The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาสื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์
เรื่อง รู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม
Microsoft Powerpoint สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธรินทร์ญา, 2021-05-21 10:34:20

วิจัยในชั้นเรียน

การพัฒนาสื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์
เรื่อง รู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม
Microsoft Powerpoint สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ชื่อเรอื่ ง การพัฒนาสื่อการสอนรายวิชาคอมพวิ เตอร์เร่ือง รู้จกั กับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft

Powerpoint สำหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓

ช่ือผู้วจิ ยั นางสาวธรนิ ทร์ญา ปรานต์ชรสั ม์ิ

ปีท่วี จิ ยั ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563

บทคดั ยอ่

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการการพัฒนาส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ือง
รู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สําหรับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ประชากรเป็น นักเรียนนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 จํานวน 20 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
ประกอบด้วยสือ่ การสอน เร่ืองรู้จักกบั Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint แบบทดสอบวัด
ความรูแ้ ละแบบสอบถามความพงึ พอใจ วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอรส์ าํ เร็จรูป

ผลการวิจัยพบว่า

1. นักเรียนท่ีเรียนโดยใช้สื่อการสอน เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint มีคะแนนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาํ คัญทางสถติ ิท่รี ะดับ 0.01

2. นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการสอนโดยใช้ส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ
Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint โดยรวมอยใู่ นระดบั มากที่สุด

คำนำ

รายงานการวิจัยการส่อื การสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น2 เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint สําหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีลงเรียนวิชา เพิ่มเติม
คอมพิวเตอร์เบื้องต้น2 ในการดําเนินการ ผู้วิจัยซึ่งเป็นครูผู้สอนได้ศึกษาสภาพการจัดการ เรียนการสอน
ความแตกต่างระหว่างบุคคลและความต้องการของผู้เรียน โดยวิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์รายวิชา
คําอธิบายรายวชิ า
ผู้วิจัยขอขอบคุณผู้บริหาร ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีลงเรียน วิชาเพ่ิมเติม
คอมพวิ เตอร์เบอ้ื งตน้ 2 โรงเรยี นบางสะพานวทิ ยา ทีท่ าํ ใหง้ านวิจยั ฉบบั นี้บรรลุ ตามเปา้ หมาย

นางสาวธรนิ ทรญ์ า ปรานต์ชรัสมิ์
ครผู ู้ชว่ ย

สารบัญ หนา้

บทคดั ยอ่ 1
คำนำ 1
สารบัญ 1
สารบญั ตาราง 2
บทที่ 1 2
2
บทนำ 3
ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา 3
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 4
สมมุติฐานของการวิจัย 4
ขอบเขตของการวจิ ัย 5
เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั 5
กรอบแนวคิดของการวิจัย 5
นิยามศพั ท์เฉพาะ 5
ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับ 8
บทท่ี 2 13
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง 14
วิชาคอมพวิ เตอร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 16
แนวคดิ เกยี่ วกบั ส่ือการสอน 16
แนวคิดเกี่ยวกับผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 16
แนวคิดเก่ียวกบั ความพึงพอใจ 16
งานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้อง 18
บทที่ 3 19
วธิ กี ารดำเนินการวิจัย 20
แบบแผนการวจิ ัย 20
เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวิจัย
การเก็บรวบรวมข้อมลู
การวิเคราะห์ข้อมลู
บทที่ 4
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล

สารบญั (ตอ่ ) หนา้
24
บทท่ี 5 24
สรุปผลการวิจยั 24
อภปิ รายผล 26
ข้อเสนอแนะ 27
29
บรรณานกุ รม 29
ภาคผนวก 39
40
ตวั อย่างส่ือการสอนด้วยโปรแกรม Power Point
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
แบบสอบถามความพึงพอใจ

สารบัญตาราง หน้า
16
ตารางที่ 20
3.1 แบบแผนการทดสอบแบบกลุ่มเดียว 21
4.1 คา่ คะแนนก่อนเรียนและหลงั เรยี นรายวิขา 22
4.2 คา่ คะแนนความก้าวหน้าทางการเรียนของนักเรยี นท่ีมีตอ่ การเรียนโดยใช้สอ่ื การสอน
4.3 ค่าเฉล่ีย คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานความพึงพอใจของนักเรียนทีม่ ตี อ่ การเรยี นโดยใชส้ ่ือการสอน

บทที่ 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 หมวด4 มาตรา 22 การจัดการศึกษา ต้อง
ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ผู้เรียนมีความส าคัญท่ีสุดและ มาตรา
24การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เก่ียวข้องดำเนินการจัดเน้ือหา สาระและ
กิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยค านึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล
ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกัน
และแก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรยี นได้เรียนรู้จากประสบการจริงฝกึ การ ปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น
รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง จัดการเรียนการสอนโดย ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ
อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมท้ังปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุก
วิชา ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือการเรียน และอำนวยความ
สะดวกเพ่อื ให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้และมคี วามรอบรู้ ทั้งน้ีผสู้ อนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันจาก
สอ่ื การเรยี นการสอนและหนว่ ยวิทยาการประเภท ตา่ ง ๆ และจัดการเรยี นร้ใู หเ้ กิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานท่ี
มีการประสานความร่วมมอื กบั บิดามารดา ผู้ปกครอง และบคุ คลในชุมชนทุกฝ่ายเพ่อื ร่วมกันพัฒนาผู้เรยี น
ตามศักยภาพ

สำหรับการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช
2542 และเป้าประสงค์ของการจัดการศึกษาทางวิชาชีพและอาชีพสำนกั งาน คณะกรรมการอาชีวศึกษาจึง
กำหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยให้มีการบูรณาการหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ
นโยบายสถานศึกษา 3D ของรฐั บาลลงในแผนการจัดการเรียนรู้ใน ทุกรายวิชา และส่งเสริมการพัฒนาส่ือ
การเรียนการสอนเพ่อื ใช้ประกอบการเรียนการสอน อันทำให้ การจดั การเรยี นการสอนบรรลตุ ามเป้าหมาย
ของหลักสตู ร ผู้เรยี นมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน และมีความพึงพอใจต่อการจดั การเรยี นรู้

สื่อการเรียนการสอนจึงเป็นสิ่งท่ีมีบทบาทอย่างมากในการจัดการเรียนการสอน เป็นตัวกลาง ท่ี
ช่วยในการสื่อสารระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียนทำให้การดำเนินการจัดการเรียนการสอนมี ประสิทธิภาพ
ผู้เรียนสามารถเข้าใจในเนอื้ หาสาระได้ตรงกับครผู ู้สอนตอ้ งการ ซ่ึง ณัฐศักด์ิ ธีระกุล (2533:54-57)กลา่ วว่า
ส่อื การสอนยังช่วยปรบั ปรุง แก้ไขทัศนคติของผู้เรยี นให้คล้อยตามตรงกับ จุดหมายท่ีผู้สอนวางไว้ขณะท่ีรัฐ
ภรณ์ คิดการ (2534:1-2) ได้กล่าวว่า การเรียนการสอนในปัจจุบันท่ี เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คำนึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนควรศึกษาด้วยตนเองดังนั้นในการ จัดการเรียนรู้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ปฏิบัติกิจกรรมร่วมกับคอมพิวเตอร์เป็น รายบุคคลในลักษณะส่ือสองทาง ผู้เรียน
สามารถเรียนไปตามความสามารถของตนเอง

โปรแกรม Microsoft PowerPoint เป็นโปรแกรมหนึ่งซ่ึงสามารถน ามาพัฒนาสื่อการสอน ทาง
คอมพิวเตอร์ซึ่งจะช่วยพัฒนาการสอนท าให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งอย่างมีประสิทธิภาพโดย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะท่ีเด่นหลายประการ สามารถท่ีจะใช้กับ
เคร่ืองคอมพิวเตอร์ได้อย่างสะดวก น าเสนอข้อมูลทางตัวเลขและตัวอักษรในรูปแบบกราฟและสไลด์ มี
สมรรถภาพสูงเทียบได้กับโปรแกรมสร้างส่ือการสอนอ่ืนๆ สามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์ในแง่ท่ีเป็น
บทเรยี นทีด่ ีทัง้ ในด้านเน้ือหาและวิธีการสอน นบั วา่ เปน็ การลดเวลาในการผลติ และพัฒนาบทเรยี น

ดังนั้นผู้วิจัยซึ่งเป็นผู้สอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง23202 เร่ืองรู้จักกับ Kidbright วิชา
เพ่ิมเติมระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตระหนัก ต่อการจัดการเรียน
การสอนและการพัฒนาสื่อการสอน จึงพัฒนาสื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright
ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ส าหรับนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี โรงเรียนบ้านป่าก๊อ
เพื่อ นำผลการวิจัยมาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความก้าวหน้าทางการเรยี น และประเมินความ
พึงพอใจต่อการสอน อนั นำไปสู่การพฒั นาการจดั การเรียนการสอนในลำดบั ต่อไป

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพอ่ื ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ าคอมพิวเตอร์ กลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ท่ีเรยี นโดยใชส้ ือ่ การสอนโปรแกรม Microsoft PowerPoint
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการสอนโดยใช้สื่อการสอนโปรแกรม Microsoft

PowerPoint

สมมตุ ิฐานของการวจิ ัย
ผลสัม ฤท ธิ์ท างการห ลังเรียน สู งกว่าก่อ น เรีย น เม่ื อมี การใช้ส่ื อการส อน โป รแกรม

Microsoft PowerPoint รายวิชาคอมพวิ เตอร์ เร่อื งร้จู กั กบั Kidbright

ขอบเขตของการวจิ ัย
การพัฒนาสื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbrightด้วยโปรแกรม Microsoft

PowerPoint ส าหรบั นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มขี อบเขต ของการวจิ ัย ดงั นี้
1. ขอบเขตของประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนโรงเรียนบ้านป่าก๊อ สำหรบั นักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปี

ท่ี 3 จำนวน 20 คน
2. ขอบเขตของเน้ือหา
2.1 เนอื้ หารายวชิ าคอมพิวเตอร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใชเ้ วลา

เรยี น 40 ชัว่ โมง มดี งั น้ี

1.รจู้ ักกบั Kidbright
2.การใชเ้ ครื่องมือวาด และเครือ่ งมอื ปรับแตง่
3.การใช้เครือ่ งมอื เกีย่ วกบั งานเขยี นแบบ
4.การใช้เคร่ืองมอื จดั การชิ้นงาน
5.การนำเข้าและส่งออกชิ้นงาน
2.2 ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เรือ่ งรู้จกั กบั Kidbright ด้วย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint Kidbright ทม่ี ตี อ่ การสอน

เคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวิจัย

3.1 สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint

3.2 แบบทดสอบวดั ความรกู้ อ่ นและหลังเรยี น รายวชิ าคอมพิวเตอร์ เร่อื งรูจ้ กั กับ Kidbright
3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ
Kidbright
4. ระยะเวลา ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563
5. สถานท่ี โรงเรยี นบา้ นป่ากอ๊

กรอบแนวคิดของการวจิ ัย ตัวแปรตาม
1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
ตวั แปรต้น 2.ความพึงพอใจ
สอ่ื การสอนรายวิชา
คอมพวิ เตอร์ เรื่องรจู้ ักกับ
Sketchup ดว้ ยโปรแกรม
Microsoft PowerPoint

คำนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
1. สือ่ การสอน หมายถึง สไลด์อิเล็กทรอนกิ ส์ทส่ี ร้างดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ท่ใี ช้

ในการจัดการเรียนการสอนรายวชิ าคอมพวิ เตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright
2. แบบวัดความรู้ หมายถึง แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ

Kidbright
3. ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความรู้สึกทางบวกของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้สื่อการ

สอนโปรแกรม Microsoft PowerPoint

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ได้ส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft

PowerPoint ที่มปี ระสิทธภิ าพ
2. นกั เรียนมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนรายวิชาคอมพวิ เตอร์ เพ่มิ ขน้ึ
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ

Kidbright ดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint โดยภาพรวมมีอย่ใู นระดับมาก

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง

การพัฒนาส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วย โปรแกรม Microsoft
PowerPoint สำหรับนักเรียนท่ีลงเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนบ้านป่าก๊อ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า
เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ตามลำดับดังนี้

1. วิชารายวิชาคอมพิวเตอร์ กลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. แนวคดิ เก่ียวกบั ส่อื การสอน
3. แนวคดิ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
4. แนวคดิ เกย่ี วกับความพงึ พอใจ
5. งานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
2.1 รายคอมพิวเตอร์ กลุม่ สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1. คำอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษาและปฏิบัติเก่ียวกับกำรเขยี นแบบพื้นฐาน กำรใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพ่ือการทำงาน กราฟิก
ในการออกแบบและสร้างภาพการพมิ พ์ออกทางเครื่องพมิ พ์
เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนมีทกั ษะ และประสบการณใ์ นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ มที ักษะในการ ทำงาน
ร่วมกบั ผู้อ่ืน สามารถตัดสนิ ใจและแกป้ ัญหาในการทำงาน
เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ มีคุณ ธรรม
จรยิ ธรรม และคา่ นิยมทีด่ ตี ่องาน และเห็นแนวทางในทางประกอบอาชพี สุจรติ
2. ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวงั
1. แสดงความร้เู กีย่ วกบั โปรแกรมสำเรจ็ รูปทีใ่ ช้ในกำรเขียนแบบพ้ืนฐาน
2. ประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้ในกำรเขียนแบบพื้นฐานเพื่อกำรออกแบบสร้างภาพ และ
ผลติ ผลงานทางเครื่องพมิ พ์

2.2 แนวคิดเกยี่ วกับสอื่ การสอน
นักวิชาการกล่าวว่าสื่อการสอนเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยส่ือความหมายจัดข้ึนโดยครูและนักเรียน เพื่อ

ส่งเสริมการเรียนรู้เคร่ืองมือการสอนทุกชนดิ จัดเป็นสอ่ื การสอน เช่นหนังสือในห้องสมดุ โสตทศั นวัสดุต่าง
ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สไลด์ ฟิลม์ สตริป รปู ภาพแผนท่ี ของจรงิ และทรัพยากรจาก แหล่งชมุ ชน
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมาย สื่อการสอนว่าวัสดุอุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอน เพื่อใช้เป็น
สอื่ กลางในการสื่อความหมายทีผ่ ูส้ อนประสงคจ์ ะส่งหรือถา่ ยทอดไปยงั ผ้เู รียนได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ

ความสำคัญของส่ือการสอน
เอ็ดการ์ เดล ไดก้ ลา่ วสรปุ ถงึ ความสำคญั ของสือ่ การสอนดงั น้ี
1. ส่ือการสอนช่วยสร้างรากฐานท่ีเป็นรูปธรรมข้ึนในความคิดของผู้เรียน การฟังเพียงอย่าง เดียว
นั้นผู้เรียนจะต้องใช้จินตนาการเข้าช่วยด้วยเพื่อให้ส่ิงท่ีเป็นนามธรรมเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นใน ความคิดแต่
สำหรับสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อน ผู้เรียนย่อมไม่มีความสามารถจะทำได้การใช้อุปกรณ์เข้าช่วยจะ ทำให้ผู้เรียนมี
ความเขา้ ใจและสร้างรูปธรรมข้นึ ในใจได้
2. ส่ือการสอน ช่วยเร้าความสนใจของผ้เู รียนเพราะผู้เรียนสามารถใช้ประสาทสัมผัสได้ด้วย ตา หู
และการเคล่ือนไหวจับต้องได้แทนการฟงั หรอื ดูเพยี งอยา่ งเดยี ว
3. เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และช่วยความทรงจำอย่างถาวรผู้เรียนจะสามารถ นำ
ประสบการณเ์ ดิมไปสัมพนั ธ์กบั ประสบการณ์ใหม่ ๆ ไดเ้ ม่ือมพี นื้ ฐานประสบการณเ์ ดิมทดี่ ีอยู่แล้ว
4. ช่วยให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการทางความคิดซึ่งต่อเน่ืองเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันท ำให้เห็น
ความสัมพนั ธ์เกยี่ วขอ้ งกบั สิ่งต่าง ๆเชน่ เวลา สถานท่ี วัฏจักรของส่งิ มชี วี ิต
5. ช่วยเพิ่มทักษะในการอ่านและเสริมสร้างความเข้าใจในความหมายของคำใหม่ ๆ ให้มาก ข้ึน
ผ้เู รียนท่ีอ่านหนังสือช้าก็จะสามารถอ่านได้ทันพวกที่อ่านเร็วได้เพราะได้ยินเสียงและได้เห็น ภาพประกอบ
กนั
ส่วน เปร่อื ง กมุ ุท ให้ความสำคัญของสือ่ การสอนดงั นี้
1. ชว่ ยใหค้ ุณภาพการเรียนรูด้ ีข้ึนเพราะมคี วามจริงจงั และมคี วามหมายชดั เจนต่อผู้เรยี น
2. ช่วยให้นกั เรยี นรไู้ ดใ้ นปรมิ าณมากขึ้นในเวลาท่กี าหนดไวจ้ ำนวนหนึง่
3. ช่วยใหผ้ ู้เรยี นสนใจและมสี ่วนรว่ มอย่างแขง็ ขนั ในกระบวนการเรียนการสอน
4. ช่วยให้ผเู้ รยี นจำ ประทบั ความรสู้ ึก และทำอะไรเปน็ เรว็ ขึ้นและดขี น้ึ
5. ชว่ ยสง่ เสรมิ การคดิ และการแกป้ ญั หาในขบวนการเรยี นรขู้ องนักเรียน
6. ชว่ ยให้สามารถเรยี นรใู้ นสิง่ ท่ีเรียนได้ลำบากโดยการช่วยแกป้ ัญหา หรอื ข้อจำกดั ต่าง ๆ
7. ช่วยให้นกั เรยี นเรยี นสำเร็จงา่ ยขน้ึ และสอบไดม้ ากขนึ้
ประเภทของสื่อการสอน
โรเบริ ต์ อี. ด.ี ดฟี เฟอร์แบ่งประเภทของสื่อการสอน ดังนี้
1. วัสดุท่ีไม่ต้องฉาย ได้แก่ รูปภาพแผนภูมิ กราฟ ของจริง ของตัวอย่าง หุ่นจำลอง แผนที่
กระดาษสาธติ ลูกโลก กระดานชอล์คกระดานนิเทศ กระดานแม่เหล็ก การแสดงบทบาท นทิ รรศการ การ
สาธติ และการทดลองเปน็ ต้น
2. วัสดุฉายและเคร่ืองฉาย ได้แก่ สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพโปร่งใส ภาพทึบภาพยนตร์ และ เคร่ือง
ฉายต่าง ๆ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เคร่ืองฉายสไลด์และฟิล์มสตริป เคร่ืองฉายกระจกภาพ เคร่ืองฉาย
ภาพขา้ มศีรษะ เครื่องฉายภาพทึบแสงเคร่ืองฉายภาพจลุ ทศั น์ เปน็ ตน้
3. โสตวัสดุและเครื่องมอื ไดแ้ ก่ แผ่นเสยี งเคร่ืองเลน่ จานเสยี ง เทป เครอ่ื งบันทึกเสยี ง เครอื่ งขยาย
เสยี ง และวทิ ยุ เป็นตน้

โปรแกรม Microsoft PowerPoint
โปรแกรม Microsoft PowerPoint เป็นโปรแกรมทใี่ ช้สำหรับการน าเสนอผลงานหรือที่ เรียกว่า
โปรแกรมสำหรับการน าเสนอ ซ่ึงจะนำเอาข้อมูลทางตัวเลข และตัวอักษรท่ีมอี ย่แู ล้วมาจดั การ ให้อยู่ในรูป
ของกราฟและสไลด์
คุณลักษณะพิเศษของโปรแกรม Microsoft PowerPoint ท่ีใช้ในการสร้างงานนำเสนอ สามารถ
ทำใหง้ านงา่ ยข้นึ ไม่ว่าจะต้องการงานแบบใดก็ตาม Microsoft PowerPoint จะช่วยในการ ออกแบบงาน
นำเสนอและยังให้โครงเรื่องแบบพื้นฐานด้วย ซ่ึงถ้าต้องการแสดงแผนภาพและแผนภูมิ จะมีโมเดลพิเศษ
ได้แก่ กราฟ แผนผังองค์กร ตารางช่วยสร้างกราฟแสดงข้อมูลทางตัวเลข นอกจากนี้ แล้วยังสามารถ
กำหนดใหม้ เี สยี ง ดนตรี และภาพวดิ ีโอประกอบ เป็นต้น
ข้ันตอนการสร้างมลั ติมีเดีย
การสร้างสื่อมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบทเรียนรูปแบบใด จะเริ่มต้นด้วยการกำหนด หัว
หั วเรื่อ ง, เป้ าห ม าย , วัต ถุ ป ระ ส งค์ แ ล ะก ลุ่ ม เป้ าห ม าย ผู้ ใช้ จ าก น้ั น ก็ ท ำก าร วิเค ราะห์
(Analysis), ออกแบบ (Design), พัฒนา (Development), สร้าง (Implementation), ประเมินผล
(Evaluation) และนำออกเผยแพร่ (Publication) ซ่ึงการสร้างส่ือมัลติมีเดีย ที่กล่าวมาน้ี จะเห็นได้ว่า
การจัดทำสื่อ มัลติมีเดีย นี้เป็นเร่ืองท่ีง่ายมากๆ ซึ่งหมายความว่าใครๆ ท่ีมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ก็
สามารถจะสร้าง ส่ือมัลติมีเดียได้ ในท่ีน้ีจะกำหนดขั้นตอนการสร้างสื่อมัลติมีเดียโดยละเอียด ทั้งหมด 7
ขั้นตอน เพื่อ สะดวกกับผู้เริ่มต้นท่ีสนใจในการสรา้ งสือ่ มัลตมิ เี ดีย (สุกรี รอดโพธ์ทอง 2538 : 25-33) ดังนี้
1. ข้ันการเตรียม (Preparation) กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Determine Goals and
Objectives) รวบ รวมข้อมูล (Collect Resources) เน้ือหา (Meterials) การพัฒนาและ ออกแบบ
บทเรียน (Instructional Development) ส่ือในการนำเสนอบทเรียน (Instructional Development
System) เรยี นรูเ้ น้ือหา (Learn Content) และสร้างความคิด (Generate Ideas)
2. ข้ันตอนการออกแบบบทเรียน (Design Instruction) เป็นข้ันตอนที่สำคัญท่ีสุดขั้นหนึ่งใน การ
กำหนดว่าบทเรียนจะออกมามีลักษณะใดทอนความคิด (Elimination of Ideas) วิเคราะห์งาน และ
แ น ว ค ว า ม คิ ด (Task and Concept Analysis) อ อ ก แ บ บ บ ท เรี ย น ข้ั น แ ร ก ( Preliminary
Lesson Description) ประเมนิ และแก้ไขการออกแบบ (Evaluation and Revision of the Design)
3. ขั้นตอนการเขียนผังงาน (Flowchart Lesson) เป็นการน าเสนอล าดับขั้นโครงสร้างขอ
คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ผังงานท าหน้าท่เี สนอขอ้ มูลเก่ยี วกบั โปรแกรม เชน่ อะไรจะเกิดขึ้นเมอ่ื ผเู้ รียน ตอบ
คำถามผดิ หรอื เมอื่ ไหร่จะมีการจบบทเรียน และการเขยี นผงั งานขน้ึ อยกู่ ับประเภทของบทเรยี น ด้วย
4. ข้ันตอนการสร้างสตอร่ีบอร์ด (Create Storyboard) เป็นขั้นตอนการเตรียมการนำเสนอ
ข้อความ ภาพ รวมทั้งส่ือในรูปแบบมัลติมีเดียต่างๆ ลงบนกระดาษเพื่อให้การนำเสนอข้อความและ
รปู แบบต่างๆ เหลา่ น้เี ป็นไปอยา่ งเหมาะสมบนหน้าจอคอมพวิ เตอร์ต่อไป

5. ข้ันตอนการสร้างและการเขียนโปรแกรม (Program Lesson) เป็นกระบวนการเปลี่ยน แปล
สตอรีบอร์ดให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส่วนนี้จะต้องคำนึงถึงฮาร์ดแวร์ ลักษณะและ ประเภทของ
บทเรียนทีต่ ้องการสร้าง โปรแกรมเมอรแ์ ละงบประมาณ

6. ขั้นตอนการประกอบเอกสารประกอบบทเรียน (Produce Supporting Materials) เอกสาร
ประกอบบทเรียนอาจแบ่งออกได้ เป็น 4 ประเภท คือ คู่มือการใช้ของผู้เรียน คู่มือการใช้ของ ผู้สอน คู่มือ
สำหรับแก้ปัญหาเทคนิคต่างๆ และเอกสารประกอบเพ่ิมเติมทั่วๆ ไป ผู้เรียนและผู้สอน ย่อมมีความ
ต้องการแตกต่างกัน คู่มือจึงไม่เหมือนกัน คู่มือการแก้ปัญหาก็จ าเป็นหากการติดต้ังมีความ สลับซับซ้อน
มาก

7. ข้ันตอนการประเมินผลและแก้ไขบทเรียน (Evaluate and Revise) บทเรียนและเอกสาร
ประกอบทั้งหมดควรท่ีจะได้รับการประเมิน โดยเฉพาะการประเมินการท างานของบทเรียน ในส่วน ของ
การนำเสนอนั้นควรจะทำการประเมินก็คือ ผู้ท่ีมีประสบการณ์ในการออกแบบมาก่อนในการ ประเมินการ
ทำงานของบทเรียนนั้น ผู้ออกแบบควรที่จะสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนหลังจากท่ีได้ทำการเรียนจาก
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนน้ั ๆ แล้ว

2.3 แนวคดิ เก่ยี วกบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
พวงรตั น์ ทวรี ัตน์ (2530 : 29) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ รวมถึง

ความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเปน็ ผลมาจากการเรียนการสอน หรอื มวลประสบการณ์ทัง้ ปวงท่ีบุคคล
ได้รับจากการเรียนการสอน ท าให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของ สมรรถภาพ
สมอง ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถทางสมองของบุคคลว่า เรียนแล้วรู้
อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าใด เช่น มีพฤติกรรม ด้านความจำ ความเข้าใจ การ
นำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่ามากน้อย อยู่ในระดับใด น่ันคือการวัดผล
สัมฤทธิ์เป็นการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เรียนในด้านพุทธพิสัยนั่นเอง ส่วนบุญชม ศรีสะอาด (2537 :
68) ไดใ้ ห้ความหมายผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถงึ ผล ท่ีเกิดขึ้นจากการค้นควา้ การอบรม การสง่ั สอน
การฝึกอบรม หรือประสบการณ์ต่าง ๆ รวมท้ัง ความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่าง ๆ ท่ีเป็นผลมาจากการ
ฝึกสอน ขณะที่ศิริชัย กาญจนวาสี (2548 : 161) กล่าวว่า แบบสอบวัดผลสัมฤทธ์ิมีบทบาทสำคัญในการ
เป็นเคร่ืองมืออย่างหนึ่งสำหรับการวัด และประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามเป้าหมายที่
กำหนดไว้ ทำให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถถึงมาตรฐานที่ผู้สอนกำหนดไว้หรือ
ยงั หรือมีความรู้ ความสามารถถึงระดับใด หรือมีความรู้ความสามารถดีเพียงใด เม่ือเปรยี บเทียบกับเพ่ือน
ๆ ที่เรียน ดว้ ยกนั

สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และ
ทกั ษะทางดา้ นวิชาการ รวมทง้ั สมรรถภาพทางสติปัญญา การคิดและการแก้ปัญหาต่าง ๆ ซ่ึงแสดงให้เห็น
ในรูปคะแนนทไ่ี ดจ้ ากแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น

จดุ ประสงค์ของการวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
ภัทรา นิคมานนท์ (2543 : 67 - 83) การจัดการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้ เกิดการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน 3 ด้าน คือ พุทธพิสัย (cognitive domain) จิตพิสัย (affective domain)
และทกั ษะพิสัย (psycho-motor domain) ซง่ึ แตล่ ะดา้ นมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
1. พฤติกรรมด้านพุทธพิสัย เป็นพฤติกรรมด้านความสามารถทางสติปัญญาของบุคคล จำแนกได้
ดงั น้ี

1.1 ความรคู้ วามจ า (knowledge) เปน็ ความสามารถในการรำลึกได้ถึงเรือ่ งราว ต่าง ๆ
ทีเ่ คยมีประสบการณ์มาก่อนจะโดยวิธีใดก็ตาม ซ่ึงพฤติกรรมด้านนี้ยงั จำแนกออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ คือ
ความรเู้ ฉพาะเรอื่ ง ความรู้ในวธิ ดี าเนินการ และความรู้รวบยอดในเน้อื เรอ่ื ง

1.2 ความเข้าใจ (comprehension) เป็นผลจากการเอาความร้จู ากประสบการณ์ ในข้ัน
ความรู้ ความจำมาผสมผสานจนกลายเป็นสมรรถภาพสมองชนิดใหม่ ซึ่งความเข้าใจ มี 3 ลักษณะ คือ
การแปลความ การตคี วาม และการขยายความ

1.3 การนำไปใช้ (application) เป็นความสามารถนำความรู้ ความเข้าใจในเรื่องท่ี
เรียนรู้มาแล้วไปแก้ปัญหาที่แปลกใหม่ คือ สถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน แต่อาจใกล้เคียงหรือ
คล้ายคลงึ กบั เร่ืองทเ่ี คยพบเห็นมากอ่ นกไ็ ด้

1.4 การวิเคราะห์ (analysis) เป็นความสามารถแยกแยะเร่ืองราวส่ิงต่าง ๆ ออกเป็น
ส่วนย่อย ๆ ได้ท าให้สามารถมองเห็นความสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน สามารถค้นหาความจริง ต่าง ๆ ท่ี
แอบแฝงอยู่ในเน้ือเร่อื งน้นั ๆ ได้ การวิเคราะห์มี 3 ลกั ษณะ ได้แก่ การวิเคราะหค์ วามสำคัญ การวิเคราะห์
ความสมั พนั ธแ์ ละการวิเคราะหห์ ลกั การ

1.5 การสังเคราะห์ (synthesis) เป็นการนำเอาองค์ประกอบย่อยต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 ส่ิงขึ้น
ไป มารวมกันเข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน เพ่ือให้เห็นโครงสร้างที่ชัดเจน แปลกใหม่ไปจากเดิม มีลักษณะ
คล้ายความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แปลกใหม่ มีคุณค่าและเป็นประโยชน์การ สังเคราะห์มี 3
ประเภท ได้แก่ สังเคราะหข์ อ้ ความ สงั เคราะห์แผนงาน และสงั เคราะห์ความสัมพันธ์

2. พฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมท่ีเก่ียวกับความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจ อารมณ์ และ
คณุ ธรรมของบคุ คล สามารถจำแนกเป็น 5 ระดบั ดังนี้

2.1 การรับรู้ (receiving of attending) มีลักษณะการตอบสนอง 3 ลักษณะ คือ การ
ยอมรบั การตั้งใจท่ีจะรบั รู้ และการเลอื กสงิ่ เร้าทต่ี อ้ งการรับรู้

2.2 การตอบสนอง (responding) เป็นพฤติกรรมท่ีต่อเน่ืองจากความต้ังใจท่ีจะรับรู้ โดย
ไม่เพียงแตจ่ ะตั้งใจรับรู้เท่านั้น แต่มคี วามปรารถนาหรือปฏิกิริยาท่ีจะโต้ตอบตอ่ ส่งิ เรา้ นน้ั อย่างเต็ม ใจ และ
เกดิ ความพงึ พอใจจากการตอบสนอง และความพอใจในการตอบสนอง

2.3 การสร้างคุณค่า (valuing) เป็นขั้นที่บุคคลมองเห็นคุณค่าของการตอบสนองต่อ สิ่ง
เร้าหรือประสบการณ์ท่ีได้ ข้ันน้ีมีพฤติกรรมการแสดง 3 ลักษณะ ได้แก่ การยอมรับในคุณค่าการ นิยม
ชมชอบในคณุ ค่า และการสร้างคุณค่า

2.4 การจัดระบบคุณค่า (organization) หลังจากที่บุคคลได้สร้างค่านิยมของตนข้ึน
มาแล้ว กพ็ ยายามนำค่านิยมน้ันมาจัดระบบให้เกิดเป็นระบบระเบียบข้นึ ลักษณะการจัดระบบคุณค่า มี 2
ลกั ษณะคือ การสร้างความคิดรวบยอดของคณุ ค่า และการจดั ระบบของคณุ คา่

2.5 การสร้างลักษ ณ ะนิสัย (characterization by a value complex) เป็นการ
จดั ระบบคุณคา่ ท่ีมีอยู่ในตัวเขา้ เป็นระบบที่ถาวร ซ่ึงจะท าหนา้ ที่ควบคุมพฤติกรรมการแสดงของบคุ คล ไม่
วา่ จะอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ ก็จะแสดงพฤติกรรมตามค่านิยมที่ยึดถือตลอดไป การสรา้ งลักษณะ นิสัยมี 2
ลักษณะคอื การสร้างลักษณะนิสัยช่วั คราว และการสรา้ งลกั ษณะนิสัยถาวร

3. พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับความสามารถเชิงปฏิบัติการ พฤติกรรม
เรยี นรดู้ า้ นทักษะพสิ ยั จำแนกเปน็ 5 ระดบั ดงั น้ี

3.1 การรับรู้ (perception) เป็นขั้นที่แสดงอาการรับรู้ท่ีจะเคล่ือนไหวโดยอาศัย
ประสาทสัมผัสท้ัง 5 คือ หู ตา คอ จมูก ลิ้น และสัมผัสทางกาย แม้จะมีสิ่งเร้าเข้ามากระตุ้นโดยผ่าน ทาง
ประสาทสัมผัสพร้อม ๆ กัน กอ็ าจเลือกท่ีจะรับรู้ มกี ารแปลความหมายส่งิ เรา้ เพอ่ื ตอบสนอง

3.2 การเตรียมพร้อม (set) เป็นสภาพของบุคคลท่ีพร้อมจะแสดงพฤติกรรมออกมา
สภาพความพร้อมมี 3 ด้าน คือ ความพร้อมด้านร่างกาย ด้านสมอง และด้านอารมณ์ 3.3 การตอบสนอง
ตามแนวทางท่ีกำหนดให้ (guided response) เป็นการ แสดงออกในลักษณะของการเลียนแบบและการ
ลองผิดลองถกู

3.4 ความสามารถด้านกลไก (mechanism) เป็นข้ันท่ีผู้เรียนได้กระท าตามท่ีเรียน มา
และพัฒนาข้ึนมาจนมีสัมฤทธิ์ผล สามารถสร้างเทคนิควิธีสำหรับตนเองขึ้นมาเพ่ือปฏิบัติต่อไป 3.5 การ
ตอบสนองท่ีซับซ้อน (complex overt response) เป็นความสามารถใน การปฏิบัติในสิ่งท่ียุ่งยากซับซ้อน
มากข้นึ และสามารถกระทำได้อย่างมน่ั ใจ ไมล่ ังเลและทำไดด้ ีจนเปน็ อตั โนมตั ิ

ประเภทของการทดสอบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
สุรางค์ โคว้ตระกูล (2544 : 418)การทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยมากจะใช้ ข้อทดสอบ
(test) เพราะสามารถวัดความสามารถของนักเรยี นออกมาเป็นตวั เลขได้ สามารถทำได้ 2 ลกั ษณะ ดงั นี้
1. ข้อทดสอบท่ีใช้เปรียบเทียบคะแนนของแต่ละบุคคลกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เรียกว่าข้อ
ทดสอบแบบอิงกลุ่ม (norm-referenced) ข้อทดสอบประเภทน้ีมีวัตถุประสงค์ท่ีจะแยก ผู้ทดสอบ โดย
แบง่ เป็นคะแนนสูง ปานกลาง และตำ่
2. ข้อทดสอบท่ีใช้เปรียบเทียบคะแนนของแต่ละบุคคลกับเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ เรียกว่า ข้อทดสอบแบบ
องิ เกณฑ์ (criterion-referenced test) เป็นข้อทดสอบทีม่ ีวัตถปุ ระสงคป์ ระเมิน ความรู้ความสามารถของ
แตล่ ะบุคคลว่าถึงเกณฑ์ท่ตี ง้ั ไว้หรอื ไม่
นอกจากนี้ สุรางค์ โคว้ตระกูล (2544 : 410) ได้สรุป ประเภทของข้อทดสอบท่ีใช้กัน โดยท่ัวไป
ออกเปน็ 2 ประเภท คือ

1. ข้อทดสอบมาตรฐาน (standardtests) ข้อทดสอบมาตรฐานสร้างข้ึนโดยผู้เช่ียวชาญ ในการ
สร้างข้อทดสอบ ซึ่งมีหลายชนิดตามวัตถุประสงค์ว่าต้องการวัดอะไร และมักใช้ช่ือข้อทดสอบ ตามสิ่งท่ี
ต้องการวดั เช่น ขอ้ ทดสอบเชาวนป์ ญั ญา ข้อทดสอบสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษา หรอื ขอ้ ทดสอบความถนัด

2. ข้อทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นใช้เอง (teacher-made test) แบ่งเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 2.1 ข้อทดสอบ
แบบปรนยั (Objective test) เป็นข้อทดสอบทคี่ รูสรา้ งขน้ึ เพ่ือ ช่วยให้การเรียนการสอนดีข้ึน ถา้ หากครูมี
แผนการสอนที่มีวัตถุประสงค์ของวิชาท่ีสอนอย่างชัดเจน การออกข้อสอบสามารถยึดตามหลักการของ
Bloom 3 ขั้นแรก คือ ความรู้ ความเข้าใจ และการน า ความรู้ไปประยุกต์ ซึ่งข้อทดสอบแบบปรนัยนี้
แบ่งเป็น แบบเลือกตอบ (multiple-choice items) แบบถูกผิด (true false items) และการจับคู่
(matching question)

2.2 ข้อทดสอบแบบอัตนัย (essay tests) เป็นข้อทดสอบที่ใช้วัดความสามารถของ
นักเรียนในข้ันสูงของวัตถุประสงค์ด้านพุทธพิสัยได้ เช่น ใช้ในข้ันวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ
ประเมินผล นอกจากน้ีอาจใช้เพ่ือเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง ค าตอบของ
นกั เรยี นท าให้ ครทู ราบความเข้าใจของนักเรียนวา่ ถูกตอ้ งอย่างไร

กระบวนการสรา้ งแบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2530 : 47 - 52) การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หากผู้สร้างได้ ทราบ

ขน้ั ตอนในการสรา้ งและปฏิบตั ติ ามขั้นตอนจะท าให้สรา้ งขอ้ สอบไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ซึง่ ขั้นตอนในการ
สรา้ งข้อสอบมี 5 ขั้น ดังนี้

1. ขั้นวางแผน เป็นการกำหนดจุดมุ่งหมาย เน้ือหา รูปแบบของข้อสอบและ ส่วนประกอบที่
จำเป็นในการสรา้ งขอ้ สอบ

2. ข้ันเตรียมงาน เป็นสิ่งที่เอ้ืออ านวยต่อการสร้างข้อสอบ ได้แก่ หลักสูตร หนังสือเรยี น อุปกรณ์
การพิมพ์ การอดั สำเนา ฯลฯ

3. ขัน้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ เปน็ ขั้นลงมอื เขยี นข้อสอบ
4. ข้ันประเมินหรือตรวจสอบคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำผลไปปรับปรุงข้อสอบ 5. ข้ัน
ตรวจสอบคุณภาพหลังการทดสอบ ข้อสอบที่ผ่านการทดสอบแล้วให้น ามา ตรวจสอบคุณภาพเพื่อหาค่า
ความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และคา่ สถิตพิ ืน้ ฐานของขอ้ สอบ คณุ ภาพของแบบทดสอบ

ภัทรา นิคมานนท์ (2543 : 132 - 168) การนำแบบทดสอบไปใช้ครูควรทำการวิเคราะห์ หา
คุณภาพของแบบทดสอบ ซง่ึ แบบทดสอบที่ดมี ีลกั ษณะ ดังนี้

1. ความเท่ียงตรง (validity) แบบทดสอบท่ีมีความเท่ียงตรงสูง สามารถทำหน้าท่ี รวบรวมข้อมูล
ของส่ิงที่เราต้องการวัดได้ตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีต้องการวัด ความเที่ยงตรงของ แบบทดสอบวัดด้านพุทธ
พสิ ัยทีส่ ำคัญมี 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี

1.1 เท่ียงตรงตามเนื้อหา (content validity) หมายถึง สามารถวัดเน้ือหาสาระท่ี
ต้องการวดั ไดค้ รบถ้วนตามท่ีกำหนดไว้ในหลักสูตร และวัดได้ตรงตามลักษณะธรรมชาติของ เนื้อหาวิชาน้ัน
ด้วย

1.2 เท่ียงตรงตามโครงสร้าง (construct validity) หมายถึง เคร่ืองมือนั้นสามารถ วัด
พฤติกรรมและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ได้ตามจุดมุ่งหมายที่ก าหนดไว้ และเปน็ ไปตามหลกั การของ ทฤษฎี
นน้ั ๆ

2. ความเชื่อม่ัน (reliability) แบบทดสอบท่ีดีต้องเช่ือมั่นได้ว่าผลจากการวัดคงที่ แน่นอนไม่
เปล่ียนไปมา การวดั คร้งั แรกเปน็ อย่างไร เมอื่ วัดซ้ำอกี โดยใช้แบบทดสอบชุดเดมิ กับผูส้ อบ กลมุ่ เดิม จะวัดกี่
คร้งั ก็ตาม ผลจากการวัดย่อมเหมอื นเดิมหรอื ใกลเ้ คียงกนั

3. ความยากง่าย (difficulty) แบบทดสอบตอ้ งมีความยากง่ายพอเหมาะ คือไม่ยาก เกินไปและไม่
ง่ายเกนิ ไป แบบทดสอบใดทผ่ี ู้สอบตอบถกู มากถือว่าง่าย ถ้ามผี ู้ตอบนอ้ ยถือว่ายาก

4. อำนาจจำแนก (discrimination) แบบทดสอบที่ดีต้องจำแนกได้ สามารถแบ่งผู้สอบ ออกตาม
ระดับความสามารถเก่ง-อ่อนได้ โดยคนเก่งจะตอบถูก ส่วนคนอ่อนจะตอบผิด ข้อสอบ ท่ี ทุกคนตอบถูก
หมด หรอื ตอบผดิ หมด ไม่สามารถจำแนกไดว้ ่าใครเกง่ ใครอ่อน คณุ ลกั ษณะของผู้เขียนแบบทดสอบที่ดี

พวงรตั น์ ทวรี ตั น์ (2530 : 45 - 46) ไดก้ ลา่ วถงึ คณุ ลักษณะของผู้เขียนแบบทดสอบทดี่ ี สรุปดงั น้ี
1. มีความรใู้ นเนื้อหา ความชัดเจนในเน้อื หาจะทำให้สามารถนึกแง่มุมต่าง ๆ ท่ีจะถาม ได้เปน็ อยา่ งดี
2. รู้จุดมุ่งหมายของวิชา การรู้จุดมุ่งหมายของวิชา จะทำให้สามารถเขียนข้อสอบ วัดพฤติกรรมต่าง ๆ ได้
สอดคล้องกบั จุดม่งุ หมายของวชิ าน้นั
3. ร้เู ทคนคิ การถาม การรู้เทคนิคการถามชว่ ยใหม้ องเห็นแงม่ มุ ตา่ ง ๆ ที่ควรถามร้วู ่า เน้ือหาน้ัน ๆ ควรต้งั ค
าถามเชน่ ใด จึงจะเหมาะสมท าใหก้ ิจกรรมนัน้ เปน็ คำถามทด่ี แี ละถาม ได้ลกึ ซึ้ง
4. มีทักษะในการเขียนใช้ภาษา การมีทักษะในการใช้ภาษาท าให้สามารถสร้างคำถามให้มีความชัดเจน
และรัดกมุ ได้ และชว่ ยใหข้ ้อค าถามนน้ั มคี วามปรนัย
5. ทักษะในการเขียนข้อสอบและวิจารณ์ ผู้มีประสบการณ์ในการเขียนข้อสอบมากคือ ผู้ท่ีเขียนข้อสอบ
บ่อย ๆ และได้รับฟังค าวจิ ารณ์บ่อย ๆ จะท าใหร้ ู้เทคนิคการคิดตัวลวงไดด้ ี ท าให้ ข้อค าตอบแตล่ ะขอ้ ใช้
วดั ความสามารถของผูส้ อบได้จริง

แนวคิดเก่ยี วกบั ความพงึ พอใจ
ราชบัณฑติ ยสถาน (2546 : 793) ไดใ้ ห้ความหมายของความพงึ พอใจ หมายถงึ รักชอบใจ ขณะที่

นักการศึกษาหลาย ๆ ท่านได้ให้ความหมายของความพึงพอใจ กิตติมา ปรีดิลก (2532:321) กล่าวคือ
เป็นความรู้สึกที่ชอบหรือพอใจท่ีมีองค์ประกอบและส่ิงจูงใจในด้านต่าง ๆ และได้รับการ ตอบสนองต่อ
ความต้องการนั้น นอกจากนี้อรทัย บุญช่วย (2544:10) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็น เรื่องท่ีเก่ียวข้องกับ

อารมณ์ ความรู้สึกและทัศนะของบุคคลอันเนื่องมากจากสิ่งเร้าและแรงจูงใจซึ่งจะ ปรากฏออกมาทาง
พฤติกรรม โดยแสดงออกมาในลักษณะของความชอบ

สรปุ ได้วา่ ความพงึ พอใจในการเรียนและผลการเรียนจะมีความสัมพนั ธก์ ันในทางบวก ทั้งนี้ ผเู้ รียน
ได้รับการตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะท าให้เกิด ความ
สมบูรณ์ของชีวิต นั่นคือ สิ่งท่ีครูผู้สอนจะคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆในการเสริมสร้างความพึง พอใจใน
การเรยี นร้ใู ห้กับผ้เู รยี น

ทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจ
พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2544 : 127) ไดก้ ล่าวสรปุ ทฤษฎีสำหรับการสรา้ งความพึงพอใจมี อยู่หลาย
ทฤษฎีแต่ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับ ได้แก่ ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ (Maslow’s
Hierarchy of Needs) กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนมีความต้องการเหมือนกัน แต่ความ ต้องการขั้นเป็นลำดับ
ขนั้ ทีเ่ กยี่ วกับความตอ้ งการของมนุษย์ไว้ดังน้ี
1. มนุษย์มคี วามต้องการอยู่เสมอและไม่มีท่ีส้นิ สุด ขณะที่ความต้องการสิ่งใดได้รับการ ตอบสนอง
แล้ว ความต้องการอย่างอ่นื ก็จะเกิดขนึ้ อกี ไมม่ วี นั จบสนิ้
2. ความต้องการท่ีได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นส่ิงจูงใจสำหรับพฤติกรรมอ่ืนต่อไป ความ
ต้องการทไ่ี ด้รับการตอบสนองเทา่ นัน้ ทเี่ ป็นสงิ่ จงู ใจของพฤติกรรม
3. ความต้องการของมนุษย์จะเรียงเป็นล าดับข้ันตามล าดับความสำคัญ กล่าวคือ เม่ือ ความ
ต้องการในระดับต่ำได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการระดับสูงจะเรียกร้องให้มีการ ตอบสนอง ซ่ึงล
าดบั ขัน้ ความต้องการของมนษุ ย์มี 5 ข้ัน ตามล าดบั ขน้ั จากต่ำไปสูง ดงั น้ี

3.1 ความต้องการด้านรา่ งกาย (physiological needs) เป็นความต้องการเบื้องต้น เพ่ือ
ความอยู่รอดของชีวิต เช่น ความต้องการในเรื่องของอาหาร น้ำ อากาศ เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษา โรค ที่อยู่
อาศยั และความต้องการทางเพศ ความต้องการทางดา้ นร่างกายจะมอี ิทธิพลต่อพฤติกรรม ของคนกต็ ่อเม่ือ
ความต้องการทัง้ หมดของคนยงั ไม่ได้รับการตอบสนอง

3.2 ความต้องการด้านความปลอดภัยเพ่ือความม่ันคง (security of safety needs) ถ้า
ความต้องการทางด้านร่างกายได้รับการตอบสนองตามสมควรแล้ว มนุษย์จะต้องการในขั้นสูง ต่อไป คือ
เป็นความรู้สึกที่ต้องการความปลอดภัย หรือความมั่นคงในปัจจุบันและอนาคตซึ่งรวมถึง ความก้าวหน้า
และความอบอนุ่ ใจ

3.3 ความตอ้ งการทางด้านสังคม (social or belonging needs) หลังจากท่ีมนษุ ย์ ไดร้ ับ
การตอบสนองในสองข้ันดังกล่าวแล้วก็จะมีความต้องการสูงข้ึนอีก คือ ความต้องการทางสังคม ซ่ึงเป็น
ความต้องการทีจ่ ะเขา้ ร่วมและได้รับการยอมรบั ในสังคม ความเปน็ มิตรและความรักจากเพอ่ื น

3.4 ความต้องการที่จะได้รับการยอมรับนับถือ (esteem needs) เป็นความต้องการ ให้
คนอ่ืนยกย่อง ให้เกียรติและเห็นความสำคัญของตนเอง อยากเดินในสังคม รวมถึงความสำเร็จ ความรู้
ความสามารถ ความเป็นอสิ ระและเสรภี าพ

3.5 ความต้องการความสำเร็จในชีวิต (self-actualization) เป็นความต้องการระดับ
สูงสุดของมนุษย์ ส่วนมากจะเป็นการอยากจะเป็น อยากจะได้ตามความคิดของตนหรือต้องการจะ เป็น
มากกว่าทีต่ วั เองเป็นอย่ใู นขณะน้ี

จากสาระสำคัญของทฤษฎีความต้องการตามลำดบั ข้นั ของมาสโลว์ สรุปได้ว่ามนุษย์ทุก คนมีความ
ต้องการเหมือนกันแต่มีความแตกต่างกันไป และความต้องการในแต่ละขั้นของมนุษย์จะมี ความสำคัญแก่
บคุ คลมากน้อยเพียงใด ยอ่ มข้นึ อยู่กับความพึงพอใจทไี่ ด้รับจาการตอบสนองความ ต้องการในล าดับนั้น ๆ
โดยความต้องการของมนุษย์มี 5 ขั้น ตามล าดับข้ันจากต่ำไปสูง ได้แก่ ความต้องการด้านร่างกาย ความ
ต้องการด้านความปลอดภัยหรือความม่ันคง ความต้องการทางด้าน สังคม ความต้องการที่จะได้รับการ
ยอมรับนับถือ และความตอ้ งการความสำเรจ็ ในชีวติ ตามล าดับ

งานวิจัยทเี่ ก่ียวขอ้ ง
ประดิษฐ์ เกษมสินธุ์ (2534: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การสร้างส่ือประสมสำหรับการเรียน

การ สอน เรื่อง การอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้ ำ ตามโครงการอีสานสีเขียว ส ำหรับนักเรียน
ประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ส่ือประสมมีประสิทธิภาพ 84.86/83.44 และมีค่าดัชนีประสิทธิผล 0.60
แสดงว่าส่ือประสม สำหรับการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพช่วยให้นักเรียนเกดิ การเรยี นรู้ ตามเกณฑ์ที่ต้ัง
ไว้จรงิ

อนุชิต กล่ันประยูร (2545: บทคัดย่อ)ได้พัฒนาส่ือการสอนวิชาสังคมศึกษาด้วยโปรแกรม
Microsoft PowerPoint เร่ือง ภูมิศาสตร์กายภาพภาคตะวันตก สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนด้วยสื่อการสอนวิชาสังคมศึกษาด้วยโปรแกรม
Microsoft PowerPoint สูง กว่าก่อนเรียน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และโดย
ภาพรวมนักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ใน ระดับมาก กล่าวคือ การเรียนด้วยสื่อท าให้มีความม่ันใจในตนเอง
มากข้ึน ทบทวนบทเรียนได้สะดวกและง่ายข้ึน การเรียนด้วย Microsoft PowerPointกระตุ้นให้เกิดการ
เรยี นรู้ สนุก เรยี นรูไ้ ดด้ ้วยตนเอง เป็นไปตาม จุดประสงค์การเรียน เกดิ ความคิดริเริม่ สรา้ งสรรค์

สาธิต ภูมิรักษ์ (2542 : 56) ได้ศึกษาผลการใช้สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตด้วยโปรแกรม
PowerPoint กับนายทหารนักเรียนโรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง เรื่อง กิจกรรมในสนามเพื่อฝึกความ
เป็นผู้น าเกมฟลิก เกอร์บอล ผลการศึกษาพบว่า หลังการศึกษากิจกรรมในสนามฝึกเพ่ือความเป็นผู้น ำ
เกมฟลิกเกอร์บอล จาก สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตด้วยโปรแกรม PowerPoint นายทหารนักเรียน
โรงเรียนนายทหารชั้นผู้บงั คับฝงู รุ่นที่ 92 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากอ่ นการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติท่ีระดับ .01 และนายทหาร นักเรียนมีความคิดเห็นในระดับดีต่อสไลด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตด้วย
โปรแกรม PowerPoint

วาณี หนูเพชร (2545 : 76) ได้ท าการศึกษาผลการใช้สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีผลิตด้วย
โปรแกรม PowerPoint เร่ือง ภาวะโภชนาการเกิน แบบเปลี่ยนสีข้อความ และแบบซ่อมข้อความเม่ือ
ข้อความปรากฏ ผลการวิจัยปรากฏว่า ใช้สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตด้วยโปรแกรม PowerPoint เรื่อง

ภาวะโภชนาการเกิน แบบ เปลีย่ นสขี ้อความและแบบซ่อนขอ้ ความ เมื่อข้อความถดั ไปปรากฏมคี ณุ ภาพอยู่
ในเกณฑ์ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนทั้งสองกลมุ่ ไม่แตกต่างกนั

Hutchins (2000, อ้างถึงใน วาณี หนูเพชร2545:53) ได้ทำการศึกษาและสำรวจความคิดเห็น
เก่ียวกับ การใช้โปรแกรมน าเสนอต่างๆ ในการเรียนการสอนและอบรมจากกลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 96 คน
พบว่าจำนวน 75% นิยมใช้โปรแกรม PowerPoint

Villa china (1999, อา้ งถึงใน วาณี หนเู พชร2545:53) ได้ท าการศกึ ษากับนักเรียนทเ่ี ยนทางด้าน
เทคโนโลยีการศึกษาจำนวน 236 คน เกย่ี วกับความสนใจในโปรแกรม PowerPoint พบว่านักเรียนมีความ
สนใจ และยอมรบั เกยี่ วกบั การน าโปรแกรม PowerPoint มาใชใ้ นการเรียนการสอน
จากการวจิ ัยทั้งในประเทศและต่างประเทศดังกล่าวสรปุ ว่าการใชส้ ไลด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตด้วย โปรแกรม
PowerPoint เป็นส่ือในการเรียนท าให้สัมฤทธิ์ผลทางการเรียนของผู้เรียนสูงข้ึน และผู้เรียนมีความ
คิดเห็นที่ดีต่อการน าสไลด์อิเล็กทรอนิกส์มาเป็นสื่อประกอบการเรียนนอกจากนั้นงานวิจัยบางส่วนยัง
ศึกษา และให้ความสำคัญเก่ียวกับการน าเสนอขอ้ ความ สี รปู ภาพ มผี ลต่อความชอบ และความชัดเจนใน
การมองเห็น ของผู้เรียน การสร้างสื่อสำหรับผู้เรียนจึงควรเสนอข้อความ รูปภาพ สี ให้เหมาะสมกับ
เนอื้ หาวชิ า ความ ต้องการและความสนใจของผูเ้ รียนและมีผลตอ่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของผู้เรียน

บทท่ี 3
วิธีดำเนนิ การวิจัย

การพัฒนาสื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านป่าก๊อ เป็นการวิจัยเชิงทดลองซงึ่ ผู้วิจัยได้
ดำเนินการตามขน้ั ตอนดังน้ี

3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรทีใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านป่าก๊อ ภาคเรียนท่ี
1 ประจำปีการศึกษา 2563 จำนวนทง้ั หมด 20คน
3.2 แบบแผนการวจิ ยั
ในการวิจัยครั้งนี้ผู้รายงานดำเนินการวิจัยตามแบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียว โดยการทดสอบ
กอ่ นเรียนหลงั เรียน (One-Group Pretest –Posttest Design) มีลกั ษณะการทดลอง ดังน้ี

ตาราง3.1 แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดยี ว
กอ่ นสอบ ทดลอง สอบหลงั

O1 x O2

O1 แทน การทดสอบก่อนใช้สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น2 เรื่องรู้จักกับ Kidbright
ดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint

X แทนการสอนโดยใช้ส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น2 เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint

O2 แทนการทดสอบหลังการใช้การพัฒนาส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น2 เรื่องรู้จัก
กบั Kidbright ดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint

เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย
สำหรับเคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน โดยผ่านการหา

คณุ ภาพ ประสทิ ธภิ าพแลว้ ประกอบดว้ ยดังน้ี
1. สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft

PowerPoint สำหรับนกั เรยี นระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ซ่ึงเป็น

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test) และหลงั เรยี น (Post-test) เป็นแบบทดสอบ ชุดเดียวกนั
3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการสอนโดยใช้สื่อรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ือง

รจู้ ักกับ Kidbright ดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับนกั เรยี น ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3

การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั มรี ายละเอียดดังน้ี

1. สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 การสร้างส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ือง
รู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี
วธิ ีการ สร้าง ดงั น้ี

1.1 ศึกษารายละเอียดรายวิชาคอมพิวเตอร์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน เก่ียวกับ
เน้ือหารายวชิ า

1.2 สร้างส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint สำหรบั นักเรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3

1.3 นำสื่อการสอนที่สร้างข้ึน ดำเนินการสอนกับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียน
บา้ นปา่ กอ๊ จำนวน 20 คน

2. แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright หลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน

2.1 ศึกษาแนวทางการประเมินจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานและ วิธีการสร้าง
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากเอกสาร ตำรา และหนังสือของสำนักงาน ทดสอบการศึกษา
กรมวิชาการ

2.2 ศึกษาเน้ือหาจุดประสงค์การเรียนรู้จากคู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน

2.3 วิเคราะห์จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและเนื้อหาสาระ เพ่ือสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นในแต่ละด้าน ได้แก่ ความรู้ ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์
และการประเมินค่า

2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยให้ครอบคลุมเนื้อหาวิชาและ วัตถุประสงค์
ท่ตี ง้ั ไว้ โดยเป็นแบบทดสอบแบบอตั นัย

3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยใช้ส่ือการสอนรายวิชา
คอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับแบบสอบถามความ
พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยใช้สื่อการสอนรายวิชา คอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีลักษณะเป็นแบบชนิด
มาตรประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดบั มขี ้นั ตอนการสรา้ ง ดังนี้

3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียนโดยใช้สื่อการสอนรายวิชา คอมพิวเตอร์
เรอื่ งรจู้ ักกบั Kidbright ดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับ นักเรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี
3

3.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยใช้สื่อการสอน รายวิชา
คอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับนักเรียนระดับชั้น

มัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท โดยก าหนดคะแนน 1 คะแนน
ดงั นี้

1 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจอย่ใู นระดบั นอ้ ยทส่ี ดุ
2 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดบั น้อย
3 หมายถึง มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง
4 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดับมาก
5 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดับมากทสี่ ุด
3.3 นำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่ปรับปรุงแล้วไปสอบถาม นักเรียน ระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่1 ท่ีลงเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น จำนวน 20 คน แล้วนำมา คำนวณหาค่าความ

เท่ียงของแบบสอบถาม โดยหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า (α .Coefficient) ของ Cronbach (1970) เกณฑ์
การหาค่าความเทยี่ งท่ีกำหนดไว้สูงกว่า .50 (Nunlly. 1978)

3.4 ได้แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการสอนโดยใช้สื่อการสอน รายวิชา
คอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับนักเรียนระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ 3 จำนวน 1 ฉบับ สำหรบั การเกบ็ ขอ้ มลู

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลการสอนโดยใช้ใช้สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ

Kidbright ด้วยโป รแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับนักเรียน ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 3 มี
ขั้นตอน ดงั น้ี

1. ผู้วิจัยช้ีแจงนักเรียนกลุ่มทดลองทราบถึงข้ันตอนการทดลองและจุดมุ่งห มายเพ่ือให้การ
ดำเนนิ งานบรรลวุ ตั ถุประสงค์

2. ให้นักเรียนทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการรายวิชา คอมพิวเตอร์
เรอ่ื งรจู้ กั กับ Kidbright ทผ่ี ู้วิจยั สร้างขึน้ แบบอัตนัย จำนวน 20 ข้อ

3. ดำเนินการสอนโดยใช้ส่อื การสอนรรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรือ่ งรจู้ ักกับ Kidbright ดว้ ยโปรแกรม
Microsoft PowerPoint สำหรับนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยรวมการทดสอบก่อนเรียนและ
หลงั เรยี น

4. เม่ือด าเนินการสอนโดยใช้ส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น2 เรื่องรู้จักกับ Kidbright
ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint แล้ว ให้นักเรียนท าการสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนโดยใช้
แบบทดสอบฉบับหลงั เรยี นชุดเดิม จำนวน 20 ข้อ ใชเ้ วลา 30 นาที

5. นำกระดาษคำตอบที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ไป
ตรวจให้คะแนน โดยข้อที่ตอบถกู ให้ 1คะแนน ข้อท่ีตอบผิดหรือไม่ตอบ หรือตอบมากกว่า 1 ตัวเลือกให้ 0
คะแนน

6. นำผลการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนไปทำการ
วิเคราะหเ์ ปรียบเทยี บข้อมูลทางสถิติ

การวิเคราะห์ขอ้ มูล
การศึกษาผลการสอนโดยใช้สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วย

โปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่ลงเรียนวิชาเพ่ิมเติม
ผวู้ ิจัยได้ดำเนนิ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลดังนี้

1. หาคุณภาพของส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น2 เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับนักเรียนระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 หาค่าดัชนีความเหมาะสม
(IOC)

2. หาคุณภาพของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (P) ค่า อำนาจ
จำแนก (r) และค่าความเที่ยงของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ ริ
ชาร์ดสนั

3. วิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ
Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint โดยเปรียบเทียบค่าเฉล่ีย (X) ของคะแนนก่อนเรียน
และหลงั เรยี น คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นโดย เปรียบเทยี บคา่ ที (t – test)

4. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการสอนโดยใช้ใช้สื่อการสอนรายวิชา คอมพิวเตอร์
เรอ่ื งรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับ นักเรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่
3 โดยใชค้ ่าเฉลี่ย (X) และค่าเบย่ี งเบน มาตรฐาน (S.D.)

บทที่ 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

การศกึ ษาผลการสอนโดยใช้สอ่ื การสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกบั Kidbright ดว้ ย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ผ้วู ิจัยได้วิเคราะห์ขอ้ มลู และ
เสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ดังน้ี
ตอนท่ี 1 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นกอ่ นและหลังเรยี นโดยใช้ ใช้

สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรือ่ งรจู้ ักกับ Kidbright ดว้ ยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint สำหรับนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
สำหรับผลการวเิ คราะห์ข้อมลู เปรียบเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ก่อนเรยี นและหลังเรียน โดย
ใชใ้ ช้สื่อการสอนรายวชิ าคอมพิวเตอร์ เรื่องรจู้ ักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint
สำหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 3 จำนวน 20 คน ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ดังตารางที่
4.1 - 4.2

ตาราง 4.1 คะแนนทดสอบก่อนเรยี นและคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการทดลอง กลมุ่
ตวั อยา่ ง

คนท่ี คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลังเรยี น

15 13

26 12

37 12

45 16

55 15

66 14

79 14

87 14

97 13

10 10 11

คนท่ี คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั เรียน
11 5 12
12 6 15
13 4 15
14 5 14
15 5 14
16 6 16
17 8 16
18 7 17
19 6 12
20 6 15

จากตาราง 4.1 แสดงค่าคะแนนก่อนเรียนและค่าคะแนนหลังรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ
Kidbright นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 20 คนจากคะแนนเตม็ 20 คะแนน พบวา่ คะแนนเฉลี่ย
กอ่ นเรยี น 6.5 คะแนน คะแนนเฉลยี่ หลังเรยี น 14 ตามลำดบั

ตาราง 4. 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใชส้ ่ือการสอน รายวิชา

คอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับ

นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3โรงบ้านป่ากอ๊

คะแนน t sig

คะแนนก่อนเรยี น 6.5 -2.15 .364
คะแนนหลังเรยี น 14

** มีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01

จากตาราง 4.12 แสดงผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนก่อนและหลังเรยี นโดยใช้ สื่อ

การสอนรายวิชาคอมพวิ เตอร์ เรอื่ งรจู้ ักกบั Kidbright ดว้ ยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับ

นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ปรากฏวา่ คะแนนหลงั เรยี นสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนแตกตา่ งกัน อย่างมี

นยั สำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .01 ซงึ่ เป็นไป ตามสมมุติฐานทตี่ ั้งไว้

ตอนที่ 3 ผลกกรวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการสอนโดยใช้สื่อการสอนรายวิชา
คอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สำหรับ
นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
สำหรับผลการวเิ คราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรียนทีล่ งเรียนวิชาเพิ่มเติมรายวิชา คอมพวิ เตอร์ ทีม่ ี

ต่อการสอนโดยใช้สื่อการสอนรายวิชารายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม
Microsoft PowerPoint ดังตารางท่ี 4.3

ตาราง 4.3 ค่ำเฉลีย่ คำ่ เบี่ยงเบนมาตรฐานและระดบั ความพึงพอใจของนกั เรียนที่มีต่อการสอนโดยใช้

สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรอ่ื งรู้จกั กับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft

PowerPoint สำหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3

ท่ี รายการ ระดับความพึงพอใจ
S.D. แปลความ

1 ความเหมาะสมในการนำเขา้ สู่เนือ้ หา 4.25 .899 มาก

2 ความเหมาะสมของสแี ละขนาดตวั อักษร 4.52 .772 มากที่สุด

3 ภาพสื่อความหมายได้ตรงและครอบคลุมเนอื้ หา ความ 4.31 .820 มาก

4 ชดั เจนและการใช้ภาษาสื่อความหมายให้ เข้าใจ 4.33 .617 มาก

5 ความเหมาะสมและตอ่ เน่ืองของเนื้อหา 4.00 .679 มาก

6 ความเหมาะสมของเวลาในการนำเสนอแต่ละตอน 4.35 .633 มาก

7 นกั เรยี นเรียนเกิดความสนใจ และกระตอื รือร้นต่อ การ 4.43 .512 มาก

เรยี น

8 ชว่ ยให้นักเรียนเกดิ ความเพลิดเพลินไม่เบอ่ื หน่าย 4.25 .774 มาก

9 นกั เรียนสามารถเรยี นรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง 4.25 .577 มาก

10 นักเรียนเขา้ ใจเนื้อหาสาระได้ดแี ละเรว็ ขน้ึ 4.18 .543 มาก

11 เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นทำกจิ กรรมด้วยตนเอง และได้ 4.06 .703 มาก

ประสบการณ์ตรง

12 ช่วยสง่ เสรมิ ความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรคใ์ หก้ บั นักเรยี น 4.13 .743 มาก

รวม 4.25 .681 มาก

จากตาราง 4.3 แสดงความพึงพอใจของนกั เรยี นทล่ี งเรียนวชิ าเพม่ิ เติมรายวชิ าคอมพิวเตอร์ ท่ีมี

ตอ่ การสอนโดยใช้การสอนโดยใช้สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรอ่ื งรจู้ ัก กบั Kidbright ดว้ ยโปรแกรม

Microsoft PowerPoint พบว่า โดยภาพรวมมีความพงึ พอใจอยใู่ น ระดบั มาก และเมื่อพิจารณารายข้อ

พบว่า ความเหมาะสมของสีและขนาดตัวอักษร อยู่ในระดบั มาก ท่สี ดุ

บทท่ี 5
สรปุ ผล อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ

การพัฒนาส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เร่ืองรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เป็นการดำเนินการตามรูปแบบ การวิจัยก่ึงทดลอง
(quasi-experimental design) ผ้วู จิ ัยไดส้ รปุ ผลการวิจยั อภิปรายผลและ ขอ้ เสนอแนะ ดังน้ี

สรุปผลการวจิ ัย
1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ของนักเรียนชั้น

มัธยมศึกษาปท่ี 3 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉล่ียก่อนเรียน แตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถติ ิทรี่ ะดับ .01

2. นักเรียนท่ีลงเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ มคี วามพึงพอใจตอ่ การสอนโดย ใช้สอื่ การสอนรายวิชา
คอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint โดยภาพรวมมีอยู่ในระดับ
มาก

อภิปรายผล
จากผลการวิจัยการพัฒนาสื่อการสอนรรายวิชาคอมพิวเตอร์เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วย

โปรแกรม Microsoft PowerPoint พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอร์ มีคะแนนเฉลี่ย
หลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01สอดคล้องกับ
ประดิษฐ์ เกษมสินธ์ุ (2534: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การ สร้างส่ือประสมสำหรับการเรียนการสอน
เรือ่ ง การอนรุ ักษ์และพฒั นาแหล่งน้ำ ตามโครงการอีสานสเี ขยี ว สำหรับนักเรียนประถมศึกษา ผลการวิจัย
พบวา่ ส่ือประสมมปี ระสิทธภิ าพ 84.86/83.44 และมีค่าดัชนี ประสทิ ธผิ ล 0.60 แสดงว่าส่อื ประสมสำหรับ
การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ สอดคล้องกับอนุชิต กลั่นประยูร (2545:
บทคัดย่อ)ได้พัฒนาสื่อการสอนวิชาสังคมศึกษาด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint เร่ือง ภูมิศาสตร์
กายภาพภาคตะวันตก สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หลังเรียนด้วยสื่อการสอนวิชาสังคมศึกษาด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint สูงกว่าก่อนเรียน
แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับสาธิต ภูมิรักษ์(2542 : 56) ได้ศึกษา
ผลการใช้สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีผลิตด้วยโปรแกรม PowerPointกับนายทหาร นักเรียนโรงเรียนนายทหาร
ช้ันผบู้ ังคบั ฝงู เรื่อง กจิ กรรมในสนามเพ่ือฝกึ ความเป็นผู้นำเกมฟลกิ เกอรบ์ อล ผล
การศึกษาพบว่า หลังการศึกษากิจกรรมในสนามฝึกเพ่ือความเป็นผู้นำ เกมฟลิกเกอร์บอล จากสไลด์
อเิ ล็กทรอนิกส์ท่ีผลิตด้วยโปรแกรม PowerPoint นายทหารนักเรียนโรงเรียนนายทหารชัน้ ผู้บังคับฝูงรนุ่ ที่
92 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ท้ังนี้เพราะ
ครูผ้สู อนได้ พัฒนารายวิชาการเขียนโปรแกรมจัดการฐานข้อมลู เร่ือง ภาษาทางด้านฐานขอ้ มูลค าสง่ั SQL
(SQL Command) ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ซึ่งเป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ

และ ประสิทธิภาพ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้โดยผ่านทางเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีมีสมรรถนะ โดยสื่อที่สร้างขึ้น
นั้น จะมีองค์ประกอบครบถ้วน กล่าวคือ มีข้อความท่ีชัดเจนสอดคล้องกับเน้ือหารายวิชา ภาพมีขนาดที่
เหมาะสม สวยงาม ชัดเจน และมีความสัมพันธ์กับเน้ือหา นอกจากน้ียังมีการศึกษาความต้องการและ
ธรรมชาติของนักเรียนเพ่ือน ามาประยุกต์สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ฯให้เหมาะสมกับธรรมชาติของ
นักเรียน อย่างไรก็ตามในการพัฒนาสื่อการสอนดังกล่าวผ่านการประเมินความเหมาะสมจาก ผู้เช่ียวชาญ
ซึง่ ได้ตรวจสอบความตรงเชงิ เนื้อหา การใช้ภาษา รูปแบบของสอ่ื การสอนเปน็ ตน้

อย่างไรก็ตามจากผลการวิจัย ท่ีพบว่า นักเรียนที่ลงเรียนรายวชิ าคอมพิวเตอร์ มีความพึงพอใจต่อ
การสอนโดยใช้ส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft
PowerPoint โดยภาพรวมมีอยู่ในระดับมากซ่ึงสอดคล้องกับอนุชิต กลั่น ประยูร (2545: บทคัดย่อ) ได้
พัฒนาส่ือการสอนวิชาสังคมศึกษาด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint เรื่อง ภูมิศาสตร์กายภาพภาค
ตะวันตก สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมนักเรียน มีความคิดเห็นอยู่
ในระดับมาก กล่าวคือ การเรียนด้วยสื่อท าให้มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ทบทวนบทเรียน ได้สะดวก
และง่ายขึ้น การเรียนด้วย Microsoft PowerPointกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ สนุก เรียนรู้ได้ด้วย ตนเอง
เป็นไปตามจุดประสงคก์ ารเรียน เกิดความคิดริเรมิ่ สร้างสรรค์สอดคลอ้ งกบั สาธิต ภมู ิรกั ษ์ (2542 : 56) ได้
ศึกษาผลการใช้สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีผลิตด้วยโปรแกรม PowerPointกับนายทหารนักเรียนโรงเรียน
นายทหารช้ันผู้บังคับฝูง เร่ือง กิจกรรมในสนามเพ่ือฝึกความเป็นผู้น าเกมฟลิกเกอร์บอล ผลการศึกษา
พบว่า นายทหารนักเรียนมีความคิดเห็นในระดับดีต่อสไลด์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีผลิตด้ วยโปรแกรม
PowerPointสอดคล้อง กับ Hutchins (2000, อ้างถึงใน วาณี หนูเพชร 2545 : 53) ได้ท าการศึกษาและ
สำรวจความคิดเห็นเก่ียวกับ การใช้โปรแกรมน าเสนอต่างๆ ในการเรียนการสอนและอบรมจากกลุ่ม
ตัวอย่างจำนวน 96 คน ผลการสำรวจ พบว่า จำนวน ร้อยละ75 นิยมใช้โปรแกรม PowerPoint และ
สอดคล้องกับVillachina (1999, อ้างถึงใน วาณี หนูเพชร 2545 : 53) ได้ทำการศึกษากับนักเรียนท่ีเรียน
ทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาจำนวน 236 คน เก่ียวกับ ความสนใจในโปรแกรม PowerPoint ผลการวิจัย
พบว่า นักเรยี นมีความสนใจและยอมรบั เก่ียวกับการนำโปรแกรม PowerPoint มาใช้ในการเรียนการสอน
ทั้งนี้เพราะในการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยซึ่งเป็นครูผู้สอนได้ ใช้สื่อการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องรู้จักกับ
Kidbright ด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ กล่าวคือ เนื้อหาในสื่อ
การสอนมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย โดยมภี าพประกอบที่มีสสี ันสวยงาม การเรียนโดยใช้ส่อื การสอนเปิด
โอกาสให้นักเรียนกระทำกิจกรรมด้วยตนเองและได้ประสบการณ์ตรง นอกจากนี้เม่ือนักเรียนได้ใช้แล้ว
สามารถเรียนรู้ได้ดว้ ย ตนเอง เกิดความสนใจ กระตือรือร้นต่อการเรียน เข้าใจเน้ือหาสาระได้ดีและเร็วข้ึน
นอกจากน้ีการ เรียนโดยใช้ส่ือการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น2 เรื่องรู้จักกับ Kidbright ด้วย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint ช่วยส่งเสรมิ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้กับนักเรียน ส่งผลให้นักเรียน
มี ความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากตามลำดบั

ขอ้ เสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้
1.1 จากผลการวิจัย ท่ีพบว่า การสอนโดยใช้สื่อการสอนด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint

ทำใหน้ ักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น โดยมคี ะแนนเฉลยี่ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แตกต่างกนั อยา่ งมี
นยั สำคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนน้ั จงึ นำไปใชเ้ ปน็ ส่ือประกอบการจดั การเรียนรู้

1.2 จากผลการวิจัย ท่ีพบว่า การสอนโดยใช้สื่อการสอนด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint
ทำให้นักเรียนมีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมากดังน้ันครูผู้สอนควรให้ความสำคัญกับการ สอนโดยใช้ส่ือการ
สอนด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint นอกจากน้ีแล้วครูผู้สอนควรส่งเสริมให้ นักเรียนใช้เวลาว่าง
ให้เกิดประโยชน์ และพัฒนากระบวนการคดิ เชิงสร้างสรรคด์ ว้ ยกระบวนการเรียนรู้ โดยการปฏบิ ัตจิ รงิ

2. ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยครัง้ ต่อไป
2.1 ควรมีการวิจัยและพัฒนาส่ือการสอนด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint รายวิชาอ่ืน ๆ
ทั้งน้เี พ่ือใหไ้ ดส้ อ่ื ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ เหมาะสม กับธรรมชาติและความต้องการของนักเรยี น
2.2 ควรมีการวิจยั และพัฒนาส่ือการเรียนการสอน นวัตกรรมอ่ืน ๆ ท่ีเหมาะสมกบั ความต้องการ
และความทันสมัยในยุคการเปลี่ยนแปลง เช่น E-Book , E-Learning หรือ CAI ท้ังนี้เพื่อนำผลมา
เปรยี บเทียบแล้วนำไปประกอบการจัดการเรียนรใู้ หผ้ ู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เพ่ิมขึ้นต่อไป

บรรณานกุ รม

บญุ เก้อื ควรหาเวช. (2543). นวตั กรรมการศึกษา. (พิมพค์ รง้ั ที่ 5). นนทบุรี : แจก SR Printing
เผชิญ กจิ ระการ.(2544). “การวิเคราะหป์ ระสิทธภิ าพสื่อและเทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษา (E1/E2)”.

วารสารวดั ผลทางการศึกษา. 7(46) : 50-51 กรกฎาคม.
พงษ์พนั ธ์ พงษโ์ สภา. (2544). จิตวทิ ยาการศึกษา. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศึกษา.
พวงรตั น์ ทวรี ตั น์. (2530). การสร้างและพฒั นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ. กรุงเทพฯ : สำนักทดสอบ
การศกึ ษา

และจิตวิทยา. มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒประสานมติ ร. (2543). วธิ ีวจิ ัยทำงพฤติกรรม
ศาสตรแ์ ละ

สงั คมศาสตร์. กรงุ เทพฯ : ฟงั เกอร์ปรน้ิ แอนด์มเี ดีย.
พิสณุ ฟองศรี.(2549). วิจัยช้ันเรียน : หลกั กำรและเทคนิคปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร:ห้างหนุ้ ส่วนจำกัด
พิมพ์งาม.
พิสณุ ฟองศร.ี (2549). วจิ ัยทางการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : เทียมฝ่าการพิมพ์.
ภทั รา นคิ มานนท.์ (2543). การประเมินผลการวจิ ัย. กรุงเทพฯ : อักษรพิพัฒน์.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศกั ราช 2542. พิมพ์ครง้ั ที่ 1.
กรุงเทพฯ :

นานมบี ุค๊ พบั ลเิ คชันส.์
วาณี.(2545).ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นโดยใชส้ ไลดอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ 2 รูปแบบ เรอ่ื ง โภชนาการเกิน ของ
นักเรยี น

พยาบาล. วทิ ยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยกี ารศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ศิรชิ ยั กาญจนวาส.ี (2548). การวิเคราะห์พหรุ ะดบั . พมิ พ์ครง้ั ที่ 3. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.
สาธติ ภูมริ กั ษ.์ (2542) ผลการใช้สไลด์อเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ี่ผลิตดว้ ยโปรแกรม Power Point กบั นายทหาร
นักเรียน
โรงเรยี นนายทหารชนั้ ผบู้ งั คบั ฝงู เรือ่ ง กจิ กรรมในสนำมเพื่อฝกึ ความ เป็นผู้นำเกมฟลิก
เกอรบ์ อล.
วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศกึ ษา บัณฑติ วิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สุรางค์ โค้วตระกูล. (2544). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรทยั บุญช่วย. (2544). รายงานการวิจัยเร่ือง ความพึงพอใจท่มี ตี ่อการเรียนการสอน วิทยาศาสตรข์ อง

นักเรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ โรงเรยี นสาธติ รามคำแหง. กรงุ เทพฯ : คณะ
ศึกษาศาสตร์

มหาวิทยาลยั รามคำแหง.
อาชวี ศกึ ษา, กรม. (2546). หลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชัน้ สูง พุทธศักราช 2545 (ปรับปรงุ พ.ศ.
2546).

กรุงเทพมหานคร. (อัดสำเนา)
อรณุ ผ่องไส.(2547) การพัฒนาสอ่ื สไลดอ์ ิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เรื่อง ชีวติ
ของพชื

สำหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2. วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต
สาขาวิชา

เทคโนโลยีการศกึ ษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.
อนุชิต กลน่ั ประยูร.(2545) การพฒั นาส่ือกำรสอนวชิ ำสงั คมศกึ ษาดว้ ยโปรแกรม
Microsoft PowerPoint

เรือ่ ง ภูมศิ าสตร์กายภาพภาคตะวนั ตก สำหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาชั้น ปีท่ี5.
วิทยานิพนธ์

ปริญญาศกึ ษาศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการนิเทศ บณั ฑิต วทิ ยาลยั
มหาวิทยาลยั

ศลิ ปากร.


Click to View FlipBook Version