ประวัติลีลาศ
คำนำ
E-book ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน
ในรายวิชาพลศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โดยมีจุด
ประสงค์เพื่อรวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่อง ประวัติลีลาศ
คณะผู้จัดทำได้ทำการค้นคว้า รวบรวมข้อมูลจาก
อินเตอร์เน็ตและเว็บไซต์ต่างๆ คณะผู้จัดทำหวังว่าจะเป็น
ประโยชน์แก่ผู้คนที่สนใจในเรื่องนี้ หากมีข้อแนะนำและข้อ
ผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขอ
อภัยมา ณ ทีี่นี้
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ประวัติลีลาศ 1
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 2
ยุคโบราณ 3
ยุคกลาง 5
6
(ค.ศ. 400 – 1500) 8
10
ยุคฟื้นฟู 11
(ค.ศ. 1400 – 1600)
ยุคโรแมนติค
ยุคปัจจุบัน
(ค.ศ. 1900)
ประวัติลีลาศในประเทศไทย
ความหมายของลีลาศ 15
1
ประวัต
ิลีลาศ
ประวัติลีลาศ ลีลาศนั้นมีมานับเป็นพัน ๆ
ปีแล้ว แต่เพิ่งมีหลักฐานแน่ชัดเมื่อประมาณ ปี
ค.ศ. 1400 ซึ่งได้อธิบายถึงการก้าวเดิน และ
ดนตรี การเต้นรำแบบบอลรูม เปรียบเสมือน
สะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างชาติและเผ่าพันธุ์
ต่าง ๆ ถึงแม้ว่าชาวตะวันตกจะนิยมกันอย่าง
มาก แต่การเต้นรำแบบบอลรูมก็เป็นที่ยอมรับ
ของชนทุกชาติ ประวัติการลีลาศหรือเต้นรำ มี
ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับเต้นรำแบบอื่นๆ
มาก เช่น การเต้นระบำบัลเล่ย์การเต้นรำพื้น
เมือง ฯลฯ จึงขอสรุปโดยแบ่งยุคการเต้นรำ
ออกเป็น 6 ยุค
2
ยุคก่อน
ประวัติศาสตร์
การเต้นรำถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการ
แสดงออกของบุคคล ศิลปะการเต้นรำในสมัย
ก่อนประวัติศาสตร์ได้ถูกค้นพบจากภาพวาด
บนผนังถ้ำ ในแอฟริกาและยุโรปตอนใต้ ซึ่ง
ศิลปะในการเต้นรำได้ถูกวาดมาไม่น้อยกว่า
20,000 ปีมาแล้ว อีกทั้งพิธีกรรมทางศาสนา
จะรวมการเต้นรำ การดนตรี และการแสดง
ละคร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตความเป็นอยู่
ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็น
อย่างมาก พิธีกรรมเหล่านี้อาจ
เป็นการบวงสรวงเทพเจ้าเทพธิดา
หรือจากการฉลองที่ล่าสัตว์มาได้ หรือ
การออกศึกสงคราม นอกจาก
นี้อาจมีการเฉลิมฉลองการ
เต้นรำด้วยเหตุอื่น ๆ เช่น
ฉลองการเกิด การหายจากอาการ
เจ็บป่วย หรือการไว้ทุกข์ เป็นต้น
3
ยุคโบราณ
การเต้นรำของพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพวกที่
ไม่มีศาสนาในสมัยโบราณนั้น ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และตะวันออกกลาง มีภาพวาด รูปปั้นแกะสลัก และบท
ประพันธ์ของชาวอียิปต์โบราณ แสดงให้เห็น
ถึง การเต้นรำได้ถูกจัดขึ้นในพิธีศพ ขบวนแห่
และพิธีกรรมทางศาสนา ชาวอียิปต์โบราณ
ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ในทุก ๆ ปีแม่น้ำ
ไนล์จะเพิ่มระดับสูงขึ้นและเมื่อน้ำลดลง จะ
มีการทำการเพาะปลูก และมีการเต้นรำหรือ
แสดงละคร เพื่อขอบคุณเทพเจ้าโอซิริส
(God Osiris) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการ
เกษตร ตามความเชื่อของคนในท้องถิ่น
นอกจากนี้การเต้นรำยังนำมาใช้ในงานส่วนตัว เช่น
การเต้นรำของพวกข้าทาส ซึ่งจัดขึ้นเพื่อความสนุกสนาน
และต้อนรับแขกที่มาเยือน ชาวกรีกโบราณเห็นว่า การ
เต้นรำเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในการศึกษา การบวงสรวงเทพเจ้า
เทพธิดา และการแสดงละคร ปรัชญาเมธีพลาโตให้ความ
เห็นว่า พลเมืองกรีกที่ดีต้องเรียนรู้การเต้นรำเพื่อ
พัฒนาการบังคับร่างกายของตนเอง เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ในการต่อสู้ ดังนั้น การร่ายรำด้วยอาวุธ จึงถูกนำมาใช้ใน
การศึกษาทางทหารของเด็ก ทั้งในรัฐเอเธนส์และสปาร์ต้า
นอกจากนี้ การเต้นรำมีความนิยมแพร่หลายนำมาใช้ในพิธี
แต่งงาน ฤดูการเก็บเกี่ยวพืชผล และในโอกาสอื่น ๆ ด้วย
4
การเต้นรำทางศาสนา เป็นส่วนสำคัญในการกำเนิดการ
ละครของกรีก ระหว่าง 500 ปี ก่อนคริสตกาล การละคร
ของกรีกเรียกว่า Tragidies ซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวด
ในโบสถ์และการเต้นรำเพื่อสรรเสริญเทพเจ้าดิโอนิซุส
(God Dionysus) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น
การเต้นรำแบบ Emmeieia เป็นการเต้นรำที่สง่า
ภูมิฐาน ได้ถูกนำมาใช้ในละคร Tragedies โดย
ครูสอนเต้นรำจะต้องบอกเรื่องราว และชี้แนะท่าทาง
ที่ต้องแสดงเพื่อให้จดจำได้ การแสดงตลกขบขัน
สั้นๆของกรีกที่เรียกว่า Satyrs ก็จัดอยู่ในการ
เต้นรำของกรีกด้วย
เมื่อโรมันรบชนะกรีก เมื่อ 197 ปี
ก่อนคริสตกาล โรมันได้ปรับปรุงวัฒนธรรมการเต้นรำของ
กรีกให้ดีขึ้น การเต้นรำของโรมันคล้ายกับของกรีกที่เต้นรำ
เพื่อบวงสรวงเทพเจ้า หญิงชาวโรมันก็จะถูกฝึกให้เต้นรำ
แม้แต่ชาวต่างชาติ หรือพวกข้าทาสที่อยู่ในโรมันก็มีการ
เต้นรำด้วยเช่นกัน ชาวโรมันมีการเต้นรำหลังจากการเพาะ
ปลูก หรือกลับจากการทำสงคราม เพื่อแสดงความกล้า
หาญ หรือยินดีในชัยชนะเหนือข้าศึก ในยุคนี้มีนักเต้นรำของ
โรมันที่มีชื่อเสียงมาก คือ ซิซีโร (Cicero : 106-43
B.C.) ซึ่งเป็นผู้คิดและปรับปรุงลักษณะท่าทางการเต้นรำ
ของโรมันให้ดีขึ้น
5
ยุคกลาง
(ค.ศ. 400 – 1500)
ประวัติลีลาศ ยุคกลาง เป็นยุคที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย สังคมไม่
สงบสุข โบสถ์มีอิทธิพลต่อการเต้นรำของยุโรปมาก โบสถ์มีข้อห้าม
มากมายเกี่ยวกับการเต้นรำ ทั้งนี้เป็นเพราะการเต้นรำบางอย่างถือว่า
ต่ำช้าและเพื่อกามารมณ์ อย่างไรก็ดีผู้ที่ชอบการเต้นรำมักจะหาโอกาส
จัดงานเต้นรำขึ้นในหมู่บ้านของตนอยู่เสมอ ในปี ค.ศ. 300 บรรดาผู้
ใช้แรงงานฝีมือ ได้จัดละครทางศาสนาขึ้นและมีการเต้นรำรวมอยู่ด้วย
โดยในระหว่างปี ค.ศ. 300 กาฬโรคซึ่งถูกเรียกว่า ความตายสีดำ
ระบาดในยุโรป ทำลายชีวิตผู้คนไปมากมายจนทำให้ผู้คนแทบเป็นบ้า
จากความกลัวและความโศกเศร้า โดยผู้คนจะร้องเพลงและเต้นรำ
คล้ายกับคนวิกลจริตที่หน้าหลุมศพ ซึ่งเชื่อว่าการแสดงของเขานั้น จะ
ช่วยขับไล่สิ่งเลวร้าย และขับไล่ความตายให้หนีไปจากชีวิตความเป็น
อยู่ของเขาได้
ในยุคกลางยุโรปยังมีการเฉลิมฉลองการแต่งงาน วันหยุด และ
ประเพณีต่าง ๆ ตามโอกาสด้วย การเต้นรำพื้นเมือง ผู้ใหญ่และเด็กใน
ชนบท จะจัดรำดาบและเต้นรำรอบเสาสูง ที่ผูกริบบิ้นจากยอดเสา
(Maypoles) พวกขุนนางที่ไปพบเห็น ก็นำมาพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น
การเต้นรำแบบวงกลมของบรรดาขุนนางซึ่งเรียกว่า Carol
เป็นการเต้นรำที่ค่อนข้างช้า ในช่วงปลายยุคกลางนั้น การเต้นรำถือว่า
เป็นส่วนหนึ่งของขบวนแห่ต่าง ๆ หรือในงานเลี้ยงที่มีเกียรติ
6
ยุคฟื้นฟู
(ค.ศ. 1400 – 1600)
ประวัติลีลาศ ยุคฟื้นฟู เป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทาง
เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ยุคฟื้นฟูเริ่มในอิตาลีเมื่อปี ค.ศ. 300 ใน
ช่วงปลายสมัยกลางแล้วแผ่ขยายไปในยุโรป
ในปี ค.ศ. 300 ที่อิตาลี ขุนนางที่มีความมั่นคงตามเมืองต่างๆ จะ
จ้างครูเต้นรำอาชีพมาสอนในคฤหาสน์ของตน เรียกการเต้นรำสมัย
นั้นว่า Balli หรือ Balletti ซึ่งเป็นภาษาอิตาลี แปลว่า การเต้นรำ
ในปี ค.ศ. 1588 พระชาวฝรั่งเศส ชื่อ โตอิโน อาโบ
(Thoinnot Arbeau: ค.ศ. 1519 – 1589) ได้พิมพ์หนังสือเกี่ยว
กับการเต้นรำ ชื่อ ออเชโซกราฟี (Orchesographin) ในหนังสือได้
บรรยายถึงการเต้นรำแบบต่าง ๆ หลายแบบ เป็นหนังสือที่มีคุณค่า
มาก บันทึกถึงการเต้นรำที่นิยมใช้กันในบ้านขุนนางต่างๆ
การเต้นรำแบบบอลรูม เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิ
ซาเบธที่ 1 (ค.ศ. 1558 – 1603) ซึ่งสมัยนั้นคลั่งไคล้การเต้นรำที่
เรียกว่า โวลต้า (Volta) ซึ่งมีการจับคู่แบบวอลซ์ ในปัจจุบันการเต้น
แบบโวลต้านั้นฝ่ายชายจะช่วยให้ฝ่ายหญิงกระโดดขึ้นในอากาศด้วย
ในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 16 งานเลี้ยงฉลองได้ถูกจัดขึ้นตามโอกาส
ต่างๆ เช่น งานวันเกิด งานแต่งงาน และงานต้อนรับแขกที่มาเยือน
ในงานจะรวมพวกการเต้นรำ การประพันธ์ การดนตรี และการแสดง
ละครด้วย ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ Lorenzo de Medlci ได้จัดงานขึ้นที่
คฤหาสน์ของตน โดยตกแต่งคฤหาสน์ด้วยสีสันต่างๆ และจัดให้มีการ
แข่งขันหลายอย่าง รวมทั้งการเต้นรำสวมหน้ากาก (Mask Dance)
ซึ่งต้องใช้จังหวะดนตรีประกอบการเต้น
พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิซี (Catherine de Medicis) พระ
ราชินีในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 เดิมเป็นชาวฟลอเรนซ์แห่ง
อิตาลี พระองค์ได้นำคณะเต้นรำของอิตาลี มาเผย
แพร่ในพระราชวังของฝรั่งเศส ซึ่งถูกเรียกเป็น
สำเนียงฝรั่งเศสว่า คองเทร ดองเซ่ (Conter-
danse) และเป็นจุดเริ่มต้นของระบำบัลเล่ย์
พระองค์ได้จัดให้มีการแสดงบัลเล่ย์ โดยพระองค์
ทรงร่วมแสดงด้วย
7
ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้ปรับปรุงและ
พัฒนาการบัลเล่ย์ใหม่ และได้มีการตั้งโรงเรียนบัลเล่ย์ขึ้นเป็นแห่ง
แรก ชื่อ Academic Royale de Dance จนทำให้ประเทศ
ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของยุโรป พระองค์คลุกคลีกับวง
การบัลเล่ย์มาไม่น้อยกว่า 200 ปี โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย
บทบาทที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุดคือ บทเทพอพอลโลของกรีก
จนพระองค์ได้รับสมญานามว่า พระราชาแห่งดวงอาทิตย์ กา
รบัลเล่ย์ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์มาก ซึ่ง
การเต้นระบำบัลเล่ย์ในพระราชวังนี้ เป็นพื้นฐานของการลีลาศ
ในสมัยศตวรรษที่ 17 การเต้นรำมีแบบแผนมากขึ้น จอห์น วี
เวอร์ และ จอห์น เพลฟอร์ด (John Weaver & John
Playford) เป็นนักเขียนชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง เพลฟอร์ด ได้เขียน
เกี่ยวกับ การเต้นรำแบบเก่าของอังกฤษ ซึ่งรวบรวมได้ถึง 900
แบบอย่าง
การเต้นรำในปี ค.ศ. 1700 ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่
Gavotte, Allemande และ Minuet รูปแบบการเต้นจะ
ประกอบด้วยการก้าวเดิน หรือวิ่ง การร่อนถลา การ
ขึ้นลงของลำตัว การโค้ง และถอนสายบัว ภายหลัง
ได้แพร่หลายไปสู่ทวีปยุโรปและอเมริกา
เป็นที่ชื่นชอบของ ยอร์ช วอชิงตัน
ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกามาก การเต้นรำใน
อังกฤษที่เรียกว่า Country Dance ซึ่งเป็นการ
เต้นรำพื้นเมือง ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรป ภาย
หลังได้แพร่หลายไปสู่อาณานิคมตอนใต้ของอเมริกา
8
ยุคโรแมนติค
ิ ประวัติลีลาศ ยุคโรแมนติค เป็นยุคที่มีการปฏิรูปเรื่องบัลเล่ย์ ใน
ยุคนี้ นักเต้นรำมีความอิสระในการเคลื่อนไหว และการแสดงออกของ
บุคคล สมัยก่อนการแสดงบัลเล่ย์ มักจะแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้า
เทพธิดา แต่ยุคนี้มุ่งแสดงเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดาสามัญ เรื่องทั่ว ๆ
ไป รวมถึงใส่จินตนาการ ลงไปในบางครั้งด้วย
ในสมัยที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศส (ค.ศ. 1789) ได้มีการกวาดล้าง
พวกกษัตริย์และพวกขุนนางไป ทำให้เกิดความรู้สึกใหม่คือความมี
อิสระเสรีเท่าเทียมกัน และเกิดการเต้นวอลซ์ ซึ่งรับมาจาก
กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเชื่อกันว่ามีรากฐานมา
จากการเต้น Landler การเต้นวอลทซ์ได้แพร่หลายไปสู่
ประเทศที่เจริญแล้วในยุโรปตะวันตก แต่เนื่องจากการ
เต้นวอลซ์อนุญาตให้ชายจับมือ และ เอวของคู่
เต้นรำได้ จึงถูกคณะพระคริสประณามว่า
ไม่เหมาะสมและไม่สุภาพเรียบร้อย
ในช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 การเต้นรำใหม่ๆ ที่เป็นที่นิยมกัน
มากในยุโรปและอเมริกา จะเริ่มต้นจากคนธรรมดาสามัญโดยการ
เต้นรำพื้นเมือง พวกขุนนางเห็นเข้าก็นำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับราช
สำนัก เช่น การเต้น โพลก้า วอลซ์ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมมากของชนชั้น
กลางและชนชั้นสูง
ในสมัยพระนางเจ้าวิคตอเรีย (The Victorian Era 1830 –
80) การไปงานราตรีสโมสรหนุ่มสาวจะไปเป็นคู่ๆ ต้องต่างคนต่างไป
และฝ่ายชายจะขอลีลาศกับหญิงคนเดิมมากกว่า 4 ครั้งไม่ได้ หญิง
โสดก็จะต้องมีพี่เลี้ยงไปด้วย ฝ่ายหญิงจะมีบัตรเล็กๆ สีขาว จด
บันทึกไว้ว่า เพลงใดมีชายขอจองลีลาศไว้บ้าง
9
ในอเมริการูปแบบใหม่ในการเต้นรำที่นิยมมากในหมู่ชนชั้น
กรรมาชีพ พวกที่ยากจน และคนผิวดำ คือ การเต้น Tap-Danced
หรือ ระบำย่ำเท้า โดยรวมเอาการเต้นรำพื้นเมืองในแอฟริกา การเต้น
แบบจิ๊ก ( jig) ของชาวไอริส และการเต้นรำแบบคล๊อก (Clog) ของ
ชาวอังกฤษผสมเข้าด้วยกัน โดยคนผิวดำมักจะเต้นไปตามถนน
หนทางต่าง ๆ
ก่อนปี ค.ศ. 1870 การเต้นรำได้ขยายไปสู่เมืองต่างๆ ในอเมริกา
ผู้หญิงที่ชอบร้องเพลงประสานเสียงจะเต้นระบำแคน-แคน (Can-
Can) โดยใช้การเตะเท้าสูงๆ เพื่อเป็นสิ่งบันเทิงใจแก่พวกโคบาลที่อยู่
ตามชายแดนอเมริกา ระบำแคน-แคน มีจุดกำเนิดมาจากฝรั่งเศส
10
ยุคปัจจุบัน
(ค.ศ. 1900)
จังหวะวอลซ์จากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นใน
ปลายศตวรรษที่ 17 แต่มิได้เผยแพร่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1816 จัง
หวะวอลซ์ได้ถูกนำมาเผยแพร่ ต่อที่ประชุมโดยพระเจ้ายอร์ชที่ 4 แม้
จะไม่สมบูรณ์นักในขณะนั้น แต่ก็จัดว่า จังหวะวอลซ์เป็นจังหวะแรก
ของการลีลาศแท้จริง เพราะคู่ลีลาศสามารถจับคู่เต้นรำได้
ในราวปี ค.ศ. 1840 การเต้นรำบางอย่างกลับมาเป็นที่นิยมอีก
อาทิ โพลก้า จากโบฮิเมีย ซึ่งเป็นที่นิยมมากในเวียนนา ปารีส
และ ลอนดอน จังหวะมาเซอก้า (Mazuka) จากโปแลนด์ก็เป็น
ที่นิยมมากในยุโรปตะวันตก
ในราวกลางศตวรรที่ 19 การเต้นรำใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นอีกมาก อาทิ
การเต้นมิลิทารี่ สก๊อตติช (Millitary Schottische) การเต้น
เค็กวอล์ค (Cakewalk) ซึ่งเป็นการเต้นรำแบบหนึ่งของพวก
นิโกรในอเมริกา การเต้นทูสเตป (Two-Step) การเต้นบอสตัน
(Boston) และการเต้นเตอรกีทรอท (Turkey trot)
ในศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1910) จังหวะแทงโก้ จากอาร์เจนตินา
เริ่มเผยแพร่ที่ปารีส เป็นจังหวะที่แปลก และเต้นสวยงามมาก
ในระหว่างปี ค.ศ. 1912 – 1914 Vemon และ lrene
Castle ได้นำรูปแบบการเต้นรำแบบใหม่ๆ จากอังกฤษมาเผย
แพร่ในอเมริกาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่ จังหวะฟอกซ์
ทรอท และแทงโก้
ปี ค.ศ. 1918 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้เลือกเฟ้น
จังหวะเต้นรำทั้งบอลล์รูม และละตินอเมริกา เรียบเรียงขึ้นเป็น
ตำรา วางหลักสูตรของแต่ละจังหวะรัดกุม ในสมัยนี้ประเภทบอล
รูม มีเพียง 4 จังหวะ คือ วอลซ์ (Waltz) ควิกวอลซ์ (Quick
Waltz) สโลว์ฟอกซ์ทรอท (Slow Fox-trot) และ แทงโก้
(Tango)
11
ปี ค.ศ. 1920 ในอเมริกาเริ่มนิยมจังหวะ Paso-Doble (ปาโซ
โดเบล) และการเต้นรำแบบก้าวเดียวสลับกัน (One-step) ซึ่ง
เรียกกันว่า Fast fox-trot
ปี ค.ศ. 1925 จังหวะชาร์ลตัน (Charleston) เริ่มเป็นที่นิยม
รูปแบบการเต้นคล้ายทูสเตป และในปีเดียวกันนี้ Arthur
Murray ก็ได้ให้กำเนิดการเต้นรำแบบสมัยใหม่ (Modem
Dances) ขึ้น การเต้นรำแบบสมัยใหม่นี้เป็นการเต้นรำที่
แสดงออกถึงจินตนาการของแต่ละบุคคล ไม่มีท่าเต้นที่แน่นอน
ตายตัว บางครั้งก็นำท่าบัลเล่ย์มาผสมผสานด้วย
ปี ค.ศ. 1929 จังหวะจิตเตอร์บัก (Jittebug) เริ่มเป็นที่นิยม
รูปแบบการเต้นต้องอาศัยยิมนาสติก การเบรก และการก้าวเท้า
ย่ำเร็วๆ ในปีเดียวกันอิทธิพลจากเพลงแจ๊สของอเมริกา ทำให้
เกิดจังหวะ ควิกสเตป (Quickstep) ขึ้น เป็นจังหวะที่ 5 ของ
บอลรูม
ปี ค.ศ. 1929 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการลีลาศ (Official
Board of Ballroom Dancing) ขึ้นในประเทศอังกฤษ และ
จัดการแข่งขันเต้นรำในอังกฤษทุกปี
ปี ค.ศ. 1930 การเต้นรำของชาวคิวบา (Cuban Dance) ก็
เป็นที่นิยมมากในอเมริกา คือจังหวะ คิวบันรัมบ้า หรือจังหวะรัม
บ้า
ปี ค.ศ. 1939 บรรดาครูลีลาศ และผู้ทรงคุณวุติทางลีลาศใน
อังกฤษ ได้ร่วมกันวางกฏเกณฑ์ของลวดลายต่างๆ ในลีลาศเพื่อ
ให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน ในแต่ละจังหวะมีประมาณ 20
ลวดลาย
ปี ค.ศ. 1940 การเต้นคองก้า และแซมบ้า จากบราซิล ก็เป็นที่
นิยมกันมาก
ปี ค.ศ. 1950 ได้จัดตั้งสภาการลีลาศระหว่างชาติ
(International Council of Ballroom Dancing) โดย
ใช้ชื่อย่อว่า I.C.B.D. และในปีเดียวกันนี้ มีจังหวะใหม่ๆ เข้ามา
เผยแพร่อีก เช่น จังหวะแมมโบ้ จากคิวบา จังหวะ ชา ชา ช่า
จากโดมินิกัน และจังหวะ เมอเรงเก้ จากโดมินิกัน
12
ปี ค.ศ. 1959 จัดแข่งขันลีลาศชิงแชมป์เปี้ยนโลก ขึ้นที่ประเทศ
อังกฤษ โดยจัดทั้งประเภทสมัครเล่น และอาชีพ ตามกฏเกณฑ์ที่
สภาการลีลาศระหว่างชาติกำหนด นอกจากนี้สภาการลีลาศ
ระหว่างชาติได้กำหนดจังหวะมาตรฐานไว้ 4 จังหวะ คือ วอลซ์
ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ และควิกสเตป ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้ง
ที่ 2 จังหวะที่มีการจัดการแข่งขันมี วอลซ์แบบอังกฤษ ฟอกซ์
ทรอท แทงโก้ ควิกสเตป และเวนิสวอลซ์ นอกจากนี้ อเมริกา
และอังกฤษ ได้แนะนำ ร็อคแอนด์โรค ให้ชาวโลกได้รู้จัก
ปี ค.ศ. 1960 มีจังหวะใหม่ๆ เกิดขึ้นในอเมริกาโดยคนผิวดำ
คือ จังหวะทวิสต์ การเต้นจะใช้การบิดลำตัว เข่าโค้งงอ การเต้น
จะไม่แตะต้องตัวกับคู่เต้น คือ ต่างคนต่างเต้น นอกจากนี้ยังมีจัง
หวะฮัสเซิล (Hustle) และจังหวะบอสซาโนวา (Bossanova)
ซึ่งดัดแปลงจากแซมบ้าของบราซิล
ปี ค.ศ. 1970 นิยมการเต้นรำที่เรียกว่า ดิสโก้ (Disco) ซึ่ง
เป็นการเต้นที่ค่อนข้างอิสระมาก อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้มีการ
เต้นรำใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายแบบ เช่น แฟลชดานซ์ (Flash
Dances) เบรกดานซ์ (Brake Dances) ซึ่งมักจะเริ่มจาก
พวกนิโกรในอเมริกา และยังมีการเต้นรำโดยใช้ท่าบริหารร่างกาย
ประกอบจังหวะดนตรี ซึ่งเรียกว่า แอโรบิคดานซ์ (Aerobic
Dances) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ การเต้นรำแบบต่างๆ
เหล่านี้ไม่จัดเป็นการลีลาศ
12
ประวัติลีลาศใน
ประเทศไทย
ประวัติลีลาศไทย เกิดขึ้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัด แต่จาก
บันทึกของ แหม่มแอนนา ทำให้มีหลักฐานเชื่อได้ว่า เมืองไทยมีลีลาศมา
ตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 4 และบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักลีลาศคน
แรกก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากบันทึกของแหม่มแอ
นนาทำให้มีหลักฐานเชื่อได้ว่าคนไทยลีลาศเป็น มาตั้งแต่สมัยพระองค์ และ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับการยกย่องให้เป็นนัก
ลีลาศคนแรกของไทย ตามบันทึกกล่าวว่า ในช่วงหนึ่งของการสนทนาได้
พูดถึงการเต้นรำ ซึ่งแหม่มแอนนาพยายามสอนพระองค์ท่าน ให้รู้จักการ
เต้นรำแบบสุภาพ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาติตะวันตก พร้อมกับแสดงท่า และ
บอกว่าจังหวะวอลซ์นั้นหรูมาก มักนิยมเต้นกันในวังยุโรป ซึ่งพระองค์ท่าน
ก็ฟังอยู่เฉยๆ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่พอแหม่มแอนนาแสดงท่า พระองค์
ท่านกลับสอนว่าใกล้เกินไปแขนต้องวางให้ถูก และพระองค์ท่านก็เต้นให้ดู
จนแหม่มแอนนาถึงกับงง จึงทูลถามว่าใครเป็นคนสอนให้ พระองค์ท่านก็
ไม่ตอบจึงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สอนพระองค์สันนิษฐานกันว่าพระองค์ท่านคงจะ
ศึกษาจากตำราด้วยพระองค์เอง
ในสมัยรัชกาลที่ 5 การเต้นรำยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก ส่วน
ใหญ่มีแต่เจ้านายและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เต้นรำกัน โดยเฉพาะ
เจ้านายที่ว่าการต่างประเทศได้มีการเชิญทูตานุทูต และแขก
ชาวต่างประเทศมาชุมนุมเต้นรำกันที่บ้าน เพื่อเป็นการ
เฉลิมพระเกียรติในการเฉลิมพระชนมพรรษา หรือเนื่องในวัน
บรมราชาภิเษก เป็นต้น จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานวังสราญรมย์ ให้เป็นศาลาว่าการกระทรวงการ
ต่างประเทศ งานเต้นรำที่เคยจัดกันมาทุกปีก็ได้ย้ายมาจัดกัน
ที่วังสราญรมย์ ตามบันทึกทำให้เชื่อว่าในช่วงนั้นมักจะ
เต้นจังหวะวอลซ์เพียงอย่างเดียว และบางครั้งได้มี
การนำเอาจังหวะวอลซ์ไปสอดแทรกในการแสดง
ละครด้วย เช่น เรื่องพระอภัยมณี ตอนที่กล่าว
ถึงนางละเวงวัณฬาได้กับพระอภัยมณี เป็นต้น
13
ในสมัย รัชกาลที่ 6 ทุกๆ ปีในงานเฉลิมพระชนมพรรษาก็มักจะ
จัดให้มีการเต้นรำกันในพระบรมมหาราชวัง โดยมีองค์พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวเป็นประธาน ซึ่งบรรดาทูตานุทูตทั้งหลายต้องเข้าเฝ้า
ส่วนแขกที่ได้เข้าร่วมงานนั้นต้องได้รับบัตรเชิญจึงจะเข้าไปในงานได้
ในสมัยรัชกาลที่ 7 การเต้นรำได้รับความนิยมมากขึ้น ได้เปิดให้มี
การเต้นกันตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่ห้อยเทียนเหลาเก้าชั้น โลลิต้า และ
คาร์เธ่ย์ ในพุทธศักราช 2475 หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ
กับ นายหยิบ ณ นคร ได้ปรึกษากันและจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวกับการ
เต้นรำขึ้น ชื่อ สมาคมสมัครเล่นเต้นรำ โดยมี หม่อมเจ้าวรรณไวทยา
กร วรวรรณ เป็นประธาน นายหยิบ ณ นคร เป็นเลขาธิการสมาคม
และมีคณะกรรมการอีกหลายท่าน เช่น หลวงเฉลิม สุนทรกาญจน์
นายแพทย์เติม บุนนาค พระยาปกิตกลสาร พระยาวิชิต หลวงสุขุมนัย
ประดิษฐ์ หลวงชาติตระการโกศล
ในเรื่องสถานที่ตั้งสมาคมนั้นไม่แน่นนอน คือ วนเวียนไปตามบ้าน
สมาชิกแล้วแต่สะดวก การตั้งเป็น สมาคมครั้งนี้ไม่ได้จดทะเบียนให้
เป็นที่ถูกต้องแต่อย่างใด สมาชิกส่วนมากเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่ง
ได้พาบุตรหรือบุตรี เข้าฝึกหัดด้วย ทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้นมาอย่าง
รวดเร็ว มักจัดให้มีงานเต้นรำขึ้นบ่อยๆ ที่สมาคมคณะราษฎร์ วัง
สราญรมย์ และได้จัดแข่งขันการเต้นรำขึ้นครั้งแรกที่วังสราญรมย์นี้
ผู้ชนะเลิศ คือ พลเรือตรีเฉียบ แสงชูโต และ คุณประนอม สุขุม
14
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488 วงการ
ลีลาศของไทยก็เริ่มคึกคัก มีชีวิตชีวาขึ้นดังเดิม มีโรงเรียนสอนลีลาศเปิดขึ้นหลาย
แห่ง โดยเฉพาะสาขาบอลรูมสมัยใหม่ หรือ Modern Ballroom Branch
อาจารย์ยอด บุรี ซึ่งไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้วนำกลับมาเผยแพร่ในไทย ทำให้
การลีลาศซึ่ง ศาสตราจารย์ศุภชัย วานิชวัฒนา เป็นผู้นำอยู่ก่อนแล้วพัฒนาขึ้นเป็น
ลำดับ ต่อมาได้มีบุคคลชั้นนำในการลีลาศประมาณ 10 ท่าน ซึ่งเคยเป็นผู้ชนะเลิศใน
การแข่งขันในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น คุณกวี กรโกวิท คุณอุไร โทณ
วนิก คุณจำลอง มาณยมฑล คุณปัตตานะ เหมะสุจิ โดยมีนายแพทย์ประสบ วรมิ
ศร์ เป็นผู้ประสานงานติดต่อพบปะปรึกษาหารือ และมีแนวความคิดจะรวมนักลีลาศ
ทั้งหมดให้อยู่ในสมาคมเดียวกัน เพื่อเป็นการผนึกกำลัง และช่วยกัน
ปรับปรุงมาตรฐานการลีลาศทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติซึ่งทุกคนเห็น
พ้องต้องกัน จึงมีการร่างระเบียบข้อบังคับขึ้น และได้ยื่นจดทะเบียน
เป็นสมาคมตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2491
ซึ่งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้อนุญาตให้ จัดตั้ง สมาคม
ลีลาศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2491
โดยมี หลวงประกอบนิติสาร เป็นนายกสมาคมคนแรก
ซึ่งปัจจุบันสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นสมาชิกของสภา
การลีลาศนานาชาติด้วย
ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้
โรงเรียนสอนลีลาศต่างๆ อยู่ในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ และมีการกำหนด
หลักสูตรลีลาศขึ้นอย่างเป็นแบบแผน ทำให้กีฬาลีลาศมีมาตรฐานยิ่งขึ้น ส่งผลให้
กีฬาลีลาศในประเทศไทยเป็นที่ยอมรับและนิยมในวงการทั้งในส่วนกลางและส่วน
ภูมิภาค นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนให้ความสนใจ ทำให้มีโรงเรียนหรือ
สถาบันเปิดสอนลีลาศขึ้นเกือบทุกจังหวัด สำหรับในสถานศึกษาก็ได้มีการจัดวิชา
ลีลาศเข้าไว้ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ปัจจุบัน
ลีลาศได้รับการรับรองให้เป็นกีฬาจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล
(International Olympic Committee = IOC) อย่างเป็นทางการ มีการ
ประชุมครั้งที่ 106 วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2540 ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิต
เซอร์แลนด์ สำหรับในประเทศไทย คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ใน
สมัยที่มี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็น
ประธานคณะกรรมการ ได้มีมติรับรองลีลาศเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่
18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 จัดเป็นกีฬาลำดับที่ 45 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย
และยังได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาลีลาศ (สาธิต) ขึ้นเป็นครั้งแรก ในการแข่งขัน
กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ณ กรุงเทพมหานคร
ระหว่างวันที่ 6 – 20 ธันวาคม พ.ศ.2541
15
ความลหีลมาาศยของ
คำว่า ลีลาศ หรือ เต้นรำ มีความหมายเหมือนกัน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปีพุทธศักราช 2525
ได้ให้ความหมายดังนี้
ลีลาศ เป็นนาม แปลว่า ท่าทางอันงดงาม การเยื้องกราย เป็นกิริยา
แปลว่า เยื้องกรายเดิน นวยนาด
เต้นรำ เป็นกิริยาแปลว่า เคลื่อนที่ไปโดยมีระยะก้าวตามกำหนด ให้เข้ากับ
จังหวะดนตรี ซึ่งเรียกว่า ลีลาศ โดยปกติเต้นเป็นคู่ชาย หญิง รำเท้าก็ว่า
คนไทยนิยมเรียกการลีลาศว่า เต้นรำ มานานแล้ว
คำว่าลีลาศตรงกับภาษาอังกฤษว่า Ballroom Dancing หมาย
ถึง การเต้นรำของคู่ชายหญิงตามจังหวะดนตรีที่มีแบบอย่างและ
ลวดลายการเต้นเฉพาะตัว โดยมีระเบียบของการชุมนุม ณ สถานที่อัน
จัดไว้ในสังคม ใช้ในงานราตรีสโมสรต่างๆ และมิใช่การแสดงเพื่อให้คนดู
นอกจากนี้ยังมีคำอีกคำหนึ่งที่มักจะได้ยินกันอยู่ เสมอคือคำว่า Social
Dance ส่วนใหญ่มักจะนำมาใช้ในความหมายเดียวกันกับคำว่า
Ballroom Dancing
สหรัฐอเมริกาคำว่า Social Dance หมายถึง การเต้นรำทุก
ประเภทที่จัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนมาอยู่ร่วมกัน และได้มีส่วน
ร่วมในกิจกรรมการเต้นรำเป็นหมู่คณะ เพื่อให้ได้ความสนุกสาน
เพลิดเพลิน จึงกล่าวได้ว่า Ballroom Dancing เป็นส่วนหนึ่งของ
Social Dance (ธงชัย เจริญทรัพย์มณี 2538)
อาจสรุปได้ว่า “ลีลาศ” คือกิจกรรมเข้าจังหวะประเภทหนึ่ง เป็นการ
เต้นรำที่แสดงออกอย่างมีศิลปะ โดยใช้เสียงเพลงและจังหวะดนตรีเป็น
สื่อ เพื่อให้เกิดความสนุกสนามเพลิดเพลิน มีลวดลายการเต้น (Figure)
เป็นแบบเฉพาะตัว และมักนำลีลาศมาใช้ในงานสังคมทั่ว ๆ ไป
จัดทำโดย
นายพีรพัเลนขธ์ที่ห4อมสวัสดิ์
นายสัณเหลณขัทีฐ่ เทพแก้ว
6
นางสาวเกเลศขกทีน่ 1ก4ภูมิเจริญ
นางสาวขเวลัญขทีส่ิร1ิ 7แสงเพชร
นางสาวพิเลชาขมที่ญ2ชุ5์ สิขิวัฒน์
นางสาวอัจเฉลรขาทพี่ร3ร7ณ รักษาพล