนเผา่ ชาวมะกอง และเทคนิค " มุก " ของซนเผ่าชาว
ไทน้อยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่ในส่วน " เครือทิว " น้ันนามาจากลายผ้า
ท้องถน่ิ

หลักฐานสาคญั ของความมชี อื่ เสียงความวจิ ติ รงดงามของผ้าไหมเมืองอุบลฯได้ถูกบันทกึ ไวใ้ น
พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั รัชกาลที่ ๕ ทรงตอบกลับมาถงึ กรม
หลวงสรรพประสิทธปิ ระสงค์ท่ีเมืองอุบลฯ สรุปความโดยย่อว่า "ผา้ เยียรบบั ลาวนน้ั สวยงามมาก” จาก
ชอื่ ผ้าท่ปี รากฎทาให้เกดิ ข้อ หลกั ฐานสาคญั ของความมชี ่อื เสยี งความวจิ ติ รงดงามของผา้ ไหมเมืองอุบลฯ
ไดถ้ ูกบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวรัชกาลที่ ๕ ทรงตอบ
กลบั มาถึงกรมหลวงสรรพประสทิ ธิประสงค์ท่เี มืองอบุ ลฯ สรปุ ความโดยยอ่ วา่ "ผา้ เยียรบับลาวน้ัน
สวยงามมาก” จากชอื่ ผ้าที่ปรากฎทาใหเ้ กิดขอ้ สันนิษฐานวา่ "ผ้าเยียรบับลาว" ของเมืองอบุ ลฯ น้ี นา่ จะมี
ลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งจากผ้าเยียรบบั (ยกทอง) ในราชสานักแตน่ ่าจะมโี ครงสร้างลวดลายแบบเยียรบับแบบ
ราชสานกั ซ่งึ เราพบหลักฐานตัวอย่างผา้ โบราณจากหบี ผ้าของสายสกลุ เจ้านายเมืองอุบลฯ บง่ ชี้
พัฒนาการประยุกตล์ วดลายจากเทคนิค "ขดิ "เป็นเทคนิค "จก" ไหมสีต่างๆ โดยตัวอย่างผา้ โบราณ
รปู แบบนี้ ได้ถกู เกบ็ รักษาไวใ้ นคลังสะสมของพิพธิ ภณั ฑว์ ัดศรีอบุ ลรัตนาราม ในหอผา้ หอ่ คัมภรี ว์ ดั เลียบ
และคลงั สะสมสว่ นบุคคลของ ตร.บาเพ็ญ ณ อบุ ล และคณุ มีชัย แตส้ ุจรยิ า บา้ นคาปุน ซง่ึ เปน็ ศิลปนิ ผา้
ทอทส่ี ามารถฟน้ื ฟูผ้าเยียรบบั ลาวไดเ้ ปน็ ผลสาเรจ็ เม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๒

ซง่ึ นับเป็นเร่อื งท่ีน่าภาคภมู ใิ จของชาวเมอื งอุบลฯ โดยสันนษิ ฐานวา่ "ผา้ เยยี รบบั ลาว" น่าจะผลติ
ขึ้นเพ่ือสง่ ไปใช้ในราชสานกั สยาม จากการพบตัวอย่างผ้าโบราณในคลงั หลวงที่คล้ายคลึงกนั แม้จะไมม่ ี
หลักฐานแนช่ ัด แต่จากตวั อย่างผา้ โบราณและการฟน้ื ฟูผา้ เยียรบบั ลาวโดยคนเมืองอุบลฯ ผ้าเยียรบับ
ลาว แหง่ บ้านคาปนุ ก็ถือว่าเปน็ มรดกสิง่ ทอแหง่ เมืองอบุ ลฯ ท่ยี งั ไมม่ แี หลง่ ผลิตผา้ ทอแห่งใดในประเทศ
ไทย สามารถทอไดใ้ นปัจจุบันวา่ "ผ้าเยยี รบบั ลาว" ของเมืองอุบลฯ น้ี น่าจะมีลกั ษณะท่ีแตกต่างจากผา้
เยยี รบับ (ยกทอง) ในราชสานกั แตน่ ่าจะมีโครงสร้างลวดลายแบบเยยี รบับแบบราชสานัก ซ่ึงเราพบ
หลกั ฐานตัวอย่างผ้าโบราณจากหบี ผ้าของสายสกลุ เจ้านายเมืองอุบลฯ บง่ ช้พี ัฒนาการประยุกต์ลวดลาย
จากเทคนิค "ขดิ "เป็นเทคนคิ "จก" ไหมสีตา่ งๆ โดยตัวอย่างผา้ โบราณรูปแบบน้ี ได้ถกู เกบ็ รกั ษาไว้ในคลงั
สะสมของพพิ ธิ ภัณฑ์วัดศรีอุบลรัตนาราม ในหอผา้ ห่อคัมภีร์วดั เลยี บ และคลงั สะสมสว่ นบุคคลของ ตร.
บาเพ็ญ ณ อุบล และคุณมีชัย แต้สุจรยิ า บา้ นคาปุน ซง่ึ เป็นศิลปนิ ผา้ ทอทีส่ ามารถฟน้ื ฟูผา้ เยยี รบับลาว
ได้เป็นผลสาเร็จเม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งนับเป็นเร่ืองที่น่าภาคภูมใิ จของชาวเมอื งอบุ ลฯโดยสนั นิษฐานวา่
"ผ้าเยียรบบั ลาว" นา่ จะผลติ ขน้ึ เพอื่ ส่งไปใช้ในราชสานกั สยาม จากการพบตวั อย่างผา้ โบราณในคลงั
หลวงท่คี ลา้ ยคลึงกนั แมจ้ ะไมม่ ีหลักฐานแน่ชัด แตจ่ ากตวั อย่างผ้าโบราณและการฟน้ื ฟูผ้าเยียรบับลาว
โดยคนเมืองอุบลฯ ผ้าเยียรบบั ลาว แห่งบ้านคาปนุ ก็ถอื วา่ เปน็ มรดกสิง่ ทอแหง่ เมอื งอบุ ลฯ ที่ยงั ไมม่ ี
แหล่งผลติ ผ้าทอแห่งใดในประเทศไทย สามารถทอไดใ้ นปัจจบุ ัน

จังหวัดอบุ ลราชธานจี ัดต้ังพิพิธภณั ฑข์ ้นึ ซึ่งมผี ้าโบราณจดั แสดงไดแ้ ก่ พิพิธภัณฑ์วัดศรีอุบลรัตนาราม
พิพิธภัณฑ์วัดบ้านปะอาว เป็นต้นส่วนในด้านสืบทอดการทอผ้าแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ชุมชนที่มีบทบาท
สาคญั คือบ้านคาปนุ อาเภอวารนิ ชาราบ "นทิ รรศการผา้ โบราณและสาธิตการทอผ้าของเมืองอุบลฯ "

พ.ศ. ๒๕๕๗ " ผ้าทอเมืองอุบลฯ " ที่ครอบคลุม " ผ้าทอแบบเจ้านายเมืองบการข้ึนทะเบียน " มรดก
ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ " โดยกระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดอุบลราชธานีได้รับการประกาศข้ึน
ทะเบยี นฯ ๔ แหง่ คือ บ้านคาปุน อาเภอวารินชาราบ บ้านลาดสมดีอาเภอตระการพืชผล บ้านบอน อาเภอ
สาโรง และ บา้ นหนองบ่อ อาเภอเมอื งอบุ ลราชธานี ในสาขาช่างฝีมอื ดั้งเดมิ รวม ๑๘ รายการ ไดแ้ ก่

1. ผา้ เยยี รบบั ลาว
๒. ผา้ ซ่นิ ยกดอกเงิน ดอกสรอ้ ย ดอกหมาก ยกลายสร้อยพรา้ ว ลายจั่นพร้าว ลายดอกแกว้
ดอกพิกลุ
๓. ผา้ ซน่ิ ทิวมกุ ซ่นิ มกุ
๔. ผ้าซิ่นหมน่ี อ้ ยหมคี่ น่ั ลายหอปราสาท ลายนาคน้อย ลายจอนฟอนลายนาคเอ้ีย ลายหมากจับลายคลองเอี้ย
๕. ผ้าซิ่นไหมกอ่ ม ซิ่นสีไพล ซ่ินตาแหล่
๖. ผา้ ซน่ิ มัดหม่ี (หมีร่ วด) ลายโคมหา้ โคมเจด็ หมีต่ มุ้ หมวี่ ง หมน่ี าค หมหี มากจับ หมี่หมากบก
๗. ผา้ ซน่ิ ทิว กว่ ย เครอื ก่วย
๘. ผ้าซน่ิ หมีฝ่ า้ ย
๙. แพรเบ่ียง
๑๐. แพรตมุ้ แพรชิด
๑๑. แพรไส้ปลาไหล ผา้ ขาวมา้ เชิงขิด
๑๒. แพรอีโป้
๑๓. ผ้าตาโก้ง (โสร่งไหม )
๑๔. ผา้ ขี้งา
๑๕. หมอนชดิ
๑๖. ผา้ หวั ซิน่ ( หวั จกดาว หวั จกดอกแกว้ ทรงเคร่อื ง หวั ขิดคนั่ )
๑๗. ตนี ซนิ่ ( ตีนลายปราสาทผึ้ง ตีนตวยตีนกระจับย้อยตนี ชิดดอกแกว้ ตนี ขิดช่อตีนขิดค่ันตนี จกดาว)
๑๘. ผา้ กาบบัว (นวัตกรรมปี พ.ศ. ๒๕๔๓ - ปจั จุบนั

การสืบสานและพัฒนาการในปัจจุบัน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ท่ีผ้าทอเมืองอุบลฯ ได้ขึ้น
ทะเบยี นมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมน้นั ได้มีการต่นื ตวั ในการฟนื้ ฟูการทอผ้าแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ
ด้วยความนยิ มในคณุ คา่ ผ้าทอแบบเจา้ นาย หรอื อัญญานาง ซ่ึงเป็นลวดลายเอกลักษณ์โดดเด่นของผ้าทอ
เมืองอุบลฯ ท่ีมีทักษะการทอผ้า ได้รับการส่งเสริมจากทั้งหน่วยงานภาครัฐคือ วัฒนธรรมจังหวัด ศูนย์
หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดอุบลราชธานี คณะศิลปประยุกต์และสถาปัตยกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี รวมทั้งภาคเอกชนท่ีเป็นร้านผ้าไหม
เชน่ ร้านคาปนุ รา้ นต้นเทียนไหมไทย ร้านจันทร์หอมไหมไทย ฯลฯ โดยมีการสืบทอดภูมิปัญญาการทอ
ผา้ ในหลายชมุ ชนของจงั หวัดอุบลราชธานี ไดแ้ ก่

1. บา้ นคาปุน อาเภอวารินชาราบ
2. หมู่บา้ นบอน อาเภอสาโรง
๓. หมูบ่ า้ นลาดสมดี อาเภอตระการพชื ผล
๔. บ้านปะอาว อาเภอเมือง
๕. บา้ นสมพรรัตน์ อาเภอบุณฑรกิ เป็นตน้

โดยได้มีการนาลวดลายผ้าโบราณที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี มาฟื้นฟูทอข้ึน
ใหม่สร้างรายได้จานวนมหาศาล แก่ผู้ประกอบการและช่างทอผ้าของจังหวัดอุบลราชธานี จึงนับได้ว่า
ลวดลายผ้าทอเมืองอุบลฯ หรือผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ น้ันเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
( Intangible Cultural Heritage ) ที่เป็นวัฒนธรรมมีชีวิต (Living culture ) นอกจากสืบทอดการ
ทอผ้าในพ้นื ที่ของจงั หวดั อบุ ลราชธานีแล้ว ยังมีการขยายตัวการผลิตวงกว้างในทุกพื้นถิ่นของภาคอีสาน
ดว้ ยพลังความงดงามของผืนผ้าและคุณคา่ ทางประวัตศิ าสตรใ์ นผ้าทอทุกผืน

คณะผู้จัดทา

ท่ปี รกึ ษา จลุ เจรญิ ปลดั กระทรวงมหาดไทย
นายสุทธพิ งษ์ กญุ ชรยาคง จลุ เจรญิ นายกสมาคมแม่บา้ นมหาดไทย
ดร.วันดี

ผจู้ ดั ท้า

นายพงศร์ ัตน์ ภริ มยร์ ตั น์ ผูว้ ่าราชการจงั หวดั อุบลราชธานี

นางศลษิ า ภริ มยร์ ตั น์ ประธานแม่บา้ นมหาดไทยจังหวดั อุบลราชธานี

นายพสิ ดาร ประดา พฒั นาการจังหวดั อบุ ลราธานี

นายอทุ ัย พลพวก วัฒนธรรมจังหวดั อบุ ลราชธานี

นางกนกอร โพธิ์สงิ ห์ ผ้อู านวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน

นางสุภาภรณ์ เทศาราช นักวิชาการวฒั นธรรมชานาญการ

นางจุฑาธปิ วรรณสาย นักวิชาการพัฒนาชุมชนชานาญการ

นางสาวนิภาภร บุญประสทิ ธิ์ นกั วิชาการพัฒนาชมุ ชนชานาญการ

นายวฒุ ิชยั ระดาพนั ธ์ นกั วิชาการพัฒนาชมุ ชนปฏบิ ัติการ

นางสาวสริ ริ ัตน์ ไชยโย นักพัฒนาชมุ ชน

นางสาวจริยา ธรรมวตั ิ นักพฒั นาชุมชน

นายกมลภพ ศริ จิ ันทร์ นักพัฒนาชุมชน

นางสาวบศุ ยรังสี ยุภาศ นกั พฒั นาชุมชน

ชมรมแมบ่ า้ นมหาดไทยจังหวัดอุบลราชธานี



ลายผ้าเอกลักษณ์
ประจาจงั หวดั อบุ ลราชธานี

ผา้ กาบบัว

ผ้าไหมลายปราสาทผงึ้ ผา้ ขาวมา้ ยอ้ มสธี รรมชาติ ผ้าฝ้ายโขงสปี นู มลู สคี ราม ผ้าฝา้ ยลายปลาอตี ผ้าฝา้ ยลายนาคนอ้ ย
อาเภอเมอื งอบุ ลราชธานี อาเภอศรเี มอื งใหม่ อาเภอโขงเจยี ม อาเภอเขอ่ื งใน อาเภอเขมราฐ

ผา้ ไหมมดั หมล่ี ายดาวลอ้ มเดอื น ผ้าฝ้ายยอ้ มสธี รรมชาติ ผา้ ไหมลายลานา้ ยนื ผา้ ไหมลายบวั ขาว/ลายบณุ ฑรกิ ผ้ามัดหมลี่ ายเกษมสมี า
อาเภอเดชอดุ ม อาเภอนาจะหลวย อาเภอนา้ ยืน
อาเภอบณุ ฑรกิ อาเภอตระการพชื ผล

ผา้ ไหมกาบบวั ลายเตา่ งบั ผ้าฝา้ ยลายสายรงุ้ ผ้าฝ้ายลายกาบบวั ผา้ ฝา้ ยลายบวั เมอื งอบุ ลฯ ผ้าด้ายใยประดษิ ฐล์ ายกรกนก
อาเภอกดุ ขา้ วปนุ้ อาเภอมว่ งสามสบิ อาเภอวารนิ ชาราบ อาเภอพบิ ลู มงั สาหาร อาเภอตาลสมุ

ผา้ ฝา้ ยลายดอกผกั แวน่ ผ้าลายสม้ โฮง ผา้ ฝา้ ยลายหมว่ี ง ผ้าฝา้ ยลายเรอื งแสง ผา้ ฝ้ายลายขดิ
อาเภอโพธไิ์ ทร อาเภอสาโรง อาเภอดอนมดแดง อาเภอสริ นิ ธร อาเภอทงุ่ ศรอี ดุ ม

ผา้ ฝ้ายลายสายลาโดม ผา้ ฝ้ายมดั หมยี่ อ้ มคราม ผา้ ขาวมา้ มดั ยอ้ มลายเสอื ผา้ ไหมลายกาบบวั ผา้ ไหมลายลกู แกว้
อาเภอนาเยยี อาเภอนาตาล อาเภอเหลา่ เสอื โกก้ อาเภอสวา่ งวรี ะวงศ์ อาเภอนา้ ขนุ่


Click to View FlipBook Version